Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā

    ๔. กุณฺฑธานวโคฺค

    4. Kuṇḍadhānavaggo

    ๑. กุณฺฑธานเตฺถรอปทานวณฺณนา

    1. Kuṇḍadhānattheraapadānavaṇṇanā

    สตฺตาหํ ปฎิสลฺลีนนฺติอาทิกํ อายสฺมโต กุณฺฑธานเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพโตฺต วุตฺตนเยน ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ปฐมํ สลากํ คณฺหนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา ตทนุรูปํ ปุญฺญํ กโรโนฺต วิจริฯ โส เอกทิวสํ ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต นิโรธสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย นิสินฺนสฺส มโนสิลาจุณฺณปิญฺชรํ มหนฺตํ กทลิผลกณฺณิกํ อุปเนสิ, ตํ ภควา ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เอกาทสกฺขตฺตุํ เทเวสุ เทวรชฺชํ กาเรสิฯ จตุวีสติวาเร จ ราชา อโหสิ จกฺกวตฺตีฯ

    Sattāhaṃpaṭisallīnantiādikaṃ āyasmato kuṇḍadhānattherassa apadānaṃ. Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññāni upacinanto padumuttarassa bhagavato kāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbatto vuttanayena bhagavantaṃ upasaṅkamitvā dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ paṭhamaṃ salākaṃ gaṇhantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā tadanurūpaṃ puññaṃ karonto vicari. So ekadivasaṃ padumuttarassa bhagavato nirodhasamāpattito vuṭṭhāya nisinnassa manosilācuṇṇapiñjaraṃ mahantaṃ kadaliphalakaṇṇikaṃ upanesi, taṃ bhagavā paṭiggahetvā paribhuñji. So tena puññakammena ekādasakkhattuṃ devesu devarajjaṃ kāresi. Catuvīsativāre ca rājā ahosi cakkavattī.

    โส เอวํ อปราปรํ ปุญฺญานิ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กสฺสปพุทฺธกาเล ภุมฺมเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ทีฆายุกพุทฺธานญฺจ นาม น อนฺวทฺธมาสิโก อุโปสโถ โหติฯ ตถา หิ วิปสฺสิสฺส ภควโต ฉพฺพสฺสนฺตเร ฉพฺพสฺสนฺตเร อุโปสโถ อโหสิ, กสฺสปทสพโล ปน ฉเฎฺฐ ฉเฎฺฐ มาเส ปาติโมกฺขํ โอสาเรสิ, ตสฺส ปาติโมกฺขสฺส โอสารณกาเล ทิสาวาสิกา เทฺว สหายกา ภิกฺขู ‘‘อุโปสถํ กริสฺสามา’’ติ คจฺฉนฺติฯ อยํ ภุมฺมเทวตา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเมสํ ทฺวินฺนํ ภิกฺขูนํ เมตฺติ อติวิย ทฬฺหา, กิํ นุ โข เภทเก สติ ภิเชฺชยฺย, น ภิเชฺชยฺยา’’ติฯ เตสํ โอกาสํ โอโลกยมานา เตสํ อวิทูเร คจฺฉติฯ

    So evaṃ aparāparaṃ puññāni katvā devamanussesu saṃsaranto kassapabuddhakāle bhummadevatā hutvā nibbatti. Dīghāyukabuddhānañca nāma na anvaddhamāsiko uposatho hoti. Tathā hi vipassissa bhagavato chabbassantare chabbassantare uposatho ahosi, kassapadasabalo pana chaṭṭhe chaṭṭhe māse pātimokkhaṃ osāresi, tassa pātimokkhassa osāraṇakāle disāvāsikā dve sahāyakā bhikkhū ‘‘uposathaṃ karissāmā’’ti gacchanti. Ayaṃ bhummadevatā cintesi – ‘‘imesaṃ dvinnaṃ bhikkhūnaṃ metti ativiya daḷhā, kiṃ nu kho bhedake sati bhijjeyya, na bhijjeyyā’’ti. Tesaṃ okāsaṃ olokayamānā tesaṃ avidūre gacchati.

    อเถโก เถโร เอกสฺส หเตฺถ ปตฺตจีวรํ ทตฺวา สรีรวฬญฺชนตฺถํ อุทกผาสุกฎฺฐานํ คนฺตฺวา โธตหตฺถปาโท หุตฺวา คุมฺพสมีปโต นิกฺขมติฯ ภุมฺมเทวตา ตสฺส เถรสฺส ปจฺฉโต ปจฺฉโต อุตฺตมรูปา อิตฺถี หุตฺวา เกเส วิธุนิตฺวา สํวิธาย พนฺธนฺตี วิย ปิฎฺฐิยํ ปํสุํ ปุญฺฉมานา วิย สาฎกํ สํวิธาย นิวาสยมานา วิย จ หุตฺวา เถรสฺส ปทานุปทิกา หุตฺวา คุมฺพโต นิกฺขนฺตา ฯ เอกมเนฺต ฐิโต สหายกเตฺถโร ตํ การณํ ทิสฺวาว โทมนสฺสชาโต ‘‘นโฎฺฐ ทานิ เม อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ ทีฆรตฺตานุคโต สิเนโห, สจาหํ เอวํวิธภาวํ ชาเนยฺยํ, เอตฺตกํ กาลํ อิมินา สทฺธิํ วิสฺสาสํ น กเรยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาคจฺฉนฺตํเยว นํ ‘‘คณฺหาหาวุโส, ตุยฺหํ ปตฺตจีวรํ, ตาทิเสน ปาเปน สทฺธิํ เอกมเคฺคน น คจฺฉามี’’ติ อาหฯ ตํ กถํ สุตฺวา ตสฺส ลชฺชิภิกฺขุโน หทยํ ติขิณสตฺติํ คเหตฺวา วิทฺธํ วิย อโหสิฯ ตโต นํ อาห – ‘‘อาวุโส, กินฺนาเมตํ วทสิ, อหํ เอตฺตกํ กาลํ ทุกฺกฎมตฺตมฺปิ อาปตฺติํ น ชานามิ, ตฺวํ ปน มํ อชฺช ‘ปาโป’ติ วทสิ, กิํ เต ทิฎฺฐนฺติ, กิํ อเญฺญน ทิเฎฺฐน, กิํ ตฺวํ เอวํวิเธน อลงฺกตปฎิยเตฺตน มาตุคาเมน สทฺธิํ เอกฎฺฐาเน หุตฺวา นิกฺขโนฺต’’ติ? ‘‘นเตฺถตํ, อาวุโส, มยฺหํ, นาหํ เอวรูปํ มาตุคามํ ปสฺสามี’’ติ ตสฺส ยาวตติยํ กเถนฺตสฺสาปิ อิตโร เถโร กถํ อสทฺทหิตฺวา อตฺตนา ทิฎฺฐการณํเยว ภูตตฺตํ กตฺวา คณฺหโนฺต เตน สทฺธิํ เอกมเคฺคน อคนฺตฺวา อเญฺญน มเคฺคน สตฺถุ สนฺติกํ คโตฯ อิตโรปิ ภิกฺขุ อเญฺญน มเคฺคน สตฺถุ สนฺติกํเยว คโตฯ

    Atheko thero ekassa hatthe pattacīvaraṃ datvā sarīravaḷañjanatthaṃ udakaphāsukaṭṭhānaṃ gantvā dhotahatthapādo hutvā gumbasamīpato nikkhamati. Bhummadevatā tassa therassa pacchato pacchato uttamarūpā itthī hutvā kese vidhunitvā saṃvidhāya bandhantī viya piṭṭhiyaṃ paṃsuṃ puñchamānā viya sāṭakaṃ saṃvidhāya nivāsayamānā viya ca hutvā therassa padānupadikā hutvā gumbato nikkhantā . Ekamante ṭhito sahāyakatthero taṃ kāraṇaṃ disvāva domanassajāto ‘‘naṭṭho dāni me iminā bhikkhunā saddhiṃ dīgharattānugato sineho, sacāhaṃ evaṃvidhabhāvaṃ jāneyyaṃ, ettakaṃ kālaṃ iminā saddhiṃ vissāsaṃ na kareyya’’nti cintetvā āgacchantaṃyeva naṃ ‘‘gaṇhāhāvuso, tuyhaṃ pattacīvaraṃ, tādisena pāpena saddhiṃ ekamaggena na gacchāmī’’ti āha. Taṃ kathaṃ sutvā tassa lajjibhikkhuno hadayaṃ tikhiṇasattiṃ gahetvā viddhaṃ viya ahosi. Tato naṃ āha – ‘‘āvuso, kinnāmetaṃ vadasi, ahaṃ ettakaṃ kālaṃ dukkaṭamattampi āpattiṃ na jānāmi, tvaṃ pana maṃ ajja ‘pāpo’ti vadasi, kiṃ te diṭṭhanti, kiṃ aññena diṭṭhena, kiṃ tvaṃ evaṃvidhena alaṅkatapaṭiyattena mātugāmena saddhiṃ ekaṭṭhāne hutvā nikkhanto’’ti? ‘‘Natthetaṃ, āvuso, mayhaṃ, nāhaṃ evarūpaṃ mātugāmaṃ passāmī’’ti tassa yāvatatiyaṃ kathentassāpi itaro thero kathaṃ asaddahitvā attanā diṭṭhakāraṇaṃyeva bhūtattaṃ katvā gaṇhanto tena saddhiṃ ekamaggena agantvā aññena maggena satthu santikaṃ gato. Itaropi bhikkhu aññena maggena satthu santikaṃyeva gato.

    ตโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส อุโปสถาคารํ ปวิสนเวลาย โส ภิกฺขุ ตํ ภิกฺขุํ อุโปสถเคฺค ทิสฺวา สญฺชานิตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ อุโปสถเคฺค เอวรูโป นาม ปาปภิกฺขุ อตฺถิ, นาหํ เตน สทฺธิํ อุโปสถํ กริสฺสามี’’ติ นิกฺขมิตฺวา พหิ อฎฺฐาสิฯ อถ ภุมฺมเทวตา ‘‘ภาริยํ มยา กมฺมํ กต’’นฺติ มหลฺลกอุปาสกวเณฺณน ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา – ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, อโยฺย อิมสฺมิํ ฐาเน ฐิโต’’ติ อาหฯ ‘‘อุปาสก, อิมํ อุโปสถคฺคํ เอโก ปาปภิกฺขุ ปวิโฎฺฐ, ‘อหํ เตน สทฺธิํ อุโปสถํ น กโรมี’ติ พหิ ฐิโตมฺหี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, มา เอวํ คณฺหถ, ปริสุทฺธสีโล เอส ภิกฺขุ, ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐมาตุคาโม นาม อหํฯ มยา ตุมฺหากํ วีมํสนตฺถาย ‘ทฬฺหา นุ โข อิเมสํ เถรานํ เมตฺติ, โน ทฬฺหา’ติ ภิชฺชนาภิชฺชนภาวํ โอโลเกเนฺตน ตํ กมฺมํ กต’’นฺติฯ ‘‘โก ปน ตฺวํ, สปฺปุริสา’’ติ? ‘‘อหํ เอกา ภุมฺมเทวตา, ภเนฺต’’ติฯ เทวปุโตฺต กเถโนฺตเยว ทิพฺพานุภาเวน ฐตฺวา เถรสฺส ปาทมูเล ปติตฺวา ‘‘มยฺหํ, ภเนฺต, ขมถ, เถรสฺส เอโส โทโส นตฺถิ, อุโปสถํ กโรถา’’ติ เถรํ ยาจิตฺวา อุโปสถคฺคํ ปเวเสสิฯ โส เถโร อุโปสถํ ตาว เอกฎฺฐาเน อกาสิฯ มิตฺตสนฺถววเสน ปน ปุน เตน สทฺธิํ น เอกฎฺฐาเน วสิฯ อิมสฺส เถรสฺส โทสํ น กเถสิฯ อปรภาเค จุทิตกเตฺถโร ปน วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณิฯ

    Tato bhikkhusaṅghassa uposathāgāraṃ pavisanavelāya so bhikkhu taṃ bhikkhuṃ uposathagge disvā sañjānitvā ‘‘imasmiṃ uposathagge evarūpo nāma pāpabhikkhu atthi, nāhaṃ tena saddhiṃ uposathaṃ karissāmī’’ti nikkhamitvā bahi aṭṭhāsi. Atha bhummadevatā ‘‘bhāriyaṃ mayā kammaṃ kata’’nti mahallakaupāsakavaṇṇena tassa santikaṃ gantvā – ‘‘kasmā, bhante, ayyo imasmiṃ ṭhāne ṭhito’’ti āha. ‘‘Upāsaka, imaṃ uposathaggaṃ eko pāpabhikkhu paviṭṭho, ‘ahaṃ tena saddhiṃ uposathaṃ na karomī’ti bahi ṭhitomhī’’ti. ‘‘Bhante, mā evaṃ gaṇhatha, parisuddhasīlo esa bhikkhu, tumhehi diṭṭhamātugāmo nāma ahaṃ. Mayā tumhākaṃ vīmaṃsanatthāya ‘daḷhā nu kho imesaṃ therānaṃ metti, no daḷhā’ti bhijjanābhijjanabhāvaṃ olokentena taṃ kammaṃ kata’’nti. ‘‘Ko pana tvaṃ, sappurisā’’ti? ‘‘Ahaṃ ekā bhummadevatā, bhante’’ti. Devaputto kathentoyeva dibbānubhāvena ṭhatvā therassa pādamūle patitvā ‘‘mayhaṃ, bhante, khamatha, therassa eso doso natthi, uposathaṃ karothā’’ti theraṃ yācitvā uposathaggaṃ pavesesi. So thero uposathaṃ tāva ekaṭṭhāne akāsi. Mittasanthavavasena pana puna tena saddhiṃ na ekaṭṭhāne vasi. Imassa therassa dosaṃ na kathesi. Aparabhāge cuditakatthero pana vipassanāya kammaṃ karonto arahattaṃ pāpuṇi.

    ภุมฺมเทวตา ตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน เอกํ พุทฺธนฺตรํ อปายโต น มุจฺจิตฺถฯ สเจ ปน กาเลน กาลํ มนุสฺสตฺตํ อาคจฺฉติ, อเญฺญน เยน เกนจิ กโต โทโส ตเสฺสว อุปริ ปตติฯ โส อมฺหากํ ภควโต อุปฺปนฺนกาเล สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติ, ธานมาณโวติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา มหลฺลกกาเล สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ สาสเน ปพฺพชิฯ ตสฺส อุปสมฺปนฺนทิวสโต ปฎฺฐาย เอกา อลงฺกตปฎิยตฺตา อิตฺถี ตสฺมิํ คามํ ปวิสเนฺต สทฺธิํเยว ปวิสติ, นิกฺขมเนฺต นิกฺขมติ, วิหารํ ปวิสเนฺตปิ สทฺธิํ ปวิสติ, ติฎฺฐเนฺตปิ ติฎฺฐตีติ เอวํ นิจฺจานุพนฺธา ปญฺญายติฯ เถโร ตํ น ปสฺสติฯ ตสฺส ปน ปุริมกมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน สา อเญฺญสํ อุปฎฺฐาสิฯ

    Bhummadevatā tassa kammassa nissandena ekaṃ buddhantaraṃ apāyato na muccittha. Sace pana kālena kālaṃ manussattaṃ āgacchati, aññena yena kenaci kato doso tasseva upari patati. So amhākaṃ bhagavato uppannakāle sāvatthiyaṃ brāhmaṇakule nibbatti, dhānamāṇavotissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto tayo vede uggaṇhitvā mahallakakāle satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho sāsane pabbaji. Tassa upasampannadivasato paṭṭhāya ekā alaṅkatapaṭiyattā itthī tasmiṃ gāmaṃ pavisante saddhiṃyeva pavisati, nikkhamante nikkhamati, vihāraṃ pavisantepi saddhiṃ pavisati, tiṭṭhantepi tiṭṭhatīti evaṃ niccānubandhā paññāyati. Thero taṃ na passati. Tassa pana purimakammassa nissandena sā aññesaṃ upaṭṭhāsi.

    คาเม ยาคุภิกฺขํ ททมานา อิตฺถิโย, ‘‘ภเนฺต, อยํ เอโก ยาคุอุฬุโงฺก ตุมฺหากํ, เอโก อิมิสฺสา อมฺหากํ สหายิกายา’’ติ ปริหาสํ กโรนฺติฯ เถรสฺส มหตี วิเหสา โหติฯ วิหารคตมฺปิ นํ สามเณรา เจว ทหรภิกฺขู จ ปริวาเรตฺวา ‘‘ธาโน โกโณฺฑ ชาโต’’ติ ปริหาสํ กโรนฺติฯ อถสฺส เตเนว การเณน กุณฺฑธาโน เถโรติ นามํ ชาตํฯ โส อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย เตหิ กริยมานํ เกฬิํ สหิตุํ อสโกฺกโนฺต อุมฺมาทํ คเหตฺวา ‘‘ตุเมฺห โกณฺฑา, ตุมฺหากํ อุปชฺฌาโย โกโณฺฑ, อาจริโย โกโณฺฑ’’ติ วทติฯ อถ นํ สตฺถุ อาโรเจสุํ – ‘‘กุณฺฑธาโน, ภเนฺต, ทหรสามเณเรหิ สทฺธิํ เอวํ ผรุสวาจํ วทตี’’ติฯ สตฺถา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ธาน, ทหรสามเณเรหิ สทฺธิํ ผรุสวาจํ วทสี’’ติ ปุจฺฉิฯ เตน ‘‘สจฺจํ ภควา’’ติ วุเตฺต – ‘‘กสฺมา เอวํ วทสี’’ติ อาหฯ ‘‘ภเนฺต, นิพทฺธํ วิเหสํ สหิตุํ อสโกฺกโนฺต เอวํ กเถมี’’ติ ฯ ‘‘ตฺวํ ปุเพฺพ กตกมฺมํ ยาวชฺชทิวสา ชีราเปตุํ น สโกฺกสิ, ปุน เอวํ ผรุสวาจํ มา วท ภิกฺขู’’ติ วตฺวา อาห –

    Gāme yāgubhikkhaṃ dadamānā itthiyo, ‘‘bhante, ayaṃ eko yāguuḷuṅko tumhākaṃ, eko imissā amhākaṃ sahāyikāyā’’ti parihāsaṃ karonti. Therassa mahatī vihesā hoti. Vihāragatampi naṃ sāmaṇerā ceva daharabhikkhū ca parivāretvā ‘‘dhāno koṇḍo jāto’’ti parihāsaṃ karonti. Athassa teneva kāraṇena kuṇḍadhāno theroti nāmaṃ jātaṃ. So uṭṭhāya samuṭṭhāya tehi kariyamānaṃ keḷiṃ sahituṃ asakkonto ummādaṃ gahetvā ‘‘tumhe koṇḍā, tumhākaṃ upajjhāyo koṇḍo, ācariyo koṇḍo’’ti vadati. Atha naṃ satthu ārocesuṃ – ‘‘kuṇḍadhāno, bhante, daharasāmaṇerehi saddhiṃ evaṃ pharusavācaṃ vadatī’’ti. Satthā taṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, dhāna, daharasāmaṇerehi saddhiṃ pharusavācaṃ vadasī’’ti pucchi. Tena ‘‘saccaṃ bhagavā’’ti vutte – ‘‘kasmā evaṃ vadasī’’ti āha. ‘‘Bhante, nibaddhaṃ vihesaṃ sahituṃ asakkonto evaṃ kathemī’’ti . ‘‘Tvaṃ pubbe katakammaṃ yāvajjadivasā jīrāpetuṃ na sakkosi, puna evaṃ pharusavācaṃ mā vada bhikkhū’’ti vatvā āha –

    ‘‘มาโวจ ผรุสํ กญฺจิ, วุตฺตา ปฎิวเทยฺยุ ตํ;

    ‘‘Māvoca pharusaṃ kañci, vuttā paṭivadeyyu taṃ;

    ทุกฺขา หิ สารมฺภกถา, ปฎิทณฺฑา ผุเสยฺยุ ตํฯ

    Dukkhā hi sārambhakathā, paṭidaṇḍā phuseyyu taṃ.

    ‘‘สเจ เนเรสิ อตฺตานํ, กํโส อุปหโต ยถา;

    ‘‘Sace neresi attānaṃ, kaṃso upahato yathā;

    เอส ปโตฺตสิ นิพฺพานํ, สารโมฺภ เต น วิชฺชตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๓๓-๑๓๔) –

    Esa pattosi nibbānaṃ, sārambho te na vijjatī’’ti. (dha. pa. 133-134) –

    อิมญฺจ ปน ตสฺส เถรสฺส มาตุคาเมน สทฺธิํ วิจรณภาวํ โกสลรโญฺญปิ กถยิํสุฯ ราชา ‘‘คจฺฉถ, ภเณ, นํ วีมํสถา’’ติ เปเสตฺวา สยมฺปิ มเนฺทเนว ปริวาเรน สทฺธิํ เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา เอกมเนฺต โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ เถโร สูจิกมฺมํ กโรโนฺต นิสิโนฺน โหติฯ สาปิ อิตฺถี อวิทูเร ฐาเน ฐิตา วิย ปญฺญายติฯ

    Imañca pana tassa therassa mātugāmena saddhiṃ vicaraṇabhāvaṃ kosalaraññopi kathayiṃsu. Rājā ‘‘gacchatha, bhaṇe, naṃ vīmaṃsathā’’ti pesetvā sayampi mandeneva parivārena saddhiṃ therassa santikaṃ gantvā ekamante olokento aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe thero sūcikammaṃ karonto nisinno hoti. Sāpi itthī avidūre ṭhāne ṭhitā viya paññāyati.

    ราชา ตํ ทิสฺวา ‘‘อตฺถิ ตํ การณ’’นฺติ ตสฺสา ฐิตฎฺฐานํ อคมาสิฯ สา ตสฺมิํ อาคจฺฉเนฺต เถรสฺส วสนปณฺณสาลํ ปวิฎฺฐา วิย อโหสิฯ ราชาปิ ตาย สทฺธิํ เอว ปณฺณสาลายํ ปวิสิตฺวา สพฺพตฺถ โอโลเกโนฺต อทิสฺวา ‘‘นายํ มาตุคาโม, เถรสฺส เอโก กมฺมวิปาโก’’ติ สญฺญํ กตฺวา ปฐมํ เถรสฺส สมีเปน คจฺฉโนฺตปิ เถรํ อวนฺทิตฺวา ตสฺส การณสฺส อภูตภาวํ ญตฺวา ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา เอกมเนฺต นิสิโนฺน ‘‘กจฺจิ, ภเนฺต, ปิณฺฑเกน น กิลมถา’’ติ ปุจฺฉิฯ เถโร ‘‘วฎฺฎติ, มหาราชา’’ติ อาหฯ ‘‘ชานามหํ, ภเนฺต, อยฺยสฺส กถํ, เอวรูเปนุปกฺกิเลเสน สทฺธิํ จรนฺตานํ ตุมฺหากํ เก นาม ปสีทิสฺสนฺติ, อิโต ปฎฺฐาย โว กตฺถจิ คมนกิจฺจํ นตฺถิฯ อหํ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิสฺสามิ, ตุเมฺห โยนิโสมนสิกาเร มา ปมชฺชิตฺถา’’ติ วตฺวา นิพทฺธภิกฺขํ ปฎฺฐเปสิฯ เถโร ราชานํ อุปตฺถมฺภกํ ลภิตฺวา โภชนสปฺปาเยน เอกคฺคจิโตฺต หุตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตโต ปฎฺฐาย สา อิตฺถี อนฺตรธายิฯ

    Rājā taṃ disvā ‘‘atthi taṃ kāraṇa’’nti tassā ṭhitaṭṭhānaṃ agamāsi. Sā tasmiṃ āgacchante therassa vasanapaṇṇasālaṃ paviṭṭhā viya ahosi. Rājāpi tāya saddhiṃ eva paṇṇasālāyaṃ pavisitvā sabbattha olokento adisvā ‘‘nāyaṃ mātugāmo, therassa eko kammavipāko’’ti saññaṃ katvā paṭhamaṃ therassa samīpena gacchantopi theraṃ avanditvā tassa kāraṇassa abhūtabhāvaṃ ñatvā paṇṇasālato nikkhamitvā theraṃ vanditvā ekamante nisinno ‘‘kacci, bhante, piṇḍakena na kilamathā’’ti pucchi. Thero ‘‘vaṭṭati, mahārājā’’ti āha. ‘‘Jānāmahaṃ, bhante, ayyassa kathaṃ, evarūpenupakkilesena saddhiṃ carantānaṃ tumhākaṃ ke nāma pasīdissanti, ito paṭṭhāya vo katthaci gamanakiccaṃ natthi. Ahaṃ catūhi paccayehi upaṭṭhahissāmi, tumhe yonisomanasikāre mā pamajjitthā’’ti vatvā nibaddhabhikkhaṃ paṭṭhapesi. Thero rājānaṃ upatthambhakaṃ labhitvā bhojanasappāyena ekaggacitto hutvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Tato paṭṭhāya sā itthī antaradhāyi.

    ตทา มหาสุภทฺทา อุคฺคนคเร มิจฺฉาทิฎฺฐิกุเล วสมานา ‘‘สตฺถา มํ อนุกมฺปตู’’ติ อุโปสถงฺคํ อธิฎฺฐาย นิรามคนฺธา หุตฺวา อุปริปาสาทตเล ฐิตา ‘‘อิมานิ ปุปฺผานิ อนฺตเร อฎฺฐตฺวา ทสพลสฺส มตฺถเก วิตานํ หุตฺวา ติฎฺฐนฺตุ, ทสพโล อิมาย สญฺญาย เสฺว ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหตู’’ติ สจฺจกิริยํ กตฺวา อฎฺฐ สุมนปุปฺผมุฎฺฐิโย วิสฺสเชฺชสิฯ ปุปฺผานิ คนฺตฺวา ธมฺมเทสนาเวลาย สตฺถุ มตฺถเก วิตานํ หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ สตฺถา ตํ สุมนปุปฺผวิตานํ ทิสฺวา จิเตฺตเนว สุภทฺทาย ภิกฺขํ อธิวาเสตฺวา ปุนทิวเส อรุเณ อุฎฺฐิเต อานนฺทเตฺถรํ อาห – ‘‘อานนฺท, มยํ อชฺช ทูรํ ภิกฺขาจารํ คมิสฺสาม, ปุถุชฺชนานํ อทตฺวา อริยานํเยว สลากํ เทหี’’ติฯ เถโร ภิกฺขูนํ อาโรเจสิ – ‘‘อาวุโส, สตฺถา อชฺช ทูรํ ภิกฺขาจารํ คมิสฺสติฯ ปุถุชฺชนา มา คณฺหนฺตุ, อริยาว สลากํ คณฺหนฺตู’’ติฯ กุณฺฑธานเตฺถโร – ‘‘อาหราวุโส, สลาก’’นฺติ ปฐมํเยว หตฺถํ ปสาเรสิฯ อานโนฺท ‘‘สตฺถา ตาทิสานํ ภิกฺขูนํ สลากํ น ทาเปติ, อริยานํเยว ทาเปตี’’ติ วิตกฺกํ อุปฺปาเทตฺวา คนฺตฺวา สตฺถุ อาโรเจสิฯ สตฺถา ‘‘อาหราเปนฺตสฺส สลากํ เทหี’’ติ อาหฯ เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ กุณฺฑธานสฺส สลากา ทาตุํ น ยุตฺตา, อถ สตฺถา ปฎิพาเหยฺย, ภวิสฺสติ เอตฺถ การณ’’นฺติ ‘‘กุณฺฑธานสฺส สลากํ ทสฺสามี’’ติ คมนํ อภินีหริฯ กุณฺฑธาโน ตสฺส ปุราคมนา เอว อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา อิทฺธิยา อากาเส ฐตฺวา ‘‘อาหราวุโส อานนฺท, สตฺถา มํ ชานาติ, มาทิสํ ภิกฺขุํ ปฐมํ สลากํ คณฺหนฺตํ น สตฺถา วาเรตี’’ติ หตฺถํ ปสาเรตฺวา สลากํ คณฺหิฯ สตฺถา ตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถรํ อิมสฺมิํ สาสเน ปฐมํ สลากํ คณฺหนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ ยสฺมา อยํ เถโร ราชานํ อุปตฺถมฺภํ ลภิตฺวา สปฺปายาหารปฎิลาเภน สมาหิตจิโตฺต วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต อุปนิสฺสยสมฺปนฺนตาย ฉฬภิโญฺญ อโหสิฯ เอวํภูตสฺสาปิ อิมสฺส เถรสฺส คุเณ อชานนฺตา เย ปุถุชฺชนา ภิกฺขู ‘‘อยํ ปฐมํ สลากํ คณฺหติ, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ วิมติํ อุปฺปาเทนฺติฯ เตสํ ตํ วิมติวิธมนตฺถํ เถโร อากาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา อิทฺธิปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวา อญฺญาปเทเสน อญฺญํ พฺยากโรโนฺต ‘‘ปญฺจ ฉิเนฺท’’ติ คาถํ อภาสิฯ

    Tadā mahāsubhaddā ugganagare micchādiṭṭhikule vasamānā ‘‘satthā maṃ anukampatū’’ti uposathaṅgaṃ adhiṭṭhāya nirāmagandhā hutvā uparipāsādatale ṭhitā ‘‘imāni pupphāni antare aṭṭhatvā dasabalassa matthake vitānaṃ hutvā tiṭṭhantu, dasabalo imāya saññāya sve pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhatū’’ti saccakiriyaṃ katvā aṭṭha sumanapupphamuṭṭhiyo vissajjesi. Pupphāni gantvā dhammadesanāvelāya satthu matthake vitānaṃ hutvā aṭṭhaṃsu. Satthā taṃ sumanapupphavitānaṃ disvā citteneva subhaddāya bhikkhaṃ adhivāsetvā punadivase aruṇe uṭṭhite ānandattheraṃ āha – ‘‘ānanda, mayaṃ ajja dūraṃ bhikkhācāraṃ gamissāma, puthujjanānaṃ adatvā ariyānaṃyeva salākaṃ dehī’’ti. Thero bhikkhūnaṃ ārocesi – ‘‘āvuso, satthā ajja dūraṃ bhikkhācāraṃ gamissati. Puthujjanā mā gaṇhantu, ariyāva salākaṃ gaṇhantū’’ti. Kuṇḍadhānatthero – ‘‘āharāvuso, salāka’’nti paṭhamaṃyeva hatthaṃ pasāresi. Ānando ‘‘satthā tādisānaṃ bhikkhūnaṃ salākaṃ na dāpeti, ariyānaṃyeva dāpetī’’ti vitakkaṃ uppādetvā gantvā satthu ārocesi. Satthā ‘‘āharāpentassa salākaṃ dehī’’ti āha. Thero cintesi – ‘‘sace kuṇḍadhānassa salākā dātuṃ na yuttā, atha satthā paṭibāheyya, bhavissati ettha kāraṇa’’nti ‘‘kuṇḍadhānassa salākaṃ dassāmī’’ti gamanaṃ abhinīhari. Kuṇḍadhāno tassa purāgamanā eva abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā iddhiyā ākāse ṭhatvā ‘‘āharāvuso ānanda, satthā maṃ jānāti, mādisaṃ bhikkhuṃ paṭhamaṃ salākaṃ gaṇhantaṃ na satthā vāretī’’ti hatthaṃ pasāretvā salākaṃ gaṇhi. Satthā taṃ aṭṭhuppattiṃ katvā theraṃ imasmiṃ sāsane paṭhamaṃ salākaṃ gaṇhantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi. Yasmā ayaṃ thero rājānaṃ upatthambhaṃ labhitvā sappāyāhārapaṭilābhena samāhitacitto vipassanāya kammaṃ karonto upanissayasampannatāya chaḷabhiñño ahosi. Evaṃbhūtassāpi imassa therassa guṇe ajānantā ye puthujjanā bhikkhū ‘‘ayaṃ paṭhamaṃ salākaṃ gaṇhati, kiṃ nu kho eta’’nti vimatiṃ uppādenti. Tesaṃ taṃ vimatividhamanatthaṃ thero ākāsaṃ abbhuggantvā iddhipāṭihāriyaṃ dassetvā aññāpadesena aññaṃ byākaronto ‘‘pañca chinde’’ti gāthaṃ abhāsi.

    . เอวํ โส ปูริตปุญฺญสมฺภารานุรูเปน อรหา หุตฺวา ปตฺตเอตทคฺคฎฺฐาโน อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา โสมนสฺสวเสน ปุพฺพจริตาปทานํ ปกาเสโนฺต สตฺตาหํ ปฎิสลฺลีนนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ สตฺถาหํ สตฺตทิวสํ นิโรธสมาปตฺติวิหาเรน ปฎิสลฺลีนํ วิเวกภูตนฺติ อโตฺถฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    1. Evaṃ so pūritapuññasambhārānurūpena arahā hutvā pattaetadaggaṭṭhāno attano pubbakammaṃ saritvā somanassavasena pubbacaritāpadānaṃ pakāsento sattāhaṃ paṭisallīnantiādimāha. Tattha satthāhaṃ sattadivasaṃ nirodhasamāpattivihārena paṭisallīnaṃ vivekabhūtanti attho. Sesaṃ uttānatthamevāti.

    กุณฺฑธานเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Kuṇḍadhānattheraapadānavaṇṇanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๑. กุณฺฑธานเตฺถรอปทานํ • 1. Kuṇḍadhānattheraapadānaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact