Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
กุสลกมฺมปถกถา
Kusalakammapathakathā
ปาณาติปาตาทีหิ ปน วิรติโย อนภิชฺฌาอพฺยาปาทสมฺมาทิฎฺฐิโย จาติ อิเม ทส กุสลกมฺมปถา นามฯ ตตฺถ ปาณาติปาตาทโย วุตฺตตฺถา เอวฯ ปาณาติปาตาทีหิ เอตาย วิรมนฺติ, สยํ วา วิรมติ, วิรมณมตฺตเมว วา เอตนฺติ วิรติฯ ยา ปาณาติปาตา วิรมนฺตสฺส ‘‘ยา ตสฺมิํ สมเย ปาณาติปาตา อารติ วิรตี’’ติ (ธ. ส. ๒๙๙-๓๐๑) เอวํ วุตฺตา กุสลจิตฺตสมฺปยุตฺตา วิรติ, สา ปเภทโต ติวิธา โหติ – สมฺปตฺตวิรติ, สมาทานวิรติ, สมุเจฺฉทวิรตีติฯ
Pāṇātipātādīhi pana viratiyo anabhijjhāabyāpādasammādiṭṭhiyo cāti ime dasa kusalakammapathā nāma. Tattha pāṇātipātādayo vuttatthā eva. Pāṇātipātādīhi etāya viramanti, sayaṃ vā viramati, viramaṇamattameva vā etanti virati. Yā pāṇātipātā viramantassa ‘‘yā tasmiṃ samaye pāṇātipātā ārati viratī’’ti (dha. sa. 299-301) evaṃ vuttā kusalacittasampayuttā virati, sā pabhedato tividhā hoti – sampattavirati, samādānavirati, samucchedaviratīti.
ตตฺถ อสมาทินฺนสิกฺขาปทานํ อตฺตโน ชาติวยพาหุสจฺจาทีนิ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ‘อยุตฺตํ อมฺหากํ เอวรูปํ ปาปํ กาตุ’นฺติ สมฺปตฺตํ วตฺถุํ อวีติกฺกมนฺตานํ อุปฺปชฺชมานา วิรติ ‘สมฺปตฺตวิรตี’ติ เวทิตพฺพา – สีหฬทีเป จกฺกนอุปาสกสฺส วิยฯ ตสฺส กิร ทหรกาเลเยว มาตุยา โรโค อุปฺปชฺชิฯ เวเชฺชน จ ‘อลฺลสสมํสํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’ติ วุตฺตํฯ ตโต จกฺกนสฺส ภาตา ‘คจฺฉ, ตาต, เขตฺตํ อาหิณฺฑาหี’ติ จกฺกนํ เปเสสิฯ โส ตตฺถ คโตฯ ตสฺมิญฺจ สมเย เอโก สโส ตรุณสสฺสํ ขาทิตุํ อาคโต โหติฯ โส ตํ ทิสฺวาว เวเคน ธาวโนฺต วลฺลิยา พโทฺธ ‘กิริ กิรี’ติ สทฺทมกาสิฯ จกฺกโน เตน สเทฺทน คนฺตฺวา ตํ คเหตฺวา จิเนฺตสิ – ‘มาตุ เภสชฺชํ กโรมี’ติฯ ปุน จิเนฺตสิ – ‘น เมตํ ปติรูปํ ยฺวาหํ มาตุ ชีวิตการณา ปรํ ชีวิตา โวโรเปยฺย’นฺติฯ อถ นํ ‘คจฺฉ, อรเญฺญ สเสหิ สทฺธิํ ติโณทกํ ปริภุญฺชา’ติ มุญฺจิฯ ภาตรา จ ‘กิํ ตาต สโส ลโทฺธ’ติ ปุจฺฉิโต ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ ตโต นํ ภาตา ปริภาสิฯ โส มาตุสนฺติกํ คนฺตฺวา ‘ยโต อหํ ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา’ติ สจฺจํ วตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตาวเทวสฺส มาตา อโรคา อโหสิฯ
Tattha asamādinnasikkhāpadānaṃ attano jātivayabāhusaccādīni paccavekkhitvā ‘ayuttaṃ amhākaṃ evarūpaṃ pāpaṃ kātu’nti sampattaṃ vatthuṃ avītikkamantānaṃ uppajjamānā virati ‘sampattaviratī’ti veditabbā – sīhaḷadīpe cakkanaupāsakassa viya. Tassa kira daharakāleyeva mātuyā rogo uppajji. Vejjena ca ‘allasasamaṃsaṃ laddhuṃ vaṭṭatī’ti vuttaṃ. Tato cakkanassa bhātā ‘gaccha, tāta, khettaṃ āhiṇḍāhī’ti cakkanaṃ pesesi. So tattha gato. Tasmiñca samaye eko saso taruṇasassaṃ khādituṃ āgato hoti. So taṃ disvāva vegena dhāvanto valliyā baddho ‘kiri kirī’ti saddamakāsi. Cakkano tena saddena gantvā taṃ gahetvā cintesi – ‘mātu bhesajjaṃ karomī’ti. Puna cintesi – ‘na metaṃ patirūpaṃ yvāhaṃ mātu jīvitakāraṇā paraṃ jīvitā voropeyya’nti. Atha naṃ ‘gaccha, araññe sasehi saddhiṃ tiṇodakaṃ paribhuñjā’ti muñci. Bhātarā ca ‘kiṃ tāta saso laddho’ti pucchito taṃ pavattiṃ ācikkhi. Tato naṃ bhātā paribhāsi. So mātusantikaṃ gantvā ‘yato ahaṃ jāto nābhijānāmi sañcicca pāṇaṃ jīvitā voropetā’ti saccaṃ vatvā aṭṭhāsi. Tāvadevassa mātā arogā ahosi.
สมาทินฺนสิกฺขาปทานํ ปน สิกฺขาปทสมาทาเน จ ตตุตฺตริญฺจ อตฺตโน ชีวิตมฺปิ ปริจฺจชิตฺวา วตฺถุํ อวีติกฺกมนฺตานํ อุปฺปชฺชมานา วิรติ ‘สมาทานวิรตี’ติ เวทิตพฺพาฯ อุตฺตรวฑฺฒมานปพฺพตวาสีอุปาสกสฺส วิยฯ โส กิร อมฺพริยวิหารวาสิโน ปิงฺคลพุทฺธรกฺขิตเตฺถรสฺส สนฺติเก สิกฺขาปทานิ คเหตฺวา เขตฺตํ กสติฯ อถสฺส โคโณ นโฎฺฐฯ โส ตํ คเวสโนฺต อุตฺตรวฑฺฒมานปพฺพตํ อารุหิฯ ตตฺร นํ มหาสโปฺป อคฺคเหสิฯ โส จิเนฺตสิ – ‘อิมายสฺส ติขิณวาสิยา สีสํ ฉินฺทามี’ติฯ ปุน จิเนฺตสิ – ‘น เมตํ ปติรูปํ ยฺวาหํ ภาวนียสฺส ครุโน สนฺติเก สิกฺขาปทานิ คเหตฺวา ภิเนฺทยฺย’นฺติ เอวํ ยาวตติยํ จิเนฺตตฺวา ‘ชีวิตํ ปริจฺจชามิ, น สิกฺขาปท’นฺติ อํเส ฐปิตํ ติขิณทณฺฑวาสิํ อรเญฺญ ฉเฑฺฑสิฯ ตาวเทว นํ มหาวาโฬ มุญฺจิตฺวา อคมาสีติฯ
Samādinnasikkhāpadānaṃ pana sikkhāpadasamādāne ca tatuttariñca attano jīvitampi pariccajitvā vatthuṃ avītikkamantānaṃ uppajjamānā virati ‘samādānaviratī’ti veditabbā. Uttaravaḍḍhamānapabbatavāsīupāsakassa viya. So kira ambariyavihāravāsino piṅgalabuddharakkhitattherassa santike sikkhāpadāni gahetvā khettaṃ kasati. Athassa goṇo naṭṭho. So taṃ gavesanto uttaravaḍḍhamānapabbataṃ āruhi. Tatra naṃ mahāsappo aggahesi. So cintesi – ‘imāyassa tikhiṇavāsiyā sīsaṃ chindāmī’ti. Puna cintesi – ‘na metaṃ patirūpaṃ yvāhaṃ bhāvanīyassa garuno santike sikkhāpadāni gahetvā bhindeyya’nti evaṃ yāvatatiyaṃ cintetvā ‘jīvitaṃ pariccajāmi, na sikkhāpada’nti aṃse ṭhapitaṃ tikhiṇadaṇḍavāsiṃ araññe chaḍḍesi. Tāvadeva naṃ mahāvāḷo muñcitvā agamāsīti.
อริยมคฺคสมฺปยุตฺตา ปน วิรติ ‘สมุเจฺฉทวิรตี’ติ เวทิตพฺพา, ยสฺสา อุปฺปตฺติโต ปภุติ ‘ปาณํ ฆาเตสฺสามี’ติ อริยปุคฺคลานํ จิตฺตมฺปิ นุปฺปชฺชตีติฯ
Ariyamaggasampayuttā pana virati ‘samucchedaviratī’ti veditabbā, yassā uppattito pabhuti ‘pāṇaṃ ghātessāmī’ti ariyapuggalānaṃ cittampi nuppajjatīti.
อิทานิ ยถา อกุสลานํ เอวํ อิเมสมฺปิ กุสลกมฺมปถานํ ธมฺมโต โกฎฺฐาสโต อารมฺมณโต เวทนาโต มูลโตติ ปญฺจหากาเรหิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพ –
Idāni yathā akusalānaṃ evaṃ imesampi kusalakammapathānaṃ dhammato koṭṭhāsato ārammaṇato vedanāto mūlatoti pañcahākārehi vinicchayo veditabbo –
ตตฺถ ‘ธมฺมโต’ติ เอเตสุ หิ ปฎิปาฎิยา สตฺต เจตนาปิ วฎฺฎนฺติ, วิรติโยปิ; อเนฺต ตโย เจตนาสมฺปยุตฺตาวฯ
Tattha ‘dhammato’ti etesu hi paṭipāṭiyā satta cetanāpi vaṭṭanti, viratiyopi; ante tayo cetanāsampayuttāva.
‘โกฎฺฐาสโต’ติ ปฎิปาฎิยา สตฺต กมฺมปถา เอว, โน มูลานิฯ อเนฺต ตโย กมฺมปถา เจว มูลานิ จฯ อนภิชฺฌา หิ มูลํ ปตฺวา ‘อโลโภ กุสลมูลํ’ โหติฯ อพฺยาปาโท ‘อโทโส กุสลมูลํ’, สมฺมาทิฎฺฐิ ‘อโมโห กุสลมูลํ’ฯ
‘Koṭṭhāsato’ti paṭipāṭiyā satta kammapathā eva, no mūlāni. Ante tayo kammapathā ceva mūlāni ca. Anabhijjhā hi mūlaṃ patvā ‘alobho kusalamūlaṃ’ hoti. Abyāpādo ‘adoso kusalamūlaṃ’, sammādiṭṭhi ‘amoho kusalamūlaṃ’.
‘อารมฺมณโต’ติ ปาณาติปาตาทีนํ อารมฺมณาเนว เอเตสํ อารมฺมณานิฯ วีติกฺกมิตพฺพโตเยว หิ เวรมณี นาม โหติฯ ยถา ปน นิพฺพานารมฺมโณ อริยมโคฺค กิเลเส ปชหติ, เอวํ ชีวิตินฺทฺริยาทิอารมฺมณาเปเต กมฺมปถา ปาณาติปาตาทีนิ ทุสฺสีลฺยานิ ปชหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ
‘Ārammaṇato’ti pāṇātipātādīnaṃ ārammaṇāneva etesaṃ ārammaṇāni. Vītikkamitabbatoyeva hi veramaṇī nāma hoti. Yathā pana nibbānārammaṇo ariyamaggo kilese pajahati, evaṃ jīvitindriyādiārammaṇāpete kammapathā pāṇātipātādīni dussīlyāni pajahantīti veditabbā.
‘เวทนาโต’ติ สเพฺพ สุขเวทนา วา โหนฺติ มชฺฌตฺตเวทนา วาฯ กุสลํ ปตฺวา หิ ทุกฺขเวทนา นาม นตฺถิฯ
‘Vedanāto’ti sabbe sukhavedanā vā honti majjhattavedanā vā. Kusalaṃ patvā hi dukkhavedanā nāma natthi.
‘มูลโต’ติ ปฎิปาฎิยา สตฺต กมฺมปถา ญาณสมฺปยุตฺตจิเตฺตน วิรมนฺตสฺส อโลภอโทสอโมหวเสน ติมูลา โหนฺติ; ญาณวิปฺปยุตฺตจิเตฺตน วิรมนฺตสฺส ทฺวิมูลาฯ อนภิชฺฌา ญาณสมฺปยุตฺตจิเตฺตน วิรมนฺตสฺส ทฺวิมูลา โหติ; ญาณวิปฺปยุตฺตจิเตฺตน เอกมูลาฯ อโลโภ ปน อตฺตนาว อตฺตโน มูลํ น โหติฯ อพฺยาปาเทปิ เอเสว นโยฯ สมฺมาทิฎฺฐิ อโลภาโทสวเสน ทฺวิมูลาว โหติฯ อิเม ทส กุสลกมฺมปถา นามฯ
‘Mūlato’ti paṭipāṭiyā satta kammapathā ñāṇasampayuttacittena viramantassa alobhaadosaamohavasena timūlā honti; ñāṇavippayuttacittena viramantassa dvimūlā. Anabhijjhā ñāṇasampayuttacittena viramantassa dvimūlā hoti; ñāṇavippayuttacittena ekamūlā. Alobho pana attanāva attano mūlaṃ na hoti. Abyāpādepi eseva nayo. Sammādiṭṭhi alobhādosavasena dvimūlāva hoti. Ime dasa kusalakammapathā nāma.