Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๕. กุลสงฺคหวินิจฺฉยกถา
5. Kulasaṅgahavinicchayakathā
๒๗. กุลสงฺคโหติ ปุปฺผผลาทีหิ กุลานํ สงฺคโห กุลสงฺคโหฯ ตตฺรายํ วินิจฺฉโย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๔๓๑) – กุลสงฺคหตฺถาย มาลาวจฺฉาทีนิ โรเปตุํ วา โรปาเปตุํ วา สิญฺจิตุํ วา สิญฺจาเปตุํ วา ปุปฺผานิ โอจินิตุํ วา โอจินาเปตุํ วา คนฺถิตุํ วา คนฺถาเปตุํ วา น วฎฺฎติฯ ตตฺถ อกปฺปิยโวหาโร กปฺปิยโวหาโร ปริยาโย โอภาโส นิมิตฺตกมฺมนฺติ อิมานิ ปญฺจ ชานิตพฺพานิฯ
27.Kulasaṅgahoti pupphaphalādīhi kulānaṃ saṅgaho kulasaṅgaho. Tatrāyaṃ vinicchayo (pārā. aṭṭha. 2.431) – kulasaṅgahatthāya mālāvacchādīni ropetuṃ vā ropāpetuṃ vā siñcituṃ vā siñcāpetuṃ vā pupphāni ocinituṃ vā ocināpetuṃ vā ganthituṃ vā ganthāpetuṃ vā na vaṭṭati. Tattha akappiyavohāro kappiyavohāro pariyāyo obhāso nimittakammanti imāni pañca jānitabbāni.
๒๘. ตตฺถ อกปฺปิยโวหาโร นาม อลฺลหริตานํ โกฎฺฎนํ โกฎฺฎาปนํ, อาวาฎสฺส ขณนํ ขณาปนํ, มาลาวจฺฉสฺส โรปนํ โรปาปนํ, อาฬิยา พนฺธนํ พนฺธาปนํ, อุทกสฺส เสจนํ เสจาปนํ, มาติกาย สมฺมุขกรณํ, กปฺปิยอุทกสิญฺจนํ, หตฺถปาทมุขโธวนนหาโนทกสิญฺจนํฯ กปฺปิยโวหาโร นาม ‘‘อิมํ รุกฺขํ ชาน, อิมํ อาวาฎํ ชาน, อิมํ มาลาวจฺฉํ ชาน, เอตฺถ อุทกํ ชานา’’ติอาทิวจนํ สุกฺขมาติกาย อุชุกรณญฺจฯ ปริยาโย นาม ‘‘ปณฺฑิเตน มาลาวจฺฉาทโย โรปาเปตพฺพา, นจิรเสฺสว อุปการาย สํวตฺตนฺตี’’ติอาทิวจนํฯ โอภาโส นาม กุทาลขณิตฺตาทีนิ จ มาลาวเจฺฉ จ คเหตฺวา ฐานํฯ เอวํ ฐิตญฺหิ สามเณราทโย ทิสฺวา ‘‘เถโร การาเปตุกาโม’’ติ คนฺตฺวา กโรนฺติฯ นิมิตฺตกมฺมํ นาม กุทาลขณิตฺติวาสิผรสุอุทกภาชนานิ อาหริตฺวา สมีเป ฐปนํฯ
28. Tattha akappiyavohāro nāma allaharitānaṃ koṭṭanaṃ koṭṭāpanaṃ, āvāṭassa khaṇanaṃ khaṇāpanaṃ, mālāvacchassa ropanaṃ ropāpanaṃ, āḷiyā bandhanaṃ bandhāpanaṃ, udakassa secanaṃ secāpanaṃ, mātikāya sammukhakaraṇaṃ, kappiyaudakasiñcanaṃ, hatthapādamukhadhovananahānodakasiñcanaṃ. Kappiyavohāro nāma ‘‘imaṃ rukkhaṃ jāna, imaṃ āvāṭaṃ jāna, imaṃ mālāvacchaṃ jāna, ettha udakaṃ jānā’’tiādivacanaṃ sukkhamātikāya ujukaraṇañca. Pariyāyo nāma ‘‘paṇḍitena mālāvacchādayo ropāpetabbā, nacirasseva upakārāya saṃvattantī’’tiādivacanaṃ. Obhāso nāma kudālakhaṇittādīni ca mālāvacche ca gahetvā ṭhānaṃ. Evaṃ ṭhitañhi sāmaṇerādayo disvā ‘‘thero kārāpetukāmo’’ti gantvā karonti. Nimittakammaṃ nāma kudālakhaṇittivāsipharasuudakabhājanāni āharitvā samīpe ṭhapanaṃ.
๒๙. อิมานิ ปญฺจปิ กุลสงฺคหตฺถาย โรปนโรปาปนาทีสุ น วฎฺฎนฺติฯ ผลปริโภคตฺถาย กปฺปิยากปฺปิยโวหารทฺวยเมว น วฎฺฎติ, อิตรตฺตยํ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘กปฺปิยโวหาโรปิ วฎฺฎติ, ยญฺจ อตฺตโน ปริโภคตฺถาย วฎฺฎติ, ตํ อญฺญปุคฺคลสฺส วา สงฺฆสฺส วา เจติยสฺส วา อตฺถายปิ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ อารามตฺถาย ปน วนตฺถาย ฉายตฺถาย จ อกปฺปิยโวหารมตฺตเมว น วฎฺฎติ, เสสํ วฎฺฎติฯ น เกวลญฺจ เสสํ, ยํ กิญฺจิ มาติกมฺปิ อุชุํ กาตุํ กปฺปิยอุทกํ สิญฺจิตุํ นหานโกฎฺฐกํ กตฺวา นหายิตุํ หตฺถปาทมุขโธวนอุทกานิ จ ตตฺถ ฉเฑฺฑตุมฺปิ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน กุรุนฺทิยญฺจ ‘‘กปฺปิยปถวิยํ สยํ โรเปตุมฺปิ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ อารามาทิอตฺถาย ปน โรปิตสฺส วา โรปาปิตสฺส วา ผลํ ปริภุญฺชิตุมฺปิ วฎฺฎติฯ
29. Imāni pañcapi kulasaṅgahatthāya ropanaropāpanādīsu na vaṭṭanti. Phalaparibhogatthāya kappiyākappiyavohāradvayameva na vaṭṭati, itarattayaṃ vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘kappiyavohāropi vaṭṭati, yañca attano paribhogatthāya vaṭṭati, taṃ aññapuggalassa vā saṅghassa vā cetiyassa vā atthāyapi vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Ārāmatthāya pana vanatthāya chāyatthāya ca akappiyavohāramattameva na vaṭṭati, sesaṃ vaṭṭati. Na kevalañca sesaṃ, yaṃ kiñci mātikampi ujuṃ kātuṃ kappiyaudakaṃ siñcituṃ nahānakoṭṭhakaṃ katvā nahāyituṃ hatthapādamukhadhovanaudakāni ca tattha chaḍḍetumpi vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana kurundiyañca ‘‘kappiyapathaviyaṃ sayaṃ ropetumpi vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Ārāmādiatthāya pana ropitassa vā ropāpitassa vā phalaṃ paribhuñjitumpi vaṭṭati.
๓๐. อยํ ปน อาทิโต ปฎฺฐาย วิตฺถาเรน อาปตฺติวินิจฺฉโย – กุลทูสนตฺถาย อกปฺปิยปถวิยํ มาลาวจฺฉํ โรเปนฺตสฺส ปาจิตฺติยเญฺจว ทุกฺกฎญฺจ, ตถา อกปฺปิยโวหาเรน โรปาเปนฺตสฺสฯ กปฺปิยปถวิยํ โรปเนปิ โรปาปเนปิ ทุกฺกฎเมวฯ อุภยตฺราปิ สกิํ อาณตฺติยา พหูนมฺปิ โรปเน เอกเมว สปาจิตฺติยทุกฺกฎํ วา สุทฺธทุกฺกฎํ วา โหติฯ ปริโภคตฺถาย กปฺปิยภูมิยํ วา อกปฺปิยภูมิยํ วา กปฺปิยโวหาเรน โรปาปเน อนาปตฺติฯ อารามาทิอตฺถายปิ อกปฺปิยปถวิยํ โรเปนฺตสฺส วา อกปฺปิยวจเนน โรปาเปนฺตสฺส วา ปาจิตฺติยํฯ อยํ ปน นโย มหาอฎฺฐกถายํ น สุฎฺฐุ วิภโตฺต, มหาปจฺจริยํ ปน วิภโตฺตติฯ
30. Ayaṃ pana ādito paṭṭhāya vitthārena āpattivinicchayo – kuladūsanatthāya akappiyapathaviyaṃ mālāvacchaṃ ropentassa pācittiyañceva dukkaṭañca, tathā akappiyavohārena ropāpentassa. Kappiyapathaviyaṃ ropanepi ropāpanepi dukkaṭameva. Ubhayatrāpi sakiṃ āṇattiyā bahūnampi ropane ekameva sapācittiyadukkaṭaṃ vā suddhadukkaṭaṃ vā hoti. Paribhogatthāya kappiyabhūmiyaṃ vā akappiyabhūmiyaṃ vā kappiyavohārena ropāpane anāpatti. Ārāmādiatthāyapi akappiyapathaviyaṃ ropentassa vā akappiyavacanena ropāpentassa vā pācittiyaṃ. Ayaṃ pana nayo mahāaṭṭhakathāyaṃ na suṭṭhu vibhatto, mahāpaccariyaṃ pana vibhattoti.
สิญฺจนสิญฺจาปเน ปน อกปฺปิยอุทเกน สพฺพตฺถ ปาจิตฺติยํ, กุลทูสนปริโภคตฺถาย ทุกฺกฎมฺปิฯ กปฺปิเยน เตสํเยว ทฺวินฺนํ อตฺถาย ทุกฺกฎํ, ปริโภคตฺถาย เจตฺถ กปฺปิยโวหาเรน สิญฺจาปเน อนาปตฺติฯ อาปตฺติฎฺฐาเน ปน ธาราวเจฺฉทวเสน ปโยคพหุลตาย จ อาปตฺติพหุลตา เวทิตพฺพาฯ
Siñcanasiñcāpane pana akappiyaudakena sabbattha pācittiyaṃ, kuladūsanaparibhogatthāya dukkaṭampi. Kappiyena tesaṃyeva dvinnaṃ atthāya dukkaṭaṃ, paribhogatthāya cettha kappiyavohārena siñcāpane anāpatti. Āpattiṭṭhāne pana dhārāvacchedavasena payogabahulatāya ca āpattibahulatā veditabbā.
กุลสงฺคหตฺถาย โอจินเน ปุปฺผคณนาย ทุกฺกฎปาจิตฺติยานิ, อญฺญตฺถ ปาจิตฺติยาเนวฯ พหูนิ ปน ปุปฺผานิ เอกปโยเคน โอจินโนฺต ปโยควเสน กาเรตโพฺพฯ โอจินาปเน กุลทูสนตฺถาย สกิํ อาณโตฺต พหุมฺปิ โอจินาติ, เอกเมว สปาจิตฺติยทุกฺกฎํ, อญฺญตฺร ปาจิตฺติยเมวฯ
Kulasaṅgahatthāya ocinane pupphagaṇanāya dukkaṭapācittiyāni, aññattha pācittiyāneva. Bahūni pana pupphāni ekapayogena ocinanto payogavasena kāretabbo. Ocināpane kuladūsanatthāya sakiṃ āṇatto bahumpi ocināti, ekameva sapācittiyadukkaṭaṃ, aññatra pācittiyameva.
๓๑. คนฺถนคนฺถาปเนสุ ปน สพฺพาปิ ฉ ปุปฺผวิกติโย เวทิตพฺพา – คนฺถิมํ โคปฺผิมํ เวธิมํ เวฐิมํ ปูริมํ วายิมนฺติฯ ตตฺถ คนฺถิมํ นาม สทณฺฑเกสุ วา อุปฺปลปทุมาทีสุ อเญฺญสุ วา ทีฆวเณฺฎสุ ปุเปฺผสุ ทฎฺฐพฺพํฯ ทณฺฑเกน วา ทณฺฑกํ, วเณฺฎน วา วณฺฎํ คเนฺถตฺวา กตเมว หิ คนฺถิมํฯ ตํ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา กาตุมฺปิ อกปฺปิยวจเนน การาเปตุมฺปิ น วฎฺฎติ, ‘‘เอวํ ชาน, เอวํ กเต โสเภยฺย, ยถา เอตานิ ปุปฺผานิ น วิกิริยนฺติ, ตถา กโรหี’’ติอาทินา ปน กปฺปิยวจเนน การาเปตุํ วฎฺฎติฯ
31. Ganthanaganthāpanesu pana sabbāpi cha pupphavikatiyo veditabbā – ganthimaṃ gopphimaṃ vedhimaṃ veṭhimaṃ pūrimaṃ vāyimanti. Tattha ganthimaṃ nāma sadaṇḍakesu vā uppalapadumādīsu aññesu vā dīghavaṇṭesu pupphesu daṭṭhabbaṃ. Daṇḍakena vā daṇḍakaṃ, vaṇṭena vā vaṇṭaṃ ganthetvā katameva hi ganthimaṃ. Taṃ bhikkhussa vā bhikkhuniyā vā kātumpi akappiyavacanena kārāpetumpi na vaṭṭati, ‘‘evaṃ jāna, evaṃ kate sobheyya, yathā etāni pupphāni na vikiriyanti, tathā karohī’’tiādinā pana kappiyavacanena kārāpetuṃ vaṭṭati.
โคปฺผิมํ นาม สุเตฺตน วา วากาทีหิ วา วสฺสิกปุปฺผาทีนํ เอกโตวณฺฎิกอุภโตวณฺฎิกมาลาวเสน โคปฺผนํ, วากํ วา รชฺชุํ วา ทิคุณํ กตฺวา ตตฺถ อวณฺฎกานิ นีปปุปฺผาทีนิ ปเวเสตฺวา ปฎิปาฎิยา พนฺธนฺติ, เอตมฺปิ โคปฺผิมเมวฯ สพฺพํ ปุริมนเยเนว น วฎฺฎติฯ
Gopphimaṃ nāma suttena vā vākādīhi vā vassikapupphādīnaṃ ekatovaṇṭikaubhatovaṇṭikamālāvasena gopphanaṃ, vākaṃ vā rajjuṃ vā diguṇaṃ katvā tattha avaṇṭakāni nīpapupphādīni pavesetvā paṭipāṭiyā bandhanti, etampi gopphimameva. Sabbaṃ purimanayeneva na vaṭṭati.
เวธิมํ นาม สวณฺฎกานิ วสฺสิกปุปฺผาทีนิ วเณฺฎ, อวณฺฎกานิ วกุลปุปฺผาทีนิ อตฺตโน ฉิเทฺทสุ สูจิตาลหีราทีหิ วินิวิชฺฌิตฺวา อาวุนนฺติ, เอตํ เวธิมํ นามฯ ตํ ปุริมนเยเนว น วฎฺฎติฯ เกจิ ปน กทลิกฺขนฺธมฺหิ กณฺฎเก วา ตาลหีราทีนิ วา ปเวเสตฺวา ตตฺถ ปุปฺผานิ วินิวิชฺฌิตฺวา ฐเปนฺติ, เกจิ กณฺฎกสาขาสุ, เกจิ ปุปฺผฉตฺตปุปฺผกูฎาคารกรณตฺถํ ฉเตฺต จ ภิตฺติยญฺจ ปเวเสตฺวา ฐปิตกณฺฎเกสุ, เกจิ ธมฺมาสนวิตาเน พทฺธกณฺฎเกสุ, เกจิ กณิการปุปฺผาทีนิ สลากาหิ วิชฺฌนฺติ, ฉตฺตาธิฉตฺตํ วิย กโรนฺติ, ตํ อติโอฬาริกเมวฯ ปุปฺผวิชฺฌนตฺถํ ปน ธมฺมาสนวิตาเน กณฺฎกมฺปิ พนฺธิตุํ กณฺฎกาทีหิ วา เอกปุปฺผมฺปิ วิชฺฌิตุํ ปุเปฺผเยว วา ปุปฺผํ ปเวเสตุํ น วฎฺฎติฯ ชาลวิตานเวทิกนาคทนฺตกปุปฺผปฎิจฺฉกตาลปณฺณคุฬกาทีนํ ปน ฉิเทฺทสุ อโสกปิณฺฑิยา วา อนฺตเรสุ ปุปฺผานิ ปเวเสตุํ น โทโสฯ น เหตํ เวธิมํ โหติฯ ธมฺมรชฺชุยมฺปิ เอเสว นโยฯ
Vedhimaṃ nāma savaṇṭakāni vassikapupphādīni vaṇṭe, avaṇṭakāni vakulapupphādīni attano chiddesu sūcitālahīrādīhi vinivijjhitvā āvunanti, etaṃ vedhimaṃ nāma. Taṃ purimanayeneva na vaṭṭati. Keci pana kadalikkhandhamhi kaṇṭake vā tālahīrādīni vā pavesetvā tattha pupphāni vinivijjhitvā ṭhapenti, keci kaṇṭakasākhāsu, keci pupphachattapupphakūṭāgārakaraṇatthaṃ chatte ca bhittiyañca pavesetvā ṭhapitakaṇṭakesu, keci dhammāsanavitāne baddhakaṇṭakesu, keci kaṇikārapupphādīni salākāhi vijjhanti, chattādhichattaṃ viya karonti, taṃ atioḷārikameva. Pupphavijjhanatthaṃ pana dhammāsanavitāne kaṇṭakampi bandhituṃ kaṇṭakādīhi vā ekapupphampi vijjhituṃ puppheyeva vā pupphaṃ pavesetuṃ na vaṭṭati. Jālavitānavedikanāgadantakapupphapaṭicchakatālapaṇṇaguḷakādīnaṃ pana chiddesu asokapiṇḍiyā vā antaresu pupphāni pavesetuṃ na doso. Na hetaṃ vedhimaṃ hoti. Dhammarajjuyampi eseva nayo.
เวฐิมํ นาม ปุปฺผทามปุปฺผหตฺถเกสุ ทฎฺฐพฺพํฯ เกจิ หิ มตฺถกทามํ กโรนฺตา เหฎฺฐา ฆฎกาการํ ทเสฺสตุํ ปุเปฺผหิ เวเฐนฺติ, เกจิ อฎฺฐ อฎฺฐ วา ทส ทส วา อุปฺปลปุปฺผาทีนิ สุเตฺตน วา วาเกน วา ทณฺฑเกสุ พนฺธิตฺวา อุปฺปลหตฺถเก วา ปทุมหตฺถเก วา กโรนฺติ, ตํ สพฺพํ ปุริมนเยเนว น วฎฺฎติฯ สามเณเรหิ อุปฺปาเฎตฺวา ถเล ฐปิตอุปฺปลาทีนิ กาสาเวน ภณฺฑิกมฺปิ พนฺธิตุํ น วฎฺฎติฯ เตสํเยว ปน วาเกน วา ทณฺฑเกน วา พนฺธิตุํ อํสภณฺฑิกํ วา กาตุํ วฎฺฎติฯ อํสภณฺฑิกํ นาม ขเนฺธ ฐปิตกาสาวสฺส อุโภ อเนฺต อาหริตฺวา ภณฺฑิกํ กตฺวา ตสฺมิํ ปสิพฺพเก วิย ปุปฺผานิ ปกฺขิปนฺติ, อยํ วุจฺจติ อํสภณฺฑิกา, เอตํ กาตุํ วฎฺฎติฯ ทณฺฑเกหิ ปทุมินิปณฺณํ วิชฺฌิตฺวา อุปฺปลาทีนิ ปเณฺณน เวเฐตฺวา คณฺหนฺติ, ตตฺราปิ ปุปฺผานํ อุปริ ปทุมินิปณฺณเมว พนฺธิตุํ วฎฺฎติ, เหฎฺฐา ทณฺฑกํ ปน พนฺธิตุํ น วฎฺฎติฯ
Veṭhimaṃ nāma pupphadāmapupphahatthakesu daṭṭhabbaṃ. Keci hi matthakadāmaṃ karontā heṭṭhā ghaṭakākāraṃ dassetuṃ pupphehi veṭhenti, keci aṭṭha aṭṭha vā dasa dasa vā uppalapupphādīni suttena vā vākena vā daṇḍakesu bandhitvā uppalahatthake vā padumahatthake vā karonti, taṃ sabbaṃ purimanayeneva na vaṭṭati. Sāmaṇerehi uppāṭetvā thale ṭhapitauppalādīni kāsāvena bhaṇḍikampi bandhituṃ na vaṭṭati. Tesaṃyeva pana vākena vā daṇḍakena vā bandhituṃ aṃsabhaṇḍikaṃ vā kātuṃ vaṭṭati. Aṃsabhaṇḍikaṃ nāma khandhe ṭhapitakāsāvassa ubho ante āharitvā bhaṇḍikaṃ katvā tasmiṃ pasibbake viya pupphāni pakkhipanti, ayaṃ vuccati aṃsabhaṇḍikā, etaṃ kātuṃ vaṭṭati. Daṇḍakehi paduminipaṇṇaṃ vijjhitvā uppalādīni paṇṇena veṭhetvā gaṇhanti, tatrāpi pupphānaṃ upari paduminipaṇṇameva bandhituṃ vaṭṭati, heṭṭhā daṇḍakaṃ pana bandhituṃ na vaṭṭati.
ปูริมํ นาม มาลาคุเณ จ ปุปฺผปเฎ จ ทฎฺฐพฺพํฯ โย หิ มาลาคุเณน เจติยํ วา โพธิํ วา เวทิกํ วา ปริกฺขิปโนฺต ปุน อาเนตฺวา ปุริมฎฺฐานํ อติกฺกาเมติ, เอตฺตาวตา ปูริมํ นาม โหติ, โก ปน วาโท อเนกกฺขตฺตุํ ปริกฺขิปนฺตสฺสฯ นาคทนฺตกนฺตเรหิ ปเวเสตฺวา หรโนฺต โอลมฺพกํ กตฺวา ปุน นาคทนฺตกํ ปริกฺขิปติ, เอตมฺปิ ปูริมํ นามฯ นาคทนฺตเก ปน ปุปฺผวลยํ ปเวเสตุํ วฎฺฎติฯ มาลาคุเณหิ ปุปฺผปฎํ กโรนฺติ, ตตฺราปิ เอกเมว มาลาคุณํ หริตุํ วฎฺฎติฯ ปุน ปจฺจาหรโต ปูริมเมว โหติฯ ตํ สพฺพํ ปุริมนเยเนว น วฎฺฎติฯ มาลาคุเณหิ ปน พหูหิปิ กตํ ปุปฺผทามํ ลภิตฺวา อาสนมตฺถกาทีสุ พนฺธิตุํ วฎฺฎติฯ อติทีฆํ ปน มาลาคุณํ เอกวารํ หริตฺวา ปริกฺขิปิตฺวา ปุน อิตรสฺส ภิกฺขุโน ทาตุํ วฎฺฎติ, เตนปิ ตเถว กาตุํ วฎฺฎติฯ
Pūrimaṃ nāma mālāguṇe ca pupphapaṭe ca daṭṭhabbaṃ. Yo hi mālāguṇena cetiyaṃ vā bodhiṃ vā vedikaṃ vā parikkhipanto puna ānetvā purimaṭṭhānaṃ atikkāmeti, ettāvatā pūrimaṃ nāma hoti, ko pana vādo anekakkhattuṃ parikkhipantassa. Nāgadantakantarehi pavesetvā haranto olambakaṃ katvā puna nāgadantakaṃ parikkhipati, etampi pūrimaṃ nāma. Nāgadantake pana pupphavalayaṃ pavesetuṃ vaṭṭati. Mālāguṇehi pupphapaṭaṃ karonti, tatrāpi ekameva mālāguṇaṃ harituṃ vaṭṭati. Puna paccāharato pūrimameva hoti. Taṃ sabbaṃ purimanayeneva na vaṭṭati. Mālāguṇehi pana bahūhipi kataṃ pupphadāmaṃ labhitvā āsanamatthakādīsu bandhituṃ vaṭṭati. Atidīghaṃ pana mālāguṇaṃ ekavāraṃ haritvā parikkhipitvā puna itarassa bhikkhuno dātuṃ vaṭṭati, tenapi tatheva kātuṃ vaṭṭati.
วายิมํ นาม ปุปฺผชาลปุปฺผปฎปุปฺผรูเปสุ ทฎฺฐพฺพํฯ เจติเย ปุปฺผชาลํ กโรนฺตสฺส เอกเมกมฺหิ ชาลฉิทฺทเก ทุกฺกฎํฯ ภิตฺติฉตฺตโพธิตฺถมฺภาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ปุปฺผปฎํ ปน ปเรหิ ปูริตมฺปิ วายิตุํ น ลพฺภติฯ โคปฺผิมปุเปฺผเหว หตฺถิอสฺสาทิรูปกานิ กโรนฺติ, ตานิปิ วายิมฎฺฐาเน ติฎฺฐนฺติฯ ปุริมนเยเนว สพฺพํ น วฎฺฎติฯ อเญฺญหิ กตปริเจฺฉเท ปน ปุปฺผานิ ฐเปเนฺตน หตฺถิอสฺสาทิรูปกมฺปิ กาตุํ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน กฬมฺพเกน อฑฺฒจนฺทเกน จ สทฺธิํ อฎฺฐ ปุปฺผวิกติโย วุตฺตาฯ
Vāyimaṃ nāma pupphajālapupphapaṭapuppharūpesu daṭṭhabbaṃ. Cetiye pupphajālaṃ karontassa ekamekamhi jālachiddake dukkaṭaṃ. Bhittichattabodhitthambhādīsupi eseva nayo. Pupphapaṭaṃ pana parehi pūritampi vāyituṃ na labbhati. Gopphimapuppheheva hatthiassādirūpakāni karonti, tānipi vāyimaṭṭhāne tiṭṭhanti. Purimanayeneva sabbaṃ na vaṭṭati. Aññehi kataparicchede pana pupphāni ṭhapentena hatthiassādirūpakampi kātuṃ vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana kaḷambakena aḍḍhacandakena ca saddhiṃ aṭṭha pupphavikatiyo vuttā.
๓๒. ตตฺถ กฬมฺพโกติ อฑฺฒจนฺทกนฺตเร ฆฎิกทามโอลมฺพโก วุโตฺตฯ อฑฺฒจนฺทโกติ อฑฺฒจนฺทากาเรน มาลาคุณปริเกฺขโปฯ ตทุภยมฺปิ ปูริเมเยว ปวิฎฺฐํฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘เทฺว ตโย มาลาคุเณ เอกโต กตฺวา ปุปฺผทามกรณมฺปิ วายิมํเยวา’’ติ วุตฺตํฯ ตมฺปิ อิธ ปูริมฎฺฐาเนเยว ปวิฎฺฐํฯ น เกวลญฺจ ปุปฺผทามเมว, ปิฎฺฐมยทามมฺปิ เคณฺฑุกปุปฺผทามมฺปิ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ ขรปตฺตทามมฺปิ สิกฺขาปทสฺส สาธารณตฺตา ภิกฺขูนมฺปิ ภิกฺขุนีนมฺปิ เนว กาตุํ, น การาเปตุํ วฎฺฎติ, ปูชานิมิตฺตํ ปน กปฺปิยวจนํ สพฺพตฺถ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ปริยายโอภาสนิมิตฺตกมฺมานิ วฎฺฎนฺติเยวฯ
32. Tattha kaḷambakoti aḍḍhacandakantare ghaṭikadāmaolambako vutto. Aḍḍhacandakoti aḍḍhacandākārena mālāguṇaparikkhepo. Tadubhayampi pūrimeyeva paviṭṭhaṃ. Kurundiyaṃ pana ‘‘dve tayo mālāguṇe ekato katvā pupphadāmakaraṇampi vāyimaṃyevā’’ti vuttaṃ. Tampi idha pūrimaṭṭhāneyeva paviṭṭhaṃ. Na kevalañca pupphadāmameva, piṭṭhamayadāmampi geṇḍukapupphadāmampi kurundiyaṃ vuttaṃ. Kharapattadāmampi sikkhāpadassa sādhāraṇattā bhikkhūnampi bhikkhunīnampi neva kātuṃ, na kārāpetuṃ vaṭṭati, pūjānimittaṃ pana kappiyavacanaṃ sabbattha vattuṃ vaṭṭati. Pariyāyaobhāsanimittakammāni vaṭṭantiyeva.
โย หริตฺวา วา หราเปตฺวา วา ปโกฺกสิตฺวา วา ปโกฺกสาเปตฺวา วา สยํ วา อุปคตานํ ยํ กิญฺจิ อตฺตโน สนฺตกํ ปุปฺผํ กุลสงฺคหตฺถาย เทติ, ตสฺส ทุกฺกฎํ, ปรสนฺตกํ เทติ, ทุกฺกฎเมวฯ เถยฺยจิเตฺตน เทติ, ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพฯ เอส นโย สงฺฆิเกปิฯ อยํ ปน วิเสโส – เสนาสนตฺถาย นิยมิตํ อิสฺสรวตาย ททโต ถุลฺลจฺจยนฺติฯ
Yo haritvā vā harāpetvā vā pakkositvā vā pakkosāpetvā vā sayaṃ vā upagatānaṃ yaṃ kiñci attano santakaṃ pupphaṃ kulasaṅgahatthāya deti, tassa dukkaṭaṃ, parasantakaṃ deti, dukkaṭameva. Theyyacittena deti, bhaṇḍagghena kāretabbo. Esa nayo saṅghikepi. Ayaṃ pana viseso – senāsanatthāya niyamitaṃ issaravatāya dadato thullaccayanti.
๓๓. ปุปฺผํ นาม กสฺส ทาตุํ วฎฺฎติ, กสฺส น วฎฺฎตีติ? มาตาปิตูนํ ตาว หริตฺวาปิ หราเปตฺวาปิ ปโกฺกสิตฺวาปิ ปโกฺกสาเปตฺวาปิ ทาตุํ วฎฺฎติ , เสสญาตกานํ ปโกฺกสาเปตฺวาวฯ ตญฺจ โข วตฺถุปูชนตฺถาย, มณฺฑนตฺถาย ปน สิวลิงฺคาทิปูชนตฺถาย วา กสฺสจิปิ ทาตุํ น วฎฺฎติฯ มาตาปิตูนญฺจ หราเปเนฺตน ญาติสามเณเรเหว หราเปตพฺพํฯ อิตเร ปน ยทิ สยเมว อิจฺฉนฺติ, วฎฺฎติฯ สมฺมเตน ปุปฺผภาชเกน ปุปฺผภาชนกาเล สมฺปตฺตานํ สามเณรานํ อุปฑฺฒภาคํ ทาตุํ วฎฺฎติฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘สมฺปตฺตคิหีนํ อุปฑฺฒภาคํ’’, มหาปจฺจริยํ ‘‘จูฬกํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ อสมฺมเตน อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ อาจริยุปชฺฌาเยสุ สคารวา สามเณรา พหูนิ ปุปฺผานิ อาหริตฺวา ราสิํ กตฺวา ฐเปนฺติ, เถรา ปาโตว สมฺปตฺตานํ สทฺธิวิหาริกาทีนํ อุปาสกาทีนํ วา ‘‘ตฺวํ อิทํ คณฺห, ตฺวํ อิทํ คณฺหา’’ติ เทนฺติ, ปุปฺผทานํ นาม น โหติฯ ‘‘เจติยํ ปูเชสฺสามา’’ติ คเหตฺวา คจฺฉนฺตาปิ ปูชํ กโรนฺตาปิ ตตฺถ ตตฺถ สมฺปตฺตานํ เจติยปูชนตฺถาย เทนฺติ, เอตมฺปิ ปุปฺผทานํ นาม น โหติฯ อุปาสเก อกฺกปุปฺผาทีหิ ปูเชเนฺต ทิสฺวา ‘‘วิหาเร กณิการปุปฺผาทีนิ อตฺถิ, อุปาสกา ตานิ คเหตฺวา ปูเชถา’’ติ วตฺตุมฺปิ วฎฺฎติฯ ภิกฺขู ปุปฺผปูชํ กตฺวา ทิวาตรํ คามํ ปวิเฎฺฐ ‘‘กิํ, ภเนฺต, อติทิวา ปวิฎฺฐตฺถา’’ติ ปุจฺฉนฺติ, ‘‘วิหาเร ปุปฺผานิ พหูนิ, ปูชํ อกริมฺหา’’ติ วทนฺติฯ มนุสฺสา ‘‘พหูนิ กิร วิหาเร ปุปฺผานี’’ติ ปุนทิวเส ปหูตํ ขาทนียํ โภชนียํ คเหตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา ปุปฺผปูชญฺจ กโรนฺติ ทานญฺจ เทนฺติ, วฎฺฎติฯ
33. Pupphaṃ nāma kassa dātuṃ vaṭṭati, kassa na vaṭṭatīti? Mātāpitūnaṃ tāva haritvāpi harāpetvāpi pakkositvāpi pakkosāpetvāpi dātuṃ vaṭṭati , sesañātakānaṃ pakkosāpetvāva. Tañca kho vatthupūjanatthāya, maṇḍanatthāya pana sivaliṅgādipūjanatthāya vā kassacipi dātuṃ na vaṭṭati. Mātāpitūnañca harāpentena ñātisāmaṇereheva harāpetabbaṃ. Itare pana yadi sayameva icchanti, vaṭṭati. Sammatena pupphabhājakena pupphabhājanakāle sampattānaṃ sāmaṇerānaṃ upaḍḍhabhāgaṃ dātuṃ vaṭṭati. Kurundiyaṃ pana ‘‘sampattagihīnaṃ upaḍḍhabhāgaṃ’’, mahāpaccariyaṃ ‘‘cūḷakaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti vuttaṃ. Asammatena apaloketvā dātabbaṃ. Ācariyupajjhāyesu sagāravā sāmaṇerā bahūni pupphāni āharitvā rāsiṃ katvā ṭhapenti, therā pātova sampattānaṃ saddhivihārikādīnaṃ upāsakādīnaṃ vā ‘‘tvaṃ idaṃ gaṇha, tvaṃ idaṃ gaṇhā’’ti denti, pupphadānaṃ nāma na hoti. ‘‘Cetiyaṃ pūjessāmā’’ti gahetvā gacchantāpi pūjaṃ karontāpi tattha tattha sampattānaṃ cetiyapūjanatthāya denti, etampi pupphadānaṃ nāma na hoti. Upāsake akkapupphādīhi pūjente disvā ‘‘vihāre kaṇikārapupphādīni atthi, upāsakā tāni gahetvā pūjethā’’ti vattumpi vaṭṭati. Bhikkhū pupphapūjaṃ katvā divātaraṃ gāmaṃ paviṭṭhe ‘‘kiṃ, bhante, atidivā paviṭṭhatthā’’ti pucchanti, ‘‘vihāre pupphāni bahūni, pūjaṃ akarimhā’’ti vadanti. Manussā ‘‘bahūni kira vihāre pupphānī’’ti punadivase pahūtaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ gahetvā vihāraṃ gantvā pupphapūjañca karonti dānañca denti, vaṭṭati.
๓๔. มนุสฺสา ‘‘มยํ, ภเนฺต, อสุกทิวสํ นาม ปูเชสฺสามา’’ติ ปุปฺผวารํ ยาจิตฺวา อนุญฺญาตทิวเส อาคจฺฉนฺติ, สามเณเรหิ จ ปเคว ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ฐปิตานิ โหนฺติ, เต รุเกฺขสุ ปุปฺผานิ อปสฺสนฺตา ‘‘กุหิํ, ภเนฺต, ปุปฺผานี’’ติ วทนฺติ, สามเณเรหิ โอจินิตฺวา ฐปิตานิ, ตุเมฺห ปน ปูเชตฺวา คจฺฉถ, สโงฺฆ อญฺญํ ทิวสํ ปูเชสฺสตีติฯ เต ปูเชตฺวา ทานํ ทตฺวา คจฺฉนฺติ, วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน กุรุนฺทิยญฺจ ‘‘เถรา สามเณเรหิ ทาเปตุํ น ลภนฺติ, สเจ สยเมว ตานิ ปุปฺผานิ เตสํ เทนฺติ, วฎฺฎติฯ เถเรหิ ปน ‘สามเณเรหิ โอจินิตฺวา ฐปิตานี’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ สเจ ปน ปุปฺผวารํ ยาจิตฺวา อโนจิเตสุ ปุเปฺผสุ ยาคุภตฺตาทีนิ อาทาย อาคนฺตฺวา สามเณเร ‘‘โอจินิตฺวา เทถา’’ติ วทนฺติ, ญาภิสามเณรานํเยว โอจินิตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติฯ อญฺญาตเก อุกฺขิปิตฺวา รุกฺขสาขาย ฐเปนฺติ, น โอโรหิตฺวา ปลายิตพฺพํ, โอจินิตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติ ฯ สเจ ปน โกจิ ธมฺมกถิโก ‘‘พหูนิ อุปาสกา วิหาเร ปุปฺผานิ, ยาคุภตฺตาทีนิ อาทาย คนฺตฺวา ปุปฺผปูชํ กโรถา’’ติ วทติ, ตเสฺสว น กปฺปตีติ มหาปจฺจริยญฺจ กุรุนฺทิยญฺจ วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน ‘‘เอตํ อกปฺปิยํ น วฎฺฎตี’’ติ อวิเสเสน วุตฺตํฯ
34. Manussā ‘‘mayaṃ, bhante, asukadivasaṃ nāma pūjessāmā’’ti pupphavāraṃ yācitvā anuññātadivase āgacchanti, sāmaṇerehi ca pageva pupphāni ocinitvā ṭhapitāni honti, te rukkhesu pupphāni apassantā ‘‘kuhiṃ, bhante, pupphānī’’ti vadanti, sāmaṇerehi ocinitvā ṭhapitāni, tumhe pana pūjetvā gacchatha, saṅgho aññaṃ divasaṃ pūjessatīti. Te pūjetvā dānaṃ datvā gacchanti, vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana kurundiyañca ‘‘therā sāmaṇerehi dāpetuṃ na labhanti, sace sayameva tāni pupphāni tesaṃ denti, vaṭṭati. Therehi pana ‘sāmaṇerehi ocinitvā ṭhapitānī’ti ettakameva vattabba’’nti vuttaṃ. Sace pana pupphavāraṃ yācitvā anocitesu pupphesu yāgubhattādīni ādāya āgantvā sāmaṇere ‘‘ocinitvā dethā’’ti vadanti, ñābhisāmaṇerānaṃyeva ocinitvā dātuṃ vaṭṭati. Aññātake ukkhipitvā rukkhasākhāya ṭhapenti, na orohitvā palāyitabbaṃ, ocinitvā dātuṃ vaṭṭati . Sace pana koci dhammakathiko ‘‘bahūni upāsakā vihāre pupphāni, yāgubhattādīni ādāya gantvā pupphapūjaṃ karothā’’ti vadati, tasseva na kappatīti mahāpaccariyañca kurundiyañca vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘etaṃ akappiyaṃ na vaṭṭatī’’ti avisesena vuttaṃ.
๓๕. ผลมฺปิ อตฺตโน สนฺตกํ วุตฺตนเยเนว มาตาปิตูนญฺจ เสสญาตีนญฺจ ทาตุํ วฎฺฎติฯ กุลสงฺคหตฺถาย ปน เทนฺตสฺส วุตฺตนเยเนว อตฺตโน สนฺตเก ปรสนฺตเก สงฺฆิเก เสนาสนตฺถาย นิยมิเต จ ทุกฺกฎาทีนิ เวทิตพฺพานิฯ อตฺตโน สนฺตกํเยว คิลานมนุสฺสานํ วา สมฺปตฺตอิสฺสรานํ วา ขีณปริพฺพยานํ วา ทาตุํ วฎฺฎติ, ผลทานํ น โหติฯ ผลภาชเกนปิ สมฺมเตน สงฺฆสฺส ผลภาชนกาเล สมฺปตฺตมนุสฺสานํ อุปฑฺฒภาคํ ทาตุํ วฎฺฎติ, อสมฺมเตน อปโลเกตฺวา ทาตพฺพํฯ สงฺฆาราเมปิ ผลปริเจฺฉเทน วา รุกฺขปริเจฺฉเทน วา กติกา กาตพฺพา ‘‘ตโต คิลานมนุสฺสานํ วา อเญฺญสํ วา ผลํ ยาจนฺตานํ ยถาปริเจฺฉเทน จตฺตาริ ปญฺจ ผลานิ ทาตพฺพานิ, รุกฺขา วา ทเสฺสตพฺพา ‘อิโต คเหตุํ ลพฺภตี’’’ติฯ ‘‘อิธ ผลานิ สุนฺทรานิ, อิโต คณฺหถา’’ติ เอวํ ปน น วตฺตพฺพํฯ อตฺตโน สนฺตกํ สิรีสจุณฺณํ วา อญฺญํ วา ยํ กิญฺจิ กสาวํ กุลสงฺคหตฺถาย เทติ, ทุกฺกฎํฯ ปรสนฺตกาทีสุปิ วุตฺตนเยเนว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ อยํ ปน วิเสโส – สงฺฆสฺส รกฺขิตโคปิตาปิ รุกฺขฉลฺลิ ครุภณฺฑเมวาติฯ มตฺติกทนฺตกฎฺฐเวฬุปเณฺณสุปิ ครุภณฺฑูปคํ ญตฺวา จุเณฺณ วุตฺตนเยเนว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
35. Phalampi attano santakaṃ vuttanayeneva mātāpitūnañca sesañātīnañca dātuṃ vaṭṭati. Kulasaṅgahatthāya pana dentassa vuttanayeneva attano santake parasantake saṅghike senāsanatthāya niyamite ca dukkaṭādīni veditabbāni. Attano santakaṃyeva gilānamanussānaṃ vā sampattaissarānaṃ vā khīṇaparibbayānaṃ vā dātuṃ vaṭṭati, phaladānaṃ na hoti. Phalabhājakenapi sammatena saṅghassa phalabhājanakāle sampattamanussānaṃ upaḍḍhabhāgaṃ dātuṃ vaṭṭati, asammatena apaloketvā dātabbaṃ. Saṅghārāmepi phalaparicchedena vā rukkhaparicchedena vā katikā kātabbā ‘‘tato gilānamanussānaṃ vā aññesaṃ vā phalaṃ yācantānaṃ yathāparicchedena cattāri pañca phalāni dātabbāni, rukkhā vā dassetabbā ‘ito gahetuṃ labbhatī’’’ti. ‘‘Idha phalāni sundarāni, ito gaṇhathā’’ti evaṃ pana na vattabbaṃ. Attano santakaṃ sirīsacuṇṇaṃ vā aññaṃ vā yaṃ kiñci kasāvaṃ kulasaṅgahatthāya deti, dukkaṭaṃ. Parasantakādīsupi vuttanayeneva vinicchayo veditabbo. Ayaṃ pana viseso – saṅghassa rakkhitagopitāpi rukkhachalli garubhaṇḍamevāti. Mattikadantakaṭṭhaveḷupaṇṇesupi garubhaṇḍūpagaṃ ñatvā cuṇṇe vuttanayeneva vinicchayo veditabbo.
๓๖. ชงฺฆเปสนิยนฺติ คิหีนํ ทูเตยฺยํ สาสนหรณกมฺมํ วุจฺจติ, ตํ น กาตพฺพํฯ คิหีนญฺหิ สาสนํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตสฺส ปเท ปเท ทุกฺกฎํฯ ตํ กมฺมํ นิสฺสาย ลทฺธโภชนํ ภุญฺชนฺตสฺสปิ อโชฺฌหาเร อโชฺฌหาเร ทุกฺกฎํฯ ปฐมํ สาสนํ อคฺคเหตฺวาปิ ปจฺฉา ‘‘อยํ ทานิ โส คาโม, หนฺท นํ สาสนํ อาโรเจมี’’ติ มคฺคา โอกฺกมนฺตสฺสปิ ปเท ปเท ทุกฺกฎํฯ สาสนํ อาโรเจตฺวา ลทฺธโภชนํ ภุญฺชโต ปุริมนเยเนว ทุกฺกฎํฯ สาสนํ อคฺคเหตฺวา อาคเตน ปน ‘‘ภเนฺต, ตสฺมิํ คาเม อิตฺถนฺนามสฺส กา ปวตฺตี’’ติ ปุจฺฉิยมาเนน กเถตุํ วฎฺฎติ, ปุจฺฉิตปเญฺห โทโส นตฺถิฯ ปญฺจนฺนํ ปน สหธมฺมิกานํ มาตาปิตูนํ ปณฺฑุปลาสสฺส อตฺตโน เวยฺยาวจฺจกรสฺส สาสนํ หริตุํ วฎฺฎติ, คิหีนญฺจ กปฺปิยสาสนํ, ตสฺมา ‘‘มม วจเนน ภควโต ปาเท วนฺทถา’’ติ วา ‘‘เจติยํ ปฎิมํ โพธิํ สงฺฆเตฺถรํ วนฺทถา’’ติ วา ‘‘เจติเย คนฺธปูชํ กโรถา’’ติ วา ‘‘ปุปฺผปูชํ กโรถา’’ติ วา ‘‘ภิกฺขู สนฺนิปาเตถ, ทานํ ทสฺสาม, ธมฺมํ เทสาปยิสฺสามา’’ติ วา อีทิเสสุ สาสเนสุ กุกฺกุจฺจํ น กาตพฺพํฯ กปฺปิยสาสนานิ หิ เอตานิ, น คิหีนํ คิหิกมฺมปฎิสํยุตฺตานีติฯ อิเมหิ ปน อฎฺฐหิ กุลทูสกกเมฺมหิ อุปฺปนฺนปจฺจยา ปญฺจนฺนมฺปิ สหธมฺมิกานํ น กปฺปนฺติฯ อภูตาโรจนรูปิยสํโวหาเรหิ อุปฺปนฺนปจฺจยสทิสาว โหนฺติฯ
36.Jaṅghapesaniyanti gihīnaṃ dūteyyaṃ sāsanaharaṇakammaṃ vuccati, taṃ na kātabbaṃ. Gihīnañhi sāsanaṃ gahetvā gacchantassa pade pade dukkaṭaṃ. Taṃ kammaṃ nissāya laddhabhojanaṃ bhuñjantassapi ajjhohāre ajjhohāre dukkaṭaṃ. Paṭhamaṃ sāsanaṃ aggahetvāpi pacchā ‘‘ayaṃ dāni so gāmo, handa naṃ sāsanaṃ ārocemī’’ti maggā okkamantassapi pade pade dukkaṭaṃ. Sāsanaṃ ārocetvā laddhabhojanaṃ bhuñjato purimanayeneva dukkaṭaṃ. Sāsanaṃ aggahetvā āgatena pana ‘‘bhante, tasmiṃ gāme itthannāmassa kā pavattī’’ti pucchiyamānena kathetuṃ vaṭṭati, pucchitapañhe doso natthi. Pañcannaṃ pana sahadhammikānaṃ mātāpitūnaṃ paṇḍupalāsassa attano veyyāvaccakarassa sāsanaṃ harituṃ vaṭṭati, gihīnañca kappiyasāsanaṃ, tasmā ‘‘mama vacanena bhagavato pāde vandathā’’ti vā ‘‘cetiyaṃ paṭimaṃ bodhiṃ saṅghattheraṃ vandathā’’ti vā ‘‘cetiye gandhapūjaṃ karothā’’ti vā ‘‘pupphapūjaṃ karothā’’ti vā ‘‘bhikkhū sannipātetha, dānaṃ dassāma, dhammaṃ desāpayissāmā’’ti vā īdisesu sāsanesu kukkuccaṃ na kātabbaṃ. Kappiyasāsanāni hi etāni, na gihīnaṃ gihikammapaṭisaṃyuttānīti. Imehi pana aṭṭhahi kuladūsakakammehi uppannapaccayā pañcannampi sahadhammikānaṃ na kappanti. Abhūtārocanarūpiyasaṃvohārehi uppannapaccayasadisāva honti.
ปพฺพาชนียกมฺมกโต ปน ยสฺมิํ คาเม วา นิคเม วา กุลทูสกกมฺมํ กตํ, ยสฺมิญฺจ วิหาเร วสติ, เนว ตสฺมิํ คาเม วา นิคเม วา จริตุํ ลภติ, น วิหาเร วสิตุํฯ ปฎิปฺปสฺสทฺธกเมฺมนปิ จ เตน เยสุ กุเลสุ ปุเพฺพ กุลทูสกกมฺมํ กตํ, ตโต อุปฺปนฺนปจฺจยา น คเหตพฺพา, อาสวกฺขยปเตฺตนปิ น คเหตพฺพา, อกปฺปิยาว โหนฺติฯ ‘‘กสฺมา น คณฺหถา’’ติ ปุจฺฉิเตน ‘‘ปุเพฺพ เอวํ กตตฺตา’’ติ วุเตฺต สเจ วทนฺติ ‘‘น มยํ เตน การเณน เทม, อิทานิ สีลวนฺตตาย เทมา’’ติ, คเหตพฺพาฯ ปกติยา ทานฎฺฐาเนเยว กุลทูสกกมฺมํ กตํ โหติ, ตโต ปกติทานเมว คเหตุํ วฎฺฎติฯ ยํ วเฑฺฒตฺวา เทนฺติ, ตํ น วฎฺฎติฯ ยสฺมา จ ปุจฺฉิตปเญฺห โทโส นตฺถิ, ตสฺมา อญฺญมฺปิ ภิกฺขุํ ปุพฺพเณฺห วา สายเนฺห วา อนฺตรฆรํ ปวิฎฺฐํ โกจิ ปุเจฺฉยฺย ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, จรถา’’ติฯ เยนเตฺถน จรติ, ตํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘ลทฺธํ น ลทฺธ’’นฺติ วุเตฺต สเจ น ลทฺธํ, ‘‘น ลทฺธ’’นฺติ วตฺวา ยํ โส เทติ, ตํ คเหตุํ วฎฺฎติฯ
Pabbājanīyakammakato pana yasmiṃ gāme vā nigame vā kuladūsakakammaṃ kataṃ, yasmiñca vihāre vasati, neva tasmiṃ gāme vā nigame vā carituṃ labhati, na vihāre vasituṃ. Paṭippassaddhakammenapi ca tena yesu kulesu pubbe kuladūsakakammaṃ kataṃ, tato uppannapaccayā na gahetabbā, āsavakkhayapattenapi na gahetabbā, akappiyāva honti. ‘‘Kasmā na gaṇhathā’’ti pucchitena ‘‘pubbe evaṃ katattā’’ti vutte sace vadanti ‘‘na mayaṃ tena kāraṇena dema, idāni sīlavantatāya demā’’ti, gahetabbā. Pakatiyā dānaṭṭhāneyeva kuladūsakakammaṃ kataṃ hoti, tato pakatidānameva gahetuṃ vaṭṭati. Yaṃ vaḍḍhetvā denti, taṃ na vaṭṭati. Yasmā ca pucchitapañhe doso natthi, tasmā aññampi bhikkhuṃ pubbaṇhe vā sāyanhe vā antaragharaṃ paviṭṭhaṃ koci puccheyya ‘‘kasmā, bhante, carathā’’ti. Yenatthena carati, taṃ ācikkhitvā ‘‘laddhaṃ na laddha’’nti vutte sace na laddhaṃ, ‘‘na laddha’’nti vatvā yaṃ so deti, taṃ gahetuṃ vaṭṭati.
๓๗. ‘‘น จ, ภิกฺขเว, ปณิธาย อรเญฺญ วตฺถพฺพํ, โย วเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ น จ, ภิกฺขเว, ปณิธาย ปิณฺฑาย จริตพฺพํ…เป.… น จ, ภิกฺขเว, ปณิธาย จงฺกมิตพฺพํ…เป.… น จ, ภิกฺขเว, ปณิธาย ฐาตพฺพํ…เป.… น จ, ภิกฺขเว, ปณิธาย นิสีทิตพฺพํ…เป.… น จ, ภิกฺขเว, ปณิธาย เสยฺยา กเปฺปตพฺพา, โย กเปฺปยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๒๒๓ อาทโย) วุตฺตตฺตา ‘‘เอวํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๒๒๓) อรเญฺญ วสนฺตํ มํ ชโน อรหเตฺต วา เสกฺขภูมิยํ วา สมฺภาเวสฺสติ, ตโต โลกสฺส สกฺกโต ภวิสฺสามิ ครุกโต มานิโต ปูชิโต’’ติ เอวํ ปตฺถนํ กตฺวา อรเญฺญ น วสิตพฺพํฯ เอวํ ปณิธาย ‘‘อรเญฺญ วสิสฺสามี’’ติ คจฺฉนฺตสฺส ปทวาเร ปทวาเร ทุกฺกฎํ, ตถา อรเญฺญ กุฎิกรณจงฺกมนนิสีทนนิวาสนปารุปนาทีสุ สพฺพกิเจฺจสุ ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํ, ตสฺมา เอวํ อรเญฺญ น วสิตพฺพํฯ เอวํ วสโนฺต หิ สมฺภาวนํ ลภตุ วา มา วา, ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ โย ปน สมาทินฺนธุตโงฺค ‘‘ธุตงฺคํ รกฺขิสฺสามี’’ติ วา ‘‘คามเนฺต เม วสโต จิตฺตํ วิกฺขิปติ, อรญฺญํ สปฺปาย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา วา ‘‘อทฺธา อรเญฺญ ติณฺณํ วิเวกานํ อญฺญตรํ ปาปุณิสฺสามี’’ติ วา ‘‘อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อรหตฺตํ อปาปุณิตฺวา น นิกฺขมิสฺสามี’’ติ วา ‘‘อรญฺญวาโส นาม ภควตา ปสโตฺถ, มยิ จ อรเญฺญ วสเนฺต พหู สพฺรหฺมจารี คามนฺตํ หิตฺวา อารญฺญกา ภวิสฺสนฺตี’’ติ วา เอวํ อนวชฺชวาสํ วสิตุกาโม โหติ, เตเนว วสิตพฺพํฯ ปิณฺฑาย จรนฺตสฺสปิ ‘‘อภิกฺกนฺตาทีนิ สณฺฐเปตฺวา ปิณฺฑาย จริสฺสามี’’ติ นิวาสนปารุปนกิจฺจโต ปภุติ ยาว โภชนปริโยสานํ, ตาว ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํ, สมฺภาวนํ ลภตุ วา มา วา, ทุกฺกฎเมวฯ ขนฺธกวตฺตเสขิยวตฺตปริปูรณตฺถํ ปน สพฺรหฺมจารีนํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชนตฺถํ วา ปาสาทิเกหิ อภิกฺกมปฎิกฺกมาทีหิ ปิณฺฑาย ปวิสโนฺต อนุปวโชฺช วิญฺญูนํฯ จงฺกมนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
37. ‘‘Na ca, bhikkhave, paṇidhāya araññe vatthabbaṃ, yo vaseyya, āpatti dukkaṭassa. Na ca, bhikkhave, paṇidhāya piṇḍāya caritabbaṃ…pe… na ca, bhikkhave, paṇidhāya caṅkamitabbaṃ…pe… na ca, bhikkhave, paṇidhāya ṭhātabbaṃ…pe… na ca, bhikkhave, paṇidhāya nisīditabbaṃ…pe… na ca, bhikkhave, paṇidhāya seyyā kappetabbā, yo kappeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 223 ādayo) vuttattā ‘‘evaṃ (pārā. aṭṭha. 2.223) araññe vasantaṃ maṃ jano arahatte vā sekkhabhūmiyaṃ vā sambhāvessati, tato lokassa sakkato bhavissāmi garukato mānito pūjito’’ti evaṃ patthanaṃ katvā araññe na vasitabbaṃ. Evaṃ paṇidhāya ‘‘araññe vasissāmī’’ti gacchantassa padavāre padavāre dukkaṭaṃ, tathā araññe kuṭikaraṇacaṅkamananisīdananivāsanapārupanādīsu sabbakiccesu payoge payoge dukkaṭaṃ, tasmā evaṃ araññe na vasitabbaṃ. Evaṃ vasanto hi sambhāvanaṃ labhatu vā mā vā, dukkaṭaṃ āpajjati. Yo pana samādinnadhutaṅgo ‘‘dhutaṅgaṃ rakkhissāmī’’ti vā ‘‘gāmante me vasato cittaṃ vikkhipati, araññaṃ sappāya’’nti cintetvā vā ‘‘addhā araññe tiṇṇaṃ vivekānaṃ aññataraṃ pāpuṇissāmī’’ti vā ‘‘araññaṃ pavisitvā arahattaṃ apāpuṇitvā na nikkhamissāmī’’ti vā ‘‘araññavāso nāma bhagavatā pasattho, mayi ca araññe vasante bahū sabrahmacārī gāmantaṃ hitvā āraññakā bhavissantī’’ti vā evaṃ anavajjavāsaṃ vasitukāmo hoti, teneva vasitabbaṃ. Piṇḍāya carantassapi ‘‘abhikkantādīni saṇṭhapetvā piṇḍāya carissāmī’’ti nivāsanapārupanakiccato pabhuti yāva bhojanapariyosānaṃ, tāva payoge payoge dukkaṭaṃ, sambhāvanaṃ labhatu vā mā vā, dukkaṭameva. Khandhakavattasekhiyavattaparipūraṇatthaṃ pana sabrahmacārīnaṃ diṭṭhānugatiāpajjanatthaṃ vā pāsādikehi abhikkamapaṭikkamādīhi piṇḍāya pavisanto anupavajjo viññūnaṃ. Caṅkamanādīsupi eseva nayo.
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
กุลสงฺคหวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Kulasaṅgahavinicchayakathā samattā.