Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā |
๓๘. กุลทูสนนิเทฺทสวณฺณนา
38. Kuladūsananiddesavaṇṇanā
๒๙๗. ‘‘กุลานิ ทูเสติ ปุเปฺผน วา ผเลน วา จุเณฺณน วา มตฺติกาย วา ทนฺตกเฎฺฐน วา เวฬุยา วา เวชฺชิกาย วา ชงฺฆเปสนิเยน วา’’ติ (ปารา. ๔๓๗) วุตฺตตฺตา ตานิ อฎฺฐ วตฺถูนิ ทเสฺสตุํ ‘‘ปุปฺผ’’นฺติอาทิมาหฯ อิมาย มิจฺฉาปฎิปตฺติยา กุลานํ อเญฺญสุ สีลวเนฺตสุ ปสาทํ ทูเสติ วินาเสตีติ กุลทูสนํ ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ ตํ ปน อตฺตโน สนฺตเก จ ปรสนฺตเก จ เวทิตพฺพํฯ
297. ‘‘Kulāni dūseti pupphena vā phalena vā cuṇṇena vā mattikāya vā dantakaṭṭhena vā veḷuyā vā vejjikāya vā jaṅghapesaniyena vā’’ti (pārā. 437) vuttattā tāni aṭṭha vatthūni dassetuṃ ‘‘puppha’’ntiādimāha. Imāya micchāpaṭipattiyā kulānaṃ aññesu sīlavantesu pasādaṃ dūseti vināsetīti kuladūsanaṃ dukkaṭaṃ āpajjati. Taṃ pana attano santake ca parasantake ca veditabbaṃ.
๒๙๘. อิทานิ อิเมสุ วตฺถูสุ น เกวลํ กุลทูสนทุกฺกฎเมว อาปชฺชติ, ถุลฺลจฺจยาทีนิปิ อาปชฺชตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ถุลฺลจฺจย’’นฺติอาทิมาหฯ สงฺฆิกํ ครุภณฺฑํ อิสฺสเรน เทนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยนฺติ สมฺพโนฺธฯ เสนาสนตฺถาย นิยมิตํ ปน ปุปฺผาทิ ครุภณฺฑํ โหติฯ สงฺฆสฺส วา อญฺญสฺส วา สนฺตกํ เถยฺยจิเตฺตน เทนฺตสฺส ทุกฺกฎาทีนิ โหนฺตีติ ปาฐเสโส, ตสฺส ภณฺฑสฺส อคฺฆวเสน ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยปาราชิกานิ โหนฺตีติ อโตฺถฯ
298. Idāni imesu vatthūsu na kevalaṃ kuladūsanadukkaṭameva āpajjati, thullaccayādīnipi āpajjatīti dassetuṃ ‘‘thullaccaya’’ntiādimāha. Saṅghikaṃ garubhaṇḍaṃ issarena dentassa thullaccayanti sambandho. Senāsanatthāya niyamitaṃ pana pupphādi garubhaṇḍaṃ hoti. Saṅghassa vā aññassa vā santakaṃ theyyacittena dentassa dukkaṭādīni hontīti pāṭhaseso, tassa bhaṇḍassa agghavasena dukkaṭathullaccayapārājikāni hontīti attho.
๒๙๙-๓๐๐. สพฺพถาติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) กปฺปิยโวหารอกปฺปิยโวหารปริยายโอภาสนิมิตฺตกมฺมาทีหิ น วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ วติอาทีนิ กตฺวา ชคฺคิตุญฺจฯ อตฺตโน ปริโภคตฺถนฺติ ผลปริโภคตฺถํฯ โรปนาทีนีติ โรปาปนาทีนิฯ อาทิ-สเทฺทน สิญฺจาปนโอจินาปนาทีนิ คหิตานิฯ กุทฺทาลขณิตฺติวาสิผรสุอุทกภาชนาทีนิ อาหริตฺวา สมีเป ฐปนวเสน นิมิตฺตโต จ กุทฺทาลขณิตฺตาทีนิ จ มาลาวเจฺฉ จ คเหตฺวา ฐิเต ‘‘สามเณราทโย ทิสฺวา ‘เถโร การาเปตุกาโม’ติ อาคนฺตฺวา กโรนฺตี’’ติ สญฺญาย โอภาสโต จ ‘‘อิมํ รุกฺขํ ชาน, อิมํ อาวาฎํ ชานา’’ติอาทิกปฺปิยโวหารโต จ ‘‘ปณฺฑิเตน มาลาวจฺฉาทโย โรปาเปตพฺพา, น จิรเสฺสว อุปการาย สํวตฺตนฺตี’’ติอาทิปริยายโต จ โรปนาทีนิ ลพฺภเรติ สมฺพโนฺธฯ
299-300.Sabbathāti (pārā. aṭṭha. 2.431) kappiyavohāraakappiyavohārapariyāyaobhāsanimittakammādīhi na vaṭṭatīti attho. Vatiādīni katvā jaggituñca. Attano paribhogatthanti phalaparibhogatthaṃ. Ropanādīnīti ropāpanādīni. Ādi-saddena siñcāpanaocināpanādīni gahitāni. Kuddālakhaṇittivāsipharasuudakabhājanādīni āharitvā samīpe ṭhapanavasena nimittato ca kuddālakhaṇittādīni ca mālāvacche ca gahetvā ṭhite ‘‘sāmaṇerādayo disvā ‘thero kārāpetukāmo’ti āgantvā karontī’’ti saññāya obhāsato ca ‘‘imaṃ rukkhaṃ jāna, imaṃ āvāṭaṃ jānā’’tiādikappiyavohārato ca ‘‘paṇḍitena mālāvacchādayo ropāpetabbā, na cirasseva upakārāya saṃvattantī’’tiādipariyāyato ca ropanādīni labbhareti sambandho.
๓๐๑-๒. อิทานิ อฎฺฐสุ วตฺถูสุ อวเสสานิ เทฺว วตฺถูนิ ทเสฺสตุํ ‘‘วุตฺตาว เวชฺชิกา ชงฺฆเปสเน’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ เวชฺชิกา ปุเพฺพ วุตฺตาว, อิทานิ ชงฺฆเปสนาทิวินิจฺฉยํ วกฺขามีติ อโตฺถฯ ปิตโรติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๖-๔๓๗) มาตาปิตโรฯ ภณฺฑุนฺติ ปพฺพชฺชาเปกฺขํฯ ภิกฺขุสฺส สกํ เวยฺยาวจฺจกรญฺจาติ เอเต ฐเปตฺวา กสิวาณิชฺชาทิคิหิกเมฺมสุ ทูตสาสนํ หรเณ ทุกฺกฎนฺติ อโตฺถฯ ปฐมํ สาสนํ อคฺคเหตฺวา ปุน ตํ ทิสฺวา วา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วา วทโตปิ ทุกฺกฎเมวาติ อโตฺถฯ สาสนํ อคฺคเหตฺวา อาคตานํ ปน ‘‘ภเนฺต, ตสฺมิํ คาเม อิตฺถนฺนามสฺส กา ปวตฺตี’’ติ ปุจฺฉิยมาเน กเถตุํ วฎฺฎติฯ ปุจฺฉิตปเญฺห โทโส นตฺถิฯ
301-2. Idāni aṭṭhasu vatthūsu avasesāni dve vatthūni dassetuṃ ‘‘vuttāva vejjikā jaṅghapesane’’ti vuttaṃ. Tattha vejjikā pubbe vuttāva, idāni jaṅghapesanādivinicchayaṃ vakkhāmīti attho. Pitaroti (pārā. aṭṭha. 2.436-437) mātāpitaro. Bhaṇḍunti pabbajjāpekkhaṃ. Bhikkhussa sakaṃ veyyāvaccakarañcāti ete ṭhapetvā kasivāṇijjādigihikammesu dūtasāsanaṃ haraṇe dukkaṭanti attho. Paṭhamaṃ sāsanaṃ aggahetvā puna taṃ disvā vā tassa santikaṃ gantvā vā vadatopi dukkaṭamevāti attho. Sāsanaṃ aggahetvā āgatānaṃ pana ‘‘bhante, tasmiṃ gāme itthannāmassa kā pavattī’’ti pucchiyamāne kathetuṃ vaṭṭati. Pucchitapañhe doso natthi.
๓๐๓. เอวํ กุลทูสเนน อุปฺปนฺนปจฺจยาฯ ‘‘ปญฺจนฺนมฺปี’’ติ วุตฺตตฺตา อนุปสมฺปเนฺนน กตมฺปิ เอทิสํ น วฎฺฎติ เอว มิจฺฉาชีวตฺตาฯ อาตุมาวตฺถุ (มหาว. ๓๐๓) เจตฺถ นิทสฺสนํฯ กิํ วิยาติ เจ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อภูตาโรจนารูป-สโพฺยหารุคฺคหาทิสา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุคฺคหาทิสาติ เอเตหิ อุปฺปนฺนปจฺจยสทิสาติ อโตฺถฯ
303.Evaṃ kuladūsanena uppannapaccayā. ‘‘Pañcannampī’’ti vuttattā anupasampannena katampi edisaṃ na vaṭṭati eva micchājīvattā. Ātumāvatthu (mahāva. 303) cettha nidassanaṃ. Kiṃ viyāti ce, taṃ dassetuṃ ‘‘abhūtārocanārūpa-sabyohāruggahādisā’’ti vuttaṃ. Tattha uggahādisāti etehi uppannapaccayasadisāti attho.
๓๐๔. อิทานิ ปุปฺผาทีนิ เกสํ ทาตุํ วฎฺฎนฺติ, เกสํ ทาตุํ น วฎฺฎนฺตีติ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘หราเปตฺวา’’ติอาทิมาหฯ ปิตูนํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๖-๔๓๗) ทาตุํ ลพฺภตีติ สมฺพโนฺธฯ เสสญาตีนํ ปตฺตานํ เอวฯ ลิงฺคนฺติ สิวลิงฺคํฯ
304. Idāni pupphādīni kesaṃ dātuṃ vaṭṭanti, kesaṃ dātuṃ na vaṭṭantīti taṃ dassetuṃ ‘‘harāpetvā’’tiādimāha. Pitūnaṃ (pārā. aṭṭha. 2.436-437) dātuṃ labbhatīti sambandho. Sesañātīnaṃ pattānaṃ eva. Liṅganti sivaliṅgaṃ.
๓๐๕. ตถา ผลนฺติ ผลมฺปิ มาตาปิตูนํ หริตฺวาปิ หราเปตฺวาปิ ทาตุํ ลพฺภตีติ อโตฺถฯ น เกวลํ มาตาปิตูนํเยว, อเญฺญสมฺปิ ทาตุํ ลพฺภตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘คิลานาน’’นฺติอาทิมาหฯ สปรสนฺตกนฺติ เอตฺถ ปโรติ อตฺตโน วิสฺสาสญฺญาตโก เอว อธิเปฺปโตฯ
305.Tathāphalanti phalampi mātāpitūnaṃ haritvāpi harāpetvāpi dātuṃ labbhatīti attho. Na kevalaṃ mātāpitūnaṃyeva, aññesampi dātuṃ labbhatīti dassetuṃ ‘‘gilānāna’’ntiādimāha. Saparasantakanti ettha paroti attano vissāsaññātako eva adhippeto.
๓๐๖. ภาเชเนฺตติ สงฺฆสฺส ผลปุปฺผมฺหิ ภาชิยมาเน สมฺมเตน เทยฺยนฺติ สมฺพโนฺธฯ อิตเรน อสมฺมเตน อปโลเกตฺวา ทาตพฺพนฺติ อโตฺถฯ
306.Bhājenteti saṅghassa phalapupphamhi bhājiyamāne sammatena deyyanti sambandho. Itarena asammatena apaloketvā dātabbanti attho.
๓๐๗. ปริจฺฉิชฺชาติ อาคตานํ ทาตพฺพนฺติ ผลวเสน วา รุกฺขวเสน วา ปริจฺฉินฺทิตฺวาติ อโตฺถฯ อิตรสฺสาติ อิสฺสราทิกสฺสฯ กติกํ วตฺวาติ ‘‘อิมสฺมิํ รุเกฺข เอตฺตกานิ ผลานิ ลพฺภนฺตี’’ติ เอวํ วตฺวาฯ
307.Paricchijjāti āgatānaṃ dātabbanti phalavasena vā rukkhavasena vā paricchinditvāti attho. Itarassāti issarādikassa. Katikaṃ vatvāti ‘‘imasmiṃ rukkhe ettakāni phalāni labbhantī’’ti evaṃ vatvā.
๓๐๘. เสเสติ มตฺติกาทนฺตกฎฺฐเวฬุมฺหิ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๖-๔๓๗)ฯ ยถาวุตฺตนโย เอวาติ เอตฺถ อตฺตโน จ ปรสฺส จ สนฺตกํ กุลสงฺคหตฺถาย ททโต ทุกฺกฎนฺติอาทินา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพติ อโตฺถฯ ปณฺณมฺปีติ กิญฺจาปิ ปาฬิยํ ปณฺณทานํ น วุตฺตํ, ตถาปิ กุลทูสเน ปเวสเยติ อโตฺถฯ กุลทูสนวินิจฺฉโยฯ
308.Seseti mattikādantakaṭṭhaveḷumhi (pārā. aṭṭha. 2.436-437). Yathāvuttanayo evāti ettha attano ca parassa ca santakaṃ kulasaṅgahatthāya dadato dukkaṭantiādinā heṭṭhā vuttanayeneva vinicchayo veditabboti attho. Paṇṇampīti kiñcāpi pāḷiyaṃ paṇṇadānaṃ na vuttaṃ, tathāpi kuladūsane pavesayeti attho. Kuladūsanavinicchayo.
กุลทูสนนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kuladūsananiddesavaṇṇanā niṭṭhitā.