Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๙. กุลสุตฺตํ
9. Kulasuttaṃ
๓๖๑. เอกํ สมยํ ภควา โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ เยน นาฬนฺทา ตทวสริ ฯ ตตฺร สุทํ ภควา นาฬนฺทายํ วิหรติ ปาวาริกมฺพวเนฯ
361. Ekaṃ samayaṃ bhagavā kosalesu cārikaṃ caramāno mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ yena nāḷandā tadavasari . Tatra sudaṃ bhagavā nāḷandāyaṃ viharati pāvārikambavane.
เตน โข ปน สมเยน นาฬนฺทา ทุพฺภิกฺขา โหติ ทฺวีหิติกา เสตฎฺฐิกา สลากาวุตฺตาฯ เตน โข ปน สมเยน นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต นาฬนฺทายํ ปฎิวสติ มหติยา นิคณฺฐปริสาย สทฺธิํฯ อถ โข อสิพนฺธกปุโตฺต คามณิ นิคณฺฐสาวโก เยน นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อสิพนฺธกปุตฺตํ คามณิํ นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต เอตทโวจ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, คามณิ, สมณสฺส โคตมสฺส วาทํ อาโรเปหิฯ เอวํ เต กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉิสฺสติ – ‘อสิพนฺธกปุเตฺตน คามณินา สมณสฺส โคตมสฺส เอวํมหิทฺธิกสฺส เอวํมหานุภาวสฺส วาโท อาโรปิโต’’’ติฯ
Tena kho pana samayena nāḷandā dubbhikkhā hoti dvīhitikā setaṭṭhikā salākāvuttā. Tena kho pana samayena nigaṇṭho nāṭaputto nāḷandāyaṃ paṭivasati mahatiyā nigaṇṭhaparisāya saddhiṃ. Atha kho asibandhakaputto gāmaṇi nigaṇṭhasāvako yena nigaṇṭho nāṭaputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho asibandhakaputtaṃ gāmaṇiṃ nigaṇṭho nāṭaputto etadavoca – ‘‘ehi tvaṃ, gāmaṇi, samaṇassa gotamassa vādaṃ āropehi. Evaṃ te kalyāṇo kittisaddo abbhuggacchissati – ‘asibandhakaputtena gāmaṇinā samaṇassa gotamassa evaṃmahiddhikassa evaṃmahānubhāvassa vādo āropito’’’ti.
‘‘กถํ ปนาหํ, ภเนฺต, สมณสฺส โคตมสฺส เอวํมหิทฺธิกสฺส เอวํมหานุภาวสฺส วาทํ อาโรเปสฺสามี’’ติ ? ‘‘เอหิ ตฺวํ, คามณิ, เยน สมโณ โคตโม เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา สมณํ โคตมํ เอวํ วเทหิ – ‘นนุ, ภเนฺต, ภควา อเนกปริยาเยน กุลานํ อนุทฺทยํ 1 วเณฺณติ, อนุรกฺขํ วเณฺณติ, อนุกมฺปํ วเณฺณตี’ติ? สเจ โข, คามณิ, สมโณ โคตโม เอวํ ปุโฎฺฐ เอวํ พฺยากโรติ – ‘เอวํ, คามณิ, ตถาคโต อเนกปริยาเยน กุลานํ อนุทฺทยํ วเณฺณติ, อนุรกฺขํ วเณฺณติ, อนุกมฺปํ วเณฺณตี’ติ, ตเมนํ ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ – ‘อถ กิญฺจรหิ, ภเนฺต, ภควา ทุพฺภิเกฺข ทฺวีหิติเก เสตฎฺฐิเก สลากาวุเตฺต มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ จาริกํ จรติ? อุเจฺฉทาย ภควา กุลานํ ปฎิปโนฺน, อนยาย ภควา กุลานํ ปฎิปโนฺน, อุปฆาตาย ภควา กุลานํ ปฎิปโนฺน’ติ! อิมํ โข เต, คามณิ, สมโณ โคตโม อุภโตโกฎิกํ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ เนว สกฺขติ 2 อุคฺคิลิตุํ, เนว สกฺขติ โอคิลิตุ’’นฺติฯ ‘‘เอวํ , ภเนฺต’’ติ โข อสิพนฺธกปุโตฺต คามณิ นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส ปฎิสฺสุตฺวา อุฎฺฐายาสนา นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อสิพนฺธกปุโตฺต คามณิ ภควนฺตํ เอตทโวจ –
‘‘Kathaṃ panāhaṃ, bhante, samaṇassa gotamassa evaṃmahiddhikassa evaṃmahānubhāvassa vādaṃ āropessāmī’’ti ? ‘‘Ehi tvaṃ, gāmaṇi, yena samaṇo gotamo tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā samaṇaṃ gotamaṃ evaṃ vadehi – ‘nanu, bhante, bhagavā anekapariyāyena kulānaṃ anuddayaṃ 3 vaṇṇeti, anurakkhaṃ vaṇṇeti, anukampaṃ vaṇṇetī’ti? Sace kho, gāmaṇi, samaṇo gotamo evaṃ puṭṭho evaṃ byākaroti – ‘evaṃ, gāmaṇi, tathāgato anekapariyāyena kulānaṃ anuddayaṃ vaṇṇeti, anurakkhaṃ vaṇṇeti, anukampaṃ vaṇṇetī’ti, tamenaṃ tvaṃ evaṃ vadeyyāsi – ‘atha kiñcarahi, bhante, bhagavā dubbhikkhe dvīhitike setaṭṭhike salākāvutte mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ cārikaṃ carati? Ucchedāya bhagavā kulānaṃ paṭipanno, anayāya bhagavā kulānaṃ paṭipanno, upaghātāya bhagavā kulānaṃ paṭipanno’ti! Imaṃ kho te, gāmaṇi, samaṇo gotamo ubhatokoṭikaṃ pañhaṃ puṭṭho neva sakkhati 4 uggilituṃ, neva sakkhati ogilitu’’nti. ‘‘Evaṃ , bhante’’ti kho asibandhakaputto gāmaṇi nigaṇṭhassa nāṭaputtassa paṭissutvā uṭṭhāyāsanā nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho asibandhakaputto gāmaṇi bhagavantaṃ etadavoca –
‘‘นนุ, ภเนฺต, ภควา อเนกปริยาเยน กุลานํ อนุทฺทยํ วเณฺณติ, อนุรกฺขํ วเณฺณติ, อนุกมฺปํ วเณฺณตี’’ติ? ‘‘เอวํ, คามณิ, ตถาคโต อเนกปริยาเยน กุลานํ อนุทฺทยํ วเณฺณติ, อนุรกฺขํ วเณฺณติ, อนุกมฺปํ วเณฺณตี’’ติฯ ‘‘อถ กิญฺจรหิ, ภเนฺต, ภควา ทุพฺภิเกฺข ทฺวีหิติเก เสตฎฺฐิเก สลากาวุเตฺต มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ จาริกํ จรติ? อุเจฺฉทาย ภควา กุลานํ ปฎิปโนฺน, อนยาย ภควา กุลานํ ปฎิปโนฺน, อุปฆาตาย ภควา กุลานํ ปฎิปโนฺน’’ติฯ ‘‘อิโต โส, คามณิ, เอกนวุติกเปฺป 5 ยมหํ อนุสฺสรามิ, นาภิชานามิ กิญฺจิ กุลํ ปกฺกภิกฺขานุปฺปทานมเตฺตน อุปหตปุพฺพํฯ อถ โข ยานิ ตานิ กุลานิ อฑฺฒานิ มหทฺธนานิ มหาโภคานิ ปหูตชาตรูปรชตานิ ปหูตวิตฺตูปกรณานิ ปหูตธนธญฺญานิ, สพฺพานิ ตานิ ทานสมฺภูตานิ เจว สจฺจสมฺภูตานิ จ สามญฺญสมฺภูตานิ จฯ อฎฺฐ โข, คามณิ, เหตู, อฎฺฐ ปจฺจยา กุลานํ อุปฆาตายฯ ราชโต วา กุลานิ อุปฆาตํ คจฺฉนฺติ, โจรโต วา กุลานิ อุปฆาตํ คจฺฉนฺติ, อคฺคิโต วา กุลานิ อุปฆาตํ คจฺฉนฺติ , อุทกโต วา กุลานิ อุปฆาตํ คจฺฉนฺติ, นิหิตํ วา ฐานา วิคจฺฉติ 6, ทุปฺปยุตฺตา วา กมฺมนฺตา วิปชฺชนฺติ, กุเล วา กุลงฺคาโรติ 7 อุปฺปชฺชติ, โย เต โภเค วิกิรติ วิธมติ วิทฺธํเสติ, อนิจฺจตาเย อฎฺฐมีติฯ อิเม โข, คามณิ, อฎฺฐ เหตู, อฎฺฐ ปจฺจยา กุลานํ อุปฆาตาย ฯ อิเมสุ โข, คามณิ, อฎฺฐสุ เหตูสุ, อฎฺฐสุ ปจฺจเยสุ สํวิชฺชมาเนสุ โย มํ เอวํ วเทยฺย – ‘อุเจฺฉทาย ภควา กุลานํ ปฎิปโนฺน, อนยาย ภควา กุลานํ ปฎิปโนฺน, อุปฆาตาย ภควา กุลานํ ปฎิปโนฺน’ติ, ตํ, คามณิ, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเย’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, อสิพนฺธกปุโตฺต คามณิ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต, อภิกฺกนฺตํ, ภเนฺต…เป.… อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ นวมํฯ
‘‘Nanu, bhante, bhagavā anekapariyāyena kulānaṃ anuddayaṃ vaṇṇeti, anurakkhaṃ vaṇṇeti, anukampaṃ vaṇṇetī’’ti? ‘‘Evaṃ, gāmaṇi, tathāgato anekapariyāyena kulānaṃ anuddayaṃ vaṇṇeti, anurakkhaṃ vaṇṇeti, anukampaṃ vaṇṇetī’’ti. ‘‘Atha kiñcarahi, bhante, bhagavā dubbhikkhe dvīhitike setaṭṭhike salākāvutte mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ cārikaṃ carati? Ucchedāya bhagavā kulānaṃ paṭipanno, anayāya bhagavā kulānaṃ paṭipanno, upaghātāya bhagavā kulānaṃ paṭipanno’’ti. ‘‘Ito so, gāmaṇi, ekanavutikappe 8 yamahaṃ anussarāmi, nābhijānāmi kiñci kulaṃ pakkabhikkhānuppadānamattena upahatapubbaṃ. Atha kho yāni tāni kulāni aḍḍhāni mahaddhanāni mahābhogāni pahūtajātarūparajatāni pahūtavittūpakaraṇāni pahūtadhanadhaññāni, sabbāni tāni dānasambhūtāni ceva saccasambhūtāni ca sāmaññasambhūtāni ca. Aṭṭha kho, gāmaṇi, hetū, aṭṭha paccayā kulānaṃ upaghātāya. Rājato vā kulāni upaghātaṃ gacchanti, corato vā kulāni upaghātaṃ gacchanti, aggito vā kulāni upaghātaṃ gacchanti , udakato vā kulāni upaghātaṃ gacchanti, nihitaṃ vā ṭhānā vigacchati 9, duppayuttā vā kammantā vipajjanti, kule vā kulaṅgāroti 10 uppajjati, yo te bhoge vikirati vidhamati viddhaṃseti, aniccatāye aṭṭhamīti. Ime kho, gāmaṇi, aṭṭha hetū, aṭṭha paccayā kulānaṃ upaghātāya . Imesu kho, gāmaṇi, aṭṭhasu hetūsu, aṭṭhasu paccayesu saṃvijjamānesu yo maṃ evaṃ vadeyya – ‘ucchedāya bhagavā kulānaṃ paṭipanno, anayāya bhagavā kulānaṃ paṭipanno, upaghātāya bhagavā kulānaṃ paṭipanno’ti, taṃ, gāmaṇi, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye’’ti. Evaṃ vutte, asibandhakaputto gāmaṇi bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘abhikkantaṃ, bhante, abhikkantaṃ, bhante…pe… upāsakaṃ maṃ bhagavā dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti. Navamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๙. กุลสุตฺตวณฺณนา • 9. Kulasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๙. กุลสุตฺตวณฺณนา • 9. Kulasuttavaṇṇanā