Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๒] ๒. กุกฺกุรชาตกวณฺณนา
[22] 2. Kukkurajātakavaṇṇanā
เย กุกฺกุราติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ญาตตฺถจริยํ อารพฺภ กเถสิฯ สา ทฺวาทสกนิปาเต ภทฺทสาลชาตเก อาวิภวิสฺสติฯ อิทํ ปน วตฺถุํ ปติฎฺฐเปตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yekukkurāti idaṃ satthā jetavane viharanto ñātatthacariyaṃ ārabbha kathesi. Sā dvādasakanipāte bhaddasālajātake āvibhavissati. Idaṃ pana vatthuṃ patiṭṭhapetvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตถารูปํ กมฺมํ ปฎิจฺจ กุกฺกุรโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา อเนกสตกุกฺกุรปริวุโต มหาสุสาเน วสติฯ อเถกทิวสํ ราชา เสตสินฺธวยุตฺตํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ รถํ อารุยฺห อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตตฺถ ทิวสภาคํ กีฬิตฺวา อตฺถงฺคเต สูริเย นครํ ปาวิสิฯ ตสฺส ตํ รถวรตฺตํ ยถานทฺธเมว ราชงฺคเณ ฐปยิํสุ, โส รตฺติภาเค เทเว วสฺสเนฺต ติโนฺตฯ อุปริปาสาทโต โกเลยฺยกสุนขา โอตริตฺวา ตสฺส จมฺมญฺจ นทฺธิญฺจ ขาทิํสุฯ ปุนทิวเส รโญฺญ อาโรเจสุํ ‘‘เทว, นิทฺธมนมุเขน สุนขา ปวิสิตฺวา รถสฺส จมฺมญฺจ นทฺธิญฺจ ขาทิํสู’’ติฯ ราชา สุนขานํ กุชฺฌิตฺวา ‘‘ทิฎฺฐทิฎฺฐฎฺฐาเน สุนเข ฆาเตถา’’ติ อาหฯ ตโต ปฎฺฐาย สุนขานํ มหาพฺยสนํ อุทปาทิฯ เต ทิฎฺฐิทิฎฺฐฎฺฐาเน ฆาติยมานา ปลายิตฺวา สุสานํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ อคมํสุฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tathārūpaṃ kammaṃ paṭicca kukkurayoniyaṃ nibbattitvā anekasatakukkuraparivuto mahāsusāne vasati. Athekadivasaṃ rājā setasindhavayuttaṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ rathaṃ āruyha uyyānaṃ gantvā tattha divasabhāgaṃ kīḷitvā atthaṅgate sūriye nagaraṃ pāvisi. Tassa taṃ rathavarattaṃ yathānaddhameva rājaṅgaṇe ṭhapayiṃsu, so rattibhāge deve vassante tinto. Uparipāsādato koleyyakasunakhā otaritvā tassa cammañca naddhiñca khādiṃsu. Punadivase rañño ārocesuṃ ‘‘deva, niddhamanamukhena sunakhā pavisitvā rathassa cammañca naddhiñca khādiṃsū’’ti. Rājā sunakhānaṃ kujjhitvā ‘‘diṭṭhadiṭṭhaṭṭhāne sunakhe ghātethā’’ti āha. Tato paṭṭhāya sunakhānaṃ mahābyasanaṃ udapādi. Te diṭṭhidiṭṭhaṭṭhāne ghātiyamānā palāyitvā susānaṃ gantvā bodhisattassa santikaṃ agamaṃsu.
โพธิสโตฺต ‘ตุเมฺห พหู สนฺนิปติตา, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ เต ‘‘อเนฺตปุเร กิร รถสฺส จมฺมญฺจ นทฺธิ จ สุนเขหิ ขาทิตา’ติ กุโทฺธ ราชา สุนขวธํ อาณาเปสิ, พหู สุนขา วินสฺสนฺติ, มหาภยํ อุปฺปนฺน’’นฺติ อาหํสุฯ โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อารกฺขฎฺฐาเน พหิ สุนขานํ โอกาโส นตฺถิ, อโนฺตราชนิเวสเน โกเลยฺยกสุนขานเมว ตํ กมฺมํ ภวิสฺสติฯ อิทานิ ปน โจรานํ กิญฺจิ ภยํ นตฺถิ, อโจรา มรณํ ลภนฺติ, ยํนูนาหํ โจเร รโญฺญ ทเสฺสตฺวา ญาติสงฺฆสฺส ชีวิตทานํ ทเทยฺย’’นฺติฯ โส ญาตเก สมสฺสาเสตฺวา ‘‘ตุเมฺห มา ภายิตฺถ, อหํ โว อภยํ อาหริสฺสามิ, ยาว ราชานํ ปสฺสามิ, ตาว อิเธว โหถา’’ติ ปารมิโย อาวเชฺชตฺวา เมตฺตาภาวนํ ปุเรจาริกํ กตฺวา ‘‘มยฺหํ อุปริ เลฑฺฑุํ วา มุคฺครํ วา มา โกจิ ขิปิตุํ อุสฺสหี’’ติ อธิฎฺฐาย เอกโกว อโนฺตนครํ ปาวิสิฯ อถ นํ ทิสฺวา เอกสโตฺตปิ กุชฺฌิตฺวา โอโลเกโนฺต นาม นาโหสิฯ ราชาปิ สุนขวธํ อาณาเปตฺวา สยํ วินิจฺฉเย นิสิโนฺน โหติฯ โพธิสโตฺต ตเตฺถว คนฺตฺวา ปกฺขนฺทิตฺวา รโญฺญ อาสนสฺส เหฎฺฐา ปาวิสิฯ อถ นํ ราชปุริสา นีหริตุํ อารทฺธา, ราชา ปน วาเรสิฯ
Bodhisatto ‘tumhe bahū sannipatitā, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti pucchi. Te ‘‘antepure kira rathassa cammañca naddhi ca sunakhehi khāditā’ti kuddho rājā sunakhavadhaṃ āṇāpesi, bahū sunakhā vinassanti, mahābhayaṃ uppanna’’nti āhaṃsu. Bodhisatto cintesi ‘‘ārakkhaṭṭhāne bahi sunakhānaṃ okāso natthi, antorājanivesane koleyyakasunakhānameva taṃ kammaṃ bhavissati. Idāni pana corānaṃ kiñci bhayaṃ natthi, acorā maraṇaṃ labhanti, yaṃnūnāhaṃ core rañño dassetvā ñātisaṅghassa jīvitadānaṃ dadeyya’’nti. So ñātake samassāsetvā ‘‘tumhe mā bhāyittha, ahaṃ vo abhayaṃ āharissāmi, yāva rājānaṃ passāmi, tāva idheva hothā’’ti pāramiyo āvajjetvā mettābhāvanaṃ purecārikaṃ katvā ‘‘mayhaṃ upari leḍḍuṃ vā muggaraṃ vā mā koci khipituṃ ussahī’’ti adhiṭṭhāya ekakova antonagaraṃ pāvisi. Atha naṃ disvā ekasattopi kujjhitvā olokento nāma nāhosi. Rājāpi sunakhavadhaṃ āṇāpetvā sayaṃ vinicchaye nisinno hoti. Bodhisatto tattheva gantvā pakkhanditvā rañño āsanassa heṭṭhā pāvisi. Atha naṃ rājapurisā nīharituṃ āraddhā, rājā pana vāresi.
โส โถกํ วิสฺสมิตฺวา เหฎฺฐาสนา นิกฺขมิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา ‘‘เทว, ตุเมฺห กุกฺกุเร มาราเปถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, มาราเปมห’’นฺติ ฯ ‘‘โก เนสํ อปราโธ นรินฺทา’’ติ? ‘‘รถสฺส เม ปริวารจมฺมญฺจ นทฺธิญฺจ ขาทิํสู’’ติฯ ‘‘เย ขาทิํสุ, เต ชานาถา’’ติ? ‘‘น ชานามา’’ติฯ ‘‘‘อิเม นาม จมฺมขาทกโจรา’ติ ตถโต อชานิตฺวา ทิฎฺฐทิฎฺฐฎฺฐาเนเยว มาราปนํ น ยุตฺตํ, เทวา’’ติฯ ‘‘รถจมฺมสฺส กุกฺกุเรหิ ขาทิตตฺตา ‘ทิฎฺฐทิเฎฺฐ สเพฺพว มาเรถา’ติ สุนขวธํ อาณาเปสิ’’นฺติฯ ‘‘กิํ ปน โว มนุสฺสา สเพฺพว กุกฺกุเร มาเรนฺติ, อุทาหุ มรณํ อลภนฺตาปิ อตฺถี’’ติ? ‘‘อตฺถิ, อมฺหากํ ฆเร โกเลยฺยกา มรณํ น ลภนฺตี’’ติฯ มหาราช อิทาเนว ตุเมฺห ‘‘รถจมฺมสฺส กุกฺกุเรหิ ขาทิตตฺตา ‘ทิฎฺฐทิเฎฺฐ สเพฺพว มาเรถา’ติ สุนขวธํ อาณาเปสิ’’นฺติ อโวจุตฺถ, อิทานิ ปน ‘‘อมฺหากํ ฆเร โกเลยฺยกา มรณํ น ลภนฺตี’’ติ วเทถฯ ‘‘นนุ เอวํ สเนฺต ตุเมฺห ฉนฺทาทิวเสน อคติคมนํ คจฺฉถ, อคติคมนญฺจ นาม น ยุตฺตํ, น จ ราชธโมฺม, รญฺญา นาม การณคเวสเกน ตุลาสทิเสน ภวิตุํ วฎฺฎติ, อิทานิ จ โกเลยฺยกา มรณํ น ลภนฺติ, ทุพฺพลสุนขาว ลภนฺติ, เอวํ สเนฺต นายํ สพฺพสุนขฆจฺจา, ทุพฺพลฆาติกา นาเมสา’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา มหาสโตฺต มธุรสฺสรํ นิจฺฉาเรตฺวา ‘‘มหาราช, ยํ ตุเมฺห กโรถ, นายํ ธโมฺม’’ติ รโญฺญ ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมํ คาถมาห –
So thokaṃ vissamitvā heṭṭhāsanā nikkhamitvā rājānaṃ vanditvā ‘‘deva, tumhe kukkure mārāpethā’’ti pucchi. ‘‘Āma, mārāpemaha’’nti . ‘‘Ko nesaṃ aparādho narindā’’ti? ‘‘Rathassa me parivāracammañca naddhiñca khādiṃsū’’ti. ‘‘Ye khādiṃsu, te jānāthā’’ti? ‘‘Na jānāmā’’ti. ‘‘‘Ime nāma cammakhādakacorā’ti tathato ajānitvā diṭṭhadiṭṭhaṭṭhāneyeva mārāpanaṃ na yuttaṃ, devā’’ti. ‘‘Rathacammassa kukkurehi khāditattā ‘diṭṭhadiṭṭhe sabbeva mārethā’ti sunakhavadhaṃ āṇāpesi’’nti. ‘‘Kiṃ pana vo manussā sabbeva kukkure mārenti, udāhu maraṇaṃ alabhantāpi atthī’’ti? ‘‘Atthi, amhākaṃ ghare koleyyakā maraṇaṃ na labhantī’’ti. Mahārāja idāneva tumhe ‘‘rathacammassa kukkurehi khāditattā ‘diṭṭhadiṭṭhe sabbeva mārethā’ti sunakhavadhaṃ āṇāpesi’’nti avocuttha, idāni pana ‘‘amhākaṃ ghare koleyyakā maraṇaṃ na labhantī’’ti vadetha. ‘‘Nanu evaṃ sante tumhe chandādivasena agatigamanaṃ gacchatha, agatigamanañca nāma na yuttaṃ, na ca rājadhammo, raññā nāma kāraṇagavesakena tulāsadisena bhavituṃ vaṭṭati, idāni ca koleyyakā maraṇaṃ na labhanti, dubbalasunakhāva labhanti, evaṃ sante nāyaṃ sabbasunakhaghaccā, dubbalaghātikā nāmesā’’ti. Evañca pana vatvā mahāsatto madhurassaraṃ nicchāretvā ‘‘mahārāja, yaṃ tumhe karotha, nāyaṃ dhammo’’ti rañño dhammaṃ desento imaṃ gāthamāha –
๒๒.
22.
‘‘เย กุกฺกุรา ราชกุลมฺหิ วทฺธา, โกเลยฺยกา วณฺณพลูปปนฺนา;
‘‘Ye kukkurā rājakulamhi vaddhā, koleyyakā vaṇṇabalūpapannā;
เตเม น วชฺฌา มยมสฺม วชฺฌา, นายํ สฆจฺจา ทุพฺพลฆาติกาย’’นฺติฯ
Teme na vajjhā mayamasma vajjhā, nāyaṃ saghaccā dubbalaghātikāya’’nti.
ตตฺถ เย กุกฺกุราติ เย สุนขาฯ ยถา หิ ธารุโณฺหปิ ปสฺสาโว ‘‘ปูติมุตฺต’’นฺติ, ตทหุชาโตปิ สิงฺคาโล ‘‘ชรสิงฺคาโล’’ติ, โกมลาปิ คโลจิลตา ‘‘ปูติลตา’’ติ, สุวณฺณวโณฺณปิ กาโย ‘‘ปูติกาโย’’ติ วุจฺจติ, เอวเมวํ วสฺสสติโกปิ สุนโข ‘‘กุกฺกุโร’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมา มหลฺลกา กายพลูปปนฺนาปิ เต ‘‘กุกฺกุรา’’เตฺวว วุตฺตาฯ วทฺธาติ วฑฺฒิตาฯ โกเลยฺยกาติ ราชกุเล ชาตา สมฺภูตา สํวฑฺฒาฯ วณฺณพลูปปนฺนาติ สรีรวเณฺณน เจว กายพเลน จ สมฺปนฺนาฯ เตเม น วชฺฌาติ เต อิเม สสฺสามิกา สารกฺขา น วชฺฌาฯ มยมสฺม วชฺฌาติ อสฺสามิกา อนารกฺขา มยํ วชฺฌา นาม ชาตาฯ นายํ สฆจฺจาติ เอวํ สเนฺต อยํ อวิเสเสน สฆจฺจา นาม น โหติฯ ทุพฺพลฆาติกายนฺติ อยํ ปน ทุพฺพลานํเยว ฆาตนโต ทุพฺพลฆาติกา นาม โหติฯ ราชูหิ นาม โจรา นิคฺคณฺหิตพฺพา, โน อโจราฯ อิธ ปน โจรานํ กิญฺจิ ภยํ นตฺถิ, อโจรา มรณํ ลภนฺติฯ อโห อิมสฺมิํ โลเก อยุตฺตํ วตฺตติ, อโห อธโมฺม วตฺตตีติฯ
Tattha ye kukkurāti ye sunakhā. Yathā hi dhāruṇhopi passāvo ‘‘pūtimutta’’nti, tadahujātopi siṅgālo ‘‘jarasiṅgālo’’ti, komalāpi galocilatā ‘‘pūtilatā’’ti, suvaṇṇavaṇṇopi kāyo ‘‘pūtikāyo’’ti vuccati, evamevaṃ vassasatikopi sunakho ‘‘kukkuro’’ti vuccati. Tasmā mahallakā kāyabalūpapannāpi te ‘‘kukkurā’’tveva vuttā. Vaddhāti vaḍḍhitā. Koleyyakāti rājakule jātā sambhūtā saṃvaḍḍhā. Vaṇṇabalūpapannāti sarīravaṇṇena ceva kāyabalena ca sampannā. Teme na vajjhāti te ime sassāmikā sārakkhā na vajjhā. Mayamasma vajjhāti assāmikā anārakkhā mayaṃ vajjhā nāma jātā. Nāyaṃ saghaccāti evaṃ sante ayaṃ avisesena saghaccā nāma na hoti. Dubbalaghātikāyanti ayaṃ pana dubbalānaṃyeva ghātanato dubbalaghātikā nāma hoti. Rājūhi nāma corā niggaṇhitabbā, no acorā. Idha pana corānaṃ kiñci bhayaṃ natthi, acorā maraṇaṃ labhanti. Aho imasmiṃ loke ayuttaṃ vattati, aho adhammo vattatīti.
ราชา โพธิสตฺตสฺส วจรํ สุตฺวา อาห – ‘‘ชานาสิ ตฺวํ, ปณฺฑิต, อสุเกหิ นาม รถจมฺมํ ขาทิต’’นฺติ? ‘‘อาม, ชานามี’’ติฯ ‘‘เกหิ ขาทิต’’นฺติ? ‘‘ตุมฺหากํ เคเห วสนเกหิ โกเลยฺยกสุนเขหี’’ติฯ ‘‘กถํ เตหิ ขาทิตภาโว ชานิตโพฺพ’’ติ? ‘‘อหํ เตหิ ขาทิตภาวํ ทเสฺสสามี’’ติฯ ‘‘ทเสฺสหิ ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘ตุมฺหากํ ฆเร โกเลยฺยกสุนเข อาหราเปตฺวา โถกํ ตกฺกญฺจ ทพฺพติณานิ จ อาหราเปถา’’ติฯ ราชา ตถา อกาสิฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘อิมานิ ติณานิ ตเกฺกน มทฺทาเปตฺวา เอเต สุนเข ปาเยถา’’ติ อาหฯ ราชา ตถา กตฺวา ปายาเปสิ, ปีตา ปีตา สุนขา สทฺธิํ จเมฺมหิ วมิํสุฯ ราชา ‘‘สพฺพญฺญุพุทฺธสฺส พฺยากรณํ วิยา’’ติ ตุโฎฺฐ โพธิสตฺตสฺส เสตจฺฉเตฺตน ปูชํ อกาสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘ธมฺมํ จร, มหาราช, มาตาปิตูสุ ขตฺติยา’’ติอาทีหิ (ชา. ๒.๑๗.๓๙) เตสกุณชาตเก อาคตาหิ ทสหิ ธมฺมจริยคาถาหิ รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘มหาราช, อิโต ปฎฺฐาย อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ ราชานํ ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา เสตจฺฉตฺตํ รโญฺญว ปฎิอทาสิฯ
Rājā bodhisattassa vacaraṃ sutvā āha – ‘‘jānāsi tvaṃ, paṇḍita, asukehi nāma rathacammaṃ khādita’’nti? ‘‘Āma, jānāmī’’ti. ‘‘Kehi khādita’’nti? ‘‘Tumhākaṃ gehe vasanakehi koleyyakasunakhehī’’ti. ‘‘Kathaṃ tehi khāditabhāvo jānitabbo’’ti? ‘‘Ahaṃ tehi khāditabhāvaṃ dassesāmī’’ti. ‘‘Dassehi paṇḍitā’’ti. ‘‘Tumhākaṃ ghare koleyyakasunakhe āharāpetvā thokaṃ takkañca dabbatiṇāni ca āharāpethā’’ti. Rājā tathā akāsi. Atha naṃ mahāsatto ‘‘imāni tiṇāni takkena maddāpetvā ete sunakhe pāyethā’’ti āha. Rājā tathā katvā pāyāpesi, pītā pītā sunakhā saddhiṃ cammehi vamiṃsu. Rājā ‘‘sabbaññubuddhassa byākaraṇaṃ viyā’’ti tuṭṭho bodhisattassa setacchattena pūjaṃ akāsi. Bodhisatto ‘‘dhammaṃ cara, mahārāja, mātāpitūsu khattiyā’’tiādīhi (jā. 2.17.39) tesakuṇajātake āgatāhi dasahi dhammacariyagāthāhi rañño dhammaṃ desetvā ‘‘mahārāja, ito paṭṭhāya appamatto hohī’’ti rājānaṃ pañcasu sīlesu patiṭṭhāpetvā setacchattaṃ raññova paṭiadāsi.
ราชา มหาสตฺตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา สพฺพสตฺตานํ อภยํ ทตฺวา โพธิสตฺตํ อาทิํ กตฺวา สพฺพสุนขานํ อตฺตโน โภชนสทิสเมว นิจฺจภตฺตํ ปฎฺฐเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐิโต ยาวตายุกํ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา กาลํ กตฺวา เทวโลเก อุปฺปชฺชิฯ กุกฺกุโรวาโท ทส วสฺสสหสฺสานิ ปวตฺติฯ โพธิสโตฺตปิ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Rājā mahāsattassa dhammakathaṃ sutvā sabbasattānaṃ abhayaṃ datvā bodhisattaṃ ādiṃ katvā sabbasunakhānaṃ attano bhojanasadisameva niccabhattaṃ paṭṭhapetvā bodhisattassa ovāde ṭhito yāvatāyukaṃ dānādīni puññāni katvā kālaṃ katvā devaloke uppajji. Kukkurovādo dasa vassasahassāni pavatti. Bodhisattopi yāvatāyukaṃ ṭhatvā yathākammaṃ gato.
สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต อิทาเนว ญาตกานํ อตฺถํ จรติ, ปุเพฺพปิ จริเยวา’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, อวเสสา ปริสา พุทฺธปริสา, กุกฺกุรปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā ‘‘na, bhikkhave, tathāgato idāneva ñātakānaṃ atthaṃ carati, pubbepi cariyevā’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, avasesā parisā buddhaparisā, kukkurapaṇḍito pana ahameva ahosi’’nti.
กุกฺกุรชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Kukkurajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๒. กุกฺกุรชาตกํ • 22. Kukkurajātakaṃ