Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ๒๐. สตฺตตินิปาโต

    20. Sattatinipāto

    [๕๓๑] ๑. กุสชาตกวณฺณนา

    [531] 1. Kusajātakavaṇṇanā

    อิทํ เต รฎฺฐนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ เอโก กิร สาวตฺถิวาสี กุลปุโตฺต สาสเน อุรํ ทตฺวา ปพฺพชิโต เอกทิวสํ สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จรโนฺต เอกํ อลงฺกตอิตฺถิํ ทิสฺวา สุภนิมิตฺตคฺคาหวเสน โอโลเกตฺวา กิเลสาภิภูโต อนภิรโต วิหาสิ ทีฆเกสนโข กิลิฎฺฐจีวโร อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนีสนฺถตคโตฺตฯ ยถา หิ เทวโลกา จวนธมฺมานํ เทวปุตฺตานํ ปญฺจ ปุพฺพนิมิตฺตานิ ปญฺญายนฺติ, มาลา มิลายนฺติ, วตฺถานิ กิลิสฺสนฺติ, สรีเร ทุพฺพณฺณิยํ โอกฺกมติ, อุโภหิ กเจฺฉหิ เสทา มุจฺจนฺติ, เทโว เทวาสเน นาภิรมติ, เอวเมว สาสนา จวนธมฺมานํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขูนํ ปญฺจ ปุพฺพนิมิตฺตานิ ปญฺญายนฺติ, สทฺธาปุปฺผานิ มิลายนฺติ, สีลวตฺถานิ กิลิสฺสนฺติ, สรีเร มงฺกุตาย เจว อยสวเสน จ ทุพฺพณฺณิยํ โอกฺกมติ, กิเลสเสทา มุจฺจนฺติ, อรญฺญรุกฺขมูลสุญฺญาคาเรสุ นาภิรมนฺติฯ ตสฺสปิ ตานิ ปญฺญายิํสุฯ อถ นํ ภิกฺขู สตฺถุ สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘อยํ, ภเนฺต, อุกฺกณฺฐิโต’’ติ ทเสฺสสุํฯ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ภิกฺขุ, อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ตํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘มา, ภิกฺขุ, กิเลสวสิโก โหหิ, มาตุคาโม นาเมส ปาโป, ตสฺมิํ ปฎิพทฺธจิตฺตตํ วิโนเทหิ, สาสเน อภิรม, มาตุคาเม ปฎิพทฺธจิตฺตตาย หิ เตชวโนฺตปิ โปราณกปณฺฑิตา นิเตฺตชา หุตฺวา อนยพฺยสนํ ปาปุณิํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Idaṃte raṭṭhanti idaṃ satthā jetavane viharanto ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Eko kira sāvatthivāsī kulaputto sāsane uraṃ datvā pabbajito ekadivasaṃ sāvatthiyaṃ piṇḍāya caranto ekaṃ alaṅkataitthiṃ disvā subhanimittaggāhavasena oloketvā kilesābhibhūto anabhirato vihāsi dīghakesanakho kiliṭṭhacīvaro uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanīsanthatagatto. Yathā hi devalokā cavanadhammānaṃ devaputtānaṃ pañca pubbanimittāni paññāyanti, mālā milāyanti, vatthāni kilissanti, sarīre dubbaṇṇiyaṃ okkamati, ubhohi kacchehi sedā muccanti, devo devāsane nābhiramati, evameva sāsanā cavanadhammānaṃ ukkaṇṭhitabhikkhūnaṃ pañca pubbanimittāni paññāyanti, saddhāpupphāni milāyanti, sīlavatthāni kilissanti, sarīre maṅkutāya ceva ayasavasena ca dubbaṇṇiyaṃ okkamati, kilesasedā muccanti, araññarukkhamūlasuññāgāresu nābhiramanti. Tassapi tāni paññāyiṃsu. Atha naṃ bhikkhū satthu santikaṃ netvā ‘‘ayaṃ, bhante, ukkaṇṭhito’’ti dassesuṃ. Satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, bhikkhu, ukkaṇṭhitosī’’ti taṃ pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘mā, bhikkhu, kilesavasiko hohi, mātugāmo nāmesa pāpo, tasmiṃ paṭibaddhacittataṃ vinodehi, sāsane abhirama, mātugāme paṭibaddhacittatāya hi tejavantopi porāṇakapaṇḍitā nittejā hutvā anayabyasanaṃ pāpuṇiṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต มลฺลรเฎฺฐ กุสาวตีราชธานิยํ โอกฺกาโก นาม ราชา ธเมฺมน สเมน รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ เชฎฺฐิกา สีลวตี นาม อคฺคมเหสี อโหสิ, สา เนว ปุตฺตํ, น ธีตรํ ลภิฯ อถสฺส นาครา เจว รฎฺฐวาสิโน จ ราชนิเวสนทฺวาเร สนฺนิปติตฺวา ‘‘รฎฺฐํ นสฺสิสฺสติ, รฎฺฐํ นสฺสิสฺสตี’’ติ อุปโกฺกสิํสุฯ ราชา สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา ‘‘มยิ รชฺชํ กาเรเนฺต อธมฺมกาโร นาม นตฺถิ, กสฺมา อุปโกฺกสถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สจฺจํ, เทว, อธมฺมกาโร นาม นตฺถิ, อปิจ วํสานุรกฺขโก ปน โว ปุโตฺต นตฺถิ, อโญฺญ รชฺชํ คเหตฺวา รฎฺฐํ นาเสสฺสติ, ตสฺมา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตุํ สมตฺถํ ปุตฺตํ ปเตฺถถา’’ติฯ ‘‘ปุตฺตํ ปเตฺถโนฺต กิํ กโรมี’’ติ? ‘‘ปฐมํ ตาว เอกํ สตฺตาหํ จุลฺลนาฎกํ ธมฺมนาฎกํ กตฺวา วิสฺสเชฺชถ, สเจ สา ปุตฺตํ ลภิสฺสติ, สาธุ, โน เจ, อถ มชฺฌิมนาฎกํ วิสฺสเชฺชถ, ตโต เชฎฺฐนาฎกํ, อวสฺสํ เอตฺตกาสุ อิตฺถีสุ เอกา ปุญฺญวตี ปุตฺตํ ลภิสฺสตี’’ติฯ ราชา เตสํ วจเนน ตถา กตฺวา สตฺต ทิวเส ยถาสุขํ อภิรมิตฺวา อาคตาคตํ ปุจฺฉิ – ‘‘กจฺจิ โว ปุโตฺต ลโทฺธ’’ติ? สพฺพา ‘‘น ลภาม, เทวา’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘น เม ปุโตฺต อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ อนตฺตมโน อโหสิฯ นาครา ปุน ตเถว อุปโกฺกสิํสุฯ ราชา ‘‘กิํ อุปโกฺกสถ, มยา ตุมฺหากํ วจเนน นาฎกานิ วิสฺสฎฺฐานิ, เอกาปิ ปุตฺตํ น ลภติ, อิทานิ กิํ กโรมา’’ติ อาหฯ ‘‘เทว, เอตา ทุสฺสีลา ภวิสฺสนฺติ นิปฺปุญฺญา, นตฺถิ เอตาสํ ปุตฺตลาภาย ปุญฺญํ, ตุเมฺห เอตาสุ ปุตฺตํ อลภนฺตีสุปิ มา อโปฺปสฺสุกฺกตํ อาปชฺชถ, อคฺคมเหสี โว สีลวตี เทวี สีลสมฺปนฺนา, ตํ วิสฺสเชฺชถ, ตสฺสา ปุโตฺต อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติฯ

    Atīte mallaraṭṭhe kusāvatīrājadhāniyaṃ okkāko nāma rājā dhammena samena rajjaṃ kāresi. Tassa soḷasannaṃ itthisahassānaṃ jeṭṭhikā sīlavatī nāma aggamahesī ahosi, sā neva puttaṃ, na dhītaraṃ labhi. Athassa nāgarā ceva raṭṭhavāsino ca rājanivesanadvāre sannipatitvā ‘‘raṭṭhaṃ nassissati, raṭṭhaṃ nassissatī’’ti upakkosiṃsu. Rājā sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā ‘‘mayi rajjaṃ kārente adhammakāro nāma natthi, kasmā upakkosathā’’ti pucchi. ‘‘Saccaṃ, deva, adhammakāro nāma natthi, apica vaṃsānurakkhako pana vo putto natthi, añño rajjaṃ gahetvā raṭṭhaṃ nāsessati, tasmā dhammena rajjaṃ kāretuṃ samatthaṃ puttaṃ patthethā’’ti. ‘‘Puttaṃ patthento kiṃ karomī’’ti? ‘‘Paṭhamaṃ tāva ekaṃ sattāhaṃ cullanāṭakaṃ dhammanāṭakaṃ katvā vissajjetha, sace sā puttaṃ labhissati, sādhu, no ce, atha majjhimanāṭakaṃ vissajjetha, tato jeṭṭhanāṭakaṃ, avassaṃ ettakāsu itthīsu ekā puññavatī puttaṃ labhissatī’’ti. Rājā tesaṃ vacanena tathā katvā satta divase yathāsukhaṃ abhiramitvā āgatāgataṃ pucchi – ‘‘kacci vo putto laddho’’ti? Sabbā ‘‘na labhāma, devā’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘na me putto uppajjissatī’’ti anattamano ahosi. Nāgarā puna tatheva upakkosiṃsu. Rājā ‘‘kiṃ upakkosatha, mayā tumhākaṃ vacanena nāṭakāni vissaṭṭhāni, ekāpi puttaṃ na labhati, idāni kiṃ karomā’’ti āha. ‘‘Deva, etā dussīlā bhavissanti nippuññā, natthi etāsaṃ puttalābhāya puññaṃ, tumhe etāsu puttaṃ alabhantīsupi mā appossukkataṃ āpajjatha, aggamahesī vo sīlavatī devī sīlasampannā, taṃ vissajjetha, tassā putto uppajjissatī’’ti.

    โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘อิโต กิร สตฺตเม ทิวเส ราชา สีลวติํ เทวิํ ธมฺมนาฎกํ กตฺวา วิสฺสเชฺชสฺสติ, ปุริสา สนฺนิปตนฺตู’’ติ เภริํ จราเปตฺวา สตฺตเม ทิวเส เทวิํ อลงฺการาเปตฺวา ราชนิเวสนา โอตาเรตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ ตสฺสา สีลเตเชน สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก ‘‘กิํ นุ โข’’ติ อาวเชฺชโนฺต เทวิยา ปุตฺตปตฺถนภาวํ ญตฺวา ‘‘เอติสฺสา มยา ปุตฺตํ ทาตุํ วฎฺฎติ, อตฺถิ นุ โข เทวโลเก เอติสฺสา อนุจฺฉวิโก ปุโตฺต’’ติ อุปธาเรโนฺต โพธิสตฺตํ อทฺทสฯ โส กิร ตทา ตาวติํสภวเน อายุํ เขเปตฺวา อุปริเทวโลเก นิพฺพตฺติตุกาโม อโหสิฯ สโกฺก ตสฺส วิมานทฺวารํ คนฺตฺวา ตํ ปโกฺกสิตฺวา, ‘‘มาริส, ตยา มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา โอกฺกากรโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สมฺปฎิจฺฉาเปตฺวา อปรมฺปิ เทวปุตฺตํ ‘‘ตฺวมฺปิ เอติสฺสา เอว ปุโตฺต ภวิสฺสสี’’ติ วตฺวา ‘‘มา โข ปนสฺสา โกจิ สีลํ ภินฺทตู’’ติ มหลฺลกพฺราหฺมณเวเสน รโญฺญ นิเวสนทฺวารํ อคมาสิฯ

    So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ‘‘ito kira sattame divase rājā sīlavatiṃ deviṃ dhammanāṭakaṃ katvā vissajjessati, purisā sannipatantū’’ti bheriṃ carāpetvā sattame divase deviṃ alaṅkārāpetvā rājanivesanā otāretvā vissajjesi. Tassā sīlatejena sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko ‘‘kiṃ nu kho’’ti āvajjento deviyā puttapatthanabhāvaṃ ñatvā ‘‘etissā mayā puttaṃ dātuṃ vaṭṭati, atthi nu kho devaloke etissā anucchaviko putto’’ti upadhārento bodhisattaṃ addasa. So kira tadā tāvatiṃsabhavane āyuṃ khepetvā uparidevaloke nibbattitukāmo ahosi. Sakko tassa vimānadvāraṃ gantvā taṃ pakkositvā, ‘‘mārisa, tayā manussalokaṃ gantvā okkākarañño aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhituṃ vaṭṭatī’’ti sampaṭicchāpetvā aparampi devaputtaṃ ‘‘tvampi etissā eva putto bhavissasī’’ti vatvā ‘‘mā kho panassā koci sīlaṃ bhindatū’’ti mahallakabrāhmaṇavesena rañño nivesanadvāraṃ agamāsi.

    มหาชโนปิ นฺหาโต อลงฺกโต ‘‘อหํ เทวิํ คณฺหิสฺสามิ, อหํ เทวิํ คณฺหิสฺสามี’’ติ ราชทฺวาเร สนฺนิปติตฺวา สกฺกญฺจ ทิสฺวา ‘‘ตฺวํ กสฺมา อาคโตสี’’ติ ปริหาสมกาสิฯ สโกฺก ‘‘กิํ มํ ตุเมฺห ครหถ, สเจปิ เม สรีรํ ชิณฺณํ, ราโค ปน น ชีรติ, สเจ สีลวติํ ลภิสฺสามิ, อาทาย นํ คมิสฺสามีติ อาคโตมฺหี’’ติ วตฺวา อตฺตโน อานุภาเวน สเพฺพสํ ปุรโตว อฎฺฐาสิฯ อโญฺญ โกจิ ตสฺส เตเชน ปุรโต ภวิตุํ นาสกฺขิฯ โส ตํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ นิเวสนา นิกฺขมนฺติเญฺญว หเตฺถ คเหตฺวา ปกฺกามิฯ อถ นํ ตตฺถ ตตฺถ ฐิตา ครหิํสุ ‘‘ปสฺสถ, โภ, มหลฺลกพฺราหฺมโณ เอวํ อุตฺตมรูปธรํ เทวิํ อาทาย คจฺฉติ, อตฺตโน ยุตฺตํ น ชานาตี’’ติฯ เทวีปิ ‘‘มหลฺลโก มํ คเหตฺวา คจฺฉตี’’ติ น อฎฺฎียติ น หรายติฯ ราชาปิ วาตปาเน ฐตฺวา ‘‘โก นุ โข เทวิํ คเหตฺวา คจฺฉตี’’ติ โอโลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา อนตฺตมโน อโหสิฯ

    Mahājanopi nhāto alaṅkato ‘‘ahaṃ deviṃ gaṇhissāmi, ahaṃ deviṃ gaṇhissāmī’’ti rājadvāre sannipatitvā sakkañca disvā ‘‘tvaṃ kasmā āgatosī’’ti parihāsamakāsi. Sakko ‘‘kiṃ maṃ tumhe garahatha, sacepi me sarīraṃ jiṇṇaṃ, rāgo pana na jīrati, sace sīlavatiṃ labhissāmi, ādāya naṃ gamissāmīti āgatomhī’’ti vatvā attano ānubhāvena sabbesaṃ puratova aṭṭhāsi. Añño koci tassa tejena purato bhavituṃ nāsakkhi. So taṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ nivesanā nikkhamantiññeva hatthe gahetvā pakkāmi. Atha naṃ tattha tattha ṭhitā garahiṃsu ‘‘passatha, bho, mahallakabrāhmaṇo evaṃ uttamarūpadharaṃ deviṃ ādāya gacchati, attano yuttaṃ na jānātī’’ti. Devīpi ‘‘mahallako maṃ gahetvā gacchatī’’ti na aṭṭīyati na harāyati. Rājāpi vātapāne ṭhatvā ‘‘ko nu kho deviṃ gahetvā gacchatī’’ti olokento taṃ disvā anattamano ahosi.

    สโกฺก ตํ อาทาย นครทฺวารโต นิกฺขมิตฺวา ทฺวารสมีเป เอกํ ฆรํ มาเปสิ วิวฎทฺวารํ ปญฺญตฺตกฎฺฐตฺถริกํฯ อถ นํ สา ‘‘อิทํ เต นิเวสน’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘อาม, ภเทฺท, ปุเพฺพ ปนาหํ เอโก, อิทานิมฺหา มยํ เทฺว ชนา, อหํ ภิกฺขาย จริตฺวา ตณฺฑุลาทีนิ อาหริสฺสามิ, ตฺวํ อิมิสฺสา กฎฺฐตฺถริกาย นิปชฺชาหี’’ติ วตฺวา ตํ มุทุนา หเตฺถน ปรามสโนฺต ทิพฺพสมฺผสฺสํ ผราเปตฺวา ตตฺถ นิปชฺชาเปสิฯ สา ทิพฺพสมฺผสฺสผรเณน สญฺญํ วิสฺสเชฺชสิฯ อถ นํ อตฺตโน อานุภาเวน ตาวติํสภวนํ เนตฺวา อลงฺกตวิมาเน ทิพฺพสยเน นิปชฺชาเปสิฯ สา สตฺตเม ทิวเส ปพุชฺฌิตฺวา ตํ สมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘น โส พฺราหฺมโณ มนุโสฺส, สโกฺก ภวิสฺสตี’’ติ อญฺญาสิฯ สโกฺกปิ ตสฺมิํ สมเย ปาริจฺฉตฺตกมูเล ทิพฺพนาฎกปริวุโต นิสิโนฺน อโหสิฯ สา สยนา อุฎฺฐาย ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ อถ นํ สโกฺก ‘‘วรํ เต, เทวิ, ททามิ, คณฺหาหี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ, เทว, เอกํ ปุตฺตํ เม เทหี’’ติฯ ‘‘เทวิ, ติฎฺฐตุ เอโก ปุโตฺต, อหํ เต เทฺว ปุเตฺต ทสฺสามิฯ เตสุ ปน เอโก ปญฺญวา ภวิสฺสติ วิรูปวา, เอโก รูปวา น ปญฺญวาฯ เตสุ กตรํ ปฐมํ อิจฺฉสี’’ติ? ‘‘ปญฺญวนฺตํ, เทวา’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา ตสฺสา กุสติณํ ทิพฺพวตฺถํ ทิพฺพจนฺทนํ ปาริจฺฉตฺตกปุปฺผํ โกกนุทญฺจ นาม วีณํ ทตฺวา ตํ อาทาย รโญฺญ สยนฆรํ ปวิสิตฺวา รญฺญา สทฺธิํ เอกสยเน นิปชฺชาเปตฺวา องฺคุฎฺฐเกน ตสฺสา นาภิํ ปรามสิฯ ตสฺมิํ ขเณ โพธิสโตฺต ตสฺสา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สโกฺกปิ สกฎฺฐานเมว คโตฯ ปณฺฑิตา เทวี คพฺภสฺส ปติฎฺฐิตภาวํ ชานิฯ

    Sakko taṃ ādāya nagaradvārato nikkhamitvā dvārasamīpe ekaṃ gharaṃ māpesi vivaṭadvāraṃ paññattakaṭṭhattharikaṃ. Atha naṃ sā ‘‘idaṃ te nivesana’’nti pucchi. So ‘‘āma, bhadde, pubbe panāhaṃ eko, idānimhā mayaṃ dve janā, ahaṃ bhikkhāya caritvā taṇḍulādīni āharissāmi, tvaṃ imissā kaṭṭhattharikāya nipajjāhī’’ti vatvā taṃ mudunā hatthena parāmasanto dibbasamphassaṃ pharāpetvā tattha nipajjāpesi. Sā dibbasamphassapharaṇena saññaṃ vissajjesi. Atha naṃ attano ānubhāvena tāvatiṃsabhavanaṃ netvā alaṅkatavimāne dibbasayane nipajjāpesi. Sā sattame divase pabujjhitvā taṃ sampattiṃ disvā ‘‘na so brāhmaṇo manusso, sakko bhavissatī’’ti aññāsi. Sakkopi tasmiṃ samaye pāricchattakamūle dibbanāṭakaparivuto nisinno ahosi. Sā sayanā uṭṭhāya tassa santikaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Atha naṃ sakko ‘‘varaṃ te, devi, dadāmi, gaṇhāhī’’ti āha. ‘‘Tena hi, deva, ekaṃ puttaṃ me dehī’’ti. ‘‘Devi, tiṭṭhatu eko putto, ahaṃ te dve putte dassāmi. Tesu pana eko paññavā bhavissati virūpavā, eko rūpavā na paññavā. Tesu kataraṃ paṭhamaṃ icchasī’’ti? ‘‘Paññavantaṃ, devā’’ti. So ‘‘sādhū’’ti vatvā tassā kusatiṇaṃ dibbavatthaṃ dibbacandanaṃ pāricchattakapupphaṃ kokanudañca nāma vīṇaṃ datvā taṃ ādāya rañño sayanagharaṃ pavisitvā raññā saddhiṃ ekasayane nipajjāpetvā aṅguṭṭhakena tassā nābhiṃ parāmasi. Tasmiṃ khaṇe bodhisatto tassā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Sakkopi sakaṭṭhānameva gato. Paṇḍitā devī gabbhassa patiṭṭhitabhāvaṃ jāni.

    อถ นํ ปพุโทฺธ ราชา ทิสฺวา, ‘‘เทวิ, เกน นีตาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สเกฺกน, เทวา’’ติฯ ‘‘อหํ ปจฺจกฺขโต เอกํ มหลฺลกพฺราหฺมณํ ตํ อาทาย คจฺฉนฺตํ อทฺทสํ, กสฺมา มํ วเญฺจสี’’ติ? ‘‘สทฺทหถ, เทว, สโกฺก มํ คเหตฺวา เทวโลกํ เนสี’’ติฯ ‘‘น สทฺทหามิ, เทวี’’ติฯ อถสฺส สา สกฺกทตฺติยํ กุสติณํ ทเสฺสตฺวา ‘‘สทฺทหถา’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘กุสติณํ นาม ยโต กุโตจิ ลพฺภตี’’ติ น สทฺทหิฯ อถสฺส สา ทิพฺพวตฺถาทีนิ ทเสฺสสิฯ ราชา ตานิ ทิสฺวา สทฺทหิตฺวา, ‘‘ภเทฺท, สโกฺก ตาว ตํ เนตุ, ปุโตฺต ปน เต ลโทฺธ’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ลโทฺธ มหาราช, คโพฺภ เม ปติฎฺฐิโต’’ติฯ โส ตุโฎฺฐ ตสฺสา คพฺภปริหารํ อทาสิ ฯ สา ทสมาสจฺจเยน ปุตฺตํ วิชายิ, ตสฺส อญฺญํ นามํ อกตฺวา กุสติณนามเมว อกํสุฯ กุสกุมารสฺส ปทสา คมนกาเล อิตโร เทวปุโตฺต ตสฺสา กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา ทสมาเส ปริปุเณฺณ ปุตฺตํ วิชายิ, ตสฺส ‘‘ชยมฺปตี’’ติ นามํ กริํสุฯ เต มหเนฺตน ยเสน วฑฺฒิํสุฯ โพธิสโตฺต ปญฺญวา อาจริยสฺส สนฺติเก กิญฺจิ สิปฺปํ อนุคฺคเหตฺวา อตฺตโนว ปญฺญาย สพฺพสิเปฺปสุ นิปฺผตฺติํ ปาปุณิฯ

    Atha naṃ pabuddho rājā disvā, ‘‘devi, kena nītāsī’’ti pucchi. ‘‘Sakkena, devā’’ti. ‘‘Ahaṃ paccakkhato ekaṃ mahallakabrāhmaṇaṃ taṃ ādāya gacchantaṃ addasaṃ, kasmā maṃ vañcesī’’ti? ‘‘Saddahatha, deva, sakko maṃ gahetvā devalokaṃ nesī’’ti. ‘‘Na saddahāmi, devī’’ti. Athassa sā sakkadattiyaṃ kusatiṇaṃ dassetvā ‘‘saddahathā’’ti āha. Rājā ‘‘kusatiṇaṃ nāma yato kutoci labbhatī’’ti na saddahi. Athassa sā dibbavatthādīni dassesi. Rājā tāni disvā saddahitvā, ‘‘bhadde, sakko tāva taṃ netu, putto pana te laddho’’ti pucchi. ‘‘Laddho mahārāja, gabbho me patiṭṭhito’’ti. So tuṭṭho tassā gabbhaparihāraṃ adāsi . Sā dasamāsaccayena puttaṃ vijāyi, tassa aññaṃ nāmaṃ akatvā kusatiṇanāmameva akaṃsu. Kusakumārassa padasā gamanakāle itaro devaputto tassā kucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā dasamāse paripuṇṇe puttaṃ vijāyi, tassa ‘‘jayampatī’’ti nāmaṃ kariṃsu. Te mahantena yasena vaḍḍhiṃsu. Bodhisatto paññavā ācariyassa santike kiñci sippaṃ anuggahetvā attanova paññāya sabbasippesu nipphattiṃ pāpuṇi.

    อถสฺส โสฬสวสฺสกาเล ราชา รชฺชํ ทาตุกาโม เทวิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, ปุตฺตสฺส เต รชฺชํ ทตฺวา นาฎกานิ อุปฎฺฐเปสฺสาม, มยํ ชีวนฺตาเยว นํ รเชฺช ปติฎฺฐิตํ ปสฺสิสฺสาม, สกลชมฺพุทีเป โข ปน ยสฺส รโญฺญ ธีตรํ อิจฺฉติ, ตมสฺส อาเนตฺวา อคฺคมเหสิํ กริสฺสาม, จิตฺตมสฺส ชานาหิ, กตรํ ราชธีตรํ โรเจสี’’ติ อาหฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘กุมารสฺส อิมํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา จิตฺตํ ชานาหี’’ติ เอกํ ปริจาริกํ เปเสสิฯ สา คนฺตฺวา ตสฺส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ น รูปวา, รูปสมฺปนฺนา ราชธีตา อานีตาปิ มํ ทิสฺวา ‘กิํ เม อิมินา วิรูเปนา’ติ ปลายิสฺสติ อิติ โน ลชฺชิตพฺพกํ ภวิสฺสติ, กิํ เม ฆราวาเสน, ธรมาเน มาตาปิตโร อุปฎฺฐหิตฺวา เตสํ อจฺจเยน นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ โส ‘‘มยฺหํ เนว รเชฺชนโตฺถ, น นาฎเกหิ, อหํ มาตาปิตูนํ อจฺจเยน ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อาหฯ สา คนฺตฺวา ตสฺส กถํ เทวิยา อาโรเจสิ, เทวีปิ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา อนตฺตมโน หุตฺวา ปุน กติปาหจฺจเยน สาสนํ เปเสสิฯ โสปิ ปฎิพาหติเยวฯ เอวํ ยาวตติยํ ปฎิพาหิตฺวา จตุตฺถวาเร จิเนฺตสิ – ‘‘มาตาปิตูหิ สทฺธิํ เอกเนฺตน ปฎิปกฺขภาโว นาม น ยุโตฺต, เอกํ อุปายํ กริสฺสามี’’ติฯ

    Athassa soḷasavassakāle rājā rajjaṃ dātukāmo deviṃ āmantetvā ‘‘bhadde, puttassa te rajjaṃ datvā nāṭakāni upaṭṭhapessāma, mayaṃ jīvantāyeva naṃ rajje patiṭṭhitaṃ passissāma, sakalajambudīpe kho pana yassa rañño dhītaraṃ icchati, tamassa ānetvā aggamahesiṃ karissāma, cittamassa jānāhi, kataraṃ rājadhītaraṃ rocesī’’ti āha. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ‘‘kumārassa imaṃ pavattiṃ ārocetvā cittaṃ jānāhī’’ti ekaṃ paricārikaṃ pesesi. Sā gantvā tassa taṃ pavattiṃ ārocesi. Taṃ sutvā mahāsatto cintesi – ‘‘ahaṃ na rūpavā, rūpasampannā rājadhītā ānītāpi maṃ disvā ‘kiṃ me iminā virūpenā’ti palāyissati iti no lajjitabbakaṃ bhavissati, kiṃ me gharāvāsena, dharamāne mātāpitaro upaṭṭhahitvā tesaṃ accayena nikkhamitvā pabbajissāmī’’ti. So ‘‘mayhaṃ neva rajjenattho, na nāṭakehi, ahaṃ mātāpitūnaṃ accayena pabbajissāmī’’ti āha. Sā gantvā tassa kathaṃ deviyā ārocesi, devīpi rañño ārocesi. Rājā anattamano hutvā puna katipāhaccayena sāsanaṃ pesesi. Sopi paṭibāhatiyeva. Evaṃ yāvatatiyaṃ paṭibāhitvā catutthavāre cintesi – ‘‘mātāpitūhi saddhiṃ ekantena paṭipakkhabhāvo nāma na yutto, ekaṃ upāyaṃ karissāmī’’ti.

    โส กมฺมารเชฎฺฐกํ ปโกฺกสาเปตฺวา พหุํ สุวณฺณํ ทตฺวา ‘‘เอกํ อิตฺถิรูปกํ กโรหี’’ติ อุโยฺยเชตฺวา ตสฺมิํ ปกฺกเนฺต อญฺญํ สุวณฺณํ คเหตฺวา สยมฺปิ อิตฺถิรูปกํ อกาสิฯ โพธิสตฺตานญฺหิ อธิปฺปาโย นาม สมิชฺฌติฯ ตํ สุวณฺณรูปกํ ชิวฺหาย อวณฺณนียโสภํ อโหสิฯ อถ นํ มหาสโตฺต โขมํ นิวาสาเปตฺวา สิริคเพฺภ ฐปาเปสิฯ โส กมฺมารเชฎฺฐเกน อาภตรูปกํ ทิสฺวา ตํ ครหิตฺวา ‘‘คจฺฉ อมฺหากํ สิริคเพฺภ ฐปิตรูปกํ อาหรา’’ติ อาหฯ โส สิริคพฺภํ ปวิโฎฺฐ ตํ ทิสฺวา ‘‘กุมาเรน สทฺธิํ อภิรมิตุํ เอกา เทวจฺฉรา, อาคตา ภวิสฺสตี’’ติ หตฺถํ ปสาเรตุํ อวิสหโนฺต นิกฺขมิตฺวา ‘‘เทว, สิริคเพฺภ อยฺยา เอกิกาว ฐิตา, อุปคนฺตุํ น สโกฺกมี’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, คจฺฉ, สุวณฺณรูปกํ เอตํ, อาหรา’’ติ ปุน เปสิโต อาหริฯ กุมาโร กมฺมาเรน กตํ รูปกํ สุวณฺณคเพฺภ นิกฺขิปาเปตฺวา อตฺตนา กตํ อลงฺการาเปตฺวา รเถ ฐปาเปตฺวา ‘‘เอวรูปํ ลภโนฺต คณฺหามี’’ติ มาตุ สนฺติกํ ปหิณิฯ

    So kammārajeṭṭhakaṃ pakkosāpetvā bahuṃ suvaṇṇaṃ datvā ‘‘ekaṃ itthirūpakaṃ karohī’’ti uyyojetvā tasmiṃ pakkante aññaṃ suvaṇṇaṃ gahetvā sayampi itthirūpakaṃ akāsi. Bodhisattānañhi adhippāyo nāma samijjhati. Taṃ suvaṇṇarūpakaṃ jivhāya avaṇṇanīyasobhaṃ ahosi. Atha naṃ mahāsatto khomaṃ nivāsāpetvā sirigabbhe ṭhapāpesi. So kammārajeṭṭhakena ābhatarūpakaṃ disvā taṃ garahitvā ‘‘gaccha amhākaṃ sirigabbhe ṭhapitarūpakaṃ āharā’’ti āha. So sirigabbhaṃ paviṭṭho taṃ disvā ‘‘kumārena saddhiṃ abhiramituṃ ekā devaccharā, āgatā bhavissatī’’ti hatthaṃ pasāretuṃ avisahanto nikkhamitvā ‘‘deva, sirigabbhe ayyā ekikāva ṭhitā, upagantuṃ na sakkomī’’ti āha. ‘‘Tāta, gaccha, suvaṇṇarūpakaṃ etaṃ, āharā’’ti puna pesito āhari. Kumāro kammārena kataṃ rūpakaṃ suvaṇṇagabbhe nikkhipāpetvā attanā kataṃ alaṅkārāpetvā rathe ṭhapāpetvā ‘‘evarūpaṃ labhanto gaṇhāmī’’ti mātu santikaṃ pahiṇi.

    สา อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘ตาตา, มยฺหํ ปุโตฺต มหาปุโญฺญ สกฺกทตฺติโย อนุจฺฉวิกํ กุมาริกํ ลภิสฺสติ, ตุเมฺห เอวรูปํ ลภนฺตา คณฺหิสฺสถ, อิมํ รูปกํ ปฎิจฺฉนฺนยาเน ฐเปตฺวา สกลชมฺพุทีปํ จรนฺตา ยสฺส รโญฺญ เอวรูปํ ธีตรํ ปสฺสถ, ตเสฺสตํ ทตฺวา ‘โอกฺกากราชา ตุเมฺหหิ สทฺธิํ อาวาหํ กริสฺสตี’ติ ทิวสํ ววตฺถเปตฺวา อาคจฺฉถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ตํ อาทาย มหเนฺตน ปริวาเรน นิกฺขมิตฺวา วิจรนฺตา ยํ ราชธานิํ ปาปุณนฺติ, ตตฺถ สายนฺหสมเย มหาชนสฺส สโมสรณฎฺฐาเน ตํ รูปกํ วตฺถปุปฺผาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา สุวณฺณสิวิกํ อาโรเปตฺวา ติตฺถมเคฺค ฐเปตฺวา อมจฺจา สยํ ปฎิกฺกมิตฺวา อาคตาคตานํ กถาสวนตฺถํ เอกมเนฺต ติฎฺฐนฺติฯ มหาชโน ตํ โอโลเกตฺวา ‘‘สุวณฺณรูปก’’นฺติ สญฺญํ อกตฺวา ‘‘อยํ มนุสฺสิตฺถี สมานาปิ เทวจฺฉรปฎิภาคา อติวิย โสภติ, กิํ นุ โข เอตฺถ ฐิตา, กุโต วา อาคตา, อมฺหากํ นคเร เอวรูปา นตฺถี’’ติ วเณฺณโนฺต ปกฺกมติฯ ตํ สุตฺวา อมจฺจา ‘‘สเจ อิธ เอวรูปา ทาริกา ภเวยฺย, ‘อสุกา ราชธีตา วิย อสุกา อมจฺจธีตา วิยา’ติ วเทยฺยุํ, อทฺธา อิธ เอวรูปา นตฺถี’’ติ ตํ อาทาย อญฺญํ นครํ คจฺฉนฺติฯ

    Sā amacce pakkosāpetvā, ‘‘tātā, mayhaṃ putto mahāpuñño sakkadattiyo anucchavikaṃ kumārikaṃ labhissati, tumhe evarūpaṃ labhantā gaṇhissatha, imaṃ rūpakaṃ paṭicchannayāne ṭhapetvā sakalajambudīpaṃ carantā yassa rañño evarūpaṃ dhītaraṃ passatha, tassetaṃ datvā ‘okkākarājā tumhehi saddhiṃ āvāhaṃ karissatī’ti divasaṃ vavatthapetvā āgacchathā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti taṃ ādāya mahantena parivārena nikkhamitvā vicarantā yaṃ rājadhāniṃ pāpuṇanti, tattha sāyanhasamaye mahājanassa samosaraṇaṭṭhāne taṃ rūpakaṃ vatthapupphālaṅkārehi alaṅkaritvā suvaṇṇasivikaṃ āropetvā titthamagge ṭhapetvā amaccā sayaṃ paṭikkamitvā āgatāgatānaṃ kathāsavanatthaṃ ekamante tiṭṭhanti. Mahājano taṃ oloketvā ‘‘suvaṇṇarūpaka’’nti saññaṃ akatvā ‘‘ayaṃ manussitthī samānāpi devaccharapaṭibhāgā ativiya sobhati, kiṃ nu kho ettha ṭhitā, kuto vā āgatā, amhākaṃ nagare evarūpā natthī’’ti vaṇṇento pakkamati. Taṃ sutvā amaccā ‘‘sace idha evarūpā dārikā bhaveyya, ‘asukā rājadhītā viya asukā amaccadhītā viyā’ti vadeyyuṃ, addhā idha evarūpā natthī’’ti taṃ ādāya aññaṃ nagaraṃ gacchanti.

    เต เอวํ วิจรนฺตา อนุปุเพฺพน มทฺทรเฎฺฐ สาคลนครํ สมฺปาปุณิํสุฯ ตตฺถ มทฺทรโญฺญ อฎฺฐ ธีตโร อุตฺตมรูปธรา เทวจฺฉรปฎิภาคา, ตาสํ สพฺพเชฎฺฐิกา ปภาวตี นามฯ ตสฺสา สรีรโต พาลสูริยสฺส ปภา วิย ปภา นิจฺฉรนฺติ, อนฺธกาเรปิ จตุหเตฺถ อโนฺตคเพฺภ ปทีปกิจฺจํ นตฺถิ, สโพฺพ คโพฺภ เอโกภาโสว โหติฯ ธาตี ปนสฺสา ขุชฺชา, สา ปภาวติํ โภเชตฺวา ตสฺสา สีสนฺหาปนตฺถํ อฎฺฐหิ วณฺณทาสีหิ อฎฺฐ ฆเฎ คาหาเปตฺวา สายนฺหสมเย อุทกตฺถาย คจฺฉนฺตี ติตฺถมเคฺค ฐิตํ ตํ รูปกํ ทิสฺวา ‘‘ปภาวตี’’ติ สญฺญาย ‘‘อยํ ทุพฺพินีตา ‘สีสํ นฺหายิสฺสามี’ติ อเมฺห อุทกตฺถาย เปเสตฺวา ปฐมตรํ อาคนฺตฺวา ติตฺถมเคฺค ฐิตา’’ติ กุชฺฌิตฺวา ‘‘อเร กุลลชฺชาปนิเก อเมฺหหิ ปุริมตรํ อาคนฺตฺวา กสฺมา อิธ ฐิตาสิ, สเจ ราชา ชานิสฺสติ, นาเสสฺสติ โน’’ติ วตฺวา หเตฺถน คณฺฑปเสฺส ปหริ, หตฺถตลํ ภิชฺชมานํ วิย ชาตํฯ ตโต ‘‘สุวณฺณรูปก’’นฺติ ญตฺวา หสมานา ตาสํ วณฺณทาสีนํ สนฺติกํ คจฺฉนฺตี ‘‘ปสฺสเถตํ เม กมฺมํ, มม ธีตาติสญฺญาย ปหารํ อทาสิํ, อยํ มม ธีตุ สนฺติเก กิมคฺฆติ, เกวลํ เม หโตฺถ ทุกฺขาปิโต’’ติ อาหฯ

    Te evaṃ vicarantā anupubbena maddaraṭṭhe sāgalanagaraṃ sampāpuṇiṃsu. Tattha maddarañño aṭṭha dhītaro uttamarūpadharā devaccharapaṭibhāgā, tāsaṃ sabbajeṭṭhikā pabhāvatī nāma. Tassā sarīrato bālasūriyassa pabhā viya pabhā niccharanti, andhakārepi catuhatthe antogabbhe padīpakiccaṃ natthi, sabbo gabbho ekobhāsova hoti. Dhātī panassā khujjā, sā pabhāvatiṃ bhojetvā tassā sīsanhāpanatthaṃ aṭṭhahi vaṇṇadāsīhi aṭṭha ghaṭe gāhāpetvā sāyanhasamaye udakatthāya gacchantī titthamagge ṭhitaṃ taṃ rūpakaṃ disvā ‘‘pabhāvatī’’ti saññāya ‘‘ayaṃ dubbinītā ‘sīsaṃ nhāyissāmī’ti amhe udakatthāya pesetvā paṭhamataraṃ āgantvā titthamagge ṭhitā’’ti kujjhitvā ‘‘are kulalajjāpanike amhehi purimataraṃ āgantvā kasmā idha ṭhitāsi, sace rājā jānissati, nāsessati no’’ti vatvā hatthena gaṇḍapasse pahari, hatthatalaṃ bhijjamānaṃ viya jātaṃ. Tato ‘‘suvaṇṇarūpaka’’nti ñatvā hasamānā tāsaṃ vaṇṇadāsīnaṃ santikaṃ gacchantī ‘‘passathetaṃ me kammaṃ, mama dhītātisaññāya pahāraṃ adāsiṃ, ayaṃ mama dhītu santike kimagghati, kevalaṃ me hattho dukkhāpito’’ti āha.

    อถ นํ ราชทูตา คเหตฺวา ‘‘ตฺวํ ‘มม ธีตา อิโต อภิรูปตรา’ติ วทนฺตี กํ นาม กเถสี’’ติ อาหํสุฯ ‘‘มทฺทรโญฺญ ธีตรํ ปภาวติํ, อิทํ รูปกํ ตสฺสา โสฬสิมฺปิ กลํ น อคฺฆตี’’ติฯ เต ตุฎฺฐมานสา ราชทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘โอกฺกากรโญฺญ ทูตา ทฺวาเร ฐิตา’’ติ ปฎิหาเรสุํฯ ราชา อาสนา วุฎฺฐาย ฐิตโกว ‘‘ปโกฺกสถา’’ติ อาหฯ เต ปวิสิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา ‘‘มหาราช, อมฺหากํ ราชา ตุมฺหากํ อาโรคฺยํ ปุจฺฉตี’’ติ วตฺวา กตสกฺการสมฺมานา ‘‘กิมตฺถํ อาคตตฺถา’’ติ ปุฎฺฐา ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ สีหสฺสโร ปุโตฺต กุสกุมาโร นาม, ราชา ตสฺส รชฺชํ ทาตุกาโม อเมฺห ตุมฺหากํ สนฺติกํ ปหิณิ, ตุมฺหากํ กิร ธีตา ปภาวตี, ตํ ตสฺส เทถ, อิมญฺจ สุวณฺณรูปกํ เทยฺยธมฺมํ คณฺหถา’’ติ ตํ รูปกํ ตสฺส อทํสุฯ โสปิ ‘‘เอวรูเปน มหาราเชน สทฺธิํ วิวาหมงฺคลํ ภวิสฺสตี’’ติ ตุฎฺฐจิโตฺต สมฺปฎิจฺฉิ ฯ อถ นํ ทูตา อาหํสุ – ‘‘มหาราช, อเมฺหหิ น สกฺกา ปปญฺจํ กาตุํ, กุมาริกาย ลทฺธภาวํ รโญฺญ อาโรเจสฺสาม, อถ นํ โส อาคนฺตฺวา อาทาย คมิสฺสตี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา เตสํ สกฺการํ กตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ เต คนฺตฺวา รโญฺญ จ เทวิยา จ อาโรเจสุํฯ ราชา มหเนฺตน ปริวาเรน กุสาวติโต นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน สาคลนครํ ปาปุณิฯ มทฺทราชา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ตํ นครํ ปเวเสตฺวา มหนฺตํ สกฺการมกาสิฯ

    Atha naṃ rājadūtā gahetvā ‘‘tvaṃ ‘mama dhītā ito abhirūpatarā’ti vadantī kaṃ nāma kathesī’’ti āhaṃsu. ‘‘Maddarañño dhītaraṃ pabhāvatiṃ, idaṃ rūpakaṃ tassā soḷasimpi kalaṃ na agghatī’’ti. Te tuṭṭhamānasā rājadvāraṃ gantvā ‘‘okkākarañño dūtā dvāre ṭhitā’’ti paṭihāresuṃ. Rājā āsanā vuṭṭhāya ṭhitakova ‘‘pakkosathā’’ti āha. Te pavisitvā rājānaṃ vanditvā ‘‘mahārāja, amhākaṃ rājā tumhākaṃ ārogyaṃ pucchatī’’ti vatvā katasakkārasammānā ‘‘kimatthaṃ āgatatthā’’ti puṭṭhā ‘‘amhākaṃ rañño sīhassaro putto kusakumāro nāma, rājā tassa rajjaṃ dātukāmo amhe tumhākaṃ santikaṃ pahiṇi, tumhākaṃ kira dhītā pabhāvatī, taṃ tassa detha, imañca suvaṇṇarūpakaṃ deyyadhammaṃ gaṇhathā’’ti taṃ rūpakaṃ tassa adaṃsu. Sopi ‘‘evarūpena mahārājena saddhiṃ vivāhamaṅgalaṃ bhavissatī’’ti tuṭṭhacitto sampaṭicchi . Atha naṃ dūtā āhaṃsu – ‘‘mahārāja, amhehi na sakkā papañcaṃ kātuṃ, kumārikāya laddhabhāvaṃ rañño ārocessāma, atha naṃ so āgantvā ādāya gamissatī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti vatvā tesaṃ sakkāraṃ katvā vissajjesi. Te gantvā rañño ca deviyā ca ārocesuṃ. Rājā mahantena parivārena kusāvatito nikkhamitvā anupubbena sāgalanagaraṃ pāpuṇi. Maddarājā paccuggantvā taṃ nagaraṃ pavesetvā mahantaṃ sakkāramakāsi.

    สีลวตี เทวี ปณฺฑิตตฺตา ‘‘โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสตี’’ติ เอกาหทฺวีหจฺจเยน มทฺทราชานํ อาห – ‘‘มหาราช, สุณิสํ ทฎฺฐุกามามฺหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตํ ปโกฺกสาเปสิฯ ปภาวตี สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา ธาติคณปริวุตา อาคนฺตฺวา สสฺสุํ วนฺทิฯ สา ตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ กุมาริกา อภิรูปา, มยฺหํ ปุโตฺต วิรูโปฯ สเจ เอสา ตํ ปสฺสิสฺสติ, เอกาหมฺปิ อวสิตฺวา ปลายิสฺสติ, อุปายํ กริสฺสามี’’ติฯ สา มทฺทราชานํ อามเนฺตตฺวา, ‘‘มหาราช, สุณิสา เม ปุตฺตสฺส อนุจฺฉวิกา, อปิจ โข ปน อมฺหากํ กุลปเวณิยา อาคตํ จาริตฺตํ อตฺถิ, สเจ อยํ ตสฺมิํ จาริเตฺต วตฺติสฺสติ, เนสฺสามิ น’’นฺติ อาหฯ ‘‘กิํ ปน โว จาริตฺต’’นฺติฯ ‘‘อมฺหากํ วํเส ยาว เอกสฺส คพฺภสฺส ปติฎฺฐานํ โหติ, ตาว ทิวา สามิกํ ปสฺสิตุํ น ลภติฯ สเจ เอสา ตถา กริสฺสติ, เนสฺสามิ น’’นฺติฯ ราชา ‘‘กิํ, อมฺม, สกฺขิสฺสสิ เอวํ วตฺติตุ’’นฺติ ธีตรํ ปุจฺฉิฯ สา ‘‘อาม ตาตา’’ติ อาหฯ ตโต โอกฺกากราชา มทฺทรโญฺญ พหุํ ธนํ ทตฺวา ตํ อาทาย ปกฺกามิฯ มทฺทราชาปิ มหเนฺตน ปริวาเรน ธีตรํ อุโยฺยเชสิฯ

    Sīlavatī devī paṇḍitattā ‘‘ko jānāti, kiṃ bhavissatī’’ti ekāhadvīhaccayena maddarājānaṃ āha – ‘‘mahārāja, suṇisaṃ daṭṭhukāmāmhī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā taṃ pakkosāpesi. Pabhāvatī sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā dhātigaṇaparivutā āgantvā sassuṃ vandi. Sā taṃ disvā cintesi – ‘‘ayaṃ kumārikā abhirūpā, mayhaṃ putto virūpo. Sace esā taṃ passissati, ekāhampi avasitvā palāyissati, upāyaṃ karissāmī’’ti. Sā maddarājānaṃ āmantetvā, ‘‘mahārāja, suṇisā me puttassa anucchavikā, apica kho pana amhākaṃ kulapaveṇiyā āgataṃ cārittaṃ atthi, sace ayaṃ tasmiṃ cāritte vattissati, nessāmi na’’nti āha. ‘‘Kiṃ pana vo cāritta’’nti. ‘‘Amhākaṃ vaṃse yāva ekassa gabbhassa patiṭṭhānaṃ hoti, tāva divā sāmikaṃ passituṃ na labhati. Sace esā tathā karissati, nessāmi na’’nti. Rājā ‘‘kiṃ, amma, sakkhissasi evaṃ vattitu’’nti dhītaraṃ pucchi. Sā ‘‘āma tātā’’ti āha. Tato okkākarājā maddarañño bahuṃ dhanaṃ datvā taṃ ādāya pakkāmi. Maddarājāpi mahantena parivārena dhītaraṃ uyyojesi.

    โอกฺกาโก กุสาวติํ คนฺตฺวา นครํ อลงฺการาเปตฺวา สพฺพพนฺธนานิ โมเจตฺวา ปุตฺตสฺส อภิเสกํ กตฺวา รชฺชํ ทตฺวา ปภาวติํ อคฺคมเหสิํ กาเรตฺวา นคเร ‘‘กุสราชสฺส อาณา’’ติ เภริํ จราเปสิฯ สกลชมฺพุทีปตเล ราชาโน เยสํ ธีตโร อตฺถิ, เต กุสรโญฺญ ธีตโร ปหิณิํสุ ฯ เยสํ ปุตฺตา อตฺถิ, เต เตน สทฺธิํ มิตฺตภาวํ อากงฺขนฺตา ปุเตฺต อุปฎฺฐาเก กตฺวา ปหิณิํสุฯ โพธิสตฺตสฺส นาฎกปริวาโร มหา อโหสิ, มหเนฺตน ยเสน รชฺชํ กาเรสิฯ โส ปภาวติํ ทิวา ปสฺสิตุํ น ลภติ, สาปิ ตํ ทิวา ปสฺสิตุํ น ลภติ, อุภินฺนํ รตฺติทสฺสนเมว โหติฯ ตตฺถ ปภาวติยา สรีรปฺปภาปิ อโพฺพหาริกา อโหสิฯ โพธิสโตฺต สิริคพฺภโต รตฺติํเยว นิกฺขมติฯ

    Okkāko kusāvatiṃ gantvā nagaraṃ alaṅkārāpetvā sabbabandhanāni mocetvā puttassa abhisekaṃ katvā rajjaṃ datvā pabhāvatiṃ aggamahesiṃ kāretvā nagare ‘‘kusarājassa āṇā’’ti bheriṃ carāpesi. Sakalajambudīpatale rājāno yesaṃ dhītaro atthi, te kusarañño dhītaro pahiṇiṃsu . Yesaṃ puttā atthi, te tena saddhiṃ mittabhāvaṃ ākaṅkhantā putte upaṭṭhāke katvā pahiṇiṃsu. Bodhisattassa nāṭakaparivāro mahā ahosi, mahantena yasena rajjaṃ kāresi. So pabhāvatiṃ divā passituṃ na labhati, sāpi taṃ divā passituṃ na labhati, ubhinnaṃ rattidassanameva hoti. Tattha pabhāvatiyā sarīrappabhāpi abbohārikā ahosi. Bodhisatto sirigabbhato rattiṃyeva nikkhamati.

    โส กติปาหจฺจเยน ปภาวติํ ทิวา ทฎฺฐุกาโม มาตุยา อาโรเจสิฯ สา ‘‘มา เต ตาต, รุจฺจิ, ยาว เอกํ ปุตฺตํ ลภสิ, ตาว อาคเมหี’’ติ, ปฎิกฺขิปิฯ โส ปุนปฺปุนํ ยาจิเยวฯ อถ นํ สา อาห – ‘‘เตน หิ หตฺถิสาลํ คนฺตฺวา หตฺถิเมณฺฑเวเสน ติฎฺฐ, อหํ ตํ ตตฺถ อาเนสฺสามิ, อถ นํ อกฺขีนิ ปูเรตฺวา โอโลเกยฺยาสิ, มา จ อตฺตานํ ชานาเปหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา หตฺถิสาลํ อคมาสิฯ อถสฺส มาตา หตฺถิสาลํ อลงฺการาเปตฺวา ปภาวติํ ‘‘เอหิ สามิกสฺส หตฺถิโน ปสฺสามา’’ติ ตตฺถ เนตฺวา ‘‘อยํ หตฺถี อสุโก นาม, อยํ หตฺถี อสุโก นามา’’ติ ตสฺสา ทเสฺสสิฯ ตตฺถ ตํ ราชา มาตุ ปจฺฉโต คจฺฉนฺติํ ทิสฺวา หตฺถิโคปกเวเสน หตฺถิฉกณปิเณฺฑน ปิฎฺฐิยํ ปหริฯ สา กุทฺธา ‘‘รโญฺญ กเถตฺวา เต หตฺถํ ฉินฺทาเปสฺสามี’’ติ วตฺวา เทวิํ อุชฺฌาเปสิฯ ราชมาตา ‘‘มา อมฺม กุชฺฌี’’ติ สุณิสํ สญฺญาเปตฺวา ปิฎฺฐิํ ปริมชฺชิฯ ปุนปิ ราชา ตํ ทฎฺฐุกาโม หุตฺวา อสฺสสาลาย อสฺสโคปกเวเสน ตํ ทิสฺวา ตเถว อสฺสฉกณปิเณฺฑน ปหริฯ ตทาปิ ตํ กุทฺธํ สสฺสุ สญฺญาเปสิฯ

    So katipāhaccayena pabhāvatiṃ divā daṭṭhukāmo mātuyā ārocesi. Sā ‘‘mā te tāta, rucci, yāva ekaṃ puttaṃ labhasi, tāva āgamehī’’ti, paṭikkhipi. So punappunaṃ yāciyeva. Atha naṃ sā āha – ‘‘tena hi hatthisālaṃ gantvā hatthimeṇḍavesena tiṭṭha, ahaṃ taṃ tattha ānessāmi, atha naṃ akkhīni pūretvā olokeyyāsi, mā ca attānaṃ jānāpehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā hatthisālaṃ agamāsi. Athassa mātā hatthisālaṃ alaṅkārāpetvā pabhāvatiṃ ‘‘ehi sāmikassa hatthino passāmā’’ti tattha netvā ‘‘ayaṃ hatthī asuko nāma, ayaṃ hatthī asuko nāmā’’ti tassā dassesi. Tattha taṃ rājā mātu pacchato gacchantiṃ disvā hatthigopakavesena hatthichakaṇapiṇḍena piṭṭhiyaṃ pahari. Sā kuddhā ‘‘rañño kathetvā te hatthaṃ chindāpessāmī’’ti vatvā deviṃ ujjhāpesi. Rājamātā ‘‘mā amma kujjhī’’ti suṇisaṃ saññāpetvā piṭṭhiṃ parimajji. Punapi rājā taṃ daṭṭhukāmo hutvā assasālāya assagopakavesena taṃ disvā tatheva assachakaṇapiṇḍena pahari. Tadāpi taṃ kuddhaṃ sassu saññāpesi.

    ปุเนกทิวเส ปภาวตี มหาสตฺตํ ปสฺสิตุกามา หุตฺวา สสฺสุยา อาโรเจตฺวา ‘‘อลํ มา เต รุจฺจี’’ติ ปฎิกฺขิตฺตาปิ ปุนปฺปุนํ ยาจิฯ อถ นํ สา อาห – ‘‘เตน หิ เสฺว มม ปุโตฺต นครํ ปทกฺขิณํ กริสฺสติ, ตฺวํ สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา ตํ ปเสฺสยฺยาสี’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ปุนทิวเส นครํ อลงฺการาเปตฺวา ชยมฺปติกุมารํ ราชเวสํ คาหาเปตฺวา หตฺถิปิเฎฺฐ นิสีทาเปตฺวา โพธิสตฺตํ ปจฺฉิมาสเน นิสีทาเปตฺวา นครํ ปทกฺขิณํ การาเปสิฯ สา ปภาวติํ อาทาย สีหปญฺชเร ฐตฺวา ‘‘ปสฺส ตว สามิกสฺส สิริโสภคฺค’’นฺติ อาหฯ สา ‘‘อนุจฺฉวิโก เม สามิโก ลโทฺธ’’ติ อตฺตมนา อโหสิฯ ตํ ทิวสํ ปน มหาสโตฺต หตฺถิเมณฺฑเวเสน ชยมฺปติสฺส ปจฺฉิมาสเน นิสีทิตฺวา ยถาธิปฺปาเยน ปภาวติํ โอโลเกโนฺต หตฺถวิการาทิวเสน จิตฺตรุจิยา เกฬิํ ทเสฺสสิฯ หตฺถิมฺหิ อติกฺกเนฺต ราชมาตา ปภาวติํ ปุจฺฉิ – ‘‘ทิโฎฺฐ เต, อมฺม, สามิโก’’ติฯ ‘‘อาม อเยฺย, ปจฺฉิมาสเน ปนสฺส นิสิโนฺน หตฺถิเมโณฺฑ อติวิย ทุพฺพินีโต, มยฺหํ หตฺถวิการาทีนิ ทเสฺสสิ, กสฺมา เอวรูปํ อลกฺขิกํ รโญฺญ ปจฺฉิมาสเน นิสีทาเปสุํ, นีหราเปหิ น’’นฺติ? ‘‘อมฺม, รโญฺญ ปจฺฉิมาสเน รกฺขา นาม อิจฺฉิตพฺพา’’ติฯ

    Punekadivase pabhāvatī mahāsattaṃ passitukāmā hutvā sassuyā ārocetvā ‘‘alaṃ mā te ruccī’’ti paṭikkhittāpi punappunaṃ yāci. Atha naṃ sā āha – ‘‘tena hi sve mama putto nagaraṃ padakkhiṇaṃ karissati, tvaṃ sīhapañjaraṃ vivaritvā taṃ passeyyāsī’’ti. Evañca pana vatvā punadivase nagaraṃ alaṅkārāpetvā jayampatikumāraṃ rājavesaṃ gāhāpetvā hatthipiṭṭhe nisīdāpetvā bodhisattaṃ pacchimāsane nisīdāpetvā nagaraṃ padakkhiṇaṃ kārāpesi. Sā pabhāvatiṃ ādāya sīhapañjare ṭhatvā ‘‘passa tava sāmikassa sirisobhagga’’nti āha. Sā ‘‘anucchaviko me sāmiko laddho’’ti attamanā ahosi. Taṃ divasaṃ pana mahāsatto hatthimeṇḍavesena jayampatissa pacchimāsane nisīditvā yathādhippāyena pabhāvatiṃ olokento hatthavikārādivasena cittaruciyā keḷiṃ dassesi. Hatthimhi atikkante rājamātā pabhāvatiṃ pucchi – ‘‘diṭṭho te, amma, sāmiko’’ti. ‘‘Āma ayye, pacchimāsane panassa nisinno hatthimeṇḍo ativiya dubbinīto, mayhaṃ hatthavikārādīni dassesi, kasmā evarūpaṃ alakkhikaṃ rañño pacchimāsane nisīdāpesuṃ, nīharāpehi na’’nti? ‘‘Amma, rañño pacchimāsane rakkhā nāma icchitabbā’’ti.

    สา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ หตฺถิเมโณฺฑ อติวิย นิพฺภโย, ราชานํ ‘ราชา’ติปิ น มญฺญติ, กิํ นุ โข เอโสว กุสราชา, อทฺธา หิ เอโส อติวิย วิรูโป เอว ภวิสฺสติ, เตเนว มํ น ทเสฺสนฺตี’’ติฯ สา ขุชฺชํ กณฺณมูเล อาห – ‘‘อมฺม, คจฺฉ ตาว ชานาหิ, กิํ ปุริมาสเน นิสินฺนโก ราชา, อุทาหุ ปจฺฉิมาสเน’’ติ? ‘‘กถํ ปนาหํ ชานิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สเจ หิ โส ราชา ภวิสฺสติ, ปฐมตรํ หตฺถิปิฎฺฐิโต โอตริสฺสติ, อิมาย สญฺญาย ชานาหี’’ติฯ สา คนฺตฺวา เอกมเนฺต ฐิตา ปฐมํ มหาสตฺตํ โอตรนฺตํ อทฺทส, ปจฺฉา ชยมฺปติกุมารํฯ มหาสโตฺตปิ อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต ขุชฺชํ ทิสฺวา ‘‘อิมินา นาม การเณน เอสา อาคตา ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อิมํ อนฺตรํ ปภาวติยา มา กเถหี’’ติ ทฬฺหํ วตฺวา อุโยฺยเชสิฯ สา คนฺตฺวา ‘‘ปุริมาสเน นิสิโนฺน ปฐมํ โอตรี’’ติ อาหฯ ปภาวตี ตสฺสา วจนํ สทฺทหิฯ

    Sā cintesi – ‘‘ayaṃ hatthimeṇḍo ativiya nibbhayo, rājānaṃ ‘rājā’tipi na maññati, kiṃ nu kho esova kusarājā, addhā hi eso ativiya virūpo eva bhavissati, teneva maṃ na dassentī’’ti. Sā khujjaṃ kaṇṇamūle āha – ‘‘amma, gaccha tāva jānāhi, kiṃ purimāsane nisinnako rājā, udāhu pacchimāsane’’ti? ‘‘Kathaṃ panāhaṃ jānissāmī’’ti. ‘‘Sace hi so rājā bhavissati, paṭhamataraṃ hatthipiṭṭhito otarissati, imāya saññāya jānāhī’’ti. Sā gantvā ekamante ṭhitā paṭhamaṃ mahāsattaṃ otarantaṃ addasa, pacchā jayampatikumāraṃ. Mahāsattopi ito cito ca olokento khujjaṃ disvā ‘‘iminā nāma kāraṇena esā āgatā bhavissatī’’ti ñatvā taṃ pakkosāpetvā ‘‘imaṃ antaraṃ pabhāvatiyā mā kathehī’’ti daḷhaṃ vatvā uyyojesi. Sā gantvā ‘‘purimāsane nisinno paṭhamaṃ otarī’’ti āha. Pabhāvatī tassā vacanaṃ saddahi.

    มหาสโตฺตปิ ปุน ทฎฺฐุกาโม หุตฺวา มาตรํ ยาจิฯ สา ปฎิกฺขิปิตุํ อสโกฺกนฺตี ‘‘เตน หิ อญฺญาตกเวเสน อุยฺยานํ คจฺฉาหี’’ติ อาหฯ โส อุยฺยานํ คนฺตฺวา โปกฺขรณิยํ คลปฺปมาณํ อุทกํ ปวิสิตฺวา ปทุมินิปเตฺตน สีสํ ฉาเทตฺวา ปุปฺผิตปทุเมน มุขํ อาวริตฺวา อฎฺฐาสิฯ มาตาปิสฺส ปภาวติํ อุยฺยานํ เนตฺวา สายนฺหสมเย ‘‘อิเม รุเกฺข ปสฺส, สกุเณ ปสฺส, มิเค ปสฺสา’’ติ ปโลภยมานา โปกฺขรณีตีรํ ปายาสิฯ สา ปญฺจวิธปทุมสญฺฉนฺนํ โปกฺขรณิํ ทิสฺวา นฺหายิตุกามา ปริจาริกาหิ สทฺธิํ โปกฺขรณิํ โอตริตฺวา กีฬนฺตี ตํ ปทุมํ ทิสฺวา วิจินิตุกามา หตฺถํ ปสาเรสิฯ อถ นํ ราชา ปทุมินิปตฺตํ อปเนตฺวา ‘‘อหํ กุสราชา’’ติ วตฺวา หเตฺถ คณฺหิฯ สา ตสฺส มุขํ ทิสฺวา ‘‘ยโกฺข มํ คณฺหี’’ติ วิรวิตฺวา ตเตฺถว วิสญฺญิตํ ปตฺตาฯ อถสฺสา ราชา หตฺถํ มุญฺจิฯ สา สญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ‘‘กุสราชา กิร มํ หเตฺถ คณฺหิ, อิมินาวาหํ หตฺถิสาลาย หตฺถิฉกณปิเณฺฑน, อสฺสสาลาย อสฺสฉกณปิเณฺฑน ปหฎา, อยเมว มํ หตฺถิสฺส ปจฺฉิมาสเน นิสีทิตฺวา อุปฺปเณฺฑสิ, กิํ เม เอวรูเปน ทุมฺมุเขน ปตินา, อิมํ ชหิตฺวา อหํ ชีวนฺตี อญฺญํ ปติํ ลภิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อตฺตนา สทฺธิํ อาคเต อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘มม ยานวาหนํ สชฺชํ กโรถ, อเชฺชว คมิสฺสามี’’ติ อาหํ ฯ เต รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ คนฺตุํ น ลภิสฺสติ, หทยมสฺสา ผลิสฺสติ, คจฺฉตุ ปุน ตํ อตฺตโน พเลน อาเนสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อถสฺสา คมนํ อนุชานิฯ สา ปิตุนครเมว อคมาสิฯ

    Mahāsattopi puna daṭṭhukāmo hutvā mātaraṃ yāci. Sā paṭikkhipituṃ asakkontī ‘‘tena hi aññātakavesena uyyānaṃ gacchāhī’’ti āha. So uyyānaṃ gantvā pokkharaṇiyaṃ galappamāṇaṃ udakaṃ pavisitvā paduminipattena sīsaṃ chādetvā pupphitapadumena mukhaṃ āvaritvā aṭṭhāsi. Mātāpissa pabhāvatiṃ uyyānaṃ netvā sāyanhasamaye ‘‘ime rukkhe passa, sakuṇe passa, mige passā’’ti palobhayamānā pokkharaṇītīraṃ pāyāsi. Sā pañcavidhapadumasañchannaṃ pokkharaṇiṃ disvā nhāyitukāmā paricārikāhi saddhiṃ pokkharaṇiṃ otaritvā kīḷantī taṃ padumaṃ disvā vicinitukāmā hatthaṃ pasāresi. Atha naṃ rājā paduminipattaṃ apanetvā ‘‘ahaṃ kusarājā’’ti vatvā hatthe gaṇhi. Sā tassa mukhaṃ disvā ‘‘yakkho maṃ gaṇhī’’ti viravitvā tattheva visaññitaṃ pattā. Athassā rājā hatthaṃ muñci. Sā saññaṃ paṭilabhitvā ‘‘kusarājā kira maṃ hatthe gaṇhi, imināvāhaṃ hatthisālāya hatthichakaṇapiṇḍena, assasālāya assachakaṇapiṇḍena pahaṭā, ayameva maṃ hatthissa pacchimāsane nisīditvā uppaṇḍesi, kiṃ me evarūpena dummukhena patinā, imaṃ jahitvā ahaṃ jīvantī aññaṃ patiṃ labhissāmī’’ti cintetvā attanā saddhiṃ āgate amacce pakkosāpetvā ‘‘mama yānavāhanaṃ sajjaṃ karotha, ajjeva gamissāmī’’ti āhaṃ . Te rañño ārocesuṃ. Rājā cintesi – ‘‘sace gantuṃ na labhissati, hadayamassā phalissati, gacchatu puna taṃ attano balena ānessāmī’’ti cintetvā athassā gamanaṃ anujāni. Sā pitunagarameva agamāsi.

    มหาสโตฺตปิ อุยฺยานโต นครํ ปวิสิตฺวา อลงฺกตปาสาทํ อภิรุหิฯ โพธิสตฺตญฺหิ สา ปุพฺพปตฺถนาวเสน น อิจฺฉิ, โสปิ ปุพฺพกมฺมวเสเนว วิรูโป อโหสิฯ อตีเต กิร พาราณสิยํ ทฺวารคาเม อุปริมวีถิยา จ เหฎฺฐิมวีถิยา จ เทฺว กุลานิ วสิํสุฯ เอกสฺส กุลสฺส เทฺว ปุตฺตา อเหสุํฯ เอกสฺส เอกาว ธีตา อโหสิฯ ทฺวีสุ ปุเตฺตสุ โพธิสโตฺต กนิโฎฺฐฯ ตํ กุมาริกํ เชฎฺฐกสฺส อทํสุฯ กนิโฎฺฐ อทารภรโณ ภาตุ สนฺติเกเยว วสิฯ อเถกทิวสํ ตสฺมิํ ฆเร อติรสกปูเว ปจิํสุฯ โพธิสโตฺต อรญฺญํ คโต โหติฯ ตสฺส ปูวํ ฐเปตฺวา อวเสเส ภาเชตฺวา ขาทิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ ปเจฺจกพุโทฺธ ภิกฺขาย ฆรทฺวารํ อคมาสิฯ โพธิสตฺตสฺส ภาตุชายา ‘‘จูฬปติโน อญฺญํ ปูวํ ปจิสฺสามี’’ติ ตํ คเหตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส อทาสิฯ โสปิ ตํ ขณเญฺญว อรญฺญโต อาคจฺฉิฯ อถ นํ สา อาห – ‘‘สามิ, จิตฺตํ ปสาเทหิ, ตว โกฎฺฐาโส ปเจฺจกพุทฺธสฺส ทิโนฺน’’ติฯ โส ‘‘ตว โกฎฺฐาสํ ขาทิตฺวา มม โกฎฺฐาสํ เทสิ, อหํ กิํ ขาทิสฺสามี’’ติ กุโทฺธ ปเจฺจกพุทฺธํ อนุคนฺตฺวา ปตฺตโต ปูวํ คณฺหิฯ สา มาตุ ฆรํ คนฺตฺวา นววิลีนํ จมฺปกปุปฺผวณฺณํ สปฺปิํ อาหริตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปตฺตํ ปูเรสิ, ตํ โอภาสํ มุญฺจิฯ สา ตํ ทิสฺวา ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิ – ‘‘ภเนฺต, อิมินา ทานพเลน นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม สรีรํ โอภาสชาตํ โหตุ, อุตฺตมรูปธรา จ ภเวยฺยํ, อิมินา จ เม อสปฺปุริเสน สทฺธิํ เอกฎฺฐาเน วาโส มา อโหสี’’ติฯ อิติ สา อิมิสฺสา ปุพฺพปตฺถนาย วเสน ตํ น อิจฺฉิฯ โพธิสโตฺตปิ ตํ ปูว ตสฺมิํ สปฺปิปเตฺต โอสีทาเปตฺวา ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิ – ‘‘ภเนฺต, อิมํ โยชนสเต วสนฺติมฺปิ อาเนตฺวา มม ปาทปริจาริกํ กาตุํ สมโตฺถ ภเวยฺย’’นฺติฯ ตตฺถ ยํ โส กุโทฺธ คนฺตฺวา ปูวํ คณฺหิ, ตสฺส ปุพฺพกมฺมสฺส วเสน วิรูโป อโหสิ, ปุพฺพปตฺถนาย สา จ ตํ น อิจฺฉีติฯ

    Mahāsattopi uyyānato nagaraṃ pavisitvā alaṅkatapāsādaṃ abhiruhi. Bodhisattañhi sā pubbapatthanāvasena na icchi, sopi pubbakammavaseneva virūpo ahosi. Atīte kira bārāṇasiyaṃ dvāragāme uparimavīthiyā ca heṭṭhimavīthiyā ca dve kulāni vasiṃsu. Ekassa kulassa dve puttā ahesuṃ. Ekassa ekāva dhītā ahosi. Dvīsu puttesu bodhisatto kaniṭṭho. Taṃ kumārikaṃ jeṭṭhakassa adaṃsu. Kaniṭṭho adārabharaṇo bhātu santikeyeva vasi. Athekadivasaṃ tasmiṃ ghare atirasakapūve paciṃsu. Bodhisatto araññaṃ gato hoti. Tassa pūvaṃ ṭhapetvā avasese bhājetvā khādiṃsu. Tasmiṃ khaṇe paccekabuddho bhikkhāya gharadvāraṃ agamāsi. Bodhisattassa bhātujāyā ‘‘cūḷapatino aññaṃ pūvaṃ pacissāmī’’ti taṃ gahetvā paccekabuddhassa adāsi. Sopi taṃ khaṇaññeva araññato āgacchi. Atha naṃ sā āha – ‘‘sāmi, cittaṃ pasādehi, tava koṭṭhāso paccekabuddhassa dinno’’ti. So ‘‘tava koṭṭhāsaṃ khāditvā mama koṭṭhāsaṃ desi, ahaṃ kiṃ khādissāmī’’ti kuddho paccekabuddhaṃ anugantvā pattato pūvaṃ gaṇhi. Sā mātu gharaṃ gantvā navavilīnaṃ campakapupphavaṇṇaṃ sappiṃ āharitvā paccekabuddhassa pattaṃ pūresi, taṃ obhāsaṃ muñci. Sā taṃ disvā patthanaṃ paṭṭhapesi – ‘‘bhante, iminā dānabalena nibbattanibbattaṭṭhāne me sarīraṃ obhāsajātaṃ hotu, uttamarūpadharā ca bhaveyyaṃ, iminā ca me asappurisena saddhiṃ ekaṭṭhāne vāso mā ahosī’’ti. Iti sā imissā pubbapatthanāya vasena taṃ na icchi. Bodhisattopi taṃ pūva tasmiṃ sappipatte osīdāpetvā patthanaṃ paṭṭhapesi – ‘‘bhante, imaṃ yojanasate vasantimpi ānetvā mama pādaparicārikaṃ kātuṃ samattho bhaveyya’’nti. Tattha yaṃ so kuddho gantvā pūvaṃ gaṇhi, tassa pubbakammassa vasena virūpo ahosi, pubbapatthanāya sā ca taṃ na icchīti.

    โส ปภาวติยา คตาย โสกปฺปโตฺต อโหสิ, นานากาเรหิ ปริจารยมานาปิ นํ เสสิตฺถิโย โอโลกาเปตุมฺปิ นาสกฺขิํสุ, , ปภาวติรหิตมสฺส สกลมฺปิ นิเวสนํ ตุจฺฉํ วิย ขายิฯ โส ‘‘อิทานิ สาคลนครํ ปตฺตา ภวิสฺสตี’’ติ ปจฺจูสสมเย มาตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘อมฺม, อหํ ปภาวติํ อาเนสฺสามิ, ตุเมฺห รชฺชํ อนุสาสถา’’ติ วทโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    So pabhāvatiyā gatāya sokappatto ahosi, nānākārehi paricārayamānāpi naṃ sesitthiyo olokāpetumpi nāsakkhiṃsu, , pabhāvatirahitamassa sakalampi nivesanaṃ tucchaṃ viya khāyi. So ‘‘idāni sāgalanagaraṃ pattā bhavissatī’’ti paccūsasamaye mātu santikaṃ gantvā, ‘‘amma, ahaṃ pabhāvatiṃ ānessāmi, tumhe rajjaṃ anusāsathā’’ti vadanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    .

    1.

    ‘‘อิทํ เต รฎฺฐํ สธนํ สโยคฺคํ, สกายุรํ สพฺพกามูปปนฺนํ;

    ‘‘Idaṃ te raṭṭhaṃ sadhanaṃ sayoggaṃ, sakāyuraṃ sabbakāmūpapannaṃ;

    อิทํ เต รชฺชํ อนุสาส อมฺม, คจฺฉามหํ ยตฺถ ปิยา ปภาวตี’’ติฯ

    Idaṃ te rajjaṃ anusāsa amma, gacchāmahaṃ yattha piyā pabhāvatī’’ti.

    ตตฺถ สโยคฺคนฺติ หตฺถิโยคฺคาทิสหิตํฯ สกายุรนฺติ สปญฺจราชกกุธภณฺฑํฯ อนุสาส, อมฺมาติ โส กิร ปุริสสฺส รชฺชํ ทตฺวา ปุน คณฺหนํ นาม น ยุตฺตนฺติ ปิตุ วา ภาตุ วา อนิยฺยาเทตฺวา มาตุ นิยฺยาเทโนฺต เอวมาหฯ

    Tattha sayogganti hatthiyoggādisahitaṃ. Sakāyuranti sapañcarājakakudhabhaṇḍaṃ. Anusāsa, ammāti so kira purisassa rajjaṃ datvā puna gaṇhanaṃ nāma na yuttanti pitu vā bhātu vā aniyyādetvā mātu niyyādento evamāha.

    สา ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘เตน หิ, ตาต, อปฺปมโตฺต ภเวยฺยาสิ, มาตุคาโม นาม อปริสุทฺธหทโย’’ติ วตฺวา นานคฺครสโภชนสฺส สุวณฺณกโรฎิํ ปูเรตฺวา ‘‘อิทํ อนฺตรามเคฺค ภุเญฺชยฺยาสี’’ติ วตฺวา อุโยฺยเชสิฯ โส ตํ อาทาย มาตรํ วนฺทิตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ‘‘ชีวโนฺต ปุน ตุเมฺห ปสฺสิสฺสามี’’ติ วตฺวา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา ปญฺจาวุธํ สนฺนยฺหิตฺวา ภตฺตกโรฎิยา สทฺธิํ กหาปณสหสฺสํ ปสิพฺพเก กตฺวา โกกนุทญฺจ วีณํ อาทาย นครา นิกฺขมิตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิตฺวา มหพฺพโล มหาถาโม ยาว มชฺฌนฺหิกา ปณฺณาส โยชนานิ คนฺตฺวา ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา เสสทิวสภาเคน ปุน ปณฺณาส โยชนานิ คนฺตฺวา เอกาเหเนว โยชนสติกํ มคฺคํ เขเปตฺวา สายนฺหสมเย นฺหตฺวา สาคลนครํ ปาวิสิฯ ตสฺมิํ ปวิฎฺฐมเตฺตเยว ตสฺส เตเชน ปภาวตี สยนปิเฎฺฐ สณฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตี โอตริตฺวา ภูมิยํ นิปชฺชิฯ โพธิสตฺตํ กิลนฺตินฺทฺริยํ วีถิยา คจฺฉนฺตํ อญฺญตรา อิตฺถี ทิสฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา นิสีทาเปตฺวา ปาเท โธวาเปตฺวา สยนํ ทาเปสิฯ โส กิลนฺตกาโย นิปชฺชิตฺวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ

    Sā tassa kathaṃ sutvā ‘‘tena hi, tāta, appamatto bhaveyyāsi, mātugāmo nāma aparisuddhahadayo’’ti vatvā nānaggarasabhojanassa suvaṇṇakaroṭiṃ pūretvā ‘‘idaṃ antarāmagge bhuñjeyyāsī’’ti vatvā uyyojesi. So taṃ ādāya mātaraṃ vanditvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā ‘‘jīvanto puna tumhe passissāmī’’ti vatvā sirigabbhaṃ pavisitvā pañcāvudhaṃ sannayhitvā bhattakaroṭiyā saddhiṃ kahāpaṇasahassaṃ pasibbake katvā kokanudañca vīṇaṃ ādāya nagarā nikkhamitvā maggaṃ paṭipajjitvā mahabbalo mahāthāmo yāva majjhanhikā paṇṇāsa yojanāni gantvā bhattaṃ bhuñjitvā sesadivasabhāgena puna paṇṇāsa yojanāni gantvā ekāheneva yojanasatikaṃ maggaṃ khepetvā sāyanhasamaye nhatvā sāgalanagaraṃ pāvisi. Tasmiṃ paviṭṭhamatteyeva tassa tejena pabhāvatī sayanapiṭṭhe saṇṭhātuṃ asakkontī otaritvā bhūmiyaṃ nipajji. Bodhisattaṃ kilantindriyaṃ vīthiyā gacchantaṃ aññatarā itthī disvā pakkosāpetvā nisīdāpetvā pāde dhovāpetvā sayanaṃ dāpesi. So kilantakāyo nipajjitvā niddaṃ okkami.

    อถ สา ตสฺมิํ นิทฺทมุปคเต ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา ตํ ปโพเธตฺวา ภตฺตํ โภเชสิฯ โส ตุโฎฺฐ ตสฺสา สทฺธิํ ภตฺตกโรฎิยา กหาปณสหสฺสํ อทาสิฯ โส ปญฺจาวุธํ ตเตฺถว ฐเปตฺวา ‘‘คนฺตพฺพฎฺฐานํ เม อตฺถี’’ติ วตฺวา วีณํ อาทาย หตฺถิสาลํ คนฺตฺวา ‘‘อชฺช เม อิธ วสิตุํ เทถ, คนฺธพฺพํ โว กริสฺสามี’’ติ วตฺวา หตฺถิโคปเกหิ อนุญฺญาโต เอกมเนฺต นิปชฺชิตฺวา โถกํ นิทฺทายิตฺวา ปฎิปฺปสฺสทฺธทรโถ อุฎฺฐาย วีณํ มุญฺจิตฺวา ‘‘สาคลนครวาสิโน อิมํ สทฺทํ สุณนฺตู’’ติ วีณํ วาเทโนฺต คายิฯ ปภาวตี ภูมิยํ นิปนฺนา ตํ สทฺทํ สุตฺวาว ‘‘อยํ น อญฺญสฺส วีณาสโทฺท, นิสฺสํสยํ กุสราชา มมตฺถาย อาคโต’’ติ อญฺญาสิฯ มทฺทราชาปิ ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘อติวิย มธุรํ วาเทติ, เสฺว เอตํ ปโกฺกสาเปตฺวา มม คนฺธพฺพํ กาเรสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ

    Atha sā tasmiṃ niddamupagate bhattaṃ sampādetvā taṃ pabodhetvā bhattaṃ bhojesi. So tuṭṭho tassā saddhiṃ bhattakaroṭiyā kahāpaṇasahassaṃ adāsi. So pañcāvudhaṃ tattheva ṭhapetvā ‘‘gantabbaṭṭhānaṃ me atthī’’ti vatvā vīṇaṃ ādāya hatthisālaṃ gantvā ‘‘ajja me idha vasituṃ detha, gandhabbaṃ vo karissāmī’’ti vatvā hatthigopakehi anuññāto ekamante nipajjitvā thokaṃ niddāyitvā paṭippassaddhadaratho uṭṭhāya vīṇaṃ muñcitvā ‘‘sāgalanagaravāsino imaṃ saddaṃ suṇantū’’ti vīṇaṃ vādento gāyi. Pabhāvatī bhūmiyaṃ nipannā taṃ saddaṃ sutvāva ‘‘ayaṃ na aññassa vīṇāsaddo, nissaṃsayaṃ kusarājā mamatthāya āgato’’ti aññāsi. Maddarājāpi taṃ saddaṃ sutvā ‘‘ativiya madhuraṃ vādeti, sve etaṃ pakkosāpetvā mama gandhabbaṃ kāressāmī’’ti cintesi.

    โพธิสโตฺต ‘‘น สกฺกา อิธ วสมาเนน ปภาวตี ทฎฺฐุํ, อฎฺฐานเมต’’นฺติ ปาโตว นิกฺขมิตฺวา สายํ ภุตฺตเคเหเยว ปาตราสํ ภุญฺชิตฺวา วีณํ ฐเปตฺวา ราชกุมฺภการสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตสฺส อเนฺตวาสิกภาวํ อุปคนฺตฺวา เอกทิวเสเนว ฆรํ มตฺติกาย ปูเรตฺวา ‘‘ภาชนานิ กโรมิ อาจริยา’’ติ วตฺวา, ‘‘อาม, กาโรหี’’ติ วุเตฺต เอกํ มตฺติกาปิณฺฑํ จเกฺก ฐเปตฺวา จกฺกํ อาวิญฺฉิ, สกิํ อาวิทฺธเมว ยาว มชฺฌนฺหิกาติกฺกมา ภมิเยวฯ โส นานาวณฺณานิ ขุทฺทกมหนฺตานิ ภาชนานิ กตฺวา ปภาวติยา อตฺถาย ภาชนํ กโรโนฺต นานารูปานิ สมุฎฺฐาเปสิฯ โพธิสตฺตานญฺหิ อธิปฺปาโย นาม สมิชฺฌติ, ‘‘ตานิ รูปานิ ปภาวตีเยว ปสฺสตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ โส สพฺพภาชนานิ สุกฺขาเปตฺวา ปจิตฺวา เคหํ ปูเรสิฯ กุมฺภกาโร นานาภาชนานิ คเหตฺวา ราชกุลํ อคมาสิฯ ราชา ทิสฺวา ‘‘เกนิมานิ กตานี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยา, เทวา’’ติฯ ‘‘อหํ ตยา กตานิ ชานามิ, กเถหิ, เกน กตานี’’ติ? ‘‘อเนฺตวาสิเกน เม เทวา’’ติฯ ‘‘น เต โส อเนฺตวาสี, อาจริโย เต โส, ตฺวํ ตสฺส สนฺติเก สิปฺปํ สิกฺข, อิโต ปฎฺฐาย จ โส มม ธีตานํ ภาชนานิ กโรตุ, อิมญฺจสฺส สหสฺสํ เทหี’’ติ สหสฺสํ ทาเปตฺวา ‘‘นานาวณฺณานิ อิมานิ ขุทฺทกภาชนานิ มม ธีตานํ เทหี’’ติ อาหฯ

    Bodhisatto ‘‘na sakkā idha vasamānena pabhāvatī daṭṭhuṃ, aṭṭhānameta’’nti pātova nikkhamitvā sāyaṃ bhuttageheyeva pātarāsaṃ bhuñjitvā vīṇaṃ ṭhapetvā rājakumbhakārassa santikaṃ gantvā tassa antevāsikabhāvaṃ upagantvā ekadivaseneva gharaṃ mattikāya pūretvā ‘‘bhājanāni karomi ācariyā’’ti vatvā, ‘‘āma, kārohī’’ti vutte ekaṃ mattikāpiṇḍaṃ cakke ṭhapetvā cakkaṃ āviñchi, sakiṃ āviddhameva yāva majjhanhikātikkamā bhamiyeva. So nānāvaṇṇāni khuddakamahantāni bhājanāni katvā pabhāvatiyā atthāya bhājanaṃ karonto nānārūpāni samuṭṭhāpesi. Bodhisattānañhi adhippāyo nāma samijjhati, ‘‘tāni rūpāni pabhāvatīyeva passatū’’ti adhiṭṭhāsi. So sabbabhājanāni sukkhāpetvā pacitvā gehaṃ pūresi. Kumbhakāro nānābhājanāni gahetvā rājakulaṃ agamāsi. Rājā disvā ‘‘kenimāni katānī’’ti pucchi. ‘‘Mayā, devā’’ti. ‘‘Ahaṃ tayā katāni jānāmi, kathehi, kena katānī’’ti? ‘‘Antevāsikena me devā’’ti. ‘‘Na te so antevāsī, ācariyo te so, tvaṃ tassa santike sippaṃ sikkha, ito paṭṭhāya ca so mama dhītānaṃ bhājanāni karotu, imañcassa sahassaṃ dehī’’ti sahassaṃ dāpetvā ‘‘nānāvaṇṇāni imāni khuddakabhājanāni mama dhītānaṃ dehī’’ti āha.

    โส ตานิ ตาสํ สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘อิมานิ โว กีฬนตฺถาย ขุทฺทกภาชนานี’’ติ อาหฯ ตา สพฺพา อาคมิํสุฯ กุมฺภกาโร มหาสเตฺตน ปภาวติยา อตฺถาย กตภาชนเมว ตสฺสา อทาสิฯ สา จ ภาชนํ คเหตฺวา ตตฺถ อตฺตโน จ มหาสตฺตสฺส จ ขุชฺชาย จ รูปํ ปสฺสิตฺวา ‘‘อิทํ น อเญฺญน กตํ, กุสราเชเนว กต’’นฺติ ญตฺวา กุชฺฌิตฺวา ภูมิยํ ขิปิตฺวา ‘‘อิมินา มยฺหํ อโตฺถ นตฺถิ, อิจฺฉนฺตานํ เทหี’’ติ อาหฯ อถสฺสา ภคินิโย กุทฺธภาวํ ญตฺวา ‘‘ขุทฺทกภาชนํ กุสรญฺญา กตนฺติ มญฺญสิ, อิทํ เตน น กตํ, กุมฺภกาเรเนว กตํ, คณฺหาหิ น’’นฺติ อวหสิํสุฯ สา เตน กตภาวํ ตสฺส จ อาคตภาวํ ตาสํ น กเถสิฯ กุมฺภกาโร สหสฺสํ โพธิสตฺตสฺส ทตฺวา ‘‘ตาต, ราชา เต ตุโฎฺฐ, อิโต กิร ปฎฺฐาย ราชธีตานํ ภาชนานิ กเรยฺยาสิ, อหํ ตาสํ หริสฺสามี’’ติ อาหฯ

    So tāni tāsaṃ santikaṃ netvā ‘‘imāni vo kīḷanatthāya khuddakabhājanānī’’ti āha. Tā sabbā āgamiṃsu. Kumbhakāro mahāsattena pabhāvatiyā atthāya katabhājanameva tassā adāsi. Sā ca bhājanaṃ gahetvā tattha attano ca mahāsattassa ca khujjāya ca rūpaṃ passitvā ‘‘idaṃ na aññena kataṃ, kusarājeneva kata’’nti ñatvā kujjhitvā bhūmiyaṃ khipitvā ‘‘iminā mayhaṃ attho natthi, icchantānaṃ dehī’’ti āha. Athassā bhaginiyo kuddhabhāvaṃ ñatvā ‘‘khuddakabhājanaṃ kusaraññā katanti maññasi, idaṃ tena na kataṃ, kumbhakāreneva kataṃ, gaṇhāhi na’’nti avahasiṃsu. Sā tena katabhāvaṃ tassa ca āgatabhāvaṃ tāsaṃ na kathesi. Kumbhakāro sahassaṃ bodhisattassa datvā ‘‘tāta, rājā te tuṭṭho, ito kira paṭṭhāya rājadhītānaṃ bhājanāni kareyyāsi, ahaṃ tāsaṃ harissāmī’’ti āha.

    โส ‘‘อิธาปิ วสเนฺตน น สกฺกา ปภาวตี ทฎฺฐุ’’นฺติ ตํ สหสฺสํ ตเสฺสว ทตฺวา ราชุปฎฺฐากสฺส นฬการสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตสฺส อเนฺตวาสิโก หุตฺวา ปภาวติยา อตฺถาย ตาลวณฺฎํ กตฺวา ตเตฺถว เสตจฺฉตฺตญฺจ อาปานภูมิญฺจ วตฺถํ คเหตฺวา ฐิตํ ปภาวติญฺจาติ นานารูปานิ ทเสฺสสิฯ นฬกาโร ตญฺจ อญฺญญฺจ เตน กตภณฺฑกํ อาทาย ราชกุลํ อคมาสิฯ ราชา ทิสฺวา ‘‘เกนิมานิ กตานี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ปุริมนเยเนว สหสฺสํ ทตฺวา ‘‘อิมานิ นฬการภณฺฑานิ มม ธีตานํ เทหี’’ติ อาหฯ โสปิ โพธิสเตฺตน ปภาวติยา อตฺถาย กตํ ตาลวณฺฎํ ตสฺสาเยว อทาสิฯ ตตฺรปิ รูปานิ อโญฺญ ชโน น ปสฺสติ, ปภาวตี ปน ทิสฺวา กุสรญฺญา กตภาวํ ญตฺวา ‘‘คณฺหิตุกามา คณฺหนฺตู’’ติ กุทฺธา ภูมิยํ ขิปิ ฯ อถ นํ เสสา อวหสิํสุฯ นฬกาโร สหสฺสํ อาหริตฺวา โพธิสตฺตสฺส ทตฺวา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ

    So ‘‘idhāpi vasantena na sakkā pabhāvatī daṭṭhu’’nti taṃ sahassaṃ tasseva datvā rājupaṭṭhākassa naḷakārassa santikaṃ gantvā tassa antevāsiko hutvā pabhāvatiyā atthāya tālavaṇṭaṃ katvā tattheva setacchattañca āpānabhūmiñca vatthaṃ gahetvā ṭhitaṃ pabhāvatiñcāti nānārūpāni dassesi. Naḷakāro tañca aññañca tena katabhaṇḍakaṃ ādāya rājakulaṃ agamāsi. Rājā disvā ‘‘kenimāni katānī’’ti pucchitvā purimanayeneva sahassaṃ datvā ‘‘imāni naḷakārabhaṇḍāni mama dhītānaṃ dehī’’ti āha. Sopi bodhisattena pabhāvatiyā atthāya kataṃ tālavaṇṭaṃ tassāyeva adāsi. Tatrapi rūpāni añño jano na passati, pabhāvatī pana disvā kusaraññā katabhāvaṃ ñatvā ‘‘gaṇhitukāmā gaṇhantū’’ti kuddhā bhūmiyaṃ khipi . Atha naṃ sesā avahasiṃsu. Naḷakāro sahassaṃ āharitvā bodhisattassa datvā taṃ pavattiṃ ārocesi.

    โส ‘‘อิทมฺปิ มยฺหํ อวสนฎฺฐาน’’นฺติ สหสฺสํ ตเสฺสว ทตฺวา ราชมาลาการสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อเนฺตวาสิกภาวํ อุปคนฺตฺวา นานาวิธํ มาลาวิกติํ คนฺถิตฺวา ปภาวติยา อตฺถาย นานารูปวิจิตฺรํ เอกํ จุมฺพฎกํ อกาสิฯ มาลากาโร ตํ สพฺพํ อาทาย ราชกุลํ อคมาสิฯ ราชา ทิสฺวา ‘‘เกนิมานิ คนฺถิตานี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยา, เทวา’’ติฯ ‘‘อหํ ตยา คนฺถิตานิ ชานามิ, กเถหิ, เกน คนฺถิตานี’’ติ? ‘‘อเนฺตวาสิเกน เม , เทวา’’ติฯ ‘‘น โส อเนฺตวาสี, อาจริโย เต โส, ตฺวํ ตสฺส สนฺติเก สิปฺปํ สิกฺข, อิโต ปฎฺฐาย จ โส มม ธีตานํ ปุปฺผานิ คนฺถตุ, อิมญฺจสฺส สหสฺสํ เทหี’’ติ สหสฺสํ ทตฺวา ‘‘อิมานิ ปุปฺผานิ มม ธีตานํ เทหี’’ติ อาหฯ โสปิ โพธิสเตฺตน ปภาวติยา อตฺถาย กตํ จุมฺพฎกํ ตสฺสาเยว อทาสิฯ สา ตตฺถ อตฺตโน จ รโญฺญ จ รูเปหิ สทฺธิํ นานารูปานิ ทิสฺวา เตน กตภาวํ ญตฺวา กุชฺฌิตฺวา ภูมิยํ ขิปิฯ เสสา ภคินิโย ตํ ตเถว อวหสิํสุฯ มาลากาโรปิ สหสฺสํ อาหริตฺวา โพธิสตฺตสฺส ทตฺวา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ

    So ‘‘idampi mayhaṃ avasanaṭṭhāna’’nti sahassaṃ tasseva datvā rājamālākārassa santikaṃ gantvā antevāsikabhāvaṃ upagantvā nānāvidhaṃ mālāvikatiṃ ganthitvā pabhāvatiyā atthāya nānārūpavicitraṃ ekaṃ cumbaṭakaṃ akāsi. Mālākāro taṃ sabbaṃ ādāya rājakulaṃ agamāsi. Rājā disvā ‘‘kenimāni ganthitānī’’ti pucchi. ‘‘Mayā, devā’’ti. ‘‘Ahaṃ tayā ganthitāni jānāmi, kathehi, kena ganthitānī’’ti? ‘‘Antevāsikena me , devā’’ti. ‘‘Na so antevāsī, ācariyo te so, tvaṃ tassa santike sippaṃ sikkha, ito paṭṭhāya ca so mama dhītānaṃ pupphāni ganthatu, imañcassa sahassaṃ dehī’’ti sahassaṃ datvā ‘‘imāni pupphāni mama dhītānaṃ dehī’’ti āha. Sopi bodhisattena pabhāvatiyā atthāya kataṃ cumbaṭakaṃ tassāyeva adāsi. Sā tattha attano ca rañño ca rūpehi saddhiṃ nānārūpāni disvā tena katabhāvaṃ ñatvā kujjhitvā bhūmiyaṃ khipi. Sesā bhaginiyo taṃ tatheva avahasiṃsu. Mālākāropi sahassaṃ āharitvā bodhisattassa datvā taṃ pavattiṃ ārocesi.

    โส ‘‘อิทมฺปิ มยฺหํ อวสนฎฺฐาน’’นฺติ สหสฺสํ ตเสฺสว ทตฺวา รโญฺญ สูทสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อเนฺตวาสิกภาวํ อุปคจฺฉิฯ อเถกทิวสํ สูโท รโญฺญ โภชนวิกติํ หรโนฺต อตฺตโน อตฺถาย ปจิตุํ โพธิสตฺตสฺส อฎฺฐิมํสํ อทาสิฯ โส ตํ ตถา สมฺปาเทสิ, ยถาสฺส คโนฺธ สกลนครํ อวตฺถริฯ ราชา ตํ ฆายิตฺวา ‘‘กิํ เต มหานเส อญฺญมฺปิ มํสํ ปจสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘นตฺถิ, เทว, อปิจ โข ปน เม อเนฺตวาสิกสฺส อฎฺฐิมํสํ ปจนตฺถาย ทินฺนํ, ตเสฺสว โส คโนฺธ ภวิสฺสตี’’ติฯ ราชา อาหราเปตฺวา ตโต โถกํ ชิวฺหเคฺค ฐเปสิ, ตาวเทว สตฺต รสหรณิสหสฺสานิ โขเภนฺตํ ผริฯ ราชา รสตณฺหาย พชฺฌิตฺวา สหสฺสํ ทตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ตว อเนฺตวาสินา มม จ ธีตานญฺจ เม ภตฺตํ ปจาเปตฺวา ตฺวํ มยฺหํ อาหร, โส เม ธีตานํ หรตู’’ติ อาหฯ สูโท คนฺตฺวา ตสฺส อาโรเจสิฯ โส ตํ สุตฺวา ‘‘อิทานิ เม มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต, อิทานิ ปนาหํ ปภาวติํ ทฎฺฐุํ ลภิสฺสามี’’ติ ตุโฎฺฐ ตํ สหสฺสํ ตเสฺสว ทตฺวา ปุนทิวเส ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา รโญฺญ ภตฺตภาชนานิ เปเสตฺวา ราชธีตานํ ภตฺตกาชํ สยํ คเหตฺวา ปภาวติยา วสนปาสาทํ อภิรุหิฯ สา ตํ ภตฺตกาชํ อาทาย ปาสาทํ อภิรุหนฺตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ อตฺตโน อนนุจฺฉวิกํ ทาสกมฺมกเรหิ กตฺตพฺพํ กโรติฯ สเจ ปนาหํ กติปาหํ ตุณฺหี ภวิสฺสามิ, ‘อิทานิ มํ เอสา โรจตี’ติ สญฺญี หุตฺวา กตฺถจิ อคนฺตฺวา มํ โอโลเกโนฺต อิเธว วสิสฺสติ, อิทาเนว ตํ อโกฺกสิตฺวา ปริภาสิตฺวา มุหุตฺตมฺปิ อิธ วสิตุํ อทตฺวา ปลาเปสฺสามี’’ติฯ สา ทฺวารํ อฑฺฒวิวฎํ กตฺวา เอกํ หตฺถํ กวาเฎ ลเคฺคตฺวา เอเกน หเตฺถน อคฺคฬํ อุปฺปีเฬตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    So ‘‘idampi mayhaṃ avasanaṭṭhāna’’nti sahassaṃ tasseva datvā rañño sūdassa santikaṃ gantvā antevāsikabhāvaṃ upagacchi. Athekadivasaṃ sūdo rañño bhojanavikatiṃ haranto attano atthāya pacituṃ bodhisattassa aṭṭhimaṃsaṃ adāsi. So taṃ tathā sampādesi, yathāssa gandho sakalanagaraṃ avatthari. Rājā taṃ ghāyitvā ‘‘kiṃ te mahānase aññampi maṃsaṃ pacasī’’ti pucchi. ‘‘Natthi, deva, apica kho pana me antevāsikassa aṭṭhimaṃsaṃ pacanatthāya dinnaṃ, tasseva so gandho bhavissatī’’ti. Rājā āharāpetvā tato thokaṃ jivhagge ṭhapesi, tāvadeva satta rasaharaṇisahassāni khobhentaṃ phari. Rājā rasataṇhāya bajjhitvā sahassaṃ datvā ‘‘ito paṭṭhāya tava antevāsinā mama ca dhītānañca me bhattaṃ pacāpetvā tvaṃ mayhaṃ āhara, so me dhītānaṃ haratū’’ti āha. Sūdo gantvā tassa ārocesi. So taṃ sutvā ‘‘idāni me manoratho matthakaṃ patto, idāni panāhaṃ pabhāvatiṃ daṭṭhuṃ labhissāmī’’ti tuṭṭho taṃ sahassaṃ tasseva datvā punadivase bhattaṃ sampādetvā rañño bhattabhājanāni pesetvā rājadhītānaṃ bhattakājaṃ sayaṃ gahetvā pabhāvatiyā vasanapāsādaṃ abhiruhi. Sā taṃ bhattakājaṃ ādāya pāsādaṃ abhiruhantaṃ disvā cintesi – ‘‘ayaṃ attano ananucchavikaṃ dāsakammakarehi kattabbaṃ karoti. Sace panāhaṃ katipāhaṃ tuṇhī bhavissāmi, ‘idāni maṃ esā rocatī’ti saññī hutvā katthaci agantvā maṃ olokento idheva vasissati, idāneva taṃ akkositvā paribhāsitvā muhuttampi idha vasituṃ adatvā palāpessāmī’’ti. Sā dvāraṃ aḍḍhavivaṭaṃ katvā ekaṃ hatthaṃ kavāṭe laggetvā ekena hatthena aggaḷaṃ uppīḷetvā dutiyaṃ gāthamāha –

    .

    2.

    ‘‘อนุชฺชุภูเตน หรํ มหนฺตํ, ทิวา จ รโตฺต จ นิสีถกาเล;

    ‘‘Anujjubhūtena haraṃ mahantaṃ, divā ca ratto ca nisīthakāle;

    ปฎิคจฺฉ ตฺวํ ขิปฺปํ กุสาวติํ กุส, นิจฺฉามิ ทุพฺพณฺณมหํ วสนฺต’’นฺติฯ

    Paṭigaccha tvaṃ khippaṃ kusāvatiṃ kusa, nicchāmi dubbaṇṇamahaṃ vasanta’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – มหาราช, ตฺวํ ภตฺตการโก หุตฺวา อุชุเกน จิเตฺตน โยปิ เต สีสํ ภิเนฺทยฺย, ตสฺสเปตํ กมฺมํ น กโรสิ, อนุชุภูเตน ปน จิเตฺตน มมตฺถาย เอตํ มหนฺตํ กาชํ หรโนฺต ทิวา จ รโตฺต จ นิสีถกาเล จ มหนฺตํ ทุกฺขํ อนุภวิสฺสสิ, กิํ เต เตน อนุภูเตน ทุเกฺขน, ตฺวํ อตฺตโน นครํ กุสาวติเมว ปฎิคจฺฉ, อญฺญํ อตฺตนา สทิสิํ อติรสกปูวสณฺฐานมุขิํ ยกฺขินิํ อคฺคมเหสิํ กตฺวา รชฺชํ กาเรหีติฯ นิจฺฉามิ ทุพฺพณฺณมหํ วสนฺตนฺติ อหํ ปน ตํ ทุพฺพณฺณํ ทุสฺสณฺฐิตํ อิธ วสนฺตํ น อิจฺฉามีติฯ

    Tassattho – mahārāja, tvaṃ bhattakārako hutvā ujukena cittena yopi te sīsaṃ bhindeyya, tassapetaṃ kammaṃ na karosi, anujubhūtena pana cittena mamatthāya etaṃ mahantaṃ kājaṃ haranto divā ca ratto ca nisīthakāle ca mahantaṃ dukkhaṃ anubhavissasi, kiṃ te tena anubhūtena dukkhena, tvaṃ attano nagaraṃ kusāvatimeva paṭigaccha, aññaṃ attanā sadisiṃ atirasakapūvasaṇṭhānamukhiṃ yakkhiniṃ aggamahesiṃ katvā rajjaṃ kārehīti. Nicchāmi dubbaṇṇamahaṃ vasantanti ahaṃ pana taṃ dubbaṇṇaṃ dussaṇṭhitaṃ idha vasantaṃ na icchāmīti.

    โส ‘‘ปภาวติยา เม สนฺติกา กถา ลทฺธา’’ติ ตุฎฺฐจิโตฺต ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    So ‘‘pabhāvatiyā me santikā kathā laddhā’’ti tuṭṭhacitto tisso gāthā abhāsi –

    .

    3.

    ‘‘นาหํ คมิสฺสามิ อิโต กุสาวติํ, ปภาวตี วณฺณปโลภิโต ตว;

    ‘‘Nāhaṃ gamissāmi ito kusāvatiṃ, pabhāvatī vaṇṇapalobhito tava;

    รมามิ มทฺทสฺส นิเกตรเมฺม, หิตฺวาน รฎฺฐํ ตว ทสฺสเน รโตฯ

    Ramāmi maddassa niketaramme, hitvāna raṭṭhaṃ tava dassane rato.

    .

    4.

    ‘‘ปภาวตี วณฺณปโลภิโต ตว, สมฺมูฬฺหรูโป วิจรามิ เมทินิํ;

    ‘‘Pabhāvatī vaṇṇapalobhito tava, sammūḷharūpo vicarāmi mediniṃ;

    ทิสํ น ชานามิ กุโตมฺหิ อาคโต, ตยมฺหิ มโตฺต มิคมนฺทโลจเนฯ

    Disaṃ na jānāmi kutomhi āgato, tayamhi matto migamandalocane.

    .

    5.

    ‘‘สุวณฺณจีรวสเน, ชาตรูปสุเมขเล;

    ‘‘Suvaṇṇacīravasane, jātarūpasumekhale;

    สุโสฺสณิ ตว กามา หิ, นาหํ รเชฺชน มตฺถิโก’’ติฯ

    Sussoṇi tava kāmā hi, nāhaṃ rajjena matthiko’’ti.

    ตตฺถ รมามีติ อภิรมามิ น อุกฺกณฺฐามิฯ สมฺมูฬฺหรูโปติ กิเลสสมฺมูโฬฺห หุตฺวาฯ ตยมฺหิ มโตฺตติ ตยิ มโตฺตมฺหิ, ตยา วา มโตฺตมฺหิฯ สุวณฺณจีรวสเนติ สุวณฺณขจิตวตฺถวสเนฯ นาหํ รเชฺชน มตฺถิโกติ น อหํ รเชฺชน อตฺถิโกฯ

    Tattha ramāmīti abhiramāmi na ukkaṇṭhāmi. Sammūḷharūpoti kilesasammūḷho hutvā. Tayamhi mattoti tayi mattomhi, tayā vā mattomhi. Suvaṇṇacīravasaneti suvaṇṇakhacitavatthavasane. Nāhaṃ rajjena matthikoti na ahaṃ rajjena atthiko.

    เอวํ วุเตฺต สา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เอตํ ‘วิปฺปฎิสารี ภวิสฺสตี’ติ ปริภาสามิ, อยํ ปน รชฺชิตฺวาว กเถติ, สเจ โข ปน มํ ‘อหํ กุสราชา’ติ วตฺวา หเตฺถ คเณฺหยฺย, โก ตํ นิวาเรยฺย, โกจิ โน อิมํ กถํ สุเณยฺยา’’ติ ทฺวารํ ถเกตฺวา สูจิํ ทตฺวา อโนฺต อฎฺฐาสิฯ โสปิ ภตฺตกาชํ อาหริตฺวา ภตฺตํ วเฑฺฒตฺวา ราชธีตโร โภเชสิฯ ปภาวตี ‘‘คจฺฉ กุสราเชน ปกฺกภตฺตํ อาหรา’’ติ ขุชฺชํ เปเสสิฯ สา อาหริตฺวา ‘‘ภุญฺชาหี’’ติ อาหฯ นาหํ เตน ปกฺกภตฺตํ ภุญฺชามิ, ตฺวํ ภุญฺชิตฺวา อตฺตโน ลทฺธนิวาปํ คเหตฺวา ภตฺตํ ปจิตฺวา อาหร, กุสรโญฺญ อาคตภาวญฺจ มา กสฺสจิ อาโรเจสีติฯ ขุชฺชา ตโต ปฎฺฐาย ตสฺสา โกฎฺฐาสํ อาหริตฺวา สยํ ภุญฺชติ, อตฺตโน โกฎฺฐาสํ ตสฺสา อุปเนติฯ กุสราชาปิ ตโต ปฎฺฐาย ตํ ปสฺสิตุํ อลภโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข ปภาวติยา มยิ สิเนโห, อุทาหุ นตฺถิ, วีมํสิสฺสามิ น’’นฺติฯ โส ปน ราชธีตโร โภเชตฺวา ภตฺตกาชํ อาทาย นิกฺขโนฺต ตสฺสา คพฺภทฺวาเร ปาสาทตลํ ปาเทน ปหริตฺวา ภาชนานิ ฆเฎฺฎตฺวา นิตฺถุนิตฺวา วิสญฺญี หุตฺวา วิย อวกุโชฺช ปติฯ สา ตสฺส นิตฺถุนิตสเทฺทน ทฺวารํ วิวริตฺวา ตํ ภตฺตกาเชน โอตฺถตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ สกลชมฺพุทีเป อคฺคราชา มํ นิสฺสาย รตฺตินฺทิวํ ทุกฺขํ อนุโภติ, สุขุมาลตาย ภตฺตกาเชน อวตฺถโต ปตติ, ชีวติ นุ โข, โน วา’’ติฯ สา คพฺภโต นิกฺขมิตฺวา ตสฺส นาสวาตํ อุปธาเรตุํ คีวํ ปสาเรตฺวา มุขํ โอโลเกสิฯ โส มุขปูรํ เขฬํ คเหตฺวา ตสฺสา สรีเร ปาเตสิฯ สา ตํ ปริภาสิตฺวา คพฺภํ ปวิสิตฺวา ทฺวารํ อฑฺฒวิวฎํ ถเกตฺวา ฐิตา คาถมาห –

    Evaṃ vutte sā cintesi – ‘‘ahaṃ etaṃ ‘vippaṭisārī bhavissatī’ti paribhāsāmi, ayaṃ pana rajjitvāva katheti, sace kho pana maṃ ‘ahaṃ kusarājā’ti vatvā hatthe gaṇheyya, ko taṃ nivāreyya, koci no imaṃ kathaṃ suṇeyyā’’ti dvāraṃ thaketvā sūciṃ datvā anto aṭṭhāsi. Sopi bhattakājaṃ āharitvā bhattaṃ vaḍḍhetvā rājadhītaro bhojesi. Pabhāvatī ‘‘gaccha kusarājena pakkabhattaṃ āharā’’ti khujjaṃ pesesi. Sā āharitvā ‘‘bhuñjāhī’’ti āha. Nāhaṃ tena pakkabhattaṃ bhuñjāmi, tvaṃ bhuñjitvā attano laddhanivāpaṃ gahetvā bhattaṃ pacitvā āhara, kusarañño āgatabhāvañca mā kassaci ārocesīti. Khujjā tato paṭṭhāya tassā koṭṭhāsaṃ āharitvā sayaṃ bhuñjati, attano koṭṭhāsaṃ tassā upaneti. Kusarājāpi tato paṭṭhāya taṃ passituṃ alabhanto cintesi – ‘‘atthi nu kho pabhāvatiyā mayi sineho, udāhu natthi, vīmaṃsissāmi na’’nti. So pana rājadhītaro bhojetvā bhattakājaṃ ādāya nikkhanto tassā gabbhadvāre pāsādatalaṃ pādena paharitvā bhājanāni ghaṭṭetvā nitthunitvā visaññī hutvā viya avakujjo pati. Sā tassa nitthunitasaddena dvāraṃ vivaritvā taṃ bhattakājena otthataṃ disvā cintesi – ‘‘ayaṃ sakalajambudīpe aggarājā maṃ nissāya rattindivaṃ dukkhaṃ anubhoti, sukhumālatāya bhattakājena avatthato patati, jīvati nu kho, no vā’’ti. Sā gabbhato nikkhamitvā tassa nāsavātaṃ upadhāretuṃ gīvaṃ pasāretvā mukhaṃ olokesi. So mukhapūraṃ kheḷaṃ gahetvā tassā sarīre pātesi. Sā taṃ paribhāsitvā gabbhaṃ pavisitvā dvāraṃ aḍḍhavivaṭaṃ thaketvā ṭhitā gāthamāha –

    .

    6.

    ‘‘อพฺภูติ ตสฺส โภ โหติ, โย อนิจฺฉนฺตมิจฺฉติ;

    ‘‘Abbhūti tassa bho hoti, yo anicchantamicchati;

    อกามํ ราช กาเมสิ, อกนฺตํ กนฺตุมิจฺฉสี’’ติฯ

    Akāmaṃ rāja kāmesi, akantaṃ kantumicchasī’’ti.

    ตตฺถ อพฺภูตีติ อภูติ, อวุฑฺฒีติ อโตฺถฯ

    Tattha abbhūtīti abhūti, avuḍḍhīti attho.

    โส ปน ปฎิพทฺธจิตฺตตาย อโกฺกสิยมาโนปิ ปริภาสิยมาโนปิ วิปฺปฎิสารํ อนุปฺปาเทตฺวาว อนนฺตรํ คาถมาห –

    So pana paṭibaddhacittatāya akkosiyamānopi paribhāsiyamānopi vippaṭisāraṃ anuppādetvāva anantaraṃ gāthamāha –

    .

    7.

    ‘‘อกามํ วา สกามํ วา, โย นโร ลภเต ปิยํ;

    ‘‘Akāmaṃ vā sakāmaṃ vā, yo naro labhate piyaṃ;

    ลาภเมตฺถ ปสํสาม, อลาโภ ตตฺถ ปาปโก’’ติฯ

    Lābhamettha pasaṃsāma, alābho tattha pāpako’’ti.

    สาปิ ตสฺมิํ เอวํ กเถเนฺตปิ อโนสกฺกิตฺวา ถทฺธตรวจนํ วตฺวา ปลาเปตุกามา อิตรํ คาถมาห –

    Sāpi tasmiṃ evaṃ kathentepi anosakkitvā thaddhataravacanaṃ vatvā palāpetukāmā itaraṃ gāthamāha –

    .

    8.

    ‘‘ปาสาณสารํ ขณสิ, กณิการสฺส ทารุนา;

    ‘‘Pāsāṇasāraṃ khaṇasi, kaṇikārassa dārunā;

    วาตํ ชาเลน พาเธสิ, โย อนิจฺฉนฺตมิจฺฉสี’’ติฯ

    Vātaṃ jālena bādhesi, yo anicchantamicchasī’’ti.

    ตตฺถ กณิการสฺส ทารุนาติ กณิการกเฎฺฐนฯ พาเธสีติ พนฺธสีติฯ

    Tattha kaṇikārassa dārunāti kaṇikārakaṭṭhena. Bādhesīti bandhasīti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ติโสฺส คาถาโย อภาสิ –

    Taṃ sutvā rājā tisso gāthāyo abhāsi –

    .

    9.

    ‘‘ปาสาโณ นูน เต หทเย, โอหิโต มุทุลกฺขเณ;

    ‘‘Pāsāṇo nūna te hadaye, ohito mudulakkhaṇe;

    โย เต สาตํ น วินฺทามิ, ติโรชนปทาคโตฯ

    Yo te sātaṃ na vindāmi, tirojanapadāgato.

    ๑๐.

    10.

    ‘‘ยทา มํ ภกุฎิํ กตฺวา, ราชปุตฺตี อุทิกฺขติ;

    ‘‘Yadā maṃ bhakuṭiṃ katvā, rājaputtī udikkhati;

    อาฬาริโก ตทา โหมิ, รโญฺญ มทฺทสฺสเนฺตปุเรฯ

    Āḷāriko tadā homi, rañño maddassantepure.

    ๑๑.

    11.

    ‘‘ยทา อุมฺหยมานา มํ, ราชปุตฺตี อุทิกฺขติ;

    ‘‘Yadā umhayamānā maṃ, rājaputtī udikkhati;

    นาฬาริโก ตทา โหมิ, ราชา โหมิ ตทา กุโส’’ติฯ

    Nāḷāriko tadā homi, rājā homi tadā kuso’’ti.

    ตตฺถ มุทุลกฺขเณติ มุทุนา อิตฺถิลกฺขเณน สมนฺนาคเตฯ โยติ โย อหํ ติโรรฎฺฐา อาคโต ตว สนฺติเก วสโนฺต ปฎิสนฺถารมตฺตมฺปิ สาตํ น ลภามิ, โส เอวํ มญฺญามิ, มยิ สิเนหุปฺปตฺตินิวารณาย นูน ตว หทเย ปาสาโณ ฐปิโตฯ ภกุฎิํ กตฺวาติ โกธวเสน วลิวิสมํ นลาฎํ กตฺวาฯ อาฬาริโกติ ภตฺตการโกฯ ตสฺมิํ ขเณ อหํ มทฺทรโญฺญ อเนฺตปุเร ภตฺตการกทาโส วิย โหมีติ วทติฯ อุมฺหยมานาติ ปหฎฺฐาการํ ทเสฺสตฺวา หสมานาฯ ราชา โหมีติ ตสฺมิํ ขเณ อหํ กุสาวตีนคเร รชฺชํ กาเรโนฺต ราชา วิย โหมิ, กสฺมาสิ เอวํ ผรุสา, อิโต ปฎฺฐาย มา เอวรูปํ กริ, ภเทฺทติฯ

    Tattha mudulakkhaṇeti mudunā itthilakkhaṇena samannāgate. Yoti yo ahaṃ tiroraṭṭhā āgato tava santike vasanto paṭisanthāramattampi sātaṃ na labhāmi, so evaṃ maññāmi, mayi sinehuppattinivāraṇāya nūna tava hadaye pāsāṇo ṭhapito. Bhakuṭiṃ katvāti kodhavasena valivisamaṃ nalāṭaṃ katvā. Āḷārikoti bhattakārako. Tasmiṃ khaṇe ahaṃ maddarañño antepure bhattakārakadāso viya homīti vadati. Umhayamānāti pahaṭṭhākāraṃ dassetvā hasamānā. Rājā homīti tasmiṃ khaṇe ahaṃ kusāvatīnagare rajjaṃ kārento rājā viya homi, kasmāsi evaṃ pharusā, ito paṭṭhāya mā evarūpaṃ kari, bhaddeti.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ อติวิย อลฺลียิตฺวา กเถติ, มุสาวาทํ กตฺวา อุปาเยน นํ อิโต ปลาเปสฺสามี’’ติ คาถมาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā cintesi – ‘‘ayaṃ ativiya allīyitvā katheti, musāvādaṃ katvā upāyena naṃ ito palāpessāmī’’ti gāthamāha –

    ๑๒.

    12.

    ‘‘สเจ หิ วจนํ สจฺจํ, เนมิตฺตานํ ภวิสฺสติ;

    ‘‘Sace hi vacanaṃ saccaṃ, nemittānaṃ bhavissati;

    เนว เม ตฺวํ ปตี อสฺส, กามํ ฉินฺทนฺตุ สตฺตธา’’ติฯ

    Neva me tvaṃ patī assa, kāmaṃ chindantu sattadhā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – มหาราช, มยา ‘‘อยํ กุสราชา มยฺหํ ปติ ภวิสฺสติ, น ภวิสฺสตี’’ติ พหู นิมิตฺตปาฐกา ปุจฺฉิตา, เต ‘‘กามํ กิร มํ สตฺตธา ฉินฺทนฺตุ, เนว เม ตฺวํ ปติ ภวิสฺสสี’’ติ วทิํสูติฯ

    Tassattho – mahārāja, mayā ‘‘ayaṃ kusarājā mayhaṃ pati bhavissati, na bhavissatī’’ti bahū nimittapāṭhakā pucchitā, te ‘‘kāmaṃ kira maṃ sattadhā chindantu, neva me tvaṃ pati bhavissasī’’ti vadiṃsūti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ตํ ปฎิพาหโนฺต ‘‘ภเทฺท, มยาปิ อตฺตโน รเฎฺฐ เนมิตฺตกา ปุจฺฉิตา, เต ‘อญฺญตฺร สีหสฺสรกุสราชโต ตว ปติ นาม อโญฺญ นตฺถี’ติ พฺยากริํสุ, อหมฺปิ อตฺตโน ญาณพลนิมิเตฺตน เอวเมว กเถสิ’’นฺติ วตฺวา อนนฺตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā taṃ paṭibāhanto ‘‘bhadde, mayāpi attano raṭṭhe nemittakā pucchitā, te ‘aññatra sīhassarakusarājato tava pati nāma añño natthī’ti byākariṃsu, ahampi attano ñāṇabalanimittena evameva kathesi’’nti vatvā anantaraṃ gāthamāha –

    ๑๓.

    13.

    ‘‘สเจ หิ วจนํ สจฺจํ, อเญฺญสํ ยทิ วา มม;

    ‘‘Sace hi vacanaṃ saccaṃ, aññesaṃ yadi vā mama;

    เนว ตุยฺหํ ปตี อตฺถิ, อโญฺญ สีหสฺสรา กุสา’’ติฯ

    Neva tuyhaṃ patī atthi, añño sīhassarā kusā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ยทิ หิ อเญฺญสํ เนมิตฺตานํ วจนํ สจฺจํ, ยทิ วา มม วจนํ สจฺจํ, ตว อโญฺญ ปติ นาม นตฺถีติฯ

    Tassattho – yadi hi aññesaṃ nemittānaṃ vacanaṃ saccaṃ, yadi vā mama vacanaṃ saccaṃ, tava añño pati nāma natthīti.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘น สกฺกา อิมํ ลชฺชาเปตุํ วา ปลาเปตุํ วา, กิํ เม อิมินา’’ติ ทฺวารํ ปิธาย อตฺตานํ น ทเสฺสสิฯ โสปิ กาชํ คเหตฺวา โอตริ, ตโต ปฎฺฐาย ตํ ทฎฺฐุํ น ลภติ, ภตฺตการกกมฺมํ กโรโนฺต อติวิย กิลมติ , ภุตฺตปาตราโส ทารูนิ ผาเลติ, ภาชนานิ โธวติ, กาเชน อุทกํ อาหรติ, สยโนฺต อมฺพณปิเฎฺฐ สยติ, ปาโต วุฎฺฐาย ยาคุอาทีนิ ปจติ หรติ โภเชติ, นนฺทิราคํ นิสฺสาย อติทุกฺขํ อนุโภติฯ โส เอกทิวสํ ภตฺตเคหทฺวาเรน คจฺฉนฺติํ ขุชฺชํ ทิสฺวา ปโกฺกสิฯ สา ปภาวติยา ภเยน ตสฺส สนฺติกํ คนฺตุํ อวิสหนฺตี ตุริตตุริตา วิย คจฺฉติฯ อถ นํ เวเคน อุปคนฺตฺวา ‘‘ขุเชฺช’’ติ อาหฯ

    Sā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘na sakkā imaṃ lajjāpetuṃ vā palāpetuṃ vā, kiṃ me iminā’’ti dvāraṃ pidhāya attānaṃ na dassesi. Sopi kājaṃ gahetvā otari, tato paṭṭhāya taṃ daṭṭhuṃ na labhati, bhattakārakakammaṃ karonto ativiya kilamati , bhuttapātarāso dārūni phāleti, bhājanāni dhovati, kājena udakaṃ āharati, sayanto ambaṇapiṭṭhe sayati, pāto vuṭṭhāya yāguādīni pacati harati bhojeti, nandirāgaṃ nissāya atidukkhaṃ anubhoti. So ekadivasaṃ bhattagehadvārena gacchantiṃ khujjaṃ disvā pakkosi. Sā pabhāvatiyā bhayena tassa santikaṃ gantuṃ avisahantī turitaturitā viya gacchati. Atha naṃ vegena upagantvā ‘‘khujje’’ti āha.

    สา นิวตฺติตฺวา ฐิตา ‘‘โก เอโส’’ติ วตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ สทฺทํ น สุณามี’’ติ อาหฯ อถ นํ ‘‘ขุเชฺช ตฺวมฺปิ สามินีปิ เต อุโภปิ อติวิย ถทฺธา, เอตฺตกํ กาลํ ตุมฺหากํ สนฺติเก วสโนฺต อาโรคฺยสาสนมตฺตมฺปิ น ลภามิ, เทยฺยธมฺมํ ปน กิํ ทสฺสถ, ติฎฺฐตุ ตาเวตํ, อปิ เม ปภาวติํ มุทุกํ กตฺวา ทเสฺสตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติ อาห ฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ อถ นํ ‘‘สเจ เม ตํ ทเสฺสตุํ สกฺขิสฺสสิ, ขุชฺชภาวํ เต อุชุกํ กตฺวา คีเวยฺยกํ ทสฺสามี’’ติ ปโลเภโนฺต ปญฺจ คาถาโย อภาสิ –

    Sā nivattitvā ṭhitā ‘‘ko eso’’ti vatvā ‘‘tumhākaṃ saddaṃ na suṇāmī’’ti āha. Atha naṃ ‘‘khujje tvampi sāminīpi te ubhopi ativiya thaddhā, ettakaṃ kālaṃ tumhākaṃ santike vasanto ārogyasāsanamattampi na labhāmi, deyyadhammaṃ pana kiṃ dassatha, tiṭṭhatu tāvetaṃ, api me pabhāvatiṃ mudukaṃ katvā dassetuṃ sakkhissasī’’ti āha . Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Atha naṃ ‘‘sace me taṃ dassetuṃ sakkhissasi, khujjabhāvaṃ te ujukaṃ katvā gīveyyakaṃ dassāmī’’ti palobhento pañca gāthāyo abhāsi –

    ๑๔.

    14.

    ‘‘เนกฺขํ คีวํ เต กาเรสฺสํ, ปตฺวา ขุเชฺช กุสาวติํ;

    ‘‘Nekkhaṃ gīvaṃ te kāressaṃ, patvā khujje kusāvatiṃ;

    สเจ มํ นาคนาสูรู, โอโลเกยฺย ปภาวตีฯ

    Sace maṃ nāganāsūrū, olokeyya pabhāvatī.

    ๑๕.

    15.

    ‘‘เนกฺขํ คีวํ เต กาเรสฺสํ, ปตฺวา ขุเชฺช กุสาวติํ;

    ‘‘Nekkhaṃ gīvaṃ te kāressaṃ, patvā khujje kusāvatiṃ;

    สเจ มํ นาคนาสูรู, อาลเปยฺย ปภาวตีฯ

    Sace maṃ nāganāsūrū, ālapeyya pabhāvatī.

    ๑๖.

    16.

    ‘‘เนกฺขํ คีวํ เต กาเรสฺสํ, ปตฺวา ขุเชฺช กุสาวติํ;

    ‘‘Nekkhaṃ gīvaṃ te kāressaṃ, patvā khujje kusāvatiṃ;

    สเจ มํ นาคนาสูรู, อุมฺหาเยยฺย ปภาวตีฯ

    Sace maṃ nāganāsūrū, umhāyeyya pabhāvatī.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘เนกฺขํ คีวํ เต กาเรสฺสํ, ปตฺวา ขุเชฺช กุสาวติํ;

    ‘‘Nekkhaṃ gīvaṃ te kāressaṃ, patvā khujje kusāvatiṃ;

    สเจ มํ นาคนาสูรู, ปมฺหาเยยฺย ปภาวตีฯ

    Sace maṃ nāganāsūrū, pamhāyeyya pabhāvatī.

    ๑๘.

    18.

    ‘‘เนกฺขํ คีวํ เต กาเรสฺสํ, ปตฺวา ขุเชฺช กุสาวติํ;

    ‘‘Nekkhaṃ gīvaṃ te kāressaṃ, patvā khujje kusāvatiṃ;

    สเจ มํ นาคนาสูรู, ปาณีหิ อุปสมฺผุเส’’ติฯ

    Sace maṃ nāganāsūrū, pāṇīhi upasamphuse’’ti.

    ตตฺถ เนกฺขํ คีวํ เตติ ตว คีเวยฺยํ สพฺพสุวณฺณมยเมว กาเรสฺสามีติ อโตฺถฯ ‘‘เนกฺขํ คีวํ เต กริสฺสามี’’ติปิ ปาโฐ, ตว คีวาย เนกฺขมยํ ปิฬนฺธนํ ปิฬเนฺธสฺสามีติ อโตฺถฯ โอโลเกยฺยาติ สเจ ตว วจเนน มํ ปภาวตี โอโลเกยฺย, สเจ มํ ตาย โอโลกาเปตุํ สกฺขิสฺสสีติ อโตฺถฯ ‘‘อาลเปยฺยา’’ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ ปน อุมฺหาเยยฺยาติ มนฺทหสิตวเสน ปริหาเสยฺยฯ ปมฺหาเยยฺยาติ มหาหสิตวเสน ปริหาเสยฺยฯ

    Tattha nekkhaṃ gīvaṃ teti tava gīveyyaṃ sabbasuvaṇṇamayameva kāressāmīti attho. ‘‘Nekkhaṃ gīvaṃ te karissāmī’’tipi pāṭho, tava gīvāya nekkhamayaṃ piḷandhanaṃ piḷandhessāmīti attho. Olokeyyāti sace tava vacanena maṃ pabhāvatī olokeyya, sace maṃ tāya olokāpetuṃ sakkhissasīti attho. ‘‘Ālapeyyā’’tiādīsupi eseva nayo. Ettha pana umhāyeyyāti mandahasitavasena parihāseyya. Pamhāyeyyāti mahāhasitavasena parihāseyya.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘คจฺฉถ ตุเมฺห, เทว, กติปาหจฺจเยน นํ ตุมฺหากํ วเส กริสฺสามิ, ปสฺสถ เม ปรกฺกม’’นฺติ วตฺวา ตํ กรณียํ ตีเรตฺวา ปภาวติยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ตสฺสา วสนคพฺภํ โสเธนฺตี วิย ปหรณโยคฺคํ เลฑฺฑุขณฺฑมฺปิ อเสเสตฺวา อนฺตมโส ปาทุกาปิ นีหริตฺวา สกลคพฺภํ สมฺมชฺชิตฺวา คพฺภทฺวาเร อุมฺมารํ อนฺตรํ กตฺวา อุจฺจาสนํ ปญฺญเปตฺวา ปภาวติยา เอกํ นีจปีฐกํ อตฺถริตฺวา ‘‘เอหิ, อมฺม, สีเส เต อูกา วิจินิสฺสามี’’ติ ตํ ตตฺถ ปีฐเก นิสีทาเปตฺวา อตฺตโน อูรุอนฺตเร ตสฺสา สีสํ ฐเปตฺวา โถกํ กณฺฑุยิตฺวา ‘‘อโห อิมิสฺสา สีเส พหู อูกา’’ติ สกสีสโต อูกา คเหตฺวา ตสฺสา หเตฺถ ฐเปตฺวา ‘‘ปสฺส กิตฺตกา เต สีเส อูกา’’ติ ปิยกถํ กเถตฺวา มหาสตฺตสฺส คุณํ กเถนฺตี คาถมาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘gacchatha tumhe, deva, katipāhaccayena naṃ tumhākaṃ vase karissāmi, passatha me parakkama’’nti vatvā taṃ karaṇīyaṃ tīretvā pabhāvatiyā santikaṃ gantvā tassā vasanagabbhaṃ sodhentī viya paharaṇayoggaṃ leḍḍukhaṇḍampi asesetvā antamaso pādukāpi nīharitvā sakalagabbhaṃ sammajjitvā gabbhadvāre ummāraṃ antaraṃ katvā uccāsanaṃ paññapetvā pabhāvatiyā ekaṃ nīcapīṭhakaṃ attharitvā ‘‘ehi, amma, sīse te ūkā vicinissāmī’’ti taṃ tattha pīṭhake nisīdāpetvā attano ūruantare tassā sīsaṃ ṭhapetvā thokaṃ kaṇḍuyitvā ‘‘aho imissā sīse bahū ūkā’’ti sakasīsato ūkā gahetvā tassā hatthe ṭhapetvā ‘‘passa kittakā te sīse ūkā’’ti piyakathaṃ kathetvā mahāsattassa guṇaṃ kathentī gāthamāha –

    ๑๙.

    19.

    ‘‘น หิ นูนายํ ราชปุตฺตี, กุเส สาตมฺปิ วินฺทติ;

    ‘‘Na hi nūnāyaṃ rājaputtī, kuse sātampi vindati;

    อาฬาริเก ภเต โปเส, เวตเนน อนตฺถิเก’’ติฯ

    Āḷārike bhate pose, vetanena anatthike’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – เอกํเสน อยํ ราชปุตฺตี ปุเพฺพ กุสาวตีนคเร กุสนรินฺทสฺส สนฺติเก มาลาคนฺธวิเลปนวตฺถาลงฺการวเสน อปฺปมตฺตกมฺปิ สาตํ น วินฺทติ น ลภติ, ตมฺพูลมตฺตมฺปิ เอเตน เอติสฺสา ทินฺนปุพฺพํ น ภวิสฺสติฯ กิํการณา? อิตฺถิโย นาม เอกทิวสมฺปิ องฺกํ อวตฺถริตฺวา นิปนฺนสามิกมฺหิ หทยํ ภินฺทิตุํ น สโกฺกนฺติ, อยํ ปน อาฬาริเก ภเต โปเส อาฬาริกตฺตญฺจ ภตกตฺตญฺจ อุปคเต เอตสฺมิํ ปุริเส มูเลนปิ อนตฺถิเก เกวลํ ตํเยว นิสฺสาย รชฺชํ ปหาย อาคนฺตฺวา เอวํ ทุกฺขํ อนุภวเนฺต ปฎิสนฺถารมตฺตมฺปิ น กโรติ, สเจปิ เต, อมฺม, ตสฺมิํ สิเนโห นตฺถิ, สกลชมฺพุทีเป อคฺคราชา มํ นิสฺสาย กิลมตีติ ตสฺส กิญฺจิเทว ทาตุํ อรหสีติฯ

    Tassattho – ekaṃsena ayaṃ rājaputtī pubbe kusāvatīnagare kusanarindassa santike mālāgandhavilepanavatthālaṅkāravasena appamattakampi sātaṃ na vindati na labhati, tambūlamattampi etena etissā dinnapubbaṃ na bhavissati. Kiṃkāraṇā? Itthiyo nāma ekadivasampi aṅkaṃ avattharitvā nipannasāmikamhi hadayaṃ bhindituṃ na sakkonti, ayaṃ pana āḷārike bhate pose āḷārikattañca bhatakattañca upagate etasmiṃ purise mūlenapi anatthike kevalaṃ taṃyeva nissāya rajjaṃ pahāya āgantvā evaṃ dukkhaṃ anubhavante paṭisanthāramattampi na karoti, sacepi te, amma, tasmiṃ sineho natthi, sakalajambudīpe aggarājā maṃ nissāya kilamatīti tassa kiñcideva dātuṃ arahasīti.

    สา ตํ สุตฺวา ขุชฺชาย กุชฺฌิฯ อถ นํ ขุชฺชา คีวายํ คเหตฺวา อโนฺตคเพฺภ ขิปิตฺวา สยํ พหิ หุตฺวา ทฺวารํ ปิธาย อาวิญฺฉนรชฺชุมฺหิ โอลมฺพนฺตี อฎฺฐาสิฯ ปภาวตี ตํ คเหตุํ อสโกฺกนฺตี ทฺวารมูเล ฐตฺวา อโกฺกสนฺตี อิตรํ คาถมาห –

    Sā taṃ sutvā khujjāya kujjhi. Atha naṃ khujjā gīvāyaṃ gahetvā antogabbhe khipitvā sayaṃ bahi hutvā dvāraṃ pidhāya āviñchanarajjumhi olambantī aṭṭhāsi. Pabhāvatī taṃ gahetuṃ asakkontī dvāramūle ṭhatvā akkosantī itaraṃ gāthamāha –

    ๒๐.

    20.

    ‘‘น หิ นูนายํ สา ขุชฺชา, ลภติ ชิวฺหาย เฉทนํ;

    ‘‘Na hi nūnāyaṃ sā khujjā, labhati jivhāya chedanaṃ;

    สุนิสิเตน สเตฺถน, เอวํ ทุพฺภาสิตํ ภณ’’นฺติฯ

    Sunisitena satthena, evaṃ dubbhāsitaṃ bhaṇa’’nti.

    ตตฺถ สุนิสิเตนาติ สุฎฺฐุ นิสิเตน ติขิณสเตฺถนฯ เอวํ ทุพฺภาสิตนฺติ เอวํ อโสตพฺพยุตฺตกํ ทุพฺภาสิตํ ภณนฺตีฯ

    Tattha sunisitenāti suṭṭhu nisitena tikhiṇasatthena. Evaṃ dubbhāsitanti evaṃ asotabbayuttakaṃ dubbhāsitaṃ bhaṇantī.

    อถ ขุชฺชา อาวิญฺจนรชฺชุํ คเหตฺวา ฐิตาว ‘‘นิปฺปเญฺญ ทุพฺพินีเต ตว รูปํ กิํ กริสฺสติ, กิํ มยํ ตว รูปํ ขาทิตฺวา ยาเปสฺสามา’’ติ วตฺวา เตรสหิ คาถาหิ โพธิสตฺตสฺส คุณํ ปกาเสนฺตี ขุชฺชาคชฺชิตํ นาม คชฺชิ –

    Atha khujjā āviñcanarajjuṃ gahetvā ṭhitāva ‘‘nippaññe dubbinīte tava rūpaṃ kiṃ karissati, kiṃ mayaṃ tava rūpaṃ khāditvā yāpessāmā’’ti vatvā terasahi gāthāhi bodhisattassa guṇaṃ pakāsentī khujjāgajjitaṃ nāma gajji –

    ๒๑.

    21.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    มหายโสติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Mahāyasoti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๒๒.

    22.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    มหทฺธโนติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Mahaddhanoti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๒๓.

    23.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    มหพฺพโลติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Mahabbaloti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๒๔.

    24.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    มหารโฎฺฐติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Mahāraṭṭhoti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๒๕.

    25.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    มหาราชาติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Mahārājāti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๒๖.

    26.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    สีหสฺสโรติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Sīhassaroti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๒๗.

    27.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    วคฺคุสฺสโรติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Vaggussaroti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๒๘.

    28.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    พินฺทุสฺสโรติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Bindussaroti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๒๙.

    29.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    มญฺชุสฺสโรติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Mañjussaroti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๓๐.

    30.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    มธุสฺสโรติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Madhussaroti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๓๑.

    31.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    สตสิโปฺปติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Satasippoti katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๓๒.

    32.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    ขตฺติโยติปิ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิยํฯ

    Khattiyotipi katvāna, karassu rucire piyaṃ.

    ๓๓.

    33.

    ‘‘มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน ปภาวติ;

    ‘‘Mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena pabhāvati;

    กุสราชาติ กตฺวาน, กรสฺสุ รุจิเร ปิย’’นฺติฯ

    Kusarājāti katvāna, karassu rucire piya’’nti.

    ตตฺถ มา นํ รูเปน ปาเมสิ, อาโรเหน, ปภาวตีติ อเร ปภาวติ, มา ตฺวํ เอตํ กุสนรินฺทํ อตฺตโน รูเปน อาโรหปริณาเหน ปมินิ, เอวํ ปมาณํ คณฺหิฯ มหายโสติ มหานุภาโว โสติ เอวํ หทเย กตฺวาน รุจิเร ปิยทสฺสเน กรสฺสุ ตสฺส ปิยํฯ อานุภาโวเยว หิสฺส รูปนฺติ วทติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อปิ จ มหายโสติ มหาปริวาโรฯ มหทฺธโนติ มหาโภโคฯ มหพฺพโลติ มหาถาโมฯ มหารโฎฺฐติ วิปุลรโฎฺฐฯ มหาราชาติ สกลชมฺพุทีเป อคฺคราชาฯ สีหสฺสโรติ สีหสทฺทสมานสโทฺทฯ วคฺคุสฺสโรติ ลีลายุตฺตสฺสโรฯ พินฺทุสฺสโรติ สมฺปิณฺฑิตฆนสฺสโรฯ มญฺชุสฺสโรติ สุนฺทรสฺสโรฯ มธุสฺสโรติ มธุรยุตฺตสฺสโรฯ สตสิโปฺปติ ปเรสํ สนฺติเก อสิกฺขิตฺวา อตฺตโน พเลเนว นิปฺผนฺนอเนกสตสิโปฺปฯ ขตฺติโยติ โอกฺกากปเวณิยํ ชาโต อสมฺภินฺนขตฺติโยฯ กุสราชาติ สกฺกทตฺติยกุสติณสมานนาโม ราชาฯ เอวรูโป หิ อโญฺญ ราชา นาม นตฺถีติ ชานิตฺวา เอตสฺส ปิยํ กโรหีติ ขุชฺชา เอตฺตกาหิ คาถาหิ ตสฺส คุณํ กเถสิฯ

    Tattha mā naṃ rūpena pāmesi, ārohena, pabhāvatīti are pabhāvati, mā tvaṃ etaṃ kusanarindaṃ attano rūpena ārohapariṇāhena pamini, evaṃ pamāṇaṃ gaṇhi. Mahāyasoti mahānubhāvo soti evaṃ hadaye katvāna rucire piyadassane karassu tassa piyaṃ. Ānubhāvoyeva hissa rūpanti vadati. Esa nayo sabbattha. Api ca mahāyasoti mahāparivāro. Mahaddhanoti mahābhogo. Mahabbaloti mahāthāmo. Mahāraṭṭhoti vipularaṭṭho. Mahārājāti sakalajambudīpe aggarājā. Sīhassaroti sīhasaddasamānasaddo. Vaggussaroti līlāyuttassaro. Bindussaroti sampiṇḍitaghanassaro. Mañjussaroti sundarassaro. Madhussaroti madhurayuttassaro. Satasippoti paresaṃ santike asikkhitvā attano baleneva nipphannaanekasatasippo. Khattiyoti okkākapaveṇiyaṃ jāto asambhinnakhattiyo. Kusarājāti sakkadattiyakusatiṇasamānanāmo rājā. Evarūpo hi añño rājā nāma natthīti jānitvā etassa piyaṃ karohīti khujjā ettakāhi gāthāhi tassa guṇaṃ kathesi.

    ปภาวตี ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘ขุเชฺช อติวิย คชฺชสิ, หเตฺถน ปาปุณนฺตี สสามิกภาวํ เต ชานาเปสฺสามี’’ติ ขุชฺชํ ตเชฺชสิฯ สาปิ ตํ ‘‘อหํ ตํ รกฺขมานา ปิตุโน เต กุสราชสฺส อาคตภาวํ นาโรเจสิํ, โหตุ, อชฺช รโญฺญ อาโรเจสฺสามี’’ติ มหเนฺตน สเทฺทน ภายาเปสิฯ สาปิ ‘‘โกจิเทว สุเณยฺยา’’ติ ขุชฺชํ สญฺญาเปสิฯ โพธิสโตฺตปิ ตํ ปสฺสิตุํ อลภโนฺต สตฺต มาเส ทุโพฺภชเนน ทุกฺขเสยฺยาย กิลมโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘โก เม เอตาย อโตฺถ, สตฺต มาเส วสโนฺต เอตํ ปสฺสิตุมฺปิ น ลภามิ, อติวิย กกฺขฬา สาหสิกา, คนฺตฺวา มาตาปิตโร ปสฺสิสฺสามี’’ติฯ ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ตสฺส อุกฺกณฺฐิตภาวํ ญตฺวา ‘‘ราชา สตฺต มาเส ปภาวติํ ทฎฺฐุมฺปิ น ลภิ, ลภนาการมสฺส กริสฺสามี’’ติ มทฺทรโญฺญ ทูเต กตฺวา สตฺตนฺนํ ราชูนํ ทูตํ ปาเหโนฺต ‘‘ปภาวตี, กุสราชํ ฉเฑฺฑตฺวา อาคตา, อาคจฺฉนฺตุ ปภาวติํ คณฺหนฺตู’’ติ เอเกกสฺส วิสุํ วิสุํ สาสนํ ปหิณิฯ เต มหาปริวาเรน คนฺตฺวา นครํ ปตฺวา อญฺญมญฺญสฺส อาคตการณํ น ชานนฺติฯ เต ‘‘ตฺวํ กสฺมา อาคโต, ตฺวํ กสฺมา อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ ญตฺวา กุชฺฌิตฺวา ‘‘เอกํ กิร ธีตรํ สตฺตนฺนํ ทสฺสติ, ปสฺสถสฺส อนาจารํ, อุปฺปเณฺฑติ โน, คณฺหถ น’’นฺติ ‘‘สเพฺพสมฺปิ อมฺหากํ ปภาวติํ เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติ สาสนานิ ปหิณิตฺวา นครํ ปริวารยิํสุฯ มทฺทราชา สาสนํ สุตฺวา ภีตตสิโต อมเจฺจ อามเนฺตตฺวา ‘‘กิํ กโรมา’’ติ ปุจฺฉิฯ อถ นํ อมจฺจา ‘‘เทว , สตฺตปิ ราชาโน ปภาวติํ นิสฺสาย อาคตา, ‘สเจ น ทสฺสติ, ปาการํ ภินฺทิตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ตํ คณฺหิสฺสามา’ติ วทนฺติ, ปากาเร อภิเนฺนเยว เตสํ ปภาวติํ เปเสสฺสามา’’ติ วตฺวา คาถมาหํสุ –

    Pabhāvatī tassā vacanaṃ sutvā ‘‘khujje ativiya gajjasi, hatthena pāpuṇantī sasāmikabhāvaṃ te jānāpessāmī’’ti khujjaṃ tajjesi. Sāpi taṃ ‘‘ahaṃ taṃ rakkhamānā pituno te kusarājassa āgatabhāvaṃ nārocesiṃ, hotu, ajja rañño ārocessāmī’’ti mahantena saddena bhāyāpesi. Sāpi ‘‘kocideva suṇeyyā’’ti khujjaṃ saññāpesi. Bodhisattopi taṃ passituṃ alabhanto satta māse dubbhojanena dukkhaseyyāya kilamanto cintesi – ‘‘ko me etāya attho, satta māse vasanto etaṃ passitumpi na labhāmi, ativiya kakkhaḷā sāhasikā, gantvā mātāpitaro passissāmī’’ti. Tasmiṃ khaṇe sakko āvajjento tassa ukkaṇṭhitabhāvaṃ ñatvā ‘‘rājā satta māse pabhāvatiṃ daṭṭhumpi na labhi, labhanākāramassa karissāmī’’ti maddarañño dūte katvā sattannaṃ rājūnaṃ dūtaṃ pāhento ‘‘pabhāvatī, kusarājaṃ chaḍḍetvā āgatā, āgacchantu pabhāvatiṃ gaṇhantū’’ti ekekassa visuṃ visuṃ sāsanaṃ pahiṇi. Te mahāparivārena gantvā nagaraṃ patvā aññamaññassa āgatakāraṇaṃ na jānanti. Te ‘‘tvaṃ kasmā āgato, tvaṃ kasmā āgatosī’’ti pucchitvā tamatthaṃ ñatvā kujjhitvā ‘‘ekaṃ kira dhītaraṃ sattannaṃ dassati, passathassa anācāraṃ, uppaṇḍeti no, gaṇhatha na’’nti ‘‘sabbesampi amhākaṃ pabhāvatiṃ detu yuddhaṃ vā’’ti sāsanāni pahiṇitvā nagaraṃ parivārayiṃsu. Maddarājā sāsanaṃ sutvā bhītatasito amacce āmantetvā ‘‘kiṃ karomā’’ti pucchi. Atha naṃ amaccā ‘‘deva , sattapi rājāno pabhāvatiṃ nissāya āgatā, ‘sace na dassati, pākāraṃ bhinditvā nagaraṃ pavisitvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā taṃ gaṇhissāmā’ti vadanti, pākāre abhinneyeva tesaṃ pabhāvatiṃ pesessāmā’’ti vatvā gāthamāhaṃsu –

    ๓๔.

    34.

    ‘‘เอเต นาคา อุปตฺถทฺธา, สเพฺพ ติฎฺฐนฺติ วมฺมิตา;

    ‘‘Ete nāgā upatthaddhā, sabbe tiṭṭhanti vammitā;

    ปุรา มทฺทนฺติ ปาการํ, อาเนเนฺตตํ ปภาวติ’’นฺติฯ

    Purā maddanti pākāraṃ, ānentetaṃ pabhāvati’’nti.

    ตตฺถ อุปตฺถทฺธาติ อติถทฺธา ทปฺปิตาฯ อาเนเนฺตตํ ปภาวตินฺติ อาเนนฺตุ เอตํ ปภาวตินฺติ สาสนานิ ปหิณิํสุฯ ตสฺมา ยาว เอเต นาคา ปาการํ น มทฺทนฺติ, ตาว เนสํ ปภาวติํ เปเสหิ, มหาราชาติฯ

    Tattha upatthaddhāti atithaddhā dappitā. Ānentetaṃ pabhāvatinti ānentu etaṃ pabhāvatinti sāsanāni pahiṇiṃsu. Tasmā yāva ete nāgā pākāraṃ na maddanti, tāva nesaṃ pabhāvatiṃ pesehi, mahārājāti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘สจาหํ เอกสฺส ปภาวติํ เปเสสฺสามิ, เสสา ยุทฺธํ กริสฺสนฺติ, น สกฺกา เอกสฺส ทาตุํ, สกลชมฺพุทีเป อคฺคราชานํ ‘วิรูโป’ติ ฉเฑฺฑตฺวา อาคตา อาคมนสฺส ผลํ ลภตุ, วธิตฺวาน นํ สตฺต ขณฺฑานิ กตฺวา สตฺตนฺนํ ขตฺติยานํ เปเสสฺสามี’’ติ วทโนฺต อนนฺตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘sacāhaṃ ekassa pabhāvatiṃ pesessāmi, sesā yuddhaṃ karissanti, na sakkā ekassa dātuṃ, sakalajambudīpe aggarājānaṃ ‘virūpo’ti chaḍḍetvā āgatā āgamanassa phalaṃ labhatu, vadhitvāna naṃ satta khaṇḍāni katvā sattannaṃ khattiyānaṃ pesessāmī’’ti vadanto anantaraṃ gāthamāha –

    ๓๕.

    35.

    ‘‘สตฺต พิเล กริตฺวาน, อหเมตํ ปภาวติํ;

    ‘‘Satta bile karitvāna, ahametaṃ pabhāvatiṃ;

    ขตฺติยานํ ปทสฺสามิ, เย มํ หนฺตุํ อิธาคตา’’ติฯ

    Khattiyānaṃ padassāmi, ye maṃ hantuṃ idhāgatā’’ti.

    ตสฺส สา กถา สกลนิเวสเน ปากฎา อโหสิฯ ปริจาริกา คนฺตฺวา ‘‘ราชา กิร ตํ สตฺต ขณฺฑานิ กตฺวา สตฺตนฺนํ ราชูนํ เปเสสฺสตี’’ติ ปภาวติยา อาโรเจสุํฯ สา มรณภยภีตา อาสนา วุฎฺฐาย ภคินีหิ ปริวุตา มาตุ สิริคพฺภํ อคมาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Tassa sā kathā sakalanivesane pākaṭā ahosi. Paricārikā gantvā ‘‘rājā kira taṃ satta khaṇḍāni katvā sattannaṃ rājūnaṃ pesessatī’’ti pabhāvatiyā ārocesuṃ. Sā maraṇabhayabhītā āsanā vuṭṭhāya bhaginīhi parivutā mātu sirigabbhaṃ agamāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๖.

    36.

    ‘‘อวุฎฺฐหิ ราชปุตฺตี, สามา โกเสยฺยวาสินี;

    ‘‘Avuṭṭhahi rājaputtī, sāmā koseyyavāsinī;

    อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ, ทาสีคณปุรกฺขตา’’ติฯ

    Assupuṇṇehi nettehi, dāsīgaṇapurakkhatā’’ti.

    ตตฺถ สามาติ สุวณฺณวณฺณาฯ โกเสยฺยวาสินีติ สุวณฺณขจิตโกเสยฺยนิวสนาฯ

    Tattha sāmāti suvaṇṇavaṇṇā. Koseyyavāsinīti suvaṇṇakhacitakoseyyanivasanā.

    สา มาตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา มาตรํ วนฺทิตฺวา ปริเทวมานา อาห –

    Sā mātu santikaṃ gantvā mātaraṃ vanditvā paridevamānā āha –

    ๓๗.

    37.

    ‘‘ตํ นูน กกฺกูปนิเสวิตํ มุขํ, อาทาสทนฺตาถรุปจฺจเวกฺขิตํ;

    ‘‘Taṃ nūna kakkūpanisevitaṃ mukhaṃ, ādāsadantātharupaccavekkhitaṃ;

    สุภํ สุเนตฺตํ วิรชํ อนงฺคณํ, ฉุทฺธํ วเน ฐสฺสติ ขตฺติเยหิฯ

    Subhaṃ sunettaṃ virajaṃ anaṅgaṇaṃ, chuddhaṃ vane ṭhassati khattiyehi.

    ๓๘.

    38.

    ‘‘เต นูน เม อสิเต เวลฺลิตเคฺค, เกเส มุทู จนฺทนสารลิเตฺต;

    ‘‘Te nūna me asite vellitagge, kese mudū candanasāralitte;

    สมากุเล สีวถิกาย มเชฺฌ, ปาเทหิ คิชฺฌา ปริกฑฺฒิสฺสนฺติฯ

    Samākule sīvathikāya majjhe, pādehi gijjhā parikaḍḍhissanti.

    ๓๙.

    39.

    ‘‘ตา นูน เม ตมฺพนขา สุโลมา, พาหา มุทู จนฺทนสารลิตฺตา;

    ‘‘Tā nūna me tambanakhā sulomā, bāhā mudū candanasāralittā;

    ฉินฺนา วเน อุชฺฌิตา ขตฺติเยหิ, คยฺห ธโงฺก คจฺฉติ เยนกามํฯ

    Chinnā vane ujjhitā khattiyehi, gayha dhaṅko gacchati yenakāmaṃ.

    ๔๐.

    40.

    ‘‘เต นูน ตาลูปนิเภ อลเมฺพ, นิเสวิเต กาสิกจนฺทเนน;

    ‘‘Te nūna tālūpanibhe alambe, nisevite kāsikacandanena;

    ถเนสุ เม ลมฺพิสฺสติ สิงฺคาโล, มาตูว ปุโตฺต ตรุโณ ตนูโชฯ

    Thanesu me lambissati siṅgālo, mātūva putto taruṇo tanūjo.

    ๔๑.

    41.

    ‘‘ตํ นูน โสณิํ ปุถุลํ สุโกฎฺฎิตํ, นิเสวิตํ กญฺจนเมขลาหิ;

    ‘‘Taṃ nūna soṇiṃ puthulaṃ sukoṭṭitaṃ, nisevitaṃ kañcanamekhalāhi;

    ฉินฺนํ วเน ขตฺติเยหี อวตฺถํ, สิงฺคาลสงฺฆา ปริกฑฺฒิสฺสนฺติฯ

    Chinnaṃ vane khattiyehī avatthaṃ, siṅgālasaṅghā parikaḍḍhissanti.

    ๔๒.

    42.

    ‘‘โสณา ธงฺกา สิงฺคาลา จ, เย จเญฺญ สนฺติ ทาฐิโน;

    ‘‘Soṇā dhaṅkā siṅgālā ca, ye caññe santi dāṭhino;

    อชรา นูน เหสฺสนฺติ, ภกฺขยิตฺวา ปภาวติํฯ

    Ajarā nūna hessanti, bhakkhayitvā pabhāvatiṃ.

    ๔๓.

    43.

    ‘‘สเจ มํสานิ หริํสุ, ขตฺติยา ทูรคามิโน;

    ‘‘Sace maṃsāni hariṃsu, khattiyā dūragāmino;

    อฎฺฐีนิ อมฺม ยาจิตฺวา, อนุปเถ ทหาถ นํฯ

    Aṭṭhīni amma yācitvā, anupathe dahātha naṃ.

    ๔๔.

    44.

    ‘‘เขตฺตานิ อมฺม กาเรตฺวา, กณิกาเรตฺถ โรปย;

    ‘‘Khettāni amma kāretvā, kaṇikārettha ropaya;

    ยทา เต ปุปฺผิตา อสฺสุ, เหมนฺตานํ หิมจฺจเย;

    Yadā te pupphitā assu, hemantānaṃ himaccaye;

    สเรยฺยาถ มมํ อมฺม, เอวํวณฺณา ปภาวตี’’ติฯ

    Sareyyātha mamaṃ amma, evaṃvaṇṇā pabhāvatī’’ti.

    ตตฺถ กกฺกูปนิเสวิตนฺติล กกฺกูปนิเสวิตนฺติ สาสปกกฺกโลณกกฺกมตฺติกกกฺกติลกกฺกหลิทฺทิกกฺกมุขจุณฺณเกหิ อิเมหิ ปญฺจหิ กเกฺกหิ อุปนิเสวิตํฯ อาทาสทนฺตาถรุปจฺจเวกฺขิตนฺติ ทนฺตมยถรุมฺหิ อาทาเส ปจฺจเวกฺขิตํ ตตฺถ โอโลเกตฺวา มณฺฑิตํฯ สุภนฺติ สุภมุขํฯ วิรชนฺติ วิคตรชํ นิมฺมลํฯ อนงฺคณนฺติ คณฺฑปิฬกาทิโทสรหิตํฯ ฉุทฺธนฺติ อมฺม เอวรูปํ มม มุขํ อทฺธา อิทานิ ขตฺติเยหิ ฉฑฺฑิตํ วเน อรเญฺญ ฐสฺสตีติ ปริเทวติฯ อสิเตติ กาฬเกฯ เวลฺลิตเคฺคติ อุนฺนตเคฺคฯ สีวถิกายาติ สุสานมฺหิฯ ปริกฑฺฒิสฺสนฺตีติ เอวรูเป มม เกเส มนุสฺสมํสขาทกา คิชฺฌา ปาเทหิ ปหริตฺวา นูน ปริกฑฺฒิสฺสนฺติฯ คยฺห ธโงฺก คจฺฉติ เยนกามนฺติ อมฺม มม เอวรูปํ พาหํ นูน ธโงฺก คเหตฺวา ลุญฺชิตฺวา ขาทโนฺต เยนกามํ คจฺฉิสฺสติฯ

    Tattha kakkūpanisevitantila kakkūpanisevitanti sāsapakakkaloṇakakkamattikakakkatilakakkahaliddikakkamukhacuṇṇakehi imehi pañcahi kakkehi upanisevitaṃ. Ādāsadantātharupaccavekkhitanti dantamayatharumhi ādāse paccavekkhitaṃ tattha oloketvā maṇḍitaṃ. Subhanti subhamukhaṃ. Virajanti vigatarajaṃ nimmalaṃ. Anaṅgaṇanti gaṇḍapiḷakādidosarahitaṃ. Chuddhanti amma evarūpaṃ mama mukhaṃ addhā idāni khattiyehi chaḍḍitaṃ vane araññe ṭhassatīti paridevati. Asiteti kāḷake. Vellitaggeti unnatagge. Sīvathikāyāti susānamhi. Parikaḍḍhissantīti evarūpe mama kese manussamaṃsakhādakā gijjhā pādehi paharitvā nūna parikaḍḍhissanti. Gayha dhaṅko gacchati yenakāmanti amma mama evarūpaṃ bāhaṃ nūna dhaṅko gahetvā luñjitvā khādanto yenakāmaṃ gacchissati.

    ตาลูปนิเภติ สุวณฺณตาลผลสทิเสฯ กาสิกจนฺทเนนาติ สุขุมจนฺทเนน นิเสวิเตฯ ถเนสุ เมติ อมฺม มม สุสาเน ปติตาย เอวรูเป ถเน ทิสฺวา มุเขน ฑํสิตฺวา เตสุ เม ถเนสุ อตฺตโน ตนุโช มาตุ ตรุณปุโตฺต วิย นูน สิงฺคาโล ลมฺพิสฺสติฯ โสณินฺติ กฎิํฯ สุโกฎฺฎิตนฺติ โคหนุเกน ปหริตฺวา สุวฑฺฒิตํฯ อวตฺถนฺติ ฉฑฺฑิตํฯ ภกฺขยิตฺวาติ อมฺม เอเต เอตฺตกา นูน มม มํสํ ขาทิตฺวา อชรา ภวิสฺสนฺติฯ

    Tālūpanibheti suvaṇṇatālaphalasadise. Kāsikacandanenāti sukhumacandanena nisevite. Thanesu meti amma mama susāne patitāya evarūpe thane disvā mukhena ḍaṃsitvā tesu me thanesu attano tanujo mātu taruṇaputto viya nūna siṅgālo lambissati. Soṇinti kaṭiṃ. Sukoṭṭitanti gohanukena paharitvā suvaḍḍhitaṃ. Avatthanti chaḍḍitaṃ. Bhakkhayitvāti amma ete ettakā nūna mama maṃsaṃ khāditvā ajarā bhavissanti.

    สเจ มํสานิ หริํสูติ อมฺม สเจ เต ขตฺติยา มยิํ ปฎิพทฺธจิตฺตา มม มํสานิ หเรยฺยุํ, อถ ตุเมฺห อฎฺฐีนิ ยาจิตฺวา อนุปเถ ทหาถนํ, ชงฺฆมคฺคมหามคฺคานํ อนฺตเร ทเหยฺยาถาติ วทติฯ เขตฺตานีติ อมฺม มม ฌาปิตฎฺฐาเน มาลาทิวตฺถูนิ กาเรตฺวา เอตฺถ เอเตสุ เขเตฺตสุ กณิการรุเกฺข โรปยฯ หิมจฺจเยติ หิมปาตาติกฺกเม ผคฺคุณมาเสฯ สเรยฺยาถาติ เตสํ ปุปฺผานํ สุวณฺณจโงฺกฎกํ ปูเรตฺวา อูรูสุ ฐเปตฺวา มม ธีตา ปภาวตี เอวํวณฺณาติ สเรยฺยาถฯ

    Sace maṃsāni hariṃsūti amma sace te khattiyā mayiṃ paṭibaddhacittā mama maṃsāni hareyyuṃ, atha tumhe aṭṭhīni yācitvā anupathe dahāthanaṃ, jaṅghamaggamahāmaggānaṃ antare daheyyāthāti vadati. Khettānīti amma mama jhāpitaṭṭhāne mālādivatthūni kāretvā ettha etesu khettesu kaṇikārarukkhe ropaya. Himaccayeti himapātātikkame phagguṇamāse. Sareyyāthāti tesaṃ pupphānaṃ suvaṇṇacaṅkoṭakaṃ pūretvā ūrūsu ṭhapetvā mama dhītā pabhāvatī evaṃvaṇṇāti sareyyātha.

    อิติ สา มรณภยตชฺชิตา มาตุ สนฺติเก วิลปิฯ มทฺทราชาปิ ‘‘ผรสุญฺจ คณฺฑิกญฺจ คเหตฺวา โจรฆาตโก อิเธว อาคจฺฉตู’’ติ อาณาเปสิฯ ตสฺส อาคมนํ สกลราชเคเห ปากฎํ อโหสิฯ อถสฺส อาคตภาวํ สุตฺวา ปภาวติยา มาตา อุฎฺฐายาสนา โสกสมปฺปิตา รโญฺญ สนฺติกํ อคมาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Iti sā maraṇabhayatajjitā mātu santike vilapi. Maddarājāpi ‘‘pharasuñca gaṇḍikañca gahetvā coraghātako idheva āgacchatū’’ti āṇāpesi. Tassa āgamanaṃ sakalarājagehe pākaṭaṃ ahosi. Athassa āgatabhāvaṃ sutvā pabhāvatiyā mātā uṭṭhāyāsanā sokasamappitā rañño santikaṃ agamāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๔๕.

    45.

    ‘‘ตสฺสา มาตา อุทฎฺฐาสิ, ขตฺติยา เทววณฺณินี;

    ‘‘Tassā mātā udaṭṭhāsi, khattiyā devavaṇṇinī;

    ทิสฺวา อสิญฺจ สูนญฺจ, รโญฺญ มทฺทสฺสเนฺตปุเร’’ติฯ

    Disvā asiñca sūnañca, rañño maddassantepure’’ti.

    ตตฺถ อุทฎฺฐาสีติ อาสนา อุฎฺฐาย รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา อฎฺฐาสิฯ ทิสฺวา อสิญฺจ สูนญฺจาติ อเนฺตปุรมฺหิ อลงฺกตมหาตเล รโญฺญ ปุรโต นิกฺขิตฺตํ ผรสุญฺจ คณฺฑิกญฺจ ทิสฺวา วิลปนฺตี คาถมาห –

    Tattha udaṭṭhāsīti āsanā uṭṭhāya rañño santikaṃ gantvā aṭṭhāsi. Disvā asiñca sūnañcāti antepuramhi alaṅkatamahātale rañño purato nikkhittaṃ pharasuñca gaṇḍikañca disvā vilapantī gāthamāha –

    ๔๖.

    46.

    ‘‘อิมินา นูน อสินา, สุสญฺญํ ตนุมชฺฌิมํ;

    ‘‘Iminā nūna asinā, susaññaṃ tanumajjhimaṃ;

    ธีตรํ มทฺท หนฺตฺวาน, ขตฺติยานํ ปทสฺสสี’’ติฯ

    Dhītaraṃ madda hantvāna, khattiyānaṃ padassasī’’ti.

    ตตฺถ อสินาติ ผรสุํ สนฺธายาหฯ โส หิ อิมสฺมิํ ฐาเน อสิ นาม ชาโตฯ สุสญฺญํ ตนุมชฺฌิมนฺติ สุฎฺฐุ สญฺญาตํ ตนุมชฺฌิมํฯ

    Tattha asināti pharasuṃ sandhāyāha. So hi imasmiṃ ṭhāne asi nāma jāto. Susaññaṃ tanumajjhimanti suṭṭhu saññātaṃ tanumajjhimaṃ.

    อถ นํ ราชา สญฺญาเปโนฺต อาห – ‘‘เทวิ, กิํ กเถสิ, ตว ธีตา สกลชมฺพุทีเป อคฺคราชานํ ‘วิรูโป’ติ ฉเฑฺฑตฺวา คตมเคฺค ปทวลเญฺช อวินเฎฺฐเยว มจฺจุํ นลาเฎนาทาย อาคตา, อิทานิ อตฺตโน รูปํ นิสฺสาย อีทิสํ ผลํ ลภตู’’ติฯ สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ธีตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วิลปนฺตี อาห –

    Atha naṃ rājā saññāpento āha – ‘‘devi, kiṃ kathesi, tava dhītā sakalajambudīpe aggarājānaṃ ‘virūpo’ti chaḍḍetvā gatamagge padavalañje avinaṭṭheyeva maccuṃ nalāṭenādāya āgatā, idāni attano rūpaṃ nissāya īdisaṃ phalaṃ labhatū’’ti. Sā tassa vacanaṃ sutvā dhītu santikaṃ gantvā vilapantī āha –

    ๔๗.

    47.

    ‘‘น เม อกาสิ วจนํ, อตฺถกามาย ปุตฺติเก;

    ‘‘Na me akāsi vacanaṃ, atthakāmāya puttike;

    สาชฺช โลหิตสญฺฉนฺนา, คจฺฉสิ ยมสาธนํฯ

    Sājja lohitasañchannā, gacchasi yamasādhanaṃ.

    ๔๘.

    48.

    ‘‘เอวมาปชฺชตี โปโส, ปาปิยญฺจ นิคจฺฉติ;

    ‘‘Evamāpajjatī poso, pāpiyañca nigacchati;

    โย เว หิตานํ วจนํ, น กโรติ อตฺถทสฺสินํฯ

    Yo ve hitānaṃ vacanaṃ, na karoti atthadassinaṃ.

    ๔๙.

    49.

    ‘‘สเจ จ อชฺช ธาเรสิ, กุมารํ จารุทสฺสนํ;

    ‘‘Sace ca ajja dhāresi, kumāraṃ cārudassanaṃ;

    กุเสน ชาตํ ขตฺติยํ, สุวณฺณมณิเมขลํ;

    Kusena jātaṃ khattiyaṃ, suvaṇṇamaṇimekhalaṃ;

    ปูชิตํ ญาติสเงฺฆหิ, น คจฺฉสิ ยมกฺขยํฯ

    Pūjitaṃ ñātisaṅghehi, na gacchasi yamakkhayaṃ.

    ๕๐.

    50.

    ‘‘ยตฺถสฺสุ เภรี นทติ, กุญฺชโร จ นิกูชติ;

    ‘‘Yatthassu bherī nadati, kuñjaro ca nikūjati;

    ขตฺติยานํ กุเล ภเทฺท, กินฺนุ สุขตรํ ตโตฯ

    Khattiyānaṃ kule bhadde, kinnu sukhataraṃ tato.

    ๕๑.

    51.

    ‘‘อโสฺส จ สิสติ ทฺวาเร, กุมาโร อุปโรทติ;

    ‘‘Asso ca sisati dvāre, kumāro uparodati;

    ขตฺติยานํ กุเล ภเทฺท, กินฺนุ สุขตรํ ตโตฯ

    Khattiyānaṃ kule bhadde, kinnu sukhataraṃ tato.

    ๕๒.

    52.

    ‘‘มยูรโกญฺจาภิรุเท, โกกิลาภินิกูชิเต;

    ‘‘Mayūrakoñcābhirude, kokilābhinikūjite;

    ขตฺติยานํ กุเล ภเทฺท, กินฺนุ สุขตรํ ตโต’’ติฯ

    Khattiyānaṃ kule bhadde, kinnu sukhataraṃ tato’’ti.

    ตตฺถ ปุตฺติเกติ ตํ อาลปติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อมฺม, อิธ กิํ กริสฺสสิ, สามิกสฺส สนฺติกํ คจฺฉ, มา รูปมเทน มชฺชีติ เอวํ ยาจนฺติยาปิ เม วจนํ น อกาสิ, สา ตฺวํ อชฺช โลหิตสญฺฉนฺนา คจฺฉสิ ยมสาธนํ, มจฺจุราชสฺส ภวนํ คมิสฺสสีติฯ ปาปิยญฺจาติ อิโต ปาปตรญฺจ นิคจฺฉติฯ สเจ จ อชฺช ธาเรสีติ, อมฺม, สเจ ตฺวํ จิตฺตสฺส วสํ อคนฺตฺวา กุสนรินฺทํ ปฎิจฺจ ลทฺธํ อตฺตโน รูเปน สทิสํ จารุทสฺสนํ กุมารํ อชฺช ธารยิสฺสสิฯ ยมกฺขยนฺติ เอวํ สเนฺต ยมนิเวสนํ น คเจฺฉยฺยาสิฯ ตโต ยมฺหิ ขตฺติยกุเล อยํ วิภูติ, ตมฺหา นานาเภริสเทฺทน เจว มตฺตวารณโกญฺจนาเทน จ นินฺนาทิตา กุสาวตีราชกุลา กิํ นุ สุขตรํ ทิสฺวา อิธาคตาสีติ อโตฺถฯ สิสตีติ หสติฯ กุมาโรติ สุสิกฺขิโต คนฺธพฺพกุมาโรฯ อุปโรทตีติ นานาตูริยานิ คเหตฺวา อุปหารํ กโรติฯ โกกิลาภินิกูชิเตติ กุสราชกุเล สายํ ปาโต ปวตฺตนจฺจคีตวาทิตูปหารํ ปฎิปฺผรนฺตี วิย โกกิเลหิ อภินิกูชิเตฯ

    Tattha puttiketi taṃ ālapati. Idaṃ vuttaṃ hoti – amma, idha kiṃ karissasi, sāmikassa santikaṃ gaccha, mā rūpamadena majjīti evaṃ yācantiyāpi me vacanaṃ na akāsi, sā tvaṃ ajja lohitasañchannā gacchasi yamasādhanaṃ, maccurājassa bhavanaṃ gamissasīti. Pāpiyañcāti ito pāpatarañca nigacchati. Sace ca ajja dhāresīti, amma, sace tvaṃ cittassa vasaṃ agantvā kusanarindaṃ paṭicca laddhaṃ attano rūpena sadisaṃ cārudassanaṃ kumāraṃ ajja dhārayissasi. Yamakkhayanti evaṃ sante yamanivesanaṃ na gaccheyyāsi. Tato yamhi khattiyakule ayaṃ vibhūti, tamhā nānābherisaddena ceva mattavāraṇakoñcanādena ca ninnāditā kusāvatīrājakulā kiṃ nu sukhataraṃ disvā idhāgatāsīti attho. Sisatīti hasati. Kumāroti susikkhito gandhabbakumāro. Uparodatīti nānātūriyāni gahetvā upahāraṃ karoti. Kokilābhinikūjiteti kusarājakule sāyaṃ pāto pavattanaccagītavāditūpahāraṃ paṭippharantī viya kokilehi abhinikūjite.

    อิติ สาปิ เอตฺตกาหิ คาถาหิ ตาย สทฺธิํ สลฺลปิตฺวา ‘‘สเจ อชฺช กุสนริโนฺท อิธ อสฺส, อิเม สตฺต ราชาโน ปลาเปตฺวา มม ธีตรํ ทุกฺขา ปโมเจตฺวา อาทาย คเจฺฉยฺยา’’ติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Iti sāpi ettakāhi gāthāhi tāya saddhiṃ sallapitvā ‘‘sace ajja kusanarindo idha assa, ime satta rājāno palāpetvā mama dhītaraṃ dukkhā pamocetvā ādāya gaccheyyā’’ti cintetvā gāthamāha –

    ๕๓.

    53.

    ‘‘กหํ นุ โข สตฺตุมทฺทโน, ปรรฎฺฐปฺปมทฺทโน;

    ‘‘Kahaṃ nu kho sattumaddano, pararaṭṭhappamaddano;

    กุโส โสฬารปญฺญาโณ, โย โน ทุกฺขา ปโมจเย’’ติฯ

    Kuso soḷārapaññāṇo, yo no dukkhā pamocaye’’ti.

    ตตฺถ โสฬารปญฺญาโณติ อุฬารปโญฺญฯ

    Tattha soḷārapaññāṇoti uḷārapañño.

    ตโต ปภาวตี ‘‘มม มาตุ กุสสฺส วณฺณํ ภณนฺติยา มุขํ นปฺปโหติ, อาจิกฺขิสฺสามิ ตาวสฺสา ตสฺส อิเธว อาฬาริกกมฺมํ กตฺวา วสนภาว’’นฺติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Tato pabhāvatī ‘‘mama mātu kusassa vaṇṇaṃ bhaṇantiyā mukhaṃ nappahoti, ācikkhissāmi tāvassā tassa idheva āḷārikakammaṃ katvā vasanabhāva’’nti cintetvā gāthamāha –

    ๕๔.

    54.

    ‘‘อิเธว โส สตฺตุมทฺทโน, ปรรฎฺฐปฺปมทฺทโน;

    ‘‘Idheva so sattumaddano, pararaṭṭhappamaddano;

    กุโส โสฬารปญฺญาโณ, โย เต สเพฺพ วธิสฺสตี’’ติฯ

    Kuso soḷārapaññāṇo, yo te sabbe vadhissatī’’ti.

    อถสฺสา มาตา ‘‘อยํ มรณภยภีตา วิปฺปลปตี’’ติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Athassā mātā ‘‘ayaṃ maraṇabhayabhītā vippalapatī’’ti cintetvā gāthamāha –

    ๕๕.

    55.

    ‘‘อุมฺมตฺติกา นุ ภณสิ, อนฺธพาลา ปภาสสิ;

    ‘‘Ummattikā nu bhaṇasi, andhabālā pabhāsasi;

    กุโส เจ อาคโต อสฺส, กิํ น ชาเนมุ ตํ มย’’นฺติฯ

    Kuso ce āgato assa, kiṃ na jānemu taṃ maya’’nti.

    ตตฺถ อนฺธพาลาติ สมฺมูฬฺหา อญฺญาณา หุตฺวาฯ กิํ น ชาเนมูติ เกน การเณน ตํ น ชาเนยฺยามฯ โส หิ อนฺตรามเคฺค ฐิโตว อมฺหากํ สาสนํ เปเสยฺย, สมุสฺสิตทฺธชา จตุรงฺคินีเสนา ปญฺญาเยถ, ตฺวํ ปน มรณภเยน กเถสีติฯ

    Tattha andhabālāti sammūḷhā aññāṇā hutvā. Kiṃ na jānemūti kena kāraṇena taṃ na jāneyyāma. So hi antarāmagge ṭhitova amhākaṃ sāsanaṃ peseyya, samussitaddhajā caturaṅginīsenā paññāyetha, tvaṃ pana maraṇabhayena kathesīti.

    สา เอวํ วุเตฺต ‘‘น เม มาตา สทฺทหติ, ตสฺส อิธาคนฺตฺวา สตฺต มาเส วสนภาวํ น ชานาติ, ทเสฺสสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา มาตรํ หเตฺถ คเหตฺวา สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา หตฺถํ ปสาเรตฺวา ทเสฺสนฺตี คาถมาห –

    Sā evaṃ vutte ‘‘na me mātā saddahati, tassa idhāgantvā satta māse vasanabhāvaṃ na jānāti, dassessāmi na’’nti cintetvā mātaraṃ hatthe gahetvā sīhapañjaraṃ vivaritvā hatthaṃ pasāretvā dassentī gāthamāha –

    ๕๖.

    56.

    ‘‘เอโส อาฬาริโก โปโส, กุมารีปุรมนฺตเร;

    ‘‘Eso āḷāriko poso, kumārīpuramantare;

    ทฬฺหํ กตฺวาน สํเวลฺลิํ, กุมฺภิํ โธวติ โอณโต’’ติฯ

    Daḷhaṃ katvāna saṃvelliṃ, kumbhiṃ dhovati oṇato’’ti.

    ตตฺถ กุมารีปุรมนฺตเรติ วาตปาเน ฐิตา ตว ธีตานํ กุมารีนํ วสนฎฺฐานนฺตเร นํ โอโลเกหิฯ สํเวลฺลินฺติ กจฺฉํ พนฺธิตฺวา กุมฺภิํ โธวติฯ

    Tattha kumārīpuramantareti vātapāne ṭhitā tava dhītānaṃ kumārīnaṃ vasanaṭṭhānantare naṃ olokehi. Saṃvellinti kacchaṃ bandhitvā kumbhiṃ dhovati.

    โส กิร ตทา ‘‘อชฺช เม มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสติ, อทฺธา มรณภยตชฺชิตา, ปภาวตี, มม อาคตภาวํ กเถสฺสติ, ภาชนานิ โธวิตฺวา ปฎิสาเมสฺสามี’’ติ อุทกํ อาหริตฺวา ภาชนานิ โธวิตุํ อารภิฯ อถ นํ มาตา ปริภาสนฺตี คาถมาห –

    So kira tadā ‘‘ajja me manoratho matthakaṃ pāpuṇissati, addhā maraṇabhayatajjitā, pabhāvatī, mama āgatabhāvaṃ kathessati, bhājanāni dhovitvā paṭisāmessāmī’’ti udakaṃ āharitvā bhājanāni dhovituṃ ārabhi. Atha naṃ mātā paribhāsantī gāthamāha –

    ๕๗.

    57.

    ‘‘เวณี ตฺวมสิ จณฺฑาลี, อทูสิ กุลคนฺธินี;

    ‘‘Veṇī tvamasi caṇḍālī, adūsi kulagandhinī;

    กถํ มทฺทกุเล ชาตา, ทาสํ กยิราสิ กามุก’’นฺติฯ

    Kathaṃ maddakule jātā, dāsaṃ kayirāsi kāmuka’’nti.

    ตตฺถ เวณีติ ตจฺฉิกาฯ อทูสิ กุลคนฺธินีติ อุทาหุ ตฺวํ กุลทูสิกาฯ กามุกนฺติ กถํ นาม ตฺวํ เอวรูเป กุเล ชาตา อตฺตโน สามิกํ ทาสํ กเรยฺยาสีติฯ

    Tattha veṇīti tacchikā. Adūsi kulagandhinīti udāhu tvaṃ kuladūsikā. Kāmukanti kathaṃ nāma tvaṃ evarūpe kule jātā attano sāmikaṃ dāsaṃ kareyyāsīti.

    ตโต ปภาวตี ‘‘มม มาตา อิมสฺส มํ นิสฺสาย เอวํ วสนภาวํ น ชานาติ มเญฺญ’’ติ จิเนฺตตฺวา อิตรํ คาถมาห –

    Tato pabhāvatī ‘‘mama mātā imassa maṃ nissāya evaṃ vasanabhāvaṃ na jānāti maññe’’ti cintetvā itaraṃ gāthamāha –

    ๕๘.

    58.

    ‘‘นมฺหิ เวณี น จณฺฑาลี, น จมฺหิ กุลคนฺธินี;

    ‘‘Namhi veṇī na caṇḍālī, na camhi kulagandhinī;

    โอกฺกากปุโตฺต ภทฺทเนฺต, ตฺวํ นุ ทาโสติ มญฺญสี’’ติฯ

    Okkākaputto bhaddante, tvaṃ nu dāsoti maññasī’’ti.

    ตตฺถ โอกฺกากปุโตฺตติ, อมฺม, เอส โอกฺกากปุโตฺต, ตฺวํ ปน ‘‘ทาโส’’ติ มญฺญสิ, กสฺมา นํ อหํ ‘‘ทาโส’’ติ กเถสฺสามีติฯ

    Tattha okkākaputtoti, amma, esa okkākaputto, tvaṃ pana ‘‘dāso’’ti maññasi, kasmā naṃ ahaṃ ‘‘dāso’’ti kathessāmīti.

    อิทานิสฺส ยสํ วเณฺณนฺตี อาห –

    Idānissa yasaṃ vaṇṇentī āha –

    ๕๙.

    59.

    ‘‘โย พฺราหฺมณสหสฺสานิ, สทา โภเชติ วีสติํ;

    ‘‘Yo brāhmaṇasahassāni, sadā bhojeti vīsatiṃ;

    โอกฺกากปุโตฺต ภทฺทเนฺต, ตฺวํ นุ ทาโสติ มญฺญสิฯ

    Okkākaputto bhaddante, tvaṃ nu dāsoti maññasi.

    ๖๐.

    60.

    ยสฺส นาคสหสฺสานิ, สทา โยเชนฺติ วีสติํ;

    Yassa nāgasahassāni, sadā yojenti vīsatiṃ;

    โอกฺกากปุโตฺต ภทฺทเนฺต, ตฺวํ นุ ทาโสติ มญฺญสิฯ

    Okkākaputto bhaddante, tvaṃ nu dāsoti maññasi.

    ๖๑.

    61.

    ‘‘ยสฺส อสฺสสหสฺสานิ, สทา โยเชนฺติ วีสติํ;

    ‘‘Yassa assasahassāni, sadā yojenti vīsatiṃ;

    โอกฺกากปุโตฺต ภทฺทเนฺต, ตฺวํ นุ ทาโสติ มญฺญสิฯ

    Okkākaputto bhaddante, tvaṃ nu dāsoti maññasi.

    ๖๒.

    62.

    ‘‘ยสฺส รถสหสฺสานิ, สทา โยเชนฺติ วีสติํ;

    ‘‘Yassa rathasahassāni, sadā yojenti vīsatiṃ;

    โอกฺกากปุโตฺต ภทฺทเนฺต, ตฺวํ นุ ทาโสติ มญฺญสิ;

    Okkākaputto bhaddante, tvaṃ nu dāsoti maññasi;

    ยสฺส อุสภสหสฺสานิ, สทา โยเชนฺติ วีสติํ;

    Yassa usabhasahassāni, sadā yojenti vīsatiṃ;

    โอกฺกากปุโตฺต ภทฺทเนฺต, ตฺวํ นุ ทาโสติ มญฺญสิฯ

    Okkākaputto bhaddante, tvaṃ nu dāsoti maññasi.

    ๖๓.

    63.

    ‘‘ยสฺส เธนุสหสฺสานิ, สทา ทุหนฺติ วีสติํ;

    ‘‘Yassa dhenusahassāni, sadā duhanti vīsatiṃ;

    โอกฺกากปุโตฺต ภทฺทเนฺต, ตฺวํ นุ ทาโสติ มญฺญสี’’ติฯ

    Okkākaputto bhaddante, tvaṃ nu dāsoti maññasī’’ti.

    เอวํ ตาย ปญฺจหิ คาถาหิ มหาสตฺตสฺส ยโส วณฺณิโตฯ อถสฺสา มาตา ‘‘อยํ อสมฺภิตา กถํ กเถติ, อทฺธา เอวเมต’’นฺติ สทฺทหิตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ โส เวเคน ปภาวติยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร, อมฺม, กุสราชา อิธาคโต’’ติฯ ‘‘อาม ตาต, อชฺชสฺส สตฺต มาสา อติกฺกนฺตา ตว ธีตานํ อาฬาริกตฺตํ กโรนฺตสฺสา’’ติฯ โส ตสฺสา อสทฺทหโนฺต ขุชฺชํ ปุจฺฉิตฺวา ยถาภูตํ สุตฺวา ธีตรํ ครหโนฺต คาถมาห –

    Evaṃ tāya pañcahi gāthāhi mahāsattassa yaso vaṇṇito. Athassā mātā ‘‘ayaṃ asambhitā kathaṃ katheti, addhā evameta’’nti saddahitvā rañño santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesi. So vegena pabhāvatiyā santikaṃ gantvā ‘‘saccaṃ kira, amma, kusarājā idhāgato’’ti. ‘‘Āma tāta, ajjassa satta māsā atikkantā tava dhītānaṃ āḷārikattaṃ karontassā’’ti. So tassā asaddahanto khujjaṃ pucchitvā yathābhūtaṃ sutvā dhītaraṃ garahanto gāthamāha –

    ๖๔.

    64.

    ‘‘ตคฺฆ เต ทุกฺกฎํ พาเล, ยํ ขตฺติยํ มหพฺพลํ;

    ‘‘Taggha te dukkaṭaṃ bāle, yaṃ khattiyaṃ mahabbalaṃ;

    นาคํ มณฺฑูกวเณฺณน, น ตํ อกฺขาสิธาคต’’นฺติฯ

    Nāgaṃ maṇḍūkavaṇṇena, na taṃ akkhāsidhāgata’’nti.

    ตตฺถ ตคฺฆาติ เอกํเสเนวฯ

    Tattha tagghāti ekaṃseneva.

    โส ธีตรํ ครหิตฺวา เวเคน ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา กตปฎิสนฺถาโร อญฺชลิํ ปคฺคยฺห อตฺตโน อจฺจยํ ทเสฺสโนฺต คาถมาห –

    So dhītaraṃ garahitvā vegena tassa santikaṃ gantvā katapaṭisanthāro añjaliṃ paggayha attano accayaṃ dassento gāthamāha –

    ๖๕.

    65.

    ‘‘อปราธํ มหาราช, ตฺวํ โน ขม รเถสภ;

    ‘‘Aparādhaṃ mahārāja, tvaṃ no khama rathesabha;

    ยํ ตํ อญฺญาตเวเสน, นาญฺญาสิมฺหา อิธาคต’’นฺติฯ

    Yaṃ taṃ aññātavesena, nāññāsimhā idhāgata’’nti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘สจาหํ ผรุสํ วกฺขามิ, อิเธวสฺส หทยํ ผลิสฺสติ, อสฺสาเสสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ภาชนนฺตเร ฐิโตว อิตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘sacāhaṃ pharusaṃ vakkhāmi, idhevassa hadayaṃ phalissati, assāsessāmi na’’nti cintetvā bhājanantare ṭhitova itaraṃ gāthamāha –

    ๖๖.

    66.

    ‘‘มาทิสสฺส น ตํ ฉนฺนํ, โยหํ อาฬาริโก ภเว;

    ‘‘Mādisassa na taṃ channaṃ, yohaṃ āḷāriko bhave;

    ตฺวเญฺญว เม ปสีทสฺสุ, นตฺถิ เต เทว ทุกฺกฎ’’นฺติฯ

    Tvaññeva me pasīdassu, natthi te deva dukkaṭa’’nti.

    ราชา ตสฺส สนฺติกา ปฎิสนฺถารํ ลภิตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา ปภาวติํ ปโกฺกสาเปตฺวา ขมาปนตฺถาย เปเสตุํ คาถมาห –

    Rājā tassa santikā paṭisanthāraṃ labhitvā pāsādaṃ abhiruhitvā pabhāvatiṃ pakkosāpetvā khamāpanatthāya pesetuṃ gāthamāha –

    ๖๗.

    67.

    ‘‘คจฺฉ พาเล ขมาเปหิ, กุสราชํ มหพฺพลํ;

    ‘‘Gaccha bāle khamāpehi, kusarājaṃ mahabbalaṃ;

    ขมาปิโต กุโส ราชา, โส เต ทสฺสติ ชีวิต’’นฺติฯ

    Khamāpito kuso rājā, so te dassati jīvita’’nti.

    สา ปิตุ วจนํ สุตฺวา ภคินีหิ เจว ปริจาริกาหิ จ ปริวุตา ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ โสปิ กมฺมการเวเสน ฐิโตว ตสฺสา อตฺตโน สนฺติกํ อาคมนํ ญตฺวา ‘‘อชฺช ปภาวติยา มานํ ภินฺทิตฺวา ปาทมูเล นํ กลเล นิปชฺชาเปสฺสามี’’ติ สพฺพํ อตฺตนา อาภตํ อุทกํ ฉเฑฺฑตฺวา ขลมณฺฑลมตฺตํ ฐานํ มทฺทิตฺวา เอกกลลํ อกาสิฯ สา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตสฺส ปาเทสุ นิปติตฺวา กลลปิเฎฺฐ นิปนฺนา ตํ ขมาเปสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Sā pitu vacanaṃ sutvā bhaginīhi ceva paricārikāhi ca parivutā tassa santikaṃ agamāsi. Sopi kammakāravesena ṭhitova tassā attano santikaṃ āgamanaṃ ñatvā ‘‘ajja pabhāvatiyā mānaṃ bhinditvā pādamūle naṃ kalale nipajjāpessāmī’’ti sabbaṃ attanā ābhataṃ udakaṃ chaḍḍetvā khalamaṇḍalamattaṃ ṭhānaṃ madditvā ekakalalaṃ akāsi. Sā tassa santikaṃ gantvā tassa pādesu nipatitvā kalalapiṭṭhe nipannā taṃ khamāpesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๘.

    68.

    ‘‘ปิตุสฺส วจนํ สุตฺวา, เทววณฺณี ปภาวตี;

    ‘‘Pitussa vacanaṃ sutvā, devavaṇṇī pabhāvatī;

    สิรสา อคฺคหี ปาเท, กุสราชํ มหพฺพล’’นฺติฯ

    Sirasā aggahī pāde, kusarājaṃ mahabbala’’nti.

    ตตฺถ สิรสาติ สิรสา นิปติตฺวา กุสราชานํ ปาเท อคฺคเหสีติฯ

    Tattha sirasāti sirasā nipatitvā kusarājānaṃ pāde aggahesīti.

    คเหตฺวา จ ปน นํ ขมาเปนฺตี ติโสฺส คาถาโย อภาสิ –

    Gahetvā ca pana naṃ khamāpentī tisso gāthāyo abhāsi –

    ๖๙.

    69.

    ‘‘ยามา รโตฺย อติกฺกนฺตา, ตามา เทว ตยา วินา;

    ‘‘Yāmā ratyo atikkantā, tāmā deva tayā vinā;

    วเนฺท เต สิรสา ปาเท, มา เม กุชฺฌ รเถสภฯ

    Vande te sirasā pāde, mā me kujjha rathesabha.

    ๗๐.

    70.

    ‘‘สพฺพํ เต ปฎิชานามิ, มหาราช สุโณหิ เม;

    ‘‘Sabbaṃ te paṭijānāmi, mahārāja suṇohi me;

    น จาปิ อปฺปิยํ ตุยฺหํ, กเรยฺยามิ อหํ ปุนฯ

    Na cāpi appiyaṃ tuyhaṃ, kareyyāmi ahaṃ puna.

    ๗๑.

    71.

    ‘‘เอวํ เจ ยาจมานาย, วจนํ เม น กาหสิ;

    ‘‘Evaṃ ce yācamānāya, vacanaṃ me na kāhasi;

    อิทานิ มํ ตาโต หนฺตฺวา, ขตฺติยานํ ปทสฺสตี’’ติฯ

    Idāni maṃ tāto hantvā, khattiyānaṃ padassatī’’ti.

    ตตฺถ รโตฺยติ รตฺติโยฯ ตามาติ ตา อิมา สพฺพาปิ ตยา วินา อติกฺกนฺตาฯ สพฺพํ เต ปฎิชานามีติ, มหาราช, เอตฺตกํ กาลํ มยา ตว อปฺปิยเมว กตํ, อิทํ เต อหํ สพฺพํ ปฎิชานามิ, อปรมฺปิ สุโณหิ เม, อิโต ปฎฺฐายาหํ ปุน ตุยฺหํ อปฺปิยํ น กริสฺสามิฯ เอวํ เจติ สเจ เอวํ ยาจมานาย มม ตฺวํ วจนํ น กริสฺสสีติฯ

    Tattha ratyoti rattiyo. Tāmāti tā imā sabbāpi tayā vinā atikkantā. Sabbaṃ te paṭijānāmīti, mahārāja, ettakaṃ kālaṃ mayā tava appiyameva kataṃ, idaṃ te ahaṃ sabbaṃ paṭijānāmi, aparampi suṇohi me, ito paṭṭhāyāhaṃ puna tuyhaṃ appiyaṃ na karissāmi. Evaṃ ceti sace evaṃ yācamānāya mama tvaṃ vacanaṃ na karissasīti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘สจาหํ ‘อิมํ ตฺวเญฺจว ชานิสฺสสี’ติ วกฺขามิ, หทยมสฺสา ผลิสฺสติ, อสฺสาเสสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘sacāhaṃ ‘imaṃ tvañceva jānissasī’ti vakkhāmi, hadayamassā phalissati, assāsessāmi na’’nti cintetvā āha –

    ๗๒.

    72.

    ‘‘เอวํ เต ยาจมานาย, กิํ น กาหามิ เต วโจ;

    ‘‘Evaṃ te yācamānāya, kiṃ na kāhāmi te vaco;

    วิกุโทฺธ ตฺยสฺมิ กลฺยาณิ, มา ตฺวํ ภายิ ปภาวติฯ

    Vikuddho tyasmi kalyāṇi, mā tvaṃ bhāyi pabhāvati.

    ๗๓.

    73.

    ‘‘สพฺพํ เต ปฎิชานามิ, ราชปุตฺติ สุโณหิ เม;

    ‘‘Sabbaṃ te paṭijānāmi, rājaputti suṇohi me;

    น จาปิ อปฺปิยํ ตุยฺหํ, กเรยฺยามิ อหํ ปุนฯ

    Na cāpi appiyaṃ tuyhaṃ, kareyyāmi ahaṃ puna.

    ๗๔.

    74.

    ‘‘ตว กามา หิ สุโสฺสณิ, ปหุ ทุกฺขํ ติติกฺขิสํ;

    ‘‘Tava kāmā hi sussoṇi, pahu dukkhaṃ titikkhisaṃ;

    พหุํ มทฺทกุลํ หนฺตฺวา, นยิตุํ ตํ ปภาวตี’’ติฯ

    Bahuṃ maddakulaṃ hantvā, nayituṃ taṃ pabhāvatī’’ti.

    ตตฺถ กิํ น กาหามีติ กิํการณา ตว วจนํ น กริสฺสามิฯ วิกุโทฺธ ตฺยสฺมีติ วิกุโทฺธ นิโกฺกโป เต อสฺมิํฯ สพฺพํ เตติ วิกุทฺธภาวญฺจ อิทานิ อปฺปิยกรณญฺจ อุภยํ เต อิทํ สพฺพเมว ปฎิชานามิฯ ตว กามาติ ตว กาเมน ตํ อิจฺฉมาโนฯ ติติกฺขิสนฺติ อธิวาเสมิฯ พหุํ มทฺทกุลํ หนฺตฺวา นยิตุํ ตนฺติ พหุมทฺทราชกุลํ หนิตฺวา พลกฺกาเรน ตํ เนตุํ สมโตฺถติฯ

    Tattha kiṃ na kāhāmīti kiṃkāraṇā tava vacanaṃ na karissāmi. Vikuddho tyasmīti vikuddho nikkopo te asmiṃ. Sabbaṃ teti vikuddhabhāvañca idāni appiyakaraṇañca ubhayaṃ te idaṃ sabbameva paṭijānāmi. Tava kāmāti tava kāmena taṃ icchamāno. Titikkhisanti adhivāsemi. Bahuṃ maddakulaṃ hantvā nayituṃ tanti bahumaddarājakulaṃ hanitvā balakkārena taṃ netuṃ samatthoti.

    อถ โส สกฺกสฺส เทวรโญฺญ ปริจาริกํ วิย ตํ อตฺตโน ปริจาริกํ ทิสฺวา ขตฺติยมานํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘มยิ กิร ธรมาเนเยว มม ภริยํ อเญฺญ คเหตฺวา คมิสฺสนฺตี’’ติ สีโห วิย ราชงฺคเณ วิชมฺภมาโน ‘‘สกลนครวาสิโน เม อาคตภาวํ ชานนฺตู’’ติ วคฺคโนฺต นทโนฺต เสเฬโนฺต อโปฺผเฎโนฺต ‘‘อิทานิ เต ชีวคฺคาหํ คเหสฺสามิ, รถาทโย เม โยเชนฺตู’’ติ อนนฺตรํ คาถมาห –

    Atha so sakkassa devarañño paricārikaṃ viya taṃ attano paricārikaṃ disvā khattiyamānaṃ uppādetvā ‘‘mayi kira dharamāneyeva mama bhariyaṃ aññe gahetvā gamissantī’’ti sīho viya rājaṅgaṇe vijambhamāno ‘‘sakalanagaravāsino me āgatabhāvaṃ jānantū’’ti vagganto nadanto seḷento apphoṭento ‘‘idāni te jīvaggāhaṃ gahessāmi, rathādayo me yojentū’’ti anantaraṃ gāthamāha –

    ๗๕.

    75.

    ‘‘โยชยนฺตุ รเถ อเสฺส, นานาจิเตฺต สมาหิเต;

    ‘‘Yojayantu rathe asse, nānācitte samāhite;

    อถ ทกฺขถ เม เวคํ, วิธมนฺตสฺส สตฺตโว’’ติฯ

    Atha dakkhatha me vegaṃ, vidhamantassa sattavo’’ti.

    ตตฺถ นานาจิเตฺตติ นานาลงฺการวิจิเตฺตฯ สมาหิเตติ อเสฺส สนฺธาย วุตฺตํ, สุสิกฺขิเต นิพฺพิเสวเนติ อโตฺถฯ อถ ทกฺขถ เม เวคนฺติ อถ เม ปรกฺกมํ ปสฺสิสฺสถาติฯ

    Tattha nānācitteti nānālaṅkāravicitte. Samāhiteti asse sandhāya vuttaṃ, susikkhite nibbisevaneti attho. Atha dakkhatha me veganti atha me parakkamaṃ passissathāti.

    สตฺตูนํ คณฺหนํ นาม มยฺหํ ภาโร, คจฺฉ ตฺวํ นฺหตฺวา อลงฺกริตฺวา ปาสาทํ อารุหาติ ตํ อุโยฺยเชสิฯ มทฺทราชาปิสฺส ปริหารกรณตฺถํ อมเจฺจ ปหิณิฯ เต ตสฺส มหานสทฺวาเรเยว สาณิํ ปริกฺขิปิตฺวา กปฺปเก อุปฎฺฐเปสุํฯ โส กตมสฺสุกโมฺม สีสํนฺหาโต สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต อมจฺจาทีหิ ปริวุโต ‘‘ปาสาทํ อภิรุหิสฺสามี’’ติ ทิสา วิโลเกตฺวา อโปฺผเฎสิฯ โอโลกิตโอโลกิตฎฺฐานํ วิกมฺปิฯ โส ‘‘อิทานิ เม ปรกฺกมํ ปสฺสิสฺสถา’’ติ อาหฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อนนฺตรํ คาถมาห –

    Sattūnaṃ gaṇhanaṃ nāma mayhaṃ bhāro, gaccha tvaṃ nhatvā alaṅkaritvā pāsādaṃ āruhāti taṃ uyyojesi. Maddarājāpissa parihārakaraṇatthaṃ amacce pahiṇi. Te tassa mahānasadvāreyeva sāṇiṃ parikkhipitvā kappake upaṭṭhapesuṃ. So katamassukammo sīsaṃnhāto sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito amaccādīhi parivuto ‘‘pāsādaṃ abhiruhissāmī’’ti disā viloketvā apphoṭesi. Olokitaolokitaṭṭhānaṃ vikampi. So ‘‘idāni me parakkamaṃ passissathā’’ti āha. Tamatthaṃ pakāsento satthā anantaraṃ gāthamāha –

    ๗๖.

    76.

    ‘‘ตญฺจ ตตฺถ อุทิกฺขิํสุ, รโญฺญ มทฺทสฺสเนฺตปุเร;

    ‘‘Tañca tattha udikkhiṃsu, rañño maddassantepure;

    วิชมฺภมานํ สีหํว, โผเฎนฺตํ ทิคุณํ ภุช’’นฺติฯ

    Vijambhamānaṃ sīhaṃva, phoṭentaṃ diguṇaṃ bhuja’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – ตญฺจ ตตฺถ วิชมฺภนฺตํ อโปฺผเฎนฺตํ รโญฺญ อเนฺตปุเร วาตปานานิ วิวริตฺวา อิตฺถิโย อุทิกฺขิํสูติฯ

    Tassattho – tañca tattha vijambhantaṃ apphoṭentaṃ rañño antepure vātapānāni vivaritvā itthiyo udikkhiṃsūti.

    อถสฺส มทฺทราชา กตอาเนญฺชการณํ อลงฺกตวรวารณํ เปเสสิฯ โส สมุสฺสิตเสตจฺฉตฺตํ หตฺถิกฺขนฺธํ อารุยฺห ‘‘ปภาวติํ อาเนถา’’ติ ตมฺปิ ปจฺฉโต นิสีทาเปตฺวา จตุรงฺคินิยา เสนาย ปริวุโต ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ปรเสนํ โอโลเกตฺวา ‘‘อหํ กุสราชา, ชีวิตตฺถิกา อุเรน นิปชฺชนฺตู’’ติ ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิตฺวา สตฺตุมทฺทนํ อกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Athassa maddarājā kataāneñjakāraṇaṃ alaṅkatavaravāraṇaṃ pesesi. So samussitasetacchattaṃ hatthikkhandhaṃ āruyha ‘‘pabhāvatiṃ ānethā’’ti tampi pacchato nisīdāpetvā caturaṅginiyā senāya parivuto pācīnadvārena nikkhamitvā parasenaṃ oloketvā ‘‘ahaṃ kusarājā, jīvitatthikā urena nipajjantū’’ti tikkhattuṃ sīhanādaṃ naditvā sattumaddanaṃ akāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๗๗.

    77.

    ‘‘หตฺถิกฺขนฺธญฺจ อารุยฺห, อาโรเปตฺวา ปภาวติํ;

    ‘‘Hatthikkhandhañca āruyha, āropetvā pabhāvatiṃ;

    สงฺคามํ โอตริตฺวาน, สีหนาทํ นที กุโสฯ

    Saṅgāmaṃ otaritvāna, sīhanādaṃ nadī kuso.

    ๗๘.

    78.

    ‘‘ตสฺส ตํ นทโต สุตฺวา, สีหเสฺสวิตเร มิคา;

    ‘‘Tassa taṃ nadato sutvā, sīhassevitare migā;

    ขตฺติยา วิปลายิํสุ, กุสสทฺทภยฎฺฎิตาฯ

    Khattiyā vipalāyiṃsu, kusasaddabhayaṭṭitā.

    ๗๙.

    79.

    ‘‘หตฺถาโรหา อนีกฎฺฐา, รถิกา ปตฺติการกา;

    ‘‘Hatthārohā anīkaṭṭhā, rathikā pattikārakā;

    อญฺญมญฺญสฺส ฉินฺทนฺติ, กุสสทฺทภยฎฺฎิตาฯ

    Aññamaññassa chindanti, kusasaddabhayaṭṭitā.

    ๘๐.

    80.

    ‘‘ตสฺมิํ สงฺคามสีสสฺมิํ, ปสฺสิตฺวา หฎฺฐมานโส;

    ‘‘Tasmiṃ saṅgāmasīsasmiṃ, passitvā haṭṭhamānaso;

    กุสสฺส รโญฺญ เทวิโนฺท, อทา เวโรจนํ มณิํฯ

    Kusassa rañño devindo, adā verocanaṃ maṇiṃ.

    ๘๑.

    81.

    ‘‘โส ตํ วิชฺฌิตฺวา สงฺคามํ, ลทฺธา เวโรจนํ มณิํ;

    ‘‘So taṃ vijjhitvā saṅgāmaṃ, laddhā verocanaṃ maṇiṃ;

    หตฺถิกฺขนฺธคโต ราชา, ปาเวกฺขิ นครํ ปุรํฯ

    Hatthikkhandhagato rājā, pāvekkhi nagaraṃ puraṃ.

    ๘๒.

    82.

    ‘‘ชีวคฺคาหํ คเหตฺวาน, พนฺธิตฺวา สตฺต ขตฺติเย;

    ‘‘Jīvaggāhaṃ gahetvāna, bandhitvā satta khattiye;

    สสุรสฺสูปนาเมสิ, อิเม เต เทว สตฺตโวฯ

    Sasurassūpanāmesi, ime te deva sattavo.

    ๘๓.

    83.

    ‘‘สเพฺพว เต วสํ คตา, อมิตฺตา วิหตา ตว;

    ‘‘Sabbeva te vasaṃ gatā, amittā vihatā tava;

    กามํ กโรหิ เต ตยา, มุญฺจ วา เต หนสฺสุ วา’’ติฯ

    Kāmaṃ karohi te tayā, muñca vā te hanassu vā’’ti.

    ตตฺถ วิปลายิํสูติ สติํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตุํ อสโกฺกนฺตา วิปลฺลตฺถจิตฺตา ภิชฺชิํสุฯ กุสสทฺทภยฎฺฎิตาติ กุสรโญฺญ สทฺทํ นิสฺสาย ชาเตน ภเยน อุปทฺทุตา มูฬฺหจิตฺตาฯ อญฺญมญฺญสฺส ฉินฺทนฺตีติ อญฺญมญฺญํ ฉินฺทนฺติ มทฺทนฺติฯ ‘‘ภินฺทิํสู’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺมินฺติ เอวํ โพธิสตฺตสฺส สทฺทสวเนเนว สงฺคาเม ภิเนฺน ตสฺมิํ สงฺคามสีเส ตํ มหาสตฺตสฺส ปรกฺกมํ ปสฺสิตฺวา ตุฎฺฐหทโย สโกฺก เวโรจนํ นาม มณิกฺขนฺธํ ตสฺส อทาสิฯ นครํ ปุรนฺติ นครสงฺขาตํ ปุรํฯ พนฺธิตฺวาติ เตสเญฺญว อุตฺตริ สาฎเกน ปจฺฉาพาหํ พนฺธิตฺวาฯ กามํ กโรหิ เต ตยาติ ตฺวํ อตฺตโน กามํ อิจฺฉํ รุจิํ กโรหิ, เอเต หิ ตยา ทาสา กตาเยวาติฯ

    Tattha vipalāyiṃsūti satiṃ paccupaṭṭhāpetuṃ asakkontā vipallatthacittā bhijjiṃsu. Kusasaddabhayaṭṭitāti kusarañño saddaṃ nissāya jātena bhayena upaddutā mūḷhacittā. Aññamaññassa chindantīti aññamaññaṃ chindanti maddanti. ‘‘Bhindiṃsū’’tipi pāṭho. Tasminti evaṃ bodhisattassa saddasavaneneva saṅgāme bhinne tasmiṃ saṅgāmasīse taṃ mahāsattassa parakkamaṃ passitvā tuṭṭhahadayo sakko verocanaṃ nāma maṇikkhandhaṃ tassa adāsi. Nagaraṃ puranti nagarasaṅkhātaṃ puraṃ. Bandhitvāti tesaññeva uttari sāṭakena pacchābāhaṃ bandhitvā. Kāmaṃ karohi te tayāti tvaṃ attano kāmaṃ icchaṃ ruciṃ karohi, ete hi tayā dāsā katāyevāti.

    ราชา อาห –

    Rājā āha –

    ๘๔.

    84.

    ‘‘ตุเยฺหว สตฺตโว เอเต, น หิ เต มยฺห สตฺตโว;

    ‘‘Tuyheva sattavo ete, na hi te mayha sattavo;

    ตฺวเญฺญว โน มหาราช, มุญฺจ วา เต หนสฺสุ วา’’ติฯ

    Tvaññeva no mahārāja, muñca vā te hanassu vā’’ti.

    ตตฺถ ตฺวเญฺญว โนติ, มหาราช, ตฺวํเยว อมฺหากํ อิสฺสโรติฯ

    Tattha tvaññeva noti, mahārāja, tvaṃyeva amhākaṃ issaroti.

    เอวํ วุเตฺต มหาสโตฺต ‘‘กิํ อิเมหิ มาริเตหิ, มา เตสํ อาคมนํ นิรตฺถกํ โหตุ, ปภาวติยา กนิฎฺฐา สตฺต มทฺทราชธีตโร อตฺถิ, ตา เนสํ ทาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Evaṃ vutte mahāsatto ‘‘kiṃ imehi māritehi, mā tesaṃ āgamanaṃ niratthakaṃ hotu, pabhāvatiyā kaniṭṭhā satta maddarājadhītaro atthi, tā nesaṃ dāpessāmī’’ti cintetvā gāthamāha –

    ๘๕.

    85.

    ‘‘อิมา เต ธีตโร สตฺต, เทวกญฺญูปมา สุภา;

    ‘‘Imā te dhītaro satta, devakaññūpamā subhā;

    ททาหิ เนสํ เอเกกํ, โหนฺตุ ชามาตโร ตวา’’ติฯ

    Dadāhi nesaṃ ekekaṃ, hontu jāmātaro tavā’’ti.

    อถ นํ ราชา อาห –

    Atha naṃ rājā āha –

    ๘๖.

    86.

    ‘‘อมฺหากเญฺจว ตาสญฺจ, ตฺวํ โน สเพฺพสมิสฺสโร;

    ‘‘Amhākañceva tāsañca, tvaṃ no sabbesamissaro;

    ตฺวเญฺญว โน มหาราช, เทหิ เนสํ ยทิจฺฉสี’’ติฯ

    Tvaññeva no mahārāja, dehi nesaṃ yadicchasī’’ti.

    ตตฺถ ตฺวํ โน สเพฺพสนฺติ, มหาราช กุสนรินฺท, กิํ วเทสิ, ตฺวเญฺญว เอเตสญฺจ สตฺตนฺนํ ราชูนํ มมญฺจ อิมาสญฺจ สเพฺพสํ โน อิสฺสโรฯ ยทิจฺฉสีติ ยทิ อิจฺฉสิ, ยสฺส วา ยํ ทาตุํ อิจฺฉสิ, ตสฺส ตํ เทหีติฯ

    Tattha tvaṃ no sabbesanti, mahārāja kusanarinda, kiṃ vadesi, tvaññeva etesañca sattannaṃ rājūnaṃ mamañca imāsañca sabbesaṃ no issaro. Yadicchasīti yadi icchasi, yassa vā yaṃ dātuṃ icchasi, tassa taṃ dehīti.

    เอวํ วุเตฺต โส ตา สพฺพาปิ อลงฺการาเปตฺวา เอเกกสฺส รโญฺญ เอเกกํ อทาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ปญฺจ คาถาโย อภาสิ –

    Evaṃ vutte so tā sabbāpi alaṅkārāpetvā ekekassa rañño ekekaṃ adāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā pañca gāthāyo abhāsi –

    ๘๗.

    87.

    ‘‘เอกเมกสฺส เอเกกํ, อทา สีหสฺสโร กุโส;

    ‘‘Ekamekassa ekekaṃ, adā sīhassaro kuso;

    ขตฺติยานํ ตทา เตสํ, รโญฺญ มทฺทสฺส ธีตโรฯ

    Khattiyānaṃ tadā tesaṃ, rañño maddassa dhītaro.

    ๘๘.

    88.

    ‘‘ปีณิตา เตน ลาเภน, ตุฎฺฐา สีหสฺสเร กุเส;

    ‘‘Pīṇitā tena lābhena, tuṭṭhā sīhassare kuse;

    สกรฎฺฐานิ ปายิํสุ, ขตฺติยา สตฺต ตาวเทฯ

    Sakaraṭṭhāni pāyiṃsu, khattiyā satta tāvade.

    ๘๙.

    89.

    ‘‘ปภาวติญฺจ อาทาย, มณิํ เวโรจนํ สุภํ;

    ‘‘Pabhāvatiñca ādāya, maṇiṃ verocanaṃ subhaṃ;

    กุสาวติํ กุโส ราชา, อคมาสิ มหพฺพโลฯ

    Kusāvatiṃ kuso rājā, agamāsi mahabbalo.

    ๙๐.

    90.

    ‘‘ตฺยสฺสุ เอกรเถ ยนฺตา, ปวิสนฺตา กุสาวติํ;

    ‘‘Tyassu ekarathe yantā, pavisantā kusāvatiṃ;

    สมานา วณฺณรูเปน, นาญฺญมญฺญาติโรจิสุํฯ

    Samānā vaṇṇarūpena, nāññamaññātirocisuṃ.

    ๙๑.

    91.

    ‘‘มาตา ปุเตฺตน สํคจฺฉิ, อุภโย จ ชยมฺปตี;

    ‘‘Mātā puttena saṃgacchi, ubhayo ca jayampatī;

    สมคฺคา เต ตทา อาสุํ, ผีตํ ธรณิมาวสุ’’นฺติฯ

    Samaggā te tadā āsuṃ, phītaṃ dharaṇimāvasu’’nti.

    ตตฺถ ปีณิตาติ สนฺตปฺปิตาฯ ปายิํสูติ อิทานิ อปฺปมตฺตา ภเวยฺยาถาติ กุสนริเนฺทน โอวทิตา อคมํสุฯ อคมาสีติ กติปาหํ วสิตฺวา ‘‘อมฺหากํ รฎฺฐํ คมิสฺสามา’’ติ สสุรํ อาปุจฺฉิตฺวา คโตฯ เอกรเถ ยนฺตาติ เทฺวปิ เอกรถํ อภิรุยฺห คจฺฉนฺตาฯ สมานา วณฺณรูเปนาติ วเณฺณน จ รูเปน จ สมานา หุตฺวาฯ นาญฺญมญฺญาติโรจิสุนฺติ เอโก เอกํ นาติกฺกมิฯ มณิรตนานุภาเวน กิร มหาสโตฺต อภิรูโป อโหสิ สุวณฺณวโณฺณ โสภคฺคปฺปโตฺต, โส กิร ปุเพฺพ ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปิณฺฑปาตนิสฺสเนฺทน พุทฺธปฎิมากรณนิสฺสเนฺทน จ เอวํ เตชวโนฺต อโหสิฯ สํคจฺฉีติ อถสฺส มาตา มหาสตฺตสฺส อาคมนํ สุตฺวา นคเร เภริํ จราเปตฺวา มหาสตฺตสฺส พหุํ ปณฺณาการํ อาทาย ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา สมาคจฺฉิฯ โสปิ มาตรา สทฺธิํเยว นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา สตฺตาหํ ฉณกีฬํ กีฬิตฺวา อลงฺกตปาสาทตลํ อภิรุหิฯ เตปิ อุโภ ชยมฺปติกา สมคฺคา อเหสุํ, ตโต ปฎฺฐาย ยาวชีวํ สมคฺคา สโมฺมทมานา ผีตํ ธรณิํ อชฺฌาวสิํสูติฯ

    Tattha pīṇitāti santappitā. Pāyiṃsūti idāni appamattā bhaveyyāthāti kusanarindena ovaditā agamaṃsu. Agamāsīti katipāhaṃ vasitvā ‘‘amhākaṃ raṭṭhaṃ gamissāmā’’ti sasuraṃ āpucchitvā gato. Ekarathe yantāti dvepi ekarathaṃ abhiruyha gacchantā. Samānā vaṇṇarūpenāti vaṇṇena ca rūpena ca samānā hutvā. Nāññamaññātirocisunti eko ekaṃ nātikkami. Maṇiratanānubhāvena kira mahāsatto abhirūpo ahosi suvaṇṇavaṇṇo sobhaggappatto, so kira pubbe paccekabuddhassa piṇḍapātanissandena buddhapaṭimākaraṇanissandena ca evaṃ tejavanto ahosi. Saṃgacchīti athassa mātā mahāsattassa āgamanaṃ sutvā nagare bheriṃ carāpetvā mahāsattassa bahuṃ paṇṇākāraṃ ādāya paccuggamanaṃ katvā samāgacchi. Sopi mātarā saddhiṃyeva nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā sattāhaṃ chaṇakīḷaṃ kīḷitvā alaṅkatapāsādatalaṃ abhiruhi. Tepi ubho jayampatikā samaggā ahesuṃ, tato paṭṭhāya yāvajīvaṃ samaggā sammodamānā phītaṃ dharaṇiṃ ajjhāvasiṃsūti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ อเหสุํ, กนิโฎฺฐ อานโนฺท, ขุชฺชา ขุชฺชุตฺตรา, ปภาวตี ราหุลมาตา, ปริสา พุทฺธปริสา, กุสราชา ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā mātāpitaro mahārājakulāni ahesuṃ, kaniṭṭho ānando, khujjā khujjuttarā, pabhāvatī rāhulamātā, parisā buddhaparisā, kusarājā pana ahameva ahosinti.

    กุสชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Kusajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๓๑. กุสชาตกํ • 531. Kusajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact