Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
๑๓. กุลทูสกสิกฺขาปทวณฺณนา
13. Kuladūsakasikkhāpadavaṇṇanā
๔๓๑. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควาติ กุลทูสกสิกฺขาปทํฯ ตตฺถ อสฺสชิปุนพฺพสุกา นามาติ อสฺสชิ เจว ปุนพฺพสุโก จฯ กีฎาคิริสฺมินฺติ เอวํนามเก ชนปเทฯ อาวาสิกา โหนฺตีติ เอตฺถ อาวาโส เอเตสํ อตฺถีติ อาวาสิกาฯ ‘‘อาวาโส’’ติ วิหาโร วุจฺจติฯ โส เยสํ อายโตฺต นวกมฺมกรณปุราณปฎิสงฺขรณาทิภารหารตาย, เต อาวาสิกาฯ เย ปน เกวลํ วิหาเร วสนฺติ, เต เนวาสิกาติ วุจฺจนฺติฯ อิเม อาวาสิกา อเหสุํฯ อลชฺชิโน ปาปภิกฺขูติ นิลฺลชฺชา ลามกภิกฺขู, เต หิ ฉพฺพคฺคิยานํ เชฎฺฐกฉพฺพคฺคิยาฯ
431.Tenasamayena buddho bhagavāti kuladūsakasikkhāpadaṃ. Tattha assajipunabbasukā nāmāti assaji ceva punabbasuko ca. Kīṭāgirisminti evaṃnāmake janapade. Āvāsikā hontīti ettha āvāso etesaṃ atthīti āvāsikā. ‘‘Āvāso’’ti vihāro vuccati. So yesaṃ āyatto navakammakaraṇapurāṇapaṭisaṅkharaṇādibhārahāratāya, te āvāsikā. Ye pana kevalaṃ vihāre vasanti, te nevāsikāti vuccanti. Ime āvāsikā ahesuṃ. Alajjino pāpabhikkhūti nillajjā lāmakabhikkhū, te hi chabbaggiyānaṃ jeṭṭhakachabbaggiyā.
สาวตฺถิยํ กิร ฉ ชนา สหายกา ‘‘กสิกมฺมาทีนิ ทุกฺกรานิ, หนฺท มยํ สมฺมา ปพฺพชาม! ปพฺพชเนฺตหิ จ อุปฺปเนฺน กิเจฺจ นิตฺถรณกฎฺฐาเน ปพฺพชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สมฺมนฺตยิตฺวา ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ สนฺติเก ปพฺพชิํสุฯ เต ปญฺจวสฺสา หุตฺวา มาติกํ ปคุณํ กตฺวา มนฺตยิํสุ ‘‘ชนปโท นาม กทาจิ สุภิโกฺข โหติ กทาจิ ทุพฺภิโกฺข, มยํ มา เอกฎฺฐาเน วสิมฺห, ตีสุ ฐาเนสุ วสามา’’ติฯ ตโต ปณฺฑุกโลหิตเก อาหํสุ – ‘‘อาวุโส, สาวตฺถิ นาม สตฺตปญฺญาสาย กุลสตสหเสฺสหิ อชฺฌาวุตฺถา, อสีติคามสหสฺสปฎิมณฺฑิตานํ ติโยชนสติกานํ ทฺวินฺนํ กาสิโกสลรฎฺฐานํ อายมุขภูตา, ตตฺร ตุเมฺห ธุรฎฺฐาเนเยว ปริเวณานิ กาเรตฺวา อมฺพปนสนาฬิเกราทีนิ โรเปตฺวา ปุเปฺผหิ จ ผเลหิ จ กุลานิ สงฺคณฺหนฺตา กุลทารเก ปพฺพาเชตฺวา ปริสํ วเฑฺฒถา’’ติฯ
Sāvatthiyaṃ kira cha janā sahāyakā ‘‘kasikammādīni dukkarāni, handa mayaṃ sammā pabbajāma! Pabbajantehi ca uppanne kicce nittharaṇakaṭṭhāne pabbajituṃ vaṭṭatī’’ti sammantayitvā dvinnaṃ aggasāvakānaṃ santike pabbajiṃsu. Te pañcavassā hutvā mātikaṃ paguṇaṃ katvā mantayiṃsu ‘‘janapado nāma kadāci subhikkho hoti kadāci dubbhikkho, mayaṃ mā ekaṭṭhāne vasimha, tīsu ṭhānesu vasāmā’’ti. Tato paṇḍukalohitake āhaṃsu – ‘‘āvuso, sāvatthi nāma sattapaññāsāya kulasatasahassehi ajjhāvutthā, asītigāmasahassapaṭimaṇḍitānaṃ tiyojanasatikānaṃ dvinnaṃ kāsikosalaraṭṭhānaṃ āyamukhabhūtā, tatra tumhe dhuraṭṭhāneyeva pariveṇāni kāretvā ambapanasanāḷikerādīni ropetvā pupphehi ca phalehi ca kulāni saṅgaṇhantā kuladārake pabbājetvā parisaṃ vaḍḍhethā’’ti.
เมตฺติยภูมชเก อาหํสุ – ‘‘อาวุโส, ราชคหํ นาม อฎฺฐารสหิ มนุสฺสโกฎีหิ อชฺฌาวุตฺถํ อสีติคามสหสฺสปฎิมณฺฑิตานํ ติโยชนสติกานํ ทฺวินฺนํ องฺคมคธรฎฺฐานํ อายมุขภูตํ, ตตฺร ตุเมฺห ธุรฎฺฐาเนเยว…เป.… ปริสํ วเฑฺฒถา’’ติฯ
Mettiyabhūmajake āhaṃsu – ‘‘āvuso, rājagahaṃ nāma aṭṭhārasahi manussakoṭīhi ajjhāvutthaṃ asītigāmasahassapaṭimaṇḍitānaṃ tiyojanasatikānaṃ dvinnaṃ aṅgamagadharaṭṭhānaṃ āyamukhabhūtaṃ, tatra tumhe dhuraṭṭhāneyeva…pe… parisaṃ vaḍḍhethā’’ti.
อสฺสชิปุนพฺพสุเก อาหํสุ – ‘‘อาวุโส, กีฎาคิริ นาม ทฺวีหิ เมเฆหิ อนุคฺคหิโต ตีณิ สสฺสานิ ปสวนฺติ, ตตฺร ตุเมฺห ธุรฎฺฐาเนเยว ปริเวณานิ กาเรตฺวา…เป.… ปริสํ วเฑฺฒถา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ เตสุ เอกเมกสฺส ปกฺขสฺส ปญฺจ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ ปริวารา, เอวํ สมธิกํ ทิยฑฺฒภิกฺขุสหสฺสํ โหติฯ ตตฺร ปณฺฑุกโลหิตกา สปริวารา สีลวโนฺตว ภควตา สทฺธิํ ชนปทจาริกมฺปิ จรนฺติ, เต อกตวตฺถุํ อุปฺปาเทนฺติ, ปญฺญตฺตสิกฺขาปทํ ปน น มทฺทนฺติ, อิตเร สเพฺพ อลชฺชิโน อกตวตฺถุญฺจ อุปฺปาเทนฺติ, ปญฺญตฺตสิกฺขาปทญฺจ มทฺทนฺติ, เตน วุตฺตํ – ‘‘อลชฺชิโน ปาปภิกฺขู’’ติฯ
Assajipunabbasuke āhaṃsu – ‘‘āvuso, kīṭāgiri nāma dvīhi meghehi anuggahito tīṇi sassāni pasavanti, tatra tumhe dhuraṭṭhāneyeva pariveṇāni kāretvā…pe… parisaṃ vaḍḍhethā’’ti. Te tathā akaṃsu. Tesu ekamekassa pakkhassa pañca pañca bhikkhusatāni parivārā, evaṃ samadhikaṃ diyaḍḍhabhikkhusahassaṃ hoti. Tatra paṇḍukalohitakā saparivārā sīlavantova bhagavatā saddhiṃ janapadacārikampi caranti, te akatavatthuṃ uppādenti, paññattasikkhāpadaṃ pana na maddanti, itare sabbe alajjino akatavatthuñca uppādenti, paññattasikkhāpadañca maddanti, tena vuttaṃ – ‘‘alajjino pāpabhikkhū’’ti.
เอวรูปนฺติ เอวํชาติกํฯ อนาจารํ อาจรนฺตีติ อนาจริตพฺพํ อาจรนฺติ, อกาตพฺพํ กโรนฺติฯ มาลาวจฺฉนฺติ ตรุณปุปฺผรุกฺขํ, ตรุณกา หิ ปุปฺผรุกฺขาปิ ปุปฺผคจฺฉาปิ มาลาวจฺฉา เตฺวว วุจฺจนฺติ, เต จ อเนกปฺปการํ มาลาวจฺฉํ สยมฺปิ โรเปนฺติ, อเญฺญนปิ โรปาเปนฺติ, เตน วุตฺตํ – ‘‘มาลาวจฺฉํ โรเปนฺติปิ โรปาเปนฺติปี’’ติฯ สิญฺจนฺตีติ สยเมว อุทเกน สิญฺจนฺติฯ สิญฺจาเปนฺตีติ อเญฺญนปิ สิญฺจาเปนฺติฯ
Evarūpanti evaṃjātikaṃ. Anācāraṃ ācarantīti anācaritabbaṃ ācaranti, akātabbaṃ karonti. Mālāvacchanti taruṇapuppharukkhaṃ, taruṇakā hi puppharukkhāpi pupphagacchāpi mālāvacchā tveva vuccanti, te ca anekappakāraṃ mālāvacchaṃ sayampi ropenti, aññenapi ropāpenti, tena vuttaṃ – ‘‘mālāvacchaṃ ropentipi ropāpentipī’’ti. Siñcantīti sayameva udakena siñcanti. Siñcāpentīti aññenapi siñcāpenti.
เอตฺถ ปน อกปฺปิยโวหาโร กปฺปิยโวหาโร ปริยาโย โอภาโส นิมิตฺตกมฺมนฺติ อิมานิ ปญฺจ ชานิตพฺพานิฯ ตตฺถ อกปฺปิยโวหาโร นาม อลฺลหริตานํ โกฎฺฎนํ โกฎฺฎาปนํ, อาวาฎสฺส ขณนํ ขณาปนํ, มาลาวจฺฉสฺส โรปนํ โรปาปนํ, อาฬิยา พนฺธนํ พนฺธาปนํ, อุทกสฺส เสจนํ เสจาปนํ, มาติกาย สมฺมุขกรณํ กปฺปิยอุทกสิญฺจนํ หตฺถมุขปาทโธวนนฺหาโนทกสิญฺจนนฺติฯ กปฺปิยโวหาโร นาม ‘‘อิมํ รุกฺขํ ชาน, อิมํ อาวาฎํ ชาน, อิมํ มาลาวจฺฉํ ชาน, เอตฺถ อุทกํ ชานา’’ติ วจนํ สุกฺขมาติกาย อุชุกรณญฺจฯ ปริยาโย นาม ‘‘ปณฺฑิเตน นาม มาลาวจฺฉาทโย โรปาเปตพฺพา นจิรเสฺสว อุปการาย สํวตฺตนฺตี’’ติอาทิวจนํฯ โอภาโส นาม กุทาลขณิตฺตาทีนิ จ มาลาวเจฺฉ จ คเหตฺวา ฐานํ, เอวํ ฐิตญฺหิ สามเณราทโย ทิสฺวา เถโร การาเปตุกาโมติ คนฺตฺวา กโรนฺติฯ นิมิตฺตกมฺมํ นาม กุทาล-ขณิตฺติ-วาสิ-ผรสุ-อุทกภาชนานิ อาหริตฺวา สมีเป ฐปนํฯ
Ettha pana akappiyavohāro kappiyavohāro pariyāyo obhāso nimittakammanti imāni pañca jānitabbāni. Tattha akappiyavohāro nāma allaharitānaṃ koṭṭanaṃ koṭṭāpanaṃ, āvāṭassa khaṇanaṃ khaṇāpanaṃ, mālāvacchassa ropanaṃ ropāpanaṃ, āḷiyā bandhanaṃ bandhāpanaṃ, udakassa secanaṃ secāpanaṃ, mātikāya sammukhakaraṇaṃ kappiyaudakasiñcanaṃ hatthamukhapādadhovananhānodakasiñcananti. Kappiyavohāro nāma ‘‘imaṃ rukkhaṃ jāna, imaṃ āvāṭaṃ jāna, imaṃ mālāvacchaṃ jāna, ettha udakaṃ jānā’’ti vacanaṃ sukkhamātikāya ujukaraṇañca. Pariyāyo nāma ‘‘paṇḍitena nāma mālāvacchādayo ropāpetabbā nacirasseva upakārāya saṃvattantī’’tiādivacanaṃ. Obhāso nāma kudālakhaṇittādīni ca mālāvacche ca gahetvā ṭhānaṃ, evaṃ ṭhitañhi sāmaṇerādayo disvā thero kārāpetukāmoti gantvā karonti. Nimittakammaṃ nāma kudāla-khaṇitti-vāsi-pharasu-udakabhājanāni āharitvā samīpe ṭhapanaṃ.
อิมานิ ปญฺจปิ กุลสงฺคหตฺถาย โรปเน น วฎฺฎนฺติ, ผลปริโภคตฺถาย กปฺปิยากปฺปิยโวหารทฺวยเมว น วฎฺฎติ, อิตรตฺตยํ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘กปฺปิยโวหาโรปิ วฎฺฎติฯ ยญฺจ อตฺตโน ปริโภคตฺถาย วฎฺฎติ, ตํ อญฺญปุคฺคลสฺส วา สงฺฆสฺส วา เจติยสฺส วา อตฺถายปิ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ
Imāni pañcapi kulasaṅgahatthāya ropane na vaṭṭanti, phalaparibhogatthāya kappiyākappiyavohāradvayameva na vaṭṭati, itarattayaṃ vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘kappiyavohāropi vaṭṭati. Yañca attano paribhogatthāya vaṭṭati, taṃ aññapuggalassa vā saṅghassa vā cetiyassa vā atthāyapi vaṭṭatī’’ti vuttaṃ.
อารามตฺถาย ปน วนตฺถายจ ฉายตฺถาย จ อกปฺปิยโวหารมตฺตเมว น จ วฎฺฎติ, เสสํ วฎฺฎติ, น เกวลญฺจ เสสํ ยํกิญฺจิ มาติกมฺปิ อุชุํ กาตุํ กปฺปิยอุทกํ สิญฺจิตุํ นฺหานโกฎฺฐกํ กตฺวา นฺหายิตุํ หตฺถปาทมุขโธวนุทกานิ จ ตตฺถ ฉเฑฺฑตุมฺปิ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน กุรุนฺทิยญฺจ ‘‘กปฺปิยปถวิยํ สยํ โรเปตุมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ อารามาทิอตฺถาย ปน โรปิตสฺส วา โรปาปิตสฺส วา ผลํ ปริภุญฺชิตุมฺปิ วฎฺฎติฯ
Ārāmatthāya pana vanatthāyaca chāyatthāya ca akappiyavohāramattameva na ca vaṭṭati, sesaṃ vaṭṭati, na kevalañca sesaṃ yaṃkiñci mātikampi ujuṃ kātuṃ kappiyaudakaṃ siñcituṃ nhānakoṭṭhakaṃ katvā nhāyituṃ hatthapādamukhadhovanudakāni ca tattha chaḍḍetumpi vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana kurundiyañca ‘‘kappiyapathaviyaṃ sayaṃ ropetumpi vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Ārāmādiatthāya pana ropitassa vā ropāpitassa vā phalaṃ paribhuñjitumpi vaṭṭati.
โอจินนโอจินาปเน ปกติยาปิ ปาจิตฺติยํฯ กุลทูสนตฺถาย ปน ปาจิตฺติยเญฺจว ทุกฺกฎญฺจฯ คนฺถนาทีสุ จ อุรจฺฉทปริโยสาเนสุ กุลทูสนตฺถาย อญฺญตฺถาย วา กโรนฺตสฺส ทุกฺกฎเมว ฯ กสฺมา? อนาจารตฺตา, ‘‘ปาปสมาจาโร’’ติ เอตฺถ วุตฺตปาปสมาจารตฺตา จฯ อารามาทิอตฺถาย รุกฺขโรปเน วิย วตฺถุปูชนตฺถาย กสฺมา น อนาปตฺตีติ เจ? อนาปตฺติเยวฯ ยถา หิ ตตฺถ กปฺปิยโวหาเรน ปริยายาทีหิ จ อนาปตฺติ ตถา วตฺถุปูชตฺถายปิ อนาปตฺติเยวฯ
Ocinanaocināpane pakatiyāpi pācittiyaṃ. Kuladūsanatthāya pana pācittiyañceva dukkaṭañca. Ganthanādīsu ca uracchadapariyosānesu kuladūsanatthāya aññatthāya vā karontassa dukkaṭameva . Kasmā? Anācārattā, ‘‘pāpasamācāro’’ti ettha vuttapāpasamācārattā ca. Ārāmādiatthāya rukkharopane viya vatthupūjanatthāya kasmā na anāpattīti ce? Anāpattiyeva. Yathā hi tattha kappiyavohārena pariyāyādīhi ca anāpatti tathā vatthupūjatthāyapi anāpattiyeva.
นนุ จ ตตฺถ ‘‘กปฺปิยปถวิยํ สยํ โรเปตุมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตนฺติ? วุตฺตํ, น ปน มหาอฎฺฐกถายํฯ อถาปิ มเญฺญยฺยาสิ อิตราสุ วุตฺตมฺปิ ปมาณํฯ มหาอฎฺฐกถายญฺจ กปฺปิยอุทกเสจนํ วุตฺตํ, ตํ กถนฺติ? ตมฺปิ น วิรุชฺฌติฯ ตตฺร หิ อวิเสเสน ‘‘รุกฺขํ โรเปนฺติปิ โรปาเปนฺติปิ, สิญฺจนฺติปิ สิญฺจาเปนฺติปี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘มาลาวจฺฉ’’นฺติ วทโนฺต ญาเปติ ‘‘กุลสงฺคหตฺถาย ปุปฺผผลูปคเมว สนฺธาเยตํ วุตฺตํ, อญฺญตฺร ปน ปริยาโย อตฺถี’’ติฯ ตสฺมา ตตฺถ ปริยายํ, อิธ จ ปริยายาภาวํ ญตฺวา ยํ อฎฺฐกถาสุ วุตฺตํ, ตํ สุวุตฺตเมวฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Nanu ca tattha ‘‘kappiyapathaviyaṃ sayaṃ ropetumpi vaṭṭatī’’ti vuttanti? Vuttaṃ, na pana mahāaṭṭhakathāyaṃ. Athāpi maññeyyāsi itarāsu vuttampi pamāṇaṃ. Mahāaṭṭhakathāyañca kappiyaudakasecanaṃ vuttaṃ, taṃ kathanti? Tampi na virujjhati. Tatra hi avisesena ‘‘rukkhaṃ ropentipi ropāpentipi, siñcantipi siñcāpentipī’’ti vattabbe ‘‘mālāvaccha’’nti vadanto ñāpeti ‘‘kulasaṅgahatthāya pupphaphalūpagameva sandhāyetaṃ vuttaṃ, aññatra pana pariyāyo atthī’’ti. Tasmā tattha pariyāyaṃ, idha ca pariyāyābhāvaṃ ñatvā yaṃ aṭṭhakathāsu vuttaṃ, taṃ suvuttameva. Vuttañcetaṃ –
‘‘พุเทฺธน ธโมฺม วินโย จ วุโตฺต;
‘‘Buddhena dhammo vinayo ca vutto;
โย ตสฺส ปุเตฺตหิ ตเถว ญาโต;
Yo tassa puttehi tatheva ñāto;
โส เยหิ เตสํ มติมจฺจชนฺตา;
So yehi tesaṃ matimaccajantā;
ยสฺมา ปุเร อฎฺฐกถา อกํสุฯ
Yasmā pure aṭṭhakathā akaṃsu.
‘‘ตสฺมา หิ ยํ อฎฺฐกถาสุ วุตฺตํ;
‘‘Tasmā hi yaṃ aṭṭhakathāsu vuttaṃ;
ตํ วชฺชยิตฺวาน ปมาทเลขํ;
Taṃ vajjayitvāna pamādalekhaṃ;
สพฺพมฺปิ สิกฺขาสุ สคารวานํ;
Sabbampi sikkhāsu sagāravānaṃ;
ยสฺมา ปมาณํ อิธ ปณฺฑิตาน’’นฺติฯ
Yasmā pamāṇaṃ idha paṇḍitāna’’nti.
สพฺพํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ สิยา ยทิ วตฺถุปูชนตฺถายปิ คนฺถานาทีสุ อาปตฺติ, หรณาทีสุ กสฺมา อนาปตฺตีติ? กุลิตฺถีอาทีนํ อตฺถาย หรณโต หรณาธิกาเร หิ วิเสเสตฺวา เต กุลิตฺถีนนฺติอาทิ วุตฺตํ, ตสฺมา พุทฺธาทีนํ อตฺถาย หรนฺตสฺส อนาปตฺติฯ
Sabbaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Tattha siyā yadi vatthupūjanatthāyapi ganthānādīsu āpatti, haraṇādīsu kasmā anāpattīti? Kulitthīādīnaṃ atthāya haraṇato haraṇādhikāre hi visesetvā te kulitthīnantiādi vuttaṃ, tasmā buddhādīnaṃ atthāya harantassa anāpatti.
ตตฺถ เอกโตวณฺฎิกนฺติ ปุปฺผานํ วเณฺฎ เอกโต กตฺวา กตมาลํฯ อุภโตวณฺฎิกนฺติ อุโภหิ ปเสฺสหิ ปุปฺผวเณฺฎ กตฺวา กตมาลํฯ มญฺชริกนฺติอาทีสุ ปน มญฺชรี วิย กตา ปุปฺผวิกติ มญฺชริกาติ วุจฺจติฯ วิธูติกาติ สูจิยา วา สลากาย วา สินฺทุวารปุปฺผาทีนิ วิชฺฌิตฺวา กตาฯ วฎํสโกติ วตํสโกฯ อาเวฬาติ กณฺณิกาฯ อุรจฺฉโทติ หารสทิสํ อุเร ฐปนกปุปฺผทามํฯ อยํ ตาว เอตฺถ ปทวณฺณนาฯ
Tattha ekatovaṇṭikanti pupphānaṃ vaṇṭe ekato katvā katamālaṃ. Ubhatovaṇṭikanti ubhohi passehi pupphavaṇṭe katvā katamālaṃ. Mañjarikantiādīsu pana mañjarī viya katā pupphavikati mañjarikāti vuccati. Vidhūtikāti sūciyā vā salākāya vā sinduvārapupphādīni vijjhitvā katā. Vaṭaṃsakoti vataṃsako. Āveḷāti kaṇṇikā. Uracchadoti hārasadisaṃ ure ṭhapanakapupphadāmaṃ. Ayaṃ tāva ettha padavaṇṇanā.
อยํ ปน อาทิโต ปฎฺฐาย วิตฺถาเรน อาปตฺติวินิจฺฉโยฯ กุลทูสนตฺถาย อกปฺปิยปถวิยํ มาลาวจฺฉํ โรเปนฺตสฺส ปาจิตฺติยเญฺจว ทุกฺกฎญฺจ, ตถา อกปฺปิยโวหาเรน โรปาเปนฺตสฺสฯ กปฺปิยปถวิยํ โรปเนปิ โรปาปเนปิ ทุกฺกฎเมวฯ อุภยตฺถาปิ สกิํ อาณตฺติยา พหุนฺนมฺปิ โรปเน เอกเมว สปาจิตฺติยทุกฺกฎํ วา สุทฺธทุกฺกฎํ วา โหติฯ ปริโภคตฺถาย หิ กปฺปิยภูมิยํ วา อกปฺปิยภูมิยํ วา กปฺปิยโวหาเรน โรปาปเน อนาปตฺติฯ อารามาทิอตฺถายปิ อกปฺปิยปถวิยํ โรเปนฺตสฺส วา อกปฺปิยวจเนน โรปาเปนฺตสฺส วา ปาจิตฺติยํฯ อยํ ปน นโย มหาอฎฺฐกถายํ น สุฎฺฐุ วิภโตฺต, มหาปจฺจริยํ วิภโตฺตติฯ
Ayaṃ pana ādito paṭṭhāya vitthārena āpattivinicchayo. Kuladūsanatthāya akappiyapathaviyaṃ mālāvacchaṃ ropentassa pācittiyañceva dukkaṭañca, tathā akappiyavohārena ropāpentassa. Kappiyapathaviyaṃ ropanepi ropāpanepi dukkaṭameva. Ubhayatthāpi sakiṃ āṇattiyā bahunnampi ropane ekameva sapācittiyadukkaṭaṃ vā suddhadukkaṭaṃ vā hoti. Paribhogatthāya hi kappiyabhūmiyaṃ vā akappiyabhūmiyaṃ vā kappiyavohārena ropāpane anāpatti. Ārāmādiatthāyapi akappiyapathaviyaṃ ropentassa vā akappiyavacanena ropāpentassa vā pācittiyaṃ. Ayaṃ pana nayo mahāaṭṭhakathāyaṃ na suṭṭhu vibhatto, mahāpaccariyaṃ vibhattoti.
สิญฺจนสิญฺจาปเน ปน อกปฺปิยอุทเกน สพฺพตฺถ ปาจิตฺติยํ, กุลทูสนปริโภคตฺถาย ทุกฺกฎมฺปิฯ กปฺปิเยน เตสํเยว ทฺวินฺนมตฺถาย ทุกฺกฎํฯ ปริโภคตฺถาย เจตฺถ กปฺปิยโวหาเรน สิญฺจาปเน อนาปตฺติฯ อาปตฺติฎฺฐาเน ปน ธาราวเจฺฉทวเสน ปโยคพหุลตาย อาปตฺติพหุลตา เวทิตพฺพาฯ
Siñcanasiñcāpane pana akappiyaudakena sabbattha pācittiyaṃ, kuladūsanaparibhogatthāya dukkaṭampi. Kappiyena tesaṃyeva dvinnamatthāya dukkaṭaṃ. Paribhogatthāya cettha kappiyavohārena siñcāpane anāpatti. Āpattiṭṭhāne pana dhārāvacchedavasena payogabahulatāya āpattibahulatā veditabbā.
กุลทูสนตฺถาย โอจินเน ปุปฺผคณนาย ทุกฺกฎปาจิตฺติยานิ อญฺญตฺถ ปาจิตฺติยาเนวฯ พหูนิ ปน ปุปฺผานิ เอกปโยเคน โอจินโนฺต ปโยควเสน กาเรตโพฺพฯ โอจินาปเน กุลทูสนตฺถาย สกิํ อาณโตฺต พหุมฺปิ โอจินติ, เอกเมว สปาจิตฺติยทุกฺกฎํ, อญฺญตฺร ปาจิตฺติยเมวฯ
Kuladūsanatthāya ocinane pupphagaṇanāya dukkaṭapācittiyāni aññattha pācittiyāneva. Bahūni pana pupphāni ekapayogena ocinanto payogavasena kāretabbo. Ocināpane kuladūsanatthāya sakiṃ āṇatto bahumpi ocinati, ekameva sapācittiyadukkaṭaṃ, aññatra pācittiyameva.
คนฺถนาทีสุ สพฺพาปิ ฉ ปุปฺผวิกติโย เวทิตพฺพา – คนฺถิมํ, โคปฺผิมํ, เวธิมํ, เวฐิมํ, ปูริมํ, วายิมนฺติฯ ตตฺถ ‘‘คนฺถิมํ’’ นาม สทณฺฑเกสุ วา อุปฺปลปทุมาทีสุ อเญฺญสุ วา ทีฆวเณฺฎสุ ปุเปฺผสุ ทฎฺฐพฺพํฯ ทณฺฑเกน ทณฺฑกํ วเณฺฎน วา วณฺฎํ คเนฺถตฺวา กตเมว หิ คนฺถิมํฯ ตํ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา กาตุมฺปิ อกปฺปิยวจเนน การาเปตุมฺปิ น วฎฺฎติฯ เอวํ ชาน, เอวํ กเต โสเภยฺย, ยถา เอตานิ ปุปฺผานิ น วิกิริยนฺติ ตถา กโรหีติอาทินา ปน กปฺปิยวจเนน กาเรตุํ วฎฺฎติฯ
Ganthanādīsu sabbāpi cha pupphavikatiyo veditabbā – ganthimaṃ, gopphimaṃ, vedhimaṃ, veṭhimaṃ, pūrimaṃ, vāyimanti. Tattha ‘‘ganthimaṃ’’ nāma sadaṇḍakesu vā uppalapadumādīsu aññesu vā dīghavaṇṭesu pupphesu daṭṭhabbaṃ. Daṇḍakena daṇḍakaṃ vaṇṭena vā vaṇṭaṃ ganthetvā katameva hi ganthimaṃ. Taṃ bhikkhussa vā bhikkhuniyā vā kātumpi akappiyavacanena kārāpetumpi na vaṭṭati. Evaṃ jāna, evaṃ kate sobheyya, yathā etāni pupphāni na vikiriyanti tathā karohītiādinā pana kappiyavacanena kāretuṃ vaṭṭati.
‘‘โคปฺผิมํ’’ นาม สุเตฺตน วา วากาทีหิ วา วสฺสิกปุปฺผาทีนํ เอกโตวณฺฎิกอุภโตวณฺฎิกมาลาวเสน โคปฺผนํ, วากํ วา รชฺชุํ วา ทิคุณํ กตฺวา ตตฺถ อวณฺฎกานิ นีปปุปฺผาทีนิ ปเวเสตฺวา ปฎิปาฎิยา พนฺธนฺติ, เอตมฺปิ โคปฺผิมเมวฯ สพฺพํ ปุริมนเยเนว น วฎฺฎติฯ
‘‘Gopphimaṃ’’ nāma suttena vā vākādīhi vā vassikapupphādīnaṃ ekatovaṇṭikaubhatovaṇṭikamālāvasena gopphanaṃ, vākaṃ vā rajjuṃ vā diguṇaṃ katvā tattha avaṇṭakāni nīpapupphādīni pavesetvā paṭipāṭiyā bandhanti, etampi gopphimameva. Sabbaṃ purimanayeneva na vaṭṭati.
‘‘เวธิมํ’’ นาม สวณฺฎกานิ วสฺสิกปุปฺผาทีนิ วเณฺฎสุ, อวณฺฎกานิ วา วกุลปุปฺผาทีนิ อโนฺตฉิเทฺท สูจิตาลหีราทีหิ วินิวิชฺฌิตฺวา อาวุนนฺติ, เอตํ เวธิมํ นาม, ตมฺปิ ปุริมนเยเนว น วฎฺฎติฯ เกจิ ปน กทลิกฺขนฺธมฺหิ กณฺฎเก วา ตาลหีราทีนิ วา ปเวเสตฺวา ตตฺถ ปุปฺผานิ วิชฺฌิตฺวา ฐเปนฺติ, เกจิ กณฺฎกสาขาสุ, เกจิ ปุปฺผจฺฉตฺตปุปฺผกูฎาคารกรณตฺถํ ฉเตฺต จ ภิตฺติยญฺจ ปเวเสตฺวา ฐปิตกณฺฎเกสุ, เกจิ ธมฺมาสนวิตาเน พทฺธกณฺฎเกสุ, เกจิ กณิการปุปฺผาทีนิ สลากาหิ วิชฺฌนฺติ, ฉตฺตาธิฉตฺตํ วิย จ กโรนฺติ, ตํ อติโอฬาริกเมว ฯ ปุปฺผวิชฺฌนตฺถํ ปน ธมฺมาสนวิตาเน กณฺฎกมฺปิ พนฺธิตุํ กณฺฎกาทีหิ วา เอกปุปฺผมฺปิ วิชฺฌิตุํ ปุเปฺผเยว วา ปุปฺผํ ปเวเสตุํ น วฎฺฎติฯ ชาลวิตานเวทิก-นาคทนฺตก ปุปฺผปฎิจฺฉกตาลปณฺณคุฬกาทีนํ ปน ฉิเทฺทสุ อโสกปิณฺฑิยา วา อนฺตเรสุ ปุปฺผานิ ปเวเสตุํ น โทโสฯ เอตํ เวธิมํ นาม น โหติฯ ธมฺมรชฺชุยมฺปิ เอเสว นโยฯ
‘‘Vedhimaṃ’’ nāma savaṇṭakāni vassikapupphādīni vaṇṭesu, avaṇṭakāni vā vakulapupphādīni antochidde sūcitālahīrādīhi vinivijjhitvā āvunanti, etaṃ vedhimaṃ nāma, tampi purimanayeneva na vaṭṭati. Keci pana kadalikkhandhamhi kaṇṭake vā tālahīrādīni vā pavesetvā tattha pupphāni vijjhitvā ṭhapenti, keci kaṇṭakasākhāsu, keci pupphacchattapupphakūṭāgārakaraṇatthaṃ chatte ca bhittiyañca pavesetvā ṭhapitakaṇṭakesu, keci dhammāsanavitāne baddhakaṇṭakesu, keci kaṇikārapupphādīni salākāhi vijjhanti, chattādhichattaṃ viya ca karonti, taṃ atioḷārikameva . Pupphavijjhanatthaṃ pana dhammāsanavitāne kaṇṭakampi bandhituṃ kaṇṭakādīhi vā ekapupphampi vijjhituṃ puppheyeva vā pupphaṃ pavesetuṃ na vaṭṭati. Jālavitānavedika-nāgadantaka pupphapaṭicchakatālapaṇṇaguḷakādīnaṃ pana chiddesu asokapiṇḍiyā vā antaresu pupphāni pavesetuṃ na doso. Etaṃ vedhimaṃ nāma na hoti. Dhammarajjuyampi eseva nayo.
‘‘เวฐิมํ’’ นาม ปุปฺผทามปุปฺผหตฺถเกสุ ทฎฺฐพฺพํฯ เกจิ หิ มตฺถกทามํ กโรนฺตา เหฎฺฐา ฆฎกาการํ ทเสฺสตุํ ปุเปฺผหิ เวเฐนฺติ, เกจิ อฎฺฐฎฺฐ วา ทส ทส วา อุปฺปลปุปฺผาทีนิ สุเตฺตน วา วาเกน วา ทณฺฑเกสุ พนฺธิตฺวา อุปฺปลหตฺถเก วา ปทุมหตฺถเก วา กโรนฺติ, ตํ สพฺพํ ปุริมนเยเนว น วฎฺฎติฯ สามเณเรหิ อุปฺปาเฎตฺวา ถเล ฐปิตอุปฺปลาทีนิ กาสาเวน ภณฺฑิกมฺปิ พนฺธิตุํ น วฎฺฎติฯ เตสํเยว ปน วาเกน วา ทณฺฑเกน วา พนฺธิตุํ อํสภณฺฑิกํ วา กาตุํ วฎฺฎติฯ อํสภณฺฑิกา นาม ขเนฺธ ฐปิตกาสาวสฺส อุโภ อเนฺต อาหริตฺวา ภณฺฑิกํ กตฺวา ตสฺมิํ ปสิพฺพเก วิย ปุปฺผานิ ปกฺขิปนฺติ, อยํ วุจฺจติ อํสภณฺฑิกา, เอตํ กาตุํ วฎฺฎติฯ ทณฺฑเกหิ ปทุมินิปณฺณํ วิชฺฌิตฺวา อุปฺปลาทีนิ ปเณฺณน เวเฐตฺวา คณฺหนฺติ, ตตฺราปิ ปุปฺผานํ อุปริ ปทุมินิปณฺณเมว พนฺธิตุํ วฎฺฎติฯ เหฎฺฐา ทณฺฑกํ ปน พนฺธิตุํ น วฎฺฎติฯ
‘‘Veṭhimaṃ’’ nāma pupphadāmapupphahatthakesu daṭṭhabbaṃ. Keci hi matthakadāmaṃ karontā heṭṭhā ghaṭakākāraṃ dassetuṃ pupphehi veṭhenti, keci aṭṭhaṭṭha vā dasa dasa vā uppalapupphādīni suttena vā vākena vā daṇḍakesu bandhitvā uppalahatthake vā padumahatthake vā karonti, taṃ sabbaṃ purimanayeneva na vaṭṭati. Sāmaṇerehi uppāṭetvā thale ṭhapitauppalādīni kāsāvena bhaṇḍikampi bandhituṃ na vaṭṭati. Tesaṃyeva pana vākena vā daṇḍakena vā bandhituṃ aṃsabhaṇḍikaṃ vā kātuṃ vaṭṭati. Aṃsabhaṇḍikā nāma khandhe ṭhapitakāsāvassa ubho ante āharitvā bhaṇḍikaṃ katvā tasmiṃ pasibbake viya pupphāni pakkhipanti, ayaṃ vuccati aṃsabhaṇḍikā, etaṃ kātuṃ vaṭṭati. Daṇḍakehi paduminipaṇṇaṃ vijjhitvā uppalādīni paṇṇena veṭhetvā gaṇhanti, tatrāpi pupphānaṃ upari paduminipaṇṇameva bandhituṃ vaṭṭati. Heṭṭhā daṇḍakaṃ pana bandhituṃ na vaṭṭati.
‘‘ปูริมํ’’ นาม มาลาคุเณ จ ปุปฺผปเฎ จ ทฎฺฐพฺพํฯ โย หิ มาลาคุเณน เจติยํ วา โพธิํ วา เวทิกํ วา ปริกฺขิปโนฺต ปุน อาเนตฺวา ปูริมฐานํ อติกฺกาเมติ, เอตฺตาวตาปิ ปูริมํ นาม โหติฯ โก ปน วาโท อเนกกฺขตฺตุํ ปริกฺขิปนฺตสฺส, นาคทนฺต-กนฺตเรหิ ปเวเสตฺวา หรโนฺต โอลมฺพกํ กตฺวา ปุน นาคทนฺตกํ ปริกฺขิปติ, เอตมฺปิ ปูริมํ นามฯ นาคทนฺตเก ปน ปุปฺผวลยํ ปเวเสตุํ วฎฺฎติฯ มาลาคุเณหิ ปุปฺผปฎํ กโรนฺติฯ ตตฺราปิ เอกเมว มาลาคุณํ หริตุํ วฎฺฎติฯ ปุน ปจฺจาหรโต ปูริมเมว โหติ, ตํ สพฺพํ ปุริมนเยเนว น วฎฺฎติฯ มาลาคุเณหิ ปน พหูหิปิ กตํ ปุปฺผทามํ ลภิตฺวา อาสนมตฺถกาทีสุ พนฺธิตุํ วฎฺฎติฯ อติทีฆํ ปน มาลาคุณํ เอกวารํ หริตฺวา วา ปริกฺขิปิตฺวา วา ปุน อญฺญสฺส ภิกฺขุโน ทาตุํ วฎฺฎติฯ เตนาปิ ตเถว กาตุํ วฎฺฎติฯ
‘‘Pūrimaṃ’’ nāma mālāguṇe ca pupphapaṭe ca daṭṭhabbaṃ. Yo hi mālāguṇena cetiyaṃ vā bodhiṃ vā vedikaṃ vā parikkhipanto puna ānetvā pūrimaṭhānaṃ atikkāmeti, ettāvatāpi pūrimaṃ nāma hoti. Ko pana vādo anekakkhattuṃ parikkhipantassa, nāgadanta-kantarehi pavesetvā haranto olambakaṃ katvā puna nāgadantakaṃ parikkhipati, etampi pūrimaṃ nāma. Nāgadantake pana pupphavalayaṃ pavesetuṃ vaṭṭati. Mālāguṇehi pupphapaṭaṃ karonti. Tatrāpi ekameva mālāguṇaṃ harituṃ vaṭṭati. Puna paccāharato pūrimameva hoti, taṃ sabbaṃ purimanayeneva na vaṭṭati. Mālāguṇehi pana bahūhipi kataṃ pupphadāmaṃ labhitvā āsanamatthakādīsu bandhituṃ vaṭṭati. Atidīghaṃ pana mālāguṇaṃ ekavāraṃ haritvā vā parikkhipitvā vā puna aññassa bhikkhuno dātuṃ vaṭṭati. Tenāpi tatheva kātuṃ vaṭṭati.
‘‘วายิมํ’’ นาม ปุปฺผชาลปุปฺผปฎปุปฺผรูเปสุ ทฎฺฐพฺพํฯ เจติเยสุ ปุปฺผชาลํ กโรนฺตสฺส เอกเมกมฺหิ ชาลจฺฉิเทฺท ทุกฺกฎํฯ ภิตฺติจฺฉตฺตโพธิตฺถมฺภาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ปุปฺผปฎํ ปน ปเรหิ ปูริตมฺปิ วายิตุํ น ลพฺภติฯ โคปฺผิมปุเปฺผเหว หตฺถิอสฺสาทิรูปกานิ กโรนฺติ, ตานิปิ วายิมฎฺฐาเน ติฎฺฐนฺติฯ ปุริมนเยเนว สพฺพํ น วฎฺฎติฯ อเญฺญหิ กตปริเจฺฉเท ปน ปุปฺผานิ ฐเปเนฺตน หตฺถิอสฺสาทิรูปกมฺปิ กาตุํ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน กลมฺพเกน อฑฺฒจนฺทเกน จ สทฺธิํ อฎฺฐปุปฺผวิกติโย วุตฺตาฯ ตตฺถ กลมฺพโกติ อฑฺฒจนฺทกนฺตเร ฆฎิกทามโอลมฺพโก วุโตฺตฯ ‘‘อฑฺฒจนฺทโก’’ติ อฑฺฒจนฺทากาเรน มาลาคุณปริเกฺขโปฯ ตทุภยมฺปิ ปูริเมเยว ปวิฎฺฐํฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘เทฺว ตโย มาลาคุเณ เอกโต กตฺวา ปุปฺผทามกรณมฺปิ วายิมํเยวา’’ติ วุตฺตํฯ ตมฺปิ อิธ ปูริมฎฺฐาเนเยว ปวิฎฺฐํ, น เกวลญฺจ ปุปฺผคุฬทามเมว ปิฎฺฐมยทามมฺปิ เคณฺฑุกปุปฺผทามมฺปิ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํ, ขรปตฺตทามมฺปิ สิกฺขาปทสฺส สาธารณตฺตา ภิกฺขูนมฺปิ ภิกฺขุนีนมฺปิ เนว กาตุํ น การาเปตุํ วฎฺฎติฯ ปูชานิมิตฺตํ ปน กปฺปิยวจนํ สพฺพตฺถ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ปริยายโอภาสนิมิตฺตกมฺมานิ วฎฺฎนฺติเยวฯ
‘‘Vāyimaṃ’’ nāma pupphajālapupphapaṭapuppharūpesu daṭṭhabbaṃ. Cetiyesu pupphajālaṃ karontassa ekamekamhi jālacchidde dukkaṭaṃ. Bhitticchattabodhitthambhādīsupi eseva nayo. Pupphapaṭaṃ pana parehi pūritampi vāyituṃ na labbhati. Gopphimapuppheheva hatthiassādirūpakāni karonti, tānipi vāyimaṭṭhāne tiṭṭhanti. Purimanayeneva sabbaṃ na vaṭṭati. Aññehi kataparicchede pana pupphāni ṭhapentena hatthiassādirūpakampi kātuṃ vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana kalambakena aḍḍhacandakena ca saddhiṃ aṭṭhapupphavikatiyo vuttā. Tattha kalambakoti aḍḍhacandakantare ghaṭikadāmaolambako vutto. ‘‘Aḍḍhacandako’’ti aḍḍhacandākārena mālāguṇaparikkhepo. Tadubhayampi pūrimeyeva paviṭṭhaṃ. Kurundiyaṃ pana ‘‘dve tayo mālāguṇe ekato katvā pupphadāmakaraṇampi vāyimaṃyevā’’ti vuttaṃ. Tampi idha pūrimaṭṭhāneyeva paviṭṭhaṃ, na kevalañca pupphaguḷadāmameva piṭṭhamayadāmampi geṇḍukapupphadāmampi kurundiyaṃ vuttaṃ, kharapattadāmampi sikkhāpadassa sādhāraṇattā bhikkhūnampi bhikkhunīnampi neva kātuṃ na kārāpetuṃ vaṭṭati. Pūjānimittaṃ pana kappiyavacanaṃ sabbattha vattuṃ vaṭṭati. Pariyāyaobhāsanimittakammāni vaṭṭantiyeva.
ตุวเฎฺฎนฺตีติ นิปชฺชนฺติฯ ลาเสนฺตีติ ปีติยา อุปฺปิลวมานา วิย อุฎฺฐหิตฺวา ลาสิยนาฎกํ นาเฎนฺติ, เรจกํ เทนฺติฯ นจฺจนฺติยาปิ นจฺจนฺตีติ ยทา นาฎกิตฺถี นจฺจติ, ตทา เตปิ ตสฺสา ปุรโต วา ปจฺฉโต วา คจฺฉนฺตา นจฺจนฺติฯ นจฺจนฺติยาปิ คายนฺตีติ ยทา สา นจฺจติ, ตทา นจฺจานุรูปํ คายนฺติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อฎฺฐปเทปิ กีฬนฺตีติ อฎฺฐปทผลเก ชูตํ กีฬนฺติฯ ตถา ทสปเท, อากาเสปีติ อฎฺฐปททสปเทสุ วิย อากาเสเยว กีฬนฺติฯ ปริหารปเถปีติ ภูมิยํ นานาปถมณฺฑลํ กตฺวา ตตฺถ ปริหริตพฺพปถํ ปริหรนฺตา กีฬนฺติฯ สนฺติกายปิ กีฬนฺตีติ สนฺติกกีฬาย กีฬนฺติ, เอกชฺฌํ ฐปิตา สาริโย วา ปาสาณสกฺขราโย วา อจาเลนฺตา นเขเนว อปเนนฺติ จ อุปเนนฺติ จ, สเจ ตตฺถ กาจิ จลติ, ปราชโย โหติฯ ขลิกายาติ ชูตผลเก ปาสกกีฬาย กีฬนฺติฯ ฆฎิกายาติ ฆฎิกา วุจฺจติ ทณฺฑกกีฬา, ตาย กีฬนฺติฯ ทีฆทณฺฑเกน รสฺสทณฺฑกํ ปหรนฺตา วิจรนฺติฯ
Tuvaṭṭentīti nipajjanti. Lāsentīti pītiyā uppilavamānā viya uṭṭhahitvā lāsiyanāṭakaṃ nāṭenti, recakaṃ denti. Naccantiyāpi naccantīti yadā nāṭakitthī naccati, tadā tepi tassā purato vā pacchato vā gacchantā naccanti. Naccantiyāpi gāyantīti yadā sā naccati, tadā naccānurūpaṃ gāyanti. Esa nayo sabbattha. Aṭṭhapadepi kīḷantīti aṭṭhapadaphalake jūtaṃ kīḷanti. Tathā dasapade, ākāsepīti aṭṭhapadadasapadesu viya ākāseyeva kīḷanti. Parihārapathepīti bhūmiyaṃ nānāpathamaṇḍalaṃ katvā tattha pariharitabbapathaṃ pariharantā kīḷanti. Santikāyapi kīḷantīti santikakīḷāya kīḷanti, ekajjhaṃ ṭhapitā sāriyo vā pāsāṇasakkharāyo vā acālentā nakheneva apanenti ca upanenti ca, sace tattha kāci calati, parājayo hoti. Khalikāyāti jūtaphalake pāsakakīḷāya kīḷanti. Ghaṭikāyāti ghaṭikā vuccati daṇḍakakīḷā, tāya kīḷanti. Dīghadaṇḍakena rassadaṇḍakaṃ paharantā vicaranti.
สลากหเตฺถนาติ ลาขาย วา มญฺชฎฺฐิยา วา ปิฎฺฐอุทเก วา สลากหตฺถํ เตเมตฺวา ‘‘กิํ โหตู’’ติ ภูมิยํ วา ภิตฺติยํ วา ตํ ปหริตฺวา หตฺถิอสฺสาทีรูปานิ ทเสฺสนฺตา กีฬนฺติฯ อเกฺขนาติ คุเฬนฯ ปงฺคจีเรนาติ ปงฺคจีรํ วุจฺจติ ปณฺณนาฬิกา, ตํ ธมนฺตา กีฬนฺติฯ วงฺกเกนาติ คามทารกานํ กีฬนเกน ขุทฺทกนงฺคเลนฯ โมกฺขจิกายาติ โมกฺขจิกา วุจฺจติ สมฺปริวตฺตกกีฬา, อากาเส วา ทณฺฑํ คเหตฺวา, ภูมิยํ วา สีสํ ฐเปตฺวา เหฎฺฐุปริยภาเวน ปริวตฺตนฺตา กีฬนฺตีติ อโตฺถฯ จิงฺคุลเกนาติ จิงฺคุลกํ วุจฺจติ ตาลปณฺณาทีหิ กตํ วาตปฺปหาเรน ปริพฺภมนจกฺกํ, เตน กีฬนฺติฯ ปตฺตาฬฺหเกนาติ ปตฺตาฬฺหกํ วุจฺจติ ปณฺณนาฬิ, ตาย วาลิกาทีนิ มินนฺตา กีฬนฺติฯ รถเกนาติ ขุทฺทกรเถนฯ ธนุเกนาติ ขุทฺทกธนุนาฯ
Salākahatthenāti lākhāya vā mañjaṭṭhiyā vā piṭṭhaudake vā salākahatthaṃ temetvā ‘‘kiṃ hotū’’ti bhūmiyaṃ vā bhittiyaṃ vā taṃ paharitvā hatthiassādīrūpāni dassentā kīḷanti. Akkhenāti guḷena. Paṅgacīrenāti paṅgacīraṃ vuccati paṇṇanāḷikā, taṃ dhamantā kīḷanti. Vaṅkakenāti gāmadārakānaṃ kīḷanakena khuddakanaṅgalena. Mokkhacikāyāti mokkhacikā vuccati samparivattakakīḷā, ākāse vā daṇḍaṃ gahetvā, bhūmiyaṃ vā sīsaṃ ṭhapetvā heṭṭhupariyabhāvena parivattantā kīḷantīti attho. Ciṅgulakenāti ciṅgulakaṃ vuccati tālapaṇṇādīhi kataṃ vātappahārena paribbhamanacakkaṃ, tena kīḷanti. Pattāḷhakenāti pattāḷhakaṃ vuccati paṇṇanāḷi, tāya vālikādīni minantā kīḷanti. Rathakenāti khuddakarathena. Dhanukenāti khuddakadhanunā.
อกฺขริกายาติ อกฺขริกา วุจฺจติ อากาเส วา ปิฎฺฐิยํ วา อกฺขรชานนกีฬา, ตาย กีฬนฺติฯ มเนสิกายาติ มเนสิกา วุจฺจติ มนสา จินฺติตชานนกีฬา, ตาย กีฬนฺติฯ ยถาวเชฺชนาติ ยถาวชฺชํ วุจฺจติ กาณกุณิกขญฺชาทีนํ ยํ ยํ วชฺชํ ตํ ตํ ปโยเชตฺวา ทสฺสนกีฬา ตาย กีฬนฺติ, เวลมฺภกา วิยฯ หตฺถิสฺมิมฺปิ สิกฺขนฺตีติ หตฺถินิมิตฺตํ ยํ สิปฺปํ สิกฺขิตพฺพํ, ตํ สิกฺขนฺติฯ เอเสว นโย อสฺสาทีสุฯ ธาวนฺติปีติ ปรมฺมุขา คจฺฉนฺตา ธาวนฺติฯ อาธาวนฺติปีติ ยตฺตกํ ธาวนฺติ, ตตฺตกเมว อภิมุขา ปุน อาคจฺฉนฺตา อาธาวนฺติฯ นิพฺพุชฺฌนฺตีติ มลฺลยุทฺธํ กโรนฺติฯ นลาฎิกมฺปิ เทนฺตีติ ‘‘สาธุ, สาธุ, ภคินี’’ติ อตฺตโน นลาเฎ องฺคุลิํ ฐเปตฺวา ตสฺสา นลาเฎ ฐเปนฺติฯ วิวิธมฺปิ อนาจารํ อาจรนฺตีติ อญฺญมฺปิ ปาฬิยํ อนาคตํ มุขฑิณฺฑิมาทิวิวิธํ อนาจารํ อาจรนฺติฯ
Akkharikāyāti akkharikā vuccati ākāse vā piṭṭhiyaṃ vā akkharajānanakīḷā, tāya kīḷanti. Manesikāyāti manesikā vuccati manasā cintitajānanakīḷā, tāya kīḷanti. Yathāvajjenāti yathāvajjaṃ vuccati kāṇakuṇikakhañjādīnaṃ yaṃ yaṃ vajjaṃ taṃ taṃ payojetvā dassanakīḷā tāya kīḷanti, velambhakā viya. Hatthismimpi sikkhantīti hatthinimittaṃ yaṃ sippaṃ sikkhitabbaṃ, taṃ sikkhanti. Eseva nayo assādīsu. Dhāvantipīti parammukhā gacchantā dhāvanti. Ādhāvantipīti yattakaṃ dhāvanti, tattakameva abhimukhā puna āgacchantā ādhāvanti. Nibbujjhantīti mallayuddhaṃ karonti. Nalāṭikampi dentīti ‘‘sādhu, sādhu, bhaginī’’ti attano nalāṭe aṅguliṃ ṭhapetvā tassā nalāṭe ṭhapenti. Vividhampi anācāraṃ ācarantīti aññampi pāḷiyaṃ anāgataṃ mukhaḍiṇḍimādivividhaṃ anācāraṃ ācaranti.
๔๓๒. ปาสาทิเกนาติ ปสาทาวเหน, สารุเปฺปน สมณานุจฺฉวิเกนฯ อภิกฺกเนฺตนาติ คมเนนฯ ปฎิกฺกเนฺตนาติ นิวตฺตเนนฯ อาโลกิเตนาติ ปุรโต ทสฺสเนนฯ วิโลกิเตนาติ อิโต จิโต จ ทสฺสเนนฯ สมิญฺชิเตนาติ ปพฺพสโงฺกจเนนฯ ปสาริเตนาติ เตสํเยว ปสารเณนฯ สพฺพตฺถ อิตฺถมฺภูตาขฺยานเตฺถ กรณวจนํ, สติสมฺปชเญฺญหิ อภิสงฺขตตฺตา ปาสาทิก อภิกฺกนฺต-ปฎิกฺกนฺต-อาโลกิต-วิโลกิต-สมิญฺชิต-ปสาริโต หุตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ โอกฺขิตฺตจกฺขูติ เหฎฺฐา-ขิตฺตจกฺขุ ฯ อิริยาปถสมฺปโนฺนติ ตาย ปาสาทิกอภิกฺกนฺตาทิตาย สมฺปนฺนอิริยาปโถฯ
432.Pāsādikenāti pasādāvahena, sāruppena samaṇānucchavikena. Abhikkantenāti gamanena. Paṭikkantenāti nivattanena. Ālokitenāti purato dassanena. Vilokitenāti ito cito ca dassanena. Samiñjitenāti pabbasaṅkocanena. Pasāritenāti tesaṃyeva pasāraṇena. Sabbattha itthambhūtākhyānatthe karaṇavacanaṃ, satisampajaññehi abhisaṅkhatattā pāsādika abhikkanta-paṭikkanta-ālokita-vilokita-samiñjita-pasārito hutvāti vuttaṃ hoti. Okkhittacakkhūti heṭṭhā-khittacakkhu . Iriyāpathasampannoti tāya pāsādikaabhikkantāditāya sampannairiyāpatho.
กฺวายนฺติ โก อยํฯ อพลพโล วิยาติ อพโล กิร โพโนฺท วุจฺจติ, อติสยเตฺถ จ อิทํ อาเมฑิตํ, ตสฺมา อติโพโนฺท วิยาติ วุตฺตํ โหติฯ มนฺทมโนฺทติ อภิกฺกนฺตาทีนํ อนุทฺธตตาย อติมโนฺทฯ อติสโณฺหติ เอวํ คุณเมว โทสโต ทเสฺสนฺติฯ ภากุฎิกภากุฎิโก วิยาติ โอกฺขิตฺตจกฺขุตาย ภกุฎิํ กตฺวา สงฺกุฎิตมุโข กุปิโต วิย วิจรตีติ มญฺญมานา วทนฺติฯ สณฺหาติ นิปุณา, ‘‘อมฺม ตาต ภคินี’’ติ เอวํ อุปาสกชนํ ยุตฺตฎฺฐาเน อุปเนตุํ เฉกา, น ยถา อยํ; เอวํ อพลพโล วิยาติ อธิปฺปาโยฯ สขิลาติ สาขเลฺยน ยุตฺตาฯ สุขสมฺภาสาติ อิทํ ปุริมสฺส การณวจนํฯ เยสญฺหิ สุขสมฺภาสา สโมฺมทนียกถา เนลา โหติ กณฺณสุขา, เต สขิลาติ วุจฺจนฺติฯ เตนาหํสุ – ‘‘สขิลา สุขสมฺภาสา’’ติฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – อมฺหากํ อยฺยา อุปาสเก ทิสฺวา มธุรํ สโมฺมทนียํ กถํ กเถนฺติ, ตสฺมา สขิลา สุขสมฺภาสา, น ยถา อยํ; เอวํ มนฺทมนฺทา วิยาติฯ มิหิตปุพฺพงฺคมาติ มิหิตํ ปุพฺพงฺคมํ เอเตสํ วจนสฺสาติ มิหิตปุพฺพงฺคมา, ปฐมํ สิตํ กตฺวา ปจฺฉา วทนฺตีติ อโตฺถฯ เอหิสฺวาคตวาทิโนติ อุปาสกํ ทิสฺวา ‘‘เอหิ สฺวาคตํ ตวา’’ติ เอวํวาทิโน, น ยถา อยํ; เอวํ สงฺกุฎิตมุขตาย ภากุฎิกภากุฎิกา วิย เอวํ มิหิตปุพฺพงฺคมาทิตาย อภากุฎิกภาวํ อตฺถโต ทเสฺสตฺวา ปุน สรูเปนปิ ทเสฺสโนฺต อาหํสุ – ‘‘อภากุฎิกา อุตฺตานมุขา ปุพฺพภาสิโน’’ติฯ อุปฺปฎิปาฎิยา วา ติณฺณมฺปิ อาการานํ อภาวทสฺสนเมตนฺติ เวทิตพฺพํฯ กถํ? เอตฺถ หิ ‘‘อภากุฎิกา’’ติ อิมินา ภากุฎิกภากุฎิกาการสฺส อภาโว ทสฺสิโตฯ ‘‘อุตฺตานมุขา’’ติ อิมินา มนฺทมนฺทาการสฺส, เย หิ จกฺขูนิ อุมฺมิเลตฺวา อาโลกเนน อุตฺตานมุขา โหนฺติ, น เต มนฺทมนฺทาฯ ปุพฺพภาสิโนติ อิมินา อพลพลาการสฺส อภาโว ทสฺสิโต, เย หิ อาภาสนกุสลตาย ‘‘อมฺม ตาตา’’ติ ปฐมตรํ อาภาสนฺติ, น เต อพลพลาติฯ
Kvāyanti ko ayaṃ. Abalabalo viyāti abalo kira bondo vuccati, atisayatthe ca idaṃ āmeḍitaṃ, tasmā atibondo viyāti vuttaṃ hoti. Mandamandoti abhikkantādīnaṃ anuddhatatāya atimando. Atisaṇhoti evaṃ guṇameva dosato dassenti. Bhākuṭikabhākuṭiko viyāti okkhittacakkhutāya bhakuṭiṃ katvā saṅkuṭitamukho kupito viya vicaratīti maññamānā vadanti. Saṇhāti nipuṇā, ‘‘amma tāta bhaginī’’ti evaṃ upāsakajanaṃ yuttaṭṭhāne upanetuṃ chekā, na yathā ayaṃ; evaṃ abalabalo viyāti adhippāyo. Sakhilāti sākhalyena yuttā. Sukhasambhāsāti idaṃ purimassa kāraṇavacanaṃ. Yesañhi sukhasambhāsā sammodanīyakathā nelā hoti kaṇṇasukhā, te sakhilāti vuccanti. Tenāhaṃsu – ‘‘sakhilā sukhasambhāsā’’ti. Ayaṃ panettha adhippāyo – amhākaṃ ayyā upāsake disvā madhuraṃ sammodanīyaṃ kathaṃ kathenti, tasmā sakhilā sukhasambhāsā, na yathā ayaṃ; evaṃ mandamandā viyāti. Mihitapubbaṅgamāti mihitaṃ pubbaṅgamaṃ etesaṃ vacanassāti mihitapubbaṅgamā, paṭhamaṃ sitaṃ katvā pacchā vadantīti attho. Ehisvāgatavādinoti upāsakaṃ disvā ‘‘ehi svāgataṃ tavā’’ti evaṃvādino, na yathā ayaṃ; evaṃ saṅkuṭitamukhatāya bhākuṭikabhākuṭikā viya evaṃ mihitapubbaṅgamāditāya abhākuṭikabhāvaṃ atthato dassetvā puna sarūpenapi dassento āhaṃsu – ‘‘abhākuṭikā uttānamukhā pubbabhāsino’’ti. Uppaṭipāṭiyā vā tiṇṇampi ākārānaṃ abhāvadassanametanti veditabbaṃ. Kathaṃ? Ettha hi ‘‘abhākuṭikā’’ti iminā bhākuṭikabhākuṭikākārassa abhāvo dassito. ‘‘Uttānamukhā’’ti iminā mandamandākārassa, ye hi cakkhūni ummiletvā ālokanena uttānamukhā honti, na te mandamandā. Pubbabhāsinoti iminā abalabalākārassa abhāvo dassito, ye hi ābhāsanakusalatāya ‘‘amma tātā’’ti paṭhamataraṃ ābhāsanti, na te abalabalāti.
เอหิ, ภเนฺต, ฆรํ คมิสฺสามาติ โส กิร อุปาสโก ‘‘น โข, อาวุโส, ปิโณฺฑ ลพฺภตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตุมฺหากํ ภิกฺขูหิเยว เอตํ กตํ , สกลมฺปิ คามํ วิจรนฺตา น ลจฺฉถา’’ติ วตฺวา ปิณฺฑปาตํ ทาตุกาโม ‘‘เอหิ, ภเนฺต, ฆรํ คมิสฺสามา’’ติ อาหฯ กิํ ปนายํ ปยุตฺตวาจา โหติ, น โหตีติ? น โหติฯ ปุจฺฉิตปโญฺห นามายํ กเถตุํ วฎฺฎติฯ ตสฺมา อิทานิ เจปิ ปุพฺพเณฺห วา สายเนฺห วา อนฺตรฆรํ ปวิฎฺฐํ ภิกฺขุํ โกจิ ปุเจฺฉยฺย – ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, จรถา’’ติ? เยนเตฺถน จรติ, ตํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘ลทฺธํ น ลทฺธ’’นฺติ วุเตฺต สเจ น ลทฺธํ, ‘‘น ลทฺธ’’นฺติ วตฺวา ยํ โส เทติ, ตํ คเหตุํ วฎฺฎติฯ
Ehi, bhante, gharaṃ gamissāmāti so kira upāsako ‘‘na kho, āvuso, piṇḍo labbhatī’’ti vutte ‘‘tumhākaṃ bhikkhūhiyeva etaṃ kataṃ , sakalampi gāmaṃ vicarantā na lacchathā’’ti vatvā piṇḍapātaṃ dātukāmo ‘‘ehi, bhante, gharaṃ gamissāmā’’ti āha. Kiṃ panāyaṃ payuttavācā hoti, na hotīti? Na hoti. Pucchitapañho nāmāyaṃ kathetuṃ vaṭṭati. Tasmā idāni cepi pubbaṇhe vā sāyanhe vā antaragharaṃ paviṭṭhaṃ bhikkhuṃ koci puccheyya – ‘‘kasmā, bhante, carathā’’ti? Yenatthena carati, taṃ ācikkhitvā ‘‘laddhaṃ na laddha’’nti vutte sace na laddhaṃ, ‘‘na laddha’’nti vatvā yaṃ so deti, taṃ gahetuṃ vaṭṭati.
ทุโฎฺฐติ น ปสาทาทีนํ วินาเสน ทุโฎฺฐ, ปุคฺคลวเสน ทุโฎฺฐฯ ทานปถานีติ ทานานิเยว วุจฺจนฺติฯ อถ วา ทานปถานีติ ทานนิพทฺธานิ ทานวตฺตานีติ วุตฺตํ โหติฯ อุปจฺฉินฺนานีติ ทายเกหิ อุปจฺฉินฺนานิ, น เต ตานิ เอตรหิ เทนฺติฯ ริญฺจนฺตีติ วิสุํ โหนฺติ นานา โหนฺติ, ปกฺกมนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ สณฺฐเหยฺยาติ สมฺมา ติเฎฺฐยฺย, เปสลานํ ภิกฺขูนํ ปติฎฺฐา ภเวยฺยฯ
Duṭṭhoti na pasādādīnaṃ vināsena duṭṭho, puggalavasena duṭṭho. Dānapathānīti dānāniyeva vuccanti. Atha vā dānapathānīti dānanibaddhāni dānavattānīti vuttaṃ hoti. Upacchinnānīti dāyakehi upacchinnāni, na te tāni etarahi denti. Riñcantīti visuṃ honti nānā honti, pakkamantīti vuttaṃ hoti. Saṇṭhaheyyāti sammā tiṭṭheyya, pesalānaṃ bhikkhūnaṃ patiṭṭhā bhaveyya.
เอวมาวุโสติ โข โส ภิกฺขุ สทฺธสฺส ปสนฺนสฺส อุปาสกสฺส สาสนํ สมฺปฎิจฺฉิฯ เอวรูปํ กิร สาสนํ กปฺปิยํ หริตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา ‘‘มม วจเนน ภควโต ปาเท วนฺทถา’’ติ วา ‘‘เจติยํ ปฎิมํ โพธิํ สงฺฆเตฺถรํ วนฺทถา’’ติ วา ‘‘เจติเย คนฺธปูชํ กโรถ, ปุปฺผปูชํ กโรถา’’ติ วา ‘‘ภิกฺขู สนฺนิปาเตถ, ทานํ ทสฺสาม , ธมฺมํ โสสฺสามาติ วา อีทิเสสุ สาสเนสุ กุกฺกุจฺจํ น กาตพฺพํฯ กปฺปิยสาสนานิ เอตานิ น คิหีนํ คิหิกมฺมปฎิสํยุตฺตานีติฯ กุโต จ ตฺวํ, ภิกฺขุ, อาคจฺฉสีติ นิสิโนฺน โส ภิกฺขุ น อาคจฺฉติ อตฺถโต ปน อาคโต โหติ; เอวํ สเนฺตปิ วตฺตมานสมีเป วตฺตมานวจนํ ลพฺภติ, ตสฺมา น โทโสฯ ปริโยสาเน ‘‘ตโต อหํ ภควา อาคจฺฉามี’’ติ เอตฺถาปิ วจเน เอเสว นโยฯ
Evamāvusoti kho so bhikkhu saddhassa pasannassa upāsakassa sāsanaṃ sampaṭicchi. Evarūpaṃ kira sāsanaṃ kappiyaṃ harituṃ vaṭṭati, tasmā ‘‘mama vacanena bhagavato pāde vandathā’’ti vā ‘‘cetiyaṃ paṭimaṃ bodhiṃ saṅghattheraṃ vandathā’’ti vā ‘‘cetiye gandhapūjaṃ karotha, pupphapūjaṃ karothā’’ti vā ‘‘bhikkhū sannipātetha, dānaṃ dassāma , dhammaṃ sossāmāti vā īdisesu sāsanesu kukkuccaṃ na kātabbaṃ. Kappiyasāsanāni etāni na gihīnaṃ gihikammapaṭisaṃyuttānīti. Kuto ca tvaṃ, bhikkhu, āgacchasīti nisinno so bhikkhu na āgacchati atthato pana āgato hoti; evaṃ santepi vattamānasamīpe vattamānavacanaṃ labbhati, tasmā na doso. Pariyosāne ‘‘tato ahaṃ bhagavā āgacchāmī’’ti etthāpi vacane eseva nayo.
๔๓๓. ปฐมํ อสฺสชิปุนพฺพสุกา ภิกฺขู โจเทตพฺพาติ ‘‘มยํ ตุเมฺห วตฺตุกามา’’ติ โอกาสํ กาเรตฺวา วตฺถุนา จ อาปตฺติยา จ โจเทตพฺพาฯ โจเทตฺวา ยํ น สรนฺติ, ตํ สาเรตพฺพาฯ สเจ วตฺถุญฺจ อาปตฺติญฺจ ปฎิชานนฺติ, อาปตฺติเมว วา ปฎิชานนฺติ, น วตฺถุํ, อาปตฺติํ โรเปตพฺพาฯ อถ วตฺถุเมว ปฎิชานนฺติ, นาปตฺติํ; เอวมฺปิ ‘‘อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ อยํ นาม อาปตฺตี’’ติ โรเปตพฺพา เอวฯ ยทิ เนว วตฺถุํ, นาปตฺติํ ปฎิชานนฺติ, อาปตฺติํ น โรเปตพฺพา อยเมตฺถ วินิจฺฉโยฯ ยถาปฎิญฺญาย ปน อาปตฺติํ โรเปตฺวา; เอวํ ปพฺพาชนียกมฺมํ กาตพฺพนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา’’ติอาทิมาห, ตํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
433.Paṭhamaṃ assajipunabbasukā bhikkhū codetabbāti ‘‘mayaṃ tumhe vattukāmā’’ti okāsaṃ kāretvā vatthunā ca āpattiyā ca codetabbā. Codetvā yaṃ na saranti, taṃ sāretabbā. Sace vatthuñca āpattiñca paṭijānanti, āpattimeva vā paṭijānanti, na vatthuṃ, āpattiṃ ropetabbā. Atha vatthumeva paṭijānanti, nāpattiṃ; evampi ‘‘imasmiṃ vatthusmiṃ ayaṃ nāma āpattī’’ti ropetabbā eva. Yadi neva vatthuṃ, nāpattiṃ paṭijānanti, āpattiṃ na ropetabbā ayamettha vinicchayo. Yathāpaṭiññāya pana āpattiṃ ropetvā; evaṃ pabbājanīyakammaṃ kātabbanti dassento ‘‘byattena bhikkhunā’’tiādimāha, taṃ uttānatthameva.
เอวํ ปพฺพาชนียกมฺมกเตน ภิกฺขุนา ยสฺมิํ วิหาเร วสเนฺตน ยสฺมิํ คาเม กุลทูสกกมฺมํ กตํ โหติ, ตสฺมิํ วิหาเร วา ตสฺมิํ คาเม วา น วสิตพฺพํฯ ตสฺมิํ วิหาเร วสเนฺตน สามนฺตคาเมปิ ปิณฺฑาย น จริตพฺพํฯ สามนฺตวิหาเรปิ วสเนฺตน ตสฺมิํ คาเม ปิณฺฑาย น จริตพฺพํฯ อุปติสฺสเตฺถโร ปน ‘‘ภเนฺต นครํ นาม มหนฺตํ ทฺวาทสโยชนิกมฺปิ โหตี’’ติ อเนฺตวาสิเกหิ วุโตฺต ‘‘ยสฺสา วีถิยา กุลทูสกกมฺมํ กตํ ตเตฺถว วาริต’’นฺติ อาหฯ ตโต ‘‘วีถิปิ มหตี นครปฺปมาณาว โหตี’’ติ วุโตฺต ‘‘ยสฺสา ฆรปฎิปาฎิยา’’ติ อาห, ‘‘ฆรปฎิปาฎีปิ วีถิปฺปมาณาว โหตี’’ติ วุโตฺต อิโต จิโต จ สตฺต ฆรานิ วาริตานี’’ติ อาหฯ ตํ ปน สพฺพํ เถรสฺส มโนรถมตฺตเมวฯ สเจปิ วิหาโร ติโยชนปรโม โหติ ทฺวาทสโยชนปรมญฺจ นครํ, เนว วิหาเร วสิตุํ ลพฺภติ, น นคเร จริตุนฺติฯ
Evaṃ pabbājanīyakammakatena bhikkhunā yasmiṃ vihāre vasantena yasmiṃ gāme kuladūsakakammaṃ kataṃ hoti, tasmiṃ vihāre vā tasmiṃ gāme vā na vasitabbaṃ. Tasmiṃ vihāre vasantena sāmantagāmepi piṇḍāya na caritabbaṃ. Sāmantavihārepi vasantena tasmiṃ gāme piṇḍāya na caritabbaṃ. Upatissatthero pana ‘‘bhante nagaraṃ nāma mahantaṃ dvādasayojanikampi hotī’’ti antevāsikehi vutto ‘‘yassā vīthiyā kuladūsakakammaṃ kataṃ tattheva vārita’’nti āha. Tato ‘‘vīthipi mahatī nagarappamāṇāva hotī’’ti vutto ‘‘yassā gharapaṭipāṭiyā’’ti āha, ‘‘gharapaṭipāṭīpi vīthippamāṇāva hotī’’ti vutto ito cito ca satta gharāni vāritānī’’ti āha. Taṃ pana sabbaṃ therassa manorathamattameva. Sacepi vihāro tiyojanaparamo hoti dvādasayojanaparamañca nagaraṃ, neva vihāre vasituṃ labbhati, na nagare caritunti.
๔๓๕. เต สเงฺฆน ปพฺพาชนียกมฺมกตาติ กถํ สโงฺฆ เตสํ กมฺมํ อกาสิ? น คนฺตฺวาว อโชฺฌตฺถริตฺวา อกาสิ, อถ โข กุเลหิ นิมเนฺตตฺวา สงฺฆภเตฺตสุ กยิรมาเนสุ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน เถรา สมณปฎิปทํ กเถตฺวา ‘‘อยํ สมโณ, อยํ อสฺสมโณ’’ติ มนุเสฺส สญฺญาเปตฺวา เอกํ เทฺว ภิกฺขู สีมํ ปเว เสตฺวา เอเตเนวุปาเยน สเพฺพสํ ปพฺพาชนียกมฺมํ อกํสูติฯ เอวํ ปพฺพาชนียกมฺมกตสฺส จ อฎฺฐารส วตฺตานิ ปูเรตฺวา ยาจนฺตสฺส กมฺมํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตพฺพํฯ ปฎิปฺปสฺสทฺธกเมฺมนาปิ จ เตน เยสุ กุเลสุ ปุเพฺพ กุลทูสกกมฺมํ กตํ, ตโต ปจฺจยา น คเหตพฺพา, อาสวกฺขยปฺปเตฺตนาปิ น คเหตพฺพา, อกปฺปิยาว โหนฺติฯ ‘‘กสฺมา น คณฺหถา’’ติ ปุจฺฉิเตน ‘‘ปุเพฺพ เอวํ กตตฺตา’’ติ วุเตฺต, สเจ วทนฺติ ‘‘น มยํ เตน การเณน เทม อิทานิ สีลวนฺตตาย เทมา’’ติ คเหตพฺพาฯ ปกติยา ทานฎฺฐาเนเยว กุลทูสกกมฺมํ กตํ โหติฯ ตโต ปกติทานเมว คเหตุํ วฎฺฎติ, ยํ วเฑฺฒตฺวา เทนฺติ, ตํ น วฎฺฎติฯ
435.Tesaṅghena pabbājanīyakammakatāti kathaṃ saṅgho tesaṃ kammaṃ akāsi? Na gantvāva ajjhottharitvā akāsi, atha kho kulehi nimantetvā saṅghabhattesu kayiramānesu tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne therā samaṇapaṭipadaṃ kathetvā ‘‘ayaṃ samaṇo, ayaṃ assamaṇo’’ti manusse saññāpetvā ekaṃ dve bhikkhū sīmaṃ pave setvā etenevupāyena sabbesaṃ pabbājanīyakammaṃ akaṃsūti. Evaṃ pabbājanīyakammakatassa ca aṭṭhārasa vattāni pūretvā yācantassa kammaṃ paṭippassambhetabbaṃ. Paṭippassaddhakammenāpi ca tena yesu kulesu pubbe kuladūsakakammaṃ kataṃ, tato paccayā na gahetabbā, āsavakkhayappattenāpi na gahetabbā, akappiyāva honti. ‘‘Kasmā na gaṇhathā’’ti pucchitena ‘‘pubbe evaṃ katattā’’ti vutte, sace vadanti ‘‘na mayaṃ tena kāraṇena dema idāni sīlavantatāya demā’’ti gahetabbā. Pakatiyā dānaṭṭhāneyeva kuladūsakakammaṃ kataṃ hoti. Tato pakatidānameva gahetuṃ vaṭṭati, yaṃ vaḍḍhetvā denti, taṃ na vaṭṭati.
น สมฺมา วตฺตนฺตีติ เต ปน อสฺสชิปุนพฺพสุกา อฎฺฐารสสุ วเตฺตสุ สมฺมา น วตฺตนฺติฯ น โลมํ ปาเตนฺตีติ อนุโลมปฎิปทํ อปฺปฎิปชฺชนตาย น ปนฺนโลมา โหนฺติฯ น เนตฺถารํ วตฺตนฺตีติ อตฺตโน นิตฺถรณมคฺคํ น ปฎิปชฺชนฺติ ฯ น ภิกฺขู ขมาเปนฺตีติ ‘‘ทุกฺกฎํ, ภเนฺต, อเมฺหหิ, น ปุน เอวํ กริสฺสาม, ขมถ อมฺหาก’’นฺติ เอวํ ภิกฺขูนํ ขมาปนํ น กโรนฺติฯ อโกฺกสนฺตีติ การกสงฺฆํ ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสนฺติฯ ปริภาสนฺตีติ ภยํ เนสํ ทเสฺสนฺติฯ ฉนฺทคามิตา…เป.… ภยคามิตา ปาเปนฺตีติ เอเต ฉนฺทคามิโน จ…เป.… ภยคามิโน จาติ เอวํ ฉนฺทคามิตายปิ…เป.… ภยคามิตายปิ ปาเปนฺติ, โยเชนฺตีติ อโตฺถฯ ปกฺกมนฺตีติ เตสํ ปริวาเรสุ ปญฺจสุ สมณสเตสุ เอกเจฺจ ทิสา ปกฺกมนฺติฯ วิพฺภมนฺตีติ เอกเจฺจ คิหี โหนฺติฯ กถญฺหิ นาม อสฺสชิปุนพฺพสุกา ภิกฺขูติ เอตฺถ ทฺวินฺนํ ปโมกฺขานํ วเสน สเพฺพปิ ‘‘อสฺสชิปุนพฺพสุกา’’ติ วุตฺตาฯ
Na sammā vattantīti te pana assajipunabbasukā aṭṭhārasasu vattesu sammā na vattanti. Na lomaṃ pātentīti anulomapaṭipadaṃ appaṭipajjanatāya na pannalomā honti. Na netthāraṃ vattantīti attano nittharaṇamaggaṃ na paṭipajjanti . Na bhikkhū khamāpentīti ‘‘dukkaṭaṃ, bhante, amhehi, na puna evaṃ karissāma, khamatha amhāka’’nti evaṃ bhikkhūnaṃ khamāpanaṃ na karonti. Akkosantīti kārakasaṅghaṃ dasahi akkosavatthūhi akkosanti. Paribhāsantīti bhayaṃ nesaṃ dassenti. Chandagāmitā…pe… bhayagāmitā pāpentīti ete chandagāmino ca…pe… bhayagāmino cāti evaṃ chandagāmitāyapi…pe… bhayagāmitāyapi pāpenti, yojentīti attho. Pakkamantīti tesaṃ parivāresu pañcasu samaṇasatesu ekacce disā pakkamanti. Vibbhamantīti ekacce gihī honti. Kathañhi nāma assajipunabbasukā bhikkhūti ettha dvinnaṃ pamokkhānaṃ vasena sabbepi ‘‘assajipunabbasukā’’ti vuttā.
๔๓๖-๗. คามํ วาติ เอตฺถ นครมฺปิ คามคฺคหเณเนว คหิตํฯ เตนสฺส ปทภาชเน ‘‘คาโมปิ นิคโมปิ นครมฺปิ คาโม เจว นิคโม จา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อปาการปริเกฺขโป สอาปโณ นิคโมติ เวทิตโพฺพฯ
436-7.Gāmaṃ vāti ettha nagarampi gāmaggahaṇeneva gahitaṃ. Tenassa padabhājane ‘‘gāmopi nigamopi nagarampi gāmo ceva nigamo cā’’ti vuttaṃ. Tattha apākāraparikkhepo saāpaṇo nigamoti veditabbo.
กุลานิ ทูเสตีติ กุลทูสโกฯ ทูเสโนฺต จ น อสุจิกทฺทมาทีหิ ทูเสติ, อถ โข อตฺตโน ทุปฺปฎิปตฺติยา เตสํ ปสาทํ วินาเสติฯ เตเนวสฺส ปทภาชเน ‘‘ปุเปฺผน วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ โย หริตฺวา วา หราเปตฺวา วา ปโกฺกสิตฺวา วา ปโกฺกสาเปตฺวา วา สยํ วา อุปคตานํ ยํกิญฺจิ อตฺตโน สนฺตกํ ปุปฺผํ กุลสงฺคหตฺถาย เทติ, ทุกฺกฎํฯ ปรสนฺตกํ เทติ, ทุกฺกฎเมวฯ เถยฺยจิเตฺตน เทติ, ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพฯ เอเสว นโย สงฺฆิเกปิฯ อยํ ปน วิเสโส, เสนาสนตฺถาย นิยามิตํ อิสฺสรวตาย ททโต ถุลฺลจฺจยํฯ
Kulāni dūsetīti kuladūsako. Dūsento ca na asucikaddamādīhi dūseti, atha kho attano duppaṭipattiyā tesaṃ pasādaṃ vināseti. Tenevassa padabhājane ‘‘pupphena vā’’tiādi vuttaṃ. Tattha yo haritvā vā harāpetvā vā pakkositvā vā pakkosāpetvā vā sayaṃ vā upagatānaṃ yaṃkiñci attano santakaṃ pupphaṃ kulasaṅgahatthāya deti, dukkaṭaṃ. Parasantakaṃ deti, dukkaṭameva. Theyyacittena deti, bhaṇḍagghena kāretabbo. Eseva nayo saṅghikepi. Ayaṃ pana viseso, senāsanatthāya niyāmitaṃ issaravatāya dadato thullaccayaṃ.
ปุปฺผํ นาม กสฺส ทาตุํ วฎฺฎติ, กสฺส น วฎฺฎตีติ? มาตาปิตูนฺนํ ตาว หริตฺวาปิ หราเปตฺวาปิ ปโกฺกสิตฺวาปิ ปโกฺกสาเปตฺวาปิ ทาตุํ วฎฺฎติ, เสสญาตกานํ ปโกฺกสาเปตฺวาวฯ ตญฺจ โข วตฺถุปูชนตฺถาย, มณฺฑนตฺถาย ปน สิวลิงฺคาทิปูชนตฺถาย วา กสฺสจิปิ ทาตุํ น วฎฺฎติฯ มาตาปิตูนญฺจ หราเปเนฺตน ญาติสามเณเรเหว หราเปตพฺพํฯ อิตเร ปน ยทิ สยเมว อิจฺฉนฺติ, วฎฺฎติฯ สมฺมเตน ปุปฺผภาชเกน ภาชนกาเล สมฺปตฺตานํ สามเณรานํ อุปฑฺฒภาคํ ทาตุํ วฎฺฎติฯ กุรุนฺทิยํ สมฺปตฺตคิหีนํ อุปฑฺฒภาคํฯ มหาปจฺจริยํ ‘‘จูฬกํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ อสมฺมเตน อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ
Pupphaṃ nāma kassa dātuṃ vaṭṭati, kassa na vaṭṭatīti? Mātāpitūnnaṃ tāva haritvāpi harāpetvāpi pakkositvāpi pakkosāpetvāpi dātuṃ vaṭṭati, sesañātakānaṃ pakkosāpetvāva. Tañca kho vatthupūjanatthāya, maṇḍanatthāya pana sivaliṅgādipūjanatthāya vā kassacipi dātuṃ na vaṭṭati. Mātāpitūnañca harāpentena ñātisāmaṇereheva harāpetabbaṃ. Itare pana yadi sayameva icchanti, vaṭṭati. Sammatena pupphabhājakena bhājanakāle sampattānaṃ sāmaṇerānaṃ upaḍḍhabhāgaṃ dātuṃ vaṭṭati. Kurundiyaṃ sampattagihīnaṃ upaḍḍhabhāgaṃ. Mahāpaccariyaṃ ‘‘cūḷakaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Asammatena apaloketvā dātabbaṃ.
อาจริยุปชฺฌาเยสุ สคารวา สามเณรา พหูนิ ปุปฺผานิ อาหริตฺวา ราสิํ กตฺวา ฐเปนฺติ, เถรา ปาโตว สมฺปตฺตานํ สทฺธิวิหาริกาทีนํ อุปาสกานํ วา ‘‘ตฺวํ อิทํ คณฺห, ตฺวํ อิทํ คณฺหา’’ติ เทนฺติ, ปุปฺผทานํ นาม น โหติฯ ‘‘เจติยํ ปูเชสฺสามา’’ติ คเหตฺวา คจฺฉนฺตาปิ ปูชํ กโรนฺตาปิ ตตฺถ ตตฺถ สมฺปตฺตานํ เจติยปูชนตฺถาย เทนฺติ, เอตมฺปิ ปุปฺผทานํ นาม น โหติฯ อุปาสเก อกฺกปุปฺผาทีหิ ปูเชเนฺต ทิสฺวา ‘‘วิหาเร กณิการปุปฺผาทีนิ อตฺถิ, อุปาสกา ตานิ คเหตฺวา ปูเชถา’’ติ วตฺตุมฺปิ วฎฺฎติฯ ภิกฺขู ปุปฺผปูชํ กตฺวา ทิวาตรํ คามํ ปวิเฎฺฐ ‘‘กิํ, ภเนฺต, อติทิวา ปวิฎฺฐตฺถา’’ติ ปุจฺฉนฺติ, ‘‘วิหาเร พหูนิ ปุปฺผานิ ปูชํ อกริมฺหา’’ติ วทนฺติฯ มนุสฺสา ‘‘พหูนิ กิร วิหาเร ปุปฺผานี’’ติ ปุนทิวเส ปหูตํ ขาทนียํ โภชนียํ คเหตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา ปุปฺผปูชญฺจ กโรนฺติ, ทานญฺจ เทนฺติ, วฎฺฎติฯ มนุสฺสา ‘‘มยํ, ภเนฺต, อสุกทิวสํ นาม ปูเชสฺสามา’’ติ ปุปฺผวารํ ยาจิตฺวา อนุญฺญาตทิวเส อาคจฺฉนฺติ, สามเณเรหิ จ ปเคว ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ฐปิตานิ โหนฺติ, เต รุเกฺขสุ ปุปฺผานิ อปสฺสนฺตา ‘‘กุหิํ, ภเนฺต, ปุปฺผานี’’ติ วทนฺติ, สามเณเรหิ โอจินิตฺวา ฐปิตานิ ตุเมฺห ปน ปูเชตฺวา คจฺฉถ, สโงฺฆ อญฺญํ ทิวสํ ปูเชสฺสตีติฯ เต ปูเชตฺวา ทานํ ทตฺวา คจฺฉนฺติ, วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน กุรุนฺทิยญฺจ ‘‘เถรา สามเณเรหิ ทาเปตุํ น ลภนฺติฯ สเจ สยเมว ตานิ ปุปฺผานิ เตสํ เทนฺติ, วฎฺฎติฯ เถเรหิ ปน ‘สามเณเรหิ โอจินิตฺวา ฐปิตานี’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ สเจ ปน ปุปฺผวารํ ยาจิตฺวา อโนจิเตสุ ปุเปฺผสุ ยาคุภตฺตาทีนิ อาทาย อาคนฺตฺวา สามเณเร ‘‘โอจินิตฺวา เทถา’’ติ วทนฺติฯ ญาตกสามเณรานํเยว โอจินิตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติฯ อญฺญาตเก อุกฺขิปิตฺวา รุกฺขสาขาย ฐเปนฺติ, น โอโรหิตฺวา ปลายิตพฺพํ, โอจินิตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน โกจิ ธมฺมกถิโก ‘‘พหูนิ อุปาสกา วิหาเร ปุปฺผานิ ยาคุภตฺตาทีนิ อาทาย คนฺตฺวา ปุปฺผปูชํ กโรถา’’ติ วทติ, ตเสฺสว น กปฺปตีติ มหาปจฺจริยญฺจ กุรุนฺทิยญฺจ วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน ‘‘เอตํ อกปฺปิยํ น วฎฺฎตี’’ติ อวิเสเสน วุตฺตํฯ
Ācariyupajjhāyesu sagāravā sāmaṇerā bahūni pupphāni āharitvā rāsiṃ katvā ṭhapenti, therā pātova sampattānaṃ saddhivihārikādīnaṃ upāsakānaṃ vā ‘‘tvaṃ idaṃ gaṇha, tvaṃ idaṃ gaṇhā’’ti denti, pupphadānaṃ nāma na hoti. ‘‘Cetiyaṃ pūjessāmā’’ti gahetvā gacchantāpi pūjaṃ karontāpi tattha tattha sampattānaṃ cetiyapūjanatthāya denti, etampi pupphadānaṃ nāma na hoti. Upāsake akkapupphādīhi pūjente disvā ‘‘vihāre kaṇikārapupphādīni atthi, upāsakā tāni gahetvā pūjethā’’ti vattumpi vaṭṭati. Bhikkhū pupphapūjaṃ katvā divātaraṃ gāmaṃ paviṭṭhe ‘‘kiṃ, bhante, atidivā paviṭṭhatthā’’ti pucchanti, ‘‘vihāre bahūni pupphāni pūjaṃ akarimhā’’ti vadanti. Manussā ‘‘bahūni kira vihāre pupphānī’’ti punadivase pahūtaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ gahetvā vihāraṃ gantvā pupphapūjañca karonti, dānañca denti, vaṭṭati. Manussā ‘‘mayaṃ, bhante, asukadivasaṃ nāma pūjessāmā’’ti pupphavāraṃ yācitvā anuññātadivase āgacchanti, sāmaṇerehi ca pageva pupphāni ocinitvā ṭhapitāni honti, te rukkhesu pupphāni apassantā ‘‘kuhiṃ, bhante, pupphānī’’ti vadanti, sāmaṇerehi ocinitvā ṭhapitāni tumhe pana pūjetvā gacchatha, saṅgho aññaṃ divasaṃ pūjessatīti. Te pūjetvā dānaṃ datvā gacchanti, vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana kurundiyañca ‘‘therā sāmaṇerehi dāpetuṃ na labhanti. Sace sayameva tāni pupphāni tesaṃ denti, vaṭṭati. Therehi pana ‘sāmaṇerehi ocinitvā ṭhapitānī’ti ettakameva vattabba’’nti vuttaṃ. Sace pana pupphavāraṃ yācitvā anocitesu pupphesu yāgubhattādīni ādāya āgantvā sāmaṇere ‘‘ocinitvā dethā’’ti vadanti. Ñātakasāmaṇerānaṃyeva ocinitvā dātuṃ vaṭṭati. Aññātake ukkhipitvā rukkhasākhāya ṭhapenti, na orohitvā palāyitabbaṃ, ocinitvā dātuṃ vaṭṭati. Sace pana koci dhammakathiko ‘‘bahūni upāsakā vihāre pupphāni yāgubhattādīni ādāya gantvā pupphapūjaṃ karothā’’ti vadati, tasseva na kappatīti mahāpaccariyañca kurundiyañca vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘etaṃ akappiyaṃ na vaṭṭatī’’ti avisesena vuttaṃ.
ผลมฺปิ อตฺตโน สนฺตกํ วุตฺตนเยเนว มาตาปิตูนํญฺจ เสสญาตกานญฺจ ทาตุํ วฎฺฎติฯ กุลสงฺคหตฺถาย ปน เทนฺตสฺส วุตฺตนเยเนว อตฺตโน สนฺตเก ปรสนฺตเก สงฺฆิเก เสนาสนตฺถาย นิยามิเต จ ทุกฺกฎาทีนิ เวทิตพฺพานิฯ อตฺตโน สนฺตกํเยว คิลานมนุสฺสานํ วา สมฺปตฺตอิสฺสรานํ วา ขีณปริพฺพยานํ วา ทาตุํ วฎฺฎติ, ผลทานํ น โหติฯ ผลภาชเกนาปิ สมฺมเตน สงฺฆสฺส ผลภาชนกาเล สมฺปตฺตมนุสฺสานํ อุปฑฺฒภาคํ ทาตุํ วฎฺฎติฯ อสมฺมเตน อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ สงฺฆาราเมปิ ผลปริเจฺฉเทน วา รุกฺขปริเจฺฉเทน วา กติกา กาตพฺพาฯ ตโต คิลานมนุสฺสานํ วา อเญฺญสํ วา ผลํ ยาจนฺตานํ ยถาปริเจฺฉเทน จตฺตาริ ปญฺจ ผลานิ ทาตพฺพานิฯ รุกฺขา วา ทเสฺสตพฺพา ‘‘อิโต คเหตุํ ลพฺภตี’’ติฯ ‘‘อิฆ ผลานิ สุนฺทรานิ, อิโต คณฺหถา’’ติ เอวํ ปน น วตฺตพฺพํฯ
Phalampi attano santakaṃ vuttanayeneva mātāpitūnaṃñca sesañātakānañca dātuṃ vaṭṭati. Kulasaṅgahatthāya pana dentassa vuttanayeneva attano santake parasantake saṅghike senāsanatthāya niyāmite ca dukkaṭādīni veditabbāni. Attano santakaṃyeva gilānamanussānaṃ vā sampattaissarānaṃ vā khīṇaparibbayānaṃ vā dātuṃ vaṭṭati, phaladānaṃ na hoti. Phalabhājakenāpi sammatena saṅghassa phalabhājanakāle sampattamanussānaṃ upaḍḍhabhāgaṃ dātuṃ vaṭṭati. Asammatena apaloketvā dātabbaṃ. Saṅghārāmepi phalaparicchedena vā rukkhaparicchedena vā katikā kātabbā. Tato gilānamanussānaṃ vā aññesaṃ vā phalaṃ yācantānaṃ yathāparicchedena cattāri pañca phalāni dātabbāni. Rukkhā vā dassetabbā ‘‘ito gahetuṃ labbhatī’’ti. ‘‘Igha phalāni sundarāni, ito gaṇhathā’’ti evaṃ pana na vattabbaṃ.
จุเณฺณนาติ เอตฺถ อตฺตโน สนฺตกํ สิรีสจุณฺณํ วา อญฺญํ วา กสาวํ ยํกิญฺจิ กุลสงฺคหตฺถาย เทติ, ทุกฺกฎํฯ ปรสนฺตกาทีสุปิ วุตฺตนเยเนว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ อยํ ปน วิเสโส – อิธ สงฺฆสฺส รกฺขิตโคปิตาปิ รุกฺขจฺฉลฺลิ ครุภณฺฑเมวฯ มตฺติกทนฺตกฎฺฐเวฬูสุปิ ครุภณฺฑูปคํ ญตฺวา จุเณฺณ วุตฺตนเยเนว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ ปณฺณทานํ ปน เอตฺถ น อาคตํ, ตมฺปิ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ปรโตปิ ครุภณฺฑวินิจฺฉเย สพฺพํ วิตฺถาเรน วณฺณยิสฺสามฯ
Cuṇṇenāti ettha attano santakaṃ sirīsacuṇṇaṃ vā aññaṃ vā kasāvaṃ yaṃkiñci kulasaṅgahatthāya deti, dukkaṭaṃ. Parasantakādīsupi vuttanayeneva vinicchayo veditabbo. Ayaṃ pana viseso – idha saṅghassa rakkhitagopitāpi rukkhacchalli garubhaṇḍameva. Mattikadantakaṭṭhaveḷūsupi garubhaṇḍūpagaṃ ñatvā cuṇṇe vuttanayeneva vinicchayo veditabbo. Paṇṇadānaṃ pana ettha na āgataṃ, tampi vuttanayeneva veditabbaṃ. Paratopi garubhaṇḍavinicchaye sabbaṃ vitthārena vaṇṇayissāma.
เวชฺชิกาย วาติ เอตฺถ เวชฺชกมฺมวิธิ ตติยปาราชิกวณฺณนายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Vejjikāya vāti ettha vejjakammavidhi tatiyapārājikavaṇṇanāyaṃ vuttanayeneva veditabbo.
ชงฺฆเปสนิเกนาติ เอตฺถ ชงฺฆเปสนิยนฺติ คิหีนํ ทูเตยฺยสาสนหรณกมฺมํ วุจฺจติ, ตํ น กาตพฺพํฯ คิหีนญฺหิ สาสนํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตสฺส ปเท ปเท ทุกฺกฎํฯ ตํ กมฺมํ นิสฺสาย ลทฺธโภชนํ ภุญฺชนฺตสฺสาปิ อโชฺฌหาเร อโชฺฌหาเร ทุกฺกฎํฯ ปฐมํ สาสนํ อคฺคเหตฺวาปิ ปจฺฉา ‘‘อยํ ทานิ โส คาโม หนฺท ตํ สาสนํ อาโรเจมี’’ติ มคฺคา โอกฺกมนฺตสฺสาปิ ปเท ปเท ทุกฺกฎํฯ สาสนํ อาโรเจตฺวา ลทฺธโภชนํ ภุญฺชโต ปุริมนเยเนว ทุกฺกฎํฯ สาสนํ อคฺคเหตฺวา อาคเตน ปน ‘‘ภเนฺต ตสฺมิํ คาเม อิตฺถนฺนามสฺส กา ปวตฺตี’’ติ ปุจฺฉิยมาเนน กเถตุํ วฎฺฎติ, ปุจฺฉิตปเญฺห โทโส นตฺถิฯ ปญฺจนฺนํ ปน สหธมฺมิกานํ มาตาปิตูนํ ปณฺฑุปลาสสฺส อตฺตโน เวยฺยาวจฺจกรสฺส จ สาสนํ หริตุํ วฎฺฎติ, คิหีนญฺจ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการํ กปฺปิยสาสนํฯ อิทญฺหิ ชงฺฆเปสนิยกมฺมํ นาม น โหติฯ อิเมหิ ปน อฎฺฐหิ กุลทูสกกเมฺมหิ อุปฺปนฺนปจฺจยา ปญฺจนฺนมฺปิ สหธมฺมิกานํ น กปฺปนฺติ, อภูตาโรจนรูปิยสํโวหาเรหิ อุปฺปนฺนปจฺจยสทิสาว โหนฺติฯ
Jaṅghapesanikenāti ettha jaṅghapesaniyanti gihīnaṃ dūteyyasāsanaharaṇakammaṃ vuccati, taṃ na kātabbaṃ. Gihīnañhi sāsanaṃ gahetvā gacchantassa pade pade dukkaṭaṃ. Taṃ kammaṃ nissāya laddhabhojanaṃ bhuñjantassāpi ajjhohāre ajjhohāre dukkaṭaṃ. Paṭhamaṃ sāsanaṃ aggahetvāpi pacchā ‘‘ayaṃ dāni so gāmo handa taṃ sāsanaṃ ārocemī’’ti maggā okkamantassāpi pade pade dukkaṭaṃ. Sāsanaṃ ārocetvā laddhabhojanaṃ bhuñjato purimanayeneva dukkaṭaṃ. Sāsanaṃ aggahetvā āgatena pana ‘‘bhante tasmiṃ gāme itthannāmassa kā pavattī’’ti pucchiyamānena kathetuṃ vaṭṭati, pucchitapañhe doso natthi. Pañcannaṃ pana sahadhammikānaṃ mātāpitūnaṃ paṇḍupalāsassa attano veyyāvaccakarassa ca sāsanaṃ harituṃ vaṭṭati, gihīnañca pubbe vuttappakāraṃ kappiyasāsanaṃ. Idañhi jaṅghapesaniyakammaṃ nāma na hoti. Imehi pana aṭṭhahi kuladūsakakammehi uppannapaccayā pañcannampi sahadhammikānaṃ na kappanti, abhūtārocanarūpiyasaṃvohārehi uppannapaccayasadisāva honti.
ปาปา สมาจารา อสฺสาติ ปาปสมาจาโรฯ เต ปน ยสฺมา มาลาวจฺฉโรปนาทโย อิธ อธิเปฺปตา, ตสฺมา ‘‘มาลาวจฺฉํ โรเปนฺติปี’’ติอาทินา นเยนสฺส ปทภาชนํ วุตฺตํฯ ติโรกฺขาติ ปรมฺมุขาฯ กุลานิ จ เตน ทุฎฺฐานีติ เอตฺถ ปน ยสฺมา ‘‘กุลานี’’ติ โวหารมตฺตเมตํ, อตฺถโต หิ มนุสฺสา เตน ทุฎฺฐา โหนฺติ, ตสฺมาสฺส ปทภาชเน ‘‘ปุเพฺพ สทฺธา หุตฺวา’’ติอาทิมาหฯ ฉนฺทคามิโนติ ฉเนฺทน คจฺฉนฺตีติ ฉนฺทคามิโนฯ เอส นโย เสเสสุฯ สมนุภาสิตโพฺพ ตสฺส ปฎินิสฺสคฺคายาติ เอตฺถ กุลทูสกกเมฺมน ทุกฺกฎเมวฯ ยํ ปน โส สงฺฆํ ปริภวิตฺวา ‘‘ฉนฺทคามิโน’’ติอาทิมาหฯ ตสฺส ปฎินิสฺสคฺคาย สมนุภาสนกมฺมํ กาตพฺพนฺติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ
Pāpā samācārā assāti pāpasamācāro. Te pana yasmā mālāvaccharopanādayo idha adhippetā, tasmā ‘‘mālāvacchaṃ ropentipī’’tiādinā nayenassa padabhājanaṃ vuttaṃ. Tirokkhāti parammukhā. Kulāni ca tena duṭṭhānīti ettha pana yasmā ‘‘kulānī’’ti vohāramattametaṃ, atthato hi manussā tena duṭṭhā honti, tasmāssa padabhājane ‘‘pubbe saddhā hutvā’’tiādimāha. Chandagāminoti chandena gacchantīti chandagāmino. Esa nayo sesesu. Samanubhāsitabbo tassa paṭinissaggāyāti ettha kuladūsakakammena dukkaṭameva. Yaṃ pana so saṅghaṃ paribhavitvā ‘‘chandagāmino’’tiādimāha. Tassa paṭinissaggāya samanubhāsanakammaṃ kātabbanti evamattho daṭṭhabbo. Sesaṃ sabbattha uttānatthameva.
สมุฎฺฐานาทีนิปิ ปฐมสงฺฆเภทสทิสาเนวาติฯ
Samuṭṭhānādīnipi paṭhamasaṅghabhedasadisānevāti.
กุลทูสกสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kuladūsakasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑๓. กุลทูสกสิกฺขาปทํ • 13. Kuladūsakasikkhāpadaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑๓. กุลทูสกสิกฺขาปทวณฺณนา • 13. Kuladūsakasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑๓. กุลทูสกสิกฺขาปทวณฺณนา • 13. Kuladūsakasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑๓. กุลทูสกสิกฺขาปทวณฺณนา • 13. Kuladūsakasikkhāpadavaṇṇanā