Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๐๘] ๓. กุมฺภการชาตกวณฺณนา
[408] 3. Kumbhakārajātakavaṇṇanā
อมฺพาหมทฺทํ วนมนฺตรสฺมินฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต กิเลสนิคฺคหํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ ปานียชาตเก (ชา. ๑.๑๑.๕๙ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ ตทา ปน สาวตฺถิยํ ปญฺจสตา สหายกา ปพฺพชิตฺวา อโนฺตโกฎิสนฺถาเร วสมานา อฑฺฒรตฺตสมเย กามวิตกฺกํ วิตกฺกยิํสุฯ สตฺถา อตฺตโน สาวเก รตฺติยา ตโย วาเร, ทิวสสฺส ตโย วาเรติ รตฺตินฺทิวํ ฉ วาเร โอโลเกโนฺต กิกี อณฺฑํ วิย, จมรี วาลธิํ วิย, มาตา ปิยปุตฺตํ วิย, เอกจกฺขุโก ปุริโส จกฺขุํ วิย รกฺขติ, ตสฺมิํ ตสฺมิํเยว ขเณ อุปฺปนฺนกิเลสํ นิคฺคณฺหาติฯ โส ตํ ทิวสํ อฑฺฒรตฺตสมเย เชตวนํ ปริคฺคณฺหโนฺต เตสํ ภิกฺขูนํ วิตกฺกสมุทาจารํ ญตฺวา ‘‘อิเมสํ ภิกฺขูนํ อพฺภนฺตเร อยํ กิเลโส วฑฺฒโนฺต อรหตฺตสฺส เหตุํ ภินฺทิสฺสติ, อิทาเนว เนสํ กิเลสํ นิคฺคณฺหิตฺวา อรหตฺตํ ทสฺสามี’’ติ คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา อานนฺทเตฺถรํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อานนฺท, อโนฺตโกฎิสนฺถาเร วสนกภิกฺขู สเพฺพ สนฺนิปาเตหี’’ติ สนฺนิปาตาเปตฺวา ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อโนฺตปวตฺตกิเลสานํ วเส วตฺติตุํ วฎฺฎติ, กิเลโส หิ วฑฺฒมาโน ปจฺจามิโตฺต วิย มหาวินาสํ ปาเปติ, ภิกฺขุนา นาม อปฺปมตฺตกมฺปิ กิเลสํ นิคฺคณฺหิตุํ วฎฺฎติ, โปราณกปณฺฑิตา อปฺปมตฺตกํ อารมฺมณํ ทิสฺวา อพฺภนฺตเร ปวตฺตกิเลสํ นิคฺคณฺหิตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Ambāhamaddaṃ vanamantarasminti idaṃ satthā jetavane viharanto kilesaniggahaṃ ārabbha kathesi. Vatthu pānīyajātake (jā. 1.11.59 ādayo) āvi bhavissati. Tadā pana sāvatthiyaṃ pañcasatā sahāyakā pabbajitvā antokoṭisanthāre vasamānā aḍḍharattasamaye kāmavitakkaṃ vitakkayiṃsu. Satthā attano sāvake rattiyā tayo vāre, divasassa tayo vāreti rattindivaṃ cha vāre olokento kikī aṇḍaṃ viya, camarī vāladhiṃ viya, mātā piyaputtaṃ viya, ekacakkhuko puriso cakkhuṃ viya rakkhati, tasmiṃ tasmiṃyeva khaṇe uppannakilesaṃ niggaṇhāti. So taṃ divasaṃ aḍḍharattasamaye jetavanaṃ pariggaṇhanto tesaṃ bhikkhūnaṃ vitakkasamudācāraṃ ñatvā ‘‘imesaṃ bhikkhūnaṃ abbhantare ayaṃ kileso vaḍḍhanto arahattassa hetuṃ bhindissati, idāneva nesaṃ kilesaṃ niggaṇhitvā arahattaṃ dassāmī’’ti gandhakuṭito nikkhamitvā ānandattheraṃ pakkosāpetvā ‘‘ānanda, antokoṭisanthāre vasanakabhikkhū sabbe sannipātehī’’ti sannipātāpetvā paññattavarabuddhāsane nisīditvā ‘‘na, bhikkhave, antopavattakilesānaṃ vase vattituṃ vaṭṭati, kileso hi vaḍḍhamāno paccāmitto viya mahāvināsaṃ pāpeti, bhikkhunā nāma appamattakampi kilesaṃ niggaṇhituṃ vaṭṭati, porāṇakapaṇḍitā appamattakaṃ ārammaṇaṃ disvā abbhantare pavattakilesaṃ niggaṇhitvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พาราณสินครสฺส ทฺวารคาเม กุมฺภการกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต กุฎุมฺพํ สณฺฐเปตฺวา เอกํ ปุตฺตญฺจ ธีตรญฺจ ลภิตฺวา กุมฺภการกมฺมํ นิสฺสาย ปุตฺตทารํ โปเสสิฯ ตทา กลิงฺครเฎฺฐ ทนฺตปุรนคเร กรณฺฑโก นาม ราชา มหเนฺตน ปริวาเรน อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต อุยฺยานทฺวาเร ผลภารภริตํ มธุรผลํ อมฺพรุกฺขํ ทิสฺวา หตฺถิกฺขนฺธวรคโตเยว หตฺถํ ปสาเรตฺวา เอกํ อมฺพปิณฺฑํ คเหตฺวา อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา มงฺคลสิลาย นิสิโนฺน ทาตพฺพยุตฺตกานํ ทตฺวา อมฺพํ ปริภุญฺชิฯ ‘‘รญฺญา คหิตกาลโต ปฎฺฐาย เสเสหิ นาม คเหตพฺพเมวา’’ติ อมจฺจาปิ พฺราหฺมณคหปติกาทโยปิ อมฺพานิ ปาเตตฺวา ขาทิํสุฯ ปจฺฉา อาคตา รุกฺขํ อารุยฺห มุคฺคเรหิ โปเถตฺวา โอภคฺควิภคฺคสาขํ กตฺวา อามกผลมฺปิ อเสเสตฺวา ขาทิํสุฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto bārāṇasinagarassa dvāragāme kumbhakārakule nibbattitvā vayappatto kuṭumbaṃ saṇṭhapetvā ekaṃ puttañca dhītarañca labhitvā kumbhakārakammaṃ nissāya puttadāraṃ posesi. Tadā kaliṅgaraṭṭhe dantapuranagare karaṇḍako nāma rājā mahantena parivārena uyyānaṃ gacchanto uyyānadvāre phalabhārabharitaṃ madhuraphalaṃ ambarukkhaṃ disvā hatthikkhandhavaragatoyeva hatthaṃ pasāretvā ekaṃ ambapiṇḍaṃ gahetvā uyyānaṃ pavisitvā maṅgalasilāya nisinno dātabbayuttakānaṃ datvā ambaṃ paribhuñji. ‘‘Raññā gahitakālato paṭṭhāya sesehi nāma gahetabbamevā’’ti amaccāpi brāhmaṇagahapatikādayopi ambāni pātetvā khādiṃsu. Pacchā āgatā rukkhaṃ āruyha muggarehi pothetvā obhaggavibhaggasākhaṃ katvā āmakaphalampi asesetvā khādiṃsu.
ราชา ทิวสํ อุยฺยาเน กีฬิตฺวา สายนฺหสมเย อลงฺกตหตฺถิกฺขนฺธวเร นิสีทิตฺวา คจฺฉโนฺต ตํ รุกฺขํ ทิสฺวา หตฺถิโต โอตริตฺวา รุกฺขมูลํ คนฺตฺวา รุกฺขํ โอโลเกตฺวา ‘‘อยํ ปาโตว ปสฺสนฺตานํ อติตฺติกโร ผลภารภริโต โสภมาโน อฎฺฐาสิ, อิทานิ คหิตผโล โอภคฺควิภโคฺค อโสภมาโน ฐิโต’’ติ จิเนฺตตฺวา ปุน อญฺญโต โอโลเกโนฺต อปรํ นิปฺผลํ อมฺพรุกฺขํ ทิสฺวา ‘‘เอส รุโกฺข อตฺตโน นิปฺผลภาเวน มุณฺฑมณิปพฺพโต วิย โสภมาโน ฐิโต, อยํ ปน สผลภาเวน อิมํ พฺยสนํ ปโตฺต, อิทํ อคารมชฺฌมฺปิ ผลิตรุกฺขสทิสํ, ปพฺพชฺชา นิปฺผลรุกฺขสทิสา, สธนเสฺสว ภยํ อตฺถิ, นิทฺธนสฺส ภยํ นตฺถิ, มยาปิ นิปฺผลรุเกฺขน วิย ภวิตพฺพ’’นฺติ ผลรุกฺขํ อารมฺมณํ กตฺวา รุกฺขมูเล ฐิตโกว ตีณิ ลกฺขณานิ สลฺลเกฺขตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา ‘‘วิทฺธํสิตา ทานิ เม มาตุกุจฺฉิกุฎิกา, ฉินฺนา ตีสุ ภเวสุ ปฎิสนฺธิ, โสธิตา สํสารอุกฺการภูมิ, โสสิโต มยา อสฺสุสมุโทฺท, ภิโนฺน อฎฺฐิปากาโร, นตฺถิ เม ปุน ปฎิสนฺธี’’ติ อาวเชฺชโนฺต สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโตว อฎฺฐาสิฯ
Rājā divasaṃ uyyāne kīḷitvā sāyanhasamaye alaṅkatahatthikkhandhavare nisīditvā gacchanto taṃ rukkhaṃ disvā hatthito otaritvā rukkhamūlaṃ gantvā rukkhaṃ oloketvā ‘‘ayaṃ pātova passantānaṃ atittikaro phalabhārabharito sobhamāno aṭṭhāsi, idāni gahitaphalo obhaggavibhaggo asobhamāno ṭhito’’ti cintetvā puna aññato olokento aparaṃ nipphalaṃ ambarukkhaṃ disvā ‘‘esa rukkho attano nipphalabhāvena muṇḍamaṇipabbato viya sobhamāno ṭhito, ayaṃ pana saphalabhāvena imaṃ byasanaṃ patto, idaṃ agāramajjhampi phalitarukkhasadisaṃ, pabbajjā nipphalarukkhasadisā, sadhanasseva bhayaṃ atthi, niddhanassa bhayaṃ natthi, mayāpi nipphalarukkhena viya bhavitabba’’nti phalarukkhaṃ ārammaṇaṃ katvā rukkhamūle ṭhitakova tīṇi lakkhaṇāni sallakkhetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattetvā ‘‘viddhaṃsitā dāni me mātukucchikuṭikā, chinnā tīsu bhavesu paṭisandhi, sodhitā saṃsāraukkārabhūmi, sosito mayā assusamuddo, bhinno aṭṭhipākāro, natthi me puna paṭisandhī’’ti āvajjento sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitova aṭṭhāsi.
อถ นํ อมจฺจา อาหํสุ ‘‘อติพหุํ ฐิตตฺถ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘น มยํ มหาราชาโน, ปเจฺจกพุทฺธา นาม มย’’นฺติฯ ‘‘ปเจฺจกพุทฺธา นาม ตุมฺหาทิสา น โหนฺติ, เทวา’’ติฯ ‘‘อถ กีทิสา โหนฺตี’’ติ? ‘‘โอโรปิตเกสมสฺสุกาสาววตฺถปฎิจฺฉนฺนา กุเล วา คเณ วา อลคฺคา วาตจฺฉินฺนวลาหกราหุมุตฺตจนฺทมณฺฑลปฎิภาคา หิมวเนฺต นนฺทมูลกปพฺภาเร วสนฺติ, เอวรูปา เทว, ปเจฺจกพุทฺธา’’ติฯ ตสฺมิํ ขเณ ราชา หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวา สีสํ ปรามสิ, ตาวเทวสฺส คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายิ, สมณลิงฺคํ ปาตุรโหสิฯ
Atha naṃ amaccā āhaṃsu ‘‘atibahuṃ ṭhitattha, mahārājā’’ti. ‘‘Na mayaṃ mahārājāno, paccekabuddhā nāma maya’’nti. ‘‘Paccekabuddhā nāma tumhādisā na honti, devā’’ti. ‘‘Atha kīdisā hontī’’ti? ‘‘Oropitakesamassukāsāvavatthapaṭicchannā kule vā gaṇe vā alaggā vātacchinnavalāhakarāhumuttacandamaṇḍalapaṭibhāgā himavante nandamūlakapabbhāre vasanti, evarūpā deva, paccekabuddhā’’ti. Tasmiṃ khaṇe rājā hatthaṃ ukkhipitvā sīsaṃ parāmasi, tāvadevassa gihiliṅgaṃ antaradhāyi, samaṇaliṅgaṃ pāturahosi.
‘‘ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, วาสิ สูจิ จ พนฺธนํ;
‘‘Ticīvarañca patto ca, vāsi sūci ca bandhanaṃ;
ปริสฺสาวเนน อเฎฺฐเต, ยุตฺตโยคสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ –
Parissāvanena aṭṭhete, yuttayogassa bhikkhuno’’ti. –
เอวํ วุตฺตา สมณปริกฺขารา กายปฎิพทฺธาว อเหสุํฯ โส อากาเส ฐตฺวา มหาชนสฺส โอวาทํ ทตฺวา อนิลปเถน อุตฺตรหิมวเนฺต นนฺทมูลกปพฺภารเมว อคมาสิฯ
Evaṃ vuttā samaṇaparikkhārā kāyapaṭibaddhāva ahesuṃ. So ākāse ṭhatvā mahājanassa ovādaṃ datvā anilapathena uttarahimavante nandamūlakapabbhārameva agamāsi.
คนฺธารรเฎฺฐปิ ตกฺกสิลนคเร นคฺคชิ นาม ราชา อุปริปาสาเท ปลฺลงฺกมชฺฌคโต เอกํ อิตฺถิํ เอเกกหเตฺถ เอเกกํ มณิวลยํ ปิฬนฺธิตฺวา อวิทูเร นิสีทิตฺวา คนฺธํ ปิสมานํ ทิสฺวา ‘‘เอตานิ วลยานิ เอเกกภาเวน น ฆเฎฺฎนฺติ น วิรวนฺตี’’ติ โอโลเกโนฺต นิสีทิฯ อถ สา ทกฺขิณหตฺถโต วลยํ วามหเตฺถเยว ปิฬนฺธิตฺวา ทกฺขิณหเตฺถน คนฺธํ สงฺกฑฺฒิตฺวา ปิสิตุํ อารภิ, วามหเตฺถ วลยํ ทุติยํ อาคมฺม ฆฎฺฎิยมานํ สทฺทมกาสิฯ ราชา ตานิ เทฺว วลยานิ อญฺญมญฺญํ ฆเฎฺฎนฺตานิ วิรวนฺตานิ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิทํ วลยํ เอเกกกาเล น ฆเฎฺฎสิ, ทุติยํ อาคมฺม ฆเฎฺฎติ, สทฺทํ กโรติ, เอวเมว อิเม สตฺตาปิ เอเกกา น ฆเฎฺฎนฺติ น วิวทนฺติ, เทฺว ตโย หุตฺวา อญฺญมญฺญํ ฆเฎฺฎนฺติ, กลหํ กโรนฺติฯ อหํ ปน กสฺมีรคนฺธาเรสุ ทฺวีสุ รเชฺชสุ รฎฺฐวาสิโน วิจาเรมิ, มยาปิ เอกวลยสทิเสน หุตฺวา ปรํ อวิจาเรตฺวา อตฺตานเมว วิจาเรเนฺตน วสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สงฺฆฎฺฎนวลยํ อารมฺมณํ กตฺวา ยถานิสิโนฺนว ตีณิ ลกฺขณานิ สลฺลเกฺขตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตสิฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ
Gandhāraraṭṭhepi takkasilanagare naggaji nāma rājā uparipāsāde pallaṅkamajjhagato ekaṃ itthiṃ ekekahatthe ekekaṃ maṇivalayaṃ piḷandhitvā avidūre nisīditvā gandhaṃ pisamānaṃ disvā ‘‘etāni valayāni ekekabhāvena na ghaṭṭenti na viravantī’’ti olokento nisīdi. Atha sā dakkhiṇahatthato valayaṃ vāmahattheyeva piḷandhitvā dakkhiṇahatthena gandhaṃ saṅkaḍḍhitvā pisituṃ ārabhi, vāmahatthe valayaṃ dutiyaṃ āgamma ghaṭṭiyamānaṃ saddamakāsi. Rājā tāni dve valayāni aññamaññaṃ ghaṭṭentāni viravantāni disvā cintesi ‘‘idaṃ valayaṃ ekekakāle na ghaṭṭesi, dutiyaṃ āgamma ghaṭṭeti, saddaṃ karoti, evameva ime sattāpi ekekā na ghaṭṭenti na vivadanti, dve tayo hutvā aññamaññaṃ ghaṭṭenti, kalahaṃ karonti. Ahaṃ pana kasmīragandhāresu dvīsu rajjesu raṭṭhavāsino vicāremi, mayāpi ekavalayasadisena hutvā paraṃ avicāretvā attānameva vicārentena vasituṃ vaṭṭatī’’ti saṅghaṭṭanavalayaṃ ārammaṇaṃ katvā yathānisinnova tīṇi lakkhaṇāni sallakkhetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattesi. Sesaṃ purimasadisameva.
วิเทหรเฎฺฐ มิถิลนคเร นิมิ นาม ราชา ภุตฺตปาตราโส อมจฺจคณปริวุโต วิวฎสีหปญฺชเรน อนฺตรวีถิํ เปกฺขมาโน อฎฺฐาสิฯ อเถโก เสโน สูนาปณโต มํสเปสิํ คเหตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ ตเมนํ อิโต จิโต จ คิชฺฌาทโย สกุณา สมฺปริวาเรตฺวา อาหารเหตุ ตุเณฺฑน วิชฺฌนฺตา ปเกฺขหิ ปหรนฺตา ปาเทหิ มทฺทนฺตา อคมํสุฯ โส อตฺตโน วธํ อสหมาโน ตํ มํสํ ฉเฑฺฑสิฯ อโญฺญ คณฺหิ, สกุณา อิมํ มุญฺจิตฺวา ตํ อนุพนฺธิํสุฯ เตนปิ วิสฺสฎฺฐํ อโญฺญ อคฺคเหสิ, ตมฺปิ ตเถว วิเหเฐสุํฯ ราชา เต สกุเณ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘โย โย มํสเปสิํ คณฺหิ, ตสฺส ตเสฺสว ทุกฺขํ, โย โย ตํ วิสฺสเชฺชสิ, ตสฺส ตเสฺสว สุขํ, อิเมปิ ปญฺจ กามคุเณ โย โย คณฺหาติ, ตสฺส ตเสฺสว ทุกฺขํ, อิตรสฺส สุขํ, อิเม หิ พหูนํ สาธารณา, มยฺหํ โข ปน โสฬส อิตฺถิสหสฺสานิ, มยา วิสฺสฎฺฐมํสปิเณฺฑน วิย เสเนน ปญฺจ กามคุเณ ปหาย สุขิเตน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส โยนิโส มนสิ กโรโนฺต ยถาฐิโตว ตีณิ ลกฺขณานิ สลฺลเกฺขตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตสิฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ
Videharaṭṭhe mithilanagare nimi nāma rājā bhuttapātarāso amaccagaṇaparivuto vivaṭasīhapañjarena antaravīthiṃ pekkhamāno aṭṭhāsi. Atheko seno sūnāpaṇato maṃsapesiṃ gahetvā ākāsaṃ pakkhandi. Tamenaṃ ito cito ca gijjhādayo sakuṇā samparivāretvā āhārahetu tuṇḍena vijjhantā pakkhehi paharantā pādehi maddantā agamaṃsu. So attano vadhaṃ asahamāno taṃ maṃsaṃ chaḍḍesi. Añño gaṇhi, sakuṇā imaṃ muñcitvā taṃ anubandhiṃsu. Tenapi vissaṭṭhaṃ añño aggahesi, tampi tatheva viheṭhesuṃ. Rājā te sakuṇe disvā cintesi ‘‘yo yo maṃsapesiṃ gaṇhi, tassa tasseva dukkhaṃ, yo yo taṃ vissajjesi, tassa tasseva sukhaṃ, imepi pañca kāmaguṇe yo yo gaṇhāti, tassa tasseva dukkhaṃ, itarassa sukhaṃ, ime hi bahūnaṃ sādhāraṇā, mayhaṃ kho pana soḷasa itthisahassāni, mayā vissaṭṭhamaṃsapiṇḍena viya senena pañca kāmaguṇe pahāya sukhitena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti. So yoniso manasi karonto yathāṭhitova tīṇi lakkhaṇāni sallakkhetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattesi. Sesaṃ purimasadisameva.
อุตฺตรปญฺจาลรเฎฺฐ กปิลนคเร ทุมฺมุโข นาม ราชา ภุตฺตปาตราโส สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต อมจฺจคณปริวุโต วิวฎสีหปญฺชเร ราชงฺคณํ โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ โคปาลกา วชทฺวารํ วิวริํสุ, อุสภา วชโต นิกฺขมิตฺวา กิเลสวเสน เอกํ คาวิํ อนุพนฺธิํสุฯ ตเตฺถโก ติขิณสิโงฺค มหาอุสโภ อญฺญํ อุสภํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา กิเลสมเจฺฉราภิภูโต ติขิเณน สิเงฺคน อนฺตรสตฺถิมฺหิ ปหริฯ ตสฺส ปหารมุเขน อนฺตานิ นิกฺขมิํสุ, โส ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิเม สตฺตา ติรจฺฉานคเต อาทิํ กตฺวา กิเลสวเสน ทุกฺขํ ปาปุณนฺติ, อยํ อุสโภ กิเลสํ นิสฺสาย ชีวิตกฺขยํ ปโตฺต, อเญฺญปิ สตฺตา กิเลเสเหว กมฺปนฺติ, มยา อิเมสํ สตฺตานํ กมฺปนกิเลเส ปหาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส ฐิตโกว ตีณิ ลกฺขณานิ สลฺลเกฺขตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตสิฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ
Uttarapañcālaraṭṭhe kapilanagare dummukho nāma rājā bhuttapātarāso sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito amaccagaṇaparivuto vivaṭasīhapañjare rājaṅgaṇaṃ olokento aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe gopālakā vajadvāraṃ vivariṃsu, usabhā vajato nikkhamitvā kilesavasena ekaṃ gāviṃ anubandhiṃsu. Tattheko tikhiṇasiṅgo mahāusabho aññaṃ usabhaṃ āgacchantaṃ disvā kilesamaccherābhibhūto tikhiṇena siṅgena antarasatthimhi pahari. Tassa pahāramukhena antāni nikkhamiṃsu, so tattheva jīvitakkhayaṃ pāpuṇi. Rājā taṃ disvā cintesi ‘‘ime sattā tiracchānagate ādiṃ katvā kilesavasena dukkhaṃ pāpuṇanti, ayaṃ usabho kilesaṃ nissāya jīvitakkhayaṃ patto, aññepi sattā kileseheva kampanti, mayā imesaṃ sattānaṃ kampanakilese pahātuṃ vaṭṭatī’’ti. So ṭhitakova tīṇi lakkhaṇāni sallakkhetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiñāṇaṃ nibbattesi. Sesaṃ purimasadisameva.
อเถกทิวสํ จตฺตาโร ปเจฺจกพุทฺธา ภิกฺขาจารเวลํ สลฺลเกฺขตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารา นิกฺขมฺม อโนตตฺตทเห นาคลตาทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา กตสรีรปฎิชคฺคนา มโนสิลาตเล ฐตฺวา นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อิทฺธิยา อากาเส อุปฺปติตฺวา ปญฺจวณฺณวลาหเก มทฺทมานา คนฺตฺวา พาราณสินครทฺวารคามกสฺส อวิทูเร โอตริตฺวา เอกสฺมิํ ผาสุกฎฺฐาเน จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา ทฺวารคามํ ปวิสิตฺวา ปิณฺฑาย จรนฺตา โพธิสตฺตสฺส เคหทฺวารํ สมฺปาปุณิํสุฯ โพธิสโตฺต เต ทิสฺวา ตุฎฺฐจิโตฺต หุตฺวา เคหํ ปเวเสตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทาเปตฺวา ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา สงฺฆเตฺถรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปพฺพชฺชา อติวิย โสภติ, วิปฺปสนฺนานิ โว อินฺทฺริยานิ, ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ, กิํ นุ โข อารมฺมณํ ทิสฺวา ตุเมฺห อิมํ ภิกฺขาจริยปพฺพชฺชํ อุปคตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ยถา จ สงฺฆเตฺถรํ, เอวํ เสเสปิ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิฯ อถสฺส เต จตฺตาโรปิ ชนา ‘‘อหํ อสุกนคเร อสุกรเฎฺฐ อสุกราชา นาม หุตฺวา’’ติอาทินา นเยน อตฺตโน อตฺตโน อภินิกฺขมนวตฺถูนิ กเถตฺวา ปฎิปาฎิยา เอเกกํ คาถมาหํสุ –
Athekadivasaṃ cattāro paccekabuddhā bhikkhācāravelaṃ sallakkhetvā nandamūlakapabbhārā nikkhamma anotattadahe nāgalatādantakaṭṭhaṃ khāditvā katasarīrapaṭijagganā manosilātale ṭhatvā nivāsetvā pattacīvaramādāya iddhiyā ākāse uppatitvā pañcavaṇṇavalāhake maddamānā gantvā bārāṇasinagaradvāragāmakassa avidūre otaritvā ekasmiṃ phāsukaṭṭhāne cīvaraṃ pārupitvā pattaṃ gahetvā dvāragāmaṃ pavisitvā piṇḍāya carantā bodhisattassa gehadvāraṃ sampāpuṇiṃsu. Bodhisatto te disvā tuṭṭhacitto hutvā gehaṃ pavesetvā paññattāsane nisīdāpetvā dakkhiṇodakaṃ datvā paṇītena khādanīyena bhojanīyena parivisitvā ekamantaṃ nisīditvā saṅghattheraṃ vanditvā ‘‘bhante, tumhākaṃ pabbajjā ativiya sobhati, vippasannāni vo indriyāni, parisuddho chavivaṇṇo, kiṃ nu kho ārammaṇaṃ disvā tumhe imaṃ bhikkhācariyapabbajjaṃ upagatā’’ti pucchi. Yathā ca saṅghattheraṃ, evaṃ sesepi upasaṅkamitvā pucchi. Athassa te cattāropi janā ‘‘ahaṃ asukanagare asukaraṭṭhe asukarājā nāma hutvā’’tiādinā nayena attano attano abhinikkhamanavatthūni kathetvā paṭipāṭiyā ekekaṃ gāthamāhaṃsu –
๙๐.
90.
‘‘อมฺพาหมทฺทํ วนมนฺตรสฺมิํ, นิโลภาสํ ผลิตํ สํวิรูฬฺหํ;
‘‘Ambāhamaddaṃ vanamantarasmiṃ, nilobhāsaṃ phalitaṃ saṃvirūḷhaṃ;
ตมทฺทสํ ผลเหตุ วิภคฺคํ, ตํ ทิสฺวา ภิกฺขาจริยํ จรามิฯ
Tamaddasaṃ phalahetu vibhaggaṃ, taṃ disvā bhikkhācariyaṃ carāmi.
๙๑.
91.
‘‘เสลํ สุมฎฺฐํ นรวีรนิฎฺฐิตํ, นารี ยุคํ ธารยิ อปฺปสทฺทํ;
‘‘Selaṃ sumaṭṭhaṃ naravīraniṭṭhitaṃ, nārī yugaṃ dhārayi appasaddaṃ;
ทุติยญฺจ อาคมฺม อโหสิ สโทฺท, ตํ ทิสฺวา ภิกฺขาจริยํ จรามิฯ
Dutiyañca āgamma ahosi saddo, taṃ disvā bhikkhācariyaṃ carāmi.
๙๒.
92.
‘‘ทิชา ทิชํ กุณปมาหรนฺตํ, เอกํ สมานํ พหุกา สเมจฺจ;
‘‘Dijā dijaṃ kuṇapamāharantaṃ, ekaṃ samānaṃ bahukā samecca;
อาหารเหตู ปริปาตยิํสุ, ตํ ทิสฺวา ภิกฺขาจริยํ จรามิฯ
Āhārahetū paripātayiṃsu, taṃ disvā bhikkhācariyaṃ carāmi.
๙๓.
93.
‘‘อุสภาหมทฺทํ ยูถสฺส มเชฺฌ, จลกฺกกุํ วณฺณพลูปปนฺนํ;
‘‘Usabhāhamaddaṃ yūthassa majjhe, calakkakuṃ vaṇṇabalūpapannaṃ;
ตมทฺทสํ กามเหตุ วิตุนฺนํ, ตํ ทิสฺวา ภิกฺขาจริยํ จรามี’’ติฯ
Tamaddasaṃ kāmahetu vitunnaṃ, taṃ disvā bhikkhācariyaṃ carāmī’’ti.
ตตฺถ อมฺพาหมทฺทนฺติ อมฺพรุกฺขํ อหํ อทฺทสํฯ วนมนฺตรสฺมินฺติ วนอนฺตเร, อมฺพวนมเชฺฌติ อโตฺถฯ สํวิรูฬฺหนฺติ สุวฑฺฒิตํฯ ตมทฺทสนฺติ ตํ อุยฺยานโต นิกฺขโนฺต ผลเหตุ วิภคฺคํ ปุน อทฺทสํฯ ตํ ทิสฺวาติ ตํ ผลเหตุ วิภคฺคํ ทิสฺวา ปฎิลทฺธสํเวโค ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา อิมํ ภิกฺขาจริยปพฺพชฺชํ อุปคโตสฺมิ, ตสฺมา ภิกฺขาจริยํ จรามีติฯ อิทํ โส ผลเหตุ วิภคฺคํ อมฺพรุกฺขํ ทสฺสนโต ปฎฺฐาย สพฺพํ จิตฺตาจารํ กเถสิฯ เสสานํ วิสฺสชฺชเนสุปิ เอเสว นโยฯ อยํ ปเนตฺถ อนุตฺตานปทวณฺณนา – เสลนฺติ มณิวลยํฯ นรวีรนิฎฺฐิตนฺติ วีรนเรหิ นิฎฺฐิตํ, ปณฺฑิตปุริเสหิ กตนฺติ อโตฺถฯ ยุคนฺติ เอเกกสฺมิํ เอเกกํ กตฺวา เอกํ วลยยุคฬํฯ ทิชา ทิชนฺติ คหิตมํสปิณฺฑํ ทิชํ อวเสสทิชาฯ กุณปมาหรนฺตนฺติ มํสปิณฺฑํ อาทาย อาหรนฺตํฯ สเมจฺจาติ สมาคนฺตฺวา สนฺนิปติตฺวาฯ ปริปาตยิํสูติ โกเฎฺฎนฺตา อนุพนฺธิํสุฯ อุสภาหมทฺทนฺติ อุสภํ อหํ อทฺทสํฯ จลกฺกกุนฺติ จลกฺกกุธํฯ
Tattha ambāhamaddanti ambarukkhaṃ ahaṃ addasaṃ. Vanamantarasminti vanaantare, ambavanamajjheti attho. Saṃvirūḷhanti suvaḍḍhitaṃ. Tamaddasanti taṃ uyyānato nikkhanto phalahetu vibhaggaṃ puna addasaṃ. Taṃ disvāti taṃ phalahetu vibhaggaṃ disvā paṭiladdhasaṃvego paccekabodhiñāṇaṃ nibbattetvā imaṃ bhikkhācariyapabbajjaṃ upagatosmi, tasmā bhikkhācariyaṃ carāmīti. Idaṃ so phalahetu vibhaggaṃ ambarukkhaṃ dassanato paṭṭhāya sabbaṃ cittācāraṃ kathesi. Sesānaṃ vissajjanesupi eseva nayo. Ayaṃ panettha anuttānapadavaṇṇanā – selanti maṇivalayaṃ. Naravīraniṭṭhitanti vīranarehi niṭṭhitaṃ, paṇḍitapurisehi katanti attho. Yuganti ekekasmiṃ ekekaṃ katvā ekaṃ valayayugaḷaṃ. Dijā dijanti gahitamaṃsapiṇḍaṃ dijaṃ avasesadijā. Kuṇapamāharantanti maṃsapiṇḍaṃ ādāya āharantaṃ. Sameccāti samāgantvā sannipatitvā. Paripātayiṃsūti koṭṭentā anubandhiṃsu. Usabhāhamaddanti usabhaṃ ahaṃ addasaṃ. Calakkakunti calakkakudhaṃ.
โพธิสโตฺต เอเกกํ คาถํ สุตฺวา ‘‘สาธุ, ภเนฺต, ตุมฺหากเมว ตํ อารมฺมณํ อนุรูป’’นฺติ เอเกกสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส ถุติํ อกาสิฯ ตญฺจ ปน จตูหิ ชเนหิ เทสิตํ ธมฺมกถํ สุตฺวา ฆราวาเส อนเปโกฺข หุตฺวา ปกฺกเนฺตสุ ปเจฺจกพุเทฺธสุ ภุตฺตปาตราโส สุขนิสิโนฺน ภริยํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, เอเต จตฺตาโร ปเจฺจกพุทฺธา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา อกิญฺจนา อปลิโพธา ปพฺพชฺชาสุเขน วีตินาเมนฺติ, อหํ ปน ภติยา ชีวิกํ กเปฺปมิ, กิํ เม ฆราวาเสน, ตฺวํ ปุตฺตเก สงฺคณฺหนฺตี เคเห วสา’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –
Bodhisatto ekekaṃ gāthaṃ sutvā ‘‘sādhu, bhante, tumhākameva taṃ ārammaṇaṃ anurūpa’’nti ekekassa paccekabuddhassa thutiṃ akāsi. Tañca pana catūhi janehi desitaṃ dhammakathaṃ sutvā gharāvāse anapekkho hutvā pakkantesu paccekabuddhesu bhuttapātarāso sukhanisinno bhariyaṃ āmantetvā ‘‘bhadde, ete cattāro paccekabuddhā rajjaṃ pahāya pabbajitvā akiñcanā apalibodhā pabbajjāsukhena vītināmenti, ahaṃ pana bhatiyā jīvikaṃ kappemi, kiṃ me gharāvāsena, tvaṃ puttake saṅgaṇhantī gehe vasā’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –
๙๔.
94.
‘‘กรณฺฑโก กลิงฺคานํ, คนฺธารานญฺจ นคฺคชิ;
‘‘Karaṇḍako kaliṅgānaṃ, gandhārānañca naggaji;
นิมิราชา วิเทหานํ, ปญฺจาลานญฺจ ทุมฺมุโข;
Nimirājā videhānaṃ, pañcālānañca dummukho;
เอเต รฎฺฐานิ หิตฺวาน, ปพฺพชิํสุ อกิญฺจนาฯ
Ete raṭṭhāni hitvāna, pabbajiṃsu akiñcanā.
๙๕.
95.
‘‘สเพฺพปิเม เทวสมา สมาคตา, อคฺคี ยถา ปชฺชลิโต ตเถวิเม;
‘‘Sabbepime devasamā samāgatā, aggī yathā pajjalito tathevime;
อหมฺปิ เอโก จริสฺสามิ ภคฺควิ, หิตฺวาน กามานิ ยโถธิกานี’’ติฯ
Ahampi eko carissāmi bhaggavi, hitvāna kāmāni yathodhikānī’’ti.
ตาสํ อโตฺถ – ภเทฺท, เอส สงฺฆเตฺถโร ปเจฺจกพุโทฺธ ทนฺตปุเร นาม นคเร กรณฺฑโก นาม กลิงฺคานํ ชนปทสฺส ราชา, ทุติโย ตกฺกสิลนคเร นคฺคชิ นาม คนฺธารานํ ชนปทสฺส ราชา, ตติโย มิถิลนคเร นิมิ นาม วิเทหานํ ชนปทสฺส ราชา, จตุโตฺถ กปิลนคเร ทุมฺมุโข นาม อุตฺตรปญฺจาลานํ ชนปทสฺส ราชา, เอเต เอวรูปานิ รฎฺฐานิ หิตฺวา อกิญฺจนา หุตฺวา ปพฺพชิํสุฯ สเพฺพปิเมติ อิเม ปน สเพฺพปิ วิสุทฺธิเทเวหิ ปุริมปเจฺจกพุเทฺธหิ สมานา เอกโต สมาคตาฯ อคฺคี ยถาติ ยถา หิ อคฺคิ ปชฺชลิโต โอภาสติฯ ตเถวิเมติ อิเมปิ ตเถว สีลาทีหิ ปญฺจหิ คุเณหิ โอภาสนฺติฯ ยถา เอเต, ตถา อหมฺปิ ปพฺพชิตฺวา เอโก จริสฺสามีติ อโตฺถฯ ภคฺควีติ ภริยํ อาลปติฯ หิตฺวาน กามานีติ รูปาทโย วตฺถุกาเม หิตฺวาฯ ยโถธิกานีติ อตฺตโน โอธิวเสน ฐิตานิฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – รูปาทิโอธิวเสน ยถาฐิเต กาเม ปหาย อหมฺปิ ปพฺพชิตฺวา เอโก จริสฺสามีติฯ ‘‘ยโตธิกานี’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺสโตฺถ – ยโต อุปรโต โอธิ เอเตสนฺติ ยโตธิกานิ, อุปรตโกฎฺฐาสานิฯ ปพฺพชิสฺสามีติ จินฺติตกาลโต ปฎฺฐาย หิ กิเลสกามานํ เอโก โกฎฺฐาโส อุปรโต นาม โหติ นิรุโทฺธ, ตสฺส วตฺถุภูโต กามโกฎฺฐาโสปิ อุปรโตว โหตีติฯ
Tāsaṃ attho – bhadde, esa saṅghatthero paccekabuddho dantapure nāma nagare karaṇḍako nāma kaliṅgānaṃ janapadassa rājā, dutiyo takkasilanagare naggaji nāma gandhārānaṃ janapadassa rājā, tatiyo mithilanagare nimi nāma videhānaṃ janapadassa rājā, catuttho kapilanagare dummukho nāma uttarapañcālānaṃ janapadassa rājā, ete evarūpāni raṭṭhāni hitvā akiñcanā hutvā pabbajiṃsu. Sabbepimeti ime pana sabbepi visuddhidevehi purimapaccekabuddhehi samānā ekato samāgatā. Aggī yathāti yathā hi aggi pajjalito obhāsati. Tathevimeti imepi tatheva sīlādīhi pañcahi guṇehi obhāsanti. Yathā ete, tathā ahampi pabbajitvā eko carissāmīti attho. Bhaggavīti bhariyaṃ ālapati. Hitvāna kāmānīti rūpādayo vatthukāme hitvā. Yathodhikānīti attano odhivasena ṭhitāni. Idaṃ vuttaṃ hoti – rūpādiodhivasena yathāṭhite kāme pahāya ahampi pabbajitvā eko carissāmīti. ‘‘Yatodhikānī’’tipi pāṭho, tassattho – yato uparato odhi etesanti yatodhikāni, uparatakoṭṭhāsāni. Pabbajissāmīti cintitakālato paṭṭhāya hi kilesakāmānaṃ eko koṭṭhāso uparato nāma hoti niruddho, tassa vatthubhūto kāmakoṭṭhāsopi uparatova hotīti.
สา ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘มยฺหมฺปิ โข สามิ, ปเจฺจกพุทฺธานํ ธมฺมกถํ สุตกาลโต ปฎฺฐาย อคาเร จิตฺตํ น สณฺฐาตี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –
Sā tassa kathaṃ sutvā ‘‘mayhampi kho sāmi, paccekabuddhānaṃ dhammakathaṃ sutakālato paṭṭhāya agāre cittaṃ na saṇṭhātī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –
๙๖.
96.
‘‘อยเมว กาโล น หิ อโญฺญ อตฺถิ, อนุสาสิตา เม น ภเวยฺย ปจฺฉา;
‘‘Ayameva kālo na hi añño atthi, anusāsitā me na bhaveyya pacchā;
อหมฺปิ เอกา จริสฺสามิ ภคฺคว, สกุณีว มุตฺตา ปุริสสฺส หตฺถา’’ติฯ
Ahampi ekā carissāmi bhaggava, sakuṇīva muttā purisassa hatthā’’ti.
ตตฺถ อนุสาสิตา เม น ภเวยฺย ปจฺฉาติ อนุสาสโก โอวาทโก น ภเวยฺย ทุลฺลภตฺตา โอวาทกานํ, ตสฺมา อยเมว ปพฺพชิตุํ กาโล, น หิ อโญฺญ อตฺถีติ ทเสฺสติฯ สกุณีว มุตฺตาติ ยถา สากุณิเกน คเหตฺวา สกุณปจฺฉิยํ ขิตฺตาสุ สกุณีสุ ตสฺส หตฺถโต มุตฺตา เอกา สกุณี อนิลปถํ ลงฺฆยิตฺวา ยถารุจิตฎฺฐานํ คนฺตฺวา เอกิกาว จเรยฺย, ตถา อหมฺปิ ตว หตฺถโต มุตฺตา เอกิกา จริสฺสามีติ สยมฺปิ ปพฺพชิตุกามา หุตฺวา เอวมาหฯ
Tattha anusāsitā me na bhaveyya pacchāti anusāsako ovādako na bhaveyya dullabhattā ovādakānaṃ, tasmā ayameva pabbajituṃ kālo, na hi añño atthīti dasseti. Sakuṇīva muttāti yathā sākuṇikena gahetvā sakuṇapacchiyaṃ khittāsu sakuṇīsu tassa hatthato muttā ekā sakuṇī anilapathaṃ laṅghayitvā yathārucitaṭṭhānaṃ gantvā ekikāva careyya, tathā ahampi tava hatthato muttā ekikā carissāmīti sayampi pabbajitukāmā hutvā evamāha.
โพธิสโตฺต ตสฺสา กถํ สุตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ สา ปน โพธิสตฺตํ วเญฺจตฺวา ปุเรตรํ ปพฺพชิตุกามา ‘‘สามิ, ปานียติตฺถํ คมิสฺสามิ, ทารเก โอโลเกหี’’ติ ฆฎํ อาทาย คจฺฉนฺตี วิย ปลายิตฺวา นครสามเนฺต ตาปสานํ สนฺติเก คนฺตฺวา ปพฺพชิฯ โพธิสโตฺต ตสฺสา อนาคมนํ ญตฺวา สยํ ทารเก โปเสสิฯ อปรภาเค เตสุ โถกํ วฑฺฒิตฺวา อตฺตโน อยานยชานนสมตฺถตํ สมฺปเตฺตสุ เตสํ วีมํสนตฺถํ เอกทิวสํ ภตฺตํ ปจโนฺต โถกํ อุตฺตณฺฑุลํ ปจิ, เอกทิวสํ โถกํ กิลินฺนํ, เอกทิวสํ สุปกฺกํ, เอกทิวสํ อติกิลินฺนํ, เอกทิวสํ อโลณกํ, เอกทิวสํ อติโลณกํฯ ทารกา ‘‘ตาต, อชฺช ภตฺตํ อุตฺตณฺฑุลํ, อชฺช กิลินฺนํ, อชฺช สุปกฺกํ, อชฺช อติกิลินฺนํ, อชฺช อโลณกํ, อชฺช อติโลณก’’นฺติ อาหํสุฯ ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ‘‘อาม, ตาตา’’ติ วตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิเม ทารกา อิทานิ อามปกฺกโลณิกอติโลณิกานิ ชานนฺติ, อตฺตโน ธมฺมตาย ชีวิตุํ สกฺขิสฺสนฺติ, มยา ปพฺพชิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ อถ เต ทารเก ญาตกานํ ทตฺวา ปฎิจฺฉาเปตฺวา ‘‘อมฺมตาตา, อิเม ทารเก สาธุกํ โปเสถา’’ติ วตฺวา โส ญาตกานํ ปริเทวนฺตานเญฺญว นครา นิกฺขมิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา นครสฺส สามเนฺตเยว วสิฯ
Bodhisatto tassā kathaṃ sutvā tuṇhī ahosi. Sā pana bodhisattaṃ vañcetvā puretaraṃ pabbajitukāmā ‘‘sāmi, pānīyatitthaṃ gamissāmi, dārake olokehī’’ti ghaṭaṃ ādāya gacchantī viya palāyitvā nagarasāmante tāpasānaṃ santike gantvā pabbaji. Bodhisatto tassā anāgamanaṃ ñatvā sayaṃ dārake posesi. Aparabhāge tesu thokaṃ vaḍḍhitvā attano ayānayajānanasamatthataṃ sampattesu tesaṃ vīmaṃsanatthaṃ ekadivasaṃ bhattaṃ pacanto thokaṃ uttaṇḍulaṃ paci, ekadivasaṃ thokaṃ kilinnaṃ, ekadivasaṃ supakkaṃ, ekadivasaṃ atikilinnaṃ, ekadivasaṃ aloṇakaṃ, ekadivasaṃ atiloṇakaṃ. Dārakā ‘‘tāta, ajja bhattaṃ uttaṇḍulaṃ, ajja kilinnaṃ, ajja supakkaṃ, ajja atikilinnaṃ, ajja aloṇakaṃ, ajja atiloṇaka’’nti āhaṃsu. Taṃ sutvā bodhisatto ‘‘āma, tātā’’ti vatvā cintesi ‘‘ime dārakā idāni āmapakkaloṇikaatiloṇikāni jānanti, attano dhammatāya jīvituṃ sakkhissanti, mayā pabbajituṃ vaṭṭatī’’ti. Atha te dārake ñātakānaṃ datvā paṭicchāpetvā ‘‘ammatātā, ime dārake sādhukaṃ posethā’’ti vatvā so ñātakānaṃ paridevantānaññeva nagarā nikkhamitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā nagarassa sāmanteyeva vasi.
อถ นํ เอกทิวสํ พาราณสิยํ ภิกฺขาย จรนฺตํ ปริพฺพาชิกา ทิสฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อยฺย, ทารกา เต นาสิตา มเญฺญ’’ติ อาหฯ มหาสโตฺต ‘‘นาหํ ทารเก นาเสมิ, เตสํ อตฺตโน อยานยชานนกาเล ปพฺพชิโตมฺหิ , ตฺวํ เตสํ อจิเนฺตตฺวา ปพฺพชฺชาย อภิรมา’’ติ วตฺวา โอสานคาถมาห –
Atha naṃ ekadivasaṃ bārāṇasiyaṃ bhikkhāya carantaṃ paribbājikā disvā vanditvā ‘‘ayya, dārakā te nāsitā maññe’’ti āha. Mahāsatto ‘‘nāhaṃ dārake nāsemi, tesaṃ attano ayānayajānanakāle pabbajitomhi , tvaṃ tesaṃ acintetvā pabbajjāya abhiramā’’ti vatvā osānagāthamāha –
๙๗.
97.
‘‘อามํ ปกฺกญฺจ ชานนฺติ, อโถ โลณํ อโลณกํ;
‘‘Āmaṃ pakkañca jānanti, atho loṇaṃ aloṇakaṃ;
ตมหํ ทิสฺวาน ปพฺพชิํ, จเรว ตฺวํ จรามห’’นฺติฯ
Tamahaṃ disvāna pabbajiṃ, careva tvaṃ carāmaha’’nti.
ตตฺถ ตมหนฺติ ตํ อหํ ทารกานํ กิริยํ ทิสฺวา ปพฺพชิโตฯ จเรว ตฺวํ จรามหนฺติ ตฺวมฺปิ ภิกฺขาจริยเมว จร, อหมฺปิ ภิกฺขาจริยเมว จริสฺสามีติฯ
Tattha tamahanti taṃ ahaṃ dārakānaṃ kiriyaṃ disvā pabbajito. Careva tvaṃ carāmahanti tvampi bhikkhācariyameva cara, ahampi bhikkhācariyameva carissāmīti.
อิติ โส ปริพฺพาชิกํ โอวทิตฺวา อุโยฺยเชสิฯ สาปิ โอวาทํ คเหตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา ยถารุจิตํ ฐานํ คตาฯ ฐเปตฺวา กิร ตํ ทิวสํ น เต ปุน อญฺญมญฺญํ อทฺทสํสุฯ โพธิสโตฺต จ ฌานาภิญฺญํ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
Iti so paribbājikaṃ ovaditvā uyyojesi. Sāpi ovādaṃ gahetvā mahāsattaṃ vanditvā yathārucitaṃ ṭhānaṃ gatā. Ṭhapetvā kira taṃ divasaṃ na te puna aññamaññaṃ addasaṃsu. Bodhisatto ca jhānābhiññaṃ nibbattetvā brahmalokūpago ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน เต ปญฺจสตา ภิกฺขู อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุฯ ตทา ธีตา อุปฺปลวณฺณา อโหสิ, ปุโตฺต ราหุลกุมาโร, ปริพฺพาชิกา ราหุลมาตา, ปริพฺพาชโก ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne te pañcasatā bhikkhū arahatte patiṭṭhahiṃsu. Tadā dhītā uppalavaṇṇā ahosi, putto rāhulakumāro, paribbājikā rāhulamātā, paribbājako pana ahameva ahosinti.
กุมฺภการชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Kumbhakārajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๐๘. กุมฺภการชาตกํ • 408. Kumbhakārajātakaṃ