Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๑๕] ๑๐. กุมฺมาสปิณฺฑิชาตกวณฺณนา
[415] 10. Kummāsapiṇḍijātakavaṇṇanā
น กิรตฺถีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มลฺลิกํ เทวิํ อารพฺภ กเถสิฯ สา หิ สาวตฺถิยํ เอกสฺส มาลาการเชฎฺฐกสฺส ธีตา อุตฺตมรูปธรา มหาปุญฺญา โสฬสวสฺสิกกาเล เอกทิวสํ กุมาริกาหิ สทฺธิํ ปุปฺผารามํ คจฺฉนฺตี ตโย กุมฺมาสปิเณฺฑ คเหตฺวา ปุปฺผปจฺฉิยํ ฐเปตฺวา คจฺฉติฯ สา นครโต นิกฺขมนกาเล ภควนฺตํ สรีรปฺปภํ วิสฺสเชฺชตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุตํ นครํ ปวิสนฺตํ ทิสฺวา ตโย กุมฺมาสปิเณฺฑ อุปนาเมสิฯ สตฺถา จตุมหาราชทตฺติยํ ปตฺตํ อุปเนตฺวา ปฎิคฺคเหสิฯ สาปิ ตถาคตสฺส ปาเท สิรสา วนฺทิตฺวา พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ สตฺถา ตํ โอโลเกตฺวา สิตํ ปาตฺวากาสิฯ อายสฺมา อานโนฺท ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ โก ปจฺจโย ตถาคตสฺส สิตกรเณ’’ติ ภควนฺตํ ปุจฺฉิฯ อถสฺส สตฺถา ‘‘อานนฺท, อยํ กุมาริกา อิเมสํ กุมฺมาสปิณฺฑานํ ผเลน อเชฺชว โกสลรโญฺญ อคฺคมเหสี ภวิสฺสตี’’ติ สิตการณํ กเถสิฯ
Na kiratthīti idaṃ satthā jetavane viharanto mallikaṃ deviṃ ārabbha kathesi. Sā hi sāvatthiyaṃ ekassa mālākārajeṭṭhakassa dhītā uttamarūpadharā mahāpuññā soḷasavassikakāle ekadivasaṃ kumārikāhi saddhiṃ pupphārāmaṃ gacchantī tayo kummāsapiṇḍe gahetvā pupphapacchiyaṃ ṭhapetvā gacchati. Sā nagarato nikkhamanakāle bhagavantaṃ sarīrappabhaṃ vissajjetvā bhikkhusaṅghaparivutaṃ nagaraṃ pavisantaṃ disvā tayo kummāsapiṇḍe upanāmesi. Satthā catumahārājadattiyaṃ pattaṃ upanetvā paṭiggahesi. Sāpi tathāgatassa pāde sirasā vanditvā buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Satthā taṃ oloketvā sitaṃ pātvākāsi. Āyasmā ānando ‘‘ko nu kho, bhante, hetu ko paccayo tathāgatassa sitakaraṇe’’ti bhagavantaṃ pucchi. Athassa satthā ‘‘ānanda, ayaṃ kumārikā imesaṃ kummāsapiṇḍānaṃ phalena ajjeva kosalarañño aggamahesī bhavissatī’’ti sitakāraṇaṃ kathesi.
กุมาริกาปิ ปุปฺผารามํ คตา ฯ ตํ ทิวสเมว โกสลราชา อชาตสตฺตุนา สทฺธิํ ยุชฺฌโนฺต ยุทฺธปราชิโต ปลายิตฺวา อสฺสํ อภิรุยฺห อาคจฺฉโนฺต ตสฺสา คีตสทฺทํ สุตฺวา ปฎิพทฺธจิโตฺต อสฺสํ ตํ อารามาภิมุขํ เปเสสิฯ ปุญฺญสมฺปนฺนา กุมาริกา ราชานํ ทิสฺวา อปลายิตฺวาว อาคนฺตฺวา อสฺสสฺส นาสรชฺชุยา คณฺหิ, ราชา อสฺสปิฎฺฐิยํ นิสิโนฺนว ‘‘สสามิกาสิ, อสามิกาสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา อสามิกภาวํ ญตฺวา อสฺสา โอรุยฺห วาตาตปกิลโนฺต ตสฺสา อเงฺก นิปโนฺน มุหุตฺตํ วิสฺสมิตฺวา ตํ อสฺสปิฎฺฐิยํ นิสีทาเปตฺวา พลกายปริวุโต นครํ ปวิสิตฺวา อตฺตโน กุลฆรํ เปเสตฺวา สายนฺหสมเย ยานํ ปหิณิตฺวา มหเนฺตน สกฺการสมฺมาเนน กุลฆรโต อาหราเปตฺวา รตนราสิมฺหิ ฐเปตฺวา อภิเสกํ ทตฺวา อคฺคมเหสิํ อกาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย จ สา รโญฺญ ปิยา อโหสิ มนาปา, ปุพฺพุฎฺฐายิกาทีหิ ปญฺจหิ กลฺยาณธเมฺมหิ สมนฺนาคตา ปติเทวตา, พุทฺธานมฺปิ วลฺลภา อโหสิฯ ตสฺสา สตฺถุ ตโย กุมฺมาสปิเณฺฑ ทตฺวา ตํ สมฺปตฺติํ อธิคตภาโว สกลนครํ ปตฺถริตฺวา คโตฯ
Kumārikāpi pupphārāmaṃ gatā . Taṃ divasameva kosalarājā ajātasattunā saddhiṃ yujjhanto yuddhaparājito palāyitvā assaṃ abhiruyha āgacchanto tassā gītasaddaṃ sutvā paṭibaddhacitto assaṃ taṃ ārāmābhimukhaṃ pesesi. Puññasampannā kumārikā rājānaṃ disvā apalāyitvāva āgantvā assassa nāsarajjuyā gaṇhi, rājā assapiṭṭhiyaṃ nisinnova ‘‘sasāmikāsi, asāmikāsī’’ti pucchitvā asāmikabhāvaṃ ñatvā assā oruyha vātātapakilanto tassā aṅke nipanno muhuttaṃ vissamitvā taṃ assapiṭṭhiyaṃ nisīdāpetvā balakāyaparivuto nagaraṃ pavisitvā attano kulagharaṃ pesetvā sāyanhasamaye yānaṃ pahiṇitvā mahantena sakkārasammānena kulagharato āharāpetvā ratanarāsimhi ṭhapetvā abhisekaṃ datvā aggamahesiṃ akāsi. Tato paṭṭhāya ca sā rañño piyā ahosi manāpā, pubbuṭṭhāyikādīhi pañcahi kalyāṇadhammehi samannāgatā patidevatā, buddhānampi vallabhā ahosi. Tassā satthu tayo kummāsapiṇḍe datvā taṃ sampattiṃ adhigatabhāvo sakalanagaraṃ pattharitvā gato.
อเถกทิวสํ ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, มลฺลิกา เทวี พุทฺธานํ ตโย กุมฺมาสปิเณฺฑ ทตฺวา เตสํ ผเลน ตํ ทิวสเญฺญว อภิเสกํ ปตฺตา, อโห พุทฺธานํ มหาคุณตา’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อนจฺฉริยํ, ภิกฺขเว, มลฺลิกาย เอกสฺส สพฺพญฺญุพุทฺธสฺส ตโย กุมฺมาสปิเณฺฑ ทตฺวา โกสลรโญฺญ อคฺคมเหสิภาวาธิคโมฯ กสฺมา? พุทฺธานํ คุณมหนฺตตายฯ โปราณกปณฺฑิตา ปน ปเจฺจกพุทฺธานํ อโลณกํ อเสฺนหํ อผาณิตํ กุมฺมาสํ ทตฺวา ตสฺส ผเลน ทุติเย อตฺตภาเว ติโยชนสติเก กาสิรเฎฺฐ รชฺชสิริํ ปาปุณิํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Athekadivasaṃ dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, mallikā devī buddhānaṃ tayo kummāsapiṇḍe datvā tesaṃ phalena taṃ divasaññeva abhisekaṃ pattā, aho buddhānaṃ mahāguṇatā’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘anacchariyaṃ, bhikkhave, mallikāya ekassa sabbaññubuddhassa tayo kummāsapiṇḍe datvā kosalarañño aggamahesibhāvādhigamo. Kasmā? Buddhānaṃ guṇamahantatāya. Porāṇakapaṇḍitā pana paccekabuddhānaṃ aloṇakaṃ asnehaṃ aphāṇitaṃ kummāsaṃ datvā tassa phalena dutiye attabhāve tiyojanasatike kāsiraṭṭhe rajjasiriṃ pāpuṇiṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ ทลิทฺทกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต เอกํ เสฎฺฐิํ นิสฺสาย ภติยา กมฺมํ กโรโนฺต ชีวิกํ กเปฺปสิฯ โส เอกทิวสํ ‘‘ปาตราสตฺถาย เม ภวิสฺสตี’’ติ อนฺตราปณโต จตฺตาโร กุมฺมาสปิเณฺฑ คเหตฺวา กมฺมนฺตํ คจฺฉโนฺต จตฺตาโร ปเจฺจกพุเทฺธ ภิกฺขาจารตฺถาย พาราณสินคราภิมุเข อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘อิเม ภิกฺขํ สนฺธาย พาราณสิํ คจฺฉนฺติ , มยฺหมฺปิเม จตฺตาโร กุมฺมาสปิณฺฑา อตฺถิ, ยํนูนาหํ อิเม อิเมสํ ทเทยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เต อุปสํกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิเม เม หเตฺถ จตฺตาโร กุมฺมาสปิณฺฑา, อหํ อิเม ตุมฺหากํ ททามิ, สาธุ เม, ภเนฺต, ปฎิคฺคณฺหถ, เอวมิทํ ปุญฺญํ มยฺหํ ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติ วตฺวา เตสํ อธิวาสนํ วิทิตฺวา วาลิกํ อุสฺสาเปตฺวา จตฺตาริ อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา เตสํ อุปริ สาขาภงฺคํ อตฺถริตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ ปฎิปาฎิยา นิสีทาเปตฺวา ปณฺณปุเฎน อุทกํ อาหริตฺวา ทกฺขิโณทกํ ปาเตตฺวา จตูสุ ปเตฺตสุ จตฺตาโร กุมฺมาสปิเณฺฑ ปติฎฺฐาเปตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, เอเตสํ นิสฺสเนฺทน ทลิทฺทเคเห นิพฺพตฺติ นาม มา โหตุ, สพฺพญฺญุตญฺญาณปฺปฎิเวธสฺส ปจฺจโย โหตู’’ติ อาหฯ ปเจฺจกพุทฺธา ปริภุญฺชิํสุ, ปริโภคาวสาเน อนุโมทนํ กตฺวา อุปฺปติตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารเมว อคมํสุฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto ekasmiṃ daliddakule nibbattitvā vayappatto ekaṃ seṭṭhiṃ nissāya bhatiyā kammaṃ karonto jīvikaṃ kappesi. So ekadivasaṃ ‘‘pātarāsatthāya me bhavissatī’’ti antarāpaṇato cattāro kummāsapiṇḍe gahetvā kammantaṃ gacchanto cattāro paccekabuddhe bhikkhācāratthāya bārāṇasinagarābhimukhe āgacchante disvā ‘‘ime bhikkhaṃ sandhāya bārāṇasiṃ gacchanti , mayhampime cattāro kummāsapiṇḍā atthi, yaṃnūnāhaṃ ime imesaṃ dadeyya’’nti cintetvā te upasaṃkamitvā vanditvā ‘‘bhante, ime me hatthe cattāro kummāsapiṇḍā, ahaṃ ime tumhākaṃ dadāmi, sādhu me, bhante, paṭiggaṇhatha, evamidaṃ puññaṃ mayhaṃ bhavissati dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti vatvā tesaṃ adhivāsanaṃ viditvā vālikaṃ ussāpetvā cattāri āsanāni paññapetvā tesaṃ upari sākhābhaṅgaṃ attharitvā paccekabuddhe paṭipāṭiyā nisīdāpetvā paṇṇapuṭena udakaṃ āharitvā dakkhiṇodakaṃ pātetvā catūsu pattesu cattāro kummāsapiṇḍe patiṭṭhāpetvā vanditvā ‘‘bhante, etesaṃ nissandena daliddagehe nibbatti nāma mā hotu, sabbaññutaññāṇappaṭivedhassa paccayo hotū’’ti āha. Paccekabuddhā paribhuñjiṃsu, paribhogāvasāne anumodanaṃ katvā uppatitvā nandamūlakapabbhārameva agamaṃsu.
โพธิสโตฺต อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ปเจฺจกพุทฺธคตํ ปีติํ คเหตฺวา เตสุ จกฺขุปถํ อตีเตสุ อตฺตโน กมฺมนฺตํ คนฺตฺวา ยาวตายุกํ ทานํ อนุสฺสริตฺวา กาลํ กตฺวา ตสฺส ผเลน พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, พฺรหฺมทตฺตกุมาโรติสฺส นามํ อกํสุฯ โส อตฺตโน ปทสา คมนกาลโต ปฎฺฐาย ‘‘อหํ อิมสฺมิํเยว นคเร ภตโก หุตฺวา กมฺมนฺตํ คจฺฉโนฺต ปเจฺจกพุทฺธานํ จตฺตาโร กุมฺมาสปิเณฺฑ ทตฺวา ตสฺส ทานสฺส ผเลน อิธ นิพฺพโตฺต’’ติ ปสนฺนาทาเส มุขนิมิตฺตํ วิย สพฺพํ ปุริมชาติกิริยํ ชาติสฺสรญาเณน ปากฎํ กตฺวา ปสฺสิฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ คนฺตฺวา สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา ปจฺจาคนฺตฺวา สิกฺขิตสิปฺปํ ปิตุ ทเสฺสตฺวา ตุเฎฺฐน ปิตรา โอปรเชฺช ปติฎฺฐาปิโต, อปรภาเค ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาสิฯ อถสฺส อุตฺตมรูปธรํ โกสลรโญฺญ ธีตรํ อาเนตฺวา อคฺคมเหสิํ อกํสุ, ฉตฺตมงฺคลทิวเส ปนสฺส สกลนครํ เทวนครํ วิย อลงฺกริํสุฯ
Bodhisatto añjaliṃ paggayha paccekabuddhagataṃ pītiṃ gahetvā tesu cakkhupathaṃ atītesu attano kammantaṃ gantvā yāvatāyukaṃ dānaṃ anussaritvā kālaṃ katvā tassa phalena bārāṇasirañño aggamahesiyā kucchimhi nibbatti, brahmadattakumārotissa nāmaṃ akaṃsu. So attano padasā gamanakālato paṭṭhāya ‘‘ahaṃ imasmiṃyeva nagare bhatako hutvā kammantaṃ gacchanto paccekabuddhānaṃ cattāro kummāsapiṇḍe datvā tassa dānassa phalena idha nibbatto’’ti pasannādāse mukhanimittaṃ viya sabbaṃ purimajātikiriyaṃ jātissarañāṇena pākaṭaṃ katvā passi. So vayappatto takkasilāyaṃ gantvā sabbasippāni uggaṇhitvā paccāgantvā sikkhitasippaṃ pitu dassetvā tuṭṭhena pitarā oparajje patiṭṭhāpito, aparabhāge pitu accayena rajje patiṭṭhāsi. Athassa uttamarūpadharaṃ kosalarañño dhītaraṃ ānetvā aggamahesiṃ akaṃsu, chattamaṅgaladivase panassa sakalanagaraṃ devanagaraṃ viya alaṅkariṃsu.
โส นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อลงฺกตปาสาทํ อภิรุหิตฺวา มหาตลมเชฺฌ สมุสฺสิตเสตจฺฉตฺตํ ปลฺลงฺกํ อภิรุยฺห นิสิโนฺน ปริวาเรตฺวา ฐิเต เอกโต อมเจฺจ, เอกโต พฺราหฺมณคหปติอาทโย นานาวิภเว สิริวิลาสสมุชฺชเล, เอกโต นานาวิธปณฺณาการหเตฺถ นาครมนุเสฺส, เอกโต อลงฺกตเทวจฺฉรสงฺฆํ วิย โสฬสสหสฺสสงฺขํ นาฎกิตฺถิคณนฺติ อิมํ อติมโนรมํ สิริวิภวํ โอโลเกโนฺต อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ อนุสฺสริตฺวา ‘‘อิทํ สุวณฺณปิณฺฑิกํ กญฺจนมาลํ เสตจฺฉตฺตํ, อิมานิ จ อเนกสหสฺสานิ หตฺถิวาหนอสฺสวาหนรถวาหนานิ, มณิมุตฺตาทิปูริตา สารคพฺภา, นานาวิธธญฺญปูริตา มหาปถวี, เทวจฺฉรปฎิภาคา นาริโย จาติ สโพฺพเปส มยฺหํ สิริวิภโว น อญฺญสฺส สนฺตโก, จตุนฺนํ ปเจฺจกพุทฺธานํ ทินฺนสฺส จตุกุมฺมาสปิณฺฑทานเสฺสว สนฺตโก, เต นิสฺสาย มยา เอส ลโทฺธ’’ติ ปเจฺจกพุทฺธานํ คุณํ อนุสฺสริตฺวา อตฺตโน กมฺมํ ปากฎํ อกาสิฯ ตสฺส ตํ อนุสฺสรนฺตสฺส สกลสรีรํ ปีติยา ปูริฯ โส ปีติยา เตมิตหทโย มหาชนสฺส มเชฺฌ อุทานคีตํ คายโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
So nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā alaṅkatapāsādaṃ abhiruhitvā mahātalamajjhe samussitasetacchattaṃ pallaṅkaṃ abhiruyha nisinno parivāretvā ṭhite ekato amacce, ekato brāhmaṇagahapatiādayo nānāvibhave sirivilāsasamujjale, ekato nānāvidhapaṇṇākārahatthe nāgaramanusse, ekato alaṅkatadevaccharasaṅghaṃ viya soḷasasahassasaṅkhaṃ nāṭakitthigaṇanti imaṃ atimanoramaṃ sirivibhavaṃ olokento attano pubbakammaṃ anussaritvā ‘‘idaṃ suvaṇṇapiṇḍikaṃ kañcanamālaṃ setacchattaṃ, imāni ca anekasahassāni hatthivāhanaassavāhanarathavāhanāni, maṇimuttādipūritā sāragabbhā, nānāvidhadhaññapūritā mahāpathavī, devaccharapaṭibhāgā nāriyo cāti sabbopesa mayhaṃ sirivibhavo na aññassa santako, catunnaṃ paccekabuddhānaṃ dinnassa catukummāsapiṇḍadānasseva santako, te nissāya mayā esa laddho’’ti paccekabuddhānaṃ guṇaṃ anussaritvā attano kammaṃ pākaṭaṃ akāsi. Tassa taṃ anussarantassa sakalasarīraṃ pītiyā pūri. So pītiyā temitahadayo mahājanassa majjhe udānagītaṃ gāyanto dve gāthā abhāsi –
๑๔๒.
142.
‘‘น กิรตฺถิ อโนมทสฺสิสุ, ปาริจริยา พุเทฺธสุ อปฺปิกา;
‘‘Na kiratthi anomadassisu, pāricariyā buddhesu appikā;
สุกฺขาย อโลณิกาย จ, ปสฺส ผลํ กุมฺมาสปิณฺฑิยาฯ
Sukkhāya aloṇikāya ca, passa phalaṃ kummāsapiṇḍiyā.
๑๔๓.
143.
‘‘หตฺถิควาสฺสา จิเม พหู, ธนธญฺญํ ปถวี จ เกวลา;
‘‘Hatthigavāssā cime bahū, dhanadhaññaṃ pathavī ca kevalā;
นาริโย จิมา อจฺฉรูปมา, ปสฺส ผลํ กุมฺมาสปิณฺฑิยา’’ติฯ
Nāriyo cimā accharūpamā, passa phalaṃ kummāsapiṇḍiyā’’ti.
ตตฺถ อโนมทสฺสิสูติ อโนมสฺส อลามกสฺส ปเจฺจกโพธิญาณสฺส ทิฎฺฐตฺตา ปเจฺจกพุทฺธา อโนมทสฺสิโน นามฯ ปาริจริยาติ อภิวาทนปจฺจุฎฺฐานญฺชลิกมฺมาทิเภทา สามีจิกิริยาปิ, สมฺปเตฺต ทิสฺวา อตฺตโน สนฺตกํ อปฺปํ วา พหุํ วา ลูขํ วา ปณีตํ วา เทยฺยธมฺมํ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา คุณํ สลฺลเกฺขตฺวา ติโสฺส เจตนา วิโสเธตฺวา ผลํ สทฺทหิตฺวา ปริจฺจชนกิริยาปิ ฯ พุเทฺธสูติ ปเจฺจกพุเทฺธสุฯ อปฺปิกาติ มนฺทา ปริตฺตา นาม นตฺถิ กิรฯ สุกฺขายาติ นิเสฺนหายฯ อโลณิกายาติ ผาณิตวิรหิตายฯ นิปฺผาณิตตฺตา หิ สา ‘‘อโลณิกา’’ติ วุตฺตาฯ กุมฺมาสปิณฺฑิยาติ จตฺตาโร กุมฺมาสปิเณฺฑ เอกโต กตฺวา คหิตํ กุมฺมาสํ สนฺธาย เอวมาหฯ คุณวนฺตานํ สมณพฺราหฺมณานํ คุณํ สลฺลเกฺขตฺวา จิตฺตํ ปสาเทตฺวา ผลุปฺปตฺติํ ปาฎิกงฺขมานานํ ติโสฺส เจตนา วิโสเธตฺวา ทินฺนปทกฺขิณา อปฺปิกา นาม นตฺถิ, นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน มหาสมฺปตฺติเมว เทตีติ วุตฺตํ โหติฯ โหติ เจตฺถ –
Tattha anomadassisūti anomassa alāmakassa paccekabodhiñāṇassa diṭṭhattā paccekabuddhā anomadassino nāma. Pāricariyāti abhivādanapaccuṭṭhānañjalikammādibhedā sāmīcikiriyāpi, sampatte disvā attano santakaṃ appaṃ vā bahuṃ vā lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā deyyadhammaṃ cittaṃ pasādetvā guṇaṃ sallakkhetvā tisso cetanā visodhetvā phalaṃ saddahitvā pariccajanakiriyāpi . Buddhesūti paccekabuddhesu. Appikāti mandā parittā nāma natthi kira. Sukkhāyāti nisnehāya. Aloṇikāyāti phāṇitavirahitāya. Nipphāṇitattā hi sā ‘‘aloṇikā’’ti vuttā. Kummāsapiṇḍiyāti cattāro kummāsapiṇḍe ekato katvā gahitaṃ kummāsaṃ sandhāya evamāha. Guṇavantānaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ guṇaṃ sallakkhetvā cittaṃ pasādetvā phaluppattiṃ pāṭikaṅkhamānānaṃ tisso cetanā visodhetvā dinnapadakkhiṇā appikā nāma natthi, nibbattanibbattaṭṭhāne mahāsampattimeva detīti vuttaṃ hoti. Hoti cettha –
‘‘นตฺถิ จิเตฺต ปสนฺนมฺหิ, อปฺปิกา นาม ทกฺขิณา;
‘‘Natthi citte pasannamhi, appikā nāma dakkhiṇā;
ตถาคเต วา สมฺพุเทฺธ, อถ วา ตสฺส สาวเกฯ
Tathāgate vā sambuddhe, atha vā tassa sāvake.
‘‘ติฎฺฐเนฺต นิพฺพุเต จาปิ, สเม จิเตฺต สมํ ผลํ;
‘‘Tiṭṭhante nibbute cāpi, same citte samaṃ phalaṃ;
เจโตปณิธิเหตุ หิ, สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคติ’’นฺติฯ (วิ. ว. ๘๐๔, ๘๐๖);
Cetopaṇidhihetu hi, sattā gacchanti suggati’’nti. (vi. va. 804, 806);
อิมสฺส ปนตฺถสฺส ทีปนตฺถาย –
Imassa panatthassa dīpanatthāya –
‘‘ขีโรทนํ อหมทาสิํ, ภิกฺขุโน ปิณฺฑาย จรนฺตสฺส; (วิ. ว. ๔๑๓);
‘‘Khīrodanaṃ ahamadāsiṃ, bhikkhuno piṇḍāya carantassa; (Vi. va. 413);
ตสฺสา เม ปสฺส วิมานํ, อจฺฉรา กามวณฺณินีหมสฺมิฯ (วิ. ว. ๓๓๔);
Tassā me passa vimānaṃ, accharā kāmavaṇṇinīhamasmi. (vi. va. 334);
‘‘อจฺฉราสหสฺสสฺสาหํ , ปวรา ปสฺส ปุญฺญานํ วิปากํ;
‘‘Accharāsahassassāhaṃ , pavarā passa puññānaṃ vipākaṃ;
เตน เมตาทิโส วโณฺณ, เตน เม อิธ มิชฺฌติฯ
Tena metādiso vaṇṇo, tena me idha mijjhati.
‘‘อุปฺปชฺชนฺติ จ เม โภคา, เย เกจิ มนโส ปิยา;
‘‘Uppajjanti ca me bhogā, ye keci manaso piyā;
เตนมฺหิ เอวํ ชลิตานุภาวา, วโณฺณ จ เม สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ (วิ. ว. ๓๓๔-๓๓๖) –
Tenamhi evaṃ jalitānubhāvā, vaṇṇo ca me sabbadisā pabhāsatī’’ti. (vi. va. 334-336) –
เอวมาทีนิ วิมานวตฺถูนิ อาหริตพฺพานิฯ
Evamādīni vimānavatthūni āharitabbāni.
ธนธญฺญนฺติ มุตฺตาทิธนญฺจ สตฺต ธญฺญานิ จฯ ปถวี จ เกวลาติ สกลา เจสา มหาปถวีติ สกลปถวิํ หตฺถคตํ มญฺญมาโน วทติฯ ปสฺส ผลํ กุมฺมาสปิณฺฑิยาติ อตฺตโน ทานผลํ อตฺตนาว ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ ทานผลํ กิร โพธิสตฺตา จ สพฺพญฺญุพุทฺธาเยว จ ชานนฺติฯ เตเนว สตฺถา อิติวุตฺตเก สุตฺตนฺตํ กเถโนฺต –
Dhanadhaññanti muttādidhanañca satta dhaññāni ca. Pathavī ca kevalāti sakalā cesā mahāpathavīti sakalapathaviṃ hatthagataṃ maññamāno vadati. Passa phalaṃ kummāsapiṇḍiyāti attano dānaphalaṃ attanāva dassento evamāha. Dānaphalaṃ kira bodhisattā ca sabbaññubuddhāyeva ca jānanti. Teneva satthā itivuttake suttantaṃ kathento –
‘‘เอวเญฺจ, ภิกฺขเว, สตฺตา ชาเนยฺยุํ ทานสํวิภาคสฺส วิปากํ, ยถาหํ ชานามิ, น อทตฺวา ภุเญฺชยฺยุํ, น จ เนสํ มเจฺฉรมลํ จิตฺตํ ปริยาทาย ติเฎฺฐยฺยฯ โยปิ เนสํ อสฺส จริโม อาโลโป จริมํ กพฬํ, ตโตปิ น อสํวิภชิตฺวา ภุเญฺชยฺยุํ, สเจ เนสํ ปฎิคฺคาหกา อสฺสุฯ ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, สตฺตา น เอวํ ชานนฺติ ทานสํวิภาคสฺส วิปากํ, ยถาหํ ชานามิ, ตสฺมา อทตฺวา ภุญฺชนฺติ, มเจฺฉรมลญฺจ เนสํ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตี’’ติ (อิติวุ. ๒๖)ฯ
‘‘Evañce, bhikkhave, sattā jāneyyuṃ dānasaṃvibhāgassa vipākaṃ, yathāhaṃ jānāmi, na adatvā bhuñjeyyuṃ, na ca nesaṃ maccheramalaṃ cittaṃ pariyādāya tiṭṭheyya. Yopi nesaṃ assa carimo ālopo carimaṃ kabaḷaṃ, tatopi na asaṃvibhajitvā bhuñjeyyuṃ, sace nesaṃ paṭiggāhakā assu. Yasmā ca kho, bhikkhave, sattā na evaṃ jānanti dānasaṃvibhāgassa vipākaṃ, yathāhaṃ jānāmi, tasmā adatvā bhuñjanti, maccheramalañca nesaṃ cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatī’’ti (itivu. 26).
โพธิสโตฺตปิ อตฺตโน ฉตฺตมงฺคลทิวเส สญฺชาตปีติปาโมโชฺช อิมาหิ ทฺวีหิ คาถาหิ อุทานคีตํ คายิฯ ตโต ปฎฺฐาย ‘‘รโญฺญ ปิยคีต’’นฺติ โพธิสตฺตสฺส นาฎกิตฺถิโย จ เสสนาฎกคนฺธพฺพาทโยปิ จ อเนฺตปุรชโนปิ อโนฺตนครวาสิโนปิ พหินครวาสิโนปิ ปานาคาเรสุปิ อมจฺจมณฺฑเลสุปิ ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ ปิยคีต’’นฺติ ตเทว คีตํ คายนฺติฯ เอวํ อทฺธาเน คเต อคฺคมเหสี ตสฺส คีตสฺส อตฺถํ ชานิตุกามา อโหสิ, มหาสตฺตํ ปน ปุจฺฉิตุํ น วิสหติฯ อถสฺสา เอกสฺมิํ คุเณ ปสีทิตฺวา เอกทิวสํ ราชา ‘‘ภเทฺท, วรํ เต ทสฺสามิ, วรํ คณฺหาหี’’ติ อาหฯ ‘‘สาธุ, เทว, คณฺหามี’’ติฯ ‘‘หตฺถิอสฺสาทีสุ เต กิํ ทมฺมี’’ติ? ‘‘เทว, ตุเมฺห นิสฺสาย มยฺหํ น กิญฺจิ นตฺถิ, น เม เอเตหิ อโตฺถ, สเจ ปน ทาตุกามาตฺถ, ตุมฺหากํ คีตสฺส อตฺถํ กเถตฺวา เทถา’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, โก เต อิมินา วเรน อโตฺถ, อญฺญํ คณฺหาหี’’ติฯ ‘‘เทว, อเญฺญน เม อโตฺถ นตฺถิ, เอตเทว คณฺหามี’’ติฯ ‘‘สาธุ ภเทฺท, กเถสฺสามิ, ตุยฺหํ ปน เอกิกาย รโห น กเถสฺสามิ, ทฺวาทสโยชนิกาย พาราณสิยา เภริํ จราเปตฺวา ราชทฺวาเร รตนมณฺฑปํ กาเรตฺวา รตนปลฺลงฺกํ ปญฺญาเปตฺวา อมจฺจพฺราหฺมณาทีหิ จ นาคเรหิ เจว โสฬสหิ อิตฺถิสหเสฺสหิ จ ปริวุโต เตสํ มเชฺฌ รตนปลฺลเงฺก นิสีทิตฺวา กเถสฺสามี’’ติฯ สา ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ
Bodhisattopi attano chattamaṅgaladivase sañjātapītipāmojjo imāhi dvīhi gāthāhi udānagītaṃ gāyi. Tato paṭṭhāya ‘‘rañño piyagīta’’nti bodhisattassa nāṭakitthiyo ca sesanāṭakagandhabbādayopi ca antepurajanopi antonagaravāsinopi bahinagaravāsinopi pānāgāresupi amaccamaṇḍalesupi ‘‘amhākaṃ rañño piyagīta’’nti tadeva gītaṃ gāyanti. Evaṃ addhāne gate aggamahesī tassa gītassa atthaṃ jānitukāmā ahosi, mahāsattaṃ pana pucchituṃ na visahati. Athassā ekasmiṃ guṇe pasīditvā ekadivasaṃ rājā ‘‘bhadde, varaṃ te dassāmi, varaṃ gaṇhāhī’’ti āha. ‘‘Sādhu, deva, gaṇhāmī’’ti. ‘‘Hatthiassādīsu te kiṃ dammī’’ti? ‘‘Deva, tumhe nissāya mayhaṃ na kiñci natthi, na me etehi attho, sace pana dātukāmāttha, tumhākaṃ gītassa atthaṃ kathetvā dethā’’ti. ‘‘Bhadde, ko te iminā varena attho, aññaṃ gaṇhāhī’’ti. ‘‘Deva, aññena me attho natthi, etadeva gaṇhāmī’’ti. ‘‘Sādhu bhadde, kathessāmi, tuyhaṃ pana ekikāya raho na kathessāmi, dvādasayojanikāya bārāṇasiyā bheriṃ carāpetvā rājadvāre ratanamaṇḍapaṃ kāretvā ratanapallaṅkaṃ paññāpetvā amaccabrāhmaṇādīhi ca nāgarehi ceva soḷasahi itthisahassehi ca parivuto tesaṃ majjhe ratanapallaṅke nisīditvā kathessāmī’’ti. Sā ‘‘sādhu, devā’’ti sampaṭicchi.
ราชา ตถา กาเรตฺวา อมรคณปริวุโต สโกฺก เทวราชา วิย มหาชนกายปริวุโต รตนปลฺลเงฺก นิสีทิฯ เทวีปิ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา กญฺจนภทฺทปีฐํ อตฺถริตฺวา เอกมเนฺต อกฺขิโกฎิยา โอโลเกตฺวา ตถารูเป ฐาเน นิสีทิตฺวา ‘‘เทว, ตุมฺหากํ ตุสฺสิตฺวา คายนมงฺคลคีตสฺส ตาว เม อตฺถํ คคนตเล ปุณฺณจนฺทํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย ปากฎํ กตฺวา กเถถา’’ติ วตฺวา ตติยํ คาถมาห –
Rājā tathā kāretvā amaragaṇaparivuto sakko devarājā viya mahājanakāyaparivuto ratanapallaṅke nisīdi. Devīpi sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā kañcanabhaddapīṭhaṃ attharitvā ekamante akkhikoṭiyā oloketvā tathārūpe ṭhāne nisīditvā ‘‘deva, tumhākaṃ tussitvā gāyanamaṅgalagītassa tāva me atthaṃ gaganatale puṇṇacandaṃ uṭṭhāpento viya pākaṭaṃ katvā kathethā’’ti vatvā tatiyaṃ gāthamāha –
๑๔๔.
144.
‘‘อภิกฺขณํ ราชกุญฺชร, คาถา ภาสสิ โกสลาธิป;
‘‘Abhikkhaṇaṃ rājakuñjara, gāthā bhāsasi kosalādhipa;
ปุจฺฉามิ ตํ รฎฺฐวฑฺฒน, พาฬฺหํ ปีติมโน ปภาสสี’’ติฯ
Pucchāmi taṃ raṭṭhavaḍḍhana, bāḷhaṃ pītimano pabhāsasī’’ti.
ตตฺถ โกสลาธิปาติ น โส โกสลรฎฺฐาธิโป, กุสเล ปน ธเมฺม อธิปติํ กตฺวา วิหรติ, เตน นํ อาลปนฺตี เอวมาห, กุสลาธิป กุสลชฺฌาสยาติ อโตฺถฯ พาฬฺหํ ปีติมโน ปภาสสีติ อติวิย ปีติยุตฺตจิโตฺต หุตฺวา ภาสสิ, ตสฺมา กเถถ ตาว เม เอตาสํ คาถานํ อตฺถนฺติฯ
Tattha kosalādhipāti na so kosalaraṭṭhādhipo, kusale pana dhamme adhipatiṃ katvā viharati, tena naṃ ālapantī evamāha, kusalādhipa kusalajjhāsayāti attho. Bāḷhaṃ pītimano pabhāsasīti ativiya pītiyuttacitto hutvā bhāsasi, tasmā kathetha tāva me etāsaṃ gāthānaṃ atthanti.
อถสฺส คาถานมตฺถํ อาวิ กโรโนฺต มหาสโตฺต จตโสฺส คาถา อภาสิ –
Athassa gāthānamatthaṃ āvi karonto mahāsatto catasso gāthā abhāsi –
๑๔๕.
145.
‘‘อิมสฺมิํเยว นคเร, กุเล อญฺญตเร อหุํ;
‘‘Imasmiṃyeva nagare, kule aññatare ahuṃ;
ปรกมฺมกโร อาสิํ, ภตโก สีลสํวุโตฯ
Parakammakaro āsiṃ, bhatako sīlasaṃvuto.
๑๔๖.
146.
‘‘กมฺมาย นิกฺขมโนฺตหํ, จตุโร สมเณทฺทสํ;
‘‘Kammāya nikkhamantohaṃ, caturo samaṇeddasaṃ;
อาจารสีลสมฺปเนฺน, สีติภูเต อนาสเวฯ
Ācārasīlasampanne, sītibhūte anāsave.
๑๔๗.
147.
‘‘เตสุ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, นิสีเทตฺวา ปณฺณสนฺถเต;
‘‘Tesu cittaṃ pasādetvā, nisīdetvā paṇṇasanthate;
อทํ พุทฺธานํ กุมฺมาสํ, ปสโนฺน เสหิ ปาณิภิฯ
Adaṃ buddhānaṃ kummāsaṃ, pasanno sehi pāṇibhi.
๑๔๘.
148.
‘‘ตสฺส กมฺมสฺส กุสลสฺส, อิทํ เม เอทิสํ ผลํ;
‘‘Tassa kammassa kusalassa, idaṃ me edisaṃ phalaṃ;
อนุโภมิ อิทํ รชฺชํ, ผีตํ ธรณิมุตฺตม’’นฺติฯ
Anubhomi idaṃ rajjaṃ, phītaṃ dharaṇimuttama’’nti.
ตตฺถ กุเล อญฺญตเรติ นาเมน วา โคเตฺตน วา อปากเฎ เอกสฺมิํเยว กุเลฯ อหุนฺติ นิพฺพตฺติํฯ ปรกมฺมกโร อาสินฺติ ตสฺมิํ กุเล ชาโตวาหํ ทลิทฺทตาย ปรสฺส กมฺมํ กตฺวา ชีวิกํ กเปฺปโนฺต ปรกมฺมกโร อาสิํฯ ภตโกติ ปรเวตนภโตฯ สีลสํวุโตติ ปญฺจสีลสํวเร ฐิโต, ภติยา ชีวโนฺตปิ ทุสฺสีลฺยํ ปหาย สีลสมฺปโนฺนว อโหสินฺติ ทีเปติฯ กมฺมาย นิกฺขมโนฺตหนฺติ ตํ ทิวสํ กตฺตพฺพกิจฺจสฺส กรณตฺถาย นิกฺขโนฺต อหํฯ จตุโร สมเณทฺทสนฺติ ภเทฺท, อหํ นครา นิกฺขมฺม มหามคฺคํ อารุยฺห อตฺตโน กมฺมภูมิํ คจฺฉโนฺต ภิกฺขาย พาราณสินครํ ปวิสเนฺต สมิตปาเป จตฺตาโร ปพฺพชิเต อทฺทสํฯ อาจารสีลสมฺปเนฺนติ เอกวีสติยา อเนสนาหิ ชีวิกกปฺปนํ อนาจาโร นาม, ตสฺส ปฎิปเกฺขน อาจาเรน เจว มคฺคผเลหิ อาคเตน สีเลน จ สมนฺนาคเตฯ สีติภูเตติ ราคาทิปริฬาหวูปสเมน เจว เอกาทสอคฺคินิพฺพาปเนน จ สีติภาวปฺปเตฺตฯ อนาสเวติ กามาสวาทิวิรหิเตฯ นิสีเทตฺวาติ วาลิกาสนานํ อุปริ สนฺถเต ปณฺณสนฺถเร นิสีทาเปตฺวาฯ สนฺถโร หิ อิธ สนฺถโตติ วุโตฺตฯ อทนฺติ เนสํ อุทกํ ทตฺวา สกฺกจฺจํ สเกหิ หเตฺถหิ กุมฺมาสํ อทาสิํฯ กุสลสฺสาติ อาโรคฺยานวชฺชเฎฺฐน กุสลสฺสฯ ผลนฺติ ตสฺส นิสฺสนฺทผลํฯ ผีตนฺติ สพฺพสมฺปตฺติผุลฺลิตํฯ
Tattha kule aññatareti nāmena vā gottena vā apākaṭe ekasmiṃyeva kule. Ahunti nibbattiṃ. Parakammakaro āsinti tasmiṃ kule jātovāhaṃ daliddatāya parassa kammaṃ katvā jīvikaṃ kappento parakammakaro āsiṃ. Bhatakoti paravetanabhato. Sīlasaṃvutoti pañcasīlasaṃvare ṭhito, bhatiyā jīvantopi dussīlyaṃ pahāya sīlasampannova ahosinti dīpeti. Kammāya nikkhamantohanti taṃ divasaṃ kattabbakiccassa karaṇatthāya nikkhanto ahaṃ. Caturo samaṇeddasanti bhadde, ahaṃ nagarā nikkhamma mahāmaggaṃ āruyha attano kammabhūmiṃ gacchanto bhikkhāya bārāṇasinagaraṃ pavisante samitapāpe cattāro pabbajite addasaṃ. Ācārasīlasampanneti ekavīsatiyā anesanāhi jīvikakappanaṃ anācāro nāma, tassa paṭipakkhena ācārena ceva maggaphalehi āgatena sīlena ca samannāgate. Sītibhūteti rāgādipariḷāhavūpasamena ceva ekādasaagginibbāpanena ca sītibhāvappatte. Anāsaveti kāmāsavādivirahite. Nisīdetvāti vālikāsanānaṃ upari santhate paṇṇasanthare nisīdāpetvā. Santharo hi idha santhatoti vutto. Adanti nesaṃ udakaṃ datvā sakkaccaṃ sakehi hatthehi kummāsaṃ adāsiṃ. Kusalassāti ārogyānavajjaṭṭhena kusalassa. Phalanti tassa nissandaphalaṃ. Phītanti sabbasampattiphullitaṃ.
เอวญฺจ มหาสตฺตสฺส อตฺตโน กมฺมผลํ วิตฺถาเรตฺวา กเถนฺตสฺส สุตฺวา เทวี ปสนฺนมนา ‘‘สเจ, มหาราช, เอวํ ปจฺจกฺขโต ทานผลํ ชานาถ, อิโต ทานิ ปฎฺฐาย เอกํ ภตฺตปิณฺฑํ ลภิตฺวา ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณานํ ทตฺวาว ปริภุเญฺชยฺยาถา’’ติ โพธิสตฺตสฺส ถุติํ กโรนฺตี –
Evañca mahāsattassa attano kammaphalaṃ vitthāretvā kathentassa sutvā devī pasannamanā ‘‘sace, mahārāja, evaṃ paccakkhato dānaphalaṃ jānātha, ito dāni paṭṭhāya ekaṃ bhattapiṇḍaṃ labhitvā dhammikasamaṇabrāhmaṇānaṃ datvāva paribhuñjeyyāthā’’ti bodhisattassa thutiṃ karontī –
๑๔๙.
149.
‘‘ททํ ภุญฺช มา จ ปมาโท, จกฺกํ วตฺตย โกสลาธิป;
‘‘Dadaṃ bhuñja mā ca pamādo, cakkaṃ vattaya kosalādhipa;
มา ราช อธมฺมิโก อหุ, ธมฺมํ ปาลย โกสลาธิปา’’ติฯ – อิมํ คาถมาห;
Mā rāja adhammiko ahu, dhammaṃ pālaya kosalādhipā’’ti. – imaṃ gāthamāha;
ตตฺถ ททํ ภุญฺชาติ อเญฺญสํ ทตฺวาว อตฺตนา ภุญฺชฯ มา จ ปมาโทติ ทานาทีสุ ปุเญฺญสุ มา ปมชฺชิฯ จกฺกํ วตฺตย โกสลาธิปาติ กุสลชฺฌาสย, มหาราช, ปติรูปเทสวาสาทิกํ จตุพฺพิธํ ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตหิฯ ปกติรโถ หิ ทฺวีหิ จเกฺกหิ คจฺฉติ, อยํ ปน กาโย อิเมหิ จตูหิ จเกฺกหิ เทวโลกํ คจฺฉติ, เตน เต ‘‘ธมฺมจกฺก’’นฺติ สงฺขฺยํ คตา, ตํ ตฺวํ จกฺกํ ปวเตฺตหิฯ อธมฺมิโกติ ยถา อเญฺญ ฉนฺทาคติํ คจฺฉนฺตา โลกํ อุจฺฉุยเนฺต ปีเฬตฺวา วิย ธนเมว สํกฑฺฒนฺตา อธมฺมิกา โหนฺติ, ตถา ตฺวํ มา อธมฺมิโก อหุฯ ธมฺมํ ปาลยาติ –
Tattha dadaṃ bhuñjāti aññesaṃ datvāva attanā bhuñja. Mā ca pamādoti dānādīsu puññesu mā pamajji. Cakkaṃ vattaya kosalādhipāti kusalajjhāsaya, mahārāja, patirūpadesavāsādikaṃ catubbidhaṃ dhammacakkaṃ pavattehi. Pakatiratho hi dvīhi cakkehi gacchati, ayaṃ pana kāyo imehi catūhi cakkehi devalokaṃ gacchati, tena te ‘‘dhammacakka’’nti saṅkhyaṃ gatā, taṃ tvaṃ cakkaṃ pavattehi. Adhammikoti yathā aññe chandāgatiṃ gacchantā lokaṃ ucchuyante pīḷetvā viya dhanameva saṃkaḍḍhantā adhammikā honti, tathā tvaṃ mā adhammiko ahu. Dhammaṃ pālayāti –
‘‘ทานํ สีลํ ปริจฺจาคํ, อชฺชวํ มทฺทวํ ตปํ;
‘‘Dānaṃ sīlaṃ pariccāgaṃ, ajjavaṃ maddavaṃ tapaṃ;
อโกฺกธํ อวิหิํสญฺจ, ขนฺติญฺจ อวิโรธน’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๑.๑๗๖) –
Akkodhaṃ avihiṃsañca, khantiñca avirodhana’’nti. (jā. 2.21.176) –
อิมํ ปน ทสวิธํ ราชธมฺมเมว ปาลย รกฺข, มา ปริจฺจชิฯ
Imaṃ pana dasavidhaṃ rājadhammameva pālaya rakkha, mā pariccaji.
มหาสโตฺต ตสฺสา วจนํ สมฺปฎิจฺฉโนฺต –
Mahāsatto tassā vacanaṃ sampaṭicchanto –
๑๕๐.
150.
‘‘โสหํ ตเทว ปุนปฺปุนํ, วฎุมํ อาจริสฺสามิ โสภเน;
‘‘Sohaṃ tadeva punappunaṃ, vaṭumaṃ ācarissāmi sobhane;
อริยาจริตํ สุโกสเล, อรหโนฺต เม มนาปาว ปสฺสิตุ’’นฺติฯ – คาถมาห;
Ariyācaritaṃ sukosale, arahanto me manāpāva passitu’’nti. – gāthamāha;
ตตฺถ วฎุมนฺติ มคฺคํฯ อริยาจริตนฺติ อริเยหิ พุทฺธาทีหิ อาจิณฺณํฯ สุโกสเลติ โสภเน โกสลรโญฺญ ธีเตติ อโตฺถฯ อรหโนฺตติ กิเลเสหิ อารกตฺตา, อรานญฺจ อรีนญฺจ หตตฺตา, ปจฺจยานํ อรหตฺตา เอวํลทฺธนามา ปเจฺจกพุทฺธาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ภเทฺท, โกสลราชธีเต โส อหํ ‘‘ทานํ เม ทินฺน’’นฺติ ติตฺติํ อกตฺวา ปุนปฺปุนํ ตเทว อริยาจริตํ ทานมคฺคํ อาจริสฺสามิฯ มยฺหญฺหิ อคฺคทกฺขิเณยฺยตฺตา อรหโนฺต มนาปทสฺสนา, จีวราทีนิ ทาตุกามตาย เตเยว ปสฺสิตุํ อิจฺฉามีติฯ
Tattha vaṭumanti maggaṃ. Ariyācaritanti ariyehi buddhādīhi āciṇṇaṃ. Sukosaleti sobhane kosalarañño dhīteti attho. Arahantoti kilesehi ārakattā, arānañca arīnañca hatattā, paccayānaṃ arahattā evaṃladdhanāmā paccekabuddhā. Idaṃ vuttaṃ hoti – bhadde, kosalarājadhīte so ahaṃ ‘‘dānaṃ me dinna’’nti tittiṃ akatvā punappunaṃ tadeva ariyācaritaṃ dānamaggaṃ ācarissāmi. Mayhañhi aggadakkhiṇeyyattā arahanto manāpadassanā, cīvarādīni dātukāmatāya teyeva passituṃ icchāmīti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ราชา เทวิยา สมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา ‘‘ภเทฺท, มยา ตาว ปุริมภเว อตฺตโน กุสลกมฺมํ วิตฺถาเรตฺวา กถิตํ, อิมาสํ ปน นารีนํ มเชฺฌ รูเปน วา ลีฬาวิลาเสน วา ตยา สทิสี เอกาปิ นตฺถิ, สา ตฺวํ กิํ กมฺมํ กตฺวา อิมํ สมฺปตฺติํ ปฎิลภี’’ติ ปุจฺฉโนฺต ปุน คาถมาห –
Evañca pana vatvā rājā deviyā sampattiṃ oloketvā ‘‘bhadde, mayā tāva purimabhave attano kusalakammaṃ vitthāretvā kathitaṃ, imāsaṃ pana nārīnaṃ majjhe rūpena vā līḷāvilāsena vā tayā sadisī ekāpi natthi, sā tvaṃ kiṃ kammaṃ katvā imaṃ sampattiṃ paṭilabhī’’ti pucchanto puna gāthamāha –
๑๕๑.
151.
‘‘เทวี วิย อจฺฉรูปมา, มเชฺฌ นาริคณสฺส โสภสิ;
‘‘Devī viya accharūpamā, majjhe nārigaṇassa sobhasi;
กิํ กมฺมมกาสิ ภทฺทกํ, เกนาสิ วณฺณวตี สุโกสเล’’ติฯ
Kiṃ kammamakāsi bhaddakaṃ, kenāsi vaṇṇavatī sukosale’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ภเทฺท สุโกสเล โกสลรโญฺญ สุธีเต ตฺวํ รูปสมฺปตฺติยา อจฺฉรูปมา ติทสปุเร สกฺกสฺส เทวรโญฺญ อญฺญตรา เทวธีตา วิย อิมสฺส นารีคณสฺส มเชฺฌ โสภสิ, ปุเพฺพ กิํ นาม ภทฺทกํ กลฺยาณกมฺมํ อกาสิ, เกนาสิ การเณน เอวํ วณฺณวตี ชาตาติฯ
Tassattho – bhadde sukosale kosalarañño sudhīte tvaṃ rūpasampattiyā accharūpamā tidasapure sakkassa devarañño aññatarā devadhītā viya imassa nārīgaṇassa majjhe sobhasi, pubbe kiṃ nāma bhaddakaṃ kalyāṇakammaṃ akāsi, kenāsi kāraṇena evaṃ vaṇṇavatī jātāti.
อถสฺส สา ปุริมภเว กลฺยาณกมฺมํ กเถนฺตี เสสคาถาทฺวยมาห –
Athassa sā purimabhave kalyāṇakammaṃ kathentī sesagāthādvayamāha –
๑๕๒.
152.
‘‘อมฺพฎฺฐกุลสฺส ขตฺติย, ทาสฺยาหํ ปรเปสิยา อหุํ;
‘‘Ambaṭṭhakulassa khattiya, dāsyāhaṃ parapesiyā ahuṃ;
สญฺญตา จ ธมฺมชีวินี, สีลวตี จ อปาปทสฺสนาฯ
Saññatā ca dhammajīvinī, sīlavatī ca apāpadassanā.
๑๕๓.
153.
‘‘อุทฺธฎภตฺตํ อหํ ตทา, จรมานสฺส อทาสิํ ภิกฺขุโน;
‘‘Uddhaṭabhattaṃ ahaṃ tadā, caramānassa adāsiṃ bhikkhuno;
วิตฺตา สุมนา สยํ อหํ, ตสฺส กมฺมสฺส ผลํ มเมทิส’’นฺติฯ
Vittā sumanā sayaṃ ahaṃ, tassa kammassa phalaṃ mamedisa’’nti.
สาปิ กิร ชาติสฺสราว อโหสิ, ตสฺมา อตฺตโน ชาติสฺสรญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวาว กเถสิฯ
Sāpi kira jātissarāva ahosi, tasmā attano jātissarañāṇena paricchinditvāva kathesi.
ตตฺถ อมฺพฎฺฐกุลสฺสาติ กุฎุมฺพิยกุลสฺสฯ ทาสฺยาหนฺติ ทาสี อหํ, ‘‘ทาสาห’’นฺติปิ ปาโฐฯ ปรเปสิยาติ ปเรหิ ตสฺส ตสฺส กิจฺจสฺส กรณตฺถาย เปสิตพฺพา เปสนการิกาฯ สญฺญตาติ ทาสิโย นาม ทุสฺสีลา โหนฺติ, อหํ ปน ตีหิ ทฺวาเรหิ สญฺญตา สีลสมฺปนฺนาฯ ธมฺมชีวินีติ ปรวญฺจนาทีนิ อกตฺวา ธเมฺมน สเมน ปวตฺติตชีวิกาฯ สีลวตีติ อาจารสมฺปนฺนา คุณวตีฯ อปาปทสฺสนาติ กลฺยาณทสฺสนา ปิยธมฺมาฯ
Tattha ambaṭṭhakulassāti kuṭumbiyakulassa. Dāsyāhanti dāsī ahaṃ, ‘‘dāsāha’’ntipi pāṭho. Parapesiyāti parehi tassa tassa kiccassa karaṇatthāya pesitabbā pesanakārikā. Saññatāti dāsiyo nāma dussīlā honti, ahaṃ pana tīhi dvārehi saññatā sīlasampannā. Dhammajīvinīti paravañcanādīni akatvā dhammena samena pavattitajīvikā. Sīlavatīti ācārasampannā guṇavatī. Apāpadassanāti kalyāṇadassanā piyadhammā.
อุทฺธฎภตฺตนฺติ อตฺตโน ปตฺตโกฎฺฐาสวเสน อุทฺธริตฺวา ลทฺธภาคภตฺตํฯ ภิกฺขุโนติ ภินฺนกิเลสสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺสฯ วิตฺตา สุมนาติ ตุฎฺฐา โสมนสฺสชาตา กมฺมผลํ สทฺทหนฺตีฯ ตสฺส กมฺมสฺสาติ ตสฺส เอกภิกฺขาทานกมฺมสฺสฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อหํ, มหาราช, ปุเพฺพ สาวตฺถิยํ อญฺญตรสฺส กุฎุมฺพิยกุลสฺส ทาสี หุตฺวา อตฺตโน ลทฺธภาคภตฺตํ อาทาย นิกฺขมนฺตี เอกํ ปเจฺจกพุทฺธํ ปิณฺฑาย จรนฺตํ ทิสฺวา อตฺตโน ตณฺหํ มิลาเปตฺวา สญฺญตาทิคุณสมฺปนฺนา กมฺมผลํ สทฺทหนฺตี ตสฺส ตํ ภตฺตํ อทาสิํ, สาหํ ยาวตายุกํ ฐตฺวา กาลํ กตฺวา ตตฺถ สาวตฺถิยํ โกสลรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติตฺวา อิทานิ ตว ปาเท ปริจรมานา เอวรูปํ สมฺปตฺติํ อนุภวามิ, ตสฺส มม กมฺมสฺส อิทมีทิสํ ผลนฺติฯ ตตฺถ คุณสมฺปนฺนานํ ทินฺนทานสฺส มหปฺผลภาวทสฺสนตฺถํ –
Uddhaṭabhattanti attano pattakoṭṭhāsavasena uddharitvā laddhabhāgabhattaṃ. Bhikkhunoti bhinnakilesassa paccekabuddhassa. Vittā sumanāti tuṭṭhā somanassajātā kammaphalaṃ saddahantī. Tassa kammassāti tassa ekabhikkhādānakammassa. Idaṃ vuttaṃ hoti – ahaṃ, mahārāja, pubbe sāvatthiyaṃ aññatarassa kuṭumbiyakulassa dāsī hutvā attano laddhabhāgabhattaṃ ādāya nikkhamantī ekaṃ paccekabuddhaṃ piṇḍāya carantaṃ disvā attano taṇhaṃ milāpetvā saññatādiguṇasampannā kammaphalaṃ saddahantī tassa taṃ bhattaṃ adāsiṃ, sāhaṃ yāvatāyukaṃ ṭhatvā kālaṃ katvā tattha sāvatthiyaṃ kosalarañño aggamahesiyā kucchimhi nibbattitvā idāni tava pāde paricaramānā evarūpaṃ sampattiṃ anubhavāmi, tassa mama kammassa idamīdisaṃ phalanti. Tattha guṇasampannānaṃ dinnadānassa mahapphalabhāvadassanatthaṃ –
‘‘อคฺคโต เว ปสนฺนาน’’นฺติ (อิติวุ. ๙๐) จฯ
‘‘Aggato ve pasannāna’’nti (itivu. 90) ca.
‘‘เอส เทวมนุสฺสานํ, สพฺพกามทโท นิธี’’ติ (ขุ. ปา. ๘.๑๐) จฯ –
‘‘Esa devamanussānaṃ, sabbakāmadado nidhī’’ti (khu. pā. 8.10) ca. –
อาทิคาถา วิตฺถาเรตพฺพาฯ
Ādigāthā vitthāretabbā.
อิติ เต อุโภปิ อตฺตโน ปุริมกมฺมํ วิตฺถารโต กเถตฺวา ตโต ปฎฺฐาย จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ นิเวสนทฺวาเรติ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา สกลชมฺพุทีปํ อุนฺนงฺคลํ กตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา ชีวิตปริโยสาเน สคฺคปรายณา อเหสุํฯ
Iti te ubhopi attano purimakammaṃ vitthārato kathetvā tato paṭṭhāya catūsu nagaradvāresu nagaramajjhe nivesanadvāreti cha dānasālāyo kāretvā sakalajambudīpaṃ unnaṅgalaṃ katvā mahādānaṃ pavattetvā sīlaṃ rakkhitvā uposathakammaṃ katvā jīvitapariyosāne saggaparāyaṇā ahesuṃ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา เทวี ราหุลมาตา อโหสิ, ราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā devī rāhulamātā ahosi, rājā pana ahameva ahosi’’nti.
กุมฺมาสปิณฺฑิชาตกวณฺณนา ทสมาฯ
Kummāsapiṇḍijātakavaṇṇanā dasamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๑๕. กุมฺมาสปิณฺฑิชาตกํ • 415. Kummāsapiṇḍijātakaṃ