Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๔. กุลาวกวโคฺค
4. Kulāvakavaggo
[๓๑] ๑. กุลาวกชาตกวณฺณนา
[31] 1. Kulāvakajātakavaṇṇanā
กุลาวกาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อปริสฺสาเวตฺวา ปานียํ ปีตํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิโต กิร เทฺว สหายกา ทหรภิกฺขู ชนปทํ คนฺตฺวา เอกสฺมิํ ผาสุกฎฺฐาเน ยถาชฺฌาสยํ วสิตฺวา ‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ ปุน ตโต นิกฺขมิตฺวา เชตวนาภิมุขา ปายิํสุฯ เอกสฺส หเตฺถ ปริสฺสาวนํ อตฺถิ, เอกสฺส นตฺถิฯ เทฺวปิ เอกโต ปานียํ ปริสฺสาเวตฺวา ปิวนฺติฯ เต เอกทิวสํ วิวาทํ อกํสุฯ ปริสฺสาวนสามิโก อิตรสฺส ปริสฺสาวนํ อทตฺวา สยเมว ปานียํ ปริสฺสาเวตฺวา ปิวิ, อิตโร ปน ปริสฺสาวนํ อลภิตฺวา ปิปาสํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต อปริสฺสาเวตฺวา ปานียํ ปิวิฯ เต อุโภปิ อนุปุเพฺพน เชตวนํ ปตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา นิสีทิํสุฯ สตฺถา สโมฺมทนียํ กถํ กเถตฺวา ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภเนฺต, มยํ โกสลชนปเท เอกสฺมิํ คามเก วสิตฺวา ตโต นิกฺขมิตฺวา ตุมฺหากํ ทสฺสนตฺถาย อาคตา’’ติฯ ‘‘กจฺจิ ปน โว สมคฺคา อาคตตฺถา’’ติ? อปริสฺสาวนโก อาห ‘‘อยํ, ภเนฺต, อนฺตรามเคฺค มยา สทฺธิํ วิวาทํ กตฺวา ปริสฺสาวนํ นาทาสี’’ติฯ อิตโรปิ อาห ‘‘อยํ, ภเนฺต, อปริสฺสาเวตฺวาว ชานํ สปาณกํ อุทกํ ปิวี’’ติฯ ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ ชานํ สปาณกํ อุทกํ ปิวี’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, อปริสฺสาวิตํ อุทกํ ปิวินฺติ ฯ สตฺถา ‘‘ภิกฺขุ ปุเพฺพ ปณฺฑิตา เทวนคเร รชฺชํ กาเรนฺตา ยุทฺธปราชิตา สมุทฺทปิเฎฺฐน ปลายนฺตา ‘อิสฺสริยํ นิสฺสาย ปาณวธํ น กริสฺสามา’ติ ตาว มหนฺตํ ยสํ ปริจฺจชิตฺวา สุปณฺณโปตกานํ ชีวิตํ ทตฺวา รถํ นิวตฺตยิํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Kulāvakāti idaṃ satthā jetavane viharanto aparissāvetvā pānīyaṃ pītaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Sāvatthito kira dve sahāyakā daharabhikkhū janapadaṃ gantvā ekasmiṃ phāsukaṭṭhāne yathājjhāsayaṃ vasitvā ‘‘sammāsambuddhaṃ passissāmā’’ti puna tato nikkhamitvā jetavanābhimukhā pāyiṃsu. Ekassa hatthe parissāvanaṃ atthi, ekassa natthi. Dvepi ekato pānīyaṃ parissāvetvā pivanti. Te ekadivasaṃ vivādaṃ akaṃsu. Parissāvanasāmiko itarassa parissāvanaṃ adatvā sayameva pānīyaṃ parissāvetvā pivi, itaro pana parissāvanaṃ alabhitvā pipāsaṃ sandhāretuṃ asakkonto aparissāvetvā pānīyaṃ pivi. Te ubhopi anupubbena jetavanaṃ patvā satthāraṃ vanditvā nisīdiṃsu. Satthā sammodanīyaṃ kathaṃ kathetvā ‘‘kuto āgatatthā’’ti pucchi. ‘‘Bhante, mayaṃ kosalajanapade ekasmiṃ gāmake vasitvā tato nikkhamitvā tumhākaṃ dassanatthāya āgatā’’ti. ‘‘Kacci pana vo samaggā āgatatthā’’ti? Aparissāvanako āha ‘‘ayaṃ, bhante, antarāmagge mayā saddhiṃ vivādaṃ katvā parissāvanaṃ nādāsī’’ti. Itaropi āha ‘‘ayaṃ, bhante, aparissāvetvāva jānaṃ sapāṇakaṃ udakaṃ pivī’’ti. ‘‘Saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu jānaṃ sapāṇakaṃ udakaṃ pivī’’ti? ‘‘Āma, bhante, aparissāvitaṃ udakaṃ pivinti . Satthā ‘‘bhikkhu pubbe paṇḍitā devanagare rajjaṃ kārentā yuddhaparājitā samuddapiṭṭhena palāyantā ‘issariyaṃ nissāya pāṇavadhaṃ na karissāmā’ti tāva mahantaṃ yasaṃ pariccajitvā supaṇṇapotakānaṃ jīvitaṃ datvā rathaṃ nivattayiṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต มคธรเฎฺฐ ราชคเห เอโก มาคธราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ยถา เอตรหิ สโกฺก ปุริมตฺตภาเว มคธรเฎฺฐ มจลคามเก นิพฺพตฺติ, เอวํ ตสฺมิํเยว มจลคามเก มหากุลสฺส ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ นามคฺคหณทิวเส จสฺส ‘‘มฆกุมาโร’’เตฺวว นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ‘‘มฆมาณโว’’ติ ปญฺญายิตฺถฯ อถสฺส มาตาปิตโร สมานชาติกกุลโต ทาริกํ อานยิํสุฯ โส ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒมาโน ทานปติ อโหสิ, ปญฺจ สีลานิ รกฺขติฯ ตสฺมิญฺจ คาเม เตตฺติํเสว กุลานิ โหนฺติ, เตปิ เตตฺติํส กุลา มนุสฺสา เอกทิวสํ คามมเชฺฌ ฐตฺวา คามกมฺมํ กโรนฺติฯ โพธิสโตฺต ฐิตฎฺฐาเน ปาเทหิ ปํสุํ วิยูหิตฺวา ตํ ปเทสํ รมณียํ กตฺวา อฎฺฐาสิ, อถโญฺญ เอโก อาคนฺตฺวา ตสฺมิํ ฐาเน ฐิโตฯ โพธิสโตฺต อปรํ ฐานํ รมณียํ กตฺวา อฎฺฐาสิ, ตตฺราปิ อโญฺญ ฐิโตฯ โพธิสโตฺต อปรมฺปิ อปรมฺปีติ สเพฺพสมฺปิ ฐิตฎฺฐานํ รมณียํ กตฺวา อปเรน สมเยน ตสฺมิํ ฐาเน มณฺฑปํ กาเรสิ, มณฺฑปมฺปิ อปเนตฺวา สาลํ กาเรสิ, ตตฺถ ผลกาสนานิ สนฺถริตฺวา ปานียจาฎิํ ฐเปสิฯ
Atīte magadharaṭṭhe rājagahe eko māgadharājā rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto yathā etarahi sakko purimattabhāve magadharaṭṭhe macalagāmake nibbatti, evaṃ tasmiṃyeva macalagāmake mahākulassa putto hutvā nibbatti. Nāmaggahaṇadivase cassa ‘‘maghakumāro’’tveva nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto ‘‘maghamāṇavo’’ti paññāyittha. Athassa mātāpitaro samānajātikakulato dārikaṃ ānayiṃsu. So puttadhītāhi vaḍḍhamāno dānapati ahosi, pañca sīlāni rakkhati. Tasmiñca gāme tettiṃseva kulāni honti, tepi tettiṃsa kulā manussā ekadivasaṃ gāmamajjhe ṭhatvā gāmakammaṃ karonti. Bodhisatto ṭhitaṭṭhāne pādehi paṃsuṃ viyūhitvā taṃ padesaṃ ramaṇīyaṃ katvā aṭṭhāsi, athañño eko āgantvā tasmiṃ ṭhāne ṭhito. Bodhisatto aparaṃ ṭhānaṃ ramaṇīyaṃ katvā aṭṭhāsi, tatrāpi añño ṭhito. Bodhisatto aparampi aparampīti sabbesampi ṭhitaṭṭhānaṃ ramaṇīyaṃ katvā aparena samayena tasmiṃ ṭhāne maṇḍapaṃ kāresi, maṇḍapampi apanetvā sālaṃ kāresi, tattha phalakāsanāni santharitvā pānīyacāṭiṃ ṭhapesi.
อปเรน สมเยน เตปิ เตตฺติํสชนา โพธิสเตฺตน สมานจฺฉนฺทา อเหสุํฯ เต โพธิสโตฺต ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา ตโต ปฎฺฐาย เตหิ สทฺธิํ ปุญฺญานิ กโรโนฺต วิจรติฯ เตปิ เตเนว สทฺธิํ ปุญฺญานิ กโรนฺตา กาลเสฺสว วุฎฺฐาย วาสิผรสุมุสลหตฺถา จตุมหาปถาทีสุ มุสเลน ปาสาเณ อุพฺพเตฺตตฺวา ปวเฎฺฎนฺติ, ยานานํ อกฺขปฎิฆาตรุเกฺข หรนฺติ, วิสมํ สมํ กโรนฺติ, เสตุํ อตฺถรนฺติ, โปกฺขรณิโย ขณนฺติ, สาลํ กโรนฺติ, ทานานิ เทนฺติ, สีลานิ รกฺขนฺติฯ เอวํ เยภุเยฺยน สกลคามวาสิโน โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา สีลานิ รกฺขิํสุฯ
Aparena samayena tepi tettiṃsajanā bodhisattena samānacchandā ahesuṃ. Te bodhisatto pañcasu sīlesu patiṭṭhāpetvā tato paṭṭhāya tehi saddhiṃ puññāni karonto vicarati. Tepi teneva saddhiṃ puññāni karontā kālasseva vuṭṭhāya vāsipharasumusalahatthā catumahāpathādīsu musalena pāsāṇe ubbattetvā pavaṭṭenti, yānānaṃ akkhapaṭighātarukkhe haranti, visamaṃ samaṃ karonti, setuṃ attharanti, pokkharaṇiyo khaṇanti, sālaṃ karonti, dānāni denti, sīlāni rakkhanti. Evaṃ yebhuyyena sakalagāmavāsino bodhisattassa ovāde ṭhatvā sīlāni rakkhiṃsu.
อถ เนสํ คามโภชโก จิเนฺตสิ ‘‘อหํ ปุเพฺพ เอเตสุ สุรํ ปิวเนฺตสุ ปาณาติปาตาทีนิ กโรเนฺตสุ จาฎิกหาปณาทิวเสน เจว ทณฺฑพลิวเสน จ ธนํ ลภามิ, อิทานิ ปน มโฆ มาณโว สีลํ รกฺขาเปติ, เตสํ ปาณาติปาตาทีนิ กาตุํ น เทติ, อิทานิ ปน เต ปญฺจ สีลานิ น รกฺขาเปสฺสามี’’ติ กุโทฺธ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, พหู โจรา คามฆาตาทีนิ กโรนฺตา วิจรนฺตี’’ติ อาหฯ ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘คจฺฉ, เต อาเนหี’’ติ อาหฯ โส คนฺตฺวา สเพฺพปิ เต พนฺธิตฺวา อาเนตฺวา ‘‘อานีตา, เทว, โจรา’’ติ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา เตสํ กมฺมํ อโสเธตฺวาว ‘‘หตฺถินา เน มทฺทาเปถา’’ติ อาหฯ ตโต สเพฺพปิ เต ราชงฺคเณ นิปชฺชาเปตฺวา หตฺถิํ อานยิํสุฯ โพธิสโตฺต เตสํ โอวาทํ อทาสิ ‘‘ตุเมฺห สีลานิ อาวเชฺชถ, เปสุญฺญการเก จ รเญฺญ จ หตฺถิมฺหิ จ อตฺตโน สรีเร จ เอกสทิสเมว เมตฺตํ ภาเวถา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ อถ เนสํ มทฺทนตฺถาย หตฺถิํ อุปเนสุํฯ โส อุปนียมาโนปิ น อุปคจฺฉติ, มหาวิรวํ วิรวิตฺวา ปลายติฯ อญฺญํ อญฺญํ หตฺถิํ อานยิํสุ, เตปิ ตเถว ปลายิํสุฯ
Atha nesaṃ gāmabhojako cintesi ‘‘ahaṃ pubbe etesu suraṃ pivantesu pāṇātipātādīni karontesu cāṭikahāpaṇādivasena ceva daṇḍabalivasena ca dhanaṃ labhāmi, idāni pana magho māṇavo sīlaṃ rakkhāpeti, tesaṃ pāṇātipātādīni kātuṃ na deti, idāni pana te pañca sīlāni na rakkhāpessāmī’’ti kuddho rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, bahū corā gāmaghātādīni karontā vicarantī’’ti āha. Rājā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘gaccha, te ānehī’’ti āha. So gantvā sabbepi te bandhitvā ānetvā ‘‘ānītā, deva, corā’’ti rañño ārocesi. Rājā tesaṃ kammaṃ asodhetvāva ‘‘hatthinā ne maddāpethā’’ti āha. Tato sabbepi te rājaṅgaṇe nipajjāpetvā hatthiṃ ānayiṃsu. Bodhisatto tesaṃ ovādaṃ adāsi ‘‘tumhe sīlāni āvajjetha, pesuññakārake ca raññe ca hatthimhi ca attano sarīre ca ekasadisameva mettaṃ bhāvethā’’ti. Te tathā akaṃsu. Atha nesaṃ maddanatthāya hatthiṃ upanesuṃ. So upanīyamānopi na upagacchati, mahāviravaṃ viravitvā palāyati. Aññaṃ aññaṃ hatthiṃ ānayiṃsu, tepi tatheva palāyiṃsu.
ราชา ‘‘เอเตสํ หเตฺถ กิญฺจิ โอสธํ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘วิจินถา’’ติ อาหฯ วิจินนฺตา อทิสฺวา ‘‘นตฺถิ, เทวา’’ติ อาหํสุฯ เตน หิ กิญฺจิ มนฺตํ ปริวเตฺตสฺสนฺติ, ปุจฺฉถ เน ‘‘อตฺถิ โว ปริวตฺตนมโนฺต’’ติ? ราชปุริสา ปุจฺฉิํสุ, โพธิสโตฺต ‘‘อตฺถี’’ติ อาหฯ ราชปุริสา ‘‘อตฺถิ กิร, เทวา’’ติ อาโรจยิํสุ, ราชา สเพฺพปิ เต ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ ชานนมนฺตํ กเถถา’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต อโวจ ‘‘เทว, อโญฺญ อมฺหากํ มโนฺต นาม นตฺถิ, อเมฺห ปน เตตฺติํสมตฺตา ชนา ปาณํ น หนาม, อทินฺนํ นาทิยาม, มิจฺฉาจารํ น จราม, มุสาวาทํ น ภณาม, มชฺชํ น ปิวาม, เมตฺตํ ภาเวม, ทานํ เทม, มคฺคํ สมํ กโรม, โปกฺขรณิโย ขณาม, สาลํ กโรม, อยํ อมฺหากํ มโนฺต จ ปริตฺตญฺจ วุฑฺฒิ จา’’ติฯ ราชา เตสํ ปสโนฺน เปสุญฺญการกสฺส สพฺพํ เคหวิภวํ ตญฺจ เตสํเยว ทาสํ กตฺวา อทาสิ, ตํ หตฺถิญฺจ คามญฺจ เตสํเยว อทาสิฯ
Rājā ‘‘etesaṃ hatthe kiñci osadhaṃ bhavissatī’’ti cintetvā ‘‘vicinathā’’ti āha. Vicinantā adisvā ‘‘natthi, devā’’ti āhaṃsu. Tena hi kiñci mantaṃ parivattessanti, pucchatha ne ‘‘atthi vo parivattanamanto’’ti? Rājapurisā pucchiṃsu, bodhisatto ‘‘atthī’’ti āha. Rājapurisā ‘‘atthi kira, devā’’ti ārocayiṃsu, rājā sabbepi te pakkosāpetvā ‘‘tumhākaṃ jānanamantaṃ kathethā’’ti āha. Bodhisatto avoca ‘‘deva, añño amhākaṃ manto nāma natthi, amhe pana tettiṃsamattā janā pāṇaṃ na hanāma, adinnaṃ nādiyāma, micchācāraṃ na carāma, musāvādaṃ na bhaṇāma, majjaṃ na pivāma, mettaṃ bhāvema, dānaṃ dema, maggaṃ samaṃ karoma, pokkharaṇiyo khaṇāma, sālaṃ karoma, ayaṃ amhākaṃ manto ca parittañca vuḍḍhi cā’’ti. Rājā tesaṃ pasanno pesuññakārakassa sabbaṃ gehavibhavaṃ tañca tesaṃyeva dāsaṃ katvā adāsi, taṃ hatthiñca gāmañca tesaṃyeva adāsi.
เต ตโต ปฎฺฐาย ยถารุจิยา ปุญฺญานิ กโรนฺตา ‘‘จตุมหาปเถ มหนฺตํ สาลํ กาเรสฺสามา’’ติ วฑฺฒกิํ ปโกฺกสาเปตฺวา สาลํ ปฎฺฐเปสุํฯ มาตุคาเมสุ ปน วิคตจฺฉนฺทตาย ตสฺสา สาลาย มาตุคามานํ ปตฺติํ นาทํสุฯ เตน จ สมเยน โพธิสตฺตสฺส เคเห สุธมฺมา, จิตฺตา, นนฺทา, สุชาติ จตโสฺส อิตฺถิโย โหนฺติฯ ตาสุ สุธมฺมา วฑฺฒกินา สทฺธิํ เอกโต หุตฺวา ‘‘ภาติก, อิมิสฺสา สาลาย มํ เชฎฺฐิกํ กโรหี’’ติ วตฺวา ลญฺชํ อทาสิฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปฐมเมว กณฺณิการุกฺขํ สุกฺขาเปตฺวา ตเจฺฉตฺวา วิชฺฌิตฺวา กณฺณิกํ นิฎฺฐาเปตฺวา วเตฺถน ปลิเวเฐตฺวา ฐเปสิฯ อถ สาลํ นิฎฺฐาเปตฺวา กณฺณิกาโรปนกาเล ‘‘อโห, อยฺยา, เอกํ น สริมฺหา’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ นาม, โภ’’ติฯ ‘‘กณฺณิกา ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘โหตุ อาหริสฺสามา’’ติ? ‘‘อิทานิ ฉินฺนรุเกฺขน กาตุํ น สกฺกา, ปุเพฺพเยว ฉินฺทิตฺวา ตเจฺฉตฺวา วิชฺฌิตฺวา ฐปิตกณฺณิกา ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘อิทานิ กิํ กาตพฺพ’’นฺติ? ‘‘สเจ กสฺสจิ เคเห นิฎฺฐาเปตฺวา ฐปิตา วิกฺกายิกกณฺณิกา อตฺถิ, สา ปริเยสิตพฺพา’’ติฯ เต ปริเยสนฺตา สุธมฺมาย เคเห ทิสฺวา มูเลน น ลภิํสุฯ ‘‘สเจ มํ สาลาย ปตฺติกํ กโรถ, ทสฺสามี’’ติ วุเตฺต ‘‘น มยํ มาตุคามานํ ปตฺติํ ทมฺหา’’ติ อาหํสุฯ
Te tato paṭṭhāya yathāruciyā puññāni karontā ‘‘catumahāpathe mahantaṃ sālaṃ kāressāmā’’ti vaḍḍhakiṃ pakkosāpetvā sālaṃ paṭṭhapesuṃ. Mātugāmesu pana vigatacchandatāya tassā sālāya mātugāmānaṃ pattiṃ nādaṃsu. Tena ca samayena bodhisattassa gehe sudhammā, cittā, nandā, sujāti catasso itthiyo honti. Tāsu sudhammā vaḍḍhakinā saddhiṃ ekato hutvā ‘‘bhātika, imissā sālāya maṃ jeṭṭhikaṃ karohī’’ti vatvā lañjaṃ adāsi. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā paṭhamameva kaṇṇikārukkhaṃ sukkhāpetvā tacchetvā vijjhitvā kaṇṇikaṃ niṭṭhāpetvā vatthena paliveṭhetvā ṭhapesi. Atha sālaṃ niṭṭhāpetvā kaṇṇikāropanakāle ‘‘aho, ayyā, ekaṃ na sarimhā’’ti āha. ‘‘Kiṃ nāma, bho’’ti. ‘‘Kaṇṇikā laddhuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Hotu āharissāmā’’ti? ‘‘Idāni chinnarukkhena kātuṃ na sakkā, pubbeyeva chinditvā tacchetvā vijjhitvā ṭhapitakaṇṇikā laddhuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Idāni kiṃ kātabba’’nti? ‘‘Sace kassaci gehe niṭṭhāpetvā ṭhapitā vikkāyikakaṇṇikā atthi, sā pariyesitabbā’’ti. Te pariyesantā sudhammāya gehe disvā mūlena na labhiṃsu. ‘‘Sace maṃ sālāya pattikaṃ karotha, dassāmī’’ti vutte ‘‘na mayaṃ mātugāmānaṃ pattiṃ damhā’’ti āhaṃsu.
อถ เน วฑฺฒกี อาห ‘‘อยฺยา, ตุเมฺห กิํ กเถถ, ฐเปตฺวา พฺรหฺมโลกํ อญฺญํ มาตุคามรหิตฎฺฐานํ นาม นตฺถิ, คณฺหถ กณฺณิกํ, เอวํ สเนฺต อมฺหากํ กมฺมํ นิฎฺฐํ คมิสฺสตี’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ กณฺณิกํ คเหตฺวา สาลํ นิฎฺฐาเปตฺวา อาสนผลกานิ สนฺถริตฺวา ปานียจาฎิโย ฐเปตฺวา ยาคุภตฺตํ นิพนฺธิํสุฯ สาลํ ปากาเรน ปริกฺขิปิตฺวา ทฺวารํ โยเชตฺวา อโนฺตปากาเร วาลุกํ อากิริตฺวา พหิปากาเร ตาลปนฺติโย โรเปสุํฯ จิตฺตาปิ ตสฺมิํ ฐาเน อุยฺยานํ กาเรสิ, ‘‘ปุปฺผูปคผลูปครุโกฺข อสุโก นาม ตสฺมิํ นตฺถี’’ติ นาโหสิฯ นนฺทาปิ ตสฺมิํเยว ฐาเน โปกฺขรณิํ กาเรสิ ปญฺจวเณฺณหิ ปทุเมหิ สญฺฉนฺนํ รมณียํฯ สุชา น กิญฺจิ อกาสิฯ
Atha ne vaḍḍhakī āha ‘‘ayyā, tumhe kiṃ kathetha, ṭhapetvā brahmalokaṃ aññaṃ mātugāmarahitaṭṭhānaṃ nāma natthi, gaṇhatha kaṇṇikaṃ, evaṃ sante amhākaṃ kammaṃ niṭṭhaṃ gamissatī’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti kaṇṇikaṃ gahetvā sālaṃ niṭṭhāpetvā āsanaphalakāni santharitvā pānīyacāṭiyo ṭhapetvā yāgubhattaṃ nibandhiṃsu. Sālaṃ pākārena parikkhipitvā dvāraṃ yojetvā antopākāre vālukaṃ ākiritvā bahipākāre tālapantiyo ropesuṃ. Cittāpi tasmiṃ ṭhāne uyyānaṃ kāresi, ‘‘pupphūpagaphalūpagarukkho asuko nāma tasmiṃ natthī’’ti nāhosi. Nandāpi tasmiṃyeva ṭhāne pokkharaṇiṃ kāresi pañcavaṇṇehi padumehi sañchannaṃ ramaṇīyaṃ. Sujā na kiñci akāsi.
โพธิสโตฺต มาตุ อุปฎฺฐานํ ปิตุ อุปฎฺฐานํ กุเล เชฎฺฐาปจายิกกมฺมํ สจฺจวาจํ อผรุสวาจํ อปิสุณวาจํ มเจฺฉรวินยนฺติ อิมานิ สตฺต วตปทานิ ปูเรตฺวา –
Bodhisatto mātu upaṭṭhānaṃ pitu upaṭṭhānaṃ kule jeṭṭhāpacāyikakammaṃ saccavācaṃ apharusavācaṃ apisuṇavācaṃ maccheravinayanti imāni satta vatapadāni pūretvā –
‘‘มาตาเปตฺติภรํ ชนฺตุํ, กุเล เชฎฺฐาปจายินํ;
‘‘Mātāpettibharaṃ jantuṃ, kule jeṭṭhāpacāyinaṃ;
สณฺหํ สขิลสมฺภาสํ, เปสุเณยฺยปฺปหายินํฯ
Saṇhaṃ sakhilasambhāsaṃ, pesuṇeyyappahāyinaṃ.
‘‘มเจฺฉรวินเย ยุตฺตํ, สจฺจํ โกธาภิภุํ นรํ;
‘‘Maccheravinaye yuttaṃ, saccaṃ kodhābhibhuṃ naraṃ;
ตํ เว เทวา ตาวติํสา, อาหุ สปฺปุริโส อิตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๕๗) –
Taṃ ve devā tāvatiṃsā, āhu sappuriso itī’’ti. (saṃ. ni. 1.257) –
เอวํ ปสํสิยภาวํ อาปชฺชิตฺวา ชีวิตปริโยสาเน ตาวติํสภวเน สโกฺก เทวราชา หุตฺวา นิพฺพตฺติ, เตปิสฺส สหายา ตเตฺถว นิพฺพตฺติํสุฯ ตสฺมิํ กาเล ตาวติํสภวเน อสุรา ปฎิวสนฺติฯ สโกฺก เทวราชา ‘‘กิํ โน สาธารเณน รเชฺชนา’’ติ อสุเร ทิพฺพปานํ ปาเยตฺวา มเตฺต สมาเน ปาเทสุ คาหาเปตฺวา สิเนรุปพฺพตปาเท ขิปาเปสิฯ เต อสุรภวนเมว สมฺปาปุณิํสุฯ
Evaṃ pasaṃsiyabhāvaṃ āpajjitvā jīvitapariyosāne tāvatiṃsabhavane sakko devarājā hutvā nibbatti, tepissa sahāyā tattheva nibbattiṃsu. Tasmiṃ kāle tāvatiṃsabhavane asurā paṭivasanti. Sakko devarājā ‘‘kiṃ no sādhāraṇena rajjenā’’ti asure dibbapānaṃ pāyetvā matte samāne pādesu gāhāpetvā sinerupabbatapāde khipāpesi. Te asurabhavanameva sampāpuṇiṃsu.
อสุรภวนํ นาม สิเนรุสฺส เหฎฺฐิมตเล ตาวติํสเทวโลกปฺปมาณเมว, ตตฺถ เทวานํ ปาริจฺฉตฺตโก วิย จิตฺตปาฎลิ นาม กปฺปฎฺฐิยรุโกฺข โหติฯ เต จิตฺตปาฎลิยา ปุปฺผิตาย ชานนฺติ ‘‘นายํ อมฺหากํ เทวโลโก, เทวโลกสฺมิญฺหิ ปาริจฺฉตฺตโก ปุปฺผตี’’ติฯ อถ เต ‘‘ชรสโกฺก อเมฺห มเตฺต กตฺวา มหาสมุทฺทปิเฎฺฐ ขิปิตฺวา อมฺหากํ เทวนครํ คณฺหิ, เต มยํ เตน สทฺธิํ ยุชฺฌิตฺวา อมฺหากํ เทวนครเมว คณฺหิสฺสามา’’ติ กิปิลฺลิกา วิย ถมฺภํ สิเนรุํ อนุสญฺจรมานา อุฎฺฐหิํสุฯ สโกฺก ‘‘อสุรา กิร อุฎฺฐิตา’’ติ สุตฺวา สมุทฺทปิเฎฺฐเยว อพฺภุคฺคนฺตฺวา ยุชฺฌมาโน เตหิ ปราชิโต ทิยฑฺฒโยชนสติเกน เวชยนฺตรเถน ทกฺขิณสมุทฺทสฺส มตฺถเกน ปลายิตุํ อารโทฺธฯ อถสฺส รโถ สมุทฺทปิเฎฺฐน เวเคน คจฺฉโนฺต สิมฺพลิวนํ ปกฺขโนฺต, ตสฺส คมนมเคฺค สิมฺพลิวนํ นฬวนํ วิย ฉิชฺชิตฺวา ฉิชฺชิตฺวา สมุทฺทปิเฎฺฐ ปตติฯ สุปณฺณโปตกา สมุทฺทปิเฎฺฐ ปริปตนฺตา มหาวิรวํ รวิํสุฯ สโกฺก มาตลิํ ปุจฺฉิ ‘‘สมฺม มาตลิ, กิํ สโทฺท นาเมส, อติการุญฺญรโว วตฺตตี’’ติ? ‘‘เทว, ตุมฺหากํ รถเวเคน วิจุณฺณิเต สิมฺพลิวเน ปตเนฺต สุปณฺณโปตกา มรณภยตชฺชิตา เอกวิรวํ วิรวนฺตี’’ติฯ
Asurabhavanaṃ nāma sinerussa heṭṭhimatale tāvatiṃsadevalokappamāṇameva, tattha devānaṃ pāricchattako viya cittapāṭali nāma kappaṭṭhiyarukkho hoti. Te cittapāṭaliyā pupphitāya jānanti ‘‘nāyaṃ amhākaṃ devaloko, devalokasmiñhi pāricchattako pupphatī’’ti. Atha te ‘‘jarasakko amhe matte katvā mahāsamuddapiṭṭhe khipitvā amhākaṃ devanagaraṃ gaṇhi, te mayaṃ tena saddhiṃ yujjhitvā amhākaṃ devanagarameva gaṇhissāmā’’ti kipillikā viya thambhaṃ sineruṃ anusañcaramānā uṭṭhahiṃsu. Sakko ‘‘asurā kira uṭṭhitā’’ti sutvā samuddapiṭṭheyeva abbhuggantvā yujjhamāno tehi parājito diyaḍḍhayojanasatikena vejayantarathena dakkhiṇasamuddassa matthakena palāyituṃ āraddho. Athassa ratho samuddapiṭṭhena vegena gacchanto simbalivanaṃ pakkhanto, tassa gamanamagge simbalivanaṃ naḷavanaṃ viya chijjitvā chijjitvā samuddapiṭṭhe patati. Supaṇṇapotakā samuddapiṭṭhe paripatantā mahāviravaṃ raviṃsu. Sakko mātaliṃ pucchi ‘‘samma mātali, kiṃ saddo nāmesa, atikāruññaravo vattatī’’ti? ‘‘Deva, tumhākaṃ rathavegena vicuṇṇite simbalivane patante supaṇṇapotakā maraṇabhayatajjitā ekaviravaṃ viravantī’’ti.
มหาสโตฺต ‘‘สมฺม มาตลิ, มา อเมฺห นิสฺสาย เอเต กิลมนฺตุ, น มยํ อิสฺสริยํ นิสฺสาย ปาณวธกมฺมํ กโรม, เอเตสํ ปน อตฺถาย มยํ ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา อสุรานํ ทสฺสาม, นิวตฺตเยตํ รถ’’นฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –
Mahāsatto ‘‘samma mātali, mā amhe nissāya ete kilamantu, na mayaṃ issariyaṃ nissāya pāṇavadhakammaṃ karoma, etesaṃ pana atthāya mayaṃ jīvitaṃ pariccajitvā asurānaṃ dassāma, nivattayetaṃ ratha’’nti vatvā imaṃ gāthamāha –
๓๑.
31.
‘‘กุลาวกา มาตลิ สิมฺพลิสฺมิํ, อีสามุเขน ปริวชฺชยสฺสุ;
‘‘Kulāvakā mātali simbalismiṃ, īsāmukhena parivajjayassu;
กามํ จชาม อสุเรสุ ปาณํ, มาเม ทิชา วิกุลาวา อเหสุ’’นฺติฯ
Kāmaṃ cajāma asuresu pāṇaṃ, māme dijā vikulāvā ahesu’’nti.
ตตฺถ กุลาวกาติ สุปณฺณโปตกาฯ มาตลีติ สารถิํ อามเนฺตสิฯ สิมฺพลิสฺมินฺติ ปสฺส เอเต สิมฺพลิรุเกฺข โอลมฺพนฺตา ฐิตาติ ทเสฺสติฯ อีสามุเขน ปริวชฺชยสฺสูติ เอเต เอตสฺส รถสฺส อีสามุเขน ยถา น หญฺญนฺติ, เอวํ เต ปริวชฺชยสฺสุฯ กามํ จชาม อสุเรสุ ปาณนฺติ ยทิ อเมฺหสุ อสุรานํ ปาณํ จชเนฺตสุ เอเตสํ โสตฺถิ โหติ, กามํ จชาม เอกํเสเนว มยํ อสุเรสุ อมฺหากํ ปาณํ จชามฯ มาเม ทิชา วิกุลาวา อเหสุนฺติ อิเม ปน ทิชา อิเม ครุฬโปตกา วิทฺธสฺตวิจุณฺณิตกุลาวกตาย วิกุลาวา มา อเหสุํ, มา อมฺหากํ ทุกฺขํ เอเตสํ อุปริ ขิป, นิวตฺตย นิวตฺตย รถนฺติฯ มาตลิสงฺคาหโก ตสฺส วจนํ สุตฺวา รถํ นิวเตฺตตฺวา อเญฺญน มเคฺคน เทวโลกาภิมุขํ อกาสิฯ อสุรา ปน ตํ นิวตฺตยมานเมว ทิสฺวา ‘‘อทฺธา อเญฺญหิปิ จกฺกวาเฬหิ สกฺกา อาคจฺฉนฺติ, พลํ ลภิตฺวา รโถ นิวโตฺต ภวิสฺสตี’’ติ มรณภยภีตา ปลายิตฺวา อสุรภวนเมว ปวิสิํสุฯ
Tattha kulāvakāti supaṇṇapotakā. Mātalīti sārathiṃ āmantesi. Simbalisminti passa ete simbalirukkhe olambantā ṭhitāti dasseti. Īsāmukhena parivajjayassūti ete etassa rathassa īsāmukhena yathā na haññanti, evaṃ te parivajjayassu. Kāmaṃ cajāma asuresu pāṇanti yadi amhesu asurānaṃ pāṇaṃ cajantesu etesaṃ sotthi hoti, kāmaṃ cajāma ekaṃseneva mayaṃ asuresu amhākaṃ pāṇaṃ cajāma. Māme dijā vikulāvā ahesunti ime pana dijā ime garuḷapotakā viddhastavicuṇṇitakulāvakatāya vikulāvā mā ahesuṃ, mā amhākaṃ dukkhaṃ etesaṃ upari khipa, nivattaya nivattaya rathanti. Mātalisaṅgāhako tassa vacanaṃ sutvā rathaṃ nivattetvā aññena maggena devalokābhimukhaṃ akāsi. Asurā pana taṃ nivattayamānameva disvā ‘‘addhā aññehipi cakkavāḷehi sakkā āgacchanti, balaṃ labhitvā ratho nivatto bhavissatī’’ti maraṇabhayabhītā palāyitvā asurabhavanameva pavisiṃsu.
สโกฺกปิ เทวนครํ ปวิสิตฺวา ทฺวีสุ เทวโลเกสุ เทวคเณน ปริวุโต นครมเชฺฌ อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ปถวิํ ภินฺทิตฺวา โยชนสหสฺสุเพฺพโธ เวชยนฺตปาสาโท อุฎฺฐหิฯ วิชยเนฺต อุฎฺฐิตตฺตา ‘‘เวชยโนฺต’’ เตฺวว นามํ อกํสุฯ อถ สโกฺก ปุน อสุรานํ อนาคมนตฺถาย ปญฺจสุ ฐาเนสุ อารกฺขํ ฐเปสิฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Sakkopi devanagaraṃ pavisitvā dvīsu devalokesu devagaṇena parivuto nagaramajjhe aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe pathaviṃ bhinditvā yojanasahassubbedho vejayantapāsādo uṭṭhahi. Vijayante uṭṭhitattā ‘‘vejayanto’’ tveva nāmaṃ akaṃsu. Atha sakko puna asurānaṃ anāgamanatthāya pañcasu ṭhānesu ārakkhaṃ ṭhapesi. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘อนฺตรา ทฺวินฺนํ อยุชฺฌปุรานํ, ปญฺจวิธา ฐปิตา อภิรกฺขา;
‘‘Antarā dvinnaṃ ayujjhapurānaṃ, pañcavidhā ṭhapitā abhirakkhā;
อุรคกโรฎิปยสฺส จ หารี, มทนยุตา จตุโร จ มหนฺตา’’ติฯ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๔๗);
Uragakaroṭipayassa ca hārī, madanayutā caturo ca mahantā’’ti. (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.247);
เทฺว นครานิปิ ยุเทฺธน คเหตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อยุชฺฌปุรานิ นาม ชาตานิ เทวนครญฺจ อสุรนครญฺจฯ ยทา หิ อสุรา พลวนฺตา โหนฺติ, อถ เทเวหิ ปลายิตฺวา เทวนครํ ปวิสิตฺวา ทฺวาเร ปิหิเต อสุรานํ สตสหสฺสมฺปิ กิญฺจิ กาตุํ น สโกฺกติฯ ยทา เทวา พลวนฺตา โหนฺติ, อถ อสุเรหิ ปลายิตฺวา อสุรนครํ ปวิสิตฺวา ทฺวาเร ปิหิเต สกฺกานํ สตสหสฺสมฺปิ กิญฺจิ กาตุํ น สโกฺกติฯ อิติ อิมานิ เทฺว นครานิ อยุชฺฌปุรานิ นามฯ เตสํ อนฺตรา เอเตสุ อุรคาทีสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ สเกฺกน อารกฺขา ฐปิตาฯ ตตฺถ อุรค-สเทฺทน นาคา คหิตาฯ เต อุทเก พลวนฺตา โหนฺติ, ตสฺมา สิเนรุสฺส ปฐมาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ กโรฎิ-สเทฺทน สุปณฺณา คหิตาฯ เตสํ กิร กโรฎิ นาม ปานโภชนํ, เตน ตํ นามํ ลภิํสุ, ทุติยาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ ปยสฺสหาริ-สเทฺทน กุมฺภณฺฑา คหิตาฯ ทานวรกฺขสา กิเรเต, ตติยาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ มทนยุต-สเทฺทน ยกฺขา คหิตาฯ วิสมจาริโน กิร เต ยุทฺธโสณฺฑา, จตุตฺถาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ จตุโร จ มหนฺตาติ จตฺตาโร มหาราชาโน วุตฺตา, ปญฺจมาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ ตสฺมา ยทิ อสุรา กุปิตา อาวิลจิตฺตา เทวปุรํ อุปยนฺติ, ปญฺจวิเธสุ ยํ คิริโน ปฐมํ ปริภณฺฑํ, ตํ อุรคา ปริพาหิย ติฎฺฐนฺติฯ เอวํ เสเสสุ เสสาฯ
Dve nagarānipi yuddhena gahetuṃ asakkuṇeyyatāya ayujjhapurāni nāma jātāni devanagarañca asuranagarañca. Yadā hi asurā balavantā honti, atha devehi palāyitvā devanagaraṃ pavisitvā dvāre pihite asurānaṃ satasahassampi kiñci kātuṃ na sakkoti. Yadā devā balavantā honti, atha asurehi palāyitvā asuranagaraṃ pavisitvā dvāre pihite sakkānaṃ satasahassampi kiñci kātuṃ na sakkoti. Iti imāni dve nagarāni ayujjhapurāni nāma. Tesaṃ antarā etesu uragādīsu pañcasu ṭhānesu sakkena ārakkhā ṭhapitā. Tattha uraga-saddena nāgā gahitā. Te udake balavantā honti, tasmā sinerussa paṭhamālinde tesaṃ ārakkhā. Karoṭi-saddena supaṇṇā gahitā. Tesaṃ kira karoṭi nāma pānabhojanaṃ, tena taṃ nāmaṃ labhiṃsu, dutiyālinde tesaṃ ārakkhā. Payassahāri-saddena kumbhaṇḍā gahitā. Dānavarakkhasā kirete, tatiyālinde tesaṃ ārakkhā. Madanayuta-saddena yakkhā gahitā. Visamacārino kira te yuddhasoṇḍā, catutthālinde tesaṃ ārakkhā. Caturo ca mahantāti cattāro mahārājāno vuttā, pañcamālinde tesaṃ ārakkhā. Tasmā yadi asurā kupitā āvilacittā devapuraṃ upayanti, pañcavidhesu yaṃ girino paṭhamaṃ paribhaṇḍaṃ, taṃ uragā paribāhiya tiṭṭhanti. Evaṃ sesesu sesā.
อิเมสุ ปน ปญฺจสุ ฐาเนสุ อารกฺขํ ฐเปตฺวา สเกฺก เทวานมิเนฺท ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมาเน สุธมฺมา จวิตฺวา ตเสฺสว ปาทปริจาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺติ, กณฺณิกาย ทินฺนนิสฺสเนฺทน จสฺสา ปญฺจโยชนสติกา สุธมฺมา นาม เทวสภา อุทปาทิ, ยตฺถ ทิพฺพเสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา โยชนปฺปมาเณ กญฺจนปลฺลเงฺก นิสิโนฺน สโกฺก เทวานมิโนฺท เทวมนุสฺสานํ กตฺตพฺพกิจฺจานิ กโรติฯ จิตฺตาปิ จวิตฺวา ตเสฺสว ปาทปริจาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺติ, อุยฺยานสฺส กรณนิสฺสเนฺทน จสฺสา จิตฺตลตาวนํ นาม อุยฺยานํ อุทปาทิฯ นนฺทาปิ จวิตฺวา ตเสฺสว ปาทปริจาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺติ, โปกฺขรณิยา นิสฺสเนฺทน จสฺสา นนฺทา นาม โปกฺขรณี อุทปาทิฯ
Imesu pana pañcasu ṭhānesu ārakkhaṃ ṭhapetvā sakke devānaminde dibbasampattiṃ anubhavamāne sudhammā cavitvā tasseva pādaparicārikā hutvā nibbatti, kaṇṇikāya dinnanissandena cassā pañcayojanasatikā sudhammā nāma devasabhā udapādi, yattha dibbasetacchattassa heṭṭhā yojanappamāṇe kañcanapallaṅke nisinno sakko devānamindo devamanussānaṃ kattabbakiccāni karoti. Cittāpi cavitvā tasseva pādaparicārikā hutvā nibbatti, uyyānassa karaṇanissandena cassā cittalatāvanaṃ nāma uyyānaṃ udapādi. Nandāpi cavitvā tasseva pādaparicārikā hutvā nibbatti, pokkharaṇiyā nissandena cassā nandā nāma pokkharaṇī udapādi.
สุชา ปน กุสลกมฺมสฺส อกตตฺตา เอกสฺมิํ อรเญฺญ กนฺทราย พกสกุณิกา หุตฺวา นิพฺพตฺตาฯ สโกฺก ‘‘สุชา น ปญฺญายติ, กตฺถ นุ โข นิพฺพตฺตา’’ติ อาวเชฺชโนฺต ตํ ทิสฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ อาทาย เทวโลกํ อาคนฺตฺวา ตสฺสา รมณียํ เทวนครํ สุธมฺมํ เทวสภํ จิตฺตลตาวนํ นนฺทาโปกฺขรณิญฺจ ทเสฺสตฺวา ‘‘เอตา กุสลํ กตฺวา มยฺหํ ปาทปริจาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺตา, ตฺวํ ปน กุสลํ อกตฺวา ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพตฺตา , อิโต ปฎฺฐาย สีลํ รกฺขาหี’’ติ ตํ โอวทิตฺวา ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา ตเตฺถว เนตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ สาปิ ตโต ปฎฺฐาย สีลํ รกฺขติฯ สโกฺก กติปาหจฺจเยน ‘‘สกฺกา นุ โข สีลํ รกฺขิตุ’’นฺติ คนฺตฺวา มจฺฉรูเปน อุตฺตาโน หุตฺวา ปุรโต นิปชฺชิ, สา ‘‘มตมจฺฉโก’’ติ สญฺญาย สีเส อคฺคเหสิ, มโจฺฉ นงฺคุฎฺฐํ จาเลสิ, อถ นํ ‘‘ชีวติ มเญฺญ’’ติ วิสฺสเชฺชสิฯ สโกฺก ‘‘สาธุ สาธุ, สกฺขิสฺสสิ สีลํ รกฺขิตุ’’นฺติ อคมาสิฯ สา ตโต จุตา พาราณสิยํ กุมฺภการเคเห นิพฺพตฺติฯ
Sujā pana kusalakammassa akatattā ekasmiṃ araññe kandarāya bakasakuṇikā hutvā nibbattā. Sakko ‘‘sujā na paññāyati, kattha nu kho nibbattā’’ti āvajjento taṃ disvā tattha gantvā taṃ ādāya devalokaṃ āgantvā tassā ramaṇīyaṃ devanagaraṃ sudhammaṃ devasabhaṃ cittalatāvanaṃ nandāpokkharaṇiñca dassetvā ‘‘etā kusalaṃ katvā mayhaṃ pādaparicārikā hutvā nibbattā, tvaṃ pana kusalaṃ akatvā tiracchānayoniyaṃ nibbattā , ito paṭṭhāya sīlaṃ rakkhāhī’’ti taṃ ovaditvā pañcasu sīlesu patiṭṭhāpetvā tattheva netvā vissajjesi. Sāpi tato paṭṭhāya sīlaṃ rakkhati. Sakko katipāhaccayena ‘‘sakkā nu kho sīlaṃ rakkhitu’’nti gantvā maccharūpena uttāno hutvā purato nipajji, sā ‘‘matamacchako’’ti saññāya sīse aggahesi, maccho naṅguṭṭhaṃ cālesi, atha naṃ ‘‘jīvati maññe’’ti vissajjesi. Sakko ‘‘sādhu sādhu, sakkhissasi sīlaṃ rakkhitu’’nti agamāsi. Sā tato cutā bārāṇasiyaṃ kumbhakāragehe nibbatti.
สโกฺก ‘‘กหํ นุ โข นิพฺพตฺตา’’ติ ตตฺถ นิพฺพตฺตภาวํ ญตฺวา สุวณฺณเอฬาลุกานํ ยานกํ ปูเรตฺวา มเชฺฌ คามสฺส มหลฺลกเวเสน นิสีทิตฺวา ‘‘เอฬาลุกานิ คณฺหถ, เอฬาลุกานิ คณฺหถา’’ติ อุโคฺฆเสสิฯ มนุสฺสา อาคนฺตฺวา ‘‘เทหิ, ตาตา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘อหํ สีลรกฺขกานํ ทมฺมิ, ตุเมฺห สีลํ รกฺขถา’’ติ? ‘‘มยํ สีลํ นาม น ชานาม, มูเลน เทหี’’ติฯ ‘‘น มยฺหํ มูเลน อโตฺถ, สีลรกฺขกานเญฺญวาหํ ทมฺมี’’ติฯ มนุสฺสา ‘‘โก จายํ เอฬาลุโก’’ติ ปกฺกมิํสุฯ สุชา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘มยฺหํ อานีตํ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา คนฺตฺวา ตํ ‘‘เทหิ, ตาตา’’ติ อาหฯ ‘‘สีลํ รกฺขสิ, อมฺมา’’ติ? ‘‘อาม, รกฺขามี’’ติฯ ‘‘อิทํ มยา ตุยฺหเมว อตฺถาย อาภต’’นฺติ สทฺธิํ ยานเกน เคหทฺวาเร ฐเปตฺวา ปกฺกามิฯ
Sakko ‘‘kahaṃ nu kho nibbattā’’ti tattha nibbattabhāvaṃ ñatvā suvaṇṇaeḷālukānaṃ yānakaṃ pūretvā majjhe gāmassa mahallakavesena nisīditvā ‘‘eḷālukāni gaṇhatha, eḷālukāni gaṇhathā’’ti ugghosesi. Manussā āgantvā ‘‘dehi, tātā’’ti āhaṃsu. ‘‘Ahaṃ sīlarakkhakānaṃ dammi, tumhe sīlaṃ rakkhathā’’ti? ‘‘Mayaṃ sīlaṃ nāma na jānāma, mūlena dehī’’ti. ‘‘Na mayhaṃ mūlena attho, sīlarakkhakānaññevāhaṃ dammī’’ti. Manussā ‘‘ko cāyaṃ eḷāluko’’ti pakkamiṃsu. Sujā taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘mayhaṃ ānītaṃ bhavissatī’’ti cintetvā gantvā taṃ ‘‘dehi, tātā’’ti āha. ‘‘Sīlaṃ rakkhasi, ammā’’ti? ‘‘Āma, rakkhāmī’’ti. ‘‘Idaṃ mayā tuyhameva atthāya ābhata’’nti saddhiṃ yānakena gehadvāre ṭhapetvā pakkāmi.
สาปิ ยาวชีวํ สีลํ รกฺขิตฺวา ตโต จุตา เวปจิตฺติสฺส อสุรินฺทสฺส ธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติ, สีลานิสํเสน อภิรูปา อโหสิฯ โส ตสฺสา วยปฺปตฺตกาเล ‘‘มยฺหํ ธีตา อตฺตโน จิตฺตรุจิตํ สามิกํ คณฺหตู’’ติ อสุเร สนฺนิปาเตสิ ฯ สโกฺก ‘‘กหํ นุ โข สา นิพฺพตฺตา’’ติ โอโลเกโนฺต ตตฺถ นิพฺพตฺตภาวํ ญตฺวา ‘‘สุชา จิตฺตรุจิตํ สามิกํ คณฺหนฺตี มํ คณฺหิสฺสตี’’ติ อสุรวณฺณํ มาเปตฺวา ตตฺถ อคมาสิฯ สุชํ อลงฺกริตฺวา สนฺนิปาตฎฺฐานํ อาเนตฺวา ‘‘จิตฺตรุจิตํ สามิกํ คณฺหา’’ติ อาหํสุฯ สา โอโลเกนฺตี สกฺกํ ทิสฺวา ปุเพฺพปิ สิเนหวเสน อุปฺปนฺนเปเมน มโหเฆน วิย อโชฺฌตฺถฎหทยา หุตฺวา ‘‘อยํ เม สามิโก’’ติ วตฺวา ตสฺส อุปริ ปุปฺผทามํ ขิปิตฺวา อคฺคเหสิฯ อสุรา ‘‘อมฺหากํ ราชา เอตฺตกํ กาลํ ธีตุ อนุจฺฉวิกํ อลภิตฺวา อิทานิ ลภติ , อยเมวสฺสา ธีตุ ปิตามหโต มหลฺลโก อนุจฺฉวิโก’’ติ ลชฺชมานา ปกฺกมิํสุฯ โส ตํ เทวนครํ อาเนตฺวา อฑฺฒเตยฺยานํ นาฎิกาโกฎีนํ เชฎฺฐิกํ กตฺวา ยาวตายุกํ ฐตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Sāpi yāvajīvaṃ sīlaṃ rakkhitvā tato cutā vepacittissa asurindassa dhītā hutvā nibbatti, sīlānisaṃsena abhirūpā ahosi. So tassā vayappattakāle ‘‘mayhaṃ dhītā attano cittarucitaṃ sāmikaṃ gaṇhatū’’ti asure sannipātesi . Sakko ‘‘kahaṃ nu kho sā nibbattā’’ti olokento tattha nibbattabhāvaṃ ñatvā ‘‘sujā cittarucitaṃ sāmikaṃ gaṇhantī maṃ gaṇhissatī’’ti asuravaṇṇaṃ māpetvā tattha agamāsi. Sujaṃ alaṅkaritvā sannipātaṭṭhānaṃ ānetvā ‘‘cittarucitaṃ sāmikaṃ gaṇhā’’ti āhaṃsu. Sā olokentī sakkaṃ disvā pubbepi sinehavasena uppannapemena mahoghena viya ajjhotthaṭahadayā hutvā ‘‘ayaṃ me sāmiko’’ti vatvā tassa upari pupphadāmaṃ khipitvā aggahesi. Asurā ‘‘amhākaṃ rājā ettakaṃ kālaṃ dhītu anucchavikaṃ alabhitvā idāni labhati , ayamevassā dhītu pitāmahato mahallako anucchaviko’’ti lajjamānā pakkamiṃsu. So taṃ devanagaraṃ ānetvā aḍḍhateyyānaṃ nāṭikākoṭīnaṃ jeṭṭhikaṃ katvā yāvatāyukaṃ ṭhatvā yathākammaṃ gato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ ภิกฺขุ ปุเพฺพ ปณฺฑิตา เทวนคเร รชฺชํ การยมานา อตฺตโน ชีวิตํ ปริจฺจชนฺตาปิ ปาณาติปาตํ น กริํสุ, ตฺวํ นาม เอวรูเป นิยฺยานิเก สาสเน ปพฺพชิตฺวา อปริสฺสาวิตํ สปาณกํ อุทกํ ปิวิสฺสสี’’ติ ตํ ภิกฺขุํ ครหิตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มาตลิสงฺคาหโก อานโนฺท อโหสิ, สโกฺก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ bhikkhu pubbe paṇḍitā devanagare rajjaṃ kārayamānā attano jīvitaṃ pariccajantāpi pāṇātipātaṃ na kariṃsu, tvaṃ nāma evarūpe niyyānike sāsane pabbajitvā aparissāvitaṃ sapāṇakaṃ udakaṃ pivissasī’’ti taṃ bhikkhuṃ garahitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā mātalisaṅgāhako ānando ahosi, sakko pana ahameva ahosi’’nti.
กุลาวกชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Kulāvakajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๑. กุลาวกชาตกํ • 31. Kulāvakajātakaṃ