Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๗. สตฺตกนิปาโต
7. Sattakanipāto
๑. กุกฺกุวโคฺค
1. Kukkuvaggo
[๓๙๖] ๑. กุกฺกุชาตกวณฺณนา
[396] 1. Kukkujātakavaṇṇanā
ทิยฑฺฒกุกฺกูติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ราโชวาทํ อารพฺภ กเถสิฯ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ เตสกุณชาตเก (ชา. ๒.๑๗.๑ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ
Diyaḍḍhakukkūti idaṃ satthā jetavane viharanto rājovādaṃ ārabbha kathesi. Paccuppannavatthu tesakuṇajātake (jā. 2.17.1 ādayo) āvi bhavissati.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อตฺถธมฺมานุสาสโก อมโจฺจ อโหสิฯ ราชา อคติคมเน ปติฎฺฐาย อธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิ, ชนปทํ ปีเฬตฺวา ธนเมว สํหริฯ โพธิสโตฺต ราชานํ โอวทิตุกาโม เอกํ อุปมํ อุปธาเรโนฺต วิจรติ, รโญฺญ อุยฺยาเน วาสาคารํ วิปฺปกตํ โหติ อนิฎฺฐิตจฺฉทนํ, ทารุกณฺณิกํ อาโรเปตฺวา โคปานสิโย ปเวสิตมตฺตา โหนฺติฯ ราชา กีฬนตฺถาย อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตตฺถ วิจริตฺวา ตํ เคหํ ปวิสิตฺวา อุโลฺลเกโนฺต กณฺณิกมณฺฑลํ ทิสฺวา อตฺตโน อุปริปตนภเยน นิกฺขมิตฺวา พหิ ฐิโต ปุน โอโลเกตฺวา ‘‘กิํ นุ โข นิสฺสาย กณฺณิกา ฐิตา, กิํ นิสฺสาย โคปานสิโย’’ติ จิเนฺตตฺวา โพธิสตฺตํ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa atthadhammānusāsako amacco ahosi. Rājā agatigamane patiṭṭhāya adhammena rajjaṃ kāresi, janapadaṃ pīḷetvā dhanameva saṃhari. Bodhisatto rājānaṃ ovaditukāmo ekaṃ upamaṃ upadhārento vicarati, rañño uyyāne vāsāgāraṃ vippakataṃ hoti aniṭṭhitacchadanaṃ, dārukaṇṇikaṃ āropetvā gopānasiyo pavesitamattā honti. Rājā kīḷanatthāya uyyānaṃ gantvā tattha vicaritvā taṃ gehaṃ pavisitvā ullokento kaṇṇikamaṇḍalaṃ disvā attano uparipatanabhayena nikkhamitvā bahi ṭhito puna oloketvā ‘‘kiṃ nu kho nissāya kaṇṇikā ṭhitā, kiṃ nissāya gopānasiyo’’ti cintetvā bodhisattaṃ pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๑.
1.
‘‘ทิยฑฺฒกุกฺกู อุทเยน กณฺณิกา, วิทตฺถิโย อฎฺฐ ปริกฺขิปนฺติ นํ;
‘‘Diyaḍḍhakukkū udayena kaṇṇikā, vidatthiyo aṭṭha parikkhipanti naṃ;
สา สิํสปา, สารมยา อเผคฺคุกา, กุหิํ ฐิตา อุปฺปริโต น ธํสตี’’ติฯ
Sā siṃsapā, sāramayā apheggukā, kuhiṃ ṭhitā upparito na dhaṃsatī’’ti.
ตตฺถ ทิยฑฺฒกุกฺกูติ ทิยฑฺฒรตนาฯ อุทเยนาติ อุจฺจเตฺตนฯ ปริกฺขิปนฺติ นนฺติ ตํ ปเนตํ อฎฺฐ วิทตฺถิโย ปริกฺขิปนฺติ, ปริเกฺขปโต อฎฺฐวิทตฺถิปมาณาติ วุตฺตํ โหติฯ กุหิํ ฐิตาติ กตฺถ ปติฎฺฐิตา หุตฺวาฯ น ธํสตีติ น ปตติฯ
Tattha diyaḍḍhakukkūti diyaḍḍharatanā. Udayenāti uccattena. Parikkhipanti nanti taṃ panetaṃ aṭṭha vidatthiyo parikkhipanti, parikkhepato aṭṭhavidatthipamāṇāti vuttaṃ hoti. Kuhiṃ ṭhitāti kattha patiṭṭhitā hutvā. Na dhaṃsatīti na patati.
ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ‘‘ลทฺธา ทานิ เม รโญฺญ โอวาทตฺถาย อุปมา’’ติ จิเนฺตตฺวา อิมา คาถา อาห –
Taṃ sutvā bodhisatto ‘‘laddhā dāni me rañño ovādatthāya upamā’’ti cintetvā imā gāthā āha –
๒.
2.
‘‘ยา ติํสติ สารมยา อนุชฺชุกา, ปริกิริย โคปานสิโย สมํ ฐิตา;
‘‘Yā tiṃsati sāramayā anujjukā, parikiriya gopānasiyo samaṃ ṭhitā;
ตาหิ สุสงฺคหิตา พลสา ปีฬิตา, สมํ ฐิตา อุปฺปริโต น ธํสติฯ
Tāhi susaṅgahitā balasā pīḷitā, samaṃ ṭhitā upparito na dhaṃsati.
๓.
3.
‘‘เอวมฺปิ มิเตฺตหิ ทเฬฺหหิ ปณฺฑิโต, อเภชฺชรูเปหิ สุจีหิ มนฺติภิ;
‘‘Evampi mittehi daḷhehi paṇḍito, abhejjarūpehi sucīhi mantibhi;
สุสงฺคหีโต สิริยา น ธํสติ, โคปานสีภารวหาว กณฺณิกา’’ติฯ
Susaṅgahīto siriyā na dhaṃsati, gopānasībhāravahāva kaṇṇikā’’ti.
ตตฺถ ยา ติํสติ สารมยาติ ยา เอตา สารรุกฺขมยา ติํสติ โคปานสิโยฯ ปริกิริยาติ ปริวาเรตฺวาฯ สมํ ฐิตาติ สมภาเคน ฐิตาฯ พลสา ปีฬิตาติ ตาหิ ตาหิ โคปานสีหิ พเลน ปีฬิตา สุฎฺฐุ สงฺคหิตา เอกาพทฺธา หุตฺวาฯ ปณฺฑิโตติ ญาณสมฺปโนฺน ราชาฯ สุจีหีติ สุจิสมาจาเรหิ กลฺยาณมิเตฺตหิฯ มนฺติภีติ มนฺตกุสเลหิฯ โคปานสีภารวหาว กณฺณิกาติ ยถา โคปานสีนํ ภารํ วหมานา กณฺณิกา น ธํสติ น ปตติ, เอวํ ราชาปิ วุตฺตปฺปกาเรหิ มนฺตีหิ อภิชฺชหทเยหิ สุสงฺคหิโต สิริโต น ธํสติ น ปตติ น ปริหายติฯ
Tattha yā tiṃsati sāramayāti yā etā sārarukkhamayā tiṃsati gopānasiyo. Parikiriyāti parivāretvā. Samaṃ ṭhitāti samabhāgena ṭhitā. Balasā pīḷitāti tāhi tāhi gopānasīhi balena pīḷitā suṭṭhu saṅgahitā ekābaddhā hutvā. Paṇḍitoti ñāṇasampanno rājā. Sucīhīti sucisamācārehi kalyāṇamittehi. Mantibhīti mantakusalehi. Gopānasībhāravahāva kaṇṇikāti yathā gopānasīnaṃ bhāraṃ vahamānā kaṇṇikā na dhaṃsati na patati, evaṃ rājāpi vuttappakārehi mantīhi abhijjahadayehi susaṅgahito sirito na dhaṃsati na patati na parihāyati.
ราชา โพธิสเตฺต กเถเนฺตเยว อตฺตโน กิริยํ สลฺลเกฺขตฺวา กณฺณิกาย อสติ โคปานสิโย น ติฎฺฐนฺติ, โคปานสีหิ อสงฺคหิตา กณฺณิกา น ติฎฺฐติ, โคปานสีสุ ภิชฺชนฺตีสุ กณฺณิกา ปตติ, เอวเมว อธมฺมิโก ราชา อตฺตโน มิตฺตามเจฺจ จ พลกาเย จ พฺราหฺมณคหปติเก จ อสงฺคณฺหโนฺต เตสุ ภิชฺชเนฺตสุ เตหิ อสงฺคหิโต อิสฺสริยา ธํสติ, รญฺญา นาม ธมฺมิเกน ภวิตพฺพนฺติฯ อถสฺส ตสฺมิํ ขเณ ปณฺณาการตฺถาย มาตุลุงฺคํ อาหริํสุฯ ราชา ‘‘สหาย, อิมํ มาตุลุงฺคํ ขาทา’’ติ โพธิสตฺตํ อาหฯ โพธิสโตฺต ตํ คเหตฺวา ‘‘มหาราช, อิมํ ขาทิตุํ อชานนฺตา ติตฺตกํ วา กโรนฺติ อมฺพิลํ วา, ชานนฺตา ปน ปณฺฑิตา ติตฺตกํ หาเรตฺวา อมฺพิลํ อนีหริตฺวา มาตุลุงฺครสํ อนาเสตฺวาว ขาทนฺตี’’ติ รโญฺญ อิมาย อุปมาย ธนสงฺฆรณูปายํ ทเสฺสโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Rājā bodhisatte kathenteyeva attano kiriyaṃ sallakkhetvā kaṇṇikāya asati gopānasiyo na tiṭṭhanti, gopānasīhi asaṅgahitā kaṇṇikā na tiṭṭhati, gopānasīsu bhijjantīsu kaṇṇikā patati, evameva adhammiko rājā attano mittāmacce ca balakāye ca brāhmaṇagahapatike ca asaṅgaṇhanto tesu bhijjantesu tehi asaṅgahito issariyā dhaṃsati, raññā nāma dhammikena bhavitabbanti. Athassa tasmiṃ khaṇe paṇṇākāratthāya mātuluṅgaṃ āhariṃsu. Rājā ‘‘sahāya, imaṃ mātuluṅgaṃ khādā’’ti bodhisattaṃ āha. Bodhisatto taṃ gahetvā ‘‘mahārāja, imaṃ khādituṃ ajānantā tittakaṃ vā karonti ambilaṃ vā, jānantā pana paṇḍitā tittakaṃ hāretvā ambilaṃ anīharitvā mātuluṅgarasaṃ anāsetvāva khādantī’’ti rañño imāya upamāya dhanasaṅgharaṇūpāyaṃ dassento dve gāthā abhāsi –
๔.
4.
‘‘ขรตฺตจํ เพลฺลํ ยถาปิ สตฺถวา, อนามสโนฺตปิ กโรติ ติตฺตกํ;
‘‘Kharattacaṃ bellaṃ yathāpi satthavā, anāmasantopi karoti tittakaṃ;
สมาหรํ สาทุํ กโรติ ปตฺถิว, อสาทุํ กยิรา ตนุพนฺธมุทฺธรํฯ
Samāharaṃ sāduṃ karoti patthiva, asāduṃ kayirā tanubandhamuddharaṃ.
๕.
5.
‘‘เอวมฺปิ คามนิคเมสุ ปณฺฑิโต, อสาหสํ ราชธนานิ สงฺฆรํ;
‘‘Evampi gāmanigamesu paṇḍito, asāhasaṃ rājadhanāni saṅgharaṃ;
ธมฺมานุวตฺตี ปฎิปชฺชมาโน, ส ผาติ กยิรา อวิเหฐยํ ปร’’นฺติฯ
Dhammānuvattī paṭipajjamāno, sa phāti kayirā aviheṭhayaṃ para’’nti.
ตตฺถ ขรตฺตจนฺติ ถทฺธตจํฯ เพลฺลนฺติ มาตุลุงฺคํฯ ‘เพล’’นฺติปิ ปาโฐ, อยเมวโตฺถฯ สตฺถวาติ สตฺถกหโตฺถฯ อนามสโนฺตติ พหิตจํ ตนุกมฺปิ อตจฺฉโนฺต อิทํ ผลํ ติตฺตกํ กโรติฯ สมาหรนฺติ สมาหรโนฺต พหิตจํ ตจฺฉโนฺต อโนฺต จ อมฺพิลํ อนีหรโนฺต ตํ สาทุํ กโรติฯ ปตฺถิวาติ ราชานํ อาลปติฯ ตนุพนฺธมุทฺธรนฺติ ตนุกํ ปน ตจํ อุทฺธรโนฺต สพฺพโส ติตฺตกสฺส อนปนีตตฺตา ตํ อสาทุเมว กยิราฯ เอวนฺติ เอวํ ปณฺฑิโต ราชาปิ อสาหสํ สาหสิยา ตณฺหาย วสํ อคจฺฉโนฺต อคติคมนํ ปหาย รฎฺฐํ อปีเฬตฺวา อุปจิกานํ วมฺมิกวฑฺฒนนิยาเมน มธุกรานํ เรณุํ คเหตฺวา มธุกรณนิยาเมน จ ธนํ สงฺฆรโนฺต –
Tattha kharattacanti thaddhatacaṃ. Bellanti mātuluṅgaṃ. ‘Bela’’ntipi pāṭho, ayamevattho. Satthavāti satthakahattho. Anāmasantoti bahitacaṃ tanukampi atacchanto idaṃ phalaṃ tittakaṃ karoti. Samāharanti samāharanto bahitacaṃ tacchanto anto ca ambilaṃ anīharanto taṃ sāduṃ karoti. Patthivāti rājānaṃ ālapati. Tanubandhamuddharanti tanukaṃ pana tacaṃ uddharanto sabbaso tittakassa anapanītattā taṃ asādumeva kayirā. Evanti evaṃ paṇḍito rājāpi asāhasaṃ sāhasiyā taṇhāya vasaṃ agacchanto agatigamanaṃ pahāya raṭṭhaṃ apīḷetvā upacikānaṃ vammikavaḍḍhananiyāmena madhukarānaṃ reṇuṃ gahetvā madhukaraṇaniyāmena ca dhanaṃ saṅgharanto –
‘‘ทานํ สีลํ ปริจฺจาคํ, อชฺชวํ มทฺทวํ ตปํ;
‘‘Dānaṃ sīlaṃ pariccāgaṃ, ajjavaṃ maddavaṃ tapaṃ;
อโกฺกธํ อวิหิํสญฺจ, ขนฺติญฺจ อวิโรธน’’นฺติฯ –
Akkodhaṃ avihiṃsañca, khantiñca avirodhana’’nti. –
อิติ อิเมสํ ทสนฺนํ ราชธมฺมานํ อนุวตฺตเนน ธมฺมานุวตฺตี หุตฺวา ปฎิปชฺชมาโน โส อตฺตโน จ ปเรสญฺจ ผาติํ วฑฺฒิํ กเรยฺย ปรํ อวิเหเฐโนฺตเยวาติฯ
Iti imesaṃ dasannaṃ rājadhammānaṃ anuvattanena dhammānuvattī hutvā paṭipajjamāno so attano ca paresañca phātiṃ vaḍḍhiṃ kareyya paraṃ aviheṭhentoyevāti.
ราชา โพธิสเตฺตน สทฺธิํ มเนฺตโนฺต โปกฺขรณีตีรํ คนฺตฺวา สุปุปฺผิตํ พาลสูริยวณฺณํ อุทเกน อนุปลิตฺตํ ปทุมํ ทิสฺวา อาห – ‘‘สหาย, อิมํ ปทุมํ อุทเก สญฺชาตเมว อุทเกน อลิมฺปมานํ ฐิต’’นฺติฯ อถ นํ โพธิสโตฺต ‘‘มหาราช, รญฺญา นาม เอวรูเปน ภวิตพฺพ’’นฺติ โอวทโนฺต อิมา คาถา อาห –
Rājā bodhisattena saddhiṃ mantento pokkharaṇītīraṃ gantvā supupphitaṃ bālasūriyavaṇṇaṃ udakena anupalittaṃ padumaṃ disvā āha – ‘‘sahāya, imaṃ padumaṃ udake sañjātameva udakena alimpamānaṃ ṭhita’’nti. Atha naṃ bodhisatto ‘‘mahārāja, raññā nāma evarūpena bhavitabba’’nti ovadanto imā gāthā āha –
๖.
6.
‘‘โอทาตมูลํ สุจิวาริสมฺภวํ, ชาตํ ยถา โปกฺขรณีสุ อมฺพุชํ;
‘‘Odātamūlaṃ sucivārisambhavaṃ, jātaṃ yathā pokkharaṇīsu ambujaṃ;
ปทุมํ ยถา อคฺคินิกาสิผาลิมํ, น กทฺทโม น รโช น วาริ ลิมฺปติฯ
Padumaṃ yathā agginikāsiphālimaṃ, na kaddamo na rajo na vāri limpati.
๗.
7.
‘‘เอวมฺปิ โวหารสุจิํ อสาหสํ, วิสุทฺธกมฺมนฺตมเปตปาปกํ;
‘‘Evampi vohārasuciṃ asāhasaṃ, visuddhakammantamapetapāpakaṃ;
น ลิมฺปติ กมฺมกิเลส ตาทิโส, ชาตํ ยถา โปกฺขรณีสุ อมฺพุช’’นฺติฯ
Na limpati kammakilesa tādiso, jātaṃ yathā pokkharaṇīsu ambuja’’nti.
ตตฺถ โอทาตมูลนฺติ ปณฺฑรมูลํฯ อมฺพุชนฺติ ปทุมเสฺสว เววจนํฯ อคฺคินิกาสิผาลิมนฺติ อคฺคินิกาสินา สูริเยน ผาลิตํ วิกสิตนฺติ อโตฺถฯ น กทฺทโม น รโช น วาริ ลิมฺปตีติ เนว กทฺทโม น รโช น อุทกํ ลิมฺปติ, น มเกฺขตีติ อโตฺถฯ ‘‘ลิปฺปติ’’เจฺจว วา ปาโฐ, ภุมฺมเตฺถ วา เอตานิ ปจฺจตฺตวจนานิ, เอเตสุ กทฺทมาทีสุ น ลิปฺปติ, น อลฺลียตีติ อโตฺถฯ โวหารสุจินฺติ โปราณเกหิ ธมฺมิกราชูหิ ลิขาเปตฺวา ฐปิตวินิจฺฉยโวหาเร สุจิํ, อคติคมนํ ปหาย ธเมฺมน วินิจฺฉยการกนฺติ อโตฺถฯ อสาหสนฺติ ธมฺมิกวินิจฺฉเย ฐิตตฺตาเยว สาหสิกกิริยาย วิรหิตํฯ วิสุทฺธกมฺมนฺตนฺติ เตเนว อสาหสิกเฎฺฐน วิสุทฺธกมฺมนฺตํ สจฺจวาทิํ นิโกฺกธํ มชฺฌตฺตํ ตุลาภูตํ โลกสฺสฯ อเปตปาปกนฺติ อปคตปาปกมฺมํฯ น ลิมฺปติ กมฺมกิเลส ตาทิโสติ ตํ ราชานํ ปาณาติปาโต อทินฺนาทานํ กาเมสุมิจฺฉาจาโร มุสาวาโทติ อยํ กมฺมกิเลโส น อลฺลียติฯ กิํการณา? ตาทิโส ชาตํ ยถา โปกฺขรณีสุ อมฺพุชํฯ ตาทิโส หิ ราชา ยถา โปกฺขรณีสุ ชาตํ ปทุมํ อนุปลิตฺตํ, เอวํ อนุปลิโตฺต นาม โหติฯ
Tattha odātamūlanti paṇḍaramūlaṃ. Ambujanti padumasseva vevacanaṃ. Agginikāsiphālimanti agginikāsinā sūriyena phālitaṃ vikasitanti attho. Na kaddamo narajo na vāri limpatīti neva kaddamo na rajo na udakaṃ limpati, na makkhetīti attho. ‘‘Lippati’’cceva vā pāṭho, bhummatthe vā etāni paccattavacanāni, etesu kaddamādīsu na lippati, na allīyatīti attho. Vohārasucinti porāṇakehi dhammikarājūhi likhāpetvā ṭhapitavinicchayavohāre suciṃ, agatigamanaṃ pahāya dhammena vinicchayakārakanti attho. Asāhasanti dhammikavinicchaye ṭhitattāyeva sāhasikakiriyāya virahitaṃ. Visuddhakammantanti teneva asāhasikaṭṭhena visuddhakammantaṃ saccavādiṃ nikkodhaṃ majjhattaṃ tulābhūtaṃ lokassa. Apetapāpakanti apagatapāpakammaṃ. Na limpati kammakilesa tādisoti taṃ rājānaṃ pāṇātipāto adinnādānaṃ kāmesumicchācāro musāvādoti ayaṃ kammakileso na allīyati. Kiṃkāraṇā? Tādiso jātaṃ yathā pokkharaṇīsu ambujaṃ. Tādiso hi rājā yathā pokkharaṇīsu jātaṃ padumaṃ anupalittaṃ, evaṃ anupalitto nāma hoti.
ราชา โพธิสตฺตสฺส โอวาทํ สุตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ธเมฺมน รชฺชํ กาเรโนฺต ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สคฺคปรายโณ อโหสิฯ
Rājā bodhisattassa ovādaṃ sutvā tato paṭṭhāya dhammena rajjaṃ kārento dānādīni puññāni katvā saggaparāyaṇo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ปณฺฑิตามโจฺจ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, paṇḍitāmacco pana ahameva ahosi’’nti.
กุกฺกุชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Kukkujātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๙๖. กุกฺกุชาตกํ • 396. Kukkujātakaṃ