Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๓. กุรุราชจริยาวณฺณนา
3. Kururājacariyāvaṇṇanā
๒๐.
20.
ตติเย อินฺทปเตฺถ ปุรุตฺตเมติ อินฺทปตฺถนามเก กุรุรฎฺฐสฺส ปุรวเร อุตฺตมนคเรฯ ราชาติ ธเมฺมน สเมน จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ปริสํ รเญฺชตีติ ราชาฯ กุสเล ทสหุปาคโตติ กุสเลหิ ทสหิ สมนฺนาคโต, ทานาทีหิ ทสหิ ปุญฺญกิริยวตฺถูหิ, ทสหิ กุสลกมฺมปเถหิ วา ยุโตฺตติ อโตฺถฯ
Tatiye indapatthe puruttameti indapatthanāmake kururaṭṭhassa puravare uttamanagare. Rājāti dhammena samena catūhi saṅgahavatthūhi parisaṃ rañjetīti rājā. Kusale dasahupāgatoti kusalehi dasahi samannāgato, dānādīhi dasahi puññakiriyavatthūhi, dasahi kusalakammapathehi vā yuttoti attho.
๒๑. กลิงฺครฎฺฐวิสยาติ กลิงฺครฎฺฐสงฺขาตวิสยาฯ พฺราหฺมณา อุปคญฺฉุ มนฺติ กลิงฺคราเชน อุโยฺยชิตา อฎฺฐ พฺราหฺมณา มํ อุปสงฺกมิํสุฯ อุปสงฺกมิตฺวา จ ปน อายาจุํ มํ หตฺถินาคนฺติ หตฺถิภูตํ มหานาคํ มํ อายาจิํสุฯ ธญฺญนฺติ ธนายิตพฺพสิริโสภคฺคปฺปตฺตํ ลกฺขณสมฺปนฺนํฯ มงฺคลสมฺมตนฺติ ตายเยว ลกฺขณสมฺปตฺติยา มงฺคลํ อภิวุฑฺฒิการณนฺติ อภิสมฺมตํ ชเนหิฯ
21.Kaliṅgaraṭṭhavisayāti kaliṅgaraṭṭhasaṅkhātavisayā. Brāhmaṇā upagañchu manti kaliṅgarājena uyyojitā aṭṭha brāhmaṇā maṃ upasaṅkamiṃsu. Upasaṅkamitvā ca pana āyācuṃ maṃ hatthināganti hatthibhūtaṃ mahānāgaṃ maṃ āyāciṃsu. Dhaññanti dhanāyitabbasirisobhaggappattaṃ lakkhaṇasampannaṃ. Maṅgalasammatanti tāyayeva lakkhaṇasampattiyā maṅgalaṃ abhivuḍḍhikāraṇanti abhisammataṃ janehi.
๒๒. อวุฎฺฐิโกติ วสฺสรหิโตฯ ทุพฺภิโกฺขติ ทุลฺลภโภชโนฯ ฉาตโก มหาติ มหตี ชิฆจฺฉาพาธา วตฺตตีติ อโตฺถฯ ททาหีติ เทหิฯ นีลนฺติ นีลวณฺณํฯ อญฺชนสวฺหยนฺติ อญฺชนสเทฺทน อวฺหาตพฺพํ, อญฺชนนามกนฺติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อมฺหากํ กลิงฺครฎฺฐํ อวุฎฺฐิกํ, เตน อิทานิ มหาทุพฺภิกฺขํ ตตฺถ มหนฺตํ ฉาตกภยํ อุปฺปนฺนํ, ตสฺส วูปสมตฺถาย อิมํ อญฺชนคิริสงฺกาสํ ตุยฺหํ อญฺชนนามกํ มงฺคลหตฺถิํ เทหิ, อิมสฺมิญฺหิ ตตฺถ นีเต เทโว วสฺสิสฺสติ, เตน ตํ สพฺพภยํ วูปสมฺมิสฺสตีติฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา –
22.Avuṭṭhikoti vassarahito. Dubbhikkhoti dullabhabhojano. Chātako mahāti mahatī jighacchābādhā vattatīti attho. Dadāhīti dehi. Nīlanti nīlavaṇṇaṃ. Añjanasavhayanti añjanasaddena avhātabbaṃ, añjananāmakanti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – amhākaṃ kaliṅgaraṭṭhaṃ avuṭṭhikaṃ, tena idāni mahādubbhikkhaṃ tattha mahantaṃ chātakabhayaṃ uppannaṃ, tassa vūpasamatthāya imaṃ añjanagirisaṅkāsaṃ tuyhaṃ añjananāmakaṃ maṅgalahatthiṃ dehi, imasmiñhi tattha nīte devo vassissati, tena taṃ sabbabhayaṃ vūpasammissatīti. Tatrāyaṃ anupubbikathā –
อตีเต กุรุรเฎฺฐ อินฺทปตฺถนคเร โพธิสโตฺต กุรุราชสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อนุปุเพฺพน วิญฺญุตํ ปโตฺต, ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา โยควิหิตานิ สิปฺปายตนานิ วิชฺชาฎฺฐานานิ จ อุคฺคเหตฺวา ปจฺจาคโต ปิตรา อุปรเชฺช ฐปิโต, อปรภาเค ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ ปตฺวา ทส ราชธเมฺม อโกเปโนฺต ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิ ธนญฺชโย นาม นาเมนฯ โส จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌ นิเวสนทฺวาเรติ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา เทวสิกํ ฉสตสหสฺสํ ธนํ วิสฺสเชฺชโนฺต สกลชมฺพุทีปํ อุนฺนงฺคลํ กตฺวา ทานํ อทาสิฯ ตสฺส ทานชฺฌาสยตา ทานาภิรติ สกลชมฺพุทีปํ ปตฺถริฯ
Atīte kururaṭṭhe indapatthanagare bodhisatto kururājassa aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gahetvā anupubbena viññutaṃ patto, takkasilaṃ gantvā yogavihitāni sippāyatanāni vijjāṭṭhānāni ca uggahetvā paccāgato pitarā uparajje ṭhapito, aparabhāge pitu accayena rajjaṃ patvā dasa rājadhamme akopento dhammena rajjaṃ kāresi dhanañjayo nāma nāmena. So catūsu nagaradvāresu nagaramajjhe nivesanadvāreti cha dānasālāyo kāretvā devasikaṃ chasatasahassaṃ dhanaṃ vissajjento sakalajambudīpaṃ unnaṅgalaṃ katvā dānaṃ adāsi. Tassa dānajjhāsayatā dānābhirati sakalajambudīpaṃ patthari.
ตสฺมิํ กาเล กลิงฺครเฎฺฐ ทุพฺภิกฺขภยํ ฉาตกภยํ โรคภยนฺติ ตีณิ ภยานิ อุปฺปชฺชิํสุฯ สกลรฎฺฐวาสิโน ทนฺตปุรํ คนฺตฺวา ราชภวนทฺวาเร อุกฺกุฎฺฐิมกํสุ ‘‘เทวํ วสฺสาเปหิ เทวา’’ติฯ ราชา ตํ สุตฺวา ‘‘กิํการณา เอเต วิรวนฺตี’’ติ อมเจฺจ ปุจฺฉิฯ อมจฺจา รโญฺญ ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ราชา โปราณกราชาโน เทเว อวสฺสเนฺต กิํ กโรนฺตีติฯ ‘‘เทโว วสฺสตู’’ติ ทานํ ทตฺวา อุโปสถํ อธิฎฺฐาย สมาทินฺนสีลา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา ทพฺพสนฺถเร สตฺตาหํ นิปชฺชนฺตีติฯ ตํ สุตฺวา ตถา อกาสิฯ เทโว น วสฺสิ, เอวํ ราชา อหํ มยา กตฺตพฺพกิจฺจํ อกาสิํ, เทโว น วสฺสติ, กินฺติ กโรมาติฯ เทว, อินฺทปตฺถนคเร ธนญฺชยสฺส นาม กุรุราชสฺส มงฺคลหตฺถิมฺหิ อานีเต เทโว วสฺสิสฺสตีติ ฯ โส ราชา พลวาหนสมฺปโนฺน ทุปฺปสโห, กถมสฺส หตฺถิํ อาเนสฺสามาติฯ มหาราช, เตน สทฺธิํ ยุทฺธกิจฺจํ นตฺถิ, ทานชฺฌาสโย โส ราชา ทานาภิรโต ยาจิโต สมาโน อลงฺกตสีสมฺปิ ฉินฺทิตฺวา ปสาทสมฺปนฺนานิ อกฺขีนิปิ อุปฺปาเฎตฺวา สกลรชฺชมฺปิ นิยฺยาเตตฺวา ทเทยฺย, หตฺถิมฺหิ วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, อวสฺสํ ยาจิโต สมาโน ทสฺสตีติฯ เก ปน ยาจิตุํ สมตฺถาติ? พฺราหฺมณา, มหาราชาติฯ ราชา อฎฺฐ พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา สกฺการสมฺมานํ กตฺวา ปริพฺพยํ ทตฺวา หตฺถิยาจนตฺถํ เปเสสิฯ เต สพฺพตฺถ เอกรตฺติวาเสน ตุริตคมนํ คนฺตฺวา กติปาหํ นครทฺวาเร ทานสาลาสุ ภุญฺชนฺตา สรีรํ สนฺตเปฺปตฺวา รโญฺญ ทานคฺคํ อาคมนปเถ กาลํ อาคมยมานา ปาจีนทฺวาเร อฎฺฐํสุฯ
Tasmiṃ kāle kaliṅgaraṭṭhe dubbhikkhabhayaṃ chātakabhayaṃ rogabhayanti tīṇi bhayāni uppajjiṃsu. Sakalaraṭṭhavāsino dantapuraṃ gantvā rājabhavanadvāre ukkuṭṭhimakaṃsu ‘‘devaṃ vassāpehi devā’’ti. Rājā taṃ sutvā ‘‘kiṃkāraṇā ete viravantī’’ti amacce pucchi. Amaccā rañño tamatthaṃ ārocesuṃ. Rājā porāṇakarājāno deve avassante kiṃ karontīti. ‘‘Devo vassatū’’ti dānaṃ datvā uposathaṃ adhiṭṭhāya samādinnasīlā sirigabbhaṃ pavisitvā dabbasanthare sattāhaṃ nipajjantīti. Taṃ sutvā tathā akāsi. Devo na vassi, evaṃ rājā ahaṃ mayā kattabbakiccaṃ akāsiṃ, devo na vassati, kinti karomāti. Deva, indapatthanagare dhanañjayassa nāma kururājassa maṅgalahatthimhi ānīte devo vassissatīti . So rājā balavāhanasampanno duppasaho, kathamassa hatthiṃ ānessāmāti. Mahārāja, tena saddhiṃ yuddhakiccaṃ natthi, dānajjhāsayo so rājā dānābhirato yācito samāno alaṅkatasīsampi chinditvā pasādasampannāni akkhīnipi uppāṭetvā sakalarajjampi niyyātetvā dadeyya, hatthimhi vattabbameva natthi, avassaṃ yācito samāno dassatīti. Ke pana yācituṃ samatthāti? Brāhmaṇā, mahārājāti. Rājā aṭṭha brāhmaṇe pakkosāpetvā sakkārasammānaṃ katvā paribbayaṃ datvā hatthiyācanatthaṃ pesesi. Te sabbattha ekarattivāsena turitagamanaṃ gantvā katipāhaṃ nagaradvāre dānasālāsu bhuñjantā sarīraṃ santappetvā rañño dānaggaṃ āgamanapathe kālaṃ āgamayamānā pācīnadvāre aṭṭhaṃsu.
โพธิสโตฺตปิ ปาโตว นฺหาตานุลิโตฺต สพฺพาลงฺการปฺปฎิมณฺฑิโต อลงฺกตวรวารณขนฺธคโต มหเนฺตน ราชานุภาเวน ทานสาลํ คนฺตฺวา โอตริตฺวา สตฺตฎฺฐชนานํ สหเตฺถน ทานํ ทตฺวา ‘‘อิมินาว นีหาเรน เทถา’’ติ วตฺวา หตฺถิํ อภิรุหิตฺวา ทกฺขิณทฺวารํ อคมาสิฯ พฺราหฺมณา ปาจีนทฺวาเร อารกฺขสฺส พลวตาย โอกาสํ อลภิตฺวา ทกฺขิณทฺวารํ คนฺตฺวา ราชานํ อาคจฺฉนฺตํ อุโลฺลกยมานา ทฺวารโต นาติทูเร อุนฺนตฎฺฐาเน ฐิตา สมฺปตฺตํ ราชานํ หเตฺถ อุกฺขิปิตฺวา ชยาเปสุํฯ ราชา วชิรงฺกุเสน วารณํ นิวเตฺตตฺวา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา เต พฺราหฺมเณ ‘‘กิํ อิจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิฯ พฺราหฺมณา ‘‘กลิงฺครฎฺฐํ ทุพฺภิกฺขภเยน ฉาตกภเยน โรคภเยน จ อุปทฺทุตํฯ โส อุปทฺทโว อิมสฺมิํ ตว มงฺคลหตฺถิมฺหิ นีเต วูปสมฺมิสฺสติฯ ตสฺมา อิมํ อญฺชนวณฺณํ นาคํ อมฺหากํ เทหี’’ติ อาหํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห ‘‘กลิงฺครฎฺฐวิสยา…เป.… อญฺชนสวฺหย’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ วุโตฺต เอวฯ
Bodhisattopi pātova nhātānulitto sabbālaṅkārappaṭimaṇḍito alaṅkatavaravāraṇakhandhagato mahantena rājānubhāvena dānasālaṃ gantvā otaritvā sattaṭṭhajanānaṃ sahatthena dānaṃ datvā ‘‘imināva nīhārena dethā’’ti vatvā hatthiṃ abhiruhitvā dakkhiṇadvāraṃ agamāsi. Brāhmaṇā pācīnadvāre ārakkhassa balavatāya okāsaṃ alabhitvā dakkhiṇadvāraṃ gantvā rājānaṃ āgacchantaṃ ullokayamānā dvārato nātidūre unnataṭṭhāne ṭhitā sampattaṃ rājānaṃ hatthe ukkhipitvā jayāpesuṃ. Rājā vajiraṅkusena vāraṇaṃ nivattetvā tesaṃ santikaṃ gantvā te brāhmaṇe ‘‘kiṃ icchathā’’ti pucchi. Brāhmaṇā ‘‘kaliṅgaraṭṭhaṃ dubbhikkhabhayena chātakabhayena rogabhayena ca upaddutaṃ. So upaddavo imasmiṃ tava maṅgalahatthimhi nīte vūpasammissati. Tasmā imaṃ añjanavaṇṇaṃ nāgaṃ amhākaṃ dehī’’ti āhaṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha ‘‘kaliṅgaraṭṭhavisayā…pe… añjanasavhaya’’nti. Tassattho vutto eva.
อถ โพธิสโตฺต ‘‘น เมตํ ปติรูปํ, ยํ เม ยาจกานํ มโนรถวิฆาโต สิยา, มยฺหญฺจ สมาทานเภโท สิยา’’ติ หตฺถิกฺขนฺธโต โอตริตฺวา ‘‘สเจ อนลงฺกตฎฺฐานํ อตฺถิ, อลงฺกริตฺวา ทสฺสามี’’ติ สมนฺตโต โอโลเกตฺวา อนลงฺกตฎฺฐานํ อทิสฺวา โสณฺฑาย นํ คเหตฺวา พฺราหฺมณานํ หเตฺถสุ ฐเปตฺวา รตนภิงฺคาเรน ปุปฺผคนฺธวาสิตํ อุทกํ ปาเตตฺวา อทาสิฯ เตน วุตฺตํ –
Atha bodhisatto ‘‘na metaṃ patirūpaṃ, yaṃ me yācakānaṃ manorathavighāto siyā, mayhañca samādānabhedo siyā’’ti hatthikkhandhato otaritvā ‘‘sace analaṅkataṭṭhānaṃ atthi, alaṅkaritvā dassāmī’’ti samantato oloketvā analaṅkataṭṭhānaṃ adisvā soṇḍāya naṃ gahetvā brāhmaṇānaṃ hatthesu ṭhapetvā ratanabhiṅgārena pupphagandhavāsitaṃ udakaṃ pātetvā adāsi. Tena vuttaṃ –
๒๓.
23.
‘‘น เม ยาจกมนุปฺปเตฺต, ปฎิเกฺขโป อนุจฺฉโว;
‘‘Na me yācakamanuppatte, paṭikkhepo anucchavo;
มา เม ภิชฺชิ สมาทานํ, ทสฺสามิ วิปุลํ คชํฯ
Mā me bhijji samādānaṃ, dassāmi vipulaṃ gajaṃ.
๒๔.
24.
‘‘นาคํ คเหตฺวา โสณฺฑาย, ภิงฺคาเร รตนามเย;
‘‘Nāgaṃ gahetvā soṇḍāya, bhiṅgāre ratanāmaye;
ชลํ หเตฺถ อากิริตฺวา, พฺราหฺมณานํ อทํ คช’’นฺติฯ
Jalaṃ hatthe ākiritvā, brāhmaṇānaṃ adaṃ gaja’’nti.
ตตฺถ ยาจกมนุปฺปเตฺตติ ยาจเก อนุปฺปเตฺตฯ อนุจฺฉโวติ อนุจฺฉวิโก ปติรูโปฯ มา เม ภิชฺชิ สมาทานนฺติ สพฺพญฺญุตญฺญาณตฺถาย สพฺพสฺส ยาจกสฺส สพฺพํ อนวชฺชํ อิจฺฉิตํ ททโนฺต ทานปารมิํ ปูเรสฺสามีติ ยํ มยฺหํ สมาทานํ, ตํ มา ภิชฺชิฯ ตสฺมา ทสฺสามิ วิปุลํ คชนฺติ มหนฺตํ อิมํ มงฺคลหตฺถิํ ทสฺสามีติฯ อทนฺติ อทาสิํฯ
Tattha yācakamanuppatteti yācake anuppatte. Anucchavoti anucchaviko patirūpo. Mā me bhijji samādānanti sabbaññutaññāṇatthāya sabbassa yācakassa sabbaṃ anavajjaṃ icchitaṃ dadanto dānapāramiṃ pūressāmīti yaṃ mayhaṃ samādānaṃ, taṃ mā bhijji. Tasmā dassāmi vipulaṃ gajanti mahantaṃ imaṃ maṅgalahatthiṃ dassāmīti. Adanti adāsiṃ.
๒๕.
25.
ตสฺมิํ ปน หตฺถิมฺหิ ทิเนฺน อมจฺจา โพธิสตฺตํ เอตทโวจุํ – ‘‘กสฺมา, มหาราช, มงฺคลหตฺถิํ ททตฺถ, นนุ อโญฺญ หตฺถี ทาตโพฺพ, รญฺญา นาม เอวรูโป โอปวโยฺห มงฺคลหตฺถี อิสฺสริยํ อภิวิชยญฺจ อากงฺขเนฺตน น ทาตโพฺพ’’ติ ฯ มหาสโตฺต ยํ มํ ยาจกา ยาจนฺติ, ตเทว มยา ทาตพฺพํ, สเจ ปน มํ รชฺชํ ยาเจยฺยุํ, รชฺชมฺปิ เตสํ ทเทยฺยํ, มยฺหํ รชฺชโตปิ ชีวิตโตปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว ปิยตรํ, ตสฺมา ตํ หตฺถิํ อทาสินฺติ อาหฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตสฺส นาเค ปทินฺนมฺหี’’ติอาทิฯ ตตฺถ ตสฺสาติ ตสฺส เตน, ตสฺมิํ นาเค หตฺถิมฺหิ ทิเนฺนฯ
Tasmiṃ pana hatthimhi dinne amaccā bodhisattaṃ etadavocuṃ – ‘‘kasmā, mahārāja, maṅgalahatthiṃ dadattha, nanu añño hatthī dātabbo, raññā nāma evarūpo opavayho maṅgalahatthī issariyaṃ abhivijayañca ākaṅkhantena na dātabbo’’ti . Mahāsatto yaṃ maṃ yācakā yācanti, tadeva mayā dātabbaṃ, sace pana maṃ rajjaṃ yāceyyuṃ, rajjampi tesaṃ dadeyyaṃ, mayhaṃ rajjatopi jīvitatopi sabbaññutaññāṇameva piyataraṃ, tasmā taṃ hatthiṃ adāsinti āha. Tena vuttaṃ ‘‘tassa nāge padinnamhī’’tiādi. Tattha tassāti tassa tena, tasmiṃ nāge hatthimhi dinne.
๒๖. มงฺคลสมฺปนฺนนฺติ มงฺคลคุเณหิ สมนฺนาคตํฯ สงฺคามวิชยุตฺตมนฺติ สงฺคามวิชยา อุตฺตมํ, สงฺคามวิชเย วา อุตฺตมํ ปธานํ ปวรํ นาคํฯ กิํ เต รชฺชํ กริสฺสตีติ ตสฺมิํ นาเค อปคเต ตว รชฺชํ กิํ กริสฺสติ, รชฺชกิจฺจํ น กริสฺสติ, รชฺชมฺปิ อปคตเมวาติ ทเสฺสติฯ
26.Maṅgalasampannanti maṅgalaguṇehi samannāgataṃ. Saṅgāmavijayuttamanti saṅgāmavijayā uttamaṃ, saṅgāmavijaye vā uttamaṃ padhānaṃ pavaraṃ nāgaṃ. Kiṃ te rajjaṃkarissatīti tasmiṃ nāge apagate tava rajjaṃ kiṃ karissati, rajjakiccaṃ na karissati, rajjampi apagatamevāti dasseti.
๒๗. รชฺชมฺปิ เม ทเท สพฺพนฺติ ติฎฺฐตุ นาโค ติรจฺฉานคโต, อิทํ เม สพฺพํ กุรุรฎฺฐมฺปิ ยาจกานํ ทเทยฺยํฯ สรีรํ ทชฺชมตฺตโนติ รเชฺชปิ วา กิํ วตฺตพฺพํ, อตฺตโน สรีรมฺปิ ยาจกานํ ทเทยฺยํ, สโพฺพปิ หิ เม อชฺฌตฺติกพาหิโร ปริคฺคโห โลกหิตตฺถเมว มยา ปริจฺจโตฺตฯ ยสฺมา สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหํ สพฺพญฺญุตา จ ทานปารมิํ อาทิํ กตฺวา สพฺพปารมิโย อปูเรเนฺตน น สกฺกา ลทฺธุํ, ตสฺมา นาคํ อทาสิํ อหนฺติ ทเสฺสติฯ
27.Rajjampi me dade sabbanti tiṭṭhatu nāgo tiracchānagato, idaṃ me sabbaṃ kururaṭṭhampi yācakānaṃ dadeyyaṃ. Sarīraṃ dajjamattanoti rajjepi vā kiṃ vattabbaṃ, attano sarīrampi yācakānaṃ dadeyyaṃ, sabbopi hi me ajjhattikabāhiro pariggaho lokahitatthameva mayā pariccatto. Yasmā sabbaññutaṃ piyaṃ mayhaṃ sabbaññutā ca dānapāramiṃ ādiṃ katvā sabbapāramiyo apūrentena na sakkā laddhuṃ, tasmā nāgaṃ adāsiṃ ahanti dasseti.
เอวมฺปิ ตสฺมิํ นาเค อานีเต กลิงฺครเฎฺฐ เทโว น วสฺสเตวฯ กลิงฺคราชา ‘‘อิทานิปิ น วสฺสติ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘กุรุราชา ครุธเมฺม รกฺขติ, เตนสฺส รเฎฺฐ อนฺวทฺธมาสํ อนุทสาหํ เทโว วสฺสติ, รโญฺญ คุณานุภาโว เอส, น อิมสฺส ติรจฺฉานคตสฺสา’’ติ ชานิตฺวา ‘‘มยมฺปิ ครุธเมฺม รกฺขิสฺสาม, คจฺฉถ ธนญฺจยโกรพฺยสฺส สนฺติเก เต สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขาเปตฺวา อาเนถา’’ติ อมเจฺจ เปเสสิฯ ครุธมฺมา วุจฺจนฺติ ปญฺจ สีลานิ, ตานิ โพธิสโตฺต สุปริสุทฺธานิ กตฺวา รกฺขติ, ยถา จ โพธิสโตฺตฯ เอวมสฺส มาตา อคฺคมเหสี, กนิฎฺฐภาตา อุปราชา, ปุโรหิโต พฺราหฺมโณ, รชฺชุคฺคาหโก อมโจฺจ, สารถิ เสฎฺฐิ, โทณมาปโก โทวาริโก, นครโสภินี วณฺณทาสีติฯ เตน วุตฺตํ –
Evampi tasmiṃ nāge ānīte kaliṅgaraṭṭhe devo na vassateva. Kaliṅgarājā ‘‘idānipi na vassati, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti pucchitvā ‘‘kururājā garudhamme rakkhati, tenassa raṭṭhe anvaddhamāsaṃ anudasāhaṃ devo vassati, rañño guṇānubhāvo esa, na imassa tiracchānagatassā’’ti jānitvā ‘‘mayampi garudhamme rakkhissāma, gacchatha dhanañcayakorabyassa santike te suvaṇṇapaṭṭe likhāpetvā ānethā’’ti amacce pesesi. Garudhammā vuccanti pañca sīlāni, tāni bodhisatto suparisuddhāni katvā rakkhati, yathā ca bodhisatto. Evamassa mātā aggamahesī, kaniṭṭhabhātā uparājā, purohito brāhmaṇo, rajjuggāhako amacco, sārathi seṭṭhi, doṇamāpako dovāriko, nagarasobhinī vaṇṇadāsīti. Tena vuttaṃ –
‘‘ราชา มาตา มเหสี จ, อุปราชา ปุโรหิโต;
‘‘Rājā mātā mahesī ca, uparājā purohito;
รชฺชุคฺคาโห สารถี เสฎฺฐิ, โทโณ โทวาริโก ตถา;
Rajjuggāho sārathī seṭṭhi, doṇo dovāriko tathā;
คณิกา เต เอกาทส, ครุธเมฺม ปติฎฺฐิตา’’ติฯ
Gaṇikā te ekādasa, garudhamme patiṭṭhitā’’ti.
เต อมจฺจา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ มหาสโตฺต ‘‘มยฺหํ ครุธเมฺม กุกฺกุจฺจํ อตฺถิ, มาตา ปน เม สุรกฺขิตํ รกฺขติ, ตสฺสา สนฺติเก คณฺหถา’’ติ วตฺวา เตหิ ‘‘มหาราช, กุกฺกุจฺจํ นาม สิกฺขากามสฺส สเลฺลขวุตฺติโน โหติ, เทถ โน’’ติ ยาจิโต ‘‘ปาโณ น หนฺตโพฺพ, อทินฺนํ น อาทาตพฺพํ, กาเมสุมิจฺฉาจาโร น จริตโพฺพ, มุสา น ภณิตพฺพํ, มชฺชํ น ปาตพฺพ’’นฺติ สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขาเปตฺวา ‘‘เอวํ สเนฺตปิ มาตุ สนฺติเก คณฺหถา’’ติ อาหฯ
Te amaccā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā vanditvā tamatthaṃ ārocesuṃ. Mahāsatto ‘‘mayhaṃ garudhamme kukkuccaṃ atthi, mātā pana me surakkhitaṃ rakkhati, tassā santike gaṇhathā’’ti vatvā tehi ‘‘mahārāja, kukkuccaṃ nāma sikkhākāmassa sallekhavuttino hoti, detha no’’ti yācito ‘‘pāṇo na hantabbo, adinnaṃ na ādātabbaṃ, kāmesumicchācāro na caritabbo, musā na bhaṇitabbaṃ, majjaṃ na pātabba’’nti suvaṇṇapaṭṭe likhāpetvā ‘‘evaṃ santepi mātu santike gaṇhathā’’ti āha.
ทูตา ราชานํ วนฺทิตฺวา ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทวิ, ตุเมฺห กิร ครุธมฺมํ รกฺขถ, ตํ โน เทถา’’ติ วทิํสุฯ โพธิสตฺตสฺส มาตาปิ ตเถว อตฺตโน กุกฺกุจฺจสฺส อตฺถิภาวํ วตฺวาว เตหิ ยาจิตา อทาสิฯ ตถา มเหสิอาทโยปิฯ เต สเพฺพสมฺปิ สนฺติเก สุวณฺณปเฎฺฎ ครุธเมฺม ลิขาเปตฺวา ทนฺตปุรํ คนฺตฺวา กลิงฺครโญฺญ ทตฺวา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ โสปิ ราชา ตสฺมิํ ธเมฺม วตฺตมาโน ปญฺจ สีลานิ ปูเรสิฯ ตโต สกลกลิงฺครเฎฺฐ เทโว วสฺสิฯ ตีณิ ภยานิ วูปสนฺตานิฯ รฎฺฐํ เขมํ สุภิกฺขํ อโหสิฯ โพธิสโตฺต ยาวชีวํ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สปริโส สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ
Dūtā rājānaṃ vanditvā tassā santikaṃ gantvā ‘‘devi, tumhe kira garudhammaṃ rakkhatha, taṃ no dethā’’ti vadiṃsu. Bodhisattassa mātāpi tatheva attano kukkuccassa atthibhāvaṃ vatvāva tehi yācitā adāsi. Tathā mahesiādayopi. Te sabbesampi santike suvaṇṇapaṭṭe garudhamme likhāpetvā dantapuraṃ gantvā kaliṅgarañño datvā taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Sopi rājā tasmiṃ dhamme vattamāno pañca sīlāni pūresi. Tato sakalakaliṅgaraṭṭhe devo vassi. Tīṇi bhayāni vūpasantāni. Raṭṭhaṃ khemaṃ subhikkhaṃ ahosi. Bodhisatto yāvajīvaṃ dānādīni puññāni katvā sapariso saggapuraṃ pūresi.
ตทา คณิกาทโย อุปฺปลวณฺณาทโย อเหสุํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tadā gaṇikādayo uppalavaṇṇādayo ahesuṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘คณิกา อุปฺปลวณฺณา, ปุโณฺณ โทวาริโก ตทา;
‘‘Gaṇikā uppalavaṇṇā, puṇṇo dovāriko tadā;
รชฺชุคฺคาโห จ กจฺจาโน, โทณมาปโก จ โกลิโตฯ
Rajjuggāho ca kaccāno, doṇamāpako ca kolito.
‘‘สาริปุโตฺต ตทา เสฎฺฐิ, อนุรุโทฺธ จ สารถิ;
‘‘Sāriputto tadā seṭṭhi, anuruddho ca sārathi;
พฺราหฺมโณ กสฺสโป เถโร, อุปราชานนฺทปณฺฑิโตฯ
Brāhmaṇo kassapo thero, uparājānandapaṇḍito.
‘‘มเหสี ราหุลมาตา, มายาเทวี ชเนตฺติกา;
‘‘Mahesī rāhulamātā, māyādevī janettikā;
กุรุราชา โพธิสโตฺต, เอวํ ธาเรถ ชาตก’’นฺติฯ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.๓๖๑ หํสฆาตกภิกฺขุวตฺถุ);
Kururājā bodhisatto, evaṃ dhāretha jātaka’’nti. (dha. pa. aṭṭha. 2.361 haṃsaghātakabhikkhuvatthu);
อิธาปิ เนกฺขมฺมปารมิอาทโย เสสธมฺมา จ วุตฺตนเยเนว นิทฺธาเรตพฺพาติฯ
Idhāpi nekkhammapāramiādayo sesadhammā ca vuttanayeneva niddhāretabbāti.
กุรุราชจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kururājacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๓. กุรุราชจริยา • 3. Kururājacariyā