Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๕๓๖] ๔. กุณาลชาตกวณฺณนา
[536] 4. Kuṇālajātakavaṇṇanā
เอวมกฺขายตีติ อิทํ สตฺถา กุณาลทเห วิหรโนฺต อนภิรติปีฬิเต ปญฺจสเต ภิกฺขู อารพฺภ กเถสิฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – สากิยโกลิยา กิร กปิลวตฺถุนครสฺส จ โกลิยนครสฺส จ อนฺตเร โรหิณิํ นาม นทิํ เอเกเนวาวรเณน พนฺธาเปตฺวา สสฺสานิ กาเรนฺติฯ อถ เชฎฺฐมูลมาเส สเสฺสสุ มิลายเนฺตสุ อุภยนครวาสีนมฺปิ กมฺมการา สนฺนิปติํสุฯ ตตฺถ โกลิยนครวาสิโน วทิํสุ – ‘‘อิทํ อุทกํ อุภยโต นีหริยมานํ เนว ตุมฺหากํ, น อมฺหากํ ปโหสฺสติ, อมฺหากํ ปน สสฺสํ เอกอุทเกเนว นิปฺผชฺชิสฺสติ, อิทํ อุทกํ อมฺหากํ เทถา’’ติฯ กปิลวตฺถุวาสิโน วทิํสุ – ‘‘ตุเมฺหสุ โกเฎฺฐ ปูเรตฺวา ฐิเตสุ มยํ รตฺตสุวณฺณนีลมณิกาฬกหาปเณ คเหตฺวา น สกฺขิสฺสาม ปจฺฉิปสิพฺพกาทิหตฺถา ตุมฺหากํ ฆรทฺวาเร วิจริตุํ, อมฺหากมฺปิ สสฺสํ เอเกเนว อุทเกน นิปฺผชฺชิสฺสติ, อิทํ อุทกํ อมฺหากํ เทถา’’ติฯ ‘‘น มยํ ทสฺสามา’’ติ? ‘‘มยมฺปิ น ทสฺสามา’’ติฯ เอวํ กลหํ วเฑฺฒตฺวา เอโก อุฎฺฐาย เอกสฺส ปหารํ อทาสิ, โสปิ อญฺญสฺสาติ เอวํ อญฺญมญฺญํ ปหริตฺวา ราชกุลานํ ชาติํ ฆเฎฺฎตฺวา กลหํ ปวเตฺตสุํฯ
Evamakkhāyatīti idaṃ satthā kuṇāladahe viharanto anabhiratipīḷite pañcasate bhikkhū ārabbha kathesi. Tatrāyaṃ anupubbikathā – sākiyakoliyā kira kapilavatthunagarassa ca koliyanagarassa ca antare rohiṇiṃ nāma nadiṃ ekenevāvaraṇena bandhāpetvā sassāni kārenti. Atha jeṭṭhamūlamāse sassesu milāyantesu ubhayanagaravāsīnampi kammakārā sannipatiṃsu. Tattha koliyanagaravāsino vadiṃsu – ‘‘idaṃ udakaṃ ubhayato nīhariyamānaṃ neva tumhākaṃ, na amhākaṃ pahossati, amhākaṃ pana sassaṃ ekaudakeneva nipphajjissati, idaṃ udakaṃ amhākaṃ dethā’’ti. Kapilavatthuvāsino vadiṃsu – ‘‘tumhesu koṭṭhe pūretvā ṭhitesu mayaṃ rattasuvaṇṇanīlamaṇikāḷakahāpaṇe gahetvā na sakkhissāma pacchipasibbakādihatthā tumhākaṃ gharadvāre vicarituṃ, amhākampi sassaṃ ekeneva udakena nipphajjissati, idaṃ udakaṃ amhākaṃ dethā’’ti. ‘‘Na mayaṃ dassāmā’’ti? ‘‘Mayampi na dassāmā’’ti. Evaṃ kalahaṃ vaḍḍhetvā eko uṭṭhāya ekassa pahāraṃ adāsi, sopi aññassāti evaṃ aññamaññaṃ paharitvā rājakulānaṃ jātiṃ ghaṭṭetvā kalahaṃ pavattesuṃ.
โกลิยกมฺมการา วทนฺติ – ‘‘ตุเมฺห กปิลวตฺถุวาสิเก สากิยทารเก คเหตฺวา คชฺชถ , เย โสณสิงฺคาลาทโย วิย อตฺตโน ภคินีหิ สทฺธิํ วสิํสุ, เอเตสํ หตฺถิอสฺสาทโย วา ผลกาวุธานิ วา อมฺหากํ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? สากิยกมฺมการา วทนฺติ – ‘‘ตุเมฺห ทานิ กุฎฺฐิโน ทารเก คเหตฺวา คชฺชถ, เย อนาถา นิคฺคติกา ติรจฺฉานา วิย โกลรุเกฺข วสิํสุ, เอเตสํ หตฺถิอสฺสาทโย วา ผลกาวุธานิ วา อมฺหากํ กิํ กริสฺสนฺตี’’ติ? เต คนฺตฺวา ตสฺมิํ กเมฺม นิยุตฺตอมจฺจานํ กเถสุํ, อมจฺจา ราชกุลานํ กเถสุํฯ ตโต สากิยา ‘‘ภคินีหิ สทฺธิํ สํวาสิกานํ ถามญฺจ พลญฺจ ทเสฺสสฺสามา’’ติ ยุทฺธสชฺชา นิกฺขมิํสุฯ โกลิยาปิ ‘‘โกลรุกฺขวาสีนํ ถามญฺจ พลญฺจ ทเสฺสสฺสามา’’ติ ยุทฺธสชฺชา นิกฺขมิํสุฯ อปเร ปนาจริยา ‘‘สากิยโกลิยานํ ทาสีสุ อุทกตฺถาย นทิํ คนฺตฺวา จุมฺพฎานิ ภูมิยํ นิกฺขิปิตฺวา สุขกถาย สนฺนิสินฺนาสุ เอกิสฺสา จุมฺพฎํ เอกา สกสญฺญาย คณฺหิ, ตํ นิสฺสาย ‘มม จุมฺพฎํ, ตว จุมฺพฎ’นฺติ กลเห ปวเตฺต กเมน อุภยนครวาสิโน ทาสกมฺมการา เจว เสวกคามโภชกามจฺจอุปราชาโน จาติ สเพฺพ ยุทฺธสชฺชา นิกฺขมิํสู’’ติ วทนฺติฯ อิมมฺหา ปน นยา ปุริมนโยว พหูสุ อฎฺฐกถาสุ อาคโต, ยุตฺตรูโป จาติ เสฺวว คเหตโพฺพฯ
Koliyakammakārā vadanti – ‘‘tumhe kapilavatthuvāsike sākiyadārake gahetvā gajjatha , ye soṇasiṅgālādayo viya attano bhaginīhi saddhiṃ vasiṃsu, etesaṃ hatthiassādayo vā phalakāvudhāni vā amhākaṃ kiṃ karissantī’’ti? Sākiyakammakārā vadanti – ‘‘tumhe dāni kuṭṭhino dārake gahetvā gajjatha, ye anāthā niggatikā tiracchānā viya kolarukkhe vasiṃsu, etesaṃ hatthiassādayo vā phalakāvudhāni vā amhākaṃ kiṃ karissantī’’ti? Te gantvā tasmiṃ kamme niyuttaamaccānaṃ kathesuṃ, amaccā rājakulānaṃ kathesuṃ. Tato sākiyā ‘‘bhaginīhi saddhiṃ saṃvāsikānaṃ thāmañca balañca dassessāmā’’ti yuddhasajjā nikkhamiṃsu. Koliyāpi ‘‘kolarukkhavāsīnaṃ thāmañca balañca dassessāmā’’ti yuddhasajjā nikkhamiṃsu. Apare panācariyā ‘‘sākiyakoliyānaṃ dāsīsu udakatthāya nadiṃ gantvā cumbaṭāni bhūmiyaṃ nikkhipitvā sukhakathāya sannisinnāsu ekissā cumbaṭaṃ ekā sakasaññāya gaṇhi, taṃ nissāya ‘mama cumbaṭaṃ, tava cumbaṭa’nti kalahe pavatte kamena ubhayanagaravāsino dāsakammakārā ceva sevakagāmabhojakāmaccauparājāno cāti sabbe yuddhasajjā nikkhamiṃsū’’ti vadanti. Imamhā pana nayā purimanayova bahūsu aṭṭhakathāsu āgato, yuttarūpo cāti sveva gahetabbo.
เต ปน สายนฺหสมเย ยุทฺธสชฺชา นิกฺขมิสฺสนฺตีติ ตสฺมิํ สมเย ภควา สาวตฺถิยํ วิหรโนฺต ปจฺจูสสมเย โลกํ โวโลเกโนฺต อิเม เอวํ ยุทฺธสเชฺช นิกฺขเนฺต อทฺทส, ทิสฺวา จ ‘‘มยิ คเต เอส กลโห วูปสมิสฺสติ นุ โข, โน’’ติ อุปธาเรโนฺต ‘‘อหเมตฺถ คนฺตฺวา กลหวูปสมตฺถํ ตีณิ ชาตกานิ กเถสฺสามิ, ตโต กลโห วูปสมิสฺสติ, อถ สามคฺคิทีปนตฺถาย เทฺว ชาตกานิ กเถตฺวา อตฺตทณฺฑสุตฺตํ (สุ. นิ. ๙๔๑ อาทโย) เทเสสฺสามิ, เทสนํ สุตฺวา อุภยนครวาสิโน อฑฺฒเตยฺยานิ อฑฺฒเตยฺยานิ กุมารสตานิ ทสฺสนฺติ, อหํ เต ปพฺพาเชสฺสามิ, มหโนฺต สมาคโม ภวิสฺสตี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต สายนฺหสมเย คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา กสฺสจิ อนาโรเจตฺวา สยเมว ปตฺตจีวรมาทาย ทฺวินฺนํ เสนานํ อนฺตเร อากาเส ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา เตสํ สํเวคชนนตฺถํ ทิวา อนฺธการํ กาตุํ เกสรํสิโย วิสฺสเชฺชโนฺต นิสีทิฯ อถ เนสํ สํวิคฺคมานสานํ อตฺตานํ ทเสฺสโนฺต ฉพฺพณฺณา พุทฺธรํสิโย วิสฺสเชฺชสิฯ กปิลวตฺถุวาสิโนปิ ภควนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อมฺหากํ ญาติเสโฎฺฐ สตฺถา อาคโต, ทิโฎฺฐ นุ โข เตน อมฺหากํ กลหกรณภาโว’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘น โข ปน สกฺกา สตฺถริ อาคเต อเมฺหหิ ปรสฺส สรีเร สตฺถํ ปาเตตุํ, โกลิยนครวาสิโน อเมฺห หนนฺตุ วา พชฺฌนฺตุ วา’’ติ อาวุธานิ ฉเฑฺฑสุํฯ โกลิยนครวาสิโนปิ ตเถว อกํสุฯ
Te pana sāyanhasamaye yuddhasajjā nikkhamissantīti tasmiṃ samaye bhagavā sāvatthiyaṃ viharanto paccūsasamaye lokaṃ volokento ime evaṃ yuddhasajje nikkhante addasa, disvā ca ‘‘mayi gate esa kalaho vūpasamissati nu kho, no’’ti upadhārento ‘‘ahamettha gantvā kalahavūpasamatthaṃ tīṇi jātakāni kathessāmi, tato kalaho vūpasamissati, atha sāmaggidīpanatthāya dve jātakāni kathetvā attadaṇḍasuttaṃ (su. ni. 941 ādayo) desessāmi, desanaṃ sutvā ubhayanagaravāsino aḍḍhateyyāni aḍḍhateyyāni kumārasatāni dassanti, ahaṃ te pabbājessāmi, mahanto samāgamo bhavissatī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā piṇḍapātapaṭikkanto sāyanhasamaye gandhakuṭito nikkhamitvā kassaci anārocetvā sayameva pattacīvaramādāya dvinnaṃ senānaṃ antare ākāse pallaṅkaṃ ābhujitvā tesaṃ saṃvegajananatthaṃ divā andhakāraṃ kātuṃ kesaraṃsiyo vissajjento nisīdi. Atha nesaṃ saṃviggamānasānaṃ attānaṃ dassento chabbaṇṇā buddharaṃsiyo vissajjesi. Kapilavatthuvāsinopi bhagavantaṃ disvā ‘‘amhākaṃ ñātiseṭṭho satthā āgato, diṭṭho nu kho tena amhākaṃ kalahakaraṇabhāvo’’ti cintetvā ‘‘na kho pana sakkā satthari āgate amhehi parassa sarīre satthaṃ pātetuṃ, koliyanagaravāsino amhe hanantu vā bajjhantu vā’’ti āvudhāni chaḍḍesuṃ. Koliyanagaravāsinopi tatheva akaṃsu.
อถ ภควา โอตริตฺวา รมณีเย ปเทเส วาลุกปุลิเน ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิ อโนปมาย พุทฺธสิริยา วิโรจมาโนฯ เตปิ ราชาโน ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา นิสีทิํสุฯ อถ เน สตฺถา ชานโนฺตว ‘‘กสฺมา อาคตตฺถ, มหาราชา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เนว, ภเนฺต, นทิทสฺสนตฺถาย, น กีฬนตฺถาย, อปิจ โข ปน อิมสฺมิํ ฐาเน สงฺคามํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา อาคตมฺหา’’ติฯ ‘‘กิํ นิสฺสาย โว กลโห, มหาราชา’’ติ? ‘‘อุทกํ นิสฺสาย ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อุทกํ กิํ อคฺฆติ มหาราชา’’ติ? ‘‘อปฺปคฺฆํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘ปถวี นาม กิํ อคฺฆติ, มหาราชา’’ติ? ‘‘อนคฺฆา, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘ขตฺติยา กิํ อคฺฆนฺติ, มหาราชา’’ติ? ‘‘ขตฺติยา นาม อนคฺฆา, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อปฺปคฺฆํ อุทกํ นิสฺสาย กสฺมา อนเคฺฆ ขตฺติเย นาเสถ, มหาราช, กลหสฺมิญฺหิ อสฺสาโท นาม นตฺถิ, กลหวเสน หิ มหาราชา เอกาย รุกฺขเทวตาย กาฬสีเหน สทฺธิํ พทฺธาฆาโต สกลมฺปิ อิมํ กปฺปํ อนุปฺปโตฺตเยวา’’ติ วตฺวา ผนฺทนชาตกํ (ชา. ๑.๑๓.๑๔ อาทโย) กเถสิฯ ตโต ‘‘ปรปตฺติเยน นาม มหาราชา น ภวิตพฺพํ, ปรปตฺติยา หิ หุตฺวา เอกสฺส สสสฺส กถาย ติโยชนสหสฺสวิตฺถเต หิมวเนฺต จตุปฺปทคณา มหาสมุทฺทํ ปกฺขนฺทิโน อเหสุํ, ตสฺมา ปรปตฺติเยน น ภวิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา ททฺทรชาตกํ (ชา. ๑.๒๔๓-๔๔; ๑.๔.๑๓-๑๖; ๑.๙.๑๐๕ อาทโย) กเถสิฯ ตโต ‘‘กทาจิ มหาราชา ทุพฺพโลปิ มหพฺพลสฺส รนฺธํ ปสฺสติ, กทาจิ มหพฺพโลปิ ทุพฺพลสฺส รนฺธํ ปสฺสติ, ลฎุกิกาปิ หิ สกุณิกา หตฺถินาคํ ฆาเตสี’’ติ วตฺวา ลฎุกิกชาตกํ (ชา. ๑.๕.๓๙ อาทโย) กเถสิฯ เอวํ กลหวูปสมนตฺถาย ตีณิ ชาตกานิ กเถตฺวา สามคฺคิปริทีปนตฺถาย เทฺว ชาตกานิ กเถสิฯ ‘‘สมคฺคานญฺหิ มหาราชา โกจิ โอตารํ นาม ปสฺสิตุํ น สโกฺกตี’’ติ วตฺวา รุกฺขธมฺมชาตกํ (ชา. ๑.๑.๗๔) กเถสิฯ ตโต ‘‘สมคฺคานํ มหาราชา โกจิ วิวรํ ปสฺสิตุํ นาสกฺขิ, ยทา ปน อญฺญมญฺญํ วิวาทมกํสุ, อถ เน เอโก เนสาทปุโตฺต ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา อาทาย คโต, วิวาเท อสฺสาโท นาม นตฺถี’’ติ วตฺวา วฎฺฎกชาตกํ (ชา. ๑.๑.๓๕, ๑๑๘; ๑.๖.๑๒๘-๑๓๓) กเถสิฯ เอวํ อิมานิ ปญฺจ ชาตกานิ กเถตฺวา อวสาเน อตฺตทณฺฑสุตฺตํ (สุ. นิ. ๙๔๑ อาทโย) กเถสิฯ
Atha bhagavā otaritvā ramaṇīye padese vālukapuline paññattavarabuddhāsane nisīdi anopamāya buddhasiriyā virocamāno. Tepi rājāno bhagavantaṃ vanditvā nisīdiṃsu. Atha ne satthā jānantova ‘‘kasmā āgatattha, mahārājā’’ti pucchi. ‘‘Neva, bhante, nadidassanatthāya, na kīḷanatthāya, apica kho pana imasmiṃ ṭhāne saṅgāmaṃ paccupaṭṭhāpetvā āgatamhā’’ti. ‘‘Kiṃ nissāya vo kalaho, mahārājā’’ti? ‘‘Udakaṃ nissāya bhante’’ti. ‘‘Udakaṃ kiṃ agghati mahārājā’’ti? ‘‘Appagghaṃ, bhante’’ti. ‘‘Pathavī nāma kiṃ agghati, mahārājā’’ti? ‘‘Anagghā, bhante’’ti. ‘‘Khattiyā kiṃ agghanti, mahārājā’’ti? ‘‘Khattiyā nāma anagghā, bhante’’ti. ‘‘Appagghaṃ udakaṃ nissāya kasmā anagghe khattiye nāsetha, mahārāja, kalahasmiñhi assādo nāma natthi, kalahavasena hi mahārājā ekāya rukkhadevatāya kāḷasīhena saddhiṃ baddhāghāto sakalampi imaṃ kappaṃ anuppattoyevā’’ti vatvā phandanajātakaṃ (jā. 1.13.14 ādayo) kathesi. Tato ‘‘parapattiyena nāma mahārājā na bhavitabbaṃ, parapattiyā hi hutvā ekassa sasassa kathāya tiyojanasahassavitthate himavante catuppadagaṇā mahāsamuddaṃ pakkhandino ahesuṃ, tasmā parapattiyena na bhavitabba’’nti vatvā daddarajātakaṃ (jā. 1.243-44; 1.4.13-16; 1.9.105 ādayo) kathesi. Tato ‘‘kadāci mahārājā dubbalopi mahabbalassa randhaṃ passati, kadāci mahabbalopi dubbalassa randhaṃ passati, laṭukikāpi hi sakuṇikā hatthināgaṃ ghātesī’’ti vatvā laṭukikajātakaṃ (jā. 1.5.39 ādayo) kathesi. Evaṃ kalahavūpasamanatthāya tīṇi jātakāni kathetvā sāmaggiparidīpanatthāya dve jātakāni kathesi. ‘‘Samaggānañhi mahārājā koci otāraṃ nāma passituṃ na sakkotī’’ti vatvā rukkhadhammajātakaṃ (jā. 1.1.74) kathesi. Tato ‘‘samaggānaṃ mahārājā koci vivaraṃ passituṃ nāsakkhi, yadā pana aññamaññaṃ vivādamakaṃsu, atha ne eko nesādaputto jīvitakkhayaṃ pāpetvā ādāya gato, vivāde assādo nāma natthī’’ti vatvā vaṭṭakajātakaṃ (jā. 1.1.35, 118; 1.6.128-133) kathesi. Evaṃ imāni pañca jātakāni kathetvā avasāne attadaṇḍasuttaṃ (su. ni. 941 ādayo) kathesi.
อถ ราชาโน ปสนฺนา ‘‘สเจ สตฺถา นาคมิสฺส, มยํ อญฺญมญฺญํ วธิตฺวา โลหิตนทิํ ปวตฺตยิสฺสาม, สตฺถารํ นิสฺสาย โน ชีวิตํ ลทฺธํฯ สเจ ปน สตฺถา อคารํ อชฺฌาวสิสฺส, ทฺวิสหสฺสทีปปริวารํ จตุมหาทีปรชฺชํ หตฺถคตํ อภวิสฺส, อติเรกสหสฺสํ โข ปนสฺส ปุตฺตา อภวิสฺสํสุ, ตโต ขตฺติยปริวาโรว อวิจริสฺส, ตํ โข ปเนส สมฺปตฺติํ ปหาย นิกฺขมิตฺวา สโมฺพธิํ ปโตฺต, อิทานิปิ ขตฺติยปริวาโรว วิจรตู’’ติ อุภยนครวาสิโน อฑฺฒเตยฺยานิ อฑฺฒเตยฺยานิ กุมารสตานิ อทํสุฯ ภควา เต ปพฺพาเชตฺวา มหาวนํ อคมาสิฯ ปุนทิวสโต ปฎฺฐาย เตหิ ปริวุโต เอกทา กปิลวตฺถุนคเร เอกทา โกลิยนคเรติ ทฺวีสุ นคเรสุ ปิณฺฑาย จรติฯ อุภยนครวาสิโน มหาสกฺการํ กริํสุฯ เตสํ ครุคารเวน น อตฺตโน รุจิยา ปพฺพชิตานํ อนภิรติ อุปฺปชฺชิฯ ปุราณทุติยิกาโยปิ เนสํ อนภิรติชนนตฺถาย ตํ ตํ วตฺวา สาสนํ เปเสสุํฯ เต อติเรกตรํ อุกฺกณฺฐิํสุฯ ภควา อาวเชฺชโนฺต เตสํ อนภิรตภาวํ ญตฺวา ‘‘อิเม ภิกฺขู มาทิเสน พุเทฺธน สทฺธิํ เอกโต วสนฺตา อุกฺกณฺฐนฺติ, กถํ รูปา นุ โข เตสํ ธมฺมกถา สปฺปายา’’ติ อุปธาเรโนฺต กุณาลธมฺมเทสนํ ปสฺสิฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อหํ อิเม ภิกฺขู หิมวนฺตํ เนตฺวา กุณาลกถาย เนสํ มาตุคามโทสํ ปกาเสตฺวา อนภิรติํ หริตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ทสฺสามี’’ติฯ
Atha rājāno pasannā ‘‘sace satthā nāgamissa, mayaṃ aññamaññaṃ vadhitvā lohitanadiṃ pavattayissāma, satthāraṃ nissāya no jīvitaṃ laddhaṃ. Sace pana satthā agāraṃ ajjhāvasissa, dvisahassadīpaparivāraṃ catumahādīparajjaṃ hatthagataṃ abhavissa, atirekasahassaṃ kho panassa puttā abhavissaṃsu, tato khattiyaparivārova avicarissa, taṃ kho panesa sampattiṃ pahāya nikkhamitvā sambodhiṃ patto, idānipi khattiyaparivārova vicaratū’’ti ubhayanagaravāsino aḍḍhateyyāni aḍḍhateyyāni kumārasatāni adaṃsu. Bhagavā te pabbājetvā mahāvanaṃ agamāsi. Punadivasato paṭṭhāya tehi parivuto ekadā kapilavatthunagare ekadā koliyanagareti dvīsu nagaresu piṇḍāya carati. Ubhayanagaravāsino mahāsakkāraṃ kariṃsu. Tesaṃ garugāravena na attano ruciyā pabbajitānaṃ anabhirati uppajji. Purāṇadutiyikāyopi nesaṃ anabhiratijananatthāya taṃ taṃ vatvā sāsanaṃ pesesuṃ. Te atirekataraṃ ukkaṇṭhiṃsu. Bhagavā āvajjento tesaṃ anabhiratabhāvaṃ ñatvā ‘‘ime bhikkhū mādisena buddhena saddhiṃ ekato vasantā ukkaṇṭhanti, kathaṃ rūpā nu kho tesaṃ dhammakathā sappāyā’’ti upadhārento kuṇāladhammadesanaṃ passi. Athassa etadahosi – ‘‘ahaṃ ime bhikkhū himavantaṃ netvā kuṇālakathāya nesaṃ mātugāmadosaṃ pakāsetvā anabhiratiṃ haritvā sotāpattimaggaṃ dassāmī’’ti.
โส ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย กปิลวตฺถุํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต ภตฺตกิจฺจเวลายเมว เต ปญฺจสเต ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘ทิฎฺฐปุโพฺพ โว, ภิกฺขเว, รมณีโย หิมวนฺตปเทโส’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘โนเหตํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘คจฺฉิสฺสถ ปน หิมวนฺตจาริก’’นฺติ? ‘‘ภเนฺต, อนิทฺธิมโนฺต มยํ กถํ คมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘สเจ ปน โว โกจิ คเหตฺวา คเจฺฉยฺย, คเจฺฉยฺยาถา’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ สตฺถา สเพฺพปิ เต อตฺตโน อิทฺธิยา คเหตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา หิมวนฺตํ คนฺตฺวา คคนตเล ฐิโตว รมณีเย หิมวนฺตปเทเส กญฺจนปพฺพตํ รชตปพฺพตํ มณิปพฺพตํ หิงฺคุลิกปพฺพตํ อญฺชนปพฺพตํ สานุปพฺพตํ ผลิกปพฺพตนฺติ นานาวิเธ ปพฺพเต, ปญฺจ มหานทิโย, กณฺณมุณฺฑกํ รถการํ สีหปปาตํ ฉทฺทนฺตํ ติยคฺคฬํ อโนตตฺตํ กุณาลทหนฺติ สตฺต ทเห ทเสฺสสิฯ หิมวโนฺต จ นาม มหา ปญฺจโยชนสตุเพฺพโธ ติโยชนสหสฺสวิตฺถโต, ตสฺส อิมํ รมณียํ เอกเทสํ อตฺตโน อานุภาเวน ทเสฺสสิฯ ตตฺถ กตนิวาสานิ สีหพฺยคฺฆหตฺถิกุลาทีนิ จตุปฺปทานิปิ เอกเทสโต ทเสฺสสิฯ ตตฺถ อารามรามเณยฺยกาทีนิ ปุปฺผูปคผลูปเค รุเกฺข นานาวิเธ สกุณสเงฺฆ ชลชถลชปุปฺผานิ หิมวนฺตสฺส ปุรตฺถิมปเสฺส สุวณฺณตลํ, ปุจฺฉิมปเสฺส หิงฺคุลตลํ ทเสฺสสิฯ อิเมสํ รามเณยฺยกานํ ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย เตสํ ภิกฺขูนํ ปุราณทุติยิกาสุ ฉนฺทราโค ปหีโนฯ
So pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya kapilavatthuṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto bhattakiccavelāyameva te pañcasate bhikkhū āmantetvā ‘‘diṭṭhapubbo vo, bhikkhave, ramaṇīyo himavantapadeso’’ti pucchi. ‘‘Nohetaṃ, bhante’’ti. ‘‘Gacchissatha pana himavantacārika’’nti? ‘‘Bhante, aniddhimanto mayaṃ kathaṃ gamissāmā’’ti. ‘‘Sace pana vo koci gahetvā gaccheyya, gaccheyyāthā’’ti? ‘‘Āma, bhante’’ti. Satthā sabbepi te attano iddhiyā gahetvā ākāse uppatitvā himavantaṃ gantvā gaganatale ṭhitova ramaṇīye himavantapadese kañcanapabbataṃ rajatapabbataṃ maṇipabbataṃ hiṅgulikapabbataṃ añjanapabbataṃ sānupabbataṃ phalikapabbatanti nānāvidhe pabbate, pañca mahānadiyo, kaṇṇamuṇḍakaṃ rathakāraṃ sīhapapātaṃ chaddantaṃ tiyaggaḷaṃ anotattaṃ kuṇāladahanti satta dahe dassesi. Himavanto ca nāma mahā pañcayojanasatubbedho tiyojanasahassavitthato, tassa imaṃ ramaṇīyaṃ ekadesaṃ attano ānubhāvena dassesi. Tattha katanivāsāni sīhabyagghahatthikulādīni catuppadānipi ekadesato dassesi. Tattha ārāmarāmaṇeyyakādīni pupphūpagaphalūpage rukkhe nānāvidhe sakuṇasaṅghe jalajathalajapupphāni himavantassa puratthimapasse suvaṇṇatalaṃ, pucchimapasse hiṅgulatalaṃ dassesi. Imesaṃ rāmaṇeyyakānaṃ diṭṭhakālato paṭṭhāya tesaṃ bhikkhūnaṃ purāṇadutiyikāsu chandarāgo pahīno.
อถ สตฺถา เต ภิกฺขู คเหตฺวา อากาสโต โอตริตฺวา หิมวนฺตปจฺฉิมปเสฺส สฎฺฐิโยชนิเก มโนสิลาตเล สตฺตโยชนิกสฺส กปฺปฎฺฐิกสาลรุกฺขสฺส เหฎฺฐา ติโยชนิกาย มโนสิลาตลาย เตหิ ภิกฺขูหิ ปริวุโต ฉพฺพณฺณรสฺมิโย วิสฺสเชฺชโนฺต อณฺณวกุจฺฉิํ โขเภตฺวา ชลมาโน สูริโย วิย นิสีทิตฺวา มธุรสฺสรํ นิจฺฉาเรโนฺต เต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขเว, อิมสฺมิํ หิมวเนฺต ตุเมฺหหิ อทิฎฺฐปุพฺพํ ปุจฺฉถา’’ติฯ ตสฺมิํ ขเณ เทฺว จิตฺรโกกิลา อุโภสุ โกฎีสุ ทณฺฑกํ มุเขน ฑํสิตฺวา มเชฺฌ อตฺตโน สามิกํ นิสีทาเปตฺวา อฎฺฐ จิตฺรโกกิลา ปุรโต, อฎฺฐ ปจฺฉโต, อฎฺฐ วามโต, อฎฺฐ ทกฺขิณโต, อฎฺฐ เหฎฺฐา, อฎฺฐ อุปริ ฉายํ กตฺวา เอวํ จิตฺรโกกิลํ ปริวาเรตฺวา อากาเสนาคจฺฉนฺติฯ อถ เต ภิกฺขู ตํ สกุณสงฺฆํ ทิสฺวา สตฺถารํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘เก นาเมเต, ภเนฺต สกุณา’’ติ? ‘‘ภิกฺขเว, เอส มม โปราณโก วํโส, มยา ฐปิตา ปเวณี, มํ ตาว ปุเพฺพ เอวํ ปริจริํสุ, ตทา ปเนส สกุณคโณ มหา อโหสิ, อฑฺฒุฑฺฒานิ ทิชกญฺญาสหสฺสานิ มํ ปริจริํสุฯ อนุปุเพฺพน ปริหายิตฺวา อิทานิ เอตฺตโก ชาโต’’ติฯ ‘‘กถํ เอวรูเป ปน, ภเนฺต, วนสเณฺฑ เอตา ทิชกญฺญาโย ตุเมฺห ปริจริํสู’’ติ? อถ เนสํ สตฺถา ‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, สุณาถา’’ติ สติํ อุปฎฺฐาเปตฺวา อตีตํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห –
Atha satthā te bhikkhū gahetvā ākāsato otaritvā himavantapacchimapasse saṭṭhiyojanike manosilātale sattayojanikassa kappaṭṭhikasālarukkhassa heṭṭhā tiyojanikāya manosilātalāya tehi bhikkhūhi parivuto chabbaṇṇarasmiyo vissajjento aṇṇavakucchiṃ khobhetvā jalamāno sūriyo viya nisīditvā madhurassaraṃ nicchārento te bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhave, imasmiṃ himavante tumhehi adiṭṭhapubbaṃ pucchathā’’ti. Tasmiṃ khaṇe dve citrakokilā ubhosu koṭīsu daṇḍakaṃ mukhena ḍaṃsitvā majjhe attano sāmikaṃ nisīdāpetvā aṭṭha citrakokilā purato, aṭṭha pacchato, aṭṭha vāmato, aṭṭha dakkhiṇato, aṭṭha heṭṭhā, aṭṭha upari chāyaṃ katvā evaṃ citrakokilaṃ parivāretvā ākāsenāgacchanti. Atha te bhikkhū taṃ sakuṇasaṅghaṃ disvā satthāraṃ pucchiṃsu – ‘‘ke nāmete, bhante sakuṇā’’ti? ‘‘Bhikkhave, esa mama porāṇako vaṃso, mayā ṭhapitā paveṇī, maṃ tāva pubbe evaṃ paricariṃsu, tadā panesa sakuṇagaṇo mahā ahosi, aḍḍhuḍḍhāni dijakaññāsahassāni maṃ paricariṃsu. Anupubbena parihāyitvā idāni ettako jāto’’ti. ‘‘Kathaṃ evarūpe pana, bhante, vanasaṇḍe etā dijakaññāyo tumhe paricariṃsū’’ti? Atha nesaṃ satthā ‘‘tena hi, bhikkhave, suṇāthā’’ti satiṃ upaṭṭhāpetvā atītaṃ āharitvā dassento āha –
‘‘เอวมกฺขายติ เอวมนุสูยติ, สโพฺพสธธรณิธเร เนกปุปฺผมาลฺยวิตเต คชควชมหิํสรุรุจมรปสทขคฺคโคกณฺณสีหพฺยคฺฆทีปิอจฺฉโกกตรจฺฉอุทฺทารกทลิ- มิคพิฬารสสกณฺณิกานุจริเต อากิณฺณเนลมณฺฑลมหาวราหนาคกุลกเรณุสงฺฆาธิวุเฎฺฐ อิสฺสมิคสาขมิคสรภมิคเอณีมิควาตมิคปสทมิคปุริสาลุกิมฺปุริสยกฺขรกฺข- สนิเสวิเต อมชฺชวมญฺชรีธรปหฎฺฐปุปฺผผุสิตคฺคาเนกปาทปคณวิตเก กุรรจโกรวารณมยูรปรภตชีวญฺชีวกเจลาวกภิงฺการกรวีกมตฺตวิหงฺคคณสตตสมฺปฆุเฎฺฐ อญฺชนมโนสิลาหริตาลหิงฺคุลกเหมรชตกนกาเนกธาตุ- สตวินทฺธปฎิมณฺฑิตปเทเส เอวรูเป ขลุ, โภ, รเมฺม วนสเณฺฑ กุณาโล นาม สกุโณ ปฎิวสติ อติวิย จิโตฺต อติวิย จิตฺตปตฺตจฺฉทโน’’ฯ
‘‘Evamakkhāyati evamanusūyati, sabbosadhadharaṇidhare nekapupphamālyavitate gajagavajamahiṃsarurucamarapasadakhaggagokaṇṇasīhabyagghadīpiacchakokataracchauddārakadali- migabiḷārasasakaṇṇikānucarite ākiṇṇanelamaṇḍalamahāvarāhanāgakulakareṇusaṅghādhivuṭṭhe issamigasākhamigasarabhamigaeṇīmigavātamigapasadamigapurisālukimpurisayakkharakkha- sanisevite amajjavamañjarīdharapahaṭṭhapupphaphusitaggānekapādapagaṇavitake kuraracakoravāraṇamayūraparabhatajīvañjīvakacelāvakabhiṅkārakaravīkamattavihaṅgagaṇasatatasampaghuṭṭhe añjanamanosilāharitālahiṅgulakahemarajatakanakānekadhātu- satavinaddhapaṭimaṇḍitapadese evarūpe khalu, bho, ramme vanasaṇḍe kuṇālo nāma sakuṇo paṭivasati ativiya citto ativiya cittapattacchadano’’.
‘‘ตเสฺสว ขลุ, โภ, กุณาลสฺส สกุณสฺส อฑฺฒุฑฺฒานิ อิตฺถิสหสฺสานิ ปริจาริกา ทิชกญฺญาโย, อถ ขลุ, โภ, เทฺว ทิชกญฺญาโย กฎฺฐํ มุเขน ฑํสิตฺวา ตํ กุณาลํ สกุณํ มเชฺฌ นิสีทาเปตฺวา อุเฑฺฑนฺติมา นํ กุณาลํ สกุณํ อทฺธานปริยายปเถ กิลมโถ อุพฺพาเหตฺถา’’ติฯ
‘‘Tasseva khalu, bho, kuṇālassa sakuṇassa aḍḍhuḍḍhāni itthisahassāni paricārikā dijakaññāyo, atha khalu, bho, dve dijakaññāyo kaṭṭhaṃ mukhena ḍaṃsitvā taṃ kuṇālaṃ sakuṇaṃ majjhe nisīdāpetvā uḍḍentimā naṃ kuṇālaṃ sakuṇaṃ addhānapariyāyapathe kilamatho ubbāhetthā’’ti.
‘‘ปญฺจสตา ทิชกญฺญาโย เหฎฺฐโต เหฎฺฐโต อุเฑฺฑนฺติ ‘สจายํ กุณาโล สกุโณ อาสนา ปริปติสฺสติ, มยํ ตํ ปเกฺขหิ ปฎิคฺคเหสฺสามา’ติฯ
‘‘Pañcasatā dijakaññāyo heṭṭhato heṭṭhato uḍḍenti ‘sacāyaṃ kuṇālo sakuṇo āsanā paripatissati, mayaṃ taṃ pakkhehi paṭiggahessāmā’ti.
‘‘ปญฺจสตา ทิชกญฺญาโย อุปรูปริ อุเฑฺฑนฺติ ‘มา นํ กุณาลํ สกุณํ อาตโป ปริตาเปสี’ติฯ
‘‘Pañcasatā dijakaññāyo uparūpari uḍḍenti ‘mā naṃ kuṇālaṃ sakuṇaṃ ātapo paritāpesī’ti.
‘‘ปญฺจสตา ทิชกญฺญาโย อุภโตปเสฺสน อุเฑฺฑนฺติ ‘มา นํ กุณาลํ สกุณํ สีตํ วา อุณฺหํ วา ติณํ วา รโช วา วาโต วา อุสฺสาโว วา อุปปฺผุสี’ติฯ
‘‘Pañcasatā dijakaññāyo ubhatopassena uḍḍenti ‘mā naṃ kuṇālaṃ sakuṇaṃ sītaṃ vā uṇhaṃ vā tiṇaṃ vā rajo vā vāto vā ussāvo vā upapphusī’ti.
‘‘ปญฺจสตา ทิชกญฺญาโย ปุรโต ปุรโต อุเฑฺฑนฺติ ‘มา นํ กุณาลํ สกุณํ โคปาลกา วา ปสุปาลกา วา ติณหารกา วา กฎฺฐหารกา วา วนกมฺมิกา วา กเฎฺฐน วา กฐเลน วา ปาณินา วา เลฑฺฑุนา วา ทเณฺฑน วา สเตฺถน วา สกฺขราหิ วา ปหารํ อทํสุ, มายํ กุณาโล สกุโณ คเจฺฉหิ วา ลตาหิ วา รุเกฺขหิ วา สาขาหิ วา ถเมฺภหิ วา ปาสาเณหิ วา พลวเนฺตหิ วา ปกฺขีหิ สงฺคเมสี’ติฯ
‘‘Pañcasatā dijakaññāyo purato purato uḍḍenti ‘mā naṃ kuṇālaṃ sakuṇaṃ gopālakā vā pasupālakā vā tiṇahārakā vā kaṭṭhahārakā vā vanakammikā vā kaṭṭhena vā kaṭhalena vā pāṇinā vā leḍḍunā vā daṇḍena vā satthena vā sakkharāhi vā pahāraṃ adaṃsu, māyaṃ kuṇālo sakuṇo gacchehi vā latāhi vā rukkhehi vā sākhāhi vā thambhehi vā pāsāṇehi vā balavantehi vā pakkhīhi saṅgamesī’ti.
‘‘ปญฺจสตา ทิชกญฺญาโย ปจฺฉโต ปจฺฉโต อุเฑฺฑนฺติ สณฺหาหิ สขิลาหิ มญฺชูหิ มธุราหิ วาจาหิ สมุทาจรนฺติโย ‘มายํ กุณาโล สกุโณ อาสเน ปริยุกฺกณฺฐี’ติฯ
‘‘Pañcasatā dijakaññāyo pacchato pacchato uḍḍenti saṇhāhi sakhilāhi mañjūhi madhurāhi vācāhi samudācarantiyo ‘māyaṃ kuṇālo sakuṇo āsane pariyukkaṇṭhī’ti.
‘‘ปญฺจสตา ทิชกญฺญาโย ทิโสทิสํ อุเฑฺฑนฺติ อเนกรุกฺขวิวิธวิกติผลมาหรนฺติโย ‘มายํ กุณาโล สกุโณ ขุทาย ปริกิลมิตฺถา’ติฯ
‘‘Pañcasatā dijakaññāyo disodisaṃ uḍḍenti anekarukkhavividhavikatiphalamāharantiyo ‘māyaṃ kuṇālo sakuṇo khudāya parikilamitthā’ti.
‘‘อถ ขลุ, โภ, ตา ทิชกญฺญาโย ตํ กุณาลํ สกุณํ อาราเมเนว อารามํ, อุยฺยาเนเนว อุยฺยานํ, นทีติเตฺถเนว นทีติตฺถํ, ปพฺพตสิขเรเนว ปพฺพตสิขรํ, อมฺพวเนเนว อมฺพวนํ, ชมฺพุวเนเนว ชมฺพุวนํ, ลพุชวเนเนว ลพุชวนํ, นาฬิเกรสญฺจาริเยเนว นาฬิเกรสญฺจาริยํ ขิปฺปเมว อภิสโมฺภนฺติ รติตฺถายฯ
‘‘Atha khalu, bho, tā dijakaññāyo taṃ kuṇālaṃ sakuṇaṃ ārāmeneva ārāmaṃ, uyyāneneva uyyānaṃ, nadītittheneva nadītitthaṃ, pabbatasikhareneva pabbatasikharaṃ, ambavaneneva ambavanaṃ, jambuvaneneva jambuvanaṃ, labujavaneneva labujavanaṃ, nāḷikerasañcāriyeneva nāḷikerasañcāriyaṃ khippameva abhisambhonti ratitthāya.
‘‘อถ ขลุ, โภ, กุณาโล สกุโณ ตาหิ ทิชกญฺญาหิ ทิวสํ ปริพฺยูโฬฺห เอวํ อปสาเทติ ‘นสฺสถ ตุเมฺห วสลิโย, วินสฺสถ ตุเมฺห วสิลิโย โจริโย ธุตฺติโย อสติโย ลหุจิตฺตาโย กตสฺส อปฺปฎิการิกาโย อนิโล วิย เยนกามํคมาโย’’’ ติฯ
‘‘Atha khalu, bho, kuṇālo sakuṇo tāhi dijakaññāhi divasaṃ paribyūḷho evaṃ apasādeti ‘nassatha tumhe vasaliyo, vinassatha tumhe vasiliyo coriyo dhuttiyo asatiyo lahucittāyo katassa appaṭikārikāyo anilo viya yenakāmaṃgamāyo’’’ ti.
ตตฺรายํ อตฺถวณฺณนา – ภิกฺขเว, โส วนสโณฺฑ เอวํ อกฺขายติ เอวญฺจ อนุสูยติฯ กินฺติ? สโพฺพสธธรณิธเรติ วิตฺถาโรฯ ตตฺถ สโพฺพสธธรณิธเรติ มูลตจปตฺตปุปฺผาทิสโพฺพสธธราย ธรณิยา สมนฺนาคเตติ อโตฺถ, สโพฺพสธยุโตฺต วา ธรณิธโรฯ โส หิ ปเทโส สโพฺพสธธรณิธโรติ เอวมกฺขายติ เอวญฺจ อนุสูยติ, ตสฺมิํ วนสเณฺฑติ วุตฺตํ โหติฯ เสสปทโยชนายปิ เอเสว นโยฯ เนกปุปฺผมาลฺยวิตเตติ อเนเกหิ ผลตฺถาย อุปฺปนฺนปุเปฺผหิ เจว ปิฬนฺธนมาเลฺยหิ จ วิตเตฯ รุรูติ สุวณฺณวณฺณา มิคาฯ อุทฺทาราติ อุทฺทาฯ พิฬาราติ มหาพิฬาราฯ เนลมณฺฑลํ วุจฺจติ ตรุณภิงฺกจฺฉาปมณฺฑลํฯ มหาวราหาติ มหาหตฺถิโน, อากิณฺณเนลมณฺฑลมหาวราเหน โคจริยาทิเภเทน ทสวิเธน นาคกุเลน เจว กเรณุสเงฺฆน จ อธิวุเฎฺฐติ อโตฺถฯ อิสฺสมิคาติ กาฬสีหาฯ วาตมิคาติ มหาวาตมิคาฯ ปสทมิคาติ จิตฺรมิคาฯ ปุริสาลูติ วฬวามุขยกฺขินิโยฯ กิมฺปุริสาติ เทวกินฺนรจนฺทกินฺนรทุมกินฺนรทณฺฑมาณวกโกนฺติ- สกุณกณฺณปาวุรณาทิเภทา กินฺนราฯ อมชฺชวมญฺชรีธรปหฎฺฐปุปฺผผุสิตคฺคาเนกปาทปคณวิตเตติ มกุลธเรหิ เจว มญฺชรีธเรหิ จ สุปุปฺผิเตหิ จ อคฺคมตฺตปุปฺผิเตหิ จ อเนเกหิ ปาทปคเณหิ วิตเตฯ วารณา นาม หตฺถิลิงฺคสกุณาฯ เจลาวกาติปิ เอเต สกุณาเยวฯ เหมญฺจ กนกญฺจาติ เทฺว สุวณฺณชาติโยฯ เอเตหิ อญฺชนาทีหิ อเนกธาตุสเตหิ อเนเกหิ วณฺณธาตุราสีหิ วินทฺธปฎิมณฺฑิตปเทเสฯ โภติ ธมฺมาลปนมตฺตเมตํฯ จิโตฺตติ มุขตุณฺฑเกปิ เหฎฺฐาอุทรภาเคปิ จิโตฺรวฯ
Tatrāyaṃ atthavaṇṇanā – bhikkhave, so vanasaṇḍo evaṃ akkhāyati evañca anusūyati. Kinti? Sabbosadhadharaṇidhareti vitthāro. Tattha sabbosadhadharaṇidhareti mūlatacapattapupphādisabbosadhadharāya dharaṇiyā samannāgateti attho, sabbosadhayutto vā dharaṇidharo. So hi padeso sabbosadhadharaṇidharoti evamakkhāyati evañca anusūyati, tasmiṃ vanasaṇḍeti vuttaṃ hoti. Sesapadayojanāyapi eseva nayo. Nekapupphamālyavitateti anekehi phalatthāya uppannapupphehi ceva piḷandhanamālyehi ca vitate. Rurūti suvaṇṇavaṇṇā migā. Uddārāti uddā. Biḷārāti mahābiḷārā. Nelamaṇḍalaṃ vuccati taruṇabhiṅkacchāpamaṇḍalaṃ. Mahāvarāhāti mahāhatthino, ākiṇṇanelamaṇḍalamahāvarāhena gocariyādibhedena dasavidhena nāgakulena ceva kareṇusaṅghena ca adhivuṭṭheti attho. Issamigāti kāḷasīhā. Vātamigāti mahāvātamigā. Pasadamigāti citramigā. Purisālūti vaḷavāmukhayakkhiniyo. Kimpurisāti devakinnaracandakinnaradumakinnaradaṇḍamāṇavakakonti- sakuṇakaṇṇapāvuraṇādibhedā kinnarā. Amajjavamañjarīdharapahaṭṭhapupphaphusitaggānekapādapagaṇavitateti makuladharehi ceva mañjarīdharehi ca supupphitehi ca aggamattapupphitehi ca anekehi pādapagaṇehi vitate. Vāraṇā nāma hatthiliṅgasakuṇā. Celāvakātipi ete sakuṇāyeva. Hemañca kanakañcāti dve suvaṇṇajātiyo. Etehi añjanādīhi anekadhātusatehi anekehi vaṇṇadhāturāsīhi vinaddhapaṭimaṇḍitapadese. Bhoti dhammālapanamattametaṃ. Cittoti mukhatuṇḍakepi heṭṭhāudarabhāgepi citrova.
อฑฺฒุฑฺฒานีติ อฑฺฒจตุตฺถานิ, ตีณิ สหสฺสานิ ปเญฺจว สตานีติ อโตฺถฯ อทฺธานปริยายปเถติ อทฺธานสงฺขาเต คมนมเคฺคฯ อุพฺพาเหตฺถาติ พาธยิตฺถฯ อุปปฺผุสีติ อุปคนฺตฺวา ผุสิฯ ปหารํ อทํสูติ เอตฺถ ‘‘มา น’’นฺติ ปทสฺส สามิวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สงฺคเมสีติ สมาคจฺฉิฯ สณฺหาหีติ มฎฺฐาหิฯ สขิลาหีติ ปิยาหิฯ มญฺชูหีติ สขิลาหิฯ มธุราหีติ มธุรสฺสราหิฯ สมุทาจรนฺติโยติ คนฺธพฺพกรณวเสน ปริจรนฺติโยฯ อเนกรุกฺขวิวิธวิกติผลนฺติ อเนเกหิ รุเกฺขหิ วิวิธวิกติผลํฯ อาราเมเนว อารามนฺติ ปุปฺผารามาทีสุ อญฺญตเรน อาราเมเนว อญฺญตรํ อารามํ เนนฺตีติ อโตฺถฯ อุยฺยานาทีสุปิ เอเสว นโยฯ นาฬิเกรสญฺจาริเยเนวาติ นาฬิเกรวเนเนว อญฺญํ นาฬิเกรวนํฯ อติสโมฺภนฺตีติ เอวํ เนตฺวา ตตฺถ นํ ขิปฺปเญฺญว รติตฺถาย ปาปุณนฺติฯ
Aḍḍhuḍḍhānīti aḍḍhacatutthāni, tīṇi sahassāni pañceva satānīti attho. Addhānapariyāyapatheti addhānasaṅkhāte gamanamagge. Ubbāhetthāti bādhayittha. Upapphusīti upagantvā phusi. Pahāraṃ adaṃsūti ettha ‘‘mā na’’nti padassa sāmivasena attho veditabbo. Saṅgamesīti samāgacchi. Saṇhāhīti maṭṭhāhi. Sakhilāhīti piyāhi. Mañjūhīti sakhilāhi. Madhurāhīti madhurassarāhi. Samudācarantiyoti gandhabbakaraṇavasena paricarantiyo. Anekarukkhavividhavikatiphalanti anekehi rukkhehi vividhavikatiphalaṃ. Ārāmeneva ārāmanti pupphārāmādīsu aññatarena ārāmeneva aññataraṃ ārāmaṃ nentīti attho. Uyyānādīsupi eseva nayo. Nāḷikerasañcāriyenevāti nāḷikeravaneneva aññaṃ nāḷikeravanaṃ. Atisambhontīti evaṃ netvā tattha naṃ khippaññeva ratitthāya pāpuṇanti.
ทิวสํ ปริพฺยูโฬฺหติ สกลทิวสํ ปริพฺยูโฬฺหฯ อปสาเทตีติ ตา กิร ตํ เอวํ ทิวสํ ปริจริตฺวา นิวาสรุเกฺข โอตาเรตฺวา ปริวาเรตฺวา รุกฺขสาขาสุ นิสีทิตฺวา ‘‘อเปฺปว นาม มธุรวจนํ ลเภยฺยามา’’ติ ปตฺถยนฺติโย อิมินา อุโยฺยชิตกาเล อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คมิสฺสามาติ วสนฺติฯ กุณาลราชา ปน ตา อุโยฺยเชโนฺต ‘‘นสฺสถา’’ติอาทิวจเนหิ อปสาเทติฯ ตตฺถ นสฺสถาติ คจฺฉถฯ วินสฺสถาติ สพฺพโตภาเคน นสฺสถฯ เคเห ธนธญฺญาทีนํ นาสเนน โจริโย, พหุมายตาย ธุตฺติโย, นฎฺฐสฺสติตาย อสติโย, อนวฎฺฐิตจิตฺตตาย ลหุจิตฺตาโย, กตวินาสเนน มิตฺตทุพฺภิตาย กตสฺส อปฺปฎิการิกาโยติฯ
Divasaṃ paribyūḷhoti sakaladivasaṃ paribyūḷho. Apasādetīti tā kira taṃ evaṃ divasaṃ paricaritvā nivāsarukkhe otāretvā parivāretvā rukkhasākhāsu nisīditvā ‘‘appeva nāma madhuravacanaṃ labheyyāmā’’ti patthayantiyo iminā uyyojitakāle attano vasanaṭṭhānaṃ gamissāmāti vasanti. Kuṇālarājā pana tā uyyojento ‘‘nassathā’’tiādivacanehi apasādeti. Tattha nassathāti gacchatha. Vinassathāti sabbatobhāgena nassatha. Gehe dhanadhaññādīnaṃ nāsanena coriyo, bahumāyatāya dhuttiyo, naṭṭhassatitāya asatiyo, anavaṭṭhitacittatāya lahucittāyo, katavināsanena mittadubbhitāya katassa appaṭikārikāyoti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, อหํ ติรจฺฉานคโตปิ อิตฺถีนํ อกตญฺญุตํ พหุมายตํ อนาจารตํ ทุสฺสีลตญฺจ ชานามิ, ตทาปาหํ ตาสํ วเส อวตฺติตฺวา ตา เอว อตฺตโน วเส วเตฺตมี’’ติ อิมาย กถาย เตสํ ภิกฺขูนํ อนภิรติํ หริตฺวา สตฺถา ตุณฺหี อโหสิฯ ตสฺมิํ ขเณ เทฺว กาฬโกกิลา สามิกํ ทณฺฑเกน อุกฺขิปิตฺวา เหฎฺฐาภาคาทีสุ จตโสฺส จตโสฺส หุตฺวา ตํ ปเทสํ อาคมิํสุฯ เต ภิกฺขู ตาปิ ทิสฺวา สตฺถารํ ปุจฺฉิํสุฯ สตฺถา ‘‘ปุเพฺพ, ภิกฺขเว, มม สหาโย ปุณฺณมุโข นาม ผุสฺสโกกิโล อโหสิ, ตสฺสายํ วํโส’’ติ วตฺวา ปุริมนเยเนว เตหิ ภิกฺขูหิ ปุจฺฉิโต อาห –
Evañca pana vatvā ‘‘iti kho, bhikkhave, ahaṃ tiracchānagatopi itthīnaṃ akataññutaṃ bahumāyataṃ anācārataṃ dussīlatañca jānāmi, tadāpāhaṃ tāsaṃ vase avattitvā tā eva attano vase vattemī’’ti imāya kathāya tesaṃ bhikkhūnaṃ anabhiratiṃ haritvā satthā tuṇhī ahosi. Tasmiṃ khaṇe dve kāḷakokilā sāmikaṃ daṇḍakena ukkhipitvā heṭṭhābhāgādīsu catasso catasso hutvā taṃ padesaṃ āgamiṃsu. Te bhikkhū tāpi disvā satthāraṃ pucchiṃsu. Satthā ‘‘pubbe, bhikkhave, mama sahāyo puṇṇamukho nāma phussakokilo ahosi, tassāyaṃ vaṃso’’ti vatvā purimanayeneva tehi bhikkhūhi pucchito āha –
‘‘ตเสฺสว ขลุ, โภ, หิมวโต ปพฺพตราชสฺส ปุรตฺถิมทิสาภาเค สุสุขุมสุนิปุณคิริปฺปภวหริตุปยนฺติโย’’ติฯ
‘‘Tasseva khalu, bho, himavato pabbatarājassa puratthimadisābhāge susukhumasunipuṇagirippabhavaharitupayantiyo’’ti.
ตตฺถ สุฎฺฐุ สุขุมสณฺหสลิลตาย สุสุขุมสุนิปุณา, คิริ เอตาสํ ปภโวติ คิริปฺปภวา , หิมวนฺตโต สนฺทมานหริตติณมิสฺสโอฆตาย หริตา, กุณาลทหํ อุปคมเนน อุปยนฺติโยติ สุสุขุมสุนิปุณคิริปฺปภวหริตุปยนฺติโย, เอวรูปา นทิโย ยสฺมิํ สนฺทนฺตีติ อโตฺถฯ
Tattha suṭṭhu sukhumasaṇhasalilatāya susukhumasunipuṇā, giri etāsaṃ pabhavoti girippabhavā , himavantato sandamānaharitatiṇamissaoghatāya haritā, kuṇāladahaṃ upagamanena upayantiyoti susukhumasunipuṇagirippabhavaharitupayantiyo, evarūpā nadiyo yasmiṃ sandantīti attho.
อิทานิ ยํ กุณาลทหํ ตา อุปยนฺติ, ตตฺถ ปุปฺผานิ วเณฺณโนฺต อาห –
Idāni yaṃ kuṇāladahaṃ tā upayanti, tattha pupphāni vaṇṇento āha –
‘‘อุปฺปลปทุมกุมุทนลินสตปตฺตโสคนฺธิกมนฺทาลกสมฺปติวิรุฬฺห- สุจิคนฺฐมนุญฺญมาวกปฺปเทเส’’ติฯ
‘‘Uppalapadumakumudanalinasatapattasogandhikamandālakasampativiruḷha- suciganṭhamanuññamāvakappadese’’ti.
ตตฺถ อุปฺปลนฺติ นีลุปฺปลํฯ นลินนฺติ เสตปทุมํฯ สตปตฺตนฺติ ปริปุณฺณสตปตฺตปทุมํฯ สมฺปตีติ เอเตหิ สมฺปติวิรุเฬฺหหิ อภินวชาเตหิ สุจิคเนฺธน เจว มนุเญฺญน จ หทยพนฺธนสมตฺถตาย มาวเกน จ ปเทเสน สมนฺนาคเตติ อโตฺถฯ
Tattha uppalanti nīluppalaṃ. Nalinanti setapadumaṃ. Satapattanti paripuṇṇasatapattapadumaṃ. Sampatīti etehi sampativiruḷhehi abhinavajātehi sucigandhena ceva manuññena ca hadayabandhanasamatthatāya māvakena ca padesena samannāgateti attho.
อิทานิ ตสฺมิํ ทเห รุกฺขาทโย วเณฺณโนฺต อาห –
Idāni tasmiṃ dahe rukkhādayo vaṇṇento āha –
‘‘กุรวกมุจลินฺทเกตกเวทิสวญฺชุลปุนฺนาคพกุลติลกปิยกหสนสาลสฬล- จมฺปกอโสกนาครุกฺขติรีฎิภุชปตฺตโลทฺทจนฺทโนฆวเน กาฬาครุปทฺมกปิยงฺคุเทวทารุกโจจคหเน กกุธกุฎชอโงฺกลกจฺจิการกณิการกณฺณิการ- กนเวรโกรณฺฑกโกวิฬารกิํสุกโยธิกวนมลฺลิกมนงฺคณมนวชฺชภณฺฑิสุรุจิร- ภคินิมาลามลฺยธเร ชาติสุมนมธุคนฺธิกธนุตกฺการิตาลีสตครมุสีรโกฎฺฐกจฺฉวิตเต อติมุตฺตกสํกุสุมิตลตาวิตตปฎิมณฺฑิตปฺปเทเส หํสปิลวกาทมฺพการณฺฑวาภินทิเต วิชฺชาธรสิทฺธสมณตาปสคณาธิวุเฎฺฐ วรเทวยกฺขรกฺขสทานวคนฺธพฺพกินฺนรมโหรคานุจิณฺณปฺปเทเส – เอวรูเป ขลุ, โภ, รเมฺม วนสเณฺฑ ปุณฺณมุโข นาม ผุสฺสโกกิโล ปติวสติ อติวิย มธุรคิโร วิลาสิตนยโน มตฺตโกฺขฯ
‘‘Kuravakamucalindaketakavedisavañjulapunnāgabakulatilakapiyakahasanasālasaḷala- campakaasokanāgarukkhatirīṭibhujapattaloddacandanoghavane kāḷāgarupadmakapiyaṅgudevadārukacocagahane kakudhakuṭajaaṅkolakaccikārakaṇikārakaṇṇikāra- kanaverakoraṇḍakakoviḷārakiṃsukayodhikavanamallikamanaṅgaṇamanavajjabhaṇḍisurucira- bhaginimālāmalyadhare jātisumanamadhugandhikadhanutakkāritālīsatagaramusīrakoṭṭhakacchavitate atimuttakasaṃkusumitalatāvitatapaṭimaṇḍitappadese haṃsapilavakādambakāraṇḍavābhinadite vijjādharasiddhasamaṇatāpasagaṇādhivuṭṭhe varadevayakkharakkhasadānavagandhabbakinnaramahoragānuciṇṇappadese – evarūpe khalu, bho, ramme vanasaṇḍe puṇṇamukho nāma phussakokilo pativasati ativiya madhuragiro vilāsitanayano mattakkho.
‘‘ตเสฺสว ขลุ, โภ, ปุณฺณมุขสฺส ผุสฺสโกกิลสฺส อฑฺฒุฑฺฒานิ อิตฺถิสตานิ ปริจาริกา ทิชกญฺญาโยฯ อถ ขลุ, โภ, เทฺว ทิชกญฺญาโย กฎฺฐํ มุเขน ฑํสิตฺวา ตํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ มเชฺฌ นิสีทาเปตฺวา อุเฑฺฑนฺติ ‘มา นํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ อทฺธานปริยายปเถ กิลมโถ อุพฺพาเหตฺถา’ติฯ
‘‘Tasseva khalu, bho, puṇṇamukhassa phussakokilassa aḍḍhuḍḍhāni itthisatāni paricārikā dijakaññāyo. Atha khalu, bho, dve dijakaññāyo kaṭṭhaṃ mukhena ḍaṃsitvā taṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ majjhe nisīdāpetvā uḍḍenti ‘mā naṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ addhānapariyāyapathe kilamatho ubbāhetthā’ti.
‘‘ปญฺญาส ทิชกญฺญาโย เหฎฺฐโต เหฎฺฐโต อุเฑฺฑนฺติ ‘สจายํ ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล สกุโณ อาสนา ปริปติสฺสติ, มยํ ตํ ปเกฺขหิ ปฎิคฺคเหสฺสามา’ติฯ
‘‘Paññāsa dijakaññāyo heṭṭhato heṭṭhato uḍḍenti ‘sacāyaṃ puṇṇamukho phussakokilo sakuṇo āsanā paripatissati, mayaṃ taṃ pakkhehi paṭiggahessāmā’ti.
‘‘ปญฺญาส ทิชกญฺญาโย อุปรูปริ อุเฑฺฑนฺติ ‘มา นํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ อาตโป ปริตาเปสี’ติฯ
‘‘Paññāsa dijakaññāyo uparūpari uḍḍenti ‘mā naṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ ātapo paritāpesī’ti.
‘‘ปญฺญาส ปญฺญาส ทิชกญฺญาโย อุภโตปเสฺสน อุเฑฺฑนฺติ ‘มานํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ สีตํ วา อุณฺหํ วา ติณํ วา รโช วา วาโต วา อุสฺสาโว วา อุปปฺผุสี’ติฯ
‘‘Paññāsa paññāsa dijakaññāyo ubhatopassena uḍḍenti ‘mānaṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ sītaṃ vā uṇhaṃ vā tiṇaṃ vā rajo vā vāto vā ussāvo vā upapphusī’ti.
‘‘ปญฺญาส ทิชกญฺญาโย ปุรโต ปุรโต อุเฑฺฑนฺติ ‘มา นํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ โคปาลกา วา ปสุปาลกา วา ติณหารกา วา กฎฺฐหารกา วา วนกมฺมิกา วา กเฎฺฐน วา กฐลาย วา ปาณินา วา เลฑฺฑุนา วา ทเณฺฑน วา สเตฺถน วา สกฺขราหิ วา ปหารมทํสุ, มายํ ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล คเจฺฉหิ วา ลตาหิ วา รุเกฺขหิ วา สาขาหิ วา ถเมฺภหิ วา ปาสาเณหิ วา พลวเนฺตหิ วา ปกฺขีหิ สงฺคเมสี’ติฯ
‘‘Paññāsa dijakaññāyo purato purato uḍḍenti ‘mā naṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ gopālakā vā pasupālakā vā tiṇahārakā vā kaṭṭhahārakā vā vanakammikā vā kaṭṭhena vā kaṭhalāya vā pāṇinā vā leḍḍunā vā daṇḍena vā satthena vā sakkharāhi vā pahāramadaṃsu, māyaṃ puṇṇamukho phussakokilo gacchehi vā latāhi vā rukkhehi vā sākhāhi vā thambhehi vā pāsāṇehi vā balavantehi vā pakkhīhi saṅgamesī’ti.
‘‘ปญฺญาส ทิชกญฺญาโย ปจฺฉโต ปจฺฉโต อุเฑฺฑนฺติ สณฺหาหิ สขิลาหิ มญฺชูหิ มธุราหิ วาจาหิ สมุทาจรนฺติโย ‘มายํ ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล อาสเน ปริยุกฺกณฺฐี’ติฯ
‘‘Paññāsa dijakaññāyo pacchato pacchato uḍḍenti saṇhāhi sakhilāhi mañjūhi madhurāhi vācāhi samudācarantiyo ‘māyaṃ puṇṇamukho phussakokilo āsane pariyukkaṇṭhī’ti.
‘‘ปญฺญาส ทิชกญฺญาโย ทิโสทิสํ อุเฑฺฑนฺติ อเนกรุกฺขวิวิธวิกติผลมาหรนฺติโย ‘มายํ ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล ขุทาย ปริกิลมิตฺถา’ติฯ
‘‘Paññāsa dijakaññāyo disodisaṃ uḍḍenti anekarukkhavividhavikatiphalamāharantiyo ‘māyaṃ puṇṇamukho phussakokilo khudāya parikilamitthā’ti.
‘‘อถ ขลุ, โภ, ตา ทิชกญฺญาโย ตํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ อาราเมเนว อารามํ, อุยฺยาเนเนว อุยฺยานํ, นทีติเตฺถเนว นทีติตฺถํ, ปพฺพตสิขเรเนว ปพฺพตสิขรํ, อมฺพวเนเนว อมฺพวนํ, ชมฺพุวเนเนว ชมฺพุวนํ, ลพุชวเนเนว ลพุชวนํ, นาฬิเกรสญฺจาริเยเนว นาฬิเกรสญฺจาริยํ ขิปฺปเมว อภิสโมฺภนฺติ รติตฺถายฯ
‘‘Atha khalu, bho, tā dijakaññāyo taṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ ārāmeneva ārāmaṃ, uyyāneneva uyyānaṃ, nadītittheneva nadītitthaṃ, pabbatasikhareneva pabbatasikharaṃ, ambavaneneva ambavanaṃ, jambuvaneneva jambuvanaṃ, labujavaneneva labujavanaṃ, nāḷikerasañcāriyeneva nāḷikerasañcāriyaṃ khippameva abhisambhonti ratitthāya.
‘‘อถ ขลุ, โภ, ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล ตาหิ ทิชกญฺญาหิ ทิวสํ ปริพฺยูโฬฺห เอวํ ปสํสติ ‘สาธุ สาธุ, ภคินิโย, เอตํ โข ภคินิโย ตุมฺหากํ ปติรูปํ กุลธีตานํ, ยํ ตุเมฺห ภตฺตารํ ปริจเรยฺยาถา’ติฯ
‘‘Atha khalu, bho, puṇṇamukho phussakokilo tāhi dijakaññāhi divasaṃ paribyūḷho evaṃ pasaṃsati ‘sādhu sādhu, bhaginiyo, etaṃ kho bhaginiyo tumhākaṃ patirūpaṃ kuladhītānaṃ, yaṃ tumhe bhattāraṃ paricareyyāthā’ti.
‘‘อถ ขลุ, โภ, ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล เยน กุณาโล สกุโณ เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสํสุ โข กุณาลสฺส สกุณสฺส ปริจาริกา ทิชกญฺญาโย ตํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ, ทิสฺวาน เยน ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล เตนุปสงฺกมิํสุ, อุปสงฺกมิตฺวา ตํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ เอตทโวจุํ – ‘อยํ, สมฺม ปุณฺณมุข, กุณาโล สกุโณ อติวิย ผรุโส อติวิย ผรุสวาโจ, อเปฺปว นาม ตวมฺปิ อาคมฺม ปิยวาจํ ลเภยฺยามา’ติฯ ‘อเปฺปว นาม ภคินิโย’ติ วตฺวา เยน กุณาโล สกุโณ เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา กุณาเลน สกุเณน สทฺธิํ ปฎิสโมฺมทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล ตํ กุณาลํ สกุณํ เอตทโวจ – ‘กิสฺส ตฺวํ, สมฺม กุณาล, อิตฺถีนํ สุชาตานํ กุลธีตานํ สมฺมาปฎิปนฺนานํ มิจฺฉาปฎิปโนฺนสิ, อมนาปภาณีนมฺปิ กิร, สมฺม กุณาล, อิตฺถีนํ มนาปภาณินา ภวิตพฺพํ, กิมงฺคํ ปน มนาปภาณีน’นฺติฯ
‘‘Atha khalu, bho, puṇṇamukho phussakokilo yena kuṇālo sakuṇo tenupasaṅkami. Addasaṃsu kho kuṇālassa sakuṇassa paricārikā dijakaññāyo taṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ dūratova āgacchantaṃ, disvāna yena puṇṇamukho phussakokilo tenupasaṅkamiṃsu, upasaṅkamitvā taṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ etadavocuṃ – ‘ayaṃ, samma puṇṇamukha, kuṇālo sakuṇo ativiya pharuso ativiya pharusavāco, appeva nāma tavampi āgamma piyavācaṃ labheyyāmā’ti. ‘Appeva nāma bhaginiyo’ti vatvā yena kuṇālo sakuṇo tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā kuṇālena sakuṇena saddhiṃ paṭisammoditvā ekamantaṃ nisīdi, ekamantaṃ nisinno kho puṇṇamukho phussakokilo taṃ kuṇālaṃ sakuṇaṃ etadavoca – ‘kissa tvaṃ, samma kuṇāla, itthīnaṃ sujātānaṃ kuladhītānaṃ sammāpaṭipannānaṃ micchāpaṭipannosi, amanāpabhāṇīnampi kira, samma kuṇāla, itthīnaṃ manāpabhāṇinā bhavitabbaṃ, kimaṅgaṃ pana manāpabhāṇīna’nti.
‘‘เอวํ วุเตฺต กุณาโล สกุโณ ตํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ เอวํ อปสาเทสิ – ‘นสฺส ตฺวํ, สมฺม ชมฺม วสล, วินสฺส ตฺวํ, สมฺม ชมฺม วสล, โก นุ ตยา วิยโตฺต ชายาชิเนนา’ติฯ เอวํ อปสาทิโต จ ปน ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล ตโตเยว ปฎินิวตฺติฯ
‘‘Evaṃ vutte kuṇālo sakuṇo taṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ evaṃ apasādesi – ‘nassa tvaṃ, samma jamma vasala, vinassa tvaṃ, samma jamma vasala, ko nu tayā viyatto jāyājinenā’ti. Evaṃ apasādito ca pana puṇṇamukho phussakokilo tatoyeva paṭinivatti.
‘‘อถ ขลุ, โภ, ปุณฺณมุขสฺส ผุสฺสโกกิลสฺส อปเรน สมเยน นจิรเสฺสว ขโร อาพาโธ อุปฺปชฺชิ, โลหิตปกฺขนฺทิกา พาฬฺหา เวทนา วตฺตนฺติ มารณนฺติกาฯ อถ ขลุ, โภ, ปุณฺณมุขสฺส ผุสฺสโกกิลสฺส ปริจาริกานํ ทิชกญฺญานํ เอตทโหสิ – ‘อาพาธิโก โข อยํ ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล, อเปฺปว นาม อิมมฺหา อาพาธา วุฎฺฐเหยฺยา’ติ เอกํ อทุติยํ โอหาย เยน กุณาโล สกุโณ เตนุปสงฺกมิํสุฯ อทฺทสา โข กุณาโล สกุโณ ตา ทิชกญฺญาโย ทูรโตว อาคจฺฉนฺติโย, ทิสฺวาน ตา ทิชกญฺญาโย เอตทโวจ – ‘กหํ ปน ตุมฺหํ วสลิโย ภตฺตา’ติฯ ‘อาพาธิโก โข, สมฺม กุณาล, ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล อเปฺปว นาม ตมฺหา อาพาธา วุฎฺฐเหยฺยา’ติฯ เอวํ วุเตฺต กุณาโล สกุโณ ตา ทิชกญฺญาโย เอวํ อปสาเทสิ – ‘นสฺสถ ตุเมฺห วสลิโย, วินสฺสถ ตุเมฺห วสลิโย โจริโย ธุตฺติโย อสติโย ลหุจิตฺตาโย กตสฺส อปฺปฎิการิกาโย อนิโล วิย เยนกามํคมาโย’ติ วตฺวา เยน ปุณฺณมุโข ผุสฺสโกกิโล เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ตํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ เอตทโวจ – ‘หํ, สมฺม, ปุณฺณมุขา’ติฯ ‘หํ, สมฺม, กุณาลา’ติฯ
‘‘Atha khalu, bho, puṇṇamukhassa phussakokilassa aparena samayena nacirasseva kharo ābādho uppajji, lohitapakkhandikā bāḷhā vedanā vattanti māraṇantikā. Atha khalu, bho, puṇṇamukhassa phussakokilassa paricārikānaṃ dijakaññānaṃ etadahosi – ‘ābādhiko kho ayaṃ puṇṇamukho phussakokilo, appeva nāma imamhā ābādhā vuṭṭhaheyyā’ti ekaṃ adutiyaṃ ohāya yena kuṇālo sakuṇo tenupasaṅkamiṃsu. Addasā kho kuṇālo sakuṇo tā dijakaññāyo dūratova āgacchantiyo, disvāna tā dijakaññāyo etadavoca – ‘kahaṃ pana tumhaṃ vasaliyo bhattā’ti. ‘Ābādhiko kho, samma kuṇāla, puṇṇamukho phussakokilo appeva nāma tamhā ābādhā vuṭṭhaheyyā’ti. Evaṃ vutte kuṇālo sakuṇo tā dijakaññāyo evaṃ apasādesi – ‘nassatha tumhe vasaliyo, vinassatha tumhe vasaliyo coriyo dhuttiyo asatiyo lahucittāyo katassa appaṭikārikāyo anilo viya yenakāmaṃgamāyo’ti vatvā yena puṇṇamukho phussakokilo tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā taṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ etadavoca – ‘haṃ, samma, puṇṇamukhā’ti. ‘Haṃ, samma, kuṇālā’ti.
‘‘อถ ขลุ, โภ, กุณาโล สกุโณ ตํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ ปเกฺขหิ จ มุขตุณฺฑเกน จ ปริคฺคเหตฺวา วุฎฺฐาเปตฺวา นานาเภสชฺชานิ ปายาเปสิฯ อถ ขลุ, โภ, ปุณฺณมุขสฺส ผุสฺสโกกิลสฺส โส อาพาโธ ปฎิปฺปสฺสมฺภี’’ติฯ
‘‘Atha khalu, bho, kuṇālo sakuṇo taṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ pakkhehi ca mukhatuṇḍakena ca pariggahetvā vuṭṭhāpetvā nānābhesajjāni pāyāpesi. Atha khalu, bho, puṇṇamukhassa phussakokilassa so ābādho paṭippassambhī’’ti.
ตตฺถ ปิยกาติ เสตปุปฺผาฯ หสนาติ ห-กาโร สนฺธิกโร, อสนาเยวฯ ติรีฎีติ เอกา รุกฺขชาติฯ จนฺทนาติ รตฺตสุรภิจนฺทนาฯ โอฆวเนติ เอเตสํ โอเฆน ฆฎาย สมนฺนาคตวเนฯ เทวทารุกโจจคหเนติ เทวทารุรุเกฺขหิ เจว กทลีหิ จ คหเนฯ กจฺจิการาติ เอกา รุกฺขชาติฯ กณิการาติ มหาปุปฺผาฯ กณฺณิการาติ ขุทฺทกปุปฺผาฯ กิํสุกาติ วาตฆาตกาฯ โยธิกาติ ยูถิกาฯ วนมลฺลิกมนงฺคณมนวชฺชภณฺฑิสุรุจิรภคินิมาลามลฺยธเรติ มลฺลิกานญฺจ อนงฺคณานํ อนวชฺชานญฺจ ภณฺฑีนํ สุรุจิรานญฺจ ภคินีนํ ปุเปฺผหิ มาลฺยธารยมาเนฯ ธนุตกฺการีติ ธนุปาฎลิฯ ตาลีสาติ ตาลีสปตฺตรุกฺขาฯ กจฺฉวิตเตติ เอเตหิ ชาติสุมนาทีหิ วิตเต นทิกจฺฉปพฺพตกเจฺฉฯ สํกุสุมิตลตาติ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ สุฎฺฐุ กุสุมิตอติมุตฺตเกหิ เจว นานาวิธลตาหิ จ วิตตปฎิมณฺฑิตปเทเสฯ คณาธิวุเฎฺฐติ เอเตสํ วิชฺชาธราทีนํ คเณหิ อธิวุเฎฺฐฯ ปุณฺณมุโขติ มุขปริปุณฺณตาย ปุณฺณมุโขฯ ปเรหิ ผุฎฺฐตาย ผุสฺสโกกิโลฯ วิลาสิตนยโนติ วิลาสิตเนโตฺตฯ มตฺตโกฺขติ ยถา มตฺตานํ อกฺขีนิ รตฺตานิ โหนฺติ, เอวํ รตฺตโกฺข, ปมาณยุตฺตเนโตฺต วาฯ
Tattha piyakāti setapupphā. Hasanāti ha-kāro sandhikaro, asanāyeva. Tirīṭīti ekā rukkhajāti. Candanāti rattasurabhicandanā. Oghavaneti etesaṃ oghena ghaṭāya samannāgatavane. Devadārukacocagahaneti devadārurukkhehi ceva kadalīhi ca gahane. Kaccikārāti ekā rukkhajāti. Kaṇikārāti mahāpupphā. Kaṇṇikārāti khuddakapupphā. Kiṃsukāti vātaghātakā. Yodhikāti yūthikā. Vanamallikamanaṅgaṇamanavajjabhaṇḍisurucirabhaginimālāmalyadhareti mallikānañca anaṅgaṇānaṃ anavajjānañca bhaṇḍīnaṃ surucirānañca bhaginīnaṃ pupphehi mālyadhārayamāne. Dhanutakkārīti dhanupāṭali. Tālīsāti tālīsapattarukkhā. Kacchavitateti etehi jātisumanādīhi vitate nadikacchapabbatakacche. Saṃkusumitalatāti tesu tesu ṭhānesu suṭṭhu kusumitaatimuttakehi ceva nānāvidhalatāhi ca vitatapaṭimaṇḍitapadese. Gaṇādhivuṭṭheti etesaṃ vijjādharādīnaṃ gaṇehi adhivuṭṭhe. Puṇṇamukhoti mukhaparipuṇṇatāya puṇṇamukho. Parehi phuṭṭhatāya phussakokilo. Vilāsitanayanoti vilāsitanetto. Mattakkhoti yathā mattānaṃ akkhīni rattāni honti, evaṃ rattakkho, pamāṇayuttanetto vā.
ภคินิโยติ อริยโวหาเรน อาลปนํฯ ปริจเรยฺยาถาติ สกลทิวสํ คเหตฺวา วิจเรยฺยาถฯ อิติ โส ปิยกถํ กเถตฺวา อุโยฺยเชติฯ กทาจิ ปน กุณาโล สปริวาโร ปุณฺณมุขํ ทสฺสนาย คจฺฉติ, กทาจิ ปุณฺณมุโข กุณาลสฺส สนฺติกํ อาคจฺฉติฯ เตนาห ‘‘อถ ขลุ, โภ’’ติฯ สมฺมาติ วยสฺสฯ อาคมฺมาติ ปฎิจฺจ อุปนิสฺสายฯ ลเภยฺยามาติ กุณาลสฺส สนฺติกา ปิยวจนํ ลเภยฺยามฯ อเปฺปว นามาติ อปิ นาม ลเภยฺยาถ, วกฺขามิ นนฺติฯ สุชาตานนฺติ สมชาติกานํฯ
Bhaginiyoti ariyavohārena ālapanaṃ. Paricareyyāthāti sakaladivasaṃ gahetvā vicareyyātha. Iti so piyakathaṃ kathetvā uyyojeti. Kadāci pana kuṇālo saparivāro puṇṇamukhaṃ dassanāya gacchati, kadāci puṇṇamukho kuṇālassa santikaṃ āgacchati. Tenāha ‘‘atha khalu, bho’’ti. Sammāti vayassa. Āgammāti paṭicca upanissāya. Labheyyāmāti kuṇālassa santikā piyavacanaṃ labheyyāma. Appeva nāmāti api nāma labheyyātha, vakkhāmi nanti. Sujātānanti samajātikānaṃ.
นสฺสาติ ปลายฯ ชมฺมาติ ลามกฯ วิยโตฺตติ โก นุ ตยา สทิโส อโญฺญ พฺยโตฺต นาม อตฺถิฯ ชายาชิเนนาติ ชายาชิเตน, อยเมว วา ปาโฐฯ เอวํ อิตฺถิปราชิเตน ตยา สทิโส โก นาม พฺยโตฺต อตฺถีติ ตํ ปุน เอวรูปสฺส วจนสฺส อภณนตฺถาย อปสาเทติฯ ตโตเยวาติ ‘‘กุโทฺธ เม กุณาโล’’ติ จิเนฺตตฺวา ตโตเยว ปฎินิวตฺติ, โส นิวตฺติตฺวา สปริวาโร อตฺตโน นิวาสฎฺฐานเมว อคมาสิฯ
Nassāti palāya. Jammāti lāmaka. Viyattoti ko nu tayā sadiso añño byatto nāma atthi. Jāyājinenāti jāyājitena, ayameva vā pāṭho. Evaṃ itthiparājitena tayā sadiso ko nāma byatto atthīti taṃ puna evarūpassa vacanassa abhaṇanatthāya apasādeti. Tatoyevāti ‘‘kuddho me kuṇālo’’ti cintetvā tatoyeva paṭinivatti, so nivattitvā saparivāro attano nivāsaṭṭhānameva agamāsi.
อเปฺปว นามาติ สํสยปริวิตโกฺก, อิมมฺหา อาพาธา วุฎฺฐเหยฺย วา โน วาติ เอวํ จิเนฺตตฺวา ตํ โอหาย ปกฺกมิํสุฯ ตุมฺหนฺติ ตุมฺหากํฯ อเปฺปว นามาติ ตมฺหา อาพาธา วุฎฺฐเหยฺย วา โน วา, อมฺหากํ อาคตกาเล มโต ภวิสฺสติฯ มยญฺหิ อิทาเนว โส มริสฺสตีติ ญตฺวา ตุมฺหากํ ปาทปริจาริกา ภวิตุํ อาคตาฯ เตนุปสงฺกมีติ อิมา อิตฺถิโย สามิกสฺส มตกาเล อาคตา ปฎิกฺกูลา ภวิสฺสามาติ ตํ ปหาย อาคตา, อหํ คนฺตฺวา มม สหายกํ ปุปฺผผลาทีนิ นานาเภสชฺชานิ สํหริตฺวา อโรคํ กริสฺสามีติ จิเนฺตตฺวา นาคพโล มหาสโตฺต อากาเส อุปฺปติตฺวา เยน โส เตนุปสงฺกมิฯ หนฺติ นิปาโต, ‘‘ชีวสิ, สมฺมา’’ติ ปุจฺฉโนฺต เอวมาหฯ อิตโรปิสฺส ‘‘ชีวามี’’ติ วทโนฺต ‘‘หํ สมฺมา’’ติ อาหฯ ปายาเปสีติ ปาเยสิฯ ปฎิปฺปสฺสมฺภีติ วูปสมีติฯ
Appeva nāmāti saṃsayaparivitakko, imamhā ābādhā vuṭṭhaheyya vā no vāti evaṃ cintetvā taṃ ohāya pakkamiṃsu. Tumhanti tumhākaṃ. Appeva nāmāti tamhā ābādhā vuṭṭhaheyya vā no vā, amhākaṃ āgatakāle mato bhavissati. Mayañhi idāneva so marissatīti ñatvā tumhākaṃ pādaparicārikā bhavituṃ āgatā. Tenupasaṅkamīti imā itthiyo sāmikassa matakāle āgatā paṭikkūlā bhavissāmāti taṃ pahāya āgatā, ahaṃ gantvā mama sahāyakaṃ pupphaphalādīni nānābhesajjāni saṃharitvā arogaṃ karissāmīti cintetvā nāgabalo mahāsatto ākāse uppatitvā yena so tenupasaṅkami. Hanti nipāto, ‘‘jīvasi, sammā’’ti pucchanto evamāha. Itaropissa ‘‘jīvāmī’’ti vadanto ‘‘haṃ sammā’’ti āha. Pāyāpesīti pāyesi. Paṭippassambhīti vūpasamīti.
ตาปิ ทิชกญฺญาโย อสฺมิํ อโรเค ชาเต อาคตาฯ กุณาโลปิ ปุณฺณมุขํ กติปาหํ ผลาผลานิ ขาทาเปตฺวา ตสฺส พลปฺปตฺตกาเล, ‘‘สมฺม, อิทานิ ตฺวํ อโรโค, อตฺตโน ปริจาริกาหิ สทฺธิํ วส, อหมฺปิ อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คมิสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ โส ‘‘อิมา, สมฺม, มํ พาฬฺหคิลานํ ปหาย ปลายนฺติ, น เม เอตาหิ ธุตฺตีหิ อโตฺถ’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘เตน หิ เต, สมฺม, อิตฺถีนํ ปาปภาวํ อาจิกฺขิสฺสามี’’ติ ปุณฺณมุขํ คเหตฺวา หิมวนฺตปเสฺส มโนสิลาตลํ เนตฺวา สตฺตโยชนิกสาลรุกฺขมูเล มโนสิลาสเน นิสีทิฯ เอกสฺมิํ ปเสฺส ปุณฺณมุโข สปริวาโร นิสีทิฯ สกลหิมวเนฺต เทวโฆสนา จริ – ‘‘อชฺช กุณาโล สกุณราชา หิมวเนฺต มโนสิลาสเน นิสีทิตฺวา พุทฺธลีลาย ธมฺมํ เทเสสฺสติ, ตํ สุณาถา’’ติฯ ปรมฺปรโฆเสน ฉ กามาวจรเทวา สุตฺวา เยภุเยฺยน ตตฺถ สนฺนิปติํสุฯ พหุนาคสุปณฺณกินฺนรวิชฺชาธราทีนมฺปิ เทวตา ตมตฺถํ อุโคฺฆเสสุํฯ ตทา อานโนฺท นาม คิชฺฌราชา ทสสหสฺสคิชฺฌปริวาโร คิชฺฌปพฺพเต ปฎิวสติฯ โสปิ ตํ โกลาหลํ สุตฺวา ‘‘ธมฺมํ สุณิสฺสามี’’ติ สปริวาโร อาคนฺตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ นารโทปิ ปญฺจาภิโญฺญ ตาปโส ทสสหสฺสตาปสปริวุโต หิมวนฺตปเทเส วิหรโนฺต ตํ เทวโฆสนํ สุตฺวา ‘‘สหาโย กิร เม กุณาโล อิตฺถีนํ อคุณํ กเถสฺสติ, มหาสมาคโม ภวิสฺสติ, มยาปิ ตํ เทสนํ โสตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตาปสทสสหเสฺสน สทฺธิํ อิทฺธิยา ตตฺถ คนฺตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ พุทฺธานํ เทสนาสนฺนิปาตสทิโส มหาสมาคโม อโหสิฯ อถ มหาสโตฺต ชาติสฺสรญาเณน อิตฺถิโทสปฎิสํยุตฺตํ อตีตภเว ทิฎฺฐการณํ ปุณฺณมุขํ กายสกฺขิํ กตฺวา กเถสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Tāpi dijakaññāyo asmiṃ aroge jāte āgatā. Kuṇālopi puṇṇamukhaṃ katipāhaṃ phalāphalāni khādāpetvā tassa balappattakāle, ‘‘samma, idāni tvaṃ arogo, attano paricārikāhi saddhiṃ vasa, ahampi attano vasanaṭṭhānaṃ gamissāmī’’ti āha. Atha naṃ so ‘‘imā, samma, maṃ bāḷhagilānaṃ pahāya palāyanti, na me etāhi dhuttīhi attho’’ti āha. Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘tena hi te, samma, itthīnaṃ pāpabhāvaṃ ācikkhissāmī’’ti puṇṇamukhaṃ gahetvā himavantapasse manosilātalaṃ netvā sattayojanikasālarukkhamūle manosilāsane nisīdi. Ekasmiṃ passe puṇṇamukho saparivāro nisīdi. Sakalahimavante devaghosanā cari – ‘‘ajja kuṇālo sakuṇarājā himavante manosilāsane nisīditvā buddhalīlāya dhammaṃ desessati, taṃ suṇāthā’’ti. Paramparaghosena cha kāmāvacaradevā sutvā yebhuyyena tattha sannipatiṃsu. Bahunāgasupaṇṇakinnaravijjādharādīnampi devatā tamatthaṃ ugghosesuṃ. Tadā ānando nāma gijjharājā dasasahassagijjhaparivāro gijjhapabbate paṭivasati. Sopi taṃ kolāhalaṃ sutvā ‘‘dhammaṃ suṇissāmī’’ti saparivāro āgantvā ekamantaṃ nisīdi. Nāradopi pañcābhiñño tāpaso dasasahassatāpasaparivuto himavantapadese viharanto taṃ devaghosanaṃ sutvā ‘‘sahāyo kira me kuṇālo itthīnaṃ aguṇaṃ kathessati, mahāsamāgamo bhavissati, mayāpi taṃ desanaṃ sotuṃ vaṭṭatī’’ti tāpasadasasahassena saddhiṃ iddhiyā tattha gantvā ekamantaṃ nisīdi. Buddhānaṃ desanāsannipātasadiso mahāsamāgamo ahosi. Atha mahāsatto jātissarañāṇena itthidosapaṭisaṃyuttaṃ atītabhave diṭṭhakāraṇaṃ puṇṇamukhaṃ kāyasakkhiṃ katvā kathesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
‘‘อถ ขลุ, โภ, กุณาโล สกุโณ ตํ ปุณฺณมุขํ ผุสฺสโกกิลํ คิลานวุฎฺฐิตํ อจิรวุฎฺฐิตํ เคลญฺญา เอตทโวจ –
‘‘Atha khalu, bho, kuṇālo sakuṇo taṃ puṇṇamukhaṃ phussakokilaṃ gilānavuṭṭhitaṃ aciravuṭṭhitaṃ gelaññā etadavoca –
‘‘‘ทิฎฺฐา มยา, สมฺม ปุณฺณมุข, กณฺหา เทฺวปิติกา ปญฺจปติกาย ฉเฎฺฐ ปุริเส จิตฺตํ ปฎิพนฺธนฺติยา, ยทิทํ กพเนฺธ ปีฐสปฺปิมฺหี’’’ติฯ ภวติ จ ปนุตฺตเรตฺถ วากฺยํ –
‘‘‘Diṭṭhā mayā, samma puṇṇamukha, kaṇhā dvepitikā pañcapatikāya chaṭṭhe purise cittaṃ paṭibandhantiyā, yadidaṃ kabandhe pīṭhasappimhī’’’ti. Bhavati ca panuttarettha vākyaṃ –
๒๙๐.
290.
‘‘อถชฺชุโน นกุโล ภีมเสโน, ยุธิฎฺฐิโล สหเทโว จ ราชา;
‘‘Athajjuno nakulo bhīmaseno, yudhiṭṭhilo sahadevo ca rājā;
เอเต ปตี ปญฺจ มติจฺจ นารี, อกาสิ ขุชฺชวามนเกน ปาป’นฺติฯ
Ete patī pañca maticca nārī, akāsi khujjavāmanakena pāpa’nti.
‘‘ทิฎฺฐา มยา, สมฺม ปุณฺณมุข, สจฺจตปาปี นาม สมณี สุสานมเชฺฌ วสนฺตี จตุตฺถภตฺตํ ปริณามยมานา สุราธุตฺตเกน ปาปมกาสิฯ
‘‘Diṭṭhā mayā, samma puṇṇamukha, saccatapāpī nāma samaṇī susānamajjhe vasantī catutthabhattaṃ pariṇāmayamānā surādhuttakena pāpamakāsi.
‘‘ทิฎฺฐา มยา, สมฺม ปุณฺณมุข, กากวตี นาม เทวี สมุทฺทมเชฺฌ วสนฺตี ภริยา เวนเตยฺยสฺส นฎกุเวเรน ปาปมกาสิฯ
‘‘Diṭṭhā mayā, samma puṇṇamukha, kākavatī nāma devī samuddamajjhe vasantī bhariyā venateyyassa naṭakuverena pāpamakāsi.
‘‘ทิฎฺฐา มยา, สมฺม ปุณฺณมุข, กุรุงฺคเทวี นาม โลมสุทฺทรี เอฬิกกุมารํ กามยมานา ฉฬงฺคกุมารธนเนฺตวาสินา ปาปมกาสิฯ
‘‘Diṭṭhā mayā, samma puṇṇamukha, kuruṅgadevī nāma lomasuddarī eḷikakumāraṃ kāmayamānā chaḷaṅgakumāradhanantevāsinā pāpamakāsi.
‘‘เอวเญฺหตํ มยา ญาตํ, พฺรหฺมทตฺตสฺส มาตรํ;
‘‘Evañhetaṃ mayā ñātaṃ, brahmadattassa mātaraṃ;
โอหาย โกสลราชํ, ปญฺจาลจเณฺฑน ปาปมกาสิฯ
Ohāya kosalarājaṃ, pañcālacaṇḍena pāpamakāsi.
๒๙๑.
291.
‘‘เอตา จ อญฺญา จ อกํสุ ปาปํ, ตสฺมาหมิตฺถีนํ น วิสฺสเส นปฺปสํเส;
‘‘Etā ca aññā ca akaṃsu pāpaṃ, tasmāhamitthīnaṃ na vissase nappasaṃse;
มหี ยถา ชคติ สมานรตฺตา, วสุนฺธรา อิตรีตราปติฎฺฐา;
Mahī yathā jagati samānarattā, vasundharā itarītarāpatiṭṭhā;
สพฺพสหา อผนฺทนา อกุปฺปา, ตถิตฺถิโย ตาโย น วิสฺสเส นโรฯ
Sabbasahā aphandanā akuppā, tathitthiyo tāyo na vissase naro.
๒๙๒.
292.
‘‘สีโห ยถา โลหิตมํสโภชโน, วาฬมิโค ปญฺจาวุโธ สุรุโทฺธ;
‘‘Sīho yathā lohitamaṃsabhojano, vāḷamigo pañcāvudho suruddho;
ปสยฺหขาที ปรหิํสเน รโต, ตถิตฺถิโย ตาโย น วิสฺสเส นโรฯ
Pasayhakhādī parahiṃsane rato, tathitthiyo tāyo na vissase naro.
‘‘น ขลุ, สมฺม ปุณฺณมุข, เวสิโย นาริโย คมนิโย, น เหตา พนฺธกิโย นาม, วธิกาโย นาม เอตาโย, ยทิทํ เวสิโย นาริโย คมนิโย’’ติฯ
‘‘Na khalu, samma puṇṇamukha, vesiyo nāriyo gamaniyo, na hetā bandhakiyo nāma, vadhikāyo nāma etāyo, yadidaṃ vesiyo nāriyo gamaniyo’’ti.
‘‘โจโร วิย เวณิกตา มทิราว ทิทฺธา วาณิโช วิย วาจาสนฺถุติโย อิสฺสสิงฺคมิว วิปริวตฺตาโย อุรคมิว ทุชิวฺหาโยฯ โสพฺภมิว ปฎิจฺฉนฺนา ปาตาลมิว ทุปฺปูรา รกฺขสี วิย ทุโตฺตสา ยโมเวกนฺตหาริโยฯ สิขีริว สพฺพภกฺขา นทีริว สพฺพวาหี อนิโล วิย เยนกามํจรา เนรุ วิย อวิเสสกรา วิสรุโกฺข วิย นิจฺจผลิตาโยติฯ ภวติ จ ปนุตฺตเรตฺถ วากฺยํ –
‘‘Coro viya veṇikatā madirāva diddhā vāṇijo viya vācāsanthutiyo issasiṅgamiva viparivattāyo uragamiva dujivhāyo. Sobbhamiva paṭicchannā pātālamiva duppūrā rakkhasī viya duttosā yamovekantahāriyo. Sikhīriva sabbabhakkhā nadīriva sabbavāhī anilo viya yenakāmaṃcarā neru viya avisesakarā visarukkho viya niccaphalitāyoti. Bhavati ca panuttarettha vākyaṃ –
๒๙๓.
293.
‘‘‘ยถา โจโร ยถา ทิโทฺธ, วาณิโชว วิกตฺถนี;
‘‘‘Yathā coro yathā diddho, vāṇijova vikatthanī;
อิสฺสสิงฺคมิว ปริวตฺตา, ทุชิวฺหา อุรโค วิยฯ
Issasiṅgamiva parivattā, dujivhā urago viya.
๒๙๔.
294.
‘‘‘โสพฺภมิว ปฎิจฺฉนฺนา, ปาตาลมิว ทุปฺปุรา;
‘‘‘Sobbhamiva paṭicchannā, pātālamiva duppurā;
รกฺขสี วิย ทุโตฺตสา, ยโมเวกนฺตหาริโยฯ
Rakkhasī viya duttosā, yamovekantahāriyo.
๒๙๕.
295.
‘‘ยถา สิขี นที วาโต, เนรุนาว สมาคตา;
‘‘Yathā sikhī nadī vāto, nerunāva samāgatā;
วิสรุโกฺข วิย นิจฺจผลา, นาสยนฺติ ฆเร โภคํ;
Visarukkho viya niccaphalā, nāsayanti ghare bhogaṃ;
รตนนฺตกริตฺถิโย’’’ติฯ
Ratanantakaritthiyo’’’ti.
ตตฺถ คิลานวุฎฺฐิตนฺติ ปฐมํ คิลานํ ปจฺฉา วุฎฺฐิตํฯ ทิฎฺฐา มยาติ อตีเต กิร พฺรหฺมทโตฺต กาสิราชา สมฺปนฺนพลวาหนตาย โกสลรชฺชํ คเหตฺวา โกสลราชานํ มาเรตฺวา ตสฺส อคฺคมเหสิํ สคพฺภํ คเหตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ตํ อตฺตโน อคฺคมเหสิํ อกาสิฯ สา อปรภาเค ธีตรํ วิชายิฯ รโญฺญ ปน ปกติยา ธีตา วา ปุโตฺต วา นตฺถิ, โส ตุสฺสิตฺวา, ‘‘ภเทฺท, วรํ คณฺหาหี’’ติ อาหฯ สา คหิตกํ กตฺวา ฐเปสิฯ ตสฺสา ปน กุมาริกาย ‘‘กณฺหา’’ติ นามํ กริํสุฯ อถสฺสา วยปฺปตฺตาย มาตา ตํ อาห – ‘‘อมฺม, ปิตรา ตว วโร ทิโนฺน, ตมหํ คเหตฺวา ฐเปสิํ, ตว รุจฺจนกํ วรํ คณฺหา’’ติฯ สา ‘‘อมฺม, มยฺหํ อญฺญํ อวิชฺชมานํ นตฺถิ, ปติคฺคหณตฺถาย เม สยํ วรํ กาเรหี’’ติ กิเลสพหุลตาย หิโรตฺตปฺปํ ภินฺทิตฺวา มาตรํ อาหฯ สา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘ยถารุจิตํ ปติํ คณฺหตู’’ติ วตฺวา สยํ วรํ โฆสาเปสิฯ ราชงฺคเณ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา พหู ปุริสา สนฺนิปติํสุฯ กณฺหา ปุปฺผสมุคฺคํ อาทาย อุตฺตรสีหปญฺชเร ฐิตา โอโลเกนฺตี เอกมฺปิ น โรเจสิฯ
Tattha gilānavuṭṭhitanti paṭhamaṃ gilānaṃ pacchā vuṭṭhitaṃ. Diṭṭhā mayāti atīte kira brahmadatto kāsirājā sampannabalavāhanatāya kosalarajjaṃ gahetvā kosalarājānaṃ māretvā tassa aggamahesiṃ sagabbhaṃ gahetvā bārāṇasiṃ gantvā taṃ attano aggamahesiṃ akāsi. Sā aparabhāge dhītaraṃ vijāyi. Rañño pana pakatiyā dhītā vā putto vā natthi, so tussitvā, ‘‘bhadde, varaṃ gaṇhāhī’’ti āha. Sā gahitakaṃ katvā ṭhapesi. Tassā pana kumārikāya ‘‘kaṇhā’’ti nāmaṃ kariṃsu. Athassā vayappattāya mātā taṃ āha – ‘‘amma, pitarā tava varo dinno, tamahaṃ gahetvā ṭhapesiṃ, tava ruccanakaṃ varaṃ gaṇhā’’ti. Sā ‘‘amma, mayhaṃ aññaṃ avijjamānaṃ natthi, patiggahaṇatthāya me sayaṃ varaṃ kārehī’’ti kilesabahulatāya hirottappaṃ bhinditvā mātaraṃ āha. Sā rañño ārocesi. Rājā ‘‘yathārucitaṃ patiṃ gaṇhatū’’ti vatvā sayaṃ varaṃ ghosāpesi. Rājaṅgaṇe sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā bahū purisā sannipatiṃsu. Kaṇhā pupphasamuggaṃ ādāya uttarasīhapañjare ṭhitā olokentī ekampi na rocesi.
ตทา ปณฺฑุราชโคตฺตโต อชฺชุโน นกุโล ภีมเสโน ยุธิฎฺฐิโล สหเทโวติ อิเม ปญฺจ ปณฺฑุราชปุตฺตา ตกฺกสิลายํ ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคเหตฺวา ‘‘เทสจาริตฺตํ ชานิสฺสามา’’ติ วิจรนฺตา พาราณสิํ ปตฺวา อโนฺตนคเร โกลาหลํ สุตฺวา ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ ญตฺวา ‘‘มยมฺปิ คมิสฺสามา’’ติ กญฺจนรูปสมานรูปา ตตฺถ คนฺตฺวา ปฎิปาฎิยา อฎฺฐํสุฯ กณฺหา เต ทิสฺวา ปญฺจสุปิ เตสุ ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา ปญฺจนฺนมฺปิ สีเสสุ มาลาจุมฺพฎกานิ ขิปิตฺวา, ‘‘อมฺม, อิเม ปญฺจ ชเน วเรมี’’ติ อาหฯ สาปิ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา วรสฺส ทินฺนตฺตา ‘‘น ลภิสฺสตี’’ติ อวตฺวา อนตฺตมโนว ‘‘กิํชาติกา กสฺส ปุตฺตา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ปณฺฑุราชปุตฺตภาวํ ญตฺวา เตสํ สกฺการํ กตฺวา ตํ ปาทปริจาริกํ อทาสิฯ
Tadā paṇḍurājagottato ajjuno nakulo bhīmaseno yudhiṭṭhilo sahadevoti ime pañca paṇḍurājaputtā takkasilāyaṃ disāpāmokkhassa ācariyassa santike sippaṃ uggahetvā ‘‘desacārittaṃ jānissāmā’’ti vicarantā bārāṇasiṃ patvā antonagare kolāhalaṃ sutvā pucchitvā tamatthaṃ ñatvā ‘‘mayampi gamissāmā’’ti kañcanarūpasamānarūpā tattha gantvā paṭipāṭiyā aṭṭhaṃsu. Kaṇhā te disvā pañcasupi tesu paṭibaddhacittā hutvā pañcannampi sīsesu mālācumbaṭakāni khipitvā, ‘‘amma, ime pañca jane varemī’’ti āha. Sāpi rañño ārocesi. Rājā varassa dinnattā ‘‘na labhissatī’’ti avatvā anattamanova ‘‘kiṃjātikā kassa puttā’’ti pucchitvā paṇḍurājaputtabhāvaṃ ñatvā tesaṃ sakkāraṃ katvā taṃ pādaparicārikaṃ adāsi.
สา สตฺตภูมิกปาสาเท เต กิเลสวเสน สงฺคณฺหิฯ เอโก ปนสฺสา ปริจารโก ขุโชฺช ปีฐสปฺปี อตฺถิฯ สา ปญฺจ ราชปุเตฺต กิเลสวเสน สงฺคณฺหิตฺวา เตสํ พหิ นิกฺขนฺตกาเล โอกาสํ ลภิตฺวา กิเลเสน อนุฑยฺหมานา ขุเชฺชน สทฺธิํ ปาปํ กโรติ, เตน จ สทฺธิํ กเถนฺตี – ‘‘มยฺหํ ตยา สทิโส ปิโย นตฺถิ, ราชปุเตฺต มาราเปตฺวา เตสํ คลโลหิเตน ตว ปาเท มกฺขาเปสฺสามี’’ติ วทติฯ อิตเรสุปิ เชฎฺฐภาติเกน มิสฺสีภูตกาเล – ‘‘อิเมหิ จตูหิ ตฺวเมว มยฺหํ ปิยตโร, มยา ชีวิตมฺปิ ตวตฺถาย ปริจฺจตฺตํ, มม ปิตุ อจฺจเยน ตุยฺหเญฺญว รชฺชํ ทาเปสฺสามี’’ติ วทติฯ อิตเรหิ สทฺธิํ มิสฺสีภูตกาเลปิ เอเสว นโยฯ เต ‘‘อยํ อเมฺห ปิยายติ, อิสฺสริยญฺจ โน เอตํ นิสฺสาย ชาต’’นฺติ ตสฺสา อติวิย ตุสฺสนฺติฯ
Sā sattabhūmikapāsāde te kilesavasena saṅgaṇhi. Eko panassā paricārako khujjo pīṭhasappī atthi. Sā pañca rājaputte kilesavasena saṅgaṇhitvā tesaṃ bahi nikkhantakāle okāsaṃ labhitvā kilesena anuḍayhamānā khujjena saddhiṃ pāpaṃ karoti, tena ca saddhiṃ kathentī – ‘‘mayhaṃ tayā sadiso piyo natthi, rājaputte mārāpetvā tesaṃ galalohitena tava pāde makkhāpessāmī’’ti vadati. Itaresupi jeṭṭhabhātikena missībhūtakāle – ‘‘imehi catūhi tvameva mayhaṃ piyataro, mayā jīvitampi tavatthāya pariccattaṃ, mama pitu accayena tuyhaññeva rajjaṃ dāpessāmī’’ti vadati. Itarehi saddhiṃ missībhūtakālepi eseva nayo. Te ‘‘ayaṃ amhe piyāyati, issariyañca no etaṃ nissāya jāta’’nti tassā ativiya tussanti.
สา เอกทิวสํ อาพาธิกา อโหสิฯ อถ นํ เต ปริวาเรตฺวา เอโก สีสํ สมฺพาหโนฺต นิสีทิ, เสสา เอเกกํ หตฺถญฺจ ปาทญฺจฯ ขุโชฺช ปน ปาทมูเล นิสีทิฯ สา สีสํ สมฺพาหมานสฺส เชฎฺฐภาติกสฺส อชฺชุนกุมารสฺส – ‘‘มยฺหํ ตยา ปิยตโร นตฺถิ, ชีวมานา ตุยฺหํ ชีวิสฺสามิ, ปิตุ อจฺจเยน ตุยฺหํ รชฺชํ ทาเปสฺสามี’’ติ สีเสน สญฺญํ ททมานา ตํ สงฺคณฺหิ, อิตเรสมฺปิ หตฺถปาเทหิ ตเถว สญฺญํ อทาสิฯ ขุชฺชสฺส ปน – ‘‘ตฺวเญฺญว มม ปิโย, ตวตฺถาย อหํ ชีวิสฺสามี’’ติ ชิวฺหาย สญฺญํ อทาสิฯ เต สเพฺพปิ ปุเพฺพ กถิตภาเวน ตาย สญฺญาย ตมตฺถํ ชานิํสุฯ เตสุ เสสา อตฺตโน ทินฺนสญฺญาเยว ชานิํสุฯ อชฺชุนกุมาโร ปน ตสฺสา หตฺถปาทชิวฺหาวิกาเร ทิสฺวา – ‘‘ยถา มยฺหํ, เอวํ เสสานมฺปิ อิมาย สญฺญา ทินฺนา ภวิสฺสติ, ขุเชฺชน จาปิ สทฺธิํ เอติสฺสาย สนฺถเวน ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ภาตโร คเหตฺวา พหิ นิกฺขมิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ทิฎฺฐา โว ปญฺจปติกา มม สีสวิการํ ทเสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘อาม, ทิฎฺฐา’’ติฯ ‘‘กิํการณํ ชานาถา’’ติ? ‘‘น ชานามา’’ติฯ ‘‘อิทํ นาเมตฺถ การณํ, ตุมฺหากํ ปน หตฺถปาเทหิ ทินฺนสญฺญาย การณํ ชานาถา’’ติ? ‘‘อาม, ชานามา’’ติฯ ‘‘อมฺหากมฺปิ เตเนว การเณน อทาสิ, ขุชฺชสฺส ชิวฺหาวิกาเรน สญฺญาทานสฺส การณํ ชานาถา’’ติ? ‘‘น ชานามา’’ติฯ อถ เนสํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิมินาปิ สทฺธิํ เอตาย ปาปกมฺมํ กต’’นฺติ วตฺวา เตสุ อสทฺทหเนฺตสุ ขุชฺชํ ปโกฺกสิตฺวา ปุจฺฉิฯ โส สพฺพํ ปวตฺติํ กเถสิฯ
Sā ekadivasaṃ ābādhikā ahosi. Atha naṃ te parivāretvā eko sīsaṃ sambāhanto nisīdi, sesā ekekaṃ hatthañca pādañca. Khujjo pana pādamūle nisīdi. Sā sīsaṃ sambāhamānassa jeṭṭhabhātikassa ajjunakumārassa – ‘‘mayhaṃ tayā piyataro natthi, jīvamānā tuyhaṃ jīvissāmi, pitu accayena tuyhaṃ rajjaṃ dāpessāmī’’ti sīsena saññaṃ dadamānā taṃ saṅgaṇhi, itaresampi hatthapādehi tatheva saññaṃ adāsi. Khujjassa pana – ‘‘tvaññeva mama piyo, tavatthāya ahaṃ jīvissāmī’’ti jivhāya saññaṃ adāsi. Te sabbepi pubbe kathitabhāvena tāya saññāya tamatthaṃ jāniṃsu. Tesu sesā attano dinnasaññāyeva jāniṃsu. Ajjunakumāro pana tassā hatthapādajivhāvikāre disvā – ‘‘yathā mayhaṃ, evaṃ sesānampi imāya saññā dinnā bhavissati, khujjena cāpi saddhiṃ etissāya santhavena bhavitabba’’nti cintetvā bhātaro gahetvā bahi nikkhamitvā pucchi – ‘‘diṭṭhā vo pañcapatikā mama sīsavikāraṃ dassentī’’ti? ‘‘Āma, diṭṭhā’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇaṃ jānāthā’’ti? ‘‘Na jānāmā’’ti. ‘‘Idaṃ nāmettha kāraṇaṃ, tumhākaṃ pana hatthapādehi dinnasaññāya kāraṇaṃ jānāthā’’ti? ‘‘Āma, jānāmā’’ti. ‘‘Amhākampi teneva kāraṇena adāsi, khujjassa jivhāvikārena saññādānassa kāraṇaṃ jānāthā’’ti? ‘‘Na jānāmā’’ti. Atha nesaṃ ācikkhitvā ‘‘imināpi saddhiṃ etāya pāpakammaṃ kata’’nti vatvā tesu asaddahantesu khujjaṃ pakkositvā pucchi. So sabbaṃ pavattiṃ kathesi.
เต ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตสฺสา วิคตจฺฉนฺทราคา หุตฺวา – ‘‘อโห มาตุคาโม นาม ปาโป ทุสฺสีโล, มาทิเส นาม ชาติสมฺปเนฺน โสภคฺคปฺปเตฺต ปหาย เอวรูเปน เชคุจฺฉปฎิกูเลน ขุเชฺชน สทฺธิํ ปาปกมฺมํ กโรติ, โก นาม ปณฺฑิตชาติโก เอวํ นิลฺลชฺชาหิ ปาปธมฺมาหิ อิตฺถีหิ สทฺธิํ รมิสฺสตี’’ติ อเนกปริยาเยน มาตุคามํ ครหิตฺวา ‘‘อลํ โน ฆราวาเสนา’’ติ ปญฺจ ชนา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อายุปริโยสาเน ยถากมฺมํ คตาฯ กุณาโล ปน สกุณราชา ตทา อชฺชุนกุมาโร อโหสิฯ ตสฺมา อตฺตนา ทิฎฺฐการณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทิฎฺฐา มยา’’ติอาทิมาหฯ
Te tassa vacanaṃ sutvā tassā vigatacchandarāgā hutvā – ‘‘aho mātugāmo nāma pāpo dussīlo, mādise nāma jātisampanne sobhaggappatte pahāya evarūpena jegucchapaṭikūlena khujjena saddhiṃ pāpakammaṃ karoti, ko nāma paṇḍitajātiko evaṃ nillajjāhi pāpadhammāhi itthīhi saddhiṃ ramissatī’’ti anekapariyāyena mātugāmaṃ garahitvā ‘‘alaṃ no gharāvāsenā’’ti pañca janā himavantaṃ pavisitvā pabbajitvā kasiṇaparikammaṃ katvā āyupariyosāne yathākammaṃ gatā. Kuṇālo pana sakuṇarājā tadā ajjunakumāro ahosi. Tasmā attanā diṭṭhakāraṇaṃ dassento ‘‘diṭṭhā mayā’’tiādimāha.
ตตฺถ เทฺวปิติกาติ โกสลรโญฺญ จ กาสิรโญฺญ จ วเสเนตํ วุตฺตํฯ ปญฺจปติกายาติ ปญฺจปติกา, ย-กาโร นิปาตมโตฺตฯ ปฎิพนฺธนฺติยาติ ปฎิพนฺธมานาฯ กพเนฺธติ ตสฺส กิร คีวา โอนมิตฺวา อุรํ อลฺลีนา, ตสฺมา ฉินฺนสีโส วิย ขายติฯ ปญฺจ มติจฺจาติ เอเต ปญฺจ อติกฺกมิตฺวาฯ ขุชฺชวามนเกนาติ ขุเชฺชน วามนเกนฯ
Tattha dvepitikāti kosalarañño ca kāsirañño ca vasenetaṃ vuttaṃ. Pañcapatikāyāti pañcapatikā, ya-kāro nipātamatto. Paṭibandhantiyāti paṭibandhamānā. Kabandheti tassa kira gīvā onamitvā uraṃ allīnā, tasmā chinnasīso viya khāyati. Pañca maticcāti ete pañca atikkamitvā. Khujjavāmanakenāti khujjena vāmanakena.
อิทํ วตฺวา อปรานิปิ ทิฎฺฐปุพฺพานิ ทเสฺสโนฺต ปุน ‘‘ทิฎฺฐา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทุติยวตฺถุสฺมิํ ตาว อยํ วิภาวนา – อตีเต กิร พาราณสิํ นิสฺสาย สจฺจตปาปี นาม เสตสมณี สุสาเน ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา ตตฺถ วสมานา จตฺตาริ ภตฺตานิ อติกฺกมิตฺวา ภุญฺชติ, สกลนคเร จโนฺท วิย สูริโย วิย จ ปากฎา อโหสิฯ พาราณสิวาสิโน ขิปิตฺวาปิ ขลิตฺวาปิ ‘‘นโม สจฺจตปาปิยา’’ติ วทนฺติฯ อเถกสฺมิํ ฉณกาเล ปฐมทิวเส ตาว สุวณฺณการา คณพเนฺธน เอกสฺมิํ ปเทเส มณฺฑปํ กตฺวา มจฺฉมํสสุราคนฺธมาลาทีนิ อาหริตฺวา สุราปานํ อารภิํสุฯ อเถโก สุวณฺณกาโร สุราปิฎฺฐกํ ฉเฑฺฑโนฺต – ‘‘นโม สจฺจตปาปิยา’’ติ วตฺวา เอเกน ปณฺฑิเตน – ‘‘อโมฺภ อนฺธพาล, จลจิตฺตาย อิตฺถิยา นโม กโรสิ, อโห พาโล’’ติ วุเตฺต – ‘‘สมฺม, มา เอวํ อวจ, มา นิรยสํวตฺตนิกํ กมฺมํ กรี’’ติ อาหฯ อถ นํ โส ‘‘ทุพฺพุทฺธิ ตุณฺหี โหหิ, สหเสฺสน อพฺภุตํ กโรหิ, อหํ เต สจฺจตปาปิํ อิโต สตฺตเม ทิวเส อลงฺกตปฎิยตฺตํ อิมสฺมิํเยว ฐาเน นิสิโนฺน สุราปิฎฺฐกํ คาหาเปตฺวา สุรํ ปิวิสฺสามิ , มาตุคาโม ธุวสีโล นาม นตฺถี’’ติ อาหฯ โส ‘‘น สกฺขิสฺสสี’’ติ วตฺวา เตน สทฺธิํ สหเสฺสน อพฺภุตมกาสิฯ โส ตํ อเญฺญสํ สุวณฺณการานํ อาโรเจตฺวา ปุนทิวเส ปาโตว ตาปสเวเสน สุสานํ ปวิสิตฺวา ตสฺสา วสนฎฺฐานสฺส อวิทูเร สูริยํ นมสฺสโนฺต อฎฺฐาสิฯ
Idaṃ vatvā aparānipi diṭṭhapubbāni dassento puna ‘‘diṭṭhā’’tiādimāha. Tattha dutiyavatthusmiṃ tāva ayaṃ vibhāvanā – atīte kira bārāṇasiṃ nissāya saccatapāpī nāma setasamaṇī susāne paṇṇasālaṃ kāretvā tattha vasamānā cattāri bhattāni atikkamitvā bhuñjati, sakalanagare cando viya sūriyo viya ca pākaṭā ahosi. Bārāṇasivāsino khipitvāpi khalitvāpi ‘‘namo saccatapāpiyā’’ti vadanti. Athekasmiṃ chaṇakāle paṭhamadivase tāva suvaṇṇakārā gaṇabandhena ekasmiṃ padese maṇḍapaṃ katvā macchamaṃsasurāgandhamālādīni āharitvā surāpānaṃ ārabhiṃsu. Atheko suvaṇṇakāro surāpiṭṭhakaṃ chaḍḍento – ‘‘namo saccatapāpiyā’’ti vatvā ekena paṇḍitena – ‘‘ambho andhabāla, calacittāya itthiyā namo karosi, aho bālo’’ti vutte – ‘‘samma, mā evaṃ avaca, mā nirayasaṃvattanikaṃ kammaṃ karī’’ti āha. Atha naṃ so ‘‘dubbuddhi tuṇhī hohi, sahassena abbhutaṃ karohi, ahaṃ te saccatapāpiṃ ito sattame divase alaṅkatapaṭiyattaṃ imasmiṃyeva ṭhāne nisinno surāpiṭṭhakaṃ gāhāpetvā suraṃ pivissāmi , mātugāmo dhuvasīlo nāma natthī’’ti āha. So ‘‘na sakkhissasī’’ti vatvā tena saddhiṃ sahassena abbhutamakāsi. So taṃ aññesaṃ suvaṇṇakārānaṃ ārocetvā punadivase pātova tāpasavesena susānaṃ pavisitvā tassā vasanaṭṭhānassa avidūre sūriyaṃ namassanto aṭṭhāsi.
สา ภิกฺขาย คจฺฉมานา นํ ทิสฺวา – ‘‘มหิทฺธิโก ตาปโส ภวิสฺสติ, อหํ ตาว สุสานปเสฺส วสามิ, อยํ มเชฺฌ สุสานสฺส วสติ, ภวิตพฺพมสฺสพฺภนฺตเร สนฺตธเมฺมน, วนฺทิสฺสามิ น’’นฺติ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิฯ โส เนว โอโลเกสิ น อาลปิฯ ทุติยทิวเสปิ ตเถว อกาสิฯ ตติยทิวเส ปน วนฺทิตกาเล อโธมุโขว ‘‘คจฺฉาหี’’ติ อาหฯ จตุตฺถทิวเส ‘‘กจฺจิ ภิกฺขาย น กิลมสี’’ติ ปฎิสนฺถารมกาสิฯ สา ‘‘ปฎิสนฺถาโร เม ลโทฺธ’’ติ ตุฎฺฐา ปกฺกามิฯ ปญฺจมทิวเส พหุตรํ ปฎิสนฺถารํ ลภิตฺวา โถกํ นิสีทิตฺวา คตาฯ ฉเฎฺฐ ทิวเส ปน ตํ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสินฺนํ – ‘‘ภคินิ, กิํ นุ โข อชฺช พาราณสิยํ มหาคีตวาทิตสโทฺท’’ติ วตฺวา – ‘‘อยฺย, ตุเมฺห น ชานาถ, นคเร ฉโณ ฆุโฎฺฐ, ตตฺถ กีฬนฺตานํ เอส สโทฺท’’ติ วุเตฺต – ‘‘เอตฺถ นาเมโส สโทฺท’’ติ อชานโนฺต วิย หุตฺวา – ‘‘ภคินิ, กติ ภตฺตานิ อติกฺกเมสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘จตฺตาริ, อยฺย, ตุเมฺห ปน กติ อติกฺกเมถา’’ติ? ‘‘สตฺต ภคินี’’ติฯ อิทํ โส มุสา อภาสิฯ เทวสิกํ เหส รตฺติํ ภุญฺชติฯ โส ตํ ‘‘กติ เต ภคินิ วสฺสานิ ปพฺพชิตายา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตาย ‘‘ทฺวาทส วสฺสานี’’ติ วตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ กติ วสฺสานี’’ติ วุโตฺต ‘‘อิทํ เม ฉฎฺฐํ วสฺส’’นฺติ อาหฯ อถ นํ ‘‘อตฺถิ ปน เต ภคินิ สนฺตธมฺมาธิคโม’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘นตฺถิ, อยฺย, ตุมฺหากํ ปน อตฺถี’’ติ วุเตฺต ‘‘มยฺหมฺปิ นตฺถี’’ติ วตฺวา – ‘‘ภคินิ, มยํ เนว กามสุขํ ลภาม, น เนกฺขมฺมสุขํ, กิํ อมฺหากํเยว อุโณฺห นิรโย, มหาชนสฺส กิริยํ กโรม, อหํ คิหี ภวิสฺสามิ, อตฺถิ เม มาตุ สนฺตกํ ธนํ, น สโกฺกมิ ทุกฺขํ อนุภวิตุ’’นฺติ อาหฯ สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา อตฺตโน จลจิตฺตตาย ตสฺมิํ ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา – ‘‘อยฺย, อหมฺปิ อุกฺกณฺฐิตา, สเจ ปน มํ น ฉเฑฺฑสฺสถ, อหมฺปิ คิหินี ภวิสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ โส ‘‘เอหิ ตํ น ฉเฑฺฑสฺสามิ, ภริยา เม ภวิสฺสสี’’ติ ตํ นครํ ปเวเสตฺวา สํวสิตฺวา สุราปานมณฺฑปํ คนฺตฺวา ตาย สุราปิฎฺฐกํ คาหาเปตฺวา สุรํ ปิวิฯ อิตโร สหสฺสํ ชิโตฯ สา ตํ ปฎิจฺจ ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒิฯ ตทา กุณาโล สุราธุตฺตโก อโหสิฯ ตสฺมา อตฺตนา ทิฎฺฐํ ปกาเสโนฺต ‘‘ทิฎฺฐา มยา’’ติอาทิมาหฯ
Sā bhikkhāya gacchamānā naṃ disvā – ‘‘mahiddhiko tāpaso bhavissati, ahaṃ tāva susānapasse vasāmi, ayaṃ majjhe susānassa vasati, bhavitabbamassabbhantare santadhammena, vandissāmi na’’nti upasaṅkamitvā vandi. So neva olokesi na ālapi. Dutiyadivasepi tatheva akāsi. Tatiyadivase pana vanditakāle adhomukhova ‘‘gacchāhī’’ti āha. Catutthadivase ‘‘kacci bhikkhāya na kilamasī’’ti paṭisanthāramakāsi. Sā ‘‘paṭisanthāro me laddho’’ti tuṭṭhā pakkāmi. Pañcamadivase bahutaraṃ paṭisanthāraṃ labhitvā thokaṃ nisīditvā gatā. Chaṭṭhe divase pana taṃ āgantvā vanditvā nisinnaṃ – ‘‘bhagini, kiṃ nu kho ajja bārāṇasiyaṃ mahāgītavāditasaddo’’ti vatvā – ‘‘ayya, tumhe na jānātha, nagare chaṇo ghuṭṭho, tattha kīḷantānaṃ esa saddo’’ti vutte – ‘‘ettha nāmeso saddo’’ti ajānanto viya hutvā – ‘‘bhagini, kati bhattāni atikkamesī’’ti pucchi. ‘‘Cattāri, ayya, tumhe pana kati atikkamethā’’ti? ‘‘Satta bhaginī’’ti. Idaṃ so musā abhāsi. Devasikaṃ hesa rattiṃ bhuñjati. So taṃ ‘‘kati te bhagini vassāni pabbajitāyā’’ti pucchitvā tāya ‘‘dvādasa vassānī’’ti vatvā ‘‘tumhākaṃ kati vassānī’’ti vutto ‘‘idaṃ me chaṭṭhaṃ vassa’’nti āha. Atha naṃ ‘‘atthi pana te bhagini santadhammādhigamo’’ti pucchitvā ‘‘natthi, ayya, tumhākaṃ pana atthī’’ti vutte ‘‘mayhampi natthī’’ti vatvā – ‘‘bhagini, mayaṃ neva kāmasukhaṃ labhāma, na nekkhammasukhaṃ, kiṃ amhākaṃyeva uṇho nirayo, mahājanassa kiriyaṃ karoma, ahaṃ gihī bhavissāmi, atthi me mātu santakaṃ dhanaṃ, na sakkomi dukkhaṃ anubhavitu’’nti āha. Sā tassa vacanaṃ sutvā attano calacittatāya tasmiṃ paṭibaddhacittā hutvā – ‘‘ayya, ahampi ukkaṇṭhitā, sace pana maṃ na chaḍḍessatha, ahampi gihinī bhavissāmī’’ti āha. Atha naṃ so ‘‘ehi taṃ na chaḍḍessāmi, bhariyā me bhavissasī’’ti taṃ nagaraṃ pavesetvā saṃvasitvā surāpānamaṇḍapaṃ gantvā tāya surāpiṭṭhakaṃ gāhāpetvā suraṃ pivi. Itaro sahassaṃ jito. Sā taṃ paṭicca puttadhītāhi vaḍḍhi. Tadā kuṇālo surādhuttako ahosi. Tasmā attanā diṭṭhaṃ pakāsento ‘‘diṭṭhā mayā’’tiādimāha.
ตติยวตฺถุสฺมิํ อตีตกถา จตุกฺกนิปาเต กากวตีชาตกวณฺณนายํ (ชา. อฎฺฐ. ๓.๔.กากวตีชาตกวณฺณนา) วิตฺถาริตาฯ ตทา ปน กุณาโล ครุโฬ อโหสิฯ ตสฺมา อตฺตนา ทิฎฺฐํ ปกาเสโนฺต ‘‘ทิฎฺฐา มยา’’ติอาทิมาหฯ
Tatiyavatthusmiṃ atītakathā catukkanipāte kākavatījātakavaṇṇanāyaṃ (jā. aṭṭha. 3.4.kākavatījātakavaṇṇanā) vitthāritā. Tadā pana kuṇālo garuḷo ahosi. Tasmā attanā diṭṭhaṃ pakāsento ‘‘diṭṭhā mayā’’tiādimāha.
จตุตฺถวตฺถุสฺมิํ อตีเต พฺรหฺมทโตฺต โกสลราชานํ วธิตฺวา รชฺชํ คเหตฺวา ตสฺส อคฺคมเหสิํ คพฺภินิํ อาทาย พาราณสิํ ปจฺจาคนฺตฺวา ตสฺสา คพฺภินิภาวํ ชานโนฺตปิ ตํ อคฺคมเหสิํ อกาสิฯ สา ปริปกฺกคพฺภา สุวณฺณรูปกสทิสํ ปุตฺตํ วิชายิตฺวา – ‘‘วุทฺธิปฺปตฺตมฺปิ นํ พาราณสิราชา ‘เอส เม ปจฺจามิตฺตสฺส ปุโตฺต, กิํ อิมินา’ติ มาราเปสฺสติ, มา เม ปุโตฺต ปรหเตฺถ มรตู’’ติ จิเนฺตตฺวา ธาติํ อาห – ‘‘อมฺม, อิมํ ทารกํ ปิโลติกํ อตฺถริตฺวา อามกสุสาเน นิปชฺชาเปตฺวา เอหี’’ติฯ ธาตี ตถา กตฺวา นฺหตฺวา ปจฺจาคมิฯ โกสลราชาปิ มริตฺวา ปุตฺตสฺส อารกฺขเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺสานุภาเวน เอกสฺส เอฬกปาลกสฺส ตสฺมิํ ปเทเส เอฬเก จาเรนฺตสฺส เอกา เอฬิกา ตํ กุมารํ ทิสฺวา สิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา ขีรํ ปาเยตฺวา โถกํ จริตฺวา ปุน คนฺตฺวา เทฺว ตโย จตฺตาโร วาเร ปาเยสิฯ เอฬกปาลโก ตสฺสา กิริยํ ทิสฺวา ตํ ฐานํ คนฺตฺวา ตํ ทารกํ ทิสฺวา ปุตฺตสิเนหํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา เนตฺวา อตฺตโน ภริยาย อทาสิฯ สา ปน อปุตฺติกา, เตนสฺสา ถญฺญํ นตฺถิ, อถ นํ เอฬิกขีรเมว ปาเยสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ปน เทวสิกํ เทฺว ติโสฺส เอฬิกา มรนฺติฯ เอฬกปาโล – ‘‘อิมสฺมิํ ปฎิชคฺคิยมาเน สพฺพา เอฬิกา มริสฺสนฺติ, กิํ โน อิมินา’’ติ ตํ เอกสฺมิํ มตฺติกาภาชเน นิปชฺชาเปตฺวา อปเรน ปิทหิตฺวา มาสจุเณฺณน มุขํ นิพฺพิวรํ วิลิมฺปิตฺวา นทิยํ วิสฺสเชฺชสิฯ ตเมนํ วุยฺหมานํ เหฎฺฐาติเตฺถ ราชนิเวสเน ชิณฺณปฎิสงฺขารโก เอโก จณฺฑาโล สปชาปติโก มกจิํ โธวโนฺต ทิสฺวาว เวเคน คนฺตฺวา อาหริตฺวา ตีเร ฐเปตฺวา ‘‘กิเมตฺถา’’ติ วิวริตฺวา โอโลเกโนฺต ทารกํ ปสฺสิฯ ภริยาปิสฺส อปุตฺติกา, ตสฺสา ตสฺมิํ ปุตฺตสิเนโห นิพฺพตฺติ, อถ นํ เคหํ เนตฺวา ปฎิชคฺคิฯ ตํ สตฺตฎฺฐวสฺสกาลโต ปฎฺฐาย มาตาปิตโร ราชกุลํ คจฺฉนฺตา อาทาย คจฺฉนฺติฯ โสฬสวสฺสกาลโต ปน ปฎฺฐาย เสฺวว พหุลํ คนฺตฺวา ชิณฺณปฎิสงฺขรณํ กโรติฯ
Catutthavatthusmiṃ atīte brahmadatto kosalarājānaṃ vadhitvā rajjaṃ gahetvā tassa aggamahesiṃ gabbhiniṃ ādāya bārāṇasiṃ paccāgantvā tassā gabbhinibhāvaṃ jānantopi taṃ aggamahesiṃ akāsi. Sā paripakkagabbhā suvaṇṇarūpakasadisaṃ puttaṃ vijāyitvā – ‘‘vuddhippattampi naṃ bārāṇasirājā ‘esa me paccāmittassa putto, kiṃ iminā’ti mārāpessati, mā me putto parahatthe maratū’’ti cintetvā dhātiṃ āha – ‘‘amma, imaṃ dārakaṃ pilotikaṃ attharitvā āmakasusāne nipajjāpetvā ehī’’ti. Dhātī tathā katvā nhatvā paccāgami. Kosalarājāpi maritvā puttassa ārakkhadevatā hutvā nibbatti. Tassānubhāvena ekassa eḷakapālakassa tasmiṃ padese eḷake cārentassa ekā eḷikā taṃ kumāraṃ disvā sinehaṃ uppādetvā khīraṃ pāyetvā thokaṃ caritvā puna gantvā dve tayo cattāro vāre pāyesi. Eḷakapālako tassā kiriyaṃ disvā taṃ ṭhānaṃ gantvā taṃ dārakaṃ disvā puttasinehaṃ paccupaṭṭhapetvā netvā attano bhariyāya adāsi. Sā pana aputtikā, tenassā thaññaṃ natthi, atha naṃ eḷikakhīrameva pāyesi. Tato paṭṭhāya pana devasikaṃ dve tisso eḷikā maranti. Eḷakapālo – ‘‘imasmiṃ paṭijaggiyamāne sabbā eḷikā marissanti, kiṃ no iminā’’ti taṃ ekasmiṃ mattikābhājane nipajjāpetvā aparena pidahitvā māsacuṇṇena mukhaṃ nibbivaraṃ vilimpitvā nadiyaṃ vissajjesi. Tamenaṃ vuyhamānaṃ heṭṭhātitthe rājanivesane jiṇṇapaṭisaṅkhārako eko caṇḍālo sapajāpatiko makaciṃ dhovanto disvāva vegena gantvā āharitvā tīre ṭhapetvā ‘‘kimetthā’’ti vivaritvā olokento dārakaṃ passi. Bhariyāpissa aputtikā, tassā tasmiṃ puttasineho nibbatti, atha naṃ gehaṃ netvā paṭijaggi. Taṃ sattaṭṭhavassakālato paṭṭhāya mātāpitaro rājakulaṃ gacchantā ādāya gacchanti. Soḷasavassakālato pana paṭṭhāya sveva bahulaṃ gantvā jiṇṇapaṭisaṅkharaṇaṃ karoti.
รโญฺญ จ อคฺคมเหสิยา กุรุงฺคเทวี นาม ธีตา อโหสิ อุตฺตมรูปธราฯ สา ตสฺส ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย ตสฺมิํ ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา อญฺญตฺถ อนภิรตา ตสฺส กมฺมกรณฎฺฐานเมว อาคจฺฉติฯ เตสํ อภิณฺหทสฺสเนน อญฺญมญฺญํ ปฎิพทฺธจิตฺตานํ อโนฺตราชกุเลเยว ปฎิจฺฉโนฺนกาเส อชฺฌาจาโร ปวตฺติฯ คจฺฉเนฺต กาเล ปริจาริกาโย ญตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา กุชฺฌิตฺวา อมเจฺจ สนฺนิปาเตตฺวา – ‘‘อิมินา จณฺฑาลปุเตฺตน อิทํ นาม กตํ, อิมสฺส กตฺตพฺพํ ชานาถา’’ติ อาหฯ อมจฺจา ‘‘มหาปราโธ เอส, นานาวิธกมฺมการณา กาเรตฺวา ปจฺฉา มาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ กุมารสฺส ปิตา อารกฺขเทวตา ตเสฺสว กุมารสฺส มาตุ สรีเร อธิมุจฺจิฯ สา เทวตานุภาเวน ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘มหาราช, นายํ กุมาโร จณฺฑาโล, เอส กุมาโร มม กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺต โกสลรโญฺญ ปุโตฺต, อหํ ‘ปุโตฺต เม มโต’ติ ตุมฺหากํ มุสา อวจํ, อหเมตํ ‘ตุมฺหากํ ปจฺจามิตฺตสฺส ปุโตฺต’ติ ธาติยา ทตฺวา อามกสุสาเน ฉฑฺฑาเปสิํ, อถ นํ เอโก เอฬกปาลโก ปฎิชคฺคิ, โส อตฺตโน เอฬิกาสุ มรนฺตีสุ นทิยา ปวาเหสิ, อถ นํ วุยฺหมานํ ตุมฺหากํ เคเห ชิณฺณปฎิสงฺขารโก จณฺฑาโล ทิสฺวา โปเสสิ, สเจ น สทฺทหถ, เต สเพฺพ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉถา’’ติฯ
Rañño ca aggamahesiyā kuruṅgadevī nāma dhītā ahosi uttamarūpadharā. Sā tassa diṭṭhakālato paṭṭhāya tasmiṃ paṭibaddhacittā hutvā aññattha anabhiratā tassa kammakaraṇaṭṭhānameva āgacchati. Tesaṃ abhiṇhadassanena aññamaññaṃ paṭibaddhacittānaṃ antorājakuleyeva paṭicchannokāse ajjhācāro pavatti. Gacchante kāle paricārikāyo ñatvā rañño ārocesuṃ. Rājā kujjhitvā amacce sannipātetvā – ‘‘iminā caṇḍālaputtena idaṃ nāma kataṃ, imassa kattabbaṃ jānāthā’’ti āha. Amaccā ‘‘mahāparādho esa, nānāvidhakammakāraṇā kāretvā pacchā māretuṃ vaṭṭatī’’ti vadiṃsu. Tasmiṃ khaṇe kumārassa pitā ārakkhadevatā tasseva kumārassa mātu sarīre adhimucci. Sā devatānubhāvena rājānaṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘mahārāja, nāyaṃ kumāro caṇḍālo, esa kumāro mama kucchimhi nibbatto kosalarañño putto, ahaṃ ‘putto me mato’ti tumhākaṃ musā avacaṃ, ahametaṃ ‘tumhākaṃ paccāmittassa putto’ti dhātiyā datvā āmakasusāne chaḍḍāpesiṃ, atha naṃ eko eḷakapālako paṭijaggi, so attano eḷikāsu marantīsu nadiyā pavāhesi, atha naṃ vuyhamānaṃ tumhākaṃ gehe jiṇṇapaṭisaṅkhārako caṇḍālo disvā posesi, sace na saddahatha, te sabbe pakkosāpetvā pucchathā’’ti.
ราชา ธาติํ อาทิํ กตฺวา สเพฺพ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิตฺวา ตเถว ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘ชาติสมฺปโนฺนยํ กุมาโร’’ติ ตุโฎฺฐ ตํ นฺหาเปตฺวา อลงฺการาเปตฺวา ตเสฺสว ธีตรํ อทาสิฯ ตสฺส ปน เอฬิกานํ มาริตตฺตา ‘‘เอฬิกกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ อถสฺส ราชา สเสนวาหนํ ทตฺวา – ‘‘คจฺฉ อตฺตโน ปิตุ สนฺตกํ รชฺชํ คณฺหา’’ติ ตํ อุโยฺยเชสิฯ โสปิ กุรุงฺคเทวิํ อาทาย คนฺตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐาสิฯ อถสฺส พาราณสิราชา ‘‘อนุคฺคหิตสิโปฺป อย’’นฺติ สิปฺปสิกฺขาปนตฺถํ ฉฬงฺคกุมารํ นาม อาจริยํ เปเสสิฯ โส ตสฺส ‘‘อาจริโย เม’’ติ เสนาปติฎฺฐานํ อทาสิฯ อปรภาเค กุรุงฺคเทวี เตน สทฺธิํ อนาจารมกาสิฯ เสนาปติโนปิ ปริจารโก ธนเนฺตวาสี นาม อตฺถิฯ โส ตสฺส หเตฺถ กุรุงฺคเทวิยา วตฺถาลงฺการาทีนิ เปเสสิฯ สา เตนปิ สทฺธิํ ปาปมกาสิฯ กุณาโล ตํ การณํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ทิฎฺฐา มยา’’ติอาทิมาหฯ
Rājā dhātiṃ ādiṃ katvā sabbe pakkosāpetvā pucchitvā tatheva taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘jātisampannoyaṃ kumāro’’ti tuṭṭho taṃ nhāpetvā alaṅkārāpetvā tasseva dhītaraṃ adāsi. Tassa pana eḷikānaṃ māritattā ‘‘eḷikakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. Athassa rājā sasenavāhanaṃ datvā – ‘‘gaccha attano pitu santakaṃ rajjaṃ gaṇhā’’ti taṃ uyyojesi. Sopi kuruṅgadeviṃ ādāya gantvā rajje patiṭṭhāsi. Athassa bārāṇasirājā ‘‘anuggahitasippo aya’’nti sippasikkhāpanatthaṃ chaḷaṅgakumāraṃ nāma ācariyaṃ pesesi. So tassa ‘‘ācariyo me’’ti senāpatiṭṭhānaṃ adāsi. Aparabhāge kuruṅgadevī tena saddhiṃ anācāramakāsi. Senāpatinopi paricārako dhanantevāsī nāma atthi. So tassa hatthe kuruṅgadeviyā vatthālaṅkārādīni pesesi. Sā tenapi saddhiṃ pāpamakāsi. Kuṇālo taṃ kāraṇaṃ āharitvā dassento ‘‘diṭṭhā mayā’’tiādimāha.
ตตฺถ โลมสุทฺทรีติ โลมราชิยา มณฺฑิตอุทราฯ ฉฬงฺคกุมารธนเนฺตวาสินาติ เอฬิกกุมารกํ ปตฺถยมานาปิ ฉฬงฺคกุมารเสนาปตินา จ ตเสฺสว ปริจารเกน ธนเนฺตวาสินา จ สทฺธิํ ปาปมกาสิฯ เอวํ อนาจารา อิตฺถิโย ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา, เตนาหํ ตา นปฺปสํสามีติ อิทํ มหาสโตฺต อตีตํ อาหริตฺวา ทเสฺสสิฯ โส หิ ตทา ฉฬงฺคกุมาโร อโหสิ, ตสฺมา อตฺตนา ทิฎฺฐการณํ อาหริฯ
Tattha lomasuddarīti lomarājiyā maṇḍitaudarā. Chaḷaṅgakumāradhanantevāsināti eḷikakumārakaṃ patthayamānāpi chaḷaṅgakumārasenāpatinā ca tasseva paricārakena dhanantevāsinā ca saddhiṃ pāpamakāsi. Evaṃ anācārā itthiyo dussīlā pāpadhammā, tenāhaṃ tā nappasaṃsāmīti idaṃ mahāsatto atītaṃ āharitvā dassesi. So hi tadā chaḷaṅgakumāro ahosi, tasmā attanā diṭṭhakāraṇaṃ āhari.
ปญฺจมวตฺถุสฺมิมฺปิ อตีเต โกสลราชา พาราณสิรชฺชํ คเหตฺวา พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิํ คพฺภินิมฺปิ อคฺคมเหสิํ กตฺวา สกนครเมว คโต ฯ สา อปรภาเค ปุตฺตํ วิชายิฯ ราชา อปุตฺตกตฺตา ตํ ปุตฺตสิเนเหน โปเสตฺวา สพฺพสิปฺปานิ สิกฺขาเปตฺวา วยปฺปตฺตํ ‘‘อตฺตโน ปิตุ สนฺตกํ รชฺชํ คณฺหา’’ติ เปเสสิฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา รชฺชํ กาเรสิฯ อถสฺส มาตา ‘‘ปุตฺตํ ปสฺสิตุกามามฺหี’’ติ โกสลราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา มหาปริวารา พาราณสิํ คจฺฉนฺตี ทฺวินฺนํ รฎฺฐานํ อนฺตเร เอกสฺมิํ นิคเม นิวาสํ คณฺหิฯ ตเตฺถเวโก ปญฺจาลจโณฺฑ นาม พฺราหฺมณกุมาโร อตฺถิ อภิรูโปฯ โส ตสฺสา ปณฺณาการํ อุปนาเมสิฯ สา ตํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิตฺตา เตน สทฺธิํ ปาปกมฺมํ กตฺวา กติปาหํ ตเตฺถว วีตินาเมตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ปุตฺตํ ทิสฺวา ขิปฺปํ นิวตฺติตฺวา ปุน ตสฺมิํเยว นิคเม นิวาสํ คเหตฺวา กติปาหํ เตน สทฺธิํ อนาจารํ จริตฺวา โกสลนครํ คตาฯ สา ตโต ปฎฺฐาย นจิรเสฺสว ตํ ตํ การณํ วตฺวา ‘‘ปุตฺตสฺส สนฺติกํ คจฺฉามี’’ติ ราชานํ อาปุจฺฉิตฺวา คจฺฉนฺตี จ อาคจฺฉนฺตี จ ตสฺมิํ นิคเม อฑฺฒมาสมตฺตํ เตน สทฺธิํ อนาจารํ จริฯ สมฺม ปุณฺณมุข, อิตฺถิโย นาเมตา ทุสฺสีลา มุสาวาทินิโยติ อิทมฺปิ อตีตํ ทเสฺสโนฺต มหาสโตฺต ‘‘เอวเญฺหต’’นฺติอาทิมาหฯ
Pañcamavatthusmimpi atīte kosalarājā bārāṇasirajjaṃ gahetvā bārāṇasirañño aggamahesiṃ gabbhinimpi aggamahesiṃ katvā sakanagarameva gato . Sā aparabhāge puttaṃ vijāyi. Rājā aputtakattā taṃ puttasinehena posetvā sabbasippāni sikkhāpetvā vayappattaṃ ‘‘attano pitu santakaṃ rajjaṃ gaṇhā’’ti pesesi. So tattha gantvā rajjaṃ kāresi. Athassa mātā ‘‘puttaṃ passitukāmāmhī’’ti kosalarājānaṃ āpucchitvā mahāparivārā bārāṇasiṃ gacchantī dvinnaṃ raṭṭhānaṃ antare ekasmiṃ nigame nivāsaṃ gaṇhi. Tattheveko pañcālacaṇḍo nāma brāhmaṇakumāro atthi abhirūpo. So tassā paṇṇākāraṃ upanāmesi. Sā taṃ disvā paṭibaddhacittā tena saddhiṃ pāpakammaṃ katvā katipāhaṃ tattheva vītināmetvā bārāṇasiṃ gantvā puttaṃ disvā khippaṃ nivattitvā puna tasmiṃyeva nigame nivāsaṃ gahetvā katipāhaṃ tena saddhiṃ anācāraṃ caritvā kosalanagaraṃ gatā. Sā tato paṭṭhāya nacirasseva taṃ taṃ kāraṇaṃ vatvā ‘‘puttassa santikaṃ gacchāmī’’ti rājānaṃ āpucchitvā gacchantī ca āgacchantī ca tasmiṃ nigame aḍḍhamāsamattaṃ tena saddhiṃ anācāraṃ cari. Samma puṇṇamukha, itthiyo nāmetā dussīlā musāvādiniyoti idampi atītaṃ dassento mahāsatto ‘‘evañheta’’ntiādimāha.
ตตฺถ พฺรหฺมทตฺตสฺส มาตรนฺติ พาราณสิรชฺชํ กาเรนฺตสฺส พฺรหฺมทตฺตกุมารสฺส มาตรํฯ ตทา กิร กุณาโล ปญฺจาลจโณฺฑ อโหสิ, ตสฺมา ตํ อตฺตนา ญาตการณํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ
Tattha brahmadattassa mātaranti bārāṇasirajjaṃ kārentassa brahmadattakumārassa mātaraṃ. Tadā kira kuṇālo pañcālacaṇḍo ahosi, tasmā taṃ attanā ñātakāraṇaṃ dassento evamāha.
เอตา จาติ, สมฺม ปุณฺณมุข, เอตาว ปญฺจ อิตฺถิโย ปาปมกํสุ, น อญฺญาติ สญฺญํ มา กริ, อถ โข เอตา จ อญฺญา จ พหู ปาปกมฺมการิกาติฯ อิมสฺมิํ ฐาเน ฐตฺวา โลเก อติจารินีนํ วตฺถูนิ กเถตพฺพานิฯ ชคตีติ ยถา ชคติสงฺขาตา มหี สมานรตฺตา ปฎิฆาภาเวน สเพฺพสุ สมานรตฺตา หุตฺวา สา วสุนฺธรา อิตรีตราปติฎฺฐา อุตฺตมานญฺจ อธมานญฺจ ปติฎฺฐา โหติ, ตถา อิตฺถิโยปิ กิเลสวเสน สเพฺพสมฺปิ อุตฺตมาธมานํ ปติฎฺฐา โหนฺติฯ อิตฺถิโย หิ โอกาสํ ลภมานา เกนจิ สทฺธิํ ปาปกํ กโรนฺติ นามฯ สพฺพสหาติ ยถา จ สา สพฺพเมว สหติ น ผนฺทติ น กุปฺปติ น จลติ, ตถา อิตฺถิโย สเพฺพปิ ปุริเส โลกสฺสาทวเสน สหนฺติฯ สเจ ตาสํ โกจิ ปุริโส จิเตฺต ปติฎฺฐิโต โหติ, ตสฺส รกฺขณตฺถํ น ผนฺทนฺติ น จลนฺติ น โกลาหลํ กโรนฺติ ฯ ยถา จ สา น กุปฺปติ น จลติ, เอวํ อิตฺถิโยปิ เมถุนธเมฺมน น กุปฺปนฺติ น จลนฺติ, น สกฺกา เตน ปูเรตุํฯ
Etā cāti, samma puṇṇamukha, etāva pañca itthiyo pāpamakaṃsu, na aññāti saññaṃ mā kari, atha kho etā ca aññā ca bahū pāpakammakārikāti. Imasmiṃ ṭhāne ṭhatvā loke aticārinīnaṃ vatthūni kathetabbāni. Jagatīti yathā jagatisaṅkhātā mahī samānarattā paṭighābhāvena sabbesu samānarattā hutvā sā vasundharā itarītarāpatiṭṭhā uttamānañca adhamānañca patiṭṭhā hoti, tathā itthiyopi kilesavasena sabbesampi uttamādhamānaṃ patiṭṭhā honti. Itthiyo hi okāsaṃ labhamānā kenaci saddhiṃ pāpakaṃ karonti nāma. Sabbasahāti yathā ca sā sabbameva sahati na phandati na kuppati na calati, tathā itthiyo sabbepi purise lokassādavasena sahanti. Sace tāsaṃ koci puriso citte patiṭṭhito hoti, tassa rakkhaṇatthaṃ na phandanti na calanti na kolāhalaṃ karonti . Yathā ca sā na kuppati na calati, evaṃ itthiyopi methunadhammena na kuppanti na calanti, na sakkā tena pūretuṃ.
วาฬมิโคติ ทุฎฺฐมิโคฯ ปญฺจาวุโธติ มุขสฺส เจว จตุนฺนญฺจ จรณานํ วเสเนตํ วุตฺตํฯ สุรุโทฺธติ สุลุโทฺธ สุผรุโสฯ ตถิตฺถิโยติ ยถา หิ สีหสฺส มุขเญฺจว จตฺตาโร จ หตฺถปาทาติ ปญฺจาวุธานิ, ตถา อิตฺถีนมฺปิ รูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพานิ ปญฺจาวุธานิฯ ยถา โส อตฺตโน ภกฺขํ คณฺหโนฺต เตหิปิ ปญฺจหิ คณฺหาติ, ตถา ตาปิ กิเลสภกฺขํ คณฺหมานา รูปาทีหิ อาวุเธหิ ปหริตฺวา คณฺหนฺติฯ ยถา โส กกฺขโฬ ปสยฺห ขาทติ, เอวํ เอตาปิ กกฺขฬา ปสยฺห ขาทิกาฯ ตถา เหตา ถิรสีเลปิ ปุริเส อตฺตโน พเลน ปสยฺหการํ กตฺวา สีลวินาสํ ปาเปนฺติฯ ยถา โส ปรหิํสเน รโต, เอวเมตาปิ กิเลสวเสน ปรหิํสเน รตาฯ ตาโยติ ตา เอวํ อคุณสมฺมนฺนาคตา น วิสฺสเส นโรฯ
Vāḷamigoti duṭṭhamigo. Pañcāvudhoti mukhassa ceva catunnañca caraṇānaṃ vasenetaṃ vuttaṃ. Suruddhoti suluddho supharuso. Tathitthiyoti yathā hi sīhassa mukhañceva cattāro ca hatthapādāti pañcāvudhāni, tathā itthīnampi rūpasaddagandharasaphoṭṭhabbāni pañcāvudhāni. Yathā so attano bhakkhaṃ gaṇhanto tehipi pañcahi gaṇhāti, tathā tāpi kilesabhakkhaṃ gaṇhamānā rūpādīhi āvudhehi paharitvā gaṇhanti. Yathā so kakkhaḷo pasayha khādati, evaṃ etāpi kakkhaḷā pasayha khādikā. Tathā hetā thirasīlepi purise attano balena pasayhakāraṃ katvā sīlavināsaṃ pāpenti. Yathā so parahiṃsane rato, evametāpi kilesavasena parahiṃsane ratā. Tāyoti tā evaṃ aguṇasammannāgatā na vissase naro.
คมนิโยติ คณิกาโยฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สมฺม ปุณฺณมุข, ยาเนตานิ อิตฺถีนํ ‘‘เวสิโย’’ติอาทีนิ นามานิ, น เอตานิ ตาสํ สภาวนามานิฯ น เหตา เวสิโย นาม คมนิโย นาม พนฺธกิโย นาม, สภาวนามโต ปน วธิกาโย นาม เอตาโย, ยา เอตา เวสิโย นาริโย คมนิโยติ วุจฺจนฺติฯ วธิกาโยติ สามิกฆาติกาโยฯ สฺวายมโตฺถ มหาหํสชาตเกน ทีเปตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Gamaniyoti gaṇikāyo. Idaṃ vuttaṃ hoti – samma puṇṇamukha, yānetāni itthīnaṃ ‘‘vesiyo’’tiādīni nāmāni, na etāni tāsaṃ sabhāvanāmāni. Na hetā vesiyo nāma gamaniyo nāma bandhakiyo nāma, sabhāvanāmato pana vadhikāyo nāma etāyo, yā etā vesiyo nāriyo gamaniyoti vuccanti. Vadhikāyoti sāmikaghātikāyo. Svāyamattho mahāhaṃsajātakena dīpetabbo. Vuttañhetaṃ –
‘‘มายา เจตา มรีจี จ, โสกา โรคา จุปทฺทวา;
‘‘Māyā cetā marīcī ca, sokā rogā cupaddavā;
ขรา จ พนฺธนา เจตา, มจฺจุปาสา คุหาสยา;
Kharā ca bandhanā cetā, maccupāsā guhāsayā;
ตาสุ โย วิสฺสเส โปโส, โส นเรสุ นราธโม’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๑๑๘);
Tāsu yo vissase poso, so naresu narādhamo’’ti. (jā. 2.21.118);
เวณิกตาติ กตเวณิโยฯ ยถา หิ โมฬิํ พนฺธิตฺวา อฎวิยํ ฐิตโจโร ธนํ วิลุมฺปติ, เอวเมตาปิ กิเลสวสํ เนตฺวา ธนํ วิลุมฺปนฺติฯ มทิราว ทิทฺธาติ วิสมิสฺสกา สุรา วิยฯ ยถา สา วิการํ ทเสฺสติ, เอวเมตาปิ อเญฺญสุ ปุริเสสุ สารตฺตา กิจฺจากิจฺจํ อชานนฺติโย อญฺญสฺมิํ กตฺตเพฺพ อญฺญเมว กโรนฺติโย วิการํ ทเสฺสนฺติฯ วาจาสนฺถุติโยติ ยถา วาณิโช อตฺตโน ภณฺฑสฺส วณฺณเมว ภณติ, เอวเมตาปิ อตฺตโน อคุณํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา คุณเมว ปกาเสนฺติฯ วิปริวตฺตาโยติ ยถา อิสฺสมิคสฺส สิงฺคํ ปริวตฺติตฺวา ฐิตํ, เอวํ ลหุจิตฺตตาย วิปริวตฺตาโยว โหนฺติฯ อุรคมิวาติ อุรโค วิย มุสาวาทิตาย ทุชิวฺหา นามฯ โสพฺภมิวาติ ยถา ปทรปฎิจฺฉโนฺน คูถกูโป, เอวํ วตฺถาลงฺการปฎิจฺฉนฺนา หุตฺวา วิจรนฺติฯ ยถา จ กจวเรหิ ปฎิจฺฉโนฺน อาวาโฎ อกฺกโนฺต ปาททุกฺขํ ชเนติ, เอวเมตาปิ วิสฺสาเสน อุปเสวิยมานาฯ ปาตาลมิวาติ ยถา มหาสมุเทฺท ปาตาลํ ทุปฺปูรํ, เอวเมตาปิ เมถุเนน วิชายเนน อลงฺกาเรนาติ ตีหิ ทุปฺปูราฯ เตเนวาห – ‘‘ติณฺณํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ อติโตฺต มาตุคาโม’’ติอาทิฯ
Veṇikatāti kataveṇiyo. Yathā hi moḷiṃ bandhitvā aṭaviyaṃ ṭhitacoro dhanaṃ vilumpati, evametāpi kilesavasaṃ netvā dhanaṃ vilumpanti. Madirāva diddhāti visamissakā surā viya. Yathā sā vikāraṃ dasseti, evametāpi aññesu purisesu sārattā kiccākiccaṃ ajānantiyo aññasmiṃ kattabbe aññameva karontiyo vikāraṃ dassenti. Vācāsanthutiyoti yathā vāṇijo attano bhaṇḍassa vaṇṇameva bhaṇati, evametāpi attano aguṇaṃ paṭicchādetvā guṇameva pakāsenti. Viparivattāyoti yathā issamigassa siṅgaṃ parivattitvā ṭhitaṃ, evaṃ lahucittatāya viparivattāyova honti. Uragamivāti urago viya musāvāditāya dujivhā nāma. Sobbhamivāti yathā padarapaṭicchanno gūthakūpo, evaṃ vatthālaṅkārapaṭicchannā hutvā vicaranti. Yathā ca kacavarehi paṭicchanno āvāṭo akkanto pādadukkhaṃ janeti, evametāpi vissāsena upaseviyamānā. Pātālamivāti yathā mahāsamudde pātālaṃ duppūraṃ, evametāpi methunena vijāyanena alaṅkārenāti tīhi duppūrā. Tenevāha – ‘‘tiṇṇaṃ, bhikkhave, dhammānaṃ atitto mātugāmo’’tiādi.
รกฺขสี วิยาติ ยถา รกฺขสี นาม มํสคิทฺธตาย ธเนน น สกฺกา โตเสตุํ, พหุมฺปิ ธนํ ปฎิกฺขิปิตฺวา มํสเมว ปเตฺถติ, เอวเมตาปิ เมถุนคิทฺธตาย พหุนาปิ ธเนน น ตุสฺสนฺติ, ธนํ อคเณตฺวา เมถุนเมว ปเตฺถนฺติฯ ยโมวาติ ยถา ยโม เอกนฺตหโร น กิญฺจิ ปริหรติ, เอวเมตาปิ ชาติสมฺปนฺนาทีสุ น กญฺจิ ปริหรนฺติ, สพฺพํ กิเลสวเสน สีลาทิวินาสํ ปาเปตฺวา ทุติยจิตฺตวาเร นิรยํ อุปเนนฺติฯ สิขีริวาติ ยถา สิขี สุจิมฺปิ อสุจิมฺปิ สพฺพํ ภกฺขยติ, ตเถตาปิ หีนุตฺตเม สเพฺพ เสวนฺติฯ นทีอุปมายมฺปิ เอเสว นโยฯ เยนกา มํจราติ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนํ, ยตฺถ เอตาสํ กาโม โหติ, ตเตฺถว ธาวนฺติฯ เนรูติ หิมวติ เอโก สุวณฺณปพฺพโต, ตํ อุปคตา กากาปิ สุวณฺณวณฺณาว โหนฺติฯ ยถา โส, เอวํ เอตาปิ นิพฺพิเสสกรา อตฺตานํ อุปคตํ เอกสทิสํ กตฺวา ปสฺสนฺติฯ
Rakkhasīviyāti yathā rakkhasī nāma maṃsagiddhatāya dhanena na sakkā tosetuṃ, bahumpi dhanaṃ paṭikkhipitvā maṃsameva pattheti, evametāpi methunagiddhatāya bahunāpi dhanena na tussanti, dhanaṃ agaṇetvā methunameva patthenti. Yamovāti yathā yamo ekantaharo na kiñci pariharati, evametāpi jātisampannādīsu na kañci pariharanti, sabbaṃ kilesavasena sīlādivināsaṃ pāpetvā dutiyacittavāre nirayaṃ upanenti. Sikhīrivāti yathā sikhī sucimpi asucimpi sabbaṃ bhakkhayati, tathetāpi hīnuttame sabbe sevanti. Nadīupamāyampi eseva nayo. Yenakā maṃcarāti bhummatthe karaṇavacanaṃ, yattha etāsaṃ kāmo hoti, tattheva dhāvanti. Nerūti himavati eko suvaṇṇapabbato, taṃ upagatā kākāpi suvaṇṇavaṇṇāva honti. Yathā so, evaṃ etāpi nibbisesakarā attānaṃ upagataṃ ekasadisaṃ katvā passanti.
วิสรุโกฺขติ อมฺพสทิโส กิํปกฺกรุโกฺขฯ โส นิจฺจเมว ผลติ, วณฺณาทิสมฺปโนฺน จ โหติ, เตน นํ นิราสงฺกา ปริภุญฺชิตฺวา มรนฺติ, เอวเมว ตาปิ รูปาทิวเสน นิจฺจผลิตา รมณียา วิย ขายนฺติฯ เสวิยมานา ปน ปมาทํ อุปฺปาเทตฺวา อปาเยสุ ปาเตนฺติฯ เตน วุตฺตํ –
Visarukkhoti ambasadiso kiṃpakkarukkho. So niccameva phalati, vaṇṇādisampanno ca hoti, tena naṃ nirāsaṅkā paribhuñjitvā maranti, evameva tāpi rūpādivasena niccaphalitā ramaṇīyā viya khāyanti. Seviyamānā pana pamādaṃ uppādetvā apāyesu pātenti. Tena vuttaṃ –
‘‘อายติํ โทสํ นญฺญาย, โย กาเม ปฎิเสวติ;
‘‘Āyatiṃ dosaṃ naññāya, yo kāme paṭisevati;
วิปากเนฺต หนนฺติ นํ, กิํปกฺกมิว ภกฺขิต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๘๕);
Vipākante hananti naṃ, kiṃpakkamiva bhakkhita’’nti. (jā. 1.1.85);
ยถา วา วิสรุโกฺข นิจฺจผลิโต สทา อนตฺถาวโห โหติ, เอวเมตาปิ สีลาทิวินาสนวเสนฯ ยถา วิสรุกฺขสฺส มูลมฺปิ ตโจปิ ปตฺตมฺปิ ปุปฺผมฺปิ ผลมฺปิ วิสเมวาติ นิจฺจผโล, ตเถว ตาสํ รูปมฺปิ…เป.… โผฎฺฐพฺพมฺปิ วิสเมวาติ วิสรุโกฺข วิย นิจฺจผลิตาโยติฯ
Yathā vā visarukkho niccaphalito sadā anatthāvaho hoti, evametāpi sīlādivināsanavasena. Yathā visarukkhassa mūlampi tacopi pattampi pupphampi phalampi visamevāti niccaphalo, tatheva tāsaṃ rūpampi…pe… phoṭṭhabbampi visamevāti visarukkho viya niccaphalitāyoti.
‘‘ปนุตฺตเรตฺถา’’ติ คาถาพเนฺธน ตมตฺถํ ปากฎํ กาตุํ เอวมาหฯ ตตฺถ รตนนฺตกริตฺถิโยติ สามิเกหิ ทุกฺขสมฺภตานํ รตนานํ อนฺตรายกรา อิตฺถิโย เอตานิ ปเรสํ ทตฺวา อนาจารํ จรนฺติฯ
‘‘Panuttaretthā’’ti gāthābandhena tamatthaṃ pākaṭaṃ kātuṃ evamāha. Tattha ratanantakaritthiyoti sāmikehi dukkhasambhatānaṃ ratanānaṃ antarāyakarā itthiyo etāni paresaṃ datvā anācāraṃ caranti.
อิโต ปรํ นานปฺปกาเรน อตฺตโน ธมฺมกถาวิลาสํ ทเสฺสโนฺต อาห –
Ito paraṃ nānappakārena attano dhammakathāvilāsaṃ dassento āha –
‘‘จตฺตาริมานิ, สมฺม ปุณฺณมุข, ยานิ วตฺถูนิ กิเจฺจ ชาเต อนตฺถจรานิ ภวนฺติ , ตานิ ปรกุเล น วาเสตพฺพานิ, โคณํ เธนุํ ยานํ ภริยาฯ จตฺตาริ เอตานิ ปณฺฑิโต ธนานิ ฆรา น วิปฺปวาสเยฯ ภวติ จ ปนุตฺตเรตฺถ วากฺยํ –
‘‘Cattārimāni, samma puṇṇamukha, yāni vatthūni kicce jāte anatthacarāni bhavanti , tāni parakule na vāsetabbāni, goṇaṃ dhenuṃ yānaṃ bhariyā. Cattāri etāni paṇḍito dhanāni gharā na vippavāsaye. Bhavati ca panuttarettha vākyaṃ –
๒๙๖.
296.
‘โคณํ เธนุญฺจ ยานญฺจ, ภริยํ ญาติกุเล น วาสเย;
‘Goṇaṃ dhenuñca yānañca, bhariyaṃ ñātikule na vāsaye;
ภญฺชนฺติ รถํ อยานกา, อติวาเหน หนนฺติ ปุงฺควํ;
Bhañjanti rathaṃ ayānakā, ativāhena hananti puṅgavaṃ;
โทเหน หนนฺติ วจฺฉกํ, ภริยา ญาติกุเล ปทุสฺสตี’’’ติฯ
Dohena hananti vacchakaṃ, bhariyā ñātikule padussatī’’’ti.
‘‘ฉ อิมานิ, สมฺม ปุณฺณมุข, ยานิ วตฺถูนิ กิเจฺจ ชาเต อนตฺถจรานิ ภวนฺติ –
‘‘Cha imāni, samma puṇṇamukha, yāni vatthūni kicce jāte anatthacarāni bhavanti –
๒๙๗.
297.
‘อคุณํ ธนุ ญาติกุเล จ ภริยา, ปารํ นาวา อกฺขภคฺคญฺจ ยานํ;
‘Aguṇaṃ dhanu ñātikule ca bhariyā, pāraṃ nāvā akkhabhaggañca yānaṃ;
ทูเร มิโตฺต ปาปสหายโก จ, กิเจฺจ ชาเต อนตฺถจรานิ ภวนฺตี’’’ติฯ
Dūre mitto pāpasahāyako ca, kicce jāte anatthacarāni bhavantī’’’ti.
‘‘อฎฺฐหิ ขลุ, สมฺม ปุณฺณมุข ฐาเนหิ อิตฺถี สามิกํ อวชานาติ – ทลิทฺทตา, อาตุรตา, ชิณฺณตา, สุราโสณฺฑตา, มุทฺธตา, ปมตฺตตา, สพฺพกิเจฺจสุ อนุวตฺตนตา, สพฺพธนอนุปฺปทาเนนฯ อิเมหิ ขลุ, สมฺม ปุณฺณมุข, อฎฺฐหิ ฐาเนหิ อิตฺถี สามิกํ อวชานาติฯ ภวติ จ ปนุตฺตเรตฺถ วากฺยํ –
‘‘Aṭṭhahi khalu, samma puṇṇamukha ṭhānehi itthī sāmikaṃ avajānāti – daliddatā, āturatā, jiṇṇatā, surāsoṇḍatā, muddhatā, pamattatā, sabbakiccesu anuvattanatā, sabbadhanaanuppadānena. Imehi khalu, samma puṇṇamukha, aṭṭhahi ṭhānehi itthī sāmikaṃ avajānāti. Bhavati ca panuttarettha vākyaṃ –
๒๙๘.
298.
‘‘‘ทลิทฺทํ อาตุรญฺจาปิ, ชิณฺณกํ สุรโสณฺฑกํ;
‘‘‘Daliddaṃ āturañcāpi, jiṇṇakaṃ surasoṇḍakaṃ;
ปมตฺตํ มุทฺธปตฺตญฺจ, สพฺพกิเจฺจสุ หาปนํ;
Pamattaṃ muddhapattañca, sabbakiccesu hāpanaṃ;
สพฺพกามปฺปทาเนน, อวชานาติ สามิก’’’นฺติฯ
Sabbakāmappadānena, avajānāti sāmika’’’nti.
‘‘นวหิ ขลุ, สมฺม ปุณฺณมุข ฐาเนหิ อิตฺถี ปโทสมาหรติ – อารามคมนสีลา จ โหติ, อุยฺยานคมนสีลา จ โหติ, นทีติตฺถคมนสีลา จ โหติ, ญาติกุลคมนสีลา จ โหติ, ปรกุลคมนสีลา จ โหติ, อาทาสทุสฺสมณฺฑนานุโยคมนุยุตฺตสีลา จ โหติ, มชฺชปายินี จ โหติ, นิโลฺลกนสีลา จ โหติ, สทฺวารฎฺฐายินี จ โหติฯ อิเมหิ ขลุ, สมฺม ปุณฺณมุข, นวหิ ฐาเนหิ อิตฺถี ปโทสมาหรติฯ ภวติ จ ปนุตฺตเรตฺถ วากฺยํ –
‘‘Navahi khalu, samma puṇṇamukha ṭhānehi itthī padosamāharati – ārāmagamanasīlā ca hoti, uyyānagamanasīlā ca hoti, nadītitthagamanasīlā ca hoti, ñātikulagamanasīlā ca hoti, parakulagamanasīlā ca hoti, ādāsadussamaṇḍanānuyogamanuyuttasīlā ca hoti, majjapāyinī ca hoti, nillokanasīlā ca hoti, sadvāraṭṭhāyinī ca hoti. Imehi khalu, samma puṇṇamukha, navahi ṭhānehi itthī padosamāharati. Bhavati ca panuttarettha vākyaṃ –
๒๙๙.
299.
‘อารามสีลา จ อุยฺยานํ, นที ญาติ ปรกุลํ;
‘Ārāmasīlā ca uyyānaṃ, nadī ñāti parakulaṃ;
อาทาสทุสฺสมณฺฑนมนุยุตฺตา, ยา จิตฺถี มชฺชปายินีฯ
Ādāsadussamaṇḍanamanuyuttā, yā citthī majjapāyinī.
๓๐๐.
300.
‘‘‘ยา จ นิโลฺลกนสีลา, ยา จ สทฺวารฐายินี;
‘‘‘Yā ca nillokanasīlā, yā ca sadvāraṭhāyinī;
นวเหเตหิ ฐาเนหิ, ปโทสมาหรนฺติ อิตฺถิโย’’’ติฯ
Navahetehi ṭhānehi, padosamāharanti itthiyo’’’ti.
‘‘จตฺตาลีสาย ขลุ, สมฺม ปุณฺณมุข, ฐาเนหิ อิตฺถี ปุริสํ อจฺจาจรติ – วิชมฺภติ, วินมติ, วิลสติ, วิลชฺชติ, นเขน นขํ ฆเฎฺฎติ, ปาเทน ปาทํ อกฺกมติ, กเฎฺฐน ปถวิํ วิลิขติ, ทารกํ อุลฺลงฺฆติ อุลฺลงฺฆาเปติ , กีฬติ กีฬาเปติ, จุมฺพติ จุมฺพาเปติ, ภุญฺชติ ภุญฺชาเปติ, ททาติ, ยาจติ, กตมนุกโรติ, อุจฺจํ ภาสติ, นีจํ ภาสติ, อวิจฺจํ ภาสติ, วิวิจฺจํ ภาสติ, นเจฺจน คีเตน วาทิเตน โรทเนน วิลสิเตน วิภูสิเตน ชคฺฆติ, เปกฺขติ, กฎิํ จาเลติ, คุยฺหภณฺฑกํ สญฺจาเลติ, อูรุํ วิวรติ, อูรุํ ปิทหติ, ถนํ ทเสฺสติ, กจฺฉํ ทเสฺสติ, นาภิํ ทเสฺสติ, อกฺขิํ นิขนติ, ภมุกํ อุกฺขิปติ, โอฎฺฐํ อุปลิขติ, ชิวฺหํ นิลฺลาเลติ, ทุสฺสํ มุญฺจติ, ทุสฺสํ ปฎิพนฺธติ, สิรสํ มุญฺจติ, สิรสํ พนฺธติฯ อิเมหิ ขลุ, สมฺม ปุณฺณมุข, จตฺตาลีสาย ฐาเนหิ อิตฺถี ปุริสํ อจฺจาจรติฯ
‘‘Cattālīsāya khalu, samma puṇṇamukha, ṭhānehi itthī purisaṃ accācarati – vijambhati, vinamati, vilasati, vilajjati, nakhena nakhaṃ ghaṭṭeti, pādena pādaṃ akkamati, kaṭṭhena pathaviṃ vilikhati, dārakaṃ ullaṅghati ullaṅghāpeti , kīḷati kīḷāpeti, cumbati cumbāpeti, bhuñjati bhuñjāpeti, dadāti, yācati, katamanukaroti, uccaṃ bhāsati, nīcaṃ bhāsati, aviccaṃ bhāsati, viviccaṃ bhāsati, naccena gītena vāditena rodanena vilasitena vibhūsitena jagghati, pekkhati, kaṭiṃ cāleti, guyhabhaṇḍakaṃ sañcāleti, ūruṃ vivarati, ūruṃ pidahati, thanaṃ dasseti, kacchaṃ dasseti, nābhiṃ dasseti, akkhiṃ nikhanati, bhamukaṃ ukkhipati, oṭṭhaṃ upalikhati, jivhaṃ nillāleti, dussaṃ muñcati, dussaṃ paṭibandhati, sirasaṃ muñcati, sirasaṃ bandhati. Imehi khalu, samma puṇṇamukha, cattālīsāya ṭhānehi itthī purisaṃ accācarati.
‘‘ปญฺจวีสาย ขลุ, สมฺม ปุณฺณมุข, ฐาเนหิ อิตฺถี ปทุฎฺฐา เวทิตพฺพา ภวติ – สามิกสฺส ปวาสํ วเณฺณติ, ปวุฎฺฐํ น สรติ, อาคตํ นาภินนฺทติ, อวณฺณํ ตสฺส ภณติ, วณฺณํ ตสฺส น ภณติ, อนตฺถํ ตสฺส จรติ, อตฺถํ ตสฺส น จรติ, อกิจฺจํ ตสฺส กโรติ, กิจฺจํ ตสฺส น กโรติ, ปริทหิตฺวา สยติ, ปรมฺมุขี นิปชฺชติ, ปริวตฺตกชาตา โข ปน โหติ กุงฺกุมิยชาตา, ทีฆํ อสฺสสติ, ทุกฺขํ เวทยติ, อุจฺจารปสฺสาวํ อภิณฺหํ คจฺฉติ, วิโลมมาจรติ, ปรปุริสสทฺทํ สุตฺวา กณฺณโสตํ วิวรโมทหติ, นิหตโภคา โข ปน โหติ, ปฎิวิสฺสเกหิ สนฺถวํ กโรติ, นิกฺขนฺตปาทา โข ปน โหติ วิสิขานุจารินี, อติจารินี โข ปน โหติ นิจฺจํ สามิเก อคารวา ปทุฎฺฐมนสงฺกปฺปา, อภิณฺหํ ทฺวาเร ติฎฺฐติ, กจฺฉานิ องฺคานิ ถนานิ ทเสฺสติ, ทิโสทิสํ คนฺตฺวา เปกฺขติฯ อิเมหิ ขลุ สมฺม ปุณฺณมุข, ปญฺจวีสาย ฐาเนหิ อิตฺถี ปทุฎฺฐา เวทิตพฺพา ภวติฯ ภวติ จ ปนุตฺตเรตฺถ วากฺยํ –
‘‘Pañcavīsāya khalu, samma puṇṇamukha, ṭhānehi itthī paduṭṭhā veditabbā bhavati – sāmikassa pavāsaṃ vaṇṇeti, pavuṭṭhaṃ na sarati, āgataṃ nābhinandati, avaṇṇaṃ tassa bhaṇati, vaṇṇaṃ tassa na bhaṇati, anatthaṃ tassa carati, atthaṃ tassa na carati, akiccaṃ tassa karoti, kiccaṃ tassa na karoti, paridahitvā sayati, parammukhī nipajjati, parivattakajātā kho pana hoti kuṅkumiyajātā, dīghaṃ assasati, dukkhaṃ vedayati, uccārapassāvaṃ abhiṇhaṃ gacchati, vilomamācarati, parapurisasaddaṃ sutvā kaṇṇasotaṃ vivaramodahati, nihatabhogā kho pana hoti, paṭivissakehi santhavaṃ karoti, nikkhantapādā kho pana hoti visikhānucārinī, aticārinī kho pana hoti niccaṃ sāmike agāravā paduṭṭhamanasaṅkappā, abhiṇhaṃ dvāre tiṭṭhati, kacchāni aṅgāni thanāni dasseti, disodisaṃ gantvā pekkhati. Imehi khalu samma puṇṇamukha, pañcavīsāya ṭhānehi itthī paduṭṭhā veditabbā bhavati. Bhavati ca panuttarettha vākyaṃ –
๓๐๑.
301.
‘ปวาสํ ตสฺส วเณฺณติ, คตํ ตสฺส น โสจติ;
‘Pavāsaṃ tassa vaṇṇeti, gataṃ tassa na socati;
ทิสฺวาน ปติมาคตํ นาภินนฺทติ, ภตฺตารวณฺณํ น กทาจิ ภาสติ;
Disvāna patimāgataṃ nābhinandati, bhattāravaṇṇaṃ na kadāci bhāsati;
เอเต ปทุฎฺฐาย ภวนฺติ ลกฺขณาฯ
Ete paduṭṭhāya bhavanti lakkhaṇā.
๓๐๒.
302.
‘อนตฺถํ ตสฺส จรติ อสญฺญตา, อตฺถญฺจ หาเปติ อกิจฺจการินี;
‘Anatthaṃ tassa carati asaññatā, atthañca hāpeti akiccakārinī;
ปริทหิตฺวา สยติ ปรมฺมุขี, เอเต ปทุฎฺฐาย ภวนฺติ ลกฺขณาฯ
Paridahitvā sayati parammukhī, ete paduṭṭhāya bhavanti lakkhaṇā.
๓๐๓.
303.
‘ปริวตฺตชาตา จ ภวติ กุงฺกุมี, ทีฆญฺจ อสฺสสติ ทุกฺขเวทินี;
‘Parivattajātā ca bhavati kuṅkumī, dīghañca assasati dukkhavedinī;
อุจฺจารปสฺสาวมภิณฺหํ คจฺฉติ, เอเต ปทุฎฺฐาย ภวนฺติ ลกฺขณาฯ
Uccārapassāvamabhiṇhaṃ gacchati, ete paduṭṭhāya bhavanti lakkhaṇā.
๓๐๔.
304.
‘วิโลมมาจรติ อกิจฺจการินี, สทฺทํ นิสาเมติ ปรสฺส ภาสโต;
‘Vilomamācarati akiccakārinī, saddaṃ nisāmeti parassa bhāsato;
นิหตโภคา จ กโรติ สนฺถวํ, เอเต ปทุฎฺฐาย ภวนฺติ ลกฺขณาฯ
Nihatabhogā ca karoti santhavaṃ, ete paduṭṭhāya bhavanti lakkhaṇā.
๓๐๕.
305.
‘กิเจฺฉน ลทฺธํ กสิราภตํ ธนํ, วิตฺตํ วินาเสติ ทุเกฺขน สมฺภตํ;
‘Kicchena laddhaṃ kasirābhataṃ dhanaṃ, vittaṃ vināseti dukkhena sambhataṃ;
ปฎิวิสฺสเกหิ จ กโรติ สนฺถวํ, เอเต ปทุฎฺฐาย ภวนฺติ ลกฺขณาฯ
Paṭivissakehi ca karoti santhavaṃ, ete paduṭṭhāya bhavanti lakkhaṇā.
๓๐๖.
306.
‘นิกฺขนฺตปาทา วิสิขานุจารินี, นิจฺจญฺจ สามิมฺหิ ปทุฎฺฐมานสา;
‘Nikkhantapādā visikhānucārinī, niccañca sāmimhi paduṭṭhamānasā;
อติจารินี โหติ อเปตคารวา, เอเต ปทุฎฺฐาย ภวนฺติ ลกฺขณาฯ
Aticārinī hoti apetagāravā, ete paduṭṭhāya bhavanti lakkhaṇā.
๓๐๗.
307.
‘อภิกฺขณํ ติฎฺฐติ ทฺวารมูเล, ถนานิ กจฺฉานิ จ ทสฺสยนฺตี;
‘Abhikkhaṇaṃ tiṭṭhati dvāramūle, thanāni kacchāni ca dassayantī;
ทิโสทิสํ เปกฺขติ ภนฺตจิตฺตา, เอเต ปทุฎฺฐาย ภวนฺติ ลกฺขณาฯ
Disodisaṃ pekkhati bhantacittā, ete paduṭṭhāya bhavanti lakkhaṇā.
๓๐๘.
308.
‘สพฺพา นที วงฺกคตี, สเพฺพ กฎฺฐมยา วนา;
‘Sabbā nadī vaṅkagatī, sabbe kaṭṭhamayā vanā;
สพฺพิตฺถิโย กเร ปาปํ, ลภมาเน นิวาตเกฯ
Sabbitthiyo kare pāpaṃ, labhamāne nivātake.
๓๐๙.
309.
‘สเจ ลเภถ ขณํ วา รโห วา, นิวาตกํ วาปิ ลเภถ ตาทิสํ;
‘Sace labhetha khaṇaṃ vā raho vā, nivātakaṃ vāpi labhetha tādisaṃ;
สพฺพาว อิตฺถี กยิรุํ นุ ปาปํ, อญฺญํ อลตฺถ ปีฐสปฺปินาปิ สทฺธิํฯ
Sabbāva itthī kayiruṃ nu pāpaṃ, aññaṃ alattha pīṭhasappināpi saddhiṃ.
๓๑๐.
310.
‘นรานมารามกราสุ นาริสุ, อเนกจิตฺตาสุ อนิคฺคหาสุ จ;
‘Narānamārāmakarāsu nārisu, anekacittāsu aniggahāsu ca;
สพฺพตฺถ นาปีติกราปิ เจ สิยา, น วิสฺสเส ติตฺถสมา หิ นาริโย’’’ติฯ
Sabbattha nāpītikarāpi ce siyā, na vissase titthasamā hi nāriyo’’’ti.
ตตฺถ โคณํ เธนุนฺติ ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํฯ ญาติกุเล ปทุสฺสตีติ ตตฺถ สา นิพฺภยา หุตฺวา ตรุณกาลโต ปฎฺฐาย วิสฺสาสเกหิ ทาสาทีหิปิ สทฺธิํ อนาจารํ จรติ, ญาตกา ญตฺวาปิ นิคฺคหํ น กโรนฺติ, อตฺตโน อกิตฺติํ ปริหรมานา อชานนฺตา วิย โหนฺติฯ อนตฺถจรานีติ อจริตพฺพานิ อตฺถานิ, อกิจฺจการานีติ อโตฺถฯ อคุณนฺติ ชิยารหิตํฯ ปาปสหายโกติ ทุมฺมิโตฺตฯ
Tattha goṇaṃ dhenunti liṅgavipallāsena vuttaṃ. Ñātikule padussatīti tattha sā nibbhayā hutvā taruṇakālato paṭṭhāya vissāsakehi dāsādīhipi saddhiṃ anācāraṃ carati, ñātakā ñatvāpi niggahaṃ na karonti, attano akittiṃ pariharamānā ajānantā viya honti. Anatthacarānīti acaritabbāni atthāni, akiccakārānīti attho. Aguṇanti jiyārahitaṃ. Pāpasahāyakoti dummitto.
ทลิทฺทตาติ ทลิทฺทตายฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ ทลิโทฺท อลงฺการาทีนํ อภาวโต กิเลเสน สงฺคณฺหิตุํ น สโกฺกตีติ ตํ อวชานาติฯ คิลาโน วตฺถุกามกิเลสกาเมหิ สงฺคณฺหิตุํ น สโกฺกติฯ ชราชิโณฺณ กายิกวาจสิกขิฑฺฑารติสมโตฺถ น โหติฯ สุราโสโณฺฑ ตสฺสา หตฺถปิฬนฺธนาทีนิปิ สุราฆรเญฺญว ปเวเสติฯ มุโทฺธ อนฺธพาโล รติกุสโล น โหติฯ ปมโตฺต ทาสิโสโณฺฑ หุตฺวา ฆรทาสีหิ สทฺธิํ สํวสติ, ภริยํ ปน อโกฺกสติ ปริภาสติ, เตน นํ อวชานาติฯ สพฺพกิเจฺจสุ อนุวตฺตนฺตํ ‘‘อยํ นิเตฺตโช, มเมว อนุวตฺตตี’’ติ ตํ อโกฺกสติ ปริภาสติฯ โย ปน สพฺพํ ธนํ อนุปฺปเทติ กุฎุมฺพํ ปฎิจฺฉาเปติ, ตสฺส ภริยา สพฺพํ ธนสารํ หเตฺถ กตฺวา ตํ ทาสํ วิย อวชานาติ, อิจฺฉมานา ‘‘โก ตยา อโตฺถ’’ติ ฆรโตปิ นํ นิกฺกฑฺฒติฯ มุทฺธปตฺตนฺติ มุทฺธภาวปฺปตฺตํฯ
Daliddatāti daliddatāya. Sesapadesupi eseva nayo. Tattha daliddo alaṅkārādīnaṃ abhāvato kilesena saṅgaṇhituṃ na sakkotīti taṃ avajānāti. Gilāno vatthukāmakilesakāmehi saṅgaṇhituṃ na sakkoti. Jarājiṇṇo kāyikavācasikakhiḍḍāratisamattho na hoti. Surāsoṇḍo tassā hatthapiḷandhanādīnipi surāgharaññeva paveseti. Muddho andhabālo ratikusalo na hoti. Pamatto dāsisoṇḍo hutvā gharadāsīhi saddhiṃ saṃvasati, bhariyaṃ pana akkosati paribhāsati, tena naṃ avajānāti. Sabbakiccesu anuvattantaṃ ‘‘ayaṃ nittejo, mameva anuvattatī’’ti taṃ akkosati paribhāsati. Yo pana sabbaṃ dhanaṃ anuppadeti kuṭumbaṃ paṭicchāpeti, tassa bhariyā sabbaṃ dhanasāraṃ hatthe katvā taṃ dāsaṃ viya avajānāti, icchamānā ‘‘ko tayā attho’’ti gharatopi naṃ nikkaḍḍhati. Muddhapattanti muddhabhāvappattaṃ.
ปโทสมาหรตีติ สามิเก ปโทสํ อาหรติ ทุสฺสติ, ปาปกมฺมํ กโรตีติ อโตฺถฯ อารามคมนสีลาติ สามิกํ อาปุจฺฉา วา อนาปุจฺฉา วา อภิณฺหํ ปุปฺผารามาทีสุ อญฺญตรํ คนฺตฺวา ตตฺถ อนาจารํ จริตฺวา ‘‘อชฺช มยา อาราเม รุกฺขเทวตาย พลิกมฺมํ กต’’นฺติอาทีนิ วตฺวา พาลสามิกํ สญฺญาเปติฯ ปณฺฑิโต ปน ‘‘อทฺธา เอสา ตตฺถ อนาจารํ จรตี’’ติ ปุน ตสฺสา คนฺตุํ น เทติฯ เอวํ สพฺพปเทสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปรกุลนฺติ สนฺทิฎฺฐสมฺภตฺตาทีนํ เคหํฯ ตํ สา ‘‘อสุกกุเล เม วฑฺฒิ ปโยชิตา อตฺถิ, ตาวกาลิกํ ทินฺนกํ อตฺถิ, ตํ สาเธมี’’ติอาทีนิ วตฺวา คจฺฉติฯ นิโลฺลกนสีลาติ วาตปานนฺตราทีหิ โอโลกนสีลาฯ สทฺวารฎฺฐายินีติ อตฺตโน องฺคปจฺจงฺคานิ ทเสฺสนฺตี สทฺวาเร ติฎฺฐติฯ
Padosamāharatīti sāmike padosaṃ āharati dussati, pāpakammaṃ karotīti attho. Ārāmagamanasīlāti sāmikaṃ āpucchā vā anāpucchā vā abhiṇhaṃ pupphārāmādīsu aññataraṃ gantvā tattha anācāraṃ caritvā ‘‘ajja mayā ārāme rukkhadevatāya balikammaṃ kata’’ntiādīni vatvā bālasāmikaṃ saññāpeti. Paṇḍito pana ‘‘addhā esā tattha anācāraṃ caratī’’ti puna tassā gantuṃ na deti. Evaṃ sabbapadesupi attho veditabbo. Parakulanti sandiṭṭhasambhattādīnaṃ gehaṃ. Taṃ sā ‘‘asukakule me vaḍḍhi payojitā atthi, tāvakālikaṃ dinnakaṃ atthi, taṃ sādhemī’’tiādīni vatvā gacchati. Nillokanasīlāti vātapānantarādīhi olokanasīlā. Sadvāraṭṭhāyinīti attano aṅgapaccaṅgāni dassentī sadvāre tiṭṭhati.
อจฺจาจรตีติ อติกฺกมฺม จรติ, สามิกสฺส สนฺติเก ฐิตาว อญฺญสฺส นิมิตฺตํ ทเสฺสตีติ อโตฺถฯ วิชมฺภตีติ ‘‘อหํ ตํ ทิสฺวา วิชมฺภิสฺสามิ, ตาย สญฺญาย โอกาสสฺส อตฺถิภาวํ วา นตฺถิภาวํ วา ชาเนยฺยาสี’’ติ ปฐมเมว กตสเงฺกตา วา หุตฺวา อกตสเงฺกตา วาปิ ‘‘เอวํ เอส มยิ พชฺฌิสฺสตี’’ติ สามิกสฺส ปเสฺส ฐิตาว วิชมฺภติ วิชมฺภนํ ทเสฺสติฯ วินมตีติ กิญฺจิเทว ภูมิยํ ปาเตตฺวา ตํ อุกฺขิปนฺตี วิย โอนมิตฺวา ปิฎฺฐิํ ทเสฺสติฯ วิลสตีติ คมนาทีหิ วา อิริยาปเถหิ อลงฺกาเรน วา วิลาสํ ทเสฺสติฯ วิลชฺชตีติ ลชฺชนฺตี วิย วเตฺถน สรีรํ ฉาเทติ, กวาฎํ วา ภิตฺติํ วา อลฺลียติฯ นเขนาติ ปาทนเขน ปาทนขํ, หตฺถนเขน หตฺถนขํ ฆเฎฺฎติฯ กเฎฺฐนาติ ทณฺฑเกนฯ ทารกนฺติ อตฺตโน วา ปุตฺตํ อญฺญสฺส วา ปุตฺตํ คเหตฺวา อุกฺขิปติ วา อุกฺขิปาเปติ วาฯ กีฬตีติ สยํ วา กีฬติ, ทารกํ วา กีฬาเปติฯ จุมฺพนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ททาตีติ ตสฺส กิญฺจิเทว ผลํ วา ปุปฺผํ วา เทติฯ ยาจตีติ ตเมว ปฎิยาจติฯ อนุกโรตีติ ทารเกน กตํ กตํ อนุกโรติฯ อุจฺจนฺติ มหาสทฺทวเสน วา โถมนวเสน วา อุจฺจํฯ นีจนฺติ มนฺทสทฺทวเสน วา อมนาปวจเนน วา ปริภววจเนน วา นีจํฯ อวิจฺจนฺติ พหุชนมเชฺฌ อปฺปฎิจฺฉนฺนํฯ วิวิจฺจนฺติ รโห ปฎิจฺฉนฺนํฯ นเจฺจนาติ เอเตหิ นจฺจาทีหิ นิมิตฺตํ กโรติฯ ตตฺถ โรทิเตน นิมิตฺตกรเณน รตฺติํ เทเว วสฺสเนฺต วาตปาเนน หตฺถิํ อาโรเปตฺวา เสฎฺฐิปุเตฺตน นีตาย ปุโรหิตพฺราหฺมณิยา วตฺถุ กเถตพฺพํฯ ชคฺฆตีติ มหาหสิตํ หสติ, เอวมฺปิ นิมิตฺตํ กโรติ ฯ กจฺฉนฺติ อุปกจฺฉกํฯ อุปลิขตีติ ทเนฺตหิ อุปลิขติฯ สิรสนฺติ เกสวฎฺฎิํฯ เอวํ เกสานํ โมจนพนฺธเนหิปิ ปรปุริสานํ นิมิตฺตํ กโรติ, นิยาเมตฺวา วา อนิยาเมตฺวา วา โกจิเทว สารชฺชิสฺสตีติปิ กโรติเยวฯ
Accācaratīti atikkamma carati, sāmikassa santike ṭhitāva aññassa nimittaṃ dassetīti attho. Vijambhatīti ‘‘ahaṃ taṃ disvā vijambhissāmi, tāya saññāya okāsassa atthibhāvaṃ vā natthibhāvaṃ vā jāneyyāsī’’ti paṭhamameva katasaṅketā vā hutvā akatasaṅketā vāpi ‘‘evaṃ esa mayi bajjhissatī’’ti sāmikassa passe ṭhitāva vijambhati vijambhanaṃ dasseti. Vinamatīti kiñcideva bhūmiyaṃ pātetvā taṃ ukkhipantī viya onamitvā piṭṭhiṃ dasseti. Vilasatīti gamanādīhi vā iriyāpathehi alaṅkārena vā vilāsaṃ dasseti. Vilajjatīti lajjantī viya vatthena sarīraṃ chādeti, kavāṭaṃ vā bhittiṃ vā allīyati. Nakhenāti pādanakhena pādanakhaṃ, hatthanakhena hatthanakhaṃ ghaṭṭeti. Kaṭṭhenāti daṇḍakena. Dārakanti attano vā puttaṃ aññassa vā puttaṃ gahetvā ukkhipati vā ukkhipāpeti vā. Kīḷatīti sayaṃ vā kīḷati, dārakaṃ vā kīḷāpeti. Cumbanādīsupi eseva nayo. Dadātīti tassa kiñcideva phalaṃ vā pupphaṃ vā deti. Yācatīti tameva paṭiyācati. Anukarotīti dārakena kataṃ kataṃ anukaroti. Uccanti mahāsaddavasena vā thomanavasena vā uccaṃ. Nīcanti mandasaddavasena vā amanāpavacanena vā paribhavavacanena vā nīcaṃ. Aviccanti bahujanamajjhe appaṭicchannaṃ. Viviccanti raho paṭicchannaṃ. Naccenāti etehi naccādīhi nimittaṃ karoti. Tattha roditena nimittakaraṇena rattiṃ deve vassante vātapānena hatthiṃ āropetvā seṭṭhiputtena nītāya purohitabrāhmaṇiyā vatthu kathetabbaṃ. Jagghatīti mahāhasitaṃ hasati, evampi nimittaṃ karoti . Kacchanti upakacchakaṃ. Upalikhatīti dantehi upalikhati. Sirasanti kesavaṭṭiṃ. Evaṃ kesānaṃ mocanabandhanehipi parapurisānaṃ nimittaṃ karoti, niyāmetvā vā aniyāmetvā vā kocideva sārajjissatītipi karotiyeva.
ปทุฎฺฐา เวทิตพฺพา ภวตีติ อยํ มยิ ปทุฎฺฐา กุทฺธา, กุชฺฌิตฺวา จ ปน มิจฺฉาจารํ จรตีติ ปณฺฑิเตน เวทิตพฺพา ภวติฯ ปวาสนฺติ ‘‘อสุกคาเม ปยุตฺตํ ธนํ นสฺสติ, คจฺฉ ตํ สาเธหิ, โวหารํ กโรหี’’ติอาทีนิ วตฺวา ตสฺมิํ คเต อนาจารํ จริตุกามา ปวาสํ วเณฺณติฯ อนตฺถนฺติ อวฑฺฒิํฯ อกิจฺจนฺติ อกตฺตพฺพยุตฺตกํฯ ปริทหิตฺวาติ คาฬฺหํ นิวาเสตฺวาฯ ปริวตฺตกชาตาติ อิโต จิโต จ ปริวตฺตมานาฯ กุงฺกุมิยชาตาติ โกลาหลชาตา ปาทมูเล นิปนฺนา ปริจาริกา อุฎฺฐาเปติ, ทีปํ ชาลาเปติ, นานปฺปการํ โกลาหลํ กโรติ, ตสฺส กิเลสรติํ นาเสติฯ ทุกฺขํ เวทยตีติ สีสํ เม รุชฺชตีติอาทีนิ วทติฯ วิโลมมาจรตีติ อาหารํ สีตลํ อิจฺฉนฺตสฺส อุณฺหํ เทตีติอาทีนํ วเสน ปจฺจนีกวุตฺติ โหติฯ นิหตโภคาติ สามิเกน ทุกฺขสมฺภตานํ โภคานํ สุราโลลตาทีหิ วินาสิกาฯ สนฺถวนฺติ กิเลสวเสน สนฺถวํ กโรติฯ นิกฺขนฺตปาทาติ ชารสฺส อุปธารณตฺถาย นิกฺขนฺตปาทาฯ สามิเกติ ปติมฺหิ อคารเวน จ ปทุฎฺฐมานสาย จ อติจารินี โหติฯ
Paduṭṭhā veditabbā bhavatīti ayaṃ mayi paduṭṭhā kuddhā, kujjhitvā ca pana micchācāraṃ caratīti paṇḍitena veditabbā bhavati. Pavāsanti ‘‘asukagāme payuttaṃ dhanaṃ nassati, gaccha taṃ sādhehi, vohāraṃ karohī’’tiādīni vatvā tasmiṃ gate anācāraṃ caritukāmā pavāsaṃ vaṇṇeti. Anatthanti avaḍḍhiṃ. Akiccanti akattabbayuttakaṃ. Paridahitvāti gāḷhaṃ nivāsetvā. Parivattakajātāti ito cito ca parivattamānā. Kuṅkumiyajātāti kolāhalajātā pādamūle nipannā paricārikā uṭṭhāpeti, dīpaṃ jālāpeti, nānappakāraṃ kolāhalaṃ karoti, tassa kilesaratiṃ nāseti. Dukkhaṃ vedayatīti sīsaṃ me rujjatītiādīni vadati. Vilomamācaratīti āhāraṃ sītalaṃ icchantassa uṇhaṃ detītiādīnaṃ vasena paccanīkavutti hoti. Nihatabhogāti sāmikena dukkhasambhatānaṃ bhogānaṃ surālolatādīhi vināsikā. Santhavanti kilesavasena santhavaṃ karoti. Nikkhantapādāti jārassa upadhāraṇatthāya nikkhantapādā. Sāmiketi patimhi agāravena ca paduṭṭhamānasāya ca aticārinī hoti.
สพฺพิตฺถิโยติ ฐเปตฺวา วิปสฺสนาย ตนุกตกิเลสา เสสา สพฺพา อิตฺถิโย ปาปํ กเรยฺยุํฯ ลภมาเนติ ลพฺภมาเน, สํวิชฺชมาเนติ อโตฺถฯ นิวาตเกติ รโหมนฺตนเก ปริเภทเกฯ ขณํ วา รโห วาติ ปาปกรณตฺถาย โอกาสํ วา ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐานํ วาฯ กยิรุํ นูติ เอตฺถ นู-ติ นิปาตมตฺตํฯ อลตฺถาติ อลทฺธาฯ อยเมว วา ปาโฐ, อญฺญํ สมฺปนฺนปุริสํ อลภิตฺวา ปีฐสปฺปินาปิ ตโต ปฎิกฺกูลตเรนาปิ ปาปํ กเรยฺยุํฯ อารามกราสูติ อภิรติการิกาสุฯ อนิคฺคหาสูติ นิคฺคเหน วิเนตุํ อสกฺกุเณยฺยาสุฯ ติตฺถสมาติ ยถา ติตฺถํ อุตฺตมาธเมสุ น กญฺจิ นฺหายนฺตํ วาเรติ, ตถา เอตาปิ รโห วา ขเณ วา นิวาตเก วา สติ น กญฺจิ ปฎิกฺขิปนฺติฯ
Sabbitthiyoti ṭhapetvā vipassanāya tanukatakilesā sesā sabbā itthiyo pāpaṃ kareyyuṃ. Labhamāneti labbhamāne, saṃvijjamāneti attho. Nivātaketi rahomantanake paribhedake. Khaṇaṃ vā rahovāti pāpakaraṇatthāya okāsaṃ vā paṭicchannaṭṭhānaṃ vā. Kayiruṃ nūti ettha nū-ti nipātamattaṃ. Alatthāti aladdhā. Ayameva vā pāṭho, aññaṃ sampannapurisaṃ alabhitvā pīṭhasappināpi tato paṭikkūlatarenāpi pāpaṃ kareyyuṃ. Ārāmakarāsūti abhiratikārikāsu. Aniggahāsūti niggahena vinetuṃ asakkuṇeyyāsu. Titthasamāti yathā titthaṃ uttamādhamesu na kañci nhāyantaṃ vāreti, tathā etāpi raho vā khaṇe vā nivātake vā sati na kañci paṭikkhipanti.
ตถา หิ อตีเต พาราณสิยํ กณฺฑรี นาม ราชา อโหสิ อุตฺตมรูปธโรฯ ตสฺส เทวสิกํ อมจฺจา คนฺธกรณฺฑกสหสฺสํ อาหรนฺติฯ เตนสฺส นิเวสเน ปริภณฺฑํ กตฺวา คนฺธกรณฺฑเก ผาเลตฺวา คนฺธทารูนิ กตฺวา อาหารํ ปจนฺติฯ ภริยาปิสฺส อภิรูปา อโหสิ นาเมน กินฺนรา นามฯ ปุโรหิโตปิสฺส สมวโย ปญฺจาลจโณฺฑ นาม พุทฺธิสมฺปโนฺน อโหสิฯ รโญฺญ ปน ปาสาทํ นิสฺสาย อโนฺตปากาเร ชมฺพุรุโกฺข นิพฺพตฺติ, ตสฺส สาขา ปาการมตฺถเก โอลมฺพติฯ ตสฺส ฉายาย เชคุโจฺฉ ทุสฺสณฺฐาโน ปีฐสปฺปี วสติฯ อเถกทิวสํ กินฺนรา เทวี วาตปาเนน โอโลเกนฺตี ตํ ทิตฺวา ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา รตฺติํ ราชานํ รติยา สงฺคณฺหิตฺวา ตสฺมิํ นิทฺทํ โอกฺกเนฺต สณิกํ อุฎฺฐายาสนา นานคฺครสโภชนํ สุวณฺณสรเก ปกฺขิปิตฺวา อุจฺฉเงฺค กตฺวา สาฎกรชฺชุยา วาตปาเนน โอตริตฺวา ชมฺพุํ อารุยฺห สาขาย โอรุยฺห ปีฐสปฺปิํ โภเชตฺวา ปาปํ กตฺวา อาคตมเคฺคเนว ปาสาทํ อารุยฺห คเนฺธหิ สรีรํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา รญฺญา สทฺธิํ นิปชฺชิฯ เอเตนุปาเยน นิพทฺธํ เตน สทฺธิํ ปาปํ กโรติฯ ราชา ปน น ชานาติฯ
Tathā hi atīte bārāṇasiyaṃ kaṇḍarī nāma rājā ahosi uttamarūpadharo. Tassa devasikaṃ amaccā gandhakaraṇḍakasahassaṃ āharanti. Tenassa nivesane paribhaṇḍaṃ katvā gandhakaraṇḍake phāletvā gandhadārūni katvā āhāraṃ pacanti. Bhariyāpissa abhirūpā ahosi nāmena kinnarā nāma. Purohitopissa samavayo pañcālacaṇḍo nāma buddhisampanno ahosi. Rañño pana pāsādaṃ nissāya antopākāre jamburukkho nibbatti, tassa sākhā pākāramatthake olambati. Tassa chāyāya jeguccho dussaṇṭhāno pīṭhasappī vasati. Athekadivasaṃ kinnarā devī vātapānena olokentī taṃ ditvā paṭibaddhacittā hutvā rattiṃ rājānaṃ ratiyā saṅgaṇhitvā tasmiṃ niddaṃ okkante saṇikaṃ uṭṭhāyāsanā nānaggarasabhojanaṃ suvaṇṇasarake pakkhipitvā ucchaṅge katvā sāṭakarajjuyā vātapānena otaritvā jambuṃ āruyha sākhāya oruyha pīṭhasappiṃ bhojetvā pāpaṃ katvā āgatamaggeneva pāsādaṃ āruyha gandhehi sarīraṃ ubbaṭṭetvā raññā saddhiṃ nipajji. Etenupāyena nibaddhaṃ tena saddhiṃ pāpaṃ karoti. Rājā pana na jānāti.
โส เอกทิวสํ นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา นิเวสนํ ปเวสโนฺต ชมฺพุฉายาย สยิตํ ปรมการุญฺญปฺปตฺตํ ปีฐสปฺปิํ ทิสฺวา ปุโรหิตํ อาห – ‘‘ปเสฺสตํ มนุสฺสเปต’’นฺติฯ ‘‘อาม, ปสฺสามิ เทวา’’ติฯ ‘‘อปิ นุ โข, สมฺม, เอวรูปํ ปฎิกฺกูลํ กาจิ อิตฺถี ฉนฺทราควเสน อุปคเจฺฉยฺยา’’ติฯ ตํ กถํ สุตฺวา ปีฐสปฺปี มานํ ชเนตฺวา ‘‘อยํ ราชา กิํ กเถติ, อตฺตโน เทวิยา มม สนฺติกํ อาคมนํ น ชานาติ มเญฺญ’’ติ ชมฺพุรุกฺขสฺส อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘สุณ สามิ, ชมฺพุรุเกฺข นิพฺพตฺตเทวเต, ฐเปตฺวา ตํ อโญฺญ เอตํ การณํ น ชานาตี’’ติ อาหฯ ปุโรหิโต ตสฺส กิริยํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อทฺธา รโญฺญ อคฺคมเหสี ชมฺพุรุเกฺขน คนฺตฺวา อิมินา สทฺธิํ ปาปํ กโรตี’’ติฯ โส ราชานํ ปุจฺฉิ – ‘‘มหาราช, เทวิยา เต รตฺติภาเค สรีรสมฺผโสฺส กีทิโส โหตี’’ติ? ‘‘สมฺม, อญฺญํ น ปสฺสามิ, มชฺฌิมยาเม ปนสฺสา สรีรํ สีตลํ โหตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, เทว, ติฎฺฐตุ อญฺญา อิตฺถี, อคฺคมเหสี เต กินฺนราเทวี อิมินา สทฺธิํ ปาปํ กโรตี’’ติฯ ‘‘สมฺม, กิํ วเทสิ, เอวรูปา ปรมวิลาสสมฺปนฺนา กิํ อิมินา ปรมเชคุเจฺฉน สทฺธิํ อภิรมิสฺสตี’’ติ? ‘‘เตน หิ นํ, เทว, ปริคฺคณฺหาหี’’ติฯ
So ekadivasaṃ nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā nivesanaṃ pavesanto jambuchāyāya sayitaṃ paramakāruññappattaṃ pīṭhasappiṃ disvā purohitaṃ āha – ‘‘passetaṃ manussapeta’’nti. ‘‘Āma, passāmi devā’’ti. ‘‘Api nu kho, samma, evarūpaṃ paṭikkūlaṃ kāci itthī chandarāgavasena upagaccheyyā’’ti. Taṃ kathaṃ sutvā pīṭhasappī mānaṃ janetvā ‘‘ayaṃ rājā kiṃ katheti, attano deviyā mama santikaṃ āgamanaṃ na jānāti maññe’’ti jamburukkhassa añjaliṃ paggahetvā ‘‘suṇa sāmi, jamburukkhe nibbattadevate, ṭhapetvā taṃ añño etaṃ kāraṇaṃ na jānātī’’ti āha. Purohito tassa kiriyaṃ disvā cintesi – ‘‘addhā rañño aggamahesī jamburukkhena gantvā iminā saddhiṃ pāpaṃ karotī’’ti. So rājānaṃ pucchi – ‘‘mahārāja, deviyā te rattibhāge sarīrasamphasso kīdiso hotī’’ti? ‘‘Samma, aññaṃ na passāmi, majjhimayāme panassā sarīraṃ sītalaṃ hotī’’ti. ‘‘Tena hi, deva, tiṭṭhatu aññā itthī, aggamahesī te kinnarādevī iminā saddhiṃ pāpaṃ karotī’’ti. ‘‘Samma, kiṃ vadesi, evarūpā paramavilāsasampannā kiṃ iminā paramajegucchena saddhiṃ abhiramissatī’’ti? ‘‘Tena hi naṃ, deva, pariggaṇhāhī’’ti.
โส ‘‘สาธู’’ติ รตฺติํ ภุตฺตสายมาโส ตาย สทฺธิํ นิปฺปชฺชิตฺวา ‘‘ปริคฺคณฺหิสฺสามิ น’’นฺติ ปกติยา นิทฺทุปคมนเวลาย นิทฺทุปคโต วิย อโหสิฯ สาปิ อุฎฺฐาย ตเถว อกาสิฯ ราชา ตสฺสา อนุปทเญฺญว คนฺตฺวา ชมฺพุฉายํ นิสฺสาย อฎฺฐาสิฯ ปีฐสปฺปี เทวิยา กุชฺฌิตฺวา ‘‘ตฺวํ อชฺช อติจิรายิตฺวา อาคตา’’ติ หเตฺถน กณฺณสงฺขลิกํ ปหริฯ อถ นํ ‘‘มา มํ กุชฺฌิ, สามิ, รโญฺญ นิทฺทุปคมนํ โอโลเกสิ’’นฺติ วตฺวา ตสฺส เคเห ปาทปริจาริกา วิย อโหสิฯ เตน ปนสฺสา ปหาเรน สีหมุขกุณฺฑลํ กณฺณโต คฬิตฺวา รโญฺญ ปาทมูเล ปติฯ ราชา ‘‘วฎฺฎิสฺสติ เอตฺตก’’นฺติ ตํ คเหตฺวา คโตฯ สาปิ เตน สทฺธิํ อติจริตฺวา ปุริมนิยาเมเนว คนฺตฺวา รญฺญา สทฺธิํ นิปชฺชิตุํ อารภิฯ ราชา ปฎิกฺขิปิตฺวา ปุนทิวเส ‘‘กินฺนราเทวี มยา ทินฺนํ สพฺพาลงฺการํ อลงฺกริตฺวา เอตู’’ติ อาณาเปสิฯ สา ‘‘สีหมุขกุณฺฑลํ เม สุวณฺณการสฺส สนฺติเก’’ติ วตฺวา นาคมิ, ปุน เปสิเต จ ปน เอกกุณฺฑลาว อาคมาสิ ฯ ราชา ปุจฺฉิ – ‘‘กหํ เต กุณฺฑล’’นฺติ? ‘‘สุวณฺณการสฺส สนฺติเก’’ติ ฯ สุวณฺณการํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กิํการณา อิมิสฺสา กุณฺฑลํ น เทสี’’ติ อาหฯ ‘‘นาหํ คณฺหามิ เทวา’’ติฯ ราชา ตสฺสา กุชฺฌิตฺวา ‘‘ปาเป จณฺฑาลิ มาทิเสน เต สุวณฺณกาเรน ภวิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา ตํ กุณฺฑลํ ตสฺสา ปุรโถ ขิปิตฺวา ปุโรหิตํ อาห – ‘‘สมฺม, สจฺจํ ตยา วุตฺตํ, คจฺฉ สีสมสฺสา เฉทาเปหี’’ติฯ โส ตํ ราชเคเหเยว เอกสฺมิํ ปเทเส ฐเปตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา – ‘‘เทว, มา กินฺนราเทวิยา กุชฺฌิตฺถ, สพฺพา อิตฺถิโย เอวรูปาเยวฯ สเจปิ อิตฺถีนํ ทุสฺสีลภาวํ ญาตุกาโมสิ, ทเสฺสสฺสามิ เต เอตาสํ ปาปกเญฺจว พหุมายาภาวญฺจ, เอหิ อญฺญาตกเวเสน ชนปทํ จรามา’’ติ อาหฯ
So ‘‘sādhū’’ti rattiṃ bhuttasāyamāso tāya saddhiṃ nippajjitvā ‘‘pariggaṇhissāmi na’’nti pakatiyā niddupagamanavelāya niddupagato viya ahosi. Sāpi uṭṭhāya tatheva akāsi. Rājā tassā anupadaññeva gantvā jambuchāyaṃ nissāya aṭṭhāsi. Pīṭhasappī deviyā kujjhitvā ‘‘tvaṃ ajja aticirāyitvā āgatā’’ti hatthena kaṇṇasaṅkhalikaṃ pahari. Atha naṃ ‘‘mā maṃ kujjhi, sāmi, rañño niddupagamanaṃ olokesi’’nti vatvā tassa gehe pādaparicārikā viya ahosi. Tena panassā pahārena sīhamukhakuṇḍalaṃ kaṇṇato gaḷitvā rañño pādamūle pati. Rājā ‘‘vaṭṭissati ettaka’’nti taṃ gahetvā gato. Sāpi tena saddhiṃ aticaritvā purimaniyāmeneva gantvā raññā saddhiṃ nipajjituṃ ārabhi. Rājā paṭikkhipitvā punadivase ‘‘kinnarādevī mayā dinnaṃ sabbālaṅkāraṃ alaṅkaritvā etū’’ti āṇāpesi. Sā ‘‘sīhamukhakuṇḍalaṃ me suvaṇṇakārassa santike’’ti vatvā nāgami, puna pesite ca pana ekakuṇḍalāva āgamāsi . Rājā pucchi – ‘‘kahaṃ te kuṇḍala’’nti? ‘‘Suvaṇṇakārassa santike’’ti . Suvaṇṇakāraṃ pakkosāpetvā ‘‘kiṃkāraṇā imissā kuṇḍalaṃ na desī’’ti āha. ‘‘Nāhaṃ gaṇhāmi devā’’ti. Rājā tassā kujjhitvā ‘‘pāpe caṇḍāli mādisena te suvaṇṇakārena bhavitabba’’nti vatvā taṃ kuṇḍalaṃ tassā puratho khipitvā purohitaṃ āha – ‘‘samma, saccaṃ tayā vuttaṃ, gaccha sīsamassā chedāpehī’’ti. So taṃ rājageheyeva ekasmiṃ padese ṭhapetvā rājānaṃ upasaṅkamitvā – ‘‘deva, mā kinnarādeviyā kujjhittha, sabbā itthiyo evarūpāyeva. Sacepi itthīnaṃ dussīlabhāvaṃ ñātukāmosi, dassessāmi te etāsaṃ pāpakañceva bahumāyābhāvañca, ehi aññātakavesena janapadaṃ carāmā’’ti āha.
ราชา ‘‘สาธู’’ติ มาตรํ รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา เตน สทฺธิํ จาริกํ ปกฺกามิฯ เตสํ โยชนํ มคฺคํ คนฺตฺวา มหามเคฺค นิสินฺนานํเยว เอโก กุฎุมฺพิโก ปุตฺตสฺสตฺถาย มงฺคลํ กตฺวา เอกํ กุมาริกํ ปฎิจฺฉนฺนยาเน นิสีทาเปตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน คจฺฉติฯ ตํ ทิสฺวา ปุโรหิโต ราชานํ อาห – ‘‘สเจ อิจฺฉสิ, อิมํ กุมาริกํ ตยา สทฺธิํ ปาปํ กาเรตุํ สกฺกา เทวา’’ติฯ ‘‘กิํ กเถสิ, มหาปริวารา เอสา, น สกฺกา สมฺมา’’ติ? ปุโรหิโต ‘‘เตน หิ ปสฺส, เทวา’’ติ ปุรโต คนฺตฺวา มคฺคโต อวิทูเร สาณิยา ปริกฺขิปิตฺวา ราชานํ อโนฺตสาณิยํ กตฺวา สยํ มคฺคปเสฺส โรทโนฺต นิสีทิฯ อถ นํ โส กุฎุมฺพิโก ทิสฺวา ‘‘ตาต, กสฺมา โรทสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภริยา เม ครุภารา, ตํ กุลฆรํ เนตุํ มคฺคปฎิปโนฺนสฺมิ, ตสฺสา อนฺตรามเคฺคเยว คโพฺภ จลิ, เอสา อโนฺตสาณิยํ กิลมติ, กาจิสฺสา อิตฺถี สนฺติเก นตฺถิ, มยาปิ ตตฺถ คนฺตุํ น สกฺกา, น ชานามิ ‘กิํ ภวิสฺสตี’ติ, เอกํ อิตฺถิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘มา โรทิ, พหู เม อิตฺถิโย, เอกา คมิสฺสตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ อยเมว กุมาริกา คจฺฉตุ, เอติสฺสาปิ มงฺคลํ ภวิสฺสตี’’ติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สจฺจํ วทติ, สุณิสายปิ เม มงฺคลเมว, อิมินา หิ นิมิเตฺตน สา ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒิสฺสตี’’ติ ตเมว เปเสสิฯ สา ตตฺถ ปวิสิตฺวา ราชานํ ทิสฺวาว ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา ปาปมกาสิฯ ราชาปิสฺสา องฺคุลิมุทฺทิกํ อทาสิฯ อถ นํ กตกิจฺจํ นิกฺขมิตฺวา อาคตํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กิํ วิชาตา’’ติ? ‘‘สุวณฺณวณฺณํ ปุตฺต’’นฺติฯ กุฎุมฺพิโก ตํ อาทาย ปายาสิ ฯ ปุโรหิโตปิ รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ทิฎฺฐา เต, เทว, กุมาริกาปิ เอวํ ปาปา, กิมงฺคํ ปน อญฺญา, อปิ ปน เต กิญฺจิ ทินฺน’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, องฺคุลิมุทฺทิกา ทินฺนา’’ติฯ ‘‘นาสฺสา ตํ ทสฺสามี’’ติ เวเคน คนฺตฺวา ยานกํ คณฺหิตฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อยํ เม พฺราหฺมณิยา อุสฺสีสเก ฐปิตํ มุทฺทิกํ คเหตฺวา อาคตา, เทหิ, อมฺม, มุทฺทิก’’นฺติ อาหฯ สา ตํ ททมานา พฺราหฺมณํ หเตฺถ นเขน วิชฺฌิตฺวา ‘‘คณฺห โจรา’’ติ อทาสิฯ
Rājā ‘‘sādhū’’ti mātaraṃ rajjaṃ paṭicchāpetvā tena saddhiṃ cārikaṃ pakkāmi. Tesaṃ yojanaṃ maggaṃ gantvā mahāmagge nisinnānaṃyeva eko kuṭumbiko puttassatthāya maṅgalaṃ katvā ekaṃ kumārikaṃ paṭicchannayāne nisīdāpetvā mahantena parivārena gacchati. Taṃ disvā purohito rājānaṃ āha – ‘‘sace icchasi, imaṃ kumārikaṃ tayā saddhiṃ pāpaṃ kāretuṃ sakkā devā’’ti. ‘‘Kiṃ kathesi, mahāparivārā esā, na sakkā sammā’’ti? Purohito ‘‘tena hi passa, devā’’ti purato gantvā maggato avidūre sāṇiyā parikkhipitvā rājānaṃ antosāṇiyaṃ katvā sayaṃ maggapasse rodanto nisīdi. Atha naṃ so kuṭumbiko disvā ‘‘tāta, kasmā rodasī’’ti pucchi. ‘‘Bhariyā me garubhārā, taṃ kulagharaṃ netuṃ maggapaṭipannosmi, tassā antarāmaggeyeva gabbho cali, esā antosāṇiyaṃ kilamati, kācissā itthī santike natthi, mayāpi tattha gantuṃ na sakkā, na jānāmi ‘kiṃ bhavissatī’ti, ekaṃ itthiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Mā rodi, bahū me itthiyo, ekā gamissatī’’ti. ‘‘Tena hi ayameva kumārikā gacchatu, etissāpi maṅgalaṃ bhavissatī’’ti. So cintesi – ‘‘saccaṃ vadati, suṇisāyapi me maṅgalameva, iminā hi nimittena sā puttadhītāhi vaḍḍhissatī’’ti tameva pesesi. Sā tattha pavisitvā rājānaṃ disvāva paṭibaddhacittā hutvā pāpamakāsi. Rājāpissā aṅgulimuddikaṃ adāsi. Atha naṃ katakiccaṃ nikkhamitvā āgataṃ pucchiṃsu – ‘‘kiṃ vijātā’’ti? ‘‘Suvaṇṇavaṇṇaṃ putta’’nti. Kuṭumbiko taṃ ādāya pāyāsi . Purohitopi rañño santikaṃ gantvā ‘‘diṭṭhā te, deva, kumārikāpi evaṃ pāpā, kimaṅgaṃ pana aññā, api pana te kiñci dinna’’nti pucchi. ‘‘Āma, aṅgulimuddikā dinnā’’ti. ‘‘Nāssā taṃ dassāmī’’ti vegena gantvā yānakaṃ gaṇhitvā ‘‘kimeta’’nti vutte ‘‘ayaṃ me brāhmaṇiyā ussīsake ṭhapitaṃ muddikaṃ gahetvā āgatā, dehi, amma, muddika’’nti āha. Sā taṃ dadamānā brāhmaṇaṃ hatthe nakhena vijjhitvā ‘‘gaṇha corā’’ti adāsi.
เอวํ พฺราหฺมโณ นานาวิเธหิ อุปาเยหิ อญฺญาปิ พหู อติจารินิโย รโญฺญ ทเสฺสตฺวา ‘‘อิธ ตาว เอตฺตกํ โหตุ, อญฺญตฺถ คมิสฺสาม, เทวา’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘สกลชมฺพุทีเป จริเตปิ สพฺพา อิตฺถิโย เอวรูปาว ภวิสฺสนฺติ, กิํ โน เอตาหิ, นิวตฺตามา’’ติ พาราณสิเมว ปจฺจาคนฺตฺวา – ‘‘มหาราช, อิตฺถิโย นาม เอวํ ปาปธมฺมา, ปกติ เอสา เอตาสํ, ขมถ, เทว, กินฺนราเทวิยา’’ติ ปุโรหิเตน ยาจิโต ขมิตฺวา ราชนิเวสนโต นํ นิกฺกฑฺฒาเปสิ, ฐานโต ปน ตํ อปเนตฺวา อญฺญํ อคฺคมเหสิํ อกาสิฯ ตญฺจ ปีฐสปฺปิํ นิกฺกฑฺฒาเปตฺวา ชมฺพุสาขํ เฉทาเปสิฯ ตทา กุณาโล ปญฺจาลจโณฺฑ อโหสิฯ อิติ อตฺตนา ทิฎฺฐการณเมว อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต คาถมาห –
Evaṃ brāhmaṇo nānāvidhehi upāyehi aññāpi bahū aticāriniyo rañño dassetvā ‘‘idha tāva ettakaṃ hotu, aññattha gamissāma, devā’’ti āha. Rājā ‘‘sakalajambudīpe caritepi sabbā itthiyo evarūpāva bhavissanti, kiṃ no etāhi, nivattāmā’’ti bārāṇasimeva paccāgantvā – ‘‘mahārāja, itthiyo nāma evaṃ pāpadhammā, pakati esā etāsaṃ, khamatha, deva, kinnarādeviyā’’ti purohitena yācito khamitvā rājanivesanato naṃ nikkaḍḍhāpesi, ṭhānato pana taṃ apanetvā aññaṃ aggamahesiṃ akāsi. Tañca pīṭhasappiṃ nikkaḍḍhāpetvā jambusākhaṃ chedāpesi. Tadā kuṇālo pañcālacaṇḍo ahosi. Iti attanā diṭṭhakāraṇameva āharitvā dassento gāthamāha –
๓๑๑.
311.
‘‘ยํ เว ทิสฺวา กณฺฑรีกินฺนรานํ, สพฺพิตฺถิโย น รมนฺติ อคาเร;
‘‘Yaṃ ve disvā kaṇḍarīkinnarānaṃ, sabbitthiyo na ramanti agāre;
ตํ ตาทิสํ มจฺจํ จชิตฺวา ภริยา, อญฺญํ ทิสฺวา ปุริสํ ปีฐสปฺปิ’’นฺติฯ
Taṃ tādisaṃ maccaṃ cajitvā bhariyā, aññaṃ disvā purisaṃ pīṭhasappi’’nti.
ตสฺสโตฺถ – ยํ เว กณฺฑริสฺส รโญฺญ กินฺนราย เทวิยา จาติ อิเมสํ กณฺฑริกินฺนรานํ วิราคการณํ อโหสิ, ตํ ทิสฺวา ชานิตพฺพํ – สพฺพิตฺถิโย อตฺตโน สามิกานํ น รมนฺติ อคาเร ฯ ตถา หิ อญฺญํ ปีฐสปฺปิํ ปุริสํ ทิสฺวา ตํ ราชานํ ตาทิสํ รติกุสลํ มจฺจํ จชิตฺวา ภริยา เตน มนุสฺสเปเตน สทฺธิํ ปาปมกาสีติฯ
Tassattho – yaṃ ve kaṇḍarissa rañño kinnarāya deviyā cāti imesaṃ kaṇḍarikinnarānaṃ virāgakāraṇaṃ ahosi, taṃ disvā jānitabbaṃ – sabbitthiyo attano sāmikānaṃ na ramanti agāre . Tathā hi aññaṃ pīṭhasappiṃ purisaṃ disvā taṃ rājānaṃ tādisaṃ ratikusalaṃ maccaṃ cajitvā bhariyā tena manussapetena saddhiṃ pāpamakāsīti.
อปโรปิ อตีเต พาราณสิยํ พโก นาม ราชา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา พาราณสิยา ปาจีนทฺวารวาสิโน เอกสฺส ทลิทฺทสฺส ปญฺจปาปี นาม ธีตา อโหสิฯ สา กิร ปุเพฺพปิ เอกา ทลิทฺทธีตา มตฺติกํ มทฺทิตฺวา เคเห ภิตฺติํ วิลิมฺปติฯ อเถโก ปเจฺจกพุโทฺธ อตฺตโน ปพฺภารปริภณฺฑกรณตฺถํ ‘‘กหํ มตฺติกํ ลภิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘พาราณสิยํ ลทฺธุํ สกฺกา’’ติ จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตหโตฺถ นครํ ปวิสิตฺวา ตสฺสา อวิทูเร อฎฺฐาสิฯ สา กุชฺฌิตฺวา อุโลฺลเกนฺตี ปทุเฎฺฐน มนสา ‘‘มตฺติกมฺปิ ภิกฺขตี’’ติ อโวจฯ ปเจฺจกพุโทฺธ นิจฺจโลว อโหสิฯ อถ สา ปเจฺจกพุทฺธํ นิจฺจลิตํ ทิสฺวา ปุน จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, ‘‘สมณ, มตฺติกมฺปิ น ลภสี’’ติ วตฺวา มหนฺตํ มตฺติกาปิณฺฑํ อาหริตฺวา ปเตฺต ฐเปสิฯ โส ตาย มตฺติกาย ปพฺภาเร ปริภณฺฑมกาสิฯ สา นจิรเสฺสว ตโต จวิตฺวา ตสฺมิํเยว นคเร พหิทฺวารคาเม ทุคฺคติตฺถิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา ทสมาสจฺจเยน มาตุ กุจฺฉิโต นิกฺขมิฯ ตสฺสา มตฺติกาปิณฺฑผเลน สรีรํ ผสฺสสมฺปนฺนํ อโหสิ, กุชฺฌิตฺวา อุโลฺลกิตตฺตา ปน หตฺถปาทมุขอกฺขินาสานิ ปาปานิ วิรูปานิ อเหสุํฯ เตน ตํ ‘‘ปญฺจปาปี’’เตฺวว สญฺชานิํสุฯ
Aparopi atīte bārāṇasiyaṃ bako nāma rājā dhammena rajjaṃ kāresi. Tadā bārāṇasiyā pācīnadvāravāsino ekassa daliddassa pañcapāpī nāma dhītā ahosi. Sā kira pubbepi ekā daliddadhītā mattikaṃ madditvā gehe bhittiṃ vilimpati. Atheko paccekabuddho attano pabbhāraparibhaṇḍakaraṇatthaṃ ‘‘kahaṃ mattikaṃ labhissāmī’’ti cintetvā ‘‘bārāṇasiyaṃ laddhuṃ sakkā’’ti cīvaraṃ pārupitvā pattahattho nagaraṃ pavisitvā tassā avidūre aṭṭhāsi. Sā kujjhitvā ullokentī paduṭṭhena manasā ‘‘mattikampi bhikkhatī’’ti avoca. Paccekabuddho niccalova ahosi. Atha sā paccekabuddhaṃ niccalitaṃ disvā puna cittaṃ pasādetvā, ‘‘samaṇa, mattikampi na labhasī’’ti vatvā mahantaṃ mattikāpiṇḍaṃ āharitvā patte ṭhapesi. So tāya mattikāya pabbhāre paribhaṇḍamakāsi. Sā nacirasseva tato cavitvā tasmiṃyeva nagare bahidvāragāme duggatitthiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā dasamāsaccayena mātu kucchito nikkhami. Tassā mattikāpiṇḍaphalena sarīraṃ phassasampannaṃ ahosi, kujjhitvā ullokitattā pana hatthapādamukhaakkhināsāni pāpāni virūpāni ahesuṃ. Tena taṃ ‘‘pañcapāpī’’tveva sañjāniṃsu.
อเถกทิวสํ พาราณสิราชา รตฺติํ อญฺญาตกเวเสน นครํ ปริคฺคณฺหโนฺต ตํ ปเทสํ คโตฯ สาปิ คามทาริกาหิ สทฺธิํ กีฬนฺตี อชานิตฺวาว ราชานํ หเตฺถ คณฺหิฯ โส ตสฺสา หตฺถสมฺผเสฺสน สกภาเวน สณฺฐาตุํ นาสกฺขิ, ทิพฺพสมฺผเสฺสน ผุโฎฺฐ วิย อโหสิฯ โส ผสฺสราครโตฺต ตถาวิรูปมฺปิ ตํ หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘กสฺส ธีตาสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ทฺวารวาสิโน’’ติ วุเตฺต อสฺสามิกภาวํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อหํ เต สามิโก ภวิสฺสามิ, คจฺฉ มาตาปิตโร อนุชานาเปหี’’ติ อาหฯ สา มาตาปิตโร อุปคนฺตฺวา ‘‘เอโก, อมฺม, ปุริโส มํ อิจฺฉตี’’ติ วตฺวา ‘‘โสปิ ทุคฺคโต ภวิสฺสติ, สเจ ตาทิสมฺปิ อิจฺฉติ, สาธู’’ติ วุเตฺต คนฺตฺวา มาตาปิตูหิ อนุญฺญาตภาวํ อาโรเจสิฯ โส ตสฺมิํเยว เคเห ตาย สทฺธิํ วสิตฺวา ปาโตว ราชนิเวสนํ ปาวิสิฯ ตโต ปฎฺฐาเยว อญฺญาตกเวเสน นิพทฺธํ ตตฺถ คจฺฉติ, อญฺญํ อิตฺถิํ โอโลเกตุมฺปิ น อิจฺฉติฯ
Athekadivasaṃ bārāṇasirājā rattiṃ aññātakavesena nagaraṃ pariggaṇhanto taṃ padesaṃ gato. Sāpi gāmadārikāhi saddhiṃ kīḷantī ajānitvāva rājānaṃ hatthe gaṇhi. So tassā hatthasamphassena sakabhāvena saṇṭhātuṃ nāsakkhi, dibbasamphassena phuṭṭho viya ahosi. So phassarāgaratto tathāvirūpampi taṃ hatthe gahetvā ‘‘kassa dhītāsī’’ti pucchitvā ‘‘dvāravāsino’’ti vutte assāmikabhāvaṃ pucchitvā ‘‘ahaṃ te sāmiko bhavissāmi, gaccha mātāpitaro anujānāpehī’’ti āha. Sā mātāpitaro upagantvā ‘‘eko, amma, puriso maṃ icchatī’’ti vatvā ‘‘sopi duggato bhavissati, sace tādisampi icchati, sādhū’’ti vutte gantvā mātāpitūhi anuññātabhāvaṃ ārocesi. So tasmiṃyeva gehe tāya saddhiṃ vasitvā pātova rājanivesanaṃ pāvisi. Tato paṭṭhāyeva aññātakavesena nibaddhaṃ tattha gacchati, aññaṃ itthiṃ oloketumpi na icchati.
อเถกทิวสํ ตสฺสา ปิตุ โลหิตปกฺขนฺทิกา อุปฺปชฺชิฯ อสมฺภินฺนขีรสปฺปิมธุสกฺขรยุตฺตปายาโสว เอตสฺส เภสชฺชํ, ตํ เต ทลิทฺทตาย อุปฺปาเทตุํ น สโกฺกนฺติ ฯ ตโต ปญฺจปาปิมาตา ธีตรํ อาห – ‘‘กิํ, อมฺม, ตว สามิโก ปายาสํ อุปฺปาเทตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ? ‘‘อมฺม, มม สามิเกน อเมฺหหิปิ ทุคฺคตตเรน ภวิตพฺพํ, เอวํ สเนฺตปิ ปุจฺฉิสฺสามิ นํ, มา จินฺตยี’’ติ วตฺวา ตสฺสาคมนเวลายํ ทุมฺมนา หุตฺวา นิสีทิฯ อถ นํ ราชา อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ ทุมฺมนาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ สา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘ภเทฺท อิทํ อติรสเภสชฺชํ, กุโต ลภิสฺสามี’’ติ วตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘น สกฺกา มยา นิจฺจกาลํ เอวํ จริตุํ, อนฺตรามเคฺค ปริสฺสโยปิ ทฎฺฐโพฺพ, สเจ โข ปน เอตํ อเนฺตปุรํ เนสฺสามิ, เอติสฺสา ผสฺสสมฺปทํ อชานนฺตา ‘อมฺหากํ ราชา ยกฺขินิํ คเหตฺวา อาคโต’ติ เกฬิํ กริสฺสนฺติ, สกลนครวาสิโน เอติสฺสา สมฺผสฺสํ ชานาเปตฺวา ครหํ โมเจสฺสามี’’ติฯ อถ นํ ราชา – ‘‘ภเทฺท, มา จินฺตยิ, อาหริสฺสามิ เต ปิตุ ปายาส’’นฺติ วตฺวา ตาย สทฺธิํ อภิรมิตฺวา ราชนิเวสนํ คนฺตฺวา ปุนทิวเส ตาทิสํ ปายาสํ ปจาเปตฺวา ปณฺณานิ อาหราเปตฺวา เทฺว ปุเฎ กตฺวา เอกสฺมิํ ปายาสํ ปกฺขิปิตฺวา เอกสฺมิํ จูฬามณิํ ฐเปตฺวา พนฺธิตฺวา รตฺติภาเค คนฺตฺวา, ‘‘ภเทฺท, มยํ ทลิทฺทา, กิเจฺฉน สมฺปาทิตํ, ตว ปิตรํ ‘อชฺช อิมมฺหา ปุฎา ปายาสํ ภุญฺช, เสฺว อิมมฺหา’ติ วเทยฺยาสี’’ติ อาหฯ สา ตถา อกาสิฯ อถสฺสา ปิตา โอชสมฺปนฺนตฺตา ปายาสสฺส โถกเมว ภุญฺชิตฺวา สุหิโต ชาโตฯ เสสํ มาตุ ทตฺวา สยมฺปิ ภุญฺชิฯ ตโยปิ สุหิตา อเหสุํฯ จูฬามณิปุฎํ ปน ปุนทิวสตฺถาย ฐเปสุํฯ
Athekadivasaṃ tassā pitu lohitapakkhandikā uppajji. Asambhinnakhīrasappimadhusakkharayuttapāyāsova etassa bhesajjaṃ, taṃ te daliddatāya uppādetuṃ na sakkonti . Tato pañcapāpimātā dhītaraṃ āha – ‘‘kiṃ, amma, tava sāmiko pāyāsaṃ uppādetuṃ sakkhissatī’’ti? ‘‘Amma, mama sāmikena amhehipi duggatatarena bhavitabbaṃ, evaṃ santepi pucchissāmi naṃ, mā cintayī’’ti vatvā tassāgamanavelāyaṃ dummanā hutvā nisīdi. Atha naṃ rājā āgantvā ‘‘kiṃ dummanāsī’’ti pucchi. Sā tamatthaṃ ārocesi. Taṃ sutvā rājā ‘‘bhadde idaṃ atirasabhesajjaṃ, kuto labhissāmī’’ti vatvā cintesi – ‘‘na sakkā mayā niccakālaṃ evaṃ carituṃ, antarāmagge parissayopi daṭṭhabbo, sace kho pana etaṃ antepuraṃ nessāmi, etissā phassasampadaṃ ajānantā ‘amhākaṃ rājā yakkhiniṃ gahetvā āgato’ti keḷiṃ karissanti, sakalanagaravāsino etissā samphassaṃ jānāpetvā garahaṃ mocessāmī’’ti. Atha naṃ rājā – ‘‘bhadde, mā cintayi, āharissāmi te pitu pāyāsa’’nti vatvā tāya saddhiṃ abhiramitvā rājanivesanaṃ gantvā punadivase tādisaṃ pāyāsaṃ pacāpetvā paṇṇāni āharāpetvā dve puṭe katvā ekasmiṃ pāyāsaṃ pakkhipitvā ekasmiṃ cūḷāmaṇiṃ ṭhapetvā bandhitvā rattibhāge gantvā, ‘‘bhadde, mayaṃ daliddā, kicchena sampāditaṃ, tava pitaraṃ ‘ajja imamhā puṭā pāyāsaṃ bhuñja, sve imamhā’ti vadeyyāsī’’ti āha. Sā tathā akāsi. Athassā pitā ojasampannattā pāyāsassa thokameva bhuñjitvā suhito jāto. Sesaṃ mātu datvā sayampi bhuñji. Tayopi suhitā ahesuṃ. Cūḷāmaṇipuṭaṃ pana punadivasatthāya ṭhapesuṃ.
ราชา นิเวสนํ คนฺตฺวา มุขํ โธวิตฺวาว ‘‘จูฬามณิํ เม อาหรถา’’ติ วตฺวา ‘‘น ปสฺสาม, เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘สกลนครํ วิจินถา’’ติ อาหฯ เต วิจินิตฺวาปิ น ปสฺสิํสุฯ เตน หิ พหินคเร ทลิทฺทเคเหสุ ภตฺตปณฺณปุเฎ อุปาทาย วิจินถาติฯ วิจินนฺตา ตสฺมิํ ฆเฎ จูฬามณิํ ทิสฺวา ตสฺสา มาตาปิตโร ‘‘โจรา’’ติ พนฺธิตฺวา นยิํสุฯ อถสฺสา ปิตา, ‘‘สามิ, น มยํ โจรา, อเญฺญนายํ มณิ อาภโต’’ติ วตฺวา ‘‘เกนา’’ติ วุเตฺต ‘‘ชามาตรา เม’’ติ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘กหํ โส’’ติ ปุจฺฉิโต ‘‘ธีตา เม ชานาตี’’ติ อาหฯ ตโต ธีตาย สทฺธิํ กเถสิ – ‘‘อมฺม, สามิกํ เต ชานาสี’’ติ? ‘‘น ชานามี’’ติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต อมฺหากํ ชีวิตํ นตฺถี’’ติฯ ‘‘ตาต, โส อนฺธกาเร อาคนฺตฺวา อนฺธกาเร เอว ยาติ, เตนสฺส รูปํ น ชานามิ, หตฺถสมฺผเสฺสน ปน นํ ชานิตุํ สโกฺกมี’’ติฯ โส ราชปุริสานํ อาโรเจสิฯ เตปิ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา อชานโนฺต วิย หุตฺวา ‘‘เตน หิ ตํ อิตฺถิํ ราชงฺคเณ อโนฺตสาณิยํ ฐเปตฺวา สาณิยา หตฺถปฺปมาณํ ฉิทฺทํ กตฺวา นครวาสิโน สนฺนิปาเตตฺวา หตฺถสมฺผเสฺสน โจรํ คณฺหถา’’ติ อาหฯ ราชปุริสา ตถา กาตุํ ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา รูปํ ทิสฺวาว วิปฺปฎิสาริโน หุตฺวา – ‘‘ธี, ธี ปิสาจี’’ติ ชิคุจฺฉิตฺวา ผุสิตุํ น อุสฺสหิํสุ, อาเนตฺวา ปน นํ ราชงฺคเณ อโนฺตสาณิยํ ฐเปตฺวา สกลนครวาสิโน สนฺนิปาเตสุํฯ สา อาคตาคตสฺส ฉิเทฺทน ปสาริตหตฺถํ คเหตฺวาว ‘‘โน เอโส’’ติ วทติฯ ปุริสา ตสฺสา ทิพฺพผสฺสสทิเส ผเสฺส พชฺฌิตฺวา อปคนฺตุํ น สกฺขิํสุ, ‘‘สจายํ ทณฺฑารหา, ทณฺฑํ ทตฺวาปิ ทาสกมฺมการภาวํ อุปคนฺตฺวาปิ เอตํ ฆเร กริสฺสามา’’ติ จินฺตยิํสุฯ อถ เน ราชปุริสา ทเณฺฑหิ โกเฎฺฎตฺวา ปลาเปสุํฯ อุปราชานํ อาทิํ กตฺวา สเพฺพ อุมฺมตฺตกา วิย อเหสุํฯ
Rājā nivesanaṃ gantvā mukhaṃ dhovitvāva ‘‘cūḷāmaṇiṃ me āharathā’’ti vatvā ‘‘na passāma, devā’’ti vutte ‘‘sakalanagaraṃ vicinathā’’ti āha. Te vicinitvāpi na passiṃsu. Tena hi bahinagare daliddagehesu bhattapaṇṇapuṭe upādāya vicinathāti. Vicinantā tasmiṃ ghaṭe cūḷāmaṇiṃ disvā tassā mātāpitaro ‘‘corā’’ti bandhitvā nayiṃsu. Athassā pitā, ‘‘sāmi, na mayaṃ corā, aññenāyaṃ maṇi ābhato’’ti vatvā ‘‘kenā’’ti vutte ‘‘jāmātarā me’’ti ācikkhitvā ‘‘kahaṃ so’’ti pucchito ‘‘dhītā me jānātī’’ti āha. Tato dhītāya saddhiṃ kathesi – ‘‘amma, sāmikaṃ te jānāsī’’ti? ‘‘Na jānāmī’’ti. ‘‘Evaṃ sante amhākaṃ jīvitaṃ natthī’’ti. ‘‘Tāta, so andhakāre āgantvā andhakāre eva yāti, tenassa rūpaṃ na jānāmi, hatthasamphassena pana naṃ jānituṃ sakkomī’’ti. So rājapurisānaṃ ārocesi. Tepi rañño ārocesuṃ. Rājā ajānanto viya hutvā ‘‘tena hi taṃ itthiṃ rājaṅgaṇe antosāṇiyaṃ ṭhapetvā sāṇiyā hatthappamāṇaṃ chiddaṃ katvā nagaravāsino sannipātetvā hatthasamphassena coraṃ gaṇhathā’’ti āha. Rājapurisā tathā kātuṃ tassā santikaṃ gantvā rūpaṃ disvāva vippaṭisārino hutvā – ‘‘dhī, dhī pisācī’’ti jigucchitvā phusituṃ na ussahiṃsu, ānetvā pana naṃ rājaṅgaṇe antosāṇiyaṃ ṭhapetvā sakalanagaravāsino sannipātesuṃ. Sā āgatāgatassa chiddena pasāritahatthaṃ gahetvāva ‘‘no eso’’ti vadati. Purisā tassā dibbaphassasadise phasse bajjhitvā apagantuṃ na sakkhiṃsu, ‘‘sacāyaṃ daṇḍārahā, daṇḍaṃ datvāpi dāsakammakārabhāvaṃ upagantvāpi etaṃ ghare karissāmā’’ti cintayiṃsu. Atha ne rājapurisā daṇḍehi koṭṭetvā palāpesuṃ. Uparājānaṃ ādiṃ katvā sabbe ummattakā viya ahesuṃ.
อถ ราชา – ‘‘กจฺจิ อหํ ภเวยฺย’’นฺติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ ตํ หเตฺถ คเหตฺวาว ‘‘โจโร เม คหิโต’’ติ มหาสทฺทํ กริฯ ราชา เตปิ ปุจฺฉิ – ‘‘ตุเมฺห เอตาย หเตฺถ คหิตา กิํ จินฺตยิตฺถา’’ติฯ เต ยถาภูตํ อาโรเจสุํฯ อถ เน ราชา อาห – ‘‘อหํ เอตํ อตฺตโน เคหํ อาเนตุํ เอวํ กาเรสิํ ‘เอติสฺสา ผสฺสํ อชานนฺตา มํ ปริภเวยฺยุ’นฺติ จิเนฺตตฺวา, ตสฺมา มยา สเพฺพ ตุเมฺห ชานาปิตา, วทถ, โภ ทานิ, สา กสฺส เคเห ภวิตุํ ยุตฺตา’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ, เทวา’’ติฯ อถ นํ อภิสิญฺจิตฺวา อคฺคมเหสิํ อกาสิฯ มาตาปิตูนมฺปิสฺสา อิสฺสริยํ ทาเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย จ ปน ตาย สมฺมโตฺต เนว วินิจฺฉยํ ปฎฺฐเปสิ, น อญฺญํ อิตฺถิํ โอโลเกสิฯ ตา ตสฺสา อนฺตรํ ปริเยสิํสุฯ สา เอกทิวสํ ทฺวินฺนํ ราชูนํ อคฺคมเหสิภาวสฺส สุปิเน นิมิตฺตํ ทิสฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา สุปินปาฐเก ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอวรูเป สุปิเน ทิเฎฺฐ กิํ โหตี’’ติ ปุจฺฉิฯ เต อิตราสํ อิตฺถีนํ สนฺติกา ลญฺชํ คเหตฺวา – ‘‘มหาราช, เทวิยา สพฺพเสตสฺส หตฺถิโน ขเนฺธ นิสินฺนภาโว ตุมฺหากํ มรณสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ, หตฺถิขนฺธคตาย ปน จนฺทปรามสนํ ตุมฺหากํ ปจฺจามิตฺตราชานยนสฺส ปุพฺพนิมิตฺต’’นฺติ วตฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กาตพฺพ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘เทว อิมํ มาเรตุํ น สกฺกา, นาวาย ปน นํ ฐเปตฺวา นทิยํ วิสฺสเชฺชตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทิํสุฯ ราชา อาหารวตฺถาลงฺกาเรหิ สทฺธิํ รตฺติภาเค นํ นาวาย ฐเปตฺวา นทิยํ วิสฺสเชฺชสิฯ
Atha rājā – ‘‘kacci ahaṃ bhaveyya’’nti hatthaṃ pasāresi. Taṃ hatthe gahetvāva ‘‘coro me gahito’’ti mahāsaddaṃ kari. Rājā tepi pucchi – ‘‘tumhe etāya hatthe gahitā kiṃ cintayitthā’’ti. Te yathābhūtaṃ ārocesuṃ. Atha ne rājā āha – ‘‘ahaṃ etaṃ attano gehaṃ ānetuṃ evaṃ kāresiṃ ‘etissā phassaṃ ajānantā maṃ paribhaveyyu’nti cintetvā, tasmā mayā sabbe tumhe jānāpitā, vadatha, bho dāni, sā kassa gehe bhavituṃ yuttā’’ti? ‘‘Tumhākaṃ, devā’’ti. Atha naṃ abhisiñcitvā aggamahesiṃ akāsi. Mātāpitūnampissā issariyaṃ dāpesi. Tato paṭṭhāya ca pana tāya sammatto neva vinicchayaṃ paṭṭhapesi, na aññaṃ itthiṃ olokesi. Tā tassā antaraṃ pariyesiṃsu. Sā ekadivasaṃ dvinnaṃ rājūnaṃ aggamahesibhāvassa supine nimittaṃ disvā rañño ārocesi. Rājā supinapāṭhake pakkosāpetvā ‘‘evarūpe supine diṭṭhe kiṃ hotī’’ti pucchi. Te itarāsaṃ itthīnaṃ santikā lañjaṃ gahetvā – ‘‘mahārāja, deviyā sabbasetassa hatthino khandhe nisinnabhāvo tumhākaṃ maraṇassa pubbanimittaṃ, hatthikhandhagatāya pana candaparāmasanaṃ tumhākaṃ paccāmittarājānayanassa pubbanimitta’’nti vatvā ‘‘idāni kiṃ kātabba’’nti vutte ‘‘deva imaṃ māretuṃ na sakkā, nāvāya pana naṃ ṭhapetvā nadiyaṃ vissajjetuṃ vaṭṭatī’’ti vadiṃsu. Rājā āhāravatthālaṅkārehi saddhiṃ rattibhāge naṃ nāvāya ṭhapetvā nadiyaṃ vissajjesi.
สา นทิยา วุยฺหมานา เหฎฺฐานทิยา นาวาย อุทกํ กีฬนฺตสฺส พาวริกรโญฺญ อภิมุขฎฺฐานํ ปตฺตาฯ ตสฺส เสนาปติ นาวํ ทิสฺวา ‘‘อยํ นาวา มยฺห’’นฺติ อาหฯ ราชา ‘‘นาวาย ภณฺฑํ มยฺห’’นฺติ วตฺวา อาคตาย นาวาย ตํ ทิสฺวา ‘‘กา นาม ตฺวํ ปิสาจีสทิสา’’ติ ปุจฺฉิฯ สา สิตํ กตฺวา พกสฺส รโญฺญ อคฺคมเหสิภาวํ กเถตฺวา สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ ตสฺส กเถสิฯ สา ปน ปญฺจปาปีติ สกลชมฺพุทีเป ปากฎาฯ อถ นํ ราชา หเตฺถ คเหตฺวา อุกฺขิปิ, สห คหเณเนว ผสฺสราครโตฺต อญฺญาสุ อิตฺถีสุ อิตฺถิสญฺญํ อกตฺวา ตํ อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สา ตสฺส ปาณสมา อโหสิฯ พโก ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘นาหํ ตสฺส อคฺคมเหสิํ กาตุํ ทสฺสามี’’ติ เสนํ สงฺกฑฺฒิตฺวา ตสฺส ปฎิติเตฺถ นิเวสนํ กตฺวา ปณฺณํ เปเสสิ – ‘‘ภริยํ วา เม เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติฯ โส ‘‘ยุทฺธํ ทสฺสามิ, น ภริย’’นฺติ วตฺวา ยุทฺธสโชฺช อโหสิฯ อุภินฺนํ อมจฺจา ‘‘มาตุคามํ นิสฺสาย มรณกิจฺจํ นตฺถิ, ปุริมสามิกตฺตา เอสา พกสฺส ปาปุณาติ, นาวาย ลทฺธตฺตา พาวริกสฺส, ตสฺมา เอเกกสฺส เคเห สตฺต สตฺต ทิวสานิ โหตู’’ติ มเนฺตตฺวา เทฺวปิ ราชาโน สญฺญาเปสุํฯ เต อุโภปิ อตฺตมนา หุตฺวา ติตฺถปฎิติเตฺถ นครานิ มาเปตฺวา วสิํสุฯ สา ทฺวินฺนมฺปิ เตสํ อคฺคมเหสิตฺตํ กาเรสิฯ เทฺวปิ ตสฺสา สมฺมตฺตา อเหสุํฯ สา ปน เอกสฺส ฆเร สตฺตาหํ วสิตฺวา นาวาย อิตรสฺส ฆรํ คจฺฉนฺตี นาวํ ปาเชตฺวา เนเนฺตน เอเกน มหลฺลกขุชฺชเกวเฎฺฎน สทฺธิํ นทีมเชฺฌ ปาปํ กโรติฯ ตทา กุณาโล สกุณราชา พโก อโหสิ, ตสฺมา อิทํ อตฺตนา ทิฎฺฐการณํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต คาถมาห –
Sā nadiyā vuyhamānā heṭṭhānadiyā nāvāya udakaṃ kīḷantassa bāvarikarañño abhimukhaṭṭhānaṃ pattā. Tassa senāpati nāvaṃ disvā ‘‘ayaṃ nāvā mayha’’nti āha. Rājā ‘‘nāvāya bhaṇḍaṃ mayha’’nti vatvā āgatāya nāvāya taṃ disvā ‘‘kā nāma tvaṃ pisācīsadisā’’ti pucchi. Sā sitaṃ katvā bakassa rañño aggamahesibhāvaṃ kathetvā sabbaṃ taṃ pavattiṃ tassa kathesi. Sā pana pañcapāpīti sakalajambudīpe pākaṭā. Atha naṃ rājā hatthe gahetvā ukkhipi, saha gahaṇeneva phassarāgaratto aññāsu itthīsu itthisaññaṃ akatvā taṃ aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Sā tassa pāṇasamā ahosi. Bako taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘nāhaṃ tassa aggamahesiṃ kātuṃ dassāmī’’ti senaṃ saṅkaḍḍhitvā tassa paṭititthe nivesanaṃ katvā paṇṇaṃ pesesi – ‘‘bhariyaṃ vā me detu yuddhaṃ vā’’ti. So ‘‘yuddhaṃ dassāmi, na bhariya’’nti vatvā yuddhasajjo ahosi. Ubhinnaṃ amaccā ‘‘mātugāmaṃ nissāya maraṇakiccaṃ natthi, purimasāmikattā esā bakassa pāpuṇāti, nāvāya laddhattā bāvarikassa, tasmā ekekassa gehe satta satta divasāni hotū’’ti mantetvā dvepi rājāno saññāpesuṃ. Te ubhopi attamanā hutvā titthapaṭititthe nagarāni māpetvā vasiṃsu. Sā dvinnampi tesaṃ aggamahesittaṃ kāresi. Dvepi tassā sammattā ahesuṃ. Sā pana ekassa ghare sattāhaṃ vasitvā nāvāya itarassa gharaṃ gacchantī nāvaṃ pājetvā nentena ekena mahallakakhujjakevaṭṭena saddhiṃ nadīmajjhe pāpaṃ karoti. Tadā kuṇālo sakuṇarājā bako ahosi, tasmā idaṃ attanā diṭṭhakāraṇaṃ āharitvā dassento gāthamāha –
๓๑๒.
312.
‘‘พกสฺส จ พาวริกสฺส จ รโญฺญ, อจฺจนฺตกามานุคตสฺส ภริยา;
‘‘Bakassa ca bāvarikassa ca rañño, accantakāmānugatassa bhariyā;
อวาจรี ปฎฺฐวสานุคสฺส, กํ วาปิ อิตฺถี นาติจเร ตทญฺญ’’นฺติฯ
Avācarī paṭṭhavasānugassa, kaṃ vāpi itthī nāticare tadañña’’nti.
ตตฺถ อจฺจนฺตกามานุคตสฺสาติ อจฺจนฺตํ กามํ อนุคตสฺสฯ อวาจรีติ อนาจารํ จริฯ ปฎฺฐวสานุคสฺสาติ ปฎฺฐสฺส อตฺตโน วสานุคตสฺส, อตฺตโน เปสนการสฺส สนฺติเกติ อโตฺถฯ กรณเตฺถ วา สามิวจนํ , เตน สทฺธิํ ปาปมกาสีติ วุตฺตํ โหติฯ ตทญฺญนฺติ กตรํ ตํ อญฺญํ ปุริสํ นาติจเรยฺยาติ อโตฺถฯ
Tattha accantakāmānugatassāti accantaṃ kāmaṃ anugatassa. Avācarīti anācāraṃ cari. Paṭṭhavasānugassāti paṭṭhassa attano vasānugatassa, attano pesanakārassa santiketi attho. Karaṇatthe vā sāmivacanaṃ , tena saddhiṃ pāpamakāsīti vuttaṃ hoti. Tadaññanti kataraṃ taṃ aññaṃ purisaṃ nāticareyyāti attho.
อปราปิ อตีเต พฺรหฺมทตฺตสฺส ภริยา ปิงฺคิยานี นาม อคฺคมเหสี สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา โอโลเกนฺตี มงฺคลอสฺสโคปกํ ทิสฺวา รโญฺญ นิทฺทุปคมนกาเล วาตปาเนน โอรุยฺห เตน สทฺธิํ อติจริตฺวา ปุน ปาสาทํ อารุยฺห คเนฺธหิ สรีรํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา รญฺญา สทฺธิํ นิปชฺชิฯ อเถกทิวสํ ราชา ‘‘กิํ นุ โข เทวิยา อฑฺฒรตฺตสมเย นิจฺจํ สรีรํ สีตํ โหติ, ปริคฺคณฺหิสฺสามิ น’’นฺติ เอกทิวสํ นิทฺทุปคโต วิย หุตฺวา ตํ อุฎฺฐาย คจฺฉนฺติํ อนุคนฺตฺวา อสฺสพเนฺธน สทฺธิํ อติจรนฺติํ ทิสฺวา นิวตฺติตฺวา สยนํ อภิรุหิฯ สาปิ อติจริตฺวา อาคนฺตฺวา จูฬสยนเก นิปชฺชิฯ ปุนทิวเส ราชา อมจฺจคณมเชฺฌเยว ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตํ กิจฺจํ อาวิกตฺวา ‘‘สพฺพาว อิตฺถิโย ปาปธมฺมา’’ติ ตสฺสา วธพนฺธเฉชฺชเภชฺชารหํ โทสํ ขมิตฺวา ฐานา จาเวตฺวา อญฺญํ อคฺคมเหสิํ อกาสิฯ ตทา กุณาโล ราชา พฺรหฺมทโตฺต อโหสิ, เตน ตํ อตฺตนา ทิฎฺฐํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต คาถมาห –
Aparāpi atīte brahmadattassa bhariyā piṅgiyānī nāma aggamahesī sīhapañjaraṃ vivaritvā olokentī maṅgalaassagopakaṃ disvā rañño niddupagamanakāle vātapānena oruyha tena saddhiṃ aticaritvā puna pāsādaṃ āruyha gandhehi sarīraṃ ubbaṭṭetvā raññā saddhiṃ nipajji. Athekadivasaṃ rājā ‘‘kiṃ nu kho deviyā aḍḍharattasamaye niccaṃ sarīraṃ sītaṃ hoti, pariggaṇhissāmi na’’nti ekadivasaṃ niddupagato viya hutvā taṃ uṭṭhāya gacchantiṃ anugantvā assabandhena saddhiṃ aticarantiṃ disvā nivattitvā sayanaṃ abhiruhi. Sāpi aticaritvā āgantvā cūḷasayanake nipajji. Punadivase rājā amaccagaṇamajjheyeva taṃ pakkosāpetvā taṃ kiccaṃ āvikatvā ‘‘sabbāva itthiyo pāpadhammā’’ti tassā vadhabandhachejjabhejjārahaṃ dosaṃ khamitvā ṭhānā cāvetvā aññaṃ aggamahesiṃ akāsi. Tadā kuṇālo rājā brahmadatto ahosi, tena taṃ attanā diṭṭhaṃ āharitvā dassento gāthamāha –
๓๑๓.
313.
‘‘ปิงฺคิยานี สพฺพโลกิสฺสรสฺส, รโญฺญ ปิยา พฺรหฺมทตฺตสฺส ภริยา;
‘‘Piṅgiyānī sabbalokissarassa, rañño piyā brahmadattassa bhariyā;
อวาจรี ปฎฺฐวสานุคสฺส, ตํ วาปิ สา นาชฺฌคา กามกามินี’’ติฯ
Avācarī paṭṭhavasānugassa, taṃ vāpi sā nājjhagā kāmakāminī’’ti.
ตตฺถ ตํ วาติ สา เอวํ อติจรนฺตี ตํ วา อสฺสพนฺธํ ตํ วา อคฺคมเหสิฎฺฐานนฺติ อุภยมฺปิ นาชฺฌคา, อุภโต ภฎฺฐา อโหสิฯ กามกามินีติ กาเม ปตฺถยมานาฯ
Tattha taṃ vāti sā evaṃ aticarantī taṃ vā assabandhaṃ taṃ vā aggamahesiṭṭhānanti ubhayampi nājjhagā, ubhato bhaṭṭhā ahosi. Kāmakāminīti kāme patthayamānā.
เอวํ ปาปธมฺมา อิตฺถิโยติ อตีตวตฺถูหิ อิตฺถีนํ โทสํ กเถตฺวา อปเรนปิ ปริยาเยน ตาสํ โทสเมว กเถโนฺต อาห –
Evaṃ pāpadhammā itthiyoti atītavatthūhi itthīnaṃ dosaṃ kathetvā aparenapi pariyāyena tāsaṃ dosameva kathento āha –
๓๑๔.
314.
‘‘ลุทฺธานํ ลหุจิตฺตานํ, อกตญฺญูน ทุพฺภินํ;
‘‘Luddhānaṃ lahucittānaṃ, akataññūna dubbhinaṃ;
นาเทวสโตฺต ปุริโส, ถีนํ สทฺธาตุมรหติฯ
Nādevasatto puriso, thīnaṃ saddhātumarahati.
๓๑๕.
315.
‘‘น ตา ปชานนฺติ กตํ น กิจฺจํ, น มาตรํ ปิตรํ ภาตรํ วา;
‘‘Na tā pajānanti kataṃ na kiccaṃ, na mātaraṃ pitaraṃ bhātaraṃ vā;
อนริยา สมติกฺกนฺตธมฺมา, สเสฺสว จิตฺตสฺส วสํ วชนฺติฯ
Anariyā samatikkantadhammā, sasseva cittassa vasaṃ vajanti.
๓๑๖.
316.
‘‘จิรานุวุฎฺฐมฺปิ ปิยํ มนาปํ, อนุกมฺปกํ ปาณสมมฺปิ ภตฺตุํ;
‘‘Cirānuvuṭṭhampi piyaṃ manāpaṃ, anukampakaṃ pāṇasamampi bhattuṃ;
อาวาสุ กิเจฺจสุ จ นํ ชหนฺติ, ตสฺมาหมิตฺถีนํ น วิสฺสสามิฯ
Āvāsu kiccesu ca naṃ jahanti, tasmāhamitthīnaṃ na vissasāmi.
๓๑๗.
317.
‘‘ถีนญฺหิ จิตฺตํ ยถา วานรสฺส, กนฺนปฺปกนฺนํ ยถา รุกฺขฉายา;
‘‘Thīnañhi cittaṃ yathā vānarassa, kannappakannaṃ yathā rukkhachāyā;
จลาจลํ หทยมิตฺถิยานํ, จกฺกสฺส เนมิ วิย ปริวตฺตติฯ
Calācalaṃ hadayamitthiyānaṃ, cakkassa nemi viya parivattati.
๓๑๘.
318.
‘‘ยทา ตา ปสฺสนฺติ สเมกฺขมานา, อาเทยฺยรูปํ ปุริสสฺส วิตฺตํ;
‘‘Yadā tā passanti samekkhamānā, ādeyyarūpaṃ purisassa vittaṃ;
สณฺหาหิ วาจาหิ นยนฺติ เมนํ, กโมฺพชกา ชลเชเนว อสฺสํฯ
Saṇhāhi vācāhi nayanti menaṃ, kambojakā jalajeneva assaṃ.
๓๑๙.
319.
‘‘ยทา น ปสฺสนฺติ สเมกฺขมานา, อาเทยฺยรูปํ ปุริสสฺส วิตฺตํ;
‘‘Yadā na passanti samekkhamānā, ādeyyarūpaṃ purisassa vittaṃ;
สมนฺตโต นํ ปริวชฺชยนฺติ, ติโณฺณ นทีปารคโตว กุลฺลํฯ
Samantato naṃ parivajjayanti, tiṇṇo nadīpāragatova kullaṃ.
๓๒๐.
320.
‘‘สิเลสูปมา สิขิริว สพฺพภกฺขา, ติกฺขมายา นทีริว สีฆโสตา;
‘‘Silesūpamā sikhiriva sabbabhakkhā, tikkhamāyā nadīriva sīghasotā;
เสวนฺติ เหตา ปิยมปฺปิยญฺจ, นาวา ยถา โอรกุลํ ปรญฺจฯ
Sevanti hetā piyamappiyañca, nāvā yathā orakulaṃ parañca.
๓๒๑.
321.
‘‘น ตา เอกสฺส น ทฺวินฺนํ, อาปโณว ปสาริโต;
‘‘Na tā ekassa na dvinnaṃ, āpaṇova pasārito;
โย ตา มยฺหนฺติ มเญฺญยฺย, วาตํ ชาเลน พาธเยฯ
Yo tā mayhanti maññeyya, vātaṃ jālena bādhaye.
๓๒๒.
322.
‘‘ยถา นที จ ปโนฺถ จ, ปานาคารํ สภา ปปา;
‘‘Yathā nadī ca pantho ca, pānāgāraṃ sabhā papā;
เอวํ โลกิตฺถิโย นาม, เวลา ตาสํ น วิชฺชติฯ
Evaṃ lokitthiyo nāma, velā tāsaṃ na vijjati.
๓๒๓.
323.
‘‘ฆตาสนสมา เอตา, กณฺหสปฺปสิรูปมา;
‘‘Ghatāsanasamā etā, kaṇhasappasirūpamā;
คาโว พหิ ติณเสฺสว, โอมสนฺติ วรํ วรํฯ
Gāvo bahi tiṇasseva, omasanti varaṃ varaṃ.
๓๒๔.
324.
‘‘ฆตาสนํ กุญฺชรํ กณฺหสปฺปํ, มุทฺธาภิสิตฺตํ ปมทา จ สพฺพา;
‘‘Ghatāsanaṃ kuñjaraṃ kaṇhasappaṃ, muddhābhisittaṃ pamadā ca sabbā;
เอเต นโร นิจฺจยโต ภเชถ, เตสํ หเว ทุพฺพิทุ สพฺพภาโวฯ
Ete naro niccayato bhajetha, tesaṃ have dubbidu sabbabhāvo.
๓๒๕.
325.
‘‘นจฺจนฺตวณฺณา น พหูน กนฺตา, น ทกฺขิณา ปมทา เสวิตพฺพา;
‘‘Naccantavaṇṇā na bahūna kantā, na dakkhiṇā pamadā sevitabbā;
น ปรสฺส ภริยา น ธนสฺส เหตุ, เอติตฺถิโย ปญฺจ น เสวิตพฺพา’’ติฯ
Na parassa bhariyā na dhanassa hetu, etitthiyo pañca na sevitabbā’’ti.
ตตฺถ ลุทฺธานนฺติ ลุพฺภานํฯ กณเวรชาตเก (ชา. ๑.๔.๖๙-๗๒) วิย พทฺธโจเรปิ สารชฺชนํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ลหุจิตฺตานนฺติ มุหุตฺตเมว ปริวตฺตนจิตฺตานํฯ จูฬธนุคฺคหชาตเกน (ชา. ๑.๕.๑๒๘ อาทโย) เอตํ ทีเปตพฺพํฯ อกตญฺญุตา ปน เอตาสํ เอกกนิปาเต ตกฺการิยชาตเกน (ชา. ๑.๑๓.๑๐๔ อาทโย) ทีเปตพฺพาฯ นาเทวสโตฺตติ น อเทวสโตฺต เทเวน อนาสโตฺต อยกฺขคหิตโก อภูตวิโฎฺฐ ปุริโส ถีนํ สีลวนฺตตํ สทฺธาตุํ นารหติ, ภูตวิโฎฺฐ ปน สทฺทเหยฺยฯ กตนฺติ อตฺตโน กตํ อุปการํฯ กิจฺจนฺติ อตฺตนา กตฺตพฺพํ กิจฺจํฯ น มาตรนฺติ สเพฺพปิ ญาตเก ฉเฑฺฑตฺวา ยสฺมิํ ปฎิพทฺธจิตฺตา โหนฺติ, ตเญฺญว อนุพนฺธนโต เอเต มาตาทโย น ชานนฺติ นาม มหาปนฺถกมาตา วิยฯ อนริยาติ นิลฺลชฺชาฯ สเสฺสวาติ สกสฺสฯ อาวาสูติ อาปทาสุฯ กิเจฺจสูติ เตสุ เตสุ กรณีเยสุฯ
Tattha luddhānanti lubbhānaṃ. Kaṇaverajātake (jā. 1.4.69-72) viya baddhacorepi sārajjanaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Lahucittānanti muhuttameva parivattanacittānaṃ. Cūḷadhanuggahajātakena (jā. 1.5.128 ādayo) etaṃ dīpetabbaṃ. Akataññutā pana etāsaṃ ekakanipāte takkāriyajātakena (jā. 1.13.104 ādayo) dīpetabbā. Nādevasattoti na adevasatto devena anāsatto ayakkhagahitako abhūtaviṭṭho puriso thīnaṃ sīlavantataṃ saddhātuṃ nārahati, bhūtaviṭṭho pana saddaheyya. Katanti attano kataṃ upakāraṃ. Kiccanti attanā kattabbaṃ kiccaṃ. Na mātaranti sabbepi ñātake chaḍḍetvā yasmiṃ paṭibaddhacittā honti, taññeva anubandhanato ete mātādayo na jānanti nāma mahāpanthakamātā viya. Anariyāti nillajjā. Sassevāti sakassa. Āvāsūti āpadāsu. Kiccesūti tesu tesu karaṇīyesu.
กนฺนปฺปกนฺนนฺติ โอติโณฺณติณฺณํฯ ยถา หิ วิสเม ปเทเส รุกฺขฉายา นินฺนมฺปิโอโรหติ, ถลมฺปิ อภิรุหติ, ตถา เอตาสมฺปิ จิตฺตํ น กญฺจิ อุตฺตมาธมํ วเชฺชติฯ จลาจลนฺติ เอกสฺมิํเยว อปติฎฺฐิตํฯ เนมิ วิยาติ สกฎสฺส คจฺฉโต จกฺกเนมิ วิยฯ อาเทยฺยรูปนฺติ คเหตพฺพชาติกํฯ วิตฺตนฺติ ธนํฯ นยนฺตีติ อตฺตโน วสํ เนนฺติฯ ชลเชนาติ ชลชาตเสวาเลนฯ กโมฺพชรฎฺฐวาสิโน กิร ยทา อฎวิโต อเสฺส คณฺหิตุกามา โหนฺติ, ตทา เอกสฺมิํ ฐาเน วติํ ปริกฺขิปิตฺวา ทฺวารํ โยเชตฺวา อสฺสานํ อุทกปานติเตฺถ เสวาลํ มธุนา มเกฺขตฺวา เสวาลสมฺพนฺธานิ ตีเร ติณานิ อาทิํ กตฺวา ยาว ปริเกฺขปทฺวารา มเกฺขนฺติ, อสฺสา ปานียํ ปิวิตฺวา รสคิเทฺธน มธุนา มกฺขิตานิ ตานิ ติณานิ ขาทนฺตา อนุกฺกเมน ตํ ฐานํ ปวิสนฺติฯ อิติ ยถา เต ชลเชน ปโลเภตฺวา อเสฺส วสํ เนนฺติ, ตถา เอตาปิ ธนํ ทิสฺวา ตสฺส คหณตฺถาย สณฺหาหิ วาจาหิปิ ปุริสํ วสํ เนนฺตีติ อโตฺถฯ กุลฺลนฺติ ตรณตฺถาย คหิตํ ยํ กิญฺจิฯ
Kannappakannanti otiṇṇotiṇṇaṃ. Yathā hi visame padese rukkhachāyā ninnampiorohati, thalampi abhiruhati, tathā etāsampi cittaṃ na kañci uttamādhamaṃ vajjeti. Calācalanti ekasmiṃyeva apatiṭṭhitaṃ. Nemi viyāti sakaṭassa gacchato cakkanemi viya. Ādeyyarūpanti gahetabbajātikaṃ. Vittanti dhanaṃ. Nayantīti attano vasaṃ nenti. Jalajenāti jalajātasevālena. Kambojaraṭṭhavāsino kira yadā aṭavito asse gaṇhitukāmā honti, tadā ekasmiṃ ṭhāne vatiṃ parikkhipitvā dvāraṃ yojetvā assānaṃ udakapānatitthe sevālaṃ madhunā makkhetvā sevālasambandhāni tīre tiṇāni ādiṃ katvā yāva parikkhepadvārā makkhenti, assā pānīyaṃ pivitvā rasagiddhena madhunā makkhitāni tāni tiṇāni khādantā anukkamena taṃ ṭhānaṃ pavisanti. Iti yathā te jalajena palobhetvā asse vasaṃ nenti, tathā etāpi dhanaṃ disvā tassa gahaṇatthāya saṇhāhi vācāhipi purisaṃ vasaṃ nentīti attho. Kullanti taraṇatthāya gahitaṃ yaṃ kiñci.
สิเลสูปมาติ ปุริสานํ จิตฺตพนฺธเนน สิเลสสทิสาฯ ติกฺขมายาติ ติขิณมายา สีฆมายาฯ นทีริวาติ ยถา ปพฺพเตยฺยา นที สีฆโสตา, เอวํ สีฆมายาติ อโตฺถฯ อาปโณวาติ ยถา จ ปสาริตาปโณ เยสํ มูลํ อตฺถิ, เตสเญฺญว อุปกาโร, ตเถว ตาปิฯ โย ตาติ โย ปุริโส ตา อิตฺถิโยฯ พาธเยติ โส วาตํ ชาเลน พาเธยฺยฯ เวลา ตาสํ น วิชฺชตีติ ยถา เอเตสํ นทีอาทีนํ ‘‘อสุกเวลายเมว เอตฺถ คนฺตพฺพ’’นฺติ เวลา นตฺถิ, รตฺติมฺปิ ทิวาปิ อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ อุปคนฺตพฺพาเนว, อสุเกเนวาติปิ มริยาทา นตฺถิ, อตฺถิเกน อุปคนฺตพฺพาเนว, ตถา ตาสมฺปีติ อโตฺถฯ
Silesūpamāti purisānaṃ cittabandhanena silesasadisā. Tikkhamāyāti tikhiṇamāyā sīghamāyā. Nadīrivāti yathā pabbateyyā nadī sīghasotā, evaṃ sīghamāyāti attho. Āpaṇovāti yathā ca pasāritāpaṇo yesaṃ mūlaṃ atthi, tesaññeva upakāro, tatheva tāpi. Yo tāti yo puriso tā itthiyo. Bādhayeti so vātaṃ jālena bādheyya. Velā tāsaṃ na vijjatīti yathā etesaṃ nadīādīnaṃ ‘‘asukavelāyameva ettha gantabba’’nti velā natthi, rattimpi divāpi icchiticchitakkhaṇe upagantabbāneva, asukenevātipi mariyādā natthi, atthikena upagantabbāneva, tathā tāsampīti attho.
ฆตาสนสมา เอตาติ ยถา อคฺคิ อินฺธเนน น ตปฺปติ, เอวเมตาปิ กิเลสรติยาฯ กณฺหสปฺปสิรูปมาติ โกธนตาย อุปนาหิตาย โฆรวิสตาย ทุชิวฺหตาย มิตฺตทุพฺภิตายาติ ปญฺจหิ การเณหิ กณฺหสปฺปสิรสทิสาฯ ตตฺถ พหุลราคตาย โฆรวิสตา, ปิสุณตาย ทุชิวฺหตา, อติจาริตาย มิตฺตทุพฺภิตา เวทิตพฺพาฯ คาโว พหิ ติณเสฺสวาติ ยถา คาโว ขาทิตฎฺฐานํ ฉเฑฺฑตฺวา พหิ มนาปมนาปสฺส ติณสฺส วรํ วรํ โอมสนฺติ ขาทนฺติ, เอวเมตาปิ นิทฺธนํ ฉเฑฺฑตฺวา อญฺญํ สธนเมว ภชนฺตีติ อโตฺถฯ มุทฺธาภิสิตฺตนฺติ ราชานํฯ ปมทา จ สพฺพาติ สพฺพา จ อิตฺถิโยฯ เอเตติ เอเต ปญฺจ ชเนฯ นิจฺจยโตติ นิจฺจสญฺญโต, อุปฎฺฐิตสฺสติ อปฺปมโตฺตว หุตฺวาติ อโตฺถฯ ทุพฺพิทูติ ทุชฺชาโนฯ สพฺพภาโวติ อชฺฌาสโยฯ จิรปริจิโณฺณปิ หิ อคฺคิ ทหติ, จิรวิสฺสาสิโกปิ กุญฺชโร ฆาเตติ, จิรปริจิโตปิ สโปฺป ฑํสติ, จิรวิสฺสาสิโกปิ ราชา อนตฺถกโร โหติ, เอวํ จิราจิณฺณาปิ อิตฺถิโย วิการํ ทเสฺสนฺตีติฯ
Ghatāsanasamā etāti yathā aggi indhanena na tappati, evametāpi kilesaratiyā. Kaṇhasappasirūpamāti kodhanatāya upanāhitāya ghoravisatāya dujivhatāya mittadubbhitāyāti pañcahi kāraṇehi kaṇhasappasirasadisā. Tattha bahularāgatāya ghoravisatā, pisuṇatāya dujivhatā, aticāritāya mittadubbhitā veditabbā. Gāvo bahi tiṇassevāti yathā gāvo khāditaṭṭhānaṃ chaḍḍetvā bahi manāpamanāpassa tiṇassa varaṃ varaṃ omasanti khādanti, evametāpi niddhanaṃ chaḍḍetvā aññaṃ sadhanameva bhajantīti attho. Muddhābhisittanti rājānaṃ. Pamadā ca sabbāti sabbā ca itthiyo. Eteti ete pañca jane. Niccayatoti niccasaññato, upaṭṭhitassati appamattova hutvāti attho. Dubbidūti dujjāno. Sabbabhāvoti ajjhāsayo. Cirapariciṇṇopi hi aggi dahati, ciravissāsikopi kuñjaro ghāteti, ciraparicitopi sappo ḍaṃsati, ciravissāsikopi rājā anatthakaro hoti, evaṃ cirāciṇṇāpi itthiyo vikāraṃ dassentīti.
นจฺจนฺตวณฺณาติ อภิรูปวตีฯ น พหูน กนฺตาติ อฑฺฒกาสิคณิกา วิย พหูนํ ปิยา มนาปาฯ น ทกฺขิณาติ นจฺจคีตกุสลาฯ ตถารูปา หิ พหุปตฺถิตา พหุมิตฺตา โหนฺติ, ตสฺมา น เสวิตพฺพาฯ น ธนสฺส เหตูติ ยา ธนเหตุเยว ภชติ, สา อปริคฺคหาปิ น เสวิตพฺพาฯ สา หิ ธนํ อลภมานา กุชฺฌตีติฯ
Naccantavaṇṇāti abhirūpavatī. Na bahūna kantāti aḍḍhakāsigaṇikā viya bahūnaṃ piyā manāpā. Na dakkhiṇāti naccagītakusalā. Tathārūpā hi bahupatthitā bahumittā honti, tasmā na sevitabbā. Na dhanassa hetūti yā dhanahetuyeva bhajati, sā apariggahāpi na sevitabbā. Sā hi dhanaṃ alabhamānā kujjhatīti.
เอวํ วุเตฺต มหาชโน มหาสตฺตสฺส ‘‘อโห สุกถิต’’นฺติ สาธุการมทาสิฯ โสปิ เอตฺตเกหิ การเณหิ อิตฺถีนํ อคุณํ กเถตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ ตํ สุตฺวา อานโนฺท คิชฺฌราชา, ‘‘สมฺม กุณาล, อหมฺปิ อตฺตโน ญาณพเลน อิตฺถีนํ อคุณํ กเถสฺสามี’’ติ วตฺวา อคุณกถํ อารภิฯ ตํ ทเสฺสโนฺต สตฺถา อาห –
Evaṃ vutte mahājano mahāsattassa ‘‘aho sukathita’’nti sādhukāramadāsi. Sopi ettakehi kāraṇehi itthīnaṃ aguṇaṃ kathetvā tuṇhī ahosi. Taṃ sutvā ānando gijjharājā, ‘‘samma kuṇāla, ahampi attano ñāṇabalena itthīnaṃ aguṇaṃ kathessāmī’’ti vatvā aguṇakathaṃ ārabhi. Taṃ dassento satthā āha –
‘‘อถ ขลุ, โภ, อานโนฺท คิชฺฌราชา กุณาลสฺส อาทิมชฺฌกถาปริโยสานํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมา คาถา อภาสิ –
‘‘Atha khalu, bho, ānando gijjharājā kuṇālassa ādimajjhakathāpariyosānaṃ viditvā tāyaṃ velāyaṃ imā gāthā abhāsi –
๓๒๖.
326.
‘‘ปุณฺณมฺปิ เจมํ ปถวิํ ธเนน, ทชฺชิตฺถิยา ปุริโส สมฺมตาย;
‘‘Puṇṇampi cemaṃ pathaviṃ dhanena, dajjitthiyā puriso sammatāya;
ลทฺธา ขณํ อติมเญฺญยฺย ตมฺปิ, ตาสํ วสํ อสตีนํ น คเจฺฉฯ
Laddhā khaṇaṃ atimaññeyya tampi, tāsaṃ vasaṃ asatīnaṃ na gacche.
๓๒๗.
327.
‘‘อุฎฺฐาหกํ เจปิ อลีนวุตฺติํ, โกมารภตฺตารํ ปิยํ มนาปํ;
‘‘Uṭṭhāhakaṃ cepi alīnavuttiṃ, komārabhattāraṃ piyaṃ manāpaṃ;
อาวาสุ กิเจฺจสุ จ นํ ชหนฺติ, ตสฺมาหมิตฺถีนํ น วิสฺสสามิฯ
Āvāsu kiccesu ca naṃ jahanti, tasmāhamitthīnaṃ na vissasāmi.
๓๒๘.
328.
‘‘น วิสฺสเส ‘อิจฺฉติ ม’นฺติ โปโส, น วิสฺสเส ‘โรทติ เม สกาเส’;
‘‘Na vissase ‘icchati ma’nti poso, na vissase ‘rodati me sakāse’;
เสวนฺติ เหตา ปิยมปฺปิยญฺจ, นาวา ยถา โอรกูลํ ปรญฺจฯ
Sevanti hetā piyamappiyañca, nāvā yathā orakūlaṃ parañca.
๓๒๙.
329.
‘‘น วิสฺสเส สาขปุราณสนฺถตํ, น วิสฺสเส มิตฺตปุราณโจรํ;
‘‘Na vissase sākhapurāṇasanthataṃ, na vissase mittapurāṇacoraṃ;
น วิสฺสเส ราชานํ ‘สขา มม’นฺติ, น วิสฺสเส อิตฺถิ ทสนฺน มาตรํฯ
Na vissase rājānaṃ ‘sakhā mama’nti, na vissase itthi dasanna mātaraṃ.
๓๓๐.
330.
‘‘น วิสฺสเส รามกราสุ นาริสุ, อจฺจนฺตสีลาสุ อสญฺญตาสุ;
‘‘Na vissase rāmakarāsu nārisu, accantasīlāsu asaññatāsu;
อจฺจนฺตเปมานุคตสฺส ภริยา, น วิสฺสเส ติตฺถสมา หิ นาริโยฯ
Accantapemānugatassa bhariyā, na vissase titthasamā hi nāriyo.
๓๓๑.
331.
‘‘หเนยฺยุํ ฉิเนฺทยฺยุํ เฉทาเปยฺยุมฺปิ, กเณฺฐปิ เฉตฺวา รุธิรํ ปิเวยฺยุํ;
‘‘Haneyyuṃ chindeyyuṃ chedāpeyyumpi, kaṇṭhepi chetvā rudhiraṃ piveyyuṃ;
มา ทีนกามาสุ อสญฺญตาสุ, ภาวํ กเร คงฺคติตฺถูปมาสุฯ
Mā dīnakāmāsu asaññatāsu, bhāvaṃ kare gaṅgatitthūpamāsu.
๓๓๒.
332.
‘‘มุสา ตาสํ ยถา สจฺจํ, สจฺจํ ตาสํ ยถา มุสา;
‘‘Musā tāsaṃ yathā saccaṃ, saccaṃ tāsaṃ yathā musā;
คาโว พหิ ติณเสฺสว, โอมสนฺติ วรํ วรํฯ
Gāvo bahi tiṇasseva, omasanti varaṃ varaṃ.
๓๓๓.
333.
‘‘คเตเนตา ปโลเภนฺติ, เปกฺขิเตน มฺหิเตน จ;
‘‘Gatenetā palobhenti, pekkhitena mhitena ca;
อโถปิ ทุนฺนิวเตฺถน, มญฺชุนา ภณิเตน จฯ
Athopi dunnivatthena, mañjunā bhaṇitena ca.
๓๓๔.
334.
‘‘โจริโย กถินา เหตา, วาฬา จ ลปสกฺขรา;
‘‘Coriyo kathinā hetā, vāḷā ca lapasakkharā;
น ตา กิญฺจิ น ชานนฺติ, ยํ มนุเสฺสสุ วญฺจนํฯ
Na tā kiñci na jānanti, yaṃ manussesu vañcanaṃ.
๓๓๕.
335.
‘‘อสา โลกิตฺถิโย นาม, เวลา ตาสํ น วิชฺชติ;
‘‘Asā lokitthiyo nāma, velā tāsaṃ na vijjati;
สารตฺตา จ ปคพฺภา จ, สิขี สพฺพฆโส ยถาฯ
Sārattā ca pagabbhā ca, sikhī sabbaghaso yathā.
๓๓๖.
336.
‘‘นตฺถิตฺถีนํ ปิโย นาม, อปฺปิโยปิ น วิชฺชติ;
‘‘Natthitthīnaṃ piyo nāma, appiyopi na vijjati;
เสวนฺติ เหตา ปิยมปฺปิยญฺจ, นาวา ยถา โอรกูลํ ปรญฺจฯ
Sevanti hetā piyamappiyañca, nāvā yathā orakūlaṃ parañca.
๓๓๗.
337.
‘‘นตฺถิตฺถีนํ ปิโย นาม, อปฺปิโยปิ น วิชฺชติ;
‘‘Natthitthīnaṃ piyo nāma, appiyopi na vijjati;
ธนตฺตา ปฎิวลฺลนฺติ, ลตาว ทุมนิสฺสิตาฯ
Dhanattā paṭivallanti, latāva dumanissitā.
๓๓๘.
338.
‘‘หตฺถิพนฺธํ อสฺสพนฺธํ, โคปุริสญฺจ มณฺฑลํ;
‘‘Hatthibandhaṃ assabandhaṃ, gopurisañca maṇḍalaṃ;
ฉวฑาหกํ ปุปฺผฉฑฺฑกํ, สธนมนุปตนฺติ นาริโยฯ
Chavaḍāhakaṃ pupphachaḍḍakaṃ, sadhanamanupatanti nāriyo.
๓๓๙.
339.
‘‘กุลปุตฺตมฺปิ ชหนฺติ อกิญฺจนํ, ฉวกสมสทิสมฺปิ;
‘‘Kulaputtampi jahanti akiñcanaṃ, chavakasamasadisampi;
อนุคจฺฉนฺติ อนุปตนฺติ, ธนเหตุ หิ นาริโย’’ติฯ
Anugacchanti anupatanti, dhanahetu hi nāriyo’’ti.
ตตฺถ อาทิมชฺฌกถาปริโยสานนฺติ กถาย อาทิมชฺฌปริโยสานํฯ ลทฺธา ขณนฺติ โอกาสํ ลภิตฺวาฯ อิจฺฉติ มนฺติ มํ เอสา อิจฺฉตีติ ปุริโส อิตฺถิํ น วิสฺสเสยฺยฯ สาขปุราณสนฺถตนฺติ หิโยฺย วา ปเร วา สนฺถตํ ปุราณสาขาสนฺถตํ น วิสฺสเส, อปโปฺผเฎตฺวา อปจฺจเวกฺขิตฺวา น ปริภุเญฺชยฺยฯ ตตฺร หิ ทีฆชาติโก วา ปวิสิตฺวา ติเฎฺฐเยฺย, ปจฺจามิโตฺต วา สตฺถํ นิกฺขิเปยฺยฯ มิตฺตปุราณโจรนฺติ ปนฺถทูหนฎฺฐาเน ฐิตํ โจรํ ‘‘ปุราณมิโตฺต เม’’ติ น วิสฺสเสยฺยฯ โจรา หิ เย สญฺชานนฺติ เตเยว มาเรนฺติฯ สขา มมนฺติ โส หิ ขิปฺปเมว กุชฺฌติ, ตสฺมา ราชานํ ‘‘สขา เม’’ติ น วิสฺสเสฯ ทสนฺนมาตรนฺติ ‘‘อยํ มหลฺลิกา อิทานิ มํ น อติจริสฺสติ, อตฺตานํ รกฺขิสฺสตี’’ติ น วิสฺสเสตพฺพาฯ รามกราสูติ พาลานํ รติกราสุฯ อจฺจนฺตสีลาสูติ อติกฺกนฺตสีลาสุฯ อจฺจนฺตเปมานุคตสฺสาติ สเจปิ อจฺจนฺตํ อนุคตเปมา อสฺส, ตถาปิ ตํ น วิสฺสเสฯ กิํการณา? ติตฺถสมา หิ นาริโยติ สมฺพโนฺธ, ติตฺถํ วิย สพฺพสาธารณาติ อโตฺถฯ
Tattha ādimajjhakathāpariyosānanti kathāya ādimajjhapariyosānaṃ. Laddhā khaṇanti okāsaṃ labhitvā. Icchati manti maṃ esā icchatīti puriso itthiṃ na vissaseyya. Sākhapurāṇasanthatanti hiyyo vā pare vā santhataṃ purāṇasākhāsanthataṃ na vissase, apapphoṭetvā apaccavekkhitvā na paribhuñjeyya. Tatra hi dīghajātiko vā pavisitvā tiṭṭheyye, paccāmitto vā satthaṃ nikkhipeyya. Mittapurāṇacoranti panthadūhanaṭṭhāne ṭhitaṃ coraṃ ‘‘purāṇamitto me’’ti na vissaseyya. Corā hi ye sañjānanti teyeva mārenti. Sakhā mamanti so hi khippameva kujjhati, tasmā rājānaṃ ‘‘sakhā me’’ti na vissase. Dasannamātaranti ‘‘ayaṃ mahallikā idāni maṃ na aticarissati, attānaṃ rakkhissatī’’ti na vissasetabbā. Rāmakarāsūti bālānaṃ ratikarāsu. Accantasīlāsūti atikkantasīlāsu. Accantapemānugatassāti sacepi accantaṃ anugatapemā assa, tathāpi taṃ na vissase. Kiṃkāraṇā? Titthasamā hi nāriyoti sambandho, titthaṃ viya sabbasādhāraṇāti attho.
หเนยฺยุนฺติ กุทฺธา วา อญฺญปุริสสารตฺตา วา หุตฺวา สพฺพเมตํ หนนาทิํ กเรยฺยุํฯ มา ทีนกามาสูติ หีนชฺฌาสยาสุ สํกิลิฎฺฐอาสยาสุฯ ภาวนฺติ เอวรูปาสุ สิเนหํ มา กเรฯ คงฺคติตฺถูปมาสูติ สพฺพสาธารณเฎฺฐน คงฺคาติตฺถสทิสาสุฯ มุสาติ มุสาวาโท ตาสํ สจฺจสทิโสวฯ คเตนาติอาทีสุ เปกฺขิเตน ปโลภเน อุมฺมาทนฺตีชาตกํ, (ชา. ๒.๑๘.๕๗ อาทโย) ทุนฺนิวเตฺถน นิฬินิกาชาตกํ, (ชา. ๒.๑๘.๑ อาทโย) มญฺชุนา ภณิเตน ‘‘ตุวฎํ โข, อยฺยปุตฺต, อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ นนฺทเตฺถรสฺส วตฺถุ (อุทา. ๒๒) กเถตพฺพํฯ โจริโยติ สมฺภตสฺส ธนสฺส วินาสเนน โจริโยฯ กถินาติ ถทฺธหทยาฯ วาฬาติ ทุฎฺฐา อปฺปเกเนว กุชฺฌนสีลาฯ ลปสกฺขราติ นิรตฺถกลปเนน สกฺขรา วิย มธุราฯ อสาติ อสติโย ลามกาฯ สารตฺตาติ สพฺพทา สารตฺตาฯ ปคพฺภาติ กายปาคพฺภิยาทีหิ ปคพฺภาฯ ยถาติ ยถา สิขี สพฺพฆโส, เอวเมตาปิ สพฺพฆสาฯ ปฎิวลฺลนฺตีติ ปริสฺสชนฺติ อุปคูหนฺติ เวเฐนฺติฯ ลตาวาติ ยถา ลตา รุกฺขนิสฺสิตา รุกฺขํ เวเฐนฺติ, เอวเมตา ปุริสํ ปริสฺสชนฺติ นามฯ
Haneyyunti kuddhā vā aññapurisasārattā vā hutvā sabbametaṃ hananādiṃ kareyyuṃ. Mā dīnakāmāsūti hīnajjhāsayāsu saṃkiliṭṭhaāsayāsu. Bhāvanti evarūpāsu sinehaṃ mā kare. Gaṅgatitthūpamāsūti sabbasādhāraṇaṭṭhena gaṅgātitthasadisāsu. Musāti musāvādo tāsaṃ saccasadisova. Gatenātiādīsu pekkhitena palobhane ummādantījātakaṃ, (jā. 2.18.57 ādayo) dunnivatthena niḷinikājātakaṃ, (jā. 2.18.1 ādayo) mañjunā bhaṇitena ‘‘tuvaṭaṃ kho, ayyaputta, āgaccheyyāsī’’ti nandattherassa vatthu (udā. 22) kathetabbaṃ. Coriyoti sambhatassa dhanassa vināsanena coriyo. Kathināti thaddhahadayā. Vāḷāti duṭṭhā appakeneva kujjhanasīlā. Lapasakkharāti niratthakalapanena sakkharā viya madhurā. Asāti asatiyo lāmakā. Sārattāti sabbadā sārattā. Pagabbhāti kāyapāgabbhiyādīhi pagabbhā. Yathāti yathā sikhī sabbaghaso, evametāpi sabbaghasā. Paṭivallantīti parissajanti upagūhanti veṭhenti. Latāvāti yathā latā rukkhanissitā rukkhaṃ veṭhenti, evametā purisaṃ parissajanti nāma.
หตฺถิพนฺธนฺติอาทีสุ โคปุริโส วุจฺจติ โคปาลโกฯ ฉวฑาหกนฺติ ฉวานํ ฑาหกํ, สุสานปาลนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ปุปฺผฉฑฺฑกนฺติ วจฺจฎฺฐานโสธกํฯ สธนนฺติ เอเตสุปิ สธนํ อนุคจฺฉนฺติเยว ฯ อกิญฺจนนฺติ อธนํฯ ฉวกสมสทิสนฺติ สุนขมํสขาทจณฺฑาเลน สมํ สทิสํ, เตน นิพฺพิเสสมฺปิ ปุริสํ คจฺฉนฺติ ภชนฺติฯ กสฺมา? ยสฺมา อนุปตนฺติ ธนเหตุ นาริโยติฯ
Hatthibandhantiādīsu gopuriso vuccati gopālako. Chavaḍāhakanti chavānaṃ ḍāhakaṃ, susānapālanti vuttaṃ hoti. Pupphachaḍḍakanti vaccaṭṭhānasodhakaṃ. Sadhananti etesupi sadhanaṃ anugacchantiyeva . Akiñcananti adhanaṃ. Chavakasamasadisanti sunakhamaṃsakhādacaṇḍālena samaṃ sadisaṃ, tena nibbisesampi purisaṃ gacchanti bhajanti. Kasmā? Yasmā anupatanti dhanahetu nāriyoti.
เอวํ อตฺตโน ญาเณ ฐตฺวา อานโนฺท คิชฺฌราชา อิตฺถีนํ อคุณํ กเถตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ ตสฺส วจนํ สุตฺวา นารโทปิ อตฺตโน ญาเณ ฐตฺวา ตาสํ อคุณํ กเถสิฯ ตํ ทเสฺสโนฺต สตฺถา อาห –
Evaṃ attano ñāṇe ṭhatvā ānando gijjharājā itthīnaṃ aguṇaṃ kathetvā tuṇhī ahosi. Tassa vacanaṃ sutvā nāradopi attano ñāṇe ṭhatvā tāsaṃ aguṇaṃ kathesi. Taṃ dassento satthā āha –
‘‘อถ ขลุ, โภ, นารโท เทวพฺราหฺมโณ อานนฺทสฺส คิชฺฌราชสฺส อาทิมชฺฌกถาปริโยสานํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมา คาถา อภาสิ –
‘‘Atha khalu, bho, nārado devabrāhmaṇo ānandassa gijjharājassa ādimajjhakathāpariyosānaṃ viditvā tāyaṃ velāyaṃ imā gāthā abhāsi –
๓๔๐.
340.
‘‘‘จตฺตาโรเม น ปูเรนฺติ, เต เม สุณาถ ภาสโต;
‘‘‘Cattārome na pūrenti, te me suṇātha bhāsato;
สมุโทฺท พฺราหฺมโณ ราชา, อิตฺถี จาปิ ทิชมฺปติฯ
Samuddo brāhmaṇo rājā, itthī cāpi dijampati.
๓๔๑.
341.
‘‘สริตา สาครํ ยนฺติ, ยา กาจิ ปถวิสฺสิตา;
‘‘Saritā sāgaraṃ yanti, yā kāci pathavissitā;
ตา สมุทฺทํ น ปูเรนฺติ, อูนตฺตา หิ น ปูรติฯ
Tā samuddaṃ na pūrenti, ūnattā hi na pūrati.
๓๔๒.
342.
‘‘พฺราหฺมโณ จ อธียาน, เวทมกฺขานปญฺจมํ;
‘‘Brāhmaṇo ca adhīyāna, vedamakkhānapañcamaṃ;
ภิโยฺยปิ สุตมิเจฺฉยฺย, อูนตฺตา หิ น ปูรติฯ
Bhiyyopi sutamiccheyya, ūnattā hi na pūrati.
๓๔๓.
343.
‘‘ราชา จ ปถวิํ สพฺพํ, สสมุทฺทํ สปพฺพตํ;
‘‘Rājā ca pathaviṃ sabbaṃ, sasamuddaṃ sapabbataṃ;
อชฺฌาวสํ วิชินิตฺวา, อนนฺตรตโนจิตํ;
Ajjhāvasaṃ vijinitvā, anantaratanocitaṃ;
ปารํ สมุทฺทํ ปเตฺถติ อูนตฺตา หิ น ปูรติฯ
Pāraṃ samuddaṃ pattheti ūnattā hi na pūrati.
๓๔๔.
344.
‘‘เอกเมกาย อิตฺถิยา, อฎฺฐฎฺฐ ปติโน สิยา;
‘‘Ekamekāya itthiyā, aṭṭhaṭṭha patino siyā;
สูรา จ พลวโนฺต จ, สพฺพกามรสาหรา;
Sūrā ca balavanto ca, sabbakāmarasāharā;
กเรยฺย นวเม ฉนฺทํ, อูนตฺตา หิ น ปูรติฯ
Kareyya navame chandaṃ, ūnattā hi na pūrati.
๓๔๕.
345.
‘‘สพฺพิตฺถิโย สิขีริว สพฺพภกฺขา, สพฺพิตฺถิโย นทีริว สพฺพวาหี;
‘‘Sabbitthiyo sikhīriva sabbabhakkhā, sabbitthiyo nadīriva sabbavāhī;
สพฺพิตฺถิโย กณฺฎกานํว สาขา, สพฺพิตฺถิโย ธนเหตุ วชนฺติฯ
Sabbitthiyo kaṇṭakānaṃva sākhā, sabbitthiyo dhanahetu vajanti.
๓๔๖.
346.
‘‘วาตญฺจ ชาเลน นโร ปรามเส, โอสิญฺจเย สาครเมกปาณินา;
‘‘Vātañca jālena naro parāmase, osiñcaye sāgaramekapāṇinā;
สเกน หเตฺถน กเรยฺย โฆสํ, โย สพฺพภาวํ ปมทาสุ โอสฺสเชฯ
Sakena hatthena kareyya ghosaṃ, yo sabbabhāvaṃ pamadāsu ossaje.
๓๔๗.
347.
‘‘โจรีนํ พหุพุทฺธีนํ, ยาสุ สจฺจํ สุทุลฺลภํ;
‘‘Corīnaṃ bahubuddhīnaṃ, yāsu saccaṃ sudullabhaṃ;
ถีนํ ภาโว ทุราชาโน, มจฺฉเสฺสโวทเก คตํฯ
Thīnaṃ bhāvo durājāno, macchassevodake gataṃ.
๓๔๘.
348.
‘‘อนลา มุทุสมฺภาสา, ทุปฺปูรา ตา นทีสมา;
‘‘Analā mudusambhāsā, duppūrā tā nadīsamā;
สีทนฺติ นํ วิทิตฺวาน, อารกา ปริวชฺชเยฯ
Sīdanti naṃ viditvāna, ārakā parivajjaye.
๓๔๙.
349.
‘‘อาวฎฺฎนี มหามายา, พฺรหฺมจริยวิโกปนา;
‘‘Āvaṭṭanī mahāmāyā, brahmacariyavikopanā;
สีทนฺติ นํ วิทิตฺวาน, อารกา ปริวชฺชเยฯ
Sīdanti naṃ viditvāna, ārakā parivajjaye.
๓๕๐.
350.
‘‘ยํ เอตา อุปเสวนฺติ, ฉนฺทสา วา ธเนน วา;
‘‘Yaṃ etā upasevanti, chandasā vā dhanena vā;
ชาตเวโทว สํฐานํ, ขิปฺปํ อนุทหนฺติ น’’’นฺติฯ
Jātavedova saṃṭhānaṃ, khippaṃ anudahanti na’’’nti.
ตตฺถ ทิชมฺปตีติ ทิชเชฎฺฐกํ กุณาลํ อาลปติฯ ‘‘สริตา’’ติอาทิ ฐปิตมาติกาย ภาชนตฺถํ วุตฺตํฯ อูนตฺตาติ อุทกปติฎฺฐานสฺส มหนฺตตาย อูนา เอวฯ อธียานาติ สชฺฌายิตฺวาฯ เวทมกฺขานปญฺจมนฺติ อิติหาสปญฺจมํ เวทจตุกฺกํฯ อูนตฺตาติ โส หิ อชฺฌาสยมหนฺตตาย สิกฺขิตพฺพสฺส น ปูรติฯ อนนฺตรตโนจิตนฺติ นานารตเนหิ โอจิตํ ปริปุณฺณํฯ อูนตฺตาติ โส หิ ตณฺหามหนฺตตาย น ปูรติฯ สิยาติ สิยุํ, อยเมว วา ปาโฐฯ สพฺพกามรสาหราติ สเพฺพสํ กามรสานํ อาหรกาฯ ‘‘นวเม’’ติ อฎฺฐหิ อติตฺตภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ สา ปน ทสเมปิ วีสติเมปิ ตโต อุตฺตริตเรปิ ฉนฺทํ กโรเตวฯ อูนตฺตาติ สา หิ กามตณฺหาย มหนฺตตาย น ปูรติฯ กณฺฑกานํว สาขาติ สมฺพาธมเคฺค กณฺฎกสาขสทิสาฯ ยถา หิ สาขา ลคฺคิตฺวา อากฑฺฒติ, เอวํ เอตาปิ รูปาทีหิ กฑฺฒนฺติฯ ยถา สาขา หตฺถาทีสุ วิชฺฌิตฺวา ทุกฺขํ อุปฺปาเทติ, เอวํ เอตาปิ ผุฎฺฐมตฺตา สรีรสมฺผเสฺสน วิชฺฌิตฺวา มหาวินาสํ ปาเปนฺติฯ วชนฺตีติ ปรปุริสํ วชนฺติฯ
Tattha dijampatīti dijajeṭṭhakaṃ kuṇālaṃ ālapati. ‘‘Saritā’’tiādi ṭhapitamātikāya bhājanatthaṃ vuttaṃ. Ūnattāti udakapatiṭṭhānassa mahantatāya ūnā eva. Adhīyānāti sajjhāyitvā. Vedamakkhānapañcamanti itihāsapañcamaṃ vedacatukkaṃ. Ūnattāti so hi ajjhāsayamahantatāya sikkhitabbassa na pūrati. Anantaratanocitanti nānāratanehi ocitaṃ paripuṇṇaṃ. Ūnattāti so hi taṇhāmahantatāya na pūrati. Siyāti siyuṃ, ayameva vā pāṭho. Sabbakāmarasāharāti sabbesaṃ kāmarasānaṃ āharakā. ‘‘Navame’’ti aṭṭhahi atittabhāvadassanatthaṃ vuttaṃ. Sā pana dasamepi vīsatimepi tato uttaritarepi chandaṃ karoteva. Ūnattāti sā hi kāmataṇhāya mahantatāya na pūrati. Kaṇḍakānaṃva sākhāti sambādhamagge kaṇṭakasākhasadisā. Yathā hi sākhā laggitvā ākaḍḍhati, evaṃ etāpi rūpādīhi kaḍḍhanti. Yathā sākhā hatthādīsu vijjhitvā dukkhaṃ uppādeti, evaṃ etāpi phuṭṭhamattā sarīrasamphassena vijjhitvā mahāvināsaṃ pāpenti. Vajantīti parapurisaṃ vajanti.
ปรามเสติ คเณฺหยฺยฯ โอสิญฺจเยติ นฺหายิตุํ โอติโณฺณ เอเกน ปาณินา สกลสมุทฺทอุทกํ โอสิเญฺจยฺย คเหตฺวา ฉเฑฺฑยฺยฯ สเกนาติ เอเกน อตฺตโน หเตฺถน ตเมว หตฺถํ หริตฺวา โฆสํ อุปฺปาเทยฺยฯ สพฺพภาวนฺติ ‘‘ตฺวเมว อิโฎฺฐ กโนฺต ปิโย มนาโป’’ติ วุจฺจมาโน โย ปุริโส ‘‘เอวเมต’’นฺติ สทฺทหโนฺต สพฺพํ อตฺตโน อชฺฌาสยํ ปมทาสุ โอสฺสเชยฺย, โส ชาลาทีหิ วาตคฺคหณาทีนิ กเรยฺยาติ อโตฺถฯ คตนฺติ คมนํฯ อนลาติ ตีหิ ธเมฺมหิ อลนฺติ วจนวิรหิตาฯ ทุปฺปุรา ตาติ ยถา มหานที อุทเกน, เอวํ กิเลสรติยา ตา ทุปฺปูราฯ สีทนฺติ นํ วิทิตฺวานาติ เอตฺถ นนฺติ นิปาตมตฺตํ, อิตฺถิโย อลฺลีนา จตูสุ อปาเยสุ สีทนฺตีติ วิทิตฺวาฯ อาวฎฺฎนีติ ยถา อาวฎฺฎนี มหาชนสฺส หทยํ โมเหตฺวา อตฺตโน วเส วเตฺตติ, เอวเมตาปีติ อโตฺถฯ วิโกปนาติ นาสนเตฺถน จ ครหเตฺถน จ พฺรหฺมจริยสฺส โกปิกาฯ ฉนฺทสา วาติ ปิยสํวาเสน วาฯ ธเนน วาติ ธนเหตุ วาฯ สํฐานนฺติ ยถา ชาตเวโท อตฺตโน ฐานํ ยํ ยํ ปเทสํ อลฺลียติ, ตํ ตํ ทหติ, ตถา เอตาปิ ยํ ยํ ปุริสํ กิเลสวเสน อลฺลียนฺติ, ตํ ตํ อนุทหนฺติ มหาวินาสํ ปาเปนฺติฯ
Parāmaseti gaṇheyya. Osiñcayeti nhāyituṃ otiṇṇo ekena pāṇinā sakalasamuddaudakaṃ osiñceyya gahetvā chaḍḍeyya. Sakenāti ekena attano hatthena tameva hatthaṃ haritvā ghosaṃ uppādeyya. Sabbabhāvanti ‘‘tvameva iṭṭho kanto piyo manāpo’’ti vuccamāno yo puriso ‘‘evameta’’nti saddahanto sabbaṃ attano ajjhāsayaṃ pamadāsu ossajeyya, so jālādīhi vātaggahaṇādīni kareyyāti attho. Gatanti gamanaṃ. Analāti tīhi dhammehi alanti vacanavirahitā. Duppurā tāti yathā mahānadī udakena, evaṃ kilesaratiyā tā duppūrā. Sīdanti naṃ viditvānāti ettha nanti nipātamattaṃ, itthiyo allīnā catūsu apāyesu sīdantīti viditvā. Āvaṭṭanīti yathā āvaṭṭanī mahājanassa hadayaṃ mohetvā attano vase vatteti, evametāpīti attho. Vikopanāti nāsanatthena ca garahatthena ca brahmacariyassa kopikā. Chandasā vāti piyasaṃvāsena vā. Dhanena vāti dhanahetu vā. Saṃṭhānanti yathā jātavedo attano ṭhānaṃ yaṃ yaṃ padesaṃ allīyati, taṃ taṃ dahati, tathā etāpi yaṃ yaṃ purisaṃ kilesavasena allīyanti, taṃ taṃ anudahanti mahāvināsaṃ pāpenti.
เอวํ นารเทน อิตฺถีนํ อคุเณ ปกาสิเต ปุน มหาสโตฺต วิเสเสตฺวา ตาสํ อคุณํ ปกาเสติฯ ตํ ทเสฺสตุํ สตฺถา อาห –
Evaṃ nāradena itthīnaṃ aguṇe pakāsite puna mahāsatto visesetvā tāsaṃ aguṇaṃ pakāseti. Taṃ dassetuṃ satthā āha –
‘‘อถ ขลุ, โภ, กุณาโล สกุโณ นารทสฺส เทวพฺราหฺมณสฺส อาทิมชฺฌกถาปริโยสานํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมา คาถาโย อชฺฌภาสิ –
‘‘Atha khalu, bho, kuṇālo sakuṇo nāradassa devabrāhmaṇassa ādimajjhakathāpariyosānaṃ viditvā tāyaṃ velāyaṃ imā gāthāyo ajjhabhāsi –
๓๕๑.
351.
‘‘‘สลฺลเป นิสิตขคฺคปาณินา, ปณฺฑิโต อปิ ปิสาจโทสินา;
‘‘‘Sallape nisitakhaggapāṇinā, paṇḍito api pisācadosinā;
อุคฺคเตชมุรคมฺปิ อาสิเท, เอโก เอกาย ปมทาย นาลเปฯ
Uggatejamuragampi āside, eko ekāya pamadāya nālape.
๓๕๒.
352.
‘‘โลกจิตฺตมถนา หิ นาริโย, นจฺจคีตภณิตมฺหิตาวุธา;
‘‘Lokacittamathanā hi nāriyo, naccagītabhaṇitamhitāvudhā;
พาธยนฺติ อนุปฎฺฐิตสฺสติํ, ทีเป รกฺขสิคโณว วาณิเชฯ
Bādhayanti anupaṭṭhitassatiṃ, dīpe rakkhasigaṇova vāṇije.
๓๕๓.
353.
‘‘นตฺถิ ตาสํ วินโย น สํวโร, มชฺชมํสนิรตา อสญฺญตา;
‘‘Natthi tāsaṃ vinayo na saṃvaro, majjamaṃsaniratā asaññatā;
ตา คิลนฺติ ปุริสสฺส ปาภตํ, สาคเรว มกรํ ติมิงฺคโลฯ
Tā gilanti purisassa pābhataṃ, sāgareva makaraṃ timiṅgalo.
๓๕๔.
354.
‘‘ปญฺจกามคุณสาตโคจรา, อุทฺธตา อนิยตา อสญฺญตา;
‘‘Pañcakāmaguṇasātagocarā, uddhatā aniyatā asaññatā;
โอสรนฺติ ปมทา ปมาทินํ, โลณโตยวติยํว อาปกาฯ
Osaranti pamadā pamādinaṃ, loṇatoyavatiyaṃva āpakā.
๓๕๕.
355.
‘‘ยํ นรํ อุปลเปนฺติ นาริโย, ฉนฺทสา วา รติยา ธเนน วา;
‘‘Yaṃ naraṃ upalapenti nāriyo, chandasā vā ratiyā dhanena vā;
ชาตเวทสทิสมฺปิ ตาทิสํ, ราคโทสวธิโย ทหนฺติ นํฯ
Jātavedasadisampi tādisaṃ, rāgadosavadhiyo dahanti naṃ.
๓๕๖.
356.
‘‘อฑฺฒํ ญตฺวา ปุริสํ มหทฺธนํ, โอสรนฺติ สธนํ สหตฺตนา;
‘‘Aḍḍhaṃ ñatvā purisaṃ mahaddhanaṃ, osaranti sadhanaṃ sahattanā;
รตฺตจิตฺตมติเวฐยนฺติ นํ, สาล มาลุวลตาว กานเนฯ
Rattacittamativeṭhayanti naṃ, sāla māluvalatāva kānane.
๓๕๗.
357.
‘‘ตา อุเปนฺติ วิวิเธน ฉนฺทสา, จิตฺรพิมฺพมุขิโย อลงฺกตา;
‘‘Tā upenti vividhena chandasā, citrabimbamukhiyo alaṅkatā;
อุหสนฺติ ปหสนฺติ นาริโย, สมฺพโรว สตมายโกวิทาฯ
Uhasanti pahasanti nāriyo, sambarova satamāyakovidā.
๓๕๘.
358.
‘‘ชาตรูปมณิมุตฺตภูสิตา, สกฺกตา ปติกุเลสุ นาริโย;
‘‘Jātarūpamaṇimuttabhūsitā, sakkatā patikulesu nāriyo;
รกฺขิตา อติจรนฺติ สามิกํ, ทานวํว หทยนฺตรสฺสิตาฯ
Rakkhitā aticaranti sāmikaṃ, dānavaṃva hadayantarassitā.
๓๕๙.
359.
‘‘เตชวาปิ หิ นโร วิจกฺขโณ, สกฺกโต พหุชนสฺส ปูชิโต;
‘‘Tejavāpi hi naro vicakkhaṇo, sakkato bahujanassa pūjito;
นารินํ วสคโต น ภาสติ, ราหุนา อุปหโตว จนฺทิมาฯ
Nārinaṃ vasagato na bhāsati, rāhunā upahatova candimā.
๓๖๐.
360.
‘‘ยํ กเรยฺย กุปิโต ทิโส ทิสํ, ทุฎฺฐจิโตฺต วสมาคตํ อริํ;
‘‘Yaṃ kareyya kupito diso disaṃ, duṭṭhacitto vasamāgataṃ ariṃ;
เตน ภิโยฺย พฺยสนํ นิคจฺฉติ, นารินํ วสคโต อเปกฺขวาฯ
Tena bhiyyo byasanaṃ nigacchati, nārinaṃ vasagato apekkhavā.
๓๖๑.
361.
‘‘เกสลูนนขฉินฺนตชฺชิตา, ปาทปาณิกสทณฺฑตาฬิตา;
‘‘Kesalūnanakhachinnatajjitā, pādapāṇikasadaṇḍatāḷitā;
หีนเมวุปคตา หิ นาริโย, ตา รมนฺติ กุณเปว มกฺขิกาฯ
Hīnamevupagatā hi nāriyo, tā ramanti kuṇapeva makkhikā.
๓๖๒.
362.
‘‘ตา กุเลสุ วิสิขนฺตเรสุ วา, ราชธานินิคเมสุ วา ปุน;
‘‘Tā kulesu visikhantaresu vā, rājadhāninigamesu vā puna;
โอฑฺฑิตํ นมุจิปาสวากรํ, จกฺขุมา ปริวเชฺช สุขตฺถิโกฯ
Oḍḍitaṃ namucipāsavākaraṃ, cakkhumā parivajje sukhatthiko.
๓๖๓.
363.
‘‘โอสฺสชิตฺว กุสลํ ตโปคุณํ, โย อนริยจริตานิ มาจริ;
‘‘Ossajitva kusalaṃ tapoguṇaṃ, yo anariyacaritāni mācari;
เทวตาหิ นิรยํ นิมิสฺสติ, เฉทคามิมณิยํว วาณิโชฯ
Devatāhi nirayaṃ nimissati, chedagāmimaṇiyaṃva vāṇijo.
๓๖๔.
364.
‘‘โส อิธ ครหิโต ปรตฺถ จ, ทุมฺมตี อุปหโต สกมฺมุนา;
‘‘So idha garahito parattha ca, dummatī upahato sakammunā;
คจฺฉตี อนิยโต คฬาคฬํ, ทุฎฺฐคทฺรภรโถว อุปฺปเถฯ
Gacchatī aniyato gaḷāgaḷaṃ, duṭṭhagadrabharathova uppathe.
๓๖๕.
365.
‘‘โส อุเปติ นิรยํ ปตาปนํ, สตฺติสิมฺพลิวนญฺจ อายสํ;
‘‘So upeti nirayaṃ patāpanaṃ, sattisimbalivanañca āyasaṃ;
อาวสิตฺวา ติรจฺฉานโยนิยํ, เปตราชวิสยํ น มุญฺจติฯ
Āvasitvā tiracchānayoniyaṃ, petarājavisayaṃ na muñcati.
๓๖๖.
366.
‘‘ทิพฺยขิฑฺฑรติโย จ นนฺทเน, จกฺกวตฺติจริตญฺจ มานุเส;
‘‘Dibyakhiḍḍaratiyo ca nandane, cakkavatticaritañca mānuse;
นาสยนฺติ ปมทา ปมาทินํ, ทุคฺคติญฺจ ปฎิปาทยนฺติ นํฯ
Nāsayanti pamadā pamādinaṃ, duggatiñca paṭipādayanti naṃ.
๓๖๗.
367.
‘‘ทิพฺยขิฑฺฑรติโย น ทุลฺลภา, จกฺกวตฺติจริตญฺจ มานุเส;
‘‘Dibyakhiḍḍaratiyo na dullabhā, cakkavatticaritañca mānuse;
โสณฺณพฺยมฺหนิลยา จ อจฺฉรา, เย จรนฺติ ปมทาหนตฺถิกาฯ
Soṇṇabyamhanilayā ca accharā, ye caranti pamadāhanatthikā.
๓๖๘.
368.
‘‘กามธาตุสมติกฺกมา คติ, รูปธาตุยา ภาโว น ทุลฺลโภ;
‘‘Kāmadhātusamatikkamā gati, rūpadhātuyā bhāvo na dullabho;
วีตราควิสยูปปตฺติ ยา, เย จรนฺติ ปมทาหนตฺถิกาฯ
Vītarāgavisayūpapatti yā, ye caranti pamadāhanatthikā.
๓๖๙.
369.
‘‘สพฺพทุกฺขสมตฺติกฺกมํ สิวํ, อจฺจนฺตมจลิตํ อสงฺขตํ;
‘‘Sabbadukkhasamattikkamaṃ sivaṃ, accantamacalitaṃ asaṅkhataṃ;
นิพฺพุเตหิ สุจิหี น ทุลฺลภํ, เย จรนฺติ ปมทาหนตฺถิกา’’’ติฯ
Nibbutehi sucihī na dullabhaṃ, ye caranti pamadāhanatthikā’’’ti.
ตตฺถ สลฺลเปติ ‘‘สเจ มยา สทฺธิํ สลฺลเปสฺสสิ, สีสํ เต ปาเตสฺสามี’’ติ วตฺวา ขคฺคํ อาทาย ฐิเตนาปิ, ‘‘สลฺลปิตมเตฺตเยว ตํ ขาทิตฺวา ชีวิตวินาสํ ปาเปสฺสามี’’ติ โทสินา หุตฺวา ฐิเตนาปิ ปิสาเจน สทฺธิํ สลฺลเปฯ ‘‘อุปคตํ ฑํสิตฺวา นาเสสฺสามี’’ติ ฐิตํ อุคฺคเตชํ อุรคมฺปิ อาสิเทฯ เอโก ปน หุตฺวา รโห เอกาย ปมทาย น หิ อาลเปฯ โลกจิตฺตมถนาติ โลกสฺส จิตฺตฆาติกาฯ ทีเป รกฺขสิคโณติ ยถา ทีเป รกฺขสิคโณ มนุสฺสเวเสน วาณิเช อุปลาเปตฺวา อตฺตโน วเส คเต กตฺวา ขาทติ, เอวํ อิมาปิ ปญฺจหิ กามคุเณหิ อตฺตโน วเส กตฺวา สเตฺต มหาวินาสํ ปาเปนฺตีติ อโตฺถฯ วินโยติ อาจาโรฯ สํวโรติ มริยาโทฯ ปุริสสฺส ปาภตนฺติ ทุกฺขสมฺภตํ ธนํ คิลนฺติ นาเสนฺติฯ
Tattha sallapeti ‘‘sace mayā saddhiṃ sallapessasi, sīsaṃ te pātessāmī’’ti vatvā khaggaṃ ādāya ṭhitenāpi, ‘‘sallapitamatteyeva taṃ khāditvā jīvitavināsaṃ pāpessāmī’’ti dosinā hutvā ṭhitenāpi pisācena saddhiṃ sallape. ‘‘Upagataṃ ḍaṃsitvā nāsessāmī’’ti ṭhitaṃ uggatejaṃ uragampi āside. Eko pana hutvā raho ekāya pamadāya na hi ālape. Lokacittamathanāti lokassa cittaghātikā. Dīpe rakkhasigaṇoti yathā dīpe rakkhasigaṇo manussavesena vāṇije upalāpetvā attano vase gate katvā khādati, evaṃ imāpi pañcahi kāmaguṇehi attano vase katvā satte mahāvināsaṃ pāpentīti attho. Vinayoti ācāro. Saṃvaroti mariyādo. Purisassa pābhatanti dukkhasambhataṃ dhanaṃ gilanti nāsenti.
อนิยตาติ อนิยตจิตฺตาฯ โลณโตยวติยนฺติ โลณโตยวนฺตํ สมุทฺทนฺติ อโตฺถฯ อาปกาติ อาปคา, อยเมว วา ปาโฐฯ ยถา สมุทฺทํ นทิโย โอสรนฺติ, เอวํ ปมาทินํ ปมทาติ อโตฺถฯ ฉนฺทสาติ เปเมนฯ รติยาติ ปญฺจกามคุณรติยาฯ ธเนน วาติ ธนเหตุ วาฯ ชาตเวทสทิสนฺติ คุณสมฺปตฺติยา อคฺคิมิว ชลิตมฺปิฯ ราคโทสวธิโยติ กามราคโทเสหิ วธิกาฯ ราคโทสคติโยติปิ ปาโฐฯ โอสรนฺตีติ ธนคหณตฺถาย มธุรวจเนน ตํ พนฺธนฺติโย อุปคจฺฉนฺติฯ สธนนฺติ สธนาฯ อยเมว วา ปาโฐ, วตฺถาลงฺการตฺถาย กิญฺจิ อตฺตโน ธนํ ทตฺวาปิ โอสรนฺตีติ อโตฺถฯ สหตฺตนาติ อตฺตภาเวน สทฺธิํ อตฺตภาวมฺปิ ตเสฺสว ปริจฺจชนฺติโย วิย โหนฺติฯ อติเวฐยนฺตีติ ธนคหณตฺถาย อติวิย เวเฐนฺติ ปีเฬนฺติฯ
Aniyatāti aniyatacittā. Loṇatoyavatiyanti loṇatoyavantaṃ samuddanti attho. Āpakāti āpagā, ayameva vā pāṭho. Yathā samuddaṃ nadiyo osaranti, evaṃ pamādinaṃ pamadāti attho. Chandasāti pemena. Ratiyāti pañcakāmaguṇaratiyā. Dhanena vāti dhanahetu vā. Jātavedasadisanti guṇasampattiyā aggimiva jalitampi. Rāgadosavadhiyoti kāmarāgadosehi vadhikā. Rāgadosagatiyotipi pāṭho. Osarantīti dhanagahaṇatthāya madhuravacanena taṃ bandhantiyo upagacchanti. Sadhananti sadhanā. Ayameva vā pāṭho, vatthālaṅkāratthāya kiñci attano dhanaṃ datvāpi osarantīti attho. Sahattanāti attabhāvena saddhiṃ attabhāvampi tasseva pariccajantiyo viya honti. Ativeṭhayantīti dhanagahaṇatthāya ativiya veṭhenti pīḷenti.
วิวิเธน ฉนฺทสาติ นานาวิเธน อากาเรนฯ จิตฺรพิมฺพมุขิโยติ อลงฺการวเสน จิตฺรสรีรา จิตฺรมุขิโย หุตฺวาฯ อุหสนฺตีติ มหาหสิตํ หสนฺติฯ ปหสนฺตีติ มนฺทหสิตํ หสนฺติฯ สมฺพโรวาติ มายาการปุริโส วิย อสุริโนฺท วิย จ ฯ ทานวํว หทยนฺตรสฺสิตาติ ยถา ‘‘กุโต นุ อาคจฺฉถ, โภ, ตโย ชนา’’ติ กรณฺฑกชาตเก (ชา. ๑.๙.๘๗ อาทโย) หทยนฺตรนิสฺสิตา อโนฺตอุทรคตาปิ ทานวํ อติจริ, เอวํ อติจรนฺติฯ อรกฺขิตา เหตาติ ทีเปติฯ น ภาสตีติ น วิโรจติ หริตจโลมสกสฺสปกุสราชาโน วิยฯ เตนาติ ตมฺหา อมิเตฺตน กตา พฺยสนา อติเรกตรํ พฺยสนนฺติ อโตฺถฯ อเปกฺขวาติ สตโณฺหฯ
Vividhena chandasāti nānāvidhena ākārena. Citrabimbamukhiyoti alaṅkāravasena citrasarīrā citramukhiyo hutvā. Uhasantīti mahāhasitaṃ hasanti. Pahasantīti mandahasitaṃ hasanti. Sambarovāti māyākārapuriso viya asurindo viya ca . Dānavaṃva hadayantarassitāti yathā ‘‘kuto nu āgacchatha, bho, tayo janā’’ti karaṇḍakajātake (jā. 1.9.87 ādayo) hadayantaranissitā antoudaragatāpi dānavaṃ aticari, evaṃ aticaranti. Arakkhitā hetāti dīpeti. Na bhāsatīti na virocati haritacalomasakassapakusarājāno viya. Tenāti tamhā amittena katā byasanā atirekataraṃ byasananti attho. Apekkhavāti sataṇho.
เกสลูนนขฉินฺนตชฺชิตาติ อากฑฺฒิตฺวา ลูนเกสา นเขหิ ฉินฺนคตฺตา ตชฺชิตา ปาทาทีหิ จ ตาฬิตาว หุตฺวาฯ โย กิเลสวเสน เอเตปิ วิปฺปกาเร กโรติ, ตาทิสํ หีนเมว อุปคตา นาริโย รมนฺติ, น เอเต วิปฺปกาเร ปริหรนฺติ, มธุรสมาจาเร กิํการณา ตา น รมนฺติฯ กุณเปว มกฺขิกาติ ยสฺมา เชคุจฺฉหตฺถิกุณปาทิมฺหิ มกฺขิกา วิย ตา หีเนเยว รมนฺตีติ อโตฺถฯ โอฑฺฑิตนฺติ น เอตา อิตฺถิโย นาม, อถ โข อิเมสุ ฐาเนสุ นมุจิโน กิเลสมารสฺส มิคปกฺขิคหณตฺถํ ลุทฺทเกหิ โอฑฺฑิตํ ปาสญฺจ วากรญฺจาติ มญฺญมาโน ปญฺญาจกฺขุมา ปุริโส ทิพฺพมานุสิเกน สุเขน อตฺถิโก ปริวเชฺชยฺยฯ
Kesalūnanakhachinnatajjitāti ākaḍḍhitvā lūnakesā nakhehi chinnagattā tajjitā pādādīhi ca tāḷitāva hutvā. Yo kilesavasena etepi vippakāre karoti, tādisaṃ hīnameva upagatā nāriyo ramanti, na ete vippakāre pariharanti, madhurasamācāre kiṃkāraṇā tā na ramanti. Kuṇapeva makkhikāti yasmā jegucchahatthikuṇapādimhi makkhikā viya tā hīneyeva ramantīti attho. Oḍḍitanti na etā itthiyo nāma, atha kho imesu ṭhānesu namucino kilesamārassa migapakkhigahaṇatthaṃ luddakehi oḍḍitaṃ pāsañca vākarañcāti maññamāno paññācakkhumā puriso dibbamānusikena sukhena atthiko parivajjeyya.
โอสฺสชิตฺวาติ เทวมนุเสฺสสุ มหาสมฺปตฺติทายกํ ตโปคุณํ ฉเฑฺฑตฺวาฯ โยติ โย ปุริโส อนริเยสุ อปริสุเทฺธสุ กามคุเณสุ กามรติจริตานิ อาจรติฯ เทวตาหิ นิรยํ นิมิสฺสตีติ โส เทวโลเกน ปริวตฺติตฺวา นิรยํ คณฺหิสฺสติฯ เฉทคามิมณิยํว วาณิโชติ ยถา พาลวาณิโช สตสหสฺสคฺฆภณฺฑํ ทตฺวา เฉทคามิมณิกํ คณฺหาติ, ตถารูโป อยํ โหตีติ อโตฺถฯ โสติ โส อิตฺถีนํ วสํ คโตฯ อนิยโตติ เอตฺตกํ นาม กาลํ อปาเยสุ ปจฺจิสฺสตีติ อนิยโตฯ คฬาคฬนฺติ เทวโลกา วา มนุสฺสโลกา วา คฬิตฺวา อปายเมว คจฺฉตีติ อโตฺถฯ ยถา กิํ? ทุฎฺฐคทฺรภรโถว อุปฺปเถติ, ยถา กูฎคทฺรภยุตฺตรโถ มคฺคา โอกฺกมิตฺวา อุปฺปเถเยว คจฺฉติ, ตถาฯ สตฺติสิมฺพลิวนนฺติ สตฺติสทิเสหิ กณฺฎเกหิ ยุตฺตํ อายสํ สิมฺพลิวนํฯ เปตราชวิสยนฺติ เปตวิสยญฺจ กาลกญฺจิกอสุรวิสยญฺจฯ
Ossajitvāti devamanussesu mahāsampattidāyakaṃ tapoguṇaṃ chaḍḍetvā. Yoti yo puriso anariyesu aparisuddhesu kāmaguṇesu kāmaraticaritāni ācarati. Devatāhi nirayaṃ nimissatīti so devalokena parivattitvā nirayaṃ gaṇhissati. Chedagāmimaṇiyaṃva vāṇijoti yathā bālavāṇijo satasahassagghabhaṇḍaṃ datvā chedagāmimaṇikaṃ gaṇhāti, tathārūpo ayaṃ hotīti attho. Soti so itthīnaṃ vasaṃ gato. Aniyatoti ettakaṃ nāma kālaṃ apāyesu paccissatīti aniyato. Gaḷāgaḷanti devalokā vā manussalokā vā gaḷitvā apāyameva gacchatīti attho. Yathā kiṃ? Duṭṭhagadrabharathova uppatheti, yathā kūṭagadrabhayuttaratho maggā okkamitvā uppatheyeva gacchati, tathā. Sattisimbalivananti sattisadisehi kaṇṭakehi yuttaṃ āyasaṃ simbalivanaṃ. Petarājavisayanti petavisayañca kālakañcikaasuravisayañca.
ปมาทินนฺติ ปมตฺตานํฯ เต หิ ปมทาสุ ปมตฺตา ตาสํ สมฺปตฺตีนํ มูลภูตํ กุสลํ น กโรนฺติ, อิติ เตสํ ปมทา สพฺพา ตา นาเสนฺติ นามฯ ปฎิปาทยนฺตีติ ตถาวิธํ ปุริสํ ตา ปมาทวเสเนว อกุสลํ กาเรตฺวา ทุคฺคติํ ปฎิปาเทนฺติ นามฯ โสณฺณพฺยมฺหนิลยาติ สุวณฺณมยวิมานวาสินิโยฯ ปมทาหนตฺถิกาติ เย ปุริสา ปมทาหิ อนตฺถิกา หุตฺวา พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ กามธาตุสมติกฺกมาติ กามธาตุสมติกฺกมา ยา คติฯ รูปธาตุยา ภาโวติ โย กามธาตุสมติกฺกมคติสงฺขาโต รูปธาตุยา ภาโว, โส เตสํ น ทุลฺลโภฯ วีตราควิสยูปปตฺติ ยาติ ยา วีตราควิสเย สุทฺธาวาสโลเก อุปปตฺติ, สาปิ เตสํ น ทุลฺลภาติ อโตฺถฯ อจฺจนฺตนฺติ อนฺตาตีตํ อวินาสธมฺมํฯ อจลิตนฺติ กิเลเสหิ อกมฺปิตํฯ นิพฺพุเตหีติ นิพฺพุตกิเลเสหิฯ สุจิหีติ สุจีหิ ปริสุเทฺธหิ เอวรูปํ นิพฺพานํ น ทุลฺลภนฺติฯ
Pamādinanti pamattānaṃ. Te hi pamadāsu pamattā tāsaṃ sampattīnaṃ mūlabhūtaṃ kusalaṃ na karonti, iti tesaṃ pamadā sabbā tā nāsenti nāma. Paṭipādayantīti tathāvidhaṃ purisaṃ tā pamādavaseneva akusalaṃ kāretvā duggatiṃ paṭipādenti nāma. Soṇṇabyamhanilayāti suvaṇṇamayavimānavāsiniyo. Pamadāhanatthikāti ye purisā pamadāhi anatthikā hutvā brahmacariyaṃ caranti. Kāmadhātusamatikkamāti kāmadhātusamatikkamā yā gati. Rūpadhātuyā bhāvoti yo kāmadhātusamatikkamagatisaṅkhāto rūpadhātuyā bhāvo, so tesaṃ na dullabho. Vītarāgavisayūpapatti yāti yā vītarāgavisaye suddhāvāsaloke upapatti, sāpi tesaṃ na dullabhāti attho. Accantanti antātītaṃ avināsadhammaṃ. Acalitanti kilesehi akampitaṃ. Nibbutehīti nibbutakilesehi. Sucihīti sucīhi parisuddhehi evarūpaṃ nibbānaṃ na dullabhanti.
เอวํ มหาสโตฺต อมตมหานิพฺพานํ ปาเปตฺวา เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ หิมวเนฺต กินฺนรมโหรคาทโย อากาเส ฐิตา เทวตา จ ‘‘อโห พุทฺธลีลาย กถิตา’’ติ สาธุการํ อทํสุ ฯ อานโนฺท คิชฺฌราชา นารโท เทวพฺราหฺมโณ ปุณฺณมุโข จ ผุสฺสโกกิโล อตฺตโน อตฺตโน ปริสํ อาทาย ยถาฐานเมว คมิํสุฯ มหาสโตฺตปิ สกฎฺฐานเมว คโตฯ อิตเร ปน อนฺตรนฺตรา คนฺตฺวา มหาสตฺตสฺส สนฺติเก โอวาทํ คเหตฺวา ตสฺมิํ โอวาเท ฐตฺวา สคฺคปรายณา อเหสุํฯ
Evaṃ mahāsatto amatamahānibbānaṃ pāpetvā desanaṃ niṭṭhāpesi. Himavante kinnaramahoragādayo ākāse ṭhitā devatā ca ‘‘aho buddhalīlāya kathitā’’ti sādhukāraṃ adaṃsu . Ānando gijjharājā nārado devabrāhmaṇo puṇṇamukho ca phussakokilo attano attano parisaṃ ādāya yathāṭhānameva gamiṃsu. Mahāsattopi sakaṭṭhānameva gato. Itare pana antarantarā gantvā mahāsattassa santike ovādaṃ gahetvā tasmiṃ ovāde ṭhatvā saggaparāyaṇā ahesuṃ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนโนฺต โอสานคาถา อภาสิ –
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānento osānagāthā abhāsi –
๓๗๐.
370.
‘‘กุณาโลหํ ตทา อาสิํ, อุทายี ผุสฺสโกกิโล;
‘‘Kuṇālohaṃ tadā āsiṃ, udāyī phussakokilo;
อานโนฺท คิชฺฌราชาสิ, สาริปุโตฺต จ นารโท;
Ānando gijjharājāsi, sāriputto ca nārado;
ปริสา พุทฺธปริสา, เอวํ ธาเรถ ชาตก’’นฺติฯ
Parisā buddhaparisā, evaṃ dhāretha jātaka’’nti.
เต ปน ภิกฺขู คมนกาเล สตฺถานุภาเวน คนฺตฺวา อาคมนกาเล อตฺตโน อตฺตโนว อานุภาเวน อาคตาฯ เตสํ สตฺถา มหาวเนเยว กมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ สเพฺพปิ เต ตํ ทิวสเมว อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ มหาเทวตาสมาคโม อโหสิฯ อถสฺส ภควา มหาสมยสุตฺตํ (ที. นิ. ๒.๓๓๑ อาทโย) กเถสิฯ
Te pana bhikkhū gamanakāle satthānubhāvena gantvā āgamanakāle attano attanova ānubhāvena āgatā. Tesaṃ satthā mahāvaneyeva kammaṭṭhānaṃ kathesi. Sabbepi te taṃ divasameva arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Mahādevatāsamāgamo ahosi. Athassa bhagavā mahāsamayasuttaṃ (dī. ni. 2.331 ādayo) kathesi.
กุณาลชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ
Kuṇālajātakavaṇṇanā catutthā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๓๖. กุณาลชาตกํ • 536. Kuṇālajātakaṃ