Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๗๖] ๖. กุรุธมฺมชาตกวณฺณนา
[276] 6. Kurudhammajātakavaṇṇanā
ตว สทฺธญฺจ สีลญฺจาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ หํสฆาตกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิวาสิโน เทฺว สหายกา ภิกฺขู ปพฺพชิตฺวา ลทฺธูปสมฺปทา เยภุเยฺยน เอกโต วิจรนฺติฯ เต เอกทิวสํ อจิรวติํ คนฺตฺวา นฺหตฺวา วาลุกปุลิเน อาตปํ ตปฺปมานา สารณียกถํ กเถนฺตา อฎฺฐํสุ, ตสฺมิํ ขเณ เทฺว หํสา อากาเสน คจฺฉนฺติฯ อเถโก ทหรภิกฺขุ สกฺขรํ คเหตฺวา ‘‘เอกสฺส หํสโปตกสฺส อกฺขิํ ปหริสฺสามี’’ติ อาห, อิตโร ‘‘น สกฺขิสฺสสี’’ติ อาหฯ ‘‘ติฎฺฐตุ อิมสฺมิํ ปเสฺส อกฺขิ, ปรปเสฺส อกฺขิํ ปหริสฺสามี’’ติฯ ‘‘อิทมฺปิ น สกฺขิสฺสสิเยวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อุปธาเรหี’’ติ ติยํสํ สกฺขรํ คเหตฺวา หํสสฺส ปจฺฉาภาเค ขิปิฯ หํโส สกฺขรสทฺทํ สุตฺวา นิวตฺติตฺวา โอโลเกสิ, อถ นํ อิตโร วฎฺฎสกฺขรํ คเหตฺวา ปรปเสฺส อกฺขิมฺหิ ปหริตฺวา โอริมกฺขินา นิกฺขมาเปสิฯ หํโส วิรวโนฺต ปริวตฺติตฺวา เตสํ ปาทมูเลเยว ปติฯ ตตฺถ ตตฺถ ฐิตา ภิกฺขู ทิสฺวา อาคนฺตฺวา ‘‘อาวุโส, เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา อนนุจฺฉวิกํ โว กตํ ปาณาติปาตํ กโรเนฺตหี’’ติ วตฺวา เต อาทาย ตถาคตสฺส ทเสฺสสุํฯ สตฺถา ‘‘สจฺจํ, กิร ตยา ภิกฺขุ ปาณาติปาโต กโต’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ, กสฺมา เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา เอวมกาสิ, โปราณกปณฺฑิตา อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ อคารมเชฺฌ สํกิลิฎฺฐวาสํ วสมานา อปฺปมตฺตเกสุปิ ฐาเนสุ กุกฺกุจฺจํ กริํสุ, ตฺวํ ปน เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา กุกฺกุจฺจมตฺตมฺปิ น อกาสิ, นนุ นาม ภิกฺขุนา กายวาจาจิเตฺตหิ สญฺญเตน ภวิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Tava saddhañca sīlañcāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ haṃsaghātakabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Sāvatthivāsino dve sahāyakā bhikkhū pabbajitvā laddhūpasampadā yebhuyyena ekato vicaranti. Te ekadivasaṃ aciravatiṃ gantvā nhatvā vālukapuline ātapaṃ tappamānā sāraṇīyakathaṃ kathentā aṭṭhaṃsu, tasmiṃ khaṇe dve haṃsā ākāsena gacchanti. Atheko daharabhikkhu sakkharaṃ gahetvā ‘‘ekassa haṃsapotakassa akkhiṃ paharissāmī’’ti āha, itaro ‘‘na sakkhissasī’’ti āha. ‘‘Tiṭṭhatu imasmiṃ passe akkhi, parapasse akkhiṃ paharissāmī’’ti. ‘‘Idampi na sakkhissasiyevā’’ti. ‘‘Tena hi upadhārehī’’ti tiyaṃsaṃ sakkharaṃ gahetvā haṃsassa pacchābhāge khipi. Haṃso sakkharasaddaṃ sutvā nivattitvā olokesi, atha naṃ itaro vaṭṭasakkharaṃ gahetvā parapasse akkhimhi paharitvā orimakkhinā nikkhamāpesi. Haṃso viravanto parivattitvā tesaṃ pādamūleyeva pati. Tattha tattha ṭhitā bhikkhū disvā āgantvā ‘‘āvuso, evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā ananucchavikaṃ vo kataṃ pāṇātipātaṃ karontehī’’ti vatvā te ādāya tathāgatassa dassesuṃ. Satthā ‘‘saccaṃ, kira tayā bhikkhu pāṇātipāto kato’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu, kasmā evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā evamakāsi, porāṇakapaṇḍitā anuppanne buddhe agāramajjhe saṃkiliṭṭhavāsaṃ vasamānā appamattakesupi ṭhānesu kukkuccaṃ kariṃsu, tvaṃ pana evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā kukkuccamattampi na akāsi, nanu nāma bhikkhunā kāyavācācittehi saññatena bhavitabba’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต กุรุรเฎฺฐ อินฺทปตฺถนคเร ธนญฺจเย โกรเพฺย รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อนุปุเพฺพน วิญฺญุตํ ปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา ปิตรา โอปรเชฺช ปติฎฺฐาปิโต อปรภาเค ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ ปตฺวา ทส ราชธเมฺม อโกเปโนฺต กุรุธเมฺม วตฺติตฺถฯ กุรุธโมฺม นาม ปญฺจ สีลานิ, ตานิ โพธิสโตฺต ปริสุทฺธานิ กตฺวา รกฺขิฯ ยถา จ โพธิสโตฺต, เอวมสฺส มาตา อคฺคมเหสี กนิฎฺฐภาตา อุปราชา ปุโรหิโต พฺราหฺมโณ รชฺชุคาหโก อมโจฺจ สารถิ เสฎฺฐิ โทณมาปโก มหามโตฺต โทวาริโก นครโสภินี วณฺณทาสีติ เอวเมเตฯ
Atīte kururaṭṭhe indapatthanagare dhanañcaye korabye rajjaṃ kārente bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gahetvā anupubbena viññutaṃ patto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā pitarā oparajje patiṭṭhāpito aparabhāge pitu accayena rajjaṃ patvā dasa rājadhamme akopento kurudhamme vattittha. Kurudhammo nāma pañca sīlāni, tāni bodhisatto parisuddhāni katvā rakkhi. Yathā ca bodhisatto, evamassa mātā aggamahesī kaniṭṭhabhātā uparājā purohito brāhmaṇo rajjugāhako amacco sārathi seṭṭhi doṇamāpako mahāmatto dovāriko nagarasobhinī vaṇṇadāsīti evamete.
‘‘ราชา มาตา มเหสี จ, อุปราชา ปุโรหิโต;
‘‘Rājā mātā mahesī ca, uparājā purohito;
รชฺชุโก สารถิ เสฎฺฐิ, โทโณ โทวาริโก ตถา;
Rajjuko sārathi seṭṭhi, doṇo dovāriko tathā;
คณิเกกาทส ชนา, กุรุธเมฺม ปติฎฺฐิตา’’ติฯ
Gaṇikekādasa janā, kurudhamme patiṭṭhitā’’ti.
อิติ อิเม สเพฺพปิ ปริสุทฺธานิ กตฺวา ปญฺจ สีลานิ รกฺขิํสุฯ ราชา จตูสุ นครทฺวาเรสุ จ นครมเชฺฌ จ นิเวสนทฺวาเร จาติ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา เทวสิกํ ฉสตสหสฺสํ ธนํ วิสฺสเชฺชโนฺต สกลชมฺพุทีปํ อุนฺนงฺคลํ กตฺวา ทานํ อทาสิ, ตสฺส ปน ทานชฺฌาสยตา ทานาภิรตตา สกลชมฺพุทีปํ อโชฺฌตฺถริฯ ตสฺมิํ กาเล กาลิงฺครเฎฺฐ ทนฺตปุรนคเร กาลิงฺคราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส รเฎฺฐ เทโว น วสฺสิ, ตสฺมิํ อวสฺสเนฺต สกลรเฎฺฐ ฉาตกํ ชาตํ, อาหารวิปตฺติยา จ มนุสฺสานํ โรโค อุทปาทิ, ทุพฺพุฎฺฐิภยํ ฉาตกภยํ โรคภยนฺติ ตีณิ ภยานิ อุปฺปชฺชิํสุฯ มนุสฺสา นิคฺคหณา ทารเก หเตฺถสุ คเหตฺวา ตตฺถ ตตฺถ วิจรนฺติฯ
Iti ime sabbepi parisuddhāni katvā pañca sīlāni rakkhiṃsu. Rājā catūsu nagaradvāresu ca nagaramajjhe ca nivesanadvāre cāti cha dānasālāyo kāretvā devasikaṃ chasatasahassaṃ dhanaṃ vissajjento sakalajambudīpaṃ unnaṅgalaṃ katvā dānaṃ adāsi, tassa pana dānajjhāsayatā dānābhiratatā sakalajambudīpaṃ ajjhotthari. Tasmiṃ kāle kāliṅgaraṭṭhe dantapuranagare kāliṅgarājā rajjaṃ kāresi. Tassa raṭṭhe devo na vassi, tasmiṃ avassante sakalaraṭṭhe chātakaṃ jātaṃ, āhāravipattiyā ca manussānaṃ rogo udapādi, dubbuṭṭhibhayaṃ chātakabhayaṃ rogabhayanti tīṇi bhayāni uppajjiṃsu. Manussā niggahaṇā dārake hatthesu gahetvā tattha tattha vicaranti.
สกลรฎฺฐวาสิโน เอกโต หุตฺวา ทนฺตปุรํ คนฺตฺวา ราชทฺวาเร อุกฺกุฎฺฐิมกํสุฯ ราชา วาตปานํ นิสฺสาย ฐิโต ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิํ การณา เอเต วิรวนฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มหาราช , สกลรเฎฺฐ ตีณิ ภยานิ อุปฺปนฺนานิ, เทโว น วสฺสติ, สสฺสานิ น วิปนฺนานิ, ฉาตกํ ชาตํฯ มนุสฺสา ทุโพฺภชนา โรคาภิภูตา นิคฺคหณา ปุเตฺต หเตฺถสุ คเหตฺวา วิจรนฺติ, เทวํ วสฺสาเปหิ มหาราชา’’ติฯ ‘‘โปราณกราชาโน เทเว อวสฺสเนฺต กิํ กโรนฺตี’’ติ? ‘‘โปราณกราชาโน, มหาราช, เทเว อวสฺสเนฺต ทานํ ทตฺวา อุโปสถํ อธิฎฺฐาย สมาทินฺนสีลา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา ทพฺพสนฺถเร สตฺตาหํ นิปชฺชนฺติ, ตทา เทโว วสฺสตี’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา อกาสิฯ เอวํ สเนฺตปิ เทโว น วสฺสิฯ
Sakalaraṭṭhavāsino ekato hutvā dantapuraṃ gantvā rājadvāre ukkuṭṭhimakaṃsu. Rājā vātapānaṃ nissāya ṭhito taṃ saddaṃ sutvā ‘‘kiṃ kāraṇā ete viravantī’’ti pucchi. ‘‘Mahārāja , sakalaraṭṭhe tīṇi bhayāni uppannāni, devo na vassati, sassāni na vipannāni, chātakaṃ jātaṃ. Manussā dubbhojanā rogābhibhūtā niggahaṇā putte hatthesu gahetvā vicaranti, devaṃ vassāpehi mahārājā’’ti. ‘‘Porāṇakarājāno deve avassante kiṃ karontī’’ti? ‘‘Porāṇakarājāno, mahārāja, deve avassante dānaṃ datvā uposathaṃ adhiṭṭhāya samādinnasīlā sirigabbhaṃ pavisitvā dabbasanthare sattāhaṃ nipajjanti, tadā devo vassatī’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tathā akāsi. Evaṃ santepi devo na vassi.
ราชา อมเจฺจ ปุจฺฉิ – ‘‘อหํ กตฺตพฺพกิจฺจํ อกาสิํ, เทโว น วสฺสติ, กินฺติ กโรมา’’ติ? ‘‘มหาราช, อินฺทปตฺถนคเร ธนญฺจยสฺส โกรพฺยรโญฺญ อญฺชนวโณฺณ นาม มงฺคลหตฺถี อตฺถิ, ตํ อาเนสฺสาม, เอวํ สเนฺต เทโว วสฺสตี’’ติฯ ‘‘โส ราชา พลวาหนสมฺปโนฺน ทุปฺปสโห, กถมสฺส หตฺถิํ อาเนสฺสามา’’ติ? ‘‘มหาราช, เตน สทฺธิํ ยุทฺธกิจฺจํ นตฺถิ, ทานชฺฌาสโย ราชา ทานาภิรโต ยาจิโต สมาโน อลงฺกตสีสมฺปิ ฉินฺทิตฺวา ปสาทสมฺปนฺนานิ อกฺขีนิปิ อุปฺปาเฎตฺวา สกลรชฺชมฺปิ นิยฺยาเทตฺวา ทเทยฺย, หตฺถิมฺหิ วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, อวสฺสํ ยาจิโต ทสฺสตี’’ติฯ ‘‘เก ปน ตํ ยาจิตุํ สมตฺถา’’ติ? ‘‘พฺราหฺมณา, มหาราชา’’ติฯ ราชา พฺราหฺมณคามโต อฎฺฐ พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา สกฺการสมฺมานํ กตฺวา หตฺถิํ ยาจนตฺถาย เปเสสิฯ เต ปริพฺพยํ อาทาย อทฺธิกเวสํ คเหตฺวา สพฺพตฺถ เอกรตฺติวาเสน ตุริตคมนํ คนฺตฺวา กติปาหํ นครทฺวาเร ทานสาลาสุ ภุญฺชิตฺวา สรีรํ สนฺตเปฺปตฺวา ‘‘กทา ราชา ทานคฺคํ อาคจฺฉิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ มนุสฺสา ‘‘ปกฺขสฺส ตโย ทิวเส จาตุทฺทเส ปนฺนรเส อฎฺฐมิยญฺจ อาคจฺฉติ, เสฺว ปน ปุณฺณมี, ตสฺมา เสฺว อาคจฺฉิสฺสตี’’ติ วทิํสุฯ
Rājā amacce pucchi – ‘‘ahaṃ kattabbakiccaṃ akāsiṃ, devo na vassati, kinti karomā’’ti? ‘‘Mahārāja, indapatthanagare dhanañcayassa korabyarañño añjanavaṇṇo nāma maṅgalahatthī atthi, taṃ ānessāma, evaṃ sante devo vassatī’’ti. ‘‘So rājā balavāhanasampanno duppasaho, kathamassa hatthiṃ ānessāmā’’ti? ‘‘Mahārāja, tena saddhiṃ yuddhakiccaṃ natthi, dānajjhāsayo rājā dānābhirato yācito samāno alaṅkatasīsampi chinditvā pasādasampannāni akkhīnipi uppāṭetvā sakalarajjampi niyyādetvā dadeyya, hatthimhi vattabbameva natthi, avassaṃ yācito dassatī’’ti. ‘‘Ke pana taṃ yācituṃ samatthā’’ti? ‘‘Brāhmaṇā, mahārājā’’ti. Rājā brāhmaṇagāmato aṭṭha brāhmaṇe pakkosāpetvā sakkārasammānaṃ katvā hatthiṃ yācanatthāya pesesi. Te paribbayaṃ ādāya addhikavesaṃ gahetvā sabbattha ekarattivāsena turitagamanaṃ gantvā katipāhaṃ nagaradvāre dānasālāsu bhuñjitvā sarīraṃ santappetvā ‘‘kadā rājā dānaggaṃ āgacchissatī’’ti pucchiṃsu. Manussā ‘‘pakkhassa tayo divase cātuddase pannarase aṭṭhamiyañca āgacchati, sve pana puṇṇamī, tasmā sve āgacchissatī’’ti vadiṃsu.
พฺราหฺมณา ปุนทิวเส ปาโตว คนฺตฺวา ปาจีนทฺวาเร อฎฺฐํสุฯ โพธิสโตฺต ปาโตว นฺหตฺวา คตฺตานุลิโตฺต สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต อลงฺกตหตฺถิกฺขนฺธวรคโต มหเนฺตน ปริวาเรน ปาจีนทฺวาเรน ทานสาลํ คนฺตฺวา โอตริตฺวา สตฺตฎฺฐชนานํ สหตฺถา ภตฺตํ ทตฺวา ‘‘อิมินาว นีหาเรน เทถา’’ติ วตฺวา หตฺถิํ อภิรุหิตฺวา ทกฺขิณทฺวารํ อคมาสิฯ พฺราหฺมณา ปาจีนทฺวาเร อารกฺขสฺส พลวตาย โอกาสํ อลภิตฺวา ทกฺขิณทฺวารเมว คนฺตฺวา ราชานํ อาคจฺฉนฺตํ โอโลกยมานา ทฺวารโต นาติทูเร อุนฺนตฎฺฐาเน ฐิตา สมฺปตฺตํ ราชานํ หเตฺถ อุกฺขิปิตฺวา ‘‘ชยตุ ภวํ, มหาราชา’’ติ ชยาเปสุํฯ ราชา วชิรงฺกุเสน วารณํ นิวเตฺตตฺวา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘โภ พฺราหฺมณา, กิํ อิจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิฯ พฺราหฺมณา โพธิสตฺตสฺส คุณํ วเณฺณนฺตา ปฐมํ คาถมาหํสุ –
Brāhmaṇā punadivase pātova gantvā pācīnadvāre aṭṭhaṃsu. Bodhisatto pātova nhatvā gattānulitto sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito alaṅkatahatthikkhandhavaragato mahantena parivārena pācīnadvārena dānasālaṃ gantvā otaritvā sattaṭṭhajanānaṃ sahatthā bhattaṃ datvā ‘‘imināva nīhārena dethā’’ti vatvā hatthiṃ abhiruhitvā dakkhiṇadvāraṃ agamāsi. Brāhmaṇā pācīnadvāre ārakkhassa balavatāya okāsaṃ alabhitvā dakkhiṇadvārameva gantvā rājānaṃ āgacchantaṃ olokayamānā dvārato nātidūre unnataṭṭhāne ṭhitā sampattaṃ rājānaṃ hatthe ukkhipitvā ‘‘jayatu bhavaṃ, mahārājā’’ti jayāpesuṃ. Rājā vajiraṅkusena vāraṇaṃ nivattetvā tesaṃ santikaṃ gantvā ‘‘bho brāhmaṇā, kiṃ icchathā’’ti pucchi. Brāhmaṇā bodhisattassa guṇaṃ vaṇṇentā paṭhamaṃ gāthamāhaṃsu –
๗๖.
76.
‘‘ตว สทฺธญฺจ สีลญฺจ, วิทิตฺวาน ชนาธิป;
‘‘Tava saddhañca sīlañca, viditvāna janādhipa;
วณฺณํ อญฺชนวเณฺณน, กาลิงฺคสฺมิํ นิมิมฺหเส’’ติฯ
Vaṇṇaṃ añjanavaṇṇena, kāliṅgasmiṃ nimimhase’’ti.
ตตฺถ สทฺธนฺติ กมฺมผลานํ สทฺทหนวเสน โอกปฺปนิยสทฺธํฯ สีลนฺติ สํวรสีลํ อวีติกฺกมสีลํฯ วณฺณนฺติ ตทา ตสฺมิํ เทเส สุวณฺณํ วุจฺจติ, เทสนาสีสเมว เจตํฯ อิมินา ปน ปเทน สพฺพมฺปิ หิรญฺญสุวณฺณาทิธนธญฺญํ สงฺคหิตํฯ อญฺชนวเณฺณนาติ อญฺชนปุญฺชสมานวเณฺณน อิมินา ตว นาเคน, กาลิงฺคสฺมินฺติ กาลิงฺครโญฺญ สนฺติเกฯ นิมิมฺหเสติ วินิมยวเสน คณฺหิมฺห, ปริโภควเสน วา อุทเร ปกฺขิปิมฺหาติ อโตฺถฯ เสติ นิปาตมตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มยญฺหิ, ชนาธิป, ตว สทฺธญฺจ สีลญฺจ วิทิตฺวาน ‘‘อทฺธา โน เอวํ สทฺธาสีลสมฺปโนฺน ราชา ยาจิโต อญฺชนวณฺณํ นาคํ ทสฺสตี’’ติ อิมินา อตฺตโน สนฺตเกน วิย อญฺชนวเณฺณน กาลิงฺครโญฺญ สนฺติเก นาคํ โว อาหริสฺสามาติ วตฺวา พหุธนธญฺญํ นิมิมฺหเส ปริวตฺตยิมฺห เจว อุทเร จ ปกฺขิปิมฺหฯ เอวํ ตํ มยํ ธารยมานา อิธาคตาฯ ตตฺถ กตฺตพฺพํ เทโว ชานาตูติฯ
Tattha saddhanti kammaphalānaṃ saddahanavasena okappaniyasaddhaṃ. Sīlanti saṃvarasīlaṃ avītikkamasīlaṃ. Vaṇṇanti tadā tasmiṃ dese suvaṇṇaṃ vuccati, desanāsīsameva cetaṃ. Iminā pana padena sabbampi hiraññasuvaṇṇādidhanadhaññaṃ saṅgahitaṃ. Añjanavaṇṇenāti añjanapuñjasamānavaṇṇena iminā tava nāgena, kāliṅgasminti kāliṅgarañño santike. Nimimhaseti vinimayavasena gaṇhimha, paribhogavasena vā udare pakkhipimhāti attho. Seti nipātamattaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – mayañhi, janādhipa, tava saddhañca sīlañca viditvāna ‘‘addhā no evaṃ saddhāsīlasampanno rājā yācito añjanavaṇṇaṃ nāgaṃ dassatī’’ti iminā attano santakena viya añjanavaṇṇena kāliṅgarañño santike nāgaṃ vo āharissāmāti vatvā bahudhanadhaññaṃ nimimhase parivattayimha ceva udare ca pakkhipimha. Evaṃ taṃ mayaṃ dhārayamānā idhāgatā. Tattha kattabbaṃ devo jānātūti.
อปโร นโย – ตว สทฺธญฺจ สีลคุณสงฺขาตํ วณฺณญฺจ สุตฺวา ‘‘อุฬารคุโณ ราชา ชีวิตมฺปิ ยาจิโต ทเทยฺย, ปเคว ติรจฺฉานคตํ นาค’’นฺติ เอวํ กาลิงฺคสฺส สนฺติเก อิมินา อญฺชนวเณฺณน ตว วณฺณํ นิมิมฺหเส นิมิมฺห ตุลยิมฺห, เตนมฺหา อิธาคตาติฯ
Aparo nayo – tava saddhañca sīlaguṇasaṅkhātaṃ vaṇṇañca sutvā ‘‘uḷāraguṇo rājā jīvitampi yācito dadeyya, pageva tiracchānagataṃ nāga’’nti evaṃ kāliṅgassa santike iminā añjanavaṇṇena tava vaṇṇaṃ nimimhase nimimha tulayimha, tenamhā idhāgatāti.
ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ‘‘สเจ, โว พฺราหฺมณา, อิมํ นาคํ ปริวเตฺตตฺวา ธนํ ขาทิตํ สุขาทิตํ มา จินฺตยิตฺถ, ยถาลงฺกตเมว โว นาคํ ทสฺสามี’’ติ สมสฺสาเสตฺวา อิตรา เทฺว คาถา อโวจ –
Taṃ sutvā bodhisatto ‘‘sace, vo brāhmaṇā, imaṃ nāgaṃ parivattetvā dhanaṃ khāditaṃ sukhāditaṃ mā cintayittha, yathālaṅkatameva vo nāgaṃ dassāmī’’ti samassāsetvā itarā dve gāthā avoca –
๗๗.
77.
‘‘อนฺนภจฺจา จภจฺจา จ, โยธ อุทฺทิสฺส คจฺฉติ;
‘‘Annabhaccā cabhaccā ca, yodha uddissa gacchati;
สเพฺพ เต อปฺปฎิกฺขิปฺปา, ปุพฺพาจริยวโจ อิทํฯ
Sabbe te appaṭikkhippā, pubbācariyavaco idaṃ.
๗๘.
78.
‘‘ททามิ โว พฺราหฺมณา นาคเมตํ, ราชารหํ ราชโภคฺคํ ยสสฺสินํ;
‘‘Dadāmi vo brāhmaṇā nāgametaṃ, rājārahaṃ rājabhoggaṃ yasassinaṃ;
อลงฺกตํ เหมชาลาภิฉนฺนํ, สสารถิํ คจฺฉถ เยนกาม’’นฺติฯ
Alaṅkataṃ hemajālābhichannaṃ, sasārathiṃ gacchatha yenakāma’’nti.
ตตฺถ อนฺนภจฺจา จภจฺจา จาติ ปุริสํ อุปนิสฺสาย ชีวมานา ยาคุภตฺตาทินา อเนฺนน ภริตพฺพาติ อนฺนภจฺจา, อิตเร ตถา อภริตพฺพตฺตา อภจฺจาฯ สนฺธิวเสน ปเนตฺถ อการโลโป เวทิตโพฺพฯ เอตฺตาวตา อตฺตานํ อุปนิสฺสาย จ อนุปนิสฺสาย จ ชีวมานวเสน สเพฺพปิ สตฺตา เทฺว โกฎฺฐาเส กตฺวา ทสฺสิตา โหนฺติฯ โยธ อุทฺทิสฺส คจฺฉตีติ เตสุ สเตฺตสุ อิธ ชีวโลเก โย สโตฺต ยํ ปุริสํ กายจิเทว ปจฺจาสีสนาย อุทฺทิสฺส คจฺฉติฯ สเพฺพ เต อปฺปฎิกฺขิปฺปาติ ตถา อุทฺทิสฺส คจฺฉนฺตา สเจปิ พหู โหนฺติ, ตถาปิ เตน ปุริเสน สเพฺพ เต อปฺปฎิกฺขิปฺปา, ‘‘อเปถ, น โว ทสฺสามี’’ติ เอวํ น ปฎิกฺขิปิตพฺพาติ อโตฺถฯ ปุพฺพาจริยวโจ อิทนฺติ ปุพฺพาจริยา วุจฺจนฺติ มาตาปิตโร, อิทํ เตสํ วจนํฯ เอวมหํ มาตาปิตูหิ สิกฺขาปิโตติ ทีเปติฯ
Tattha annabhaccā cabhaccā cāti purisaṃ upanissāya jīvamānā yāgubhattādinā annena bharitabbāti annabhaccā, itare tathā abharitabbattā abhaccā. Sandhivasena panettha akāralopo veditabbo. Ettāvatā attānaṃ upanissāya ca anupanissāya ca jīvamānavasena sabbepi sattā dve koṭṭhāse katvā dassitā honti. Yodha uddissa gacchatīti tesu sattesu idha jīvaloke yo satto yaṃ purisaṃ kāyacideva paccāsīsanāya uddissa gacchati. Sabbe te appaṭikkhippāti tathā uddissa gacchantā sacepi bahū honti, tathāpi tena purisena sabbe te appaṭikkhippā, ‘‘apetha, na vo dassāmī’’ti evaṃ na paṭikkhipitabbāti attho. Pubbācariyavaco idanti pubbācariyā vuccanti mātāpitaro, idaṃ tesaṃ vacanaṃ. Evamahaṃ mātāpitūhi sikkhāpitoti dīpeti.
ททามิ โว พฺราหฺมณา นาคเมตนฺติ ยสฺมา อิทํ อมฺหากํ ปุพฺพาจริยวโจ, ตสฺมาหํ พฺราหฺมณา ตุมฺหากํ อิมํ นาคํ ททามิฯ ราชารหนฺติ รโญฺญ อนุจฺฉวิกํฯ ราชโภคฺคนฺติ ราชปริโภคํฯ ยสสฺสินนฺติ ปริวารสมฺปนฺนํ, ตํ กิร หตฺถิํ นิสฺสาย หตฺถิโคปกหตฺถิเวชฺชาทีนิ ปญฺจ กุลสตานิ ชีวนฺติ, เตหิ สทฺธิเญฺญว โว ททามีติ อโตฺถฯ อลงฺกตนฺติ นานาวิเธหิ หตฺถิอลงฺกาเรหิ อลงฺกตํฯ เหมชาลาภิฉนฺนนฺติ สุวณฺณชาเลน อภิจฺฉนฺนํฯ สสารถินฺติ โย ปนสฺส สารถิ หตฺถิโคปโก อาจริโย, เตน สทฺธิํเยว ททามิ, ตสฺมา สสารถิ หุตฺวา ตุเมฺห สปริวารํ อิมํ นาคํ คเหตฺวา เยนกามํ คจฺฉถาติฯ
Dadāmi vo brāhmaṇā nāgametanti yasmā idaṃ amhākaṃ pubbācariyavaco, tasmāhaṃ brāhmaṇā tumhākaṃ imaṃ nāgaṃ dadāmi. Rājārahanti rañño anucchavikaṃ. Rājabhogganti rājaparibhogaṃ. Yasassinanti parivārasampannaṃ, taṃ kira hatthiṃ nissāya hatthigopakahatthivejjādīni pañca kulasatāni jīvanti, tehi saddhiññeva vo dadāmīti attho. Alaṅkatanti nānāvidhehi hatthialaṅkārehi alaṅkataṃ. Hemajālābhichannanti suvaṇṇajālena abhicchannaṃ. Sasārathinti yo panassa sārathi hatthigopako ācariyo, tena saddhiṃyeva dadāmi, tasmā sasārathi hutvā tumhe saparivāraṃ imaṃ nāgaṃ gahetvā yenakāmaṃ gacchathāti.
เอวํ หตฺถิกฺขนฺธวรคโตว มหาสโตฺต วาจาย ทตฺวา ปุน หตฺถิกฺขนฺธา โอรุยฺห ‘‘สเจ อนลงฺกตฎฺฐานํ อตฺถิ, อลงฺกริตฺวา ทสฺสามี’’ติ วตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต อุปธาเรตฺวา อนลงฺกตฎฺฐานํ อทิสฺวา ตสฺส โสณฺฑํ พฺราหฺมณานํ หเตฺถสุ ฐเปตฺวา สุวณฺณภิงฺกาเรน ปุปฺผคนฺธวาสิตํ อุทกํ ปาเตตฺวา อทาสิฯ พฺราหฺมณา สปริวารํ นาคํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา หตฺถิปิเฎฺฐ นิสินฺนา ทนฺตปุรํ คนฺตฺวา หตฺถิํ รโญฺญ อทํสุ, หตฺถิมฺหิ อาคเตปิ เทโว น วสฺสเตวฯ ราชา ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อุตฺตริํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘ธนญฺจยโกรพฺยราชา กุรุธมฺมํ รกฺขติ, เตนสฺส รเฎฺฐ อนฺวฑฺฒมาสํ อนุทสาหํ เทโว วสฺสติ, รโญฺญ คุณานุภาโว เจส, อิมสฺส ปน ติรจฺฉานคตสฺส คุณา โหนฺตาปิ กิตฺตกา ภเวยฺยุ’’นฺติ สุตฺวา ‘‘เตน หิ ยถาลงฺกตเมว สปริวารํ หตฺถิํ ปติเนตฺวา รโญฺญ ทตฺวา ยํ โส กุรุธมฺมํ รกฺขติ, ตํ สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิตฺวา อาเนถา’’ติ พฺราหฺมเณ จ อมเจฺจ จ เปเสสิฯ เต คนฺตฺวา รโญฺญ หตฺถิํ นิยฺยาเทตฺวา ‘‘เทว, อิมสฺมิํ หตฺถิมฺหิ คเตปิ อมฺหากํ รเฎฺฐ เทโว น วสฺสติ, ตุเมฺห กิร กุรุธมฺมํ นาม รกฺขถ, อมฺหากมฺปิ ราชา ตํ รกฺขิตุกาโม อิมสฺมิํ สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิตฺวา อาเนถา’’ติ เปเสสิฯ ‘‘เทถ โน กุรุธมฺม’’นฺติฯ ‘‘ตาตา, สจฺจาหํ เอตํ กุรุธมฺมํ รกฺขามิ, อิทานิ ปน เม ตตฺถ กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, น เม โส กุรุธโมฺม จิตฺตํ อาราเธติ, ตสฺมา ตุมฺหากํ ทาตุํ น สกฺกา’’ติฯ
Evaṃ hatthikkhandhavaragatova mahāsatto vācāya datvā puna hatthikkhandhā oruyha ‘‘sace analaṅkataṭṭhānaṃ atthi, alaṅkaritvā dassāmī’’ti vatvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ karonto upadhāretvā analaṅkataṭṭhānaṃ adisvā tassa soṇḍaṃ brāhmaṇānaṃ hatthesu ṭhapetvā suvaṇṇabhiṅkārena pupphagandhavāsitaṃ udakaṃ pātetvā adāsi. Brāhmaṇā saparivāraṃ nāgaṃ sampaṭicchitvā hatthipiṭṭhe nisinnā dantapuraṃ gantvā hatthiṃ rañño adaṃsu, hatthimhi āgatepi devo na vassateva. Rājā ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti uttariṃ pucchanto ‘‘dhanañcayakorabyarājā kurudhammaṃ rakkhati, tenassa raṭṭhe anvaḍḍhamāsaṃ anudasāhaṃ devo vassati, rañño guṇānubhāvo cesa, imassa pana tiracchānagatassa guṇā hontāpi kittakā bhaveyyu’’nti sutvā ‘‘tena hi yathālaṅkatameva saparivāraṃ hatthiṃ patinetvā rañño datvā yaṃ so kurudhammaṃ rakkhati, taṃ suvaṇṇapaṭṭe likhitvā ānethā’’ti brāhmaṇe ca amacce ca pesesi. Te gantvā rañño hatthiṃ niyyādetvā ‘‘deva, imasmiṃ hatthimhi gatepi amhākaṃ raṭṭhe devo na vassati, tumhe kira kurudhammaṃ nāma rakkhatha, amhākampi rājā taṃ rakkhitukāmo imasmiṃ suvaṇṇapaṭṭe likhitvā ānethā’’ti pesesi. ‘‘Detha no kurudhamma’’nti. ‘‘Tātā, saccāhaṃ etaṃ kurudhammaṃ rakkhāmi, idāni pana me tattha kukkuccaṃ atthi, na me so kurudhammo cittaṃ ārādheti, tasmā tumhākaṃ dātuṃ na sakkā’’ti.
กสฺมา ปน ตํ สีลํ ราชานํ น อาราเธตีติ? ตทา กิร ราชูนํ ตติเย ตติเย สํวจฺฉเร กตฺติกมาเส ปวโตฺต ฉโณ นาม โหติ, ตํ ฉณํ กีฬนฺตา ราชาโน สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา เทวเวสํ คเหตฺวา จิตฺตราชสฺส นาม ยกฺขสฺส สนฺติเก ฐตฺวา จตุทฺทิสา ปุปฺผปฎิมณฺฑิเต จิตฺตสเร ขิปนฺติฯ อยมฺปิ ราชา ตํ ขณํ กีฬโนฺต เอกิสฺสา ตฬากปาฬิยา จิตฺตราชสฺส ยกฺขสฺส สนฺติเก ฐตฺวา จตุทฺทิสา จิตฺตสเร ขิปิตฺวา เตสุ เสสทิสาคเต ตโย สเร ทิสฺวา อุทกปิเฎฺฐ ขิตฺตสรํ น อทฺทสฯ รโญฺญ ‘‘กจฺจิ นุ โข มยา ขิโตฺต สโร มจฺฉสรีเร ปติโต’’ติ กุกฺกุจฺจํ อโหสิ ปาณาติปาตกเมฺมน สีลเภทํ อารพฺภ, ตสฺมา สีลํ น อาราเธติฯ โส เอวมาห – ‘‘ตาตา, มยฺหํ กุรุธเมฺม กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, มาตา ปน เม สุรกฺขิตํ รกฺขติ, ตสฺสา สนฺติเก คณฺหถา’’ติฯ ‘‘มหาราช, ตุมฺหากํ ‘ปาณํ วธิสฺสามี’ติ เจตนา นตฺถิ, ตํ วินา ปาณาติปาโต นาม น โหติ, เทถ โน อตฺตนา รกฺขิตํ กุรุธมฺม’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ ลิขถา’’ติ สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขาเปสิ – ‘‘ปาโณ น หนฺตโพฺพ, อทินฺนํ นาทาตพฺพํ , กาเมสุ มิจฺฉา น จริตพฺพํ, มุสา น ภณิตพฺพํ , มชฺชํ น ปาตพฺพ’’นฺติ ลิขาเปตฺวา จ ปน ‘‘เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, มาตุ เม สนฺติเก คณฺหถา’’ติ อาหฯ
Kasmā pana taṃ sīlaṃ rājānaṃ na ārādhetīti? Tadā kira rājūnaṃ tatiye tatiye saṃvacchare kattikamāse pavatto chaṇo nāma hoti, taṃ chaṇaṃ kīḷantā rājāno sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā devavesaṃ gahetvā cittarājassa nāma yakkhassa santike ṭhatvā catuddisā pupphapaṭimaṇḍite cittasare khipanti. Ayampi rājā taṃ khaṇaṃ kīḷanto ekissā taḷākapāḷiyā cittarājassa yakkhassa santike ṭhatvā catuddisā cittasare khipitvā tesu sesadisāgate tayo sare disvā udakapiṭṭhe khittasaraṃ na addasa. Rañño ‘‘kacci nu kho mayā khitto saro macchasarīre patito’’ti kukkuccaṃ ahosi pāṇātipātakammena sīlabhedaṃ ārabbha, tasmā sīlaṃ na ārādheti. So evamāha – ‘‘tātā, mayhaṃ kurudhamme kukkuccaṃ atthi, mātā pana me surakkhitaṃ rakkhati, tassā santike gaṇhathā’’ti. ‘‘Mahārāja, tumhākaṃ ‘pāṇaṃ vadhissāmī’ti cetanā natthi, taṃ vinā pāṇātipāto nāma na hoti, detha no attanā rakkhitaṃ kurudhamma’’nti. ‘‘Tena hi likhathā’’ti suvaṇṇapaṭṭe likhāpesi – ‘‘pāṇo na hantabbo, adinnaṃ nādātabbaṃ , kāmesu micchā na caritabbaṃ, musā na bhaṇitabbaṃ , majjaṃ na pātabba’’nti likhāpetvā ca pana ‘‘evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, mātu me santike gaṇhathā’’ti āha.
ทูตา ราชานํ วนฺทิตฺวา ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทวิ, ตุเมฺห กิร กุรุธมฺมํ รกฺขถ, ตํ โน เทถา’’ติ วทิํสุฯ ‘‘ตาตา, สจฺจาหํ กุรุธมฺมํ รกฺขามิ, อิทานิ ปน เม ตตฺถ กุกฺกุจฺจํ อุปฺปนฺนํ, น เม โส กุรุธโมฺม อาราเธติ เตน โว ทาตุํ น สกฺกา’’ติฯ ตสฺสา กิร เทฺว ปุตฺตา เชโฎฺฐ ราชา, กนิโฎฺฐ อุปราชาฯ อเถโก ราชา โพธิสตฺตสฺส สตสหสฺสคฺฆนกํ จนฺทนสารํ สหสฺสคฺฆนกํ กญฺจนมาลํ เปเสสิฯ โส ‘‘มาตรํ ปูเชสฺสามี’’ติ ตํ สพฺพํ มาตุ เปเสสิฯ สา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เนว จนฺทนํ วิลิมฺปามิ, น มาลํ ธาเรมิ, สุณิสานํ ทสฺสามี’’ติฯ อถสฺสา เอตทโหสิ – ‘‘เชฎฺฐสุณิสา เม อิสฺสรา, อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐิตา, ตสฺสา สุวณฺณมาลํ ทสฺสามิฯ กนิฎฺฐสุณิสา ปน ทุคฺคตา, ตสฺสา จนฺทนสารํ ทสฺสามี’’ติฯ สา รโญฺญ เทวิยา สุวณฺณมาลํ ทตฺวา อุปราชภริยาย จนฺทนสารํ อทาสิ, ทตฺวา จ ปนสฺสา ‘‘อหํ กุรุธมฺมํ รกฺขามิ, เอตาสํ ทุคฺคตาทุคฺคตภาโว มยฺหํ อปฺปมาณํ, เชฎฺฐาปจายิกกมฺมเมว ปน กาตุํ มยฺหํ อนุรูปํ, กจฺจิ นุ โข เม ตสฺส อกตตฺตา สีลํ ภินฺน’’นฺติ กุกฺกุจฺจํ อโหสิ, ตสฺมา เอวมาหฯ อถ นํ ทูตา ‘‘อตฺตโน สนฺตกํ นาม ยถารุจิยา ทียติ, ตุเมฺห เอตฺตเกนปิ กุกฺกุจฺจํ กุรุมานา กิํ อญฺญํ ปาปํ กริสฺสถ, สีลํ นาม เอวรูเปน น ภิชฺชติ, เทถ โน กุรุธมฺม’’นฺติ วตฺวา ตสฺสาปิ สนฺติเก คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
Dūtā rājānaṃ vanditvā tassā santikaṃ gantvā ‘‘devi, tumhe kira kurudhammaṃ rakkhatha, taṃ no dethā’’ti vadiṃsu. ‘‘Tātā, saccāhaṃ kurudhammaṃ rakkhāmi, idāni pana me tattha kukkuccaṃ uppannaṃ, na me so kurudhammo ārādheti tena vo dātuṃ na sakkā’’ti. Tassā kira dve puttā jeṭṭho rājā, kaniṭṭho uparājā. Atheko rājā bodhisattassa satasahassagghanakaṃ candanasāraṃ sahassagghanakaṃ kañcanamālaṃ pesesi. So ‘‘mātaraṃ pūjessāmī’’ti taṃ sabbaṃ mātu pesesi. Sā cintesi – ‘‘ahaṃ neva candanaṃ vilimpāmi, na mālaṃ dhāremi, suṇisānaṃ dassāmī’’ti. Athassā etadahosi – ‘‘jeṭṭhasuṇisā me issarā, aggamahesiṭṭhāne ṭhitā, tassā suvaṇṇamālaṃ dassāmi. Kaniṭṭhasuṇisā pana duggatā, tassā candanasāraṃ dassāmī’’ti. Sā rañño deviyā suvaṇṇamālaṃ datvā uparājabhariyāya candanasāraṃ adāsi, datvā ca panassā ‘‘ahaṃ kurudhammaṃ rakkhāmi, etāsaṃ duggatāduggatabhāvo mayhaṃ appamāṇaṃ, jeṭṭhāpacāyikakammameva pana kātuṃ mayhaṃ anurūpaṃ, kacci nu kho me tassa akatattā sīlaṃ bhinna’’nti kukkuccaṃ ahosi, tasmā evamāha. Atha naṃ dūtā ‘‘attano santakaṃ nāma yathāruciyā dīyati, tumhe ettakenapi kukkuccaṃ kurumānā kiṃ aññaṃ pāpaṃ karissatha, sīlaṃ nāma evarūpena na bhijjati, detha no kurudhamma’’nti vatvā tassāpi santike gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
‘‘ตาตา, เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, สุณิสา ปน เม สุฎฺฐุ รกฺขติ, ตสฺสา สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วุตฺตา จ ปน อคฺคมเหสิํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุริมนเยเนว กุรุธมฺมํ ยาจิํสุฯ สาปิ ปุริมนเยเนว วตฺวา ‘‘อิทานิ มํ สีลํ นาราเธติ, เตน โว ทาตุํ น สกฺกา’’ติ อาหฯ สา กิร เอกทิวสํ สีหปญฺชเร ฐิตา รโญฺญ นครํ ปทกฺขิณํ กโรนฺตสฺส ปจฺฉโต หตฺถิปิเฎฺฐ นิสินฺนํ อุปราชํ ทิสฺวา โลภํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘สจาหํ อิมินา สทฺธิํ สนฺถวํ กเรยฺยํ, ภาตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐิโต มํ เอส สงฺคเณฺหยฺยา’’ติ จิเนฺตสิฯ อถสฺสา ‘‘อหํ กุรุธมฺมํ รกฺขมานา สสามิกา หุตฺวา กิเลสวเสน อญฺญํ ปุริสํ โอโลเกสิํ, สีเลน เม ภิเนฺนน ภวิตพฺพ’’นฺติ กุกฺกุจฺจํ อโหสิ, ตสฺมา เอวมาหฯ อถ นํ ทูตา ‘‘อติจาโร นาม อเยฺย จิตฺตุปฺปาทมเตฺตน น โหติ, ตุเมฺห เอตฺตเกนปิ กุกฺกุจฺจํ กุรุมานา วีติกฺกมํ กิํกริสฺสถ, น เอตฺตเกน สีลํ ภิชฺชติ, เทถ โน กุรุธมฺม’’นฺติ วตฺวา ตสฺสาปิ สนฺติเก คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
‘‘Tātā, evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, suṇisā pana me suṭṭhu rakkhati, tassā santike gaṇhathā’’ti vuttā ca pana aggamahesiṃ upasaṅkamitvā purimanayeneva kurudhammaṃ yāciṃsu. Sāpi purimanayeneva vatvā ‘‘idāni maṃ sīlaṃ nārādheti, tena vo dātuṃ na sakkā’’ti āha. Sā kira ekadivasaṃ sīhapañjare ṭhitā rañño nagaraṃ padakkhiṇaṃ karontassa pacchato hatthipiṭṭhe nisinnaṃ uparājaṃ disvā lobhaṃ uppādetvā ‘‘sacāhaṃ iminā saddhiṃ santhavaṃ kareyyaṃ, bhātu accayena rajje patiṭṭhito maṃ esa saṅgaṇheyyā’’ti cintesi. Athassā ‘‘ahaṃ kurudhammaṃ rakkhamānā sasāmikā hutvā kilesavasena aññaṃ purisaṃ olokesiṃ, sīlena me bhinnena bhavitabba’’nti kukkuccaṃ ahosi, tasmā evamāha. Atha naṃ dūtā ‘‘aticāro nāma ayye cittuppādamattena na hoti, tumhe ettakenapi kukkuccaṃ kurumānā vītikkamaṃ kiṃkarissatha, na ettakena sīlaṃ bhijjati, detha no kurudhamma’’nti vatvā tassāpi santike gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
‘‘ตาตา, เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, อุปราชา ปน สุฎฺฐุ รกฺขติ, ตสฺส สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วุตฺตา จ ปน อุปราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุริมนเยเนว กุรุธมฺมํ ยาจิํสุฯ โส ปน สายํ ราชุปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต รเถเนว ราชงฺคณํ ปตฺวา สเจ รโญฺญ สนฺติเก ภุญฺชิตฺวา ตเตฺถว สยิตุกาโม โหติ, รสฺมิโย จ ปโตทญฺจ อโนฺตธุเร ฉเฑฺฑติฯ ตาย สญฺญาย ชโน ปกฺกมิตฺวา ปุนทิวเส ปาโตว คนฺตฺวา ตสฺส นิกฺขมนํ โอโลเกโนฺตว ติฎฺฐติฯ สารถิปิ รถํ โคปยิตฺวา ปุนทิวเส ปาโตว ตํ อาทาย ราชทฺวาเร ติฎฺฐติฯ สเจ ตงฺขณเญฺญว นิกฺขนฺตุกาโม โหติ, รสฺมิโย จ ปโตทญฺจ อโนฺตรเถเยว ฐเปตฺวา ราชุปฎฺฐานํ คจฺฉติฯ มหาชโน ตาย สญฺญาย ‘‘อิทาเนว นิกฺขมิสฺสตี’’ติ ราชทฺวาเรเยว ติฎฺฐติฯ โส เอกทิวสํ เอวํ กตฺวา ราชนิเวสนํ ปาวิสิ, ปวิฎฺฐมตฺตสฺสเยวสฺส เทโว ปาวสฺสิฯ ราชา ‘‘เทโว วสฺสตี’’ติ ตสฺส นิกฺขนฺตุํ นาทาสิ, โส ตเตฺถว ภุญฺชิตฺวา สยิฯ มหาชโน ‘‘อิทานิ นิกฺขมิสฺสตี’’ติ สพฺพรตฺติํ เตเมโนฺต อฎฺฐาสิฯ อุปราชา ทุติยทิวเส นิกฺขมิตฺวา เตเมตฺวา ฐิตํ มหาชนํ ทิสฺวา ‘‘อหํ กุรุธมฺมํ รกฺขโนฺต เอตฺตกํ ชนํ กิลเมสิํ, สีเลน เม ภิเนฺนน ภวิตพฺพ’’นฺติ กุกฺกุจฺจํ อโหสิ, เตน เตสํ ทูตานํ ‘‘สจฺจาหํ กุรุธมฺมํ รกฺขามิ, อิทานิ ปน เม กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, เตน โว น สกฺกา ทาตุ’’นฺติ วตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ อถ นํ ทูตา ‘‘ตุมฺหากํ, เทว, ‘เอเต กิลมนฺตู’ติ จิตฺตํ นตฺถิ, อเจตนกํ กมฺมํ น โหติ, เอตฺตเกนปิ กุกฺกุจฺจํ กโรนฺตานํ กถํ ตุมฺหากํ วีติกฺกโม ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา ตสฺสปิ สนฺติเก สีลํ คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
‘‘Tātā, evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, uparājā pana suṭṭhu rakkhati, tassa santike gaṇhathā’’ti vuttā ca pana uparājānaṃ upasaṅkamitvā purimanayeneva kurudhammaṃ yāciṃsu. So pana sāyaṃ rājupaṭṭhānaṃ gacchanto ratheneva rājaṅgaṇaṃ patvā sace rañño santike bhuñjitvā tattheva sayitukāmo hoti, rasmiyo ca patodañca antodhure chaḍḍeti. Tāya saññāya jano pakkamitvā punadivase pātova gantvā tassa nikkhamanaṃ olokentova tiṭṭhati. Sārathipi rathaṃ gopayitvā punadivase pātova taṃ ādāya rājadvāre tiṭṭhati. Sace taṅkhaṇaññeva nikkhantukāmo hoti, rasmiyo ca patodañca antoratheyeva ṭhapetvā rājupaṭṭhānaṃ gacchati. Mahājano tāya saññāya ‘‘idāneva nikkhamissatī’’ti rājadvāreyeva tiṭṭhati. So ekadivasaṃ evaṃ katvā rājanivesanaṃ pāvisi, paviṭṭhamattassayevassa devo pāvassi. Rājā ‘‘devo vassatī’’ti tassa nikkhantuṃ nādāsi, so tattheva bhuñjitvā sayi. Mahājano ‘‘idāni nikkhamissatī’’ti sabbarattiṃ temento aṭṭhāsi. Uparājā dutiyadivase nikkhamitvā temetvā ṭhitaṃ mahājanaṃ disvā ‘‘ahaṃ kurudhammaṃ rakkhanto ettakaṃ janaṃ kilamesiṃ, sīlena me bhinnena bhavitabba’’nti kukkuccaṃ ahosi, tena tesaṃ dūtānaṃ ‘‘saccāhaṃ kurudhammaṃ rakkhāmi, idāni pana me kukkuccaṃ atthi, tena vo na sakkā dātu’’nti vatvā tamatthaṃ ārocesi. Atha naṃ dūtā ‘‘tumhākaṃ, deva, ‘ete kilamantū’ti cittaṃ natthi, acetanakaṃ kammaṃ na hoti, ettakenapi kukkuccaṃ karontānaṃ kathaṃ tumhākaṃ vītikkamo bhavissatī’’ti vatvā tassapi santike sīlaṃ gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
‘‘เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, ปุโรหิโต ปน สุฎฺฐุ รกฺขติ, ตสฺส สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วุตฺตา จ ปน ปุโรหิตํ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิํสุฯ โสปิ เอกทิวสํ ราชุปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต เอเกน รญฺญา ตสฺส รโญฺญ เปสิตํ ตรุณรวิวณฺณํ รถํ อนฺตรามเคฺค ทิสฺวา ‘‘กสฺสายํ รโถ’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘รโญฺญ อาภโต’’ติ สุตฺวา ‘‘อหํ มหลฺลโก, สเจ เม ราชา อิมํ รถํ ทเทยฺย, สุขํ อิมํ อารุยฺห วิจเรยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ราชุปฎฺฐานํ คโตฯ ตสฺส ชยาเปตฺวา ฐิตกาเล รโญฺญ รถํ ทเสฺสสุํฯ ราชา ทิสฺวา ‘‘อติ วิย สุนฺทโร อยํ รโถ, อาจริยสฺส นํ เทถา’’ติ อาหฯ ปุโรหิโต น อิจฺฉิ, ปุนปฺปุนํ วุจฺจมาโนปิ น อิจฺฉิเยวฯ กิํการณา? เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อหํ กุรุธมฺมํ รกฺขโนฺตว ปรสนฺตเก โลภํ อกาสิํ, ภิเนฺนน เม สีเลน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ โส เอตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘ตาตา, กุรุธเมฺม เม กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, น มํ โส ธโมฺม อาราเธติ, ตสฺมา น สกฺกา ทาตุ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ ทูตา ‘‘อยฺย, โลภุปฺปาทมเตฺตน น สีลํ ภิชฺชติ, ตุเมฺห เอตฺตเกนปิ กุกฺกุจฺจํ กโรนฺตา กิํ วีติกฺกมํ กริสฺสถา’’ติ วตฺวา ตสฺสปิ สนฺติเก สีลํ คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
‘‘Evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, purohito pana suṭṭhu rakkhati, tassa santike gaṇhathā’’ti vuttā ca pana purohitaṃ upasaṅkamitvā yāciṃsu. Sopi ekadivasaṃ rājupaṭṭhānaṃ gacchanto ekena raññā tassa rañño pesitaṃ taruṇaravivaṇṇaṃ rathaṃ antarāmagge disvā ‘‘kassāyaṃ ratho’’ti pucchitvā ‘‘rañño ābhato’’ti sutvā ‘‘ahaṃ mahallako, sace me rājā imaṃ rathaṃ dadeyya, sukhaṃ imaṃ āruyha vicareyya’’nti cintetvā rājupaṭṭhānaṃ gato. Tassa jayāpetvā ṭhitakāle rañño rathaṃ dassesuṃ. Rājā disvā ‘‘ati viya sundaro ayaṃ ratho, ācariyassa naṃ dethā’’ti āha. Purohito na icchi, punappunaṃ vuccamānopi na icchiyeva. Kiṃkāraṇā? Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ahaṃ kurudhammaṃ rakkhantova parasantake lobhaṃ akāsiṃ, bhinnena me sīlena bhavitabba’’nti. So etamatthaṃ ācikkhitvā ‘‘tātā, kurudhamme me kukkuccaṃ atthi, na maṃ so dhammo ārādheti, tasmā na sakkā dātu’’nti āha. Atha naṃ dūtā ‘‘ayya, lobhuppādamattena na sīlaṃ bhijjati, tumhe ettakenapi kukkuccaṃ karontā kiṃ vītikkamaṃ karissathā’’ti vatvā tassapi santike sīlaṃ gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
‘‘เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, รชฺชุคาหโก อมโจฺจ ปน สุฎฺฐุ รกฺขติ, ตสฺส สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วุตฺตา จ ปน ตมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิํสุฯ โสปิ เอกทิวสํ ชนปเท เขตฺตํ มินโนฺต รชฺชุํ ทณฺฑเก พนฺธิตฺวา เอกํ โกฎิํ เขตฺตสามิเกน คณฺหาเปตฺวา เอกํ อตฺตนา อคฺคเหสิ, เตน คหิตรชฺชุโกฎิยา พทฺธทณฺฑโก เอกสฺส กกฺกฎกสฺส พิลมชฺฌํ ปาปุณิฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ ทณฺฑกํ พิเล โอตาเรสฺสามิ, อโนฺตพิเล กกฺกฎโก นสฺสิสฺสติฯ สเจ ปน ปรโต กริสฺสามิ, รโญฺญ สนฺตกํ นสฺสิสฺสติฯ สเจ โอรโต กริสฺสามิ, กุฎุมฺพิกสฺส สนฺตกํ นสฺสิสฺสติ, กิํ นุ โข กาตพฺพ’’นฺติ? อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘พิเล กกฺกฎเกน ภวิตพฺพํ, สเจ ภเวยฺย, ปญฺญาเยยฺย, เอเตฺถว นํ โอตาเรสฺสามี’’ติ พิเล ทณฺฑกํ โอตาเรสิ, กกฺกฎโก ‘‘กิรี’’ติ สทฺทมกาสิฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ทณฺฑโก กกฺกฎกปิเฎฺฐ โอติโณฺณ ภวิสฺสติ, กกฺกฎโก มโต ภวิสฺสติ, อหญฺจ กุรุธมฺมํ รกฺขามิ, เตน เม สีเลน ภิเนฺนน ภวิตพฺพ’’นฺติ ฯ โส เอตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิมินา เม การเณน กุรุธเมฺม กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, เตน โว น สกฺกา ทาตุ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ ทูตา ‘‘ตุมฺหากํ ‘กกฺกฎโก มรตู’ติ จิตฺตํ นตฺถิ, อเจตนกํ กมฺมํ นาม น โหติฯ ตุเมฺห เอตฺตเกนปิ กุกฺกุจฺจํ กโรนฺตา กิํ วีติกฺกมํ กริสฺสถา’’ติ วตฺวา ตสฺสปิ สนฺติเก สีลํ คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
‘‘Evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, rajjugāhako amacco pana suṭṭhu rakkhati, tassa santike gaṇhathā’’ti vuttā ca pana tampi upasaṅkamitvā yāciṃsu. Sopi ekadivasaṃ janapade khettaṃ minanto rajjuṃ daṇḍake bandhitvā ekaṃ koṭiṃ khettasāmikena gaṇhāpetvā ekaṃ attanā aggahesi, tena gahitarajjukoṭiyā baddhadaṇḍako ekassa kakkaṭakassa bilamajjhaṃ pāpuṇi. So cintesi – ‘‘sace daṇḍakaṃ bile otāressāmi, antobile kakkaṭako nassissati. Sace pana parato karissāmi, rañño santakaṃ nassissati. Sace orato karissāmi, kuṭumbikassa santakaṃ nassissati, kiṃ nu kho kātabba’’nti? Athassa etadahosi – ‘‘bile kakkaṭakena bhavitabbaṃ, sace bhaveyya, paññāyeyya, ettheva naṃ otāressāmī’’ti bile daṇḍakaṃ otāresi, kakkaṭako ‘‘kirī’’ti saddamakāsi. Athassa etadahosi – ‘‘daṇḍako kakkaṭakapiṭṭhe otiṇṇo bhavissati, kakkaṭako mato bhavissati, ahañca kurudhammaṃ rakkhāmi, tena me sīlena bhinnena bhavitabba’’nti . So etamatthaṃ ācikkhitvā ‘‘iminā me kāraṇena kurudhamme kukkuccaṃ atthi, tena vo na sakkā dātu’’nti āha. Atha naṃ dūtā ‘‘tumhākaṃ ‘kakkaṭako maratū’ti cittaṃ natthi, acetanakaṃ kammaṃ nāma na hoti. Tumhe ettakenapi kukkuccaṃ karontā kiṃ vītikkamaṃ karissathā’’ti vatvā tassapi santike sīlaṃ gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
‘‘เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, สารถิ ปน สุฎฺฐุ รกฺขติ, ตสฺส สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วุตฺตา จ ปน ตมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิํสุฯ โส เอกทิวสํ ราชานํ รเถน อุยฺยานํ เนสิฯ ราชา ตตฺถ ทิวา กีฬิตฺวา สายํ นิกฺขมิตฺวา รถํ อภิรุหิ, ตสฺส นครํ อสมฺปตฺตเสฺสว สูริยตฺถงฺคมนเวลาย เมโฆ อุฎฺฐหิฯ สารถิ รโญฺญ เตมนภเยน สินฺธวานํ ปโตทสญฺญมทาสิฯ สินฺธวา ชเวน ปกฺขนฺทิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย จ ปน เต อุยฺยานํ คจฺฉนฺตาปิ ตโต อาคจฺฉนฺตาปิ ตํ ฐานํ ปตฺวา ชเวน คจฺฉนฺติ อาคจฺฉนฺติฯ กิํ การณา? เตสํ กิร เอตทโหสิ – ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน ปริสฺสเยน ภวิตพฺพํ, เตน โน สารถิ ตทา ปโตทสญฺญํ อทาสี’’ติฯ สารถิสฺสปิ เอตทโหสิ – ‘‘รโญฺญ เตมเน วา อเตมเน วา มยฺหํ โทโส นตฺถิ, อหํ ปน อฎฺฐาเน สุสิกฺขิตสินฺธวานํ ปโตทสญฺญํ อทาสิํ, เตน อิเม อิทานิ อปราปรํ ชวนฺตา กิลมนฺติ, อหญฺจ กุรุธมฺมํ รกฺขามิ, เตน เม ภิเนฺนน สีเลน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ โส เอตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิมินา การเณน กุรุธเมฺม กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, เตน โว น สกฺกา ทาตุ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ ทูตา ‘‘ตุมฺหากํ ‘สินฺธวา กิลมนฺตู’ติ จิตฺตํ นตฺถิ, อเจตนกํ กมฺมํ นาม น โหติ, เอตฺตเกนปิ จ ตุเมฺห กุกฺกุจฺจํ กโรนฺตา กิํ วีติกฺกมํ กริสฺสถา’’ติ วตฺวา ตสฺส สนฺติเก สีลํ คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
‘‘Evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, sārathi pana suṭṭhu rakkhati, tassa santike gaṇhathā’’ti vuttā ca pana tampi upasaṅkamitvā yāciṃsu. So ekadivasaṃ rājānaṃ rathena uyyānaṃ nesi. Rājā tattha divā kīḷitvā sāyaṃ nikkhamitvā rathaṃ abhiruhi, tassa nagaraṃ asampattasseva sūriyatthaṅgamanavelāya megho uṭṭhahi. Sārathi rañño temanabhayena sindhavānaṃ patodasaññamadāsi. Sindhavā javena pakkhandiṃsu. Tato paṭṭhāya ca pana te uyyānaṃ gacchantāpi tato āgacchantāpi taṃ ṭhānaṃ patvā javena gacchanti āgacchanti. Kiṃ kāraṇā? Tesaṃ kira etadahosi – ‘‘imasmiṃ ṭhāne parissayena bhavitabbaṃ, tena no sārathi tadā patodasaññaṃ adāsī’’ti. Sārathissapi etadahosi – ‘‘rañño temane vā atemane vā mayhaṃ doso natthi, ahaṃ pana aṭṭhāne susikkhitasindhavānaṃ patodasaññaṃ adāsiṃ, tena ime idāni aparāparaṃ javantā kilamanti, ahañca kurudhammaṃ rakkhāmi, tena me bhinnena sīlena bhavitabba’’nti. So etamatthaṃ ācikkhitvā ‘‘iminā kāraṇena kurudhamme kukkuccaṃ atthi, tena vo na sakkā dātu’’nti āha. Atha naṃ dūtā ‘‘tumhākaṃ ‘sindhavā kilamantū’ti cittaṃ natthi, acetanakaṃ kammaṃ nāma na hoti, ettakenapi ca tumhe kukkuccaṃ karontā kiṃ vītikkamaṃ karissathā’’ti vatvā tassa santike sīlaṃ gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
‘‘เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, เสฎฺฐิ ปน สุฎฺฐุ รกฺขติ, ตสฺส สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วุตฺตา จ ปน ตมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิํสุฯ โสปิ เอกทิวสํ คพฺภโต นิกฺขนฺตสาลิสีสํ อตฺตโน สาลิเขตฺตํ คนฺตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา นิวตฺตมาโน ‘‘วีหิมาลํ พนฺธาเปสฺสามี’’ติ เอกํ สาลิสีสมุฎฺฐิํ คาหาเปตฺวา ถูณาย พนฺธาเปสิฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อิมมฺหา เกทารา มยา รโญฺญ ภาโค ทาตโพฺพ, อทินฺนภาคโตเยว เม เกทารโต สาลิสีสมุฎฺฐิ คาหาปิโต, อหญฺจ กุรุธมฺมํ รกฺขามิ, เตน เม ภิเนฺนน สีเลน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ โส เอตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิมินา เม การเณน กุรุธเมฺม กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, เตน โว น สกฺกา ทาตุ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ ทูตา ‘‘ตุมฺหากํ เถยฺยจิตฺตํ นตฺถิ, เตน วินา อทินฺนาทานํ นาม ปญฺญาเปตุํ น สกฺกา, เอตฺตเกนปิ กุกฺกุจฺจํ กโรนฺตา ตุเมฺห ปรสนฺตกํ นาม กิํ คณฺหิสฺสถา’’ติ วตฺวา ตสฺสปิ สนฺติเก สีลํ คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
‘‘Evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, seṭṭhi pana suṭṭhu rakkhati, tassa santike gaṇhathā’’ti vuttā ca pana tampi upasaṅkamitvā yāciṃsu. Sopi ekadivasaṃ gabbhato nikkhantasālisīsaṃ attano sālikhettaṃ gantvā paccavekkhitvā nivattamāno ‘‘vīhimālaṃ bandhāpessāmī’’ti ekaṃ sālisīsamuṭṭhiṃ gāhāpetvā thūṇāya bandhāpesi. Athassa etadahosi – ‘‘imamhā kedārā mayā rañño bhāgo dātabbo, adinnabhāgatoyeva me kedārato sālisīsamuṭṭhi gāhāpito, ahañca kurudhammaṃ rakkhāmi, tena me bhinnena sīlena bhavitabba’’nti. So etamatthaṃ ācikkhitvā ‘‘iminā me kāraṇena kurudhamme kukkuccaṃ atthi, tena vo na sakkā dātu’’nti āha. Atha naṃ dūtā ‘‘tumhākaṃ theyyacittaṃ natthi, tena vinā adinnādānaṃ nāma paññāpetuṃ na sakkā, ettakenapi kukkuccaṃ karontā tumhe parasantakaṃ nāma kiṃ gaṇhissathā’’ti vatvā tassapi santike sīlaṃ gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
‘‘เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, โทณมาปโก ปน มหามโตฺต สุฎฺฐุ รกฺขติ, ตสฺส สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วุตฺตา จ ปน ตมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิํสุฯ โส กิร เอกทิวสํ โกฎฺฐาคารทฺวาเร นิสีทิตฺวา ราชภาเค วีหิํ มินาเปโนฺต อมิตวีหิราสิโต วีหิํ คเหตฺวา ลกฺขํ ฐเปสิ, ตสฺมิํ ขเณ เทโว ปาวสฺสิฯ มหามโตฺต ลกฺขานิ คเณตฺวา ‘‘มิตวีหี เอตฺตกา นาม โหนฺตี’’ติ วตฺวา ลกฺขวีหิํ สํกฑฺฒิตฺวา มิตราสิมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา เวเคน คนฺตฺวา ทฺวารโกฎฺฐเก ฐตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ นุ โข มยา ลกฺขวีหี มิตวีหิราสิมฺหิ ปกฺขิตฺตา, อุทาหุ อมิตราสิมฺหี’’ติฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘สเจ เม มิตวีหิราสิมฺหิ ปกฺขิตฺตา อการเณเนว รโญฺญ สนฺตกํ วฑฺฒิตํ, คหปติกานํ สนฺตกํ นาสิตํ, อหญฺจ กุรุธมฺมํ รกฺขามิ, เตน เม ภิเนฺนน สีเลน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ โส เอตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิมินา เม การเณน กุรุธเมฺม กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, เตน โว น สกฺกา ทาตุ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ ทูตา ‘‘ตุมฺหากํ เถยฺยจิตฺตํ นตฺถิ, เตน วินา อทินฺนาทานํ นาม ปญฺญาเปตุํ น สกฺกา, เอตฺตเกนปิ กุกฺกุจฺจํ กโรนฺตา กิํ ตุเมฺห ปรสฺส สนฺตกํ คณฺหิสฺสถา’’ติ วตฺวา ตสฺสปิ สนฺติเก สีลํ คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
‘‘Evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, doṇamāpako pana mahāmatto suṭṭhu rakkhati, tassa santike gaṇhathā’’ti vuttā ca pana tampi upasaṅkamitvā yāciṃsu. So kira ekadivasaṃ koṭṭhāgāradvāre nisīditvā rājabhāge vīhiṃ mināpento amitavīhirāsito vīhiṃ gahetvā lakkhaṃ ṭhapesi, tasmiṃ khaṇe devo pāvassi. Mahāmatto lakkhāni gaṇetvā ‘‘mitavīhī ettakā nāma hontī’’ti vatvā lakkhavīhiṃ saṃkaḍḍhitvā mitarāsimhi pakkhipitvā vegena gantvā dvārakoṭṭhake ṭhatvā cintesi – ‘‘kiṃ nu kho mayā lakkhavīhī mitavīhirāsimhi pakkhittā, udāhu amitarāsimhī’’ti. Athassa etadahosi – ‘‘sace me mitavīhirāsimhi pakkhittā akāraṇeneva rañño santakaṃ vaḍḍhitaṃ, gahapatikānaṃ santakaṃ nāsitaṃ, ahañca kurudhammaṃ rakkhāmi, tena me bhinnena sīlena bhavitabba’’nti. So etamatthaṃ ācikkhitvā ‘‘iminā me kāraṇena kurudhamme kukkuccaṃ atthi, tena vo na sakkā dātu’’nti āha. Atha naṃ dūtā ‘‘tumhākaṃ theyyacittaṃ natthi, tena vinā adinnādānaṃ nāma paññāpetuṃ na sakkā, ettakenapi kukkuccaṃ karontā kiṃ tumhe parassa santakaṃ gaṇhissathā’’ti vatvā tassapi santike sīlaṃ gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
‘‘เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, โทวาริโก ปน สุฎฺฐุ รกฺขติ, ตสฺส สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วุตฺตา จ ปน ตมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิํสุฯ โสปิ เอกทิวสํ นครทฺวารํ ปิธานเวลาย ติกฺขตฺตุํ สทฺทมนุสฺสาเวสิฯ อเถโก ทลิทฺทมนุโสฺส อตฺตโน กนิฎฺฐภคินิยา สทฺธิํ ทารุปณฺณตฺถาย อรญฺญํ คนฺตฺวา นิวตฺตโนฺต ตสฺส สทฺทํ สุตฺวา ภคินิํ อาทาย เวเคน ทฺวารํ สมฺปาปุณิฯ อถ นํ โทวาริโก ‘‘ตฺวํ นคเร รโญฺญ อตฺถิภาวํ กิํ น ชานาสิ, ‘สกลเสฺสว อิมสฺส นครสฺส ทฺวารํ ปิธียตี’ติ น ชานาสิ, อตฺตโน มาตุคามํ คเหตฺวา อรเญฺญ กามรติกีฬํ กีฬโนฺต ทิวสํ วิจรสี’’ติ อาหฯ อถสฺส อิตเรน ‘‘น เม, สามิ, ภริยา, ภคินี เม เอสา’’ติ วุเตฺต เอตทโหสิ – ‘‘อการณํ วต เม กตํ ภคินิํ ภริยาติ กเถเนฺตน, อหญฺจ กุรุธมฺมํ รกฺขามิ, เตน เม ภิเนฺนน สีเลน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ โส เอตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิมินา เม การเณน กุรุธเมฺม กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, เตน โว น สกฺกา ทาตุ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ ทูตา ‘‘เอตํ ตุเมฺหหิ ตถาสญฺญาย กถิตํ, เอตฺถ โว สีลเภโท นตฺถิ, เอตฺตเกนปิ จ ตุเมฺห กุกฺกุจฺจายนฺตา กุรุธเมฺม สมฺปชานมุสาวาทํ นาม กิํ กริสฺสถา’’ติ วตฺวา ตสฺสปิ สนฺติเก สีลํ คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
‘‘Evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, dovāriko pana suṭṭhu rakkhati, tassa santike gaṇhathā’’ti vuttā ca pana tampi upasaṅkamitvā yāciṃsu. Sopi ekadivasaṃ nagaradvāraṃ pidhānavelāya tikkhattuṃ saddamanussāvesi. Atheko daliddamanusso attano kaniṭṭhabhaginiyā saddhiṃ dārupaṇṇatthāya araññaṃ gantvā nivattanto tassa saddaṃ sutvā bhaginiṃ ādāya vegena dvāraṃ sampāpuṇi. Atha naṃ dovāriko ‘‘tvaṃ nagare rañño atthibhāvaṃ kiṃ na jānāsi, ‘sakalasseva imassa nagarassa dvāraṃ pidhīyatī’ti na jānāsi, attano mātugāmaṃ gahetvā araññe kāmaratikīḷaṃ kīḷanto divasaṃ vicarasī’’ti āha. Athassa itarena ‘‘na me, sāmi, bhariyā, bhaginī me esā’’ti vutte etadahosi – ‘‘akāraṇaṃ vata me kataṃ bhaginiṃ bhariyāti kathentena, ahañca kurudhammaṃ rakkhāmi, tena me bhinnena sīlena bhavitabba’’nti. So etamatthaṃ ācikkhitvā ‘‘iminā me kāraṇena kurudhamme kukkuccaṃ atthi, tena vo na sakkā dātu’’nti āha. Atha naṃ dūtā ‘‘etaṃ tumhehi tathāsaññāya kathitaṃ, ettha vo sīlabhedo natthi, ettakenapi ca tumhe kukkuccāyantā kurudhamme sampajānamusāvādaṃ nāma kiṃ karissathā’’ti vatvā tassapi santike sīlaṃ gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
‘‘เอวํ สเนฺตปิ เนว มํ อาราเธติ, วณฺณทาสี ปน สุฎฺฐุ รกฺขติ, ตสฺส สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วุตฺตา จ ปน ตมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิํสุฯ สา ปุริมนเยเนว ปฎิกฺขิปิฯ กิํการณา ? สโกฺก กิร เทวานมิโนฺท ‘‘ตสฺสา สีลํ วีมํสิสฺสามี’’ติ มาณวกวเณฺณน อาคนฺตฺวา ‘‘อหํ อาคมิสฺสามี’’ติ วตฺวา สหสฺสํ ทตฺวา เทวโลกเมว คนฺตฺวา ตีณิ สํวจฺฉรานิ นาคจฺฉิฯ สา อตฺตโน สีลเภทภเยน ตีณิ สํวจฺฉรานิ อญฺญสฺส ปุริสสฺส หตฺถโต ตมฺพูลมตฺตมฺปิ น คณฺหิ, สา อนุกฺกเมน ทุคฺคตา หุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ สหสฺสํ ทตฺวา คตปุริสสฺส ตีณิ สํวจฺฉรานิ อนาคจฺฉนฺตสฺส ทุคฺคตา ชาตา, ชีวิตวุตฺติํ ฆเฎตุํ น สโกฺกมิ, อิโต ทานิ ปฎฺฐาย มยา วินิจฺฉยมหามตฺตานํ อาโรเจตฺวา ปริพฺพยํ คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ สา วินิจฺฉยํ คนฺตฺวา ‘‘สามิ, ปริพฺพยํ ทตฺวา คตปุริสสฺส เม ตีณิ สํวจฺฉรานิ, มตภาวมฺปิสฺส น ชานามิ, ชีวิตํ ฆเฎตุํ น สโกฺกมิ, กิํ กโรมิ, สามี’’ติ อาหฯ ตีณิ สํวจฺฉรานิ อนาคจฺฉเนฺต กิํ กริสฺสสิ, อิโต ปฎฺฐาย ปริพฺพยํ คณฺหาติฯ ตสฺสา ลทฺธวินิจฺฉยาย วินิจฺฉยโต นิกฺขมมานาย เอว เอโก ปุริโส สหสฺสภณฺฑิกํ อุปนาเมสิฯ
‘‘Evaṃ santepi neva maṃ ārādheti, vaṇṇadāsī pana suṭṭhu rakkhati, tassa santike gaṇhathā’’ti vuttā ca pana tampi upasaṅkamitvā yāciṃsu. Sā purimanayeneva paṭikkhipi. Kiṃkāraṇā ? Sakko kira devānamindo ‘‘tassā sīlaṃ vīmaṃsissāmī’’ti māṇavakavaṇṇena āgantvā ‘‘ahaṃ āgamissāmī’’ti vatvā sahassaṃ datvā devalokameva gantvā tīṇi saṃvaccharāni nāgacchi. Sā attano sīlabhedabhayena tīṇi saṃvaccharāni aññassa purisassa hatthato tambūlamattampi na gaṇhi, sā anukkamena duggatā hutvā cintesi – ‘‘mayhaṃ sahassaṃ datvā gatapurisassa tīṇi saṃvaccharāni anāgacchantassa duggatā jātā, jīvitavuttiṃ ghaṭetuṃ na sakkomi, ito dāni paṭṭhāya mayā vinicchayamahāmattānaṃ ārocetvā paribbayaṃ gahetuṃ vaṭṭatī’’ti. Sā vinicchayaṃ gantvā ‘‘sāmi, paribbayaṃ datvā gatapurisassa me tīṇi saṃvaccharāni, matabhāvampissa na jānāmi, jīvitaṃ ghaṭetuṃ na sakkomi, kiṃ karomi, sāmī’’ti āha. Tīṇi saṃvaccharāni anāgacchante kiṃ karissasi, ito paṭṭhāya paribbayaṃ gaṇhāti. Tassā laddhavinicchayāya vinicchayato nikkhamamānāya eva eko puriso sahassabhaṇḍikaṃ upanāmesi.
ตสฺส คหณตฺถาย หตฺถํ ปสารณกาเล สโกฺก อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ สา ทิสฺวาว ‘‘มยฺหํ สํวจฺฉรตฺตยมตฺถเก สหสฺสทายโก ปุริโส อาคโต, ตาต, นตฺถิ เม ตว กหาปเณหิ อโตฺถ’’ติ หตฺถํ สมิเญฺชสิฯ สโกฺก อตฺตโน สรีรเญฺญว อภินิมฺมินิตฺวา ตรุณสูริโย วิย ชลโนฺต อากาเส อฎฺฐาสิ, สกลนครํ สนฺนิปติฯ สโกฺก มหาชนมเชฺฌ ‘‘อหํ เอติสฺสา วีมํสนวเสน สํวจฺฉรตฺตยมตฺถเก สหสฺสํ อทาสิํ, สีลํ รกฺขนฺตา นาม เอวรูปา หุตฺวา รกฺขถา’’ติ โอวาทํ ทตฺวา ตสฺสา นิเวสนํ สตฺตรตเนหิ ปูเรตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย อปฺปมตฺตา โหหี’’ติ ตํ อนุสาสิตฺวา เทวโลกเมว อคมาสิฯ อิมินา การเณน สา ‘‘อหํ คหิตภติํ อชีราเปตฺวาว อเญฺญน ทียมานาย ภติยา หตฺถํ ปสาเรสิํ, อิมินา การเณน มํ สีลํ นาราเธติ, เตน โว ทาตุํ น สกฺกา’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ อถ นํ ทูตา ‘‘หตฺถปฺปสารณมเตฺตน สีลเภโท นตฺถิ, สีลํ นาม เอตํ ปรมวิสุทฺธิ โหตี’’ติ วตฺวา ตสฺสาปิ สนฺติเก สีลํ คเหตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิํสุฯ
Tassa gahaṇatthāya hatthaṃ pasāraṇakāle sakko attānaṃ dassesi. Sā disvāva ‘‘mayhaṃ saṃvaccharattayamatthake sahassadāyako puriso āgato, tāta, natthi me tava kahāpaṇehi attho’’ti hatthaṃ samiñjesi. Sakko attano sarīraññeva abhinimminitvā taruṇasūriyo viya jalanto ākāse aṭṭhāsi, sakalanagaraṃ sannipati. Sakko mahājanamajjhe ‘‘ahaṃ etissā vīmaṃsanavasena saṃvaccharattayamatthake sahassaṃ adāsiṃ, sīlaṃ rakkhantā nāma evarūpā hutvā rakkhathā’’ti ovādaṃ datvā tassā nivesanaṃ sattaratanehi pūretvā ‘‘ito paṭṭhāya appamattā hohī’’ti taṃ anusāsitvā devalokameva agamāsi. Iminā kāraṇena sā ‘‘ahaṃ gahitabhatiṃ ajīrāpetvāva aññena dīyamānāya bhatiyā hatthaṃ pasāresiṃ, iminā kāraṇena maṃ sīlaṃ nārādheti, tena vo dātuṃ na sakkā’’ti paṭikkhipi. Atha naṃ dūtā ‘‘hatthappasāraṇamattena sīlabhedo natthi, sīlaṃ nāma etaṃ paramavisuddhi hotī’’ti vatvā tassāpi santike sīlaṃ gahetvā suvaṇṇapaṭṭe likhiṃsu.
อิติ อิเมสํ เอกาทสนฺนํ ชนานํ รกฺขณสีลํ สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขิตฺวา ทนฺตปุรํ คนฺตฺวา กาลิงฺครโญฺญ สุวณฺณปฎฺฎํ ทตฺวา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ ราชา ตสฺมิํ กุรุธเมฺม วตฺตมาโน ปญฺจ สีลานิ ปูเรสิฯ ตสฺมิํ ขเณ สกลกาลิงฺครเฎฺฐ เทโว วสฺสิ, ตีณิ ภยานิ วูปสนฺตานิ, รฎฺฐํ เขมํ สุภิกฺขํ อโหสิฯ โพธิสโตฺต ยาวชีวํ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สปริวาโร สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ
Iti imesaṃ ekādasannaṃ janānaṃ rakkhaṇasīlaṃ suvaṇṇapaṭṭe likhitvā dantapuraṃ gantvā kāliṅgarañño suvaṇṇapaṭṭaṃ datvā taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Rājā tasmiṃ kurudhamme vattamāno pañca sīlāni pūresi. Tasmiṃ khaṇe sakalakāliṅgaraṭṭhe devo vassi, tīṇi bhayāni vūpasantāni, raṭṭhaṃ khemaṃ subhikkhaṃ ahosi. Bodhisatto yāvajīvaṃ dānādīni puññāni katvā saparivāro saggapuraṃ pūresi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิฯ ‘‘สจฺจปริโยสาเน เกจิ โสตาปนฺนา อเหสุํ, เกจิ สกทาคามิโน, เกจิ อนาคามิโน, เกจิ อรหโนฺต’’ติฯ ชาตกสโมธาเน ปน –
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi. ‘‘Saccapariyosāne keci sotāpannā ahesuṃ, keci sakadāgāmino, keci anāgāmino, keci arahanto’’ti. Jātakasamodhāne pana –
‘‘คณิกา อุปฺปลวณฺณา, ปุโณฺณ โทวาริโก ตทา;
‘‘Gaṇikā uppalavaṇṇā, puṇṇo dovāriko tadā;
รชฺชุคาโห กจฺจายโน, โมคฺคลฺลาโน โทณมาปโกฯ
Rajjugāho kaccāyano, moggallāno doṇamāpako.
‘‘สาริปุโตฺต ตทา เสฎฺฐิ, อนุรุโทฺธ จ สารถิ;
‘‘Sāriputto tadā seṭṭhi, anuruddho ca sārathi;
พฺราหฺมโณ กสฺสโป เถโร, อุปราชา นนฺทปณฺฑิโตฯ
Brāhmaṇo kassapo thero, uparājā nandapaṇḍito.
‘‘มเหสี ราหุลมาตา, มายาเทวี ชเนตฺติยา;
‘‘Mahesī rāhulamātā, māyādevī janettiyā;
กุรุราชา โพธิสโตฺต, เอวํ ธาเรถ ชาตก’’นฺติฯ
Kururājā bodhisatto, evaṃ dhāretha jātaka’’nti.
กุรุธมฺมชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Kurudhammajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๗๖. กุรุธมฺมชาตกํ • 276. Kurudhammajātakaṃ