Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi

    ๓. กุสลากุสลพลวตรปโญฺห

    3. Kusalākusalabalavatarapañho

    . ‘‘ภเนฺต นาคเสน, กตมํ อธิมตฺตํ พลวตรํ กุสลํ วา อกุสลํ วา’’ติ? ‘‘กุสลํ, มหาราช, อธิมตฺตํ พลวตรํ, โน ตถา อกุสล’นฺติฯ ‘‘นาหํ, ภเนฺต นาคเสน, ตํ วจนํ สมฺปฎิจฺฉามิ ‘กุสลํ อธิมตฺตํ พลวตรํ, โน ตถา อกุสล’นฺติ, ทิสฺสนฺติ, ภเนฺต นาคเสน, อิธ ปาณาติปาติโน อทินฺนาทายิโน กาเมสุมิจฺฉาจาริโน มุสาวาทิโน คามฆาติกา ปนฺถทูสกา เนกติกา วญฺจนิกา, สเพฺพ เต ตาวตเกน ปาเปน ลภนฺติ หตฺถเจฺฉทํ ปาทเจฺฉทํ หตฺถปาทเจฺฉทํ กณฺณเจฺฉทํ นาสเจฺฉทํ กณฺณนาสเจฺฉทํ พิลงฺคถาลิกํ สงฺขมุณฺฑิกํ ราหุมุขํ โชติมาลิกํ หตฺถปโชฺชติกํ เอรกวตฺติกํ จีรกวาสิกํ เอเณยฺยกํ พฬิสมํสิกํ กหาปณิกํ ขาราปตจฺฉิกํ ปลิฆปริวตฺติกํ ปลาลปีฐกํ ตเตฺตนปิ เตเลน โอสิญฺจนํ สุนเขหิปิ ขาทาปนํ ชีวสูลาโรปนํ อสินาปิ สีสเจฺฉทํ, เกจิ รตฺติํ ปาปํ กตฺวา รตฺติํ เยว วิปากํ อนุภวนฺติ, เกจิ รตฺติํ กตฺวา ทิวา เยว อนุภวนฺติ, เกจิ ทิวา กตฺวา ทิวา เยว อนุภวนฺติ, เกจิ ทิวา กตฺวา รตฺติํ เยว อนุภวนฺติ, เกจิ เทฺว ตโย ทิวเส วีติวเตฺต อนุภวนฺติ, สเพฺพปิ เต ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิปากํ อนุภวนฺติฯ อตฺถิ ปน, ภเนฺต นาคเสน, โกจิ เอกสฺส วา ทฺวินฺนํ วา ติณฺณํ วา จตุนฺนํ วา ปญฺจนฺนํ วา ทสนฺนํ วา สตสฺส วา สหสฺสสฺส วา สตสหสฺสสฺส วา สปริวารํ ทานํ ทตฺวา ทิฎฺฐธมฺมิกํ โภคํ วา ยสํ วา สุขํ วา อนุภวิตา สีเลน วา อุโปสถกเมฺมน วา’’ติ?

    3. ‘‘Bhante nāgasena, katamaṃ adhimattaṃ balavataraṃ kusalaṃ vā akusalaṃ vā’’ti? ‘‘Kusalaṃ, mahārāja, adhimattaṃ balavataraṃ, no tathā akusala’nti. ‘‘Nāhaṃ, bhante nāgasena, taṃ vacanaṃ sampaṭicchāmi ‘kusalaṃ adhimattaṃ balavataraṃ, no tathā akusala’nti, dissanti, bhante nāgasena, idha pāṇātipātino adinnādāyino kāmesumicchācārino musāvādino gāmaghātikā panthadūsakā nekatikā vañcanikā, sabbe te tāvatakena pāpena labhanti hatthacchedaṃ pādacchedaṃ hatthapādacchedaṃ kaṇṇacchedaṃ nāsacchedaṃ kaṇṇanāsacchedaṃ bilaṅgathālikaṃ saṅkhamuṇḍikaṃ rāhumukhaṃ jotimālikaṃ hatthapajjotikaṃ erakavattikaṃ cīrakavāsikaṃ eṇeyyakaṃ baḷisamaṃsikaṃ kahāpaṇikaṃ khārāpatacchikaṃ palighaparivattikaṃ palālapīṭhakaṃ tattenapi telena osiñcanaṃ sunakhehipi khādāpanaṃ jīvasūlāropanaṃ asināpi sīsacchedaṃ, keci rattiṃ pāpaṃ katvā rattiṃ yeva vipākaṃ anubhavanti, keci rattiṃ katvā divā yeva anubhavanti, keci divā katvā divā yeva anubhavanti, keci divā katvā rattiṃ yeva anubhavanti, keci dve tayo divase vītivatte anubhavanti, sabbepi te diṭṭheva dhamme vipākaṃ anubhavanti. Atthi pana, bhante nāgasena, koci ekassa vā dvinnaṃ vā tiṇṇaṃ vā catunnaṃ vā pañcannaṃ vā dasannaṃ vā satassa vā sahassassa vā satasahassassa vā saparivāraṃ dānaṃ datvā diṭṭhadhammikaṃ bhogaṃ vā yasaṃ vā sukhaṃ vā anubhavitā sīlena vā uposathakammena vā’’ti?

    ‘‘อตฺถิ, มหาราช , จตฺตาโร ปุริสา ทานํ ทตฺวา สีลํ สมาทิยิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา ทิเฎฺฐว ธเมฺม เตเนว สรีรเทเหน ติทสปุเร สมนุปฺปตฺตา’’ติ 1ฯ ‘‘โก จ โก จ ภเนฺต’’ติ? ‘‘มนฺธาตา, มหาราช, ราชา, นิมิ ราชา, สาธีโน ราชา, คุตฺติโล จ คนฺธโพฺพ’’ติฯ

    ‘‘Atthi, mahārāja , cattāro purisā dānaṃ datvā sīlaṃ samādiyitvā uposathakammaṃ katvā diṭṭheva dhamme teneva sarīradehena tidasapure samanuppattā’’ti 2. ‘‘Ko ca ko ca bhante’’ti? ‘‘Mandhātā, mahārāja, rājā, nimi rājā, sādhīno rājā, guttilo ca gandhabbo’’ti.

    ‘‘ภเนฺต นาคเสน, อเนเกหิ ตํ ภวสหเสฺสหิ อนฺตริตํ, ทฺวินฺนเมฺปตํ อมฺหากํ 3 ปโรกฺขํ, ยทิ สมโตฺถสิ วตฺตมานเก ภเว ภควโต ธรมานกาเล กเถหี’’ติ? ‘‘วตฺตมานเกปิ, มหาราช, ภเว ปุณฺณโก ทาโส เถรสฺส สาริปุตฺตสฺส โภชนํ ทตฺวา ตทเหว เสฎฺฐิฎฺฐานํ อชฺฌุปคโต, โส เอตรหิ ปุณฺณโก เสฎฺฐีติ ปญฺญายิ, โคปาลมาตา เทวี อตฺตโน เกเส วิกฺกิณิตฺวา ลเทฺธหิ อฎฺฐหิ กหาปเณหิ เถรสฺส มหากจฺจายนสฺส อตฺตฎฺฐมกสฺส ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา ตทเหว รโญฺญ จนฺทปโชฺชตสฺส 4 อคฺคมเหสิฎฺฐานํ ปตฺตาฯ สุปฺปิยา อุปาสิกา อญฺญตรสฺส คิลานภิกฺขุโน อตฺตโน อูรุมํเสน ปฎิจฺฉาทนียํ ทตฺวา ทุติยทิวเส เยว รูฬฺหวณา สญฺฉวี 5 อโรคา ชาตาฯ มลฺลิกา เทวี ภควโต อาภิโทสิกํ กุมฺมาสปิณฺฑํ ทตฺวา ตทเหว รโญฺญ โกสลสฺส อคฺคมเหสี ชาตาฯ สุมโน มาลากาโร อฎฺฐหิ สุมนปุปฺผมุฎฺฐีหิ ภควนฺตํ ปูเชตฺวา ตํ ทิวสํ เยว มหาสมฺปตฺติํ ปโตฺตฯ เอกสาฎโก พฺราหฺมโณ อุตฺตรสาฎเกน ภควนฺตํ ปูเชตฺวา ตํ ทิวสํ เยว สพฺพฎฺฐกํ ลภิ, สเพฺพเปเต, มหาราช, ทิฎฺฐธมฺมิกํ โภคญฺจ ยสญฺจ อนุภวิํสู’’ติฯ

    ‘‘Bhante nāgasena, anekehi taṃ bhavasahassehi antaritaṃ, dvinnampetaṃ amhākaṃ 6 parokkhaṃ, yadi samatthosi vattamānake bhave bhagavato dharamānakāle kathehī’’ti? ‘‘Vattamānakepi, mahārāja, bhave puṇṇako dāso therassa sāriputtassa bhojanaṃ datvā tadaheva seṭṭhiṭṭhānaṃ ajjhupagato, so etarahi puṇṇako seṭṭhīti paññāyi, gopālamātā devī attano kese vikkiṇitvā laddhehi aṭṭhahi kahāpaṇehi therassa mahākaccāyanassa attaṭṭhamakassa piṇḍapātaṃ datvā tadaheva rañño candapajjotassa 7 aggamahesiṭṭhānaṃ pattā. Suppiyā upāsikā aññatarassa gilānabhikkhuno attano ūrumaṃsena paṭicchādanīyaṃ datvā dutiyadivase yeva rūḷhavaṇā sañchavī 8 arogā jātā. Mallikā devī bhagavato ābhidosikaṃ kummāsapiṇḍaṃ datvā tadaheva rañño kosalassa aggamahesī jātā. Sumano mālākāro aṭṭhahi sumanapupphamuṭṭhīhi bhagavantaṃ pūjetvā taṃ divasaṃ yeva mahāsampattiṃ patto. Ekasāṭako brāhmaṇo uttarasāṭakena bhagavantaṃ pūjetvā taṃ divasaṃ yeva sabbaṭṭhakaṃ labhi, sabbepete, mahārāja, diṭṭhadhammikaṃ bhogañca yasañca anubhaviṃsū’’ti.

    ‘‘ภเนฺต นาคเสน, วิจินิตฺวา ปริเยสิตฺวา ฉ ชเน เยว อทฺทสาสี’’ติฯ ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต นาคเสน, อกุสลํ เยว อธิมตฺตํ พลวตรํ, โน ตถา กุสลํฯ อหญฺหิ, ภเนฺต นาคเสน, เอกทิวสํ เยว ทสปิ ปุริเส ปสฺสามิ ปาปสฺส กมฺมสฺส วิปาเกน สูเลสุ อาโรเปเนฺต, วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ ปุริสสตมฺปิ ปุริสสหสฺสมฺปิ ปสฺสามิ ปาปสฺส กมฺมสฺส วิปาเกน สูเลสุ อาโรเปเนฺตฯ นนฺทกุลสฺส, ภเนฺต นาคเสน, ภทฺทสาโล นาม เสนาปติปุโตฺต อโหสิฯ เตน จ รญฺญา จนฺทคุเตฺตน สงฺคาโม สมุปพฺยูโฬฺห อโหสิฯ ตสฺมิํ โข ปน, ภเนฺต นาคเสน, สงฺคาเม อุภโต พลกาเย อสีติกพนฺธรูปานิ อเหสุํ, เอกสฺมิํ กิร สีสกพเนฺธ ปริปาเต 9 เอกํ กพนฺธรูปํ อุฎฺฐหติ, สเพฺพเปเต ปาปเสฺสว กมฺมสฺส วิปาเกน อนยพฺยสนํ อาปนฺนาฯ อิมินาปิ, ภเนฺต นาคเสน, การเณน ภณามิ อกุสลํ เยว อธิมตฺตํ พลวตรํ, โน ตถา กุสล’’นฺติฯ

    ‘‘Bhante nāgasena, vicinitvā pariyesitvā cha jane yeva addasāsī’’ti. ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi, bhante nāgasena, akusalaṃ yeva adhimattaṃ balavataraṃ, no tathā kusalaṃ. Ahañhi, bhante nāgasena, ekadivasaṃ yeva dasapi purise passāmi pāpassa kammassa vipākena sūlesu āropente, vīsampi tiṃsampi cattālīsampi paññāsampi purisasatampi purisasahassampi passāmi pāpassa kammassa vipākena sūlesu āropente. Nandakulassa, bhante nāgasena, bhaddasālo nāma senāpatiputto ahosi. Tena ca raññā candaguttena saṅgāmo samupabyūḷho ahosi. Tasmiṃ kho pana, bhante nāgasena, saṅgāme ubhato balakāye asītikabandharūpāni ahesuṃ, ekasmiṃ kira sīsakabandhe paripāte 10 ekaṃ kabandharūpaṃ uṭṭhahati, sabbepete pāpasseva kammassa vipākena anayabyasanaṃ āpannā. Imināpi, bhante nāgasena, kāraṇena bhaṇāmi akusalaṃ yeva adhimattaṃ balavataraṃ, no tathā kusala’’nti.

    ‘‘สุยฺยติ, ภเนฺต นาคเสน, อิมสฺมิํ พุทฺธสาสเน โกสเลน รญฺญา อสทิสทานํ ทินฺน’’นฺติ? ‘‘อาม, มหาราช, สุยฺยตี’’ติฯ ‘‘อปิ นุ โข, ภเนฺต นาคเสน, โกสลราชา ตํ อสทิสํ ทานํ ทตฺวา ตโตนิทานํ กญฺจิ ทิฎฺฐธมฺมิกํ โภคํ วา ยสํ วา สุขํ วา ปฎิลภี’’ติ 11? ‘‘น หิ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, โกสลราชา เอวรูปํ อนุตฺตรํ ทานํ ทตฺวาปิ น ลภิ 12 ตโตนิทานํ กญฺจิ ทิฎฺฐธมฺมิกํ โภคํ วา ยสํ วา สุขํ วา, เตน หิ, ภเนฺต นาคเสน, อกุสลํ เยว อธิมตฺตํ พลวตรํ, โน ตถา กุสล’’นฺติฯ

    ‘‘Suyyati, bhante nāgasena, imasmiṃ buddhasāsane kosalena raññā asadisadānaṃ dinna’’nti? ‘‘Āma, mahārāja, suyyatī’’ti. ‘‘Api nu kho, bhante nāgasena, kosalarājā taṃ asadisaṃ dānaṃ datvā tatonidānaṃ kañci diṭṭhadhammikaṃ bhogaṃ vā yasaṃ vā sukhaṃ vā paṭilabhī’’ti 13? ‘‘Na hi, mahārājā’’ti. ‘‘Yadi, bhante nāgasena, kosalarājā evarūpaṃ anuttaraṃ dānaṃ datvāpi na labhi 14 tatonidānaṃ kañci diṭṭhadhammikaṃ bhogaṃ vā yasaṃ vā sukhaṃ vā, tena hi, bhante nāgasena, akusalaṃ yeva adhimattaṃ balavataraṃ, no tathā kusala’’nti.

    ‘‘ปริตฺตตฺตา, มหาราช, อกุสลํ ขิปฺปํ ปริณมติ, วิปุลตฺตา กุสลํ ทีเฆน กาเลน ปริณมติ, อุปมายปิ, มหาราช, เอตํ อุปปริกฺขิตพฺพํฯ ยถา, มหาราช, อปรเนฺต ชนปเท กุมุทภณฺฑิกา นาม ธญฺญชาติ มาสลูนา 15 อโนฺตเคหคตา โหติ, สาลโย ฉปฺปญฺจมาเสหิ ปริณมนฺติ , กิํ ปเนตฺถ, มหาราช, อนฺตรํ โก วิเสโส กุมุทภณฺฑิกาย จ สาลีนญฺจา’’ติ? ‘‘ปริตฺตตฺตา, ภเนฺต, กุมุทภณฺฑิกาย, วิปุลตฺตา จ สาลีนํฯ สาลโย, ภเนฺต นาคเสน, ราชารหา ราชโภชนํ, กุมุทภณฺฑิกา ทาสกมฺมกรานํ โภชน’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, ปริตฺตตฺตา อกุสลํ ขิปฺปํ ปริณมติ, วิปุลตฺตา กุสลํ ทีเฆน กาเลน ปริณมตี’’ติฯ

    ‘‘Parittattā, mahārāja, akusalaṃ khippaṃ pariṇamati, vipulattā kusalaṃ dīghena kālena pariṇamati, upamāyapi, mahārāja, etaṃ upaparikkhitabbaṃ. Yathā, mahārāja, aparante janapade kumudabhaṇḍikā nāma dhaññajāti māsalūnā 16 antogehagatā hoti, sālayo chappañcamāsehi pariṇamanti , kiṃ panettha, mahārāja, antaraṃ ko viseso kumudabhaṇḍikāya ca sālīnañcā’’ti? ‘‘Parittattā, bhante, kumudabhaṇḍikāya, vipulattā ca sālīnaṃ. Sālayo, bhante nāgasena, rājārahā rājabhojanaṃ, kumudabhaṇḍikā dāsakammakarānaṃ bhojana’’nti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, parittattā akusalaṃ khippaṃ pariṇamati, vipulattā kusalaṃ dīghena kālena pariṇamatī’’ti.

    ‘‘ยํ ตตฺถ, ภเนฺต นาคเสน, ขิปฺปํ ปริณมติ, ตํ นาม โลเก อธิมตฺตํ พลวตรํ, ตสฺมา อกุสลํ พลวตรํ, โน ตถา กุสลํฯ ยถา นาม, ภเนฺต นาคเสน, โย โกจิ โยโธ มหติมหายุทฺธํ ปวิสิตฺวา ปฎิสตฺตุํ อุปกจฺฉเก คเหตฺวา อากฑฺฒิตฺวา ขิปฺปตรํ สามิโน อุปเนยฺย, โส โยโธ โลเก สมโตฺถ สูโร นามฯ โย จ ภิสโกฺก ขิปฺปํ สลฺลํ อุทฺธรติ โรคมปเนติ, โส ภิสโกฺก เฉโก นามฯ โย คณโก สีฆสีฆํ คเณตฺวา ขิปฺปํ ทสฺสยติ, โส คณโก เฉโก นามฯ โย มโลฺล ขิปฺปํ ปฎิมลฺลํ อุกฺขิปิตฺวา อุตฺตานกํ ปาเตติ, โส มโลฺล สมโตฺถ สูโร นามฯ เอวเมว โข, ภเนฺต นาคเสน, ยํ ขิปฺปํ ปริณมติ กุสลํ วา อกุสลํ วา, ตํ โลเก อธิมตฺตํ พลวตร’’นฺติฯ

    ‘‘Yaṃ tattha, bhante nāgasena, khippaṃ pariṇamati, taṃ nāma loke adhimattaṃ balavataraṃ, tasmā akusalaṃ balavataraṃ, no tathā kusalaṃ. Yathā nāma, bhante nāgasena, yo koci yodho mahatimahāyuddhaṃ pavisitvā paṭisattuṃ upakacchake gahetvā ākaḍḍhitvā khippataraṃ sāmino upaneyya, so yodho loke samattho sūro nāma. Yo ca bhisakko khippaṃ sallaṃ uddharati rogamapaneti, so bhisakko cheko nāma. Yo gaṇako sīghasīghaṃ gaṇetvā khippaṃ dassayati, so gaṇako cheko nāma. Yo mallo khippaṃ paṭimallaṃ ukkhipitvā uttānakaṃ pāteti, so mallo samattho sūro nāma. Evameva kho, bhante nāgasena, yaṃ khippaṃ pariṇamati kusalaṃ vā akusalaṃ vā, taṃ loke adhimattaṃ balavatara’’nti.

    ‘‘อุภยมฺปิ ตํ, มหาราช, กมฺมํ สมฺปรายเวทนียเมว, อปิ จ โข อกุสลํ สาวชฺชตาย ขเณน ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ โหติ, ปุพฺพเกหิ, มหาราช, ขตฺติเยหิ ฐปิโต เอโส นิยโม ‘โย ปาณํ หนติ, โส ทณฺฑารโห…เป.… โย อทินฺนํ อาทิยติ…เป.… โย ปรทารํ คจฺฉติ…เป.… โย มุสา ภณติ…เป.… โย คามํ ฆาเตติ…เป.… โย ปนฺถํ ทูเสติ…เป.… โย นิกติํ กโรติ…เป.… โย วญฺจนํ กโรติ, โส ทณฺฑารโห วธิตโพฺพ เฉตฺตโพฺพ เภตฺตโพฺพ หนฺตโพฺพ’ติฯ ตํ เต อุปาทาย วิจินิตฺวา วิจินิตฺวา ทเณฺฑนฺติ วเธนฺติ ฉินฺทนฺติ ภินฺทนฺติ หนนฺติ จ, อปิ นุ, มหาราช, อตฺถิ เกหิจิ ฐปิโต นิยโม ‘โย ทานํ วา เทติ, สีลํ วา รกฺขติ, อุโปสถกมฺมํ วา กโรติ, ตสฺส ธนํ วา ยสํ วา ทาตพฺพ’นฺติ; อปิ นุ ตํ วิจินิตฺวา วิจินิตฺวา ธนํ วา ยสํ วา เทนฺติ, โจรสฺส กตกมฺมสฺส วธพนฺธนํ วิยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘ยทิ, มหาราช, ทายกานํ วิจินิตฺวา วิจินิตฺวา ธนํ วา ยสํ วา ทเทยฺยุํ, กุสลมฺปิ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ ภเวยฺย, ยสฺมา จ โข, มหาราช, ทายเก น วิจินนฺติ ‘ธนํ วา ยสํ วา ทสฺสามา’ติ, ตสฺมา กุสลํ น ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํฯ อิมินา, มหาราช, การเณน อกุสลํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ, สมฺปราเยว โส อธิมตฺตํ พลวตรํ เวทนํ เวทยตี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต นาคเสน, ตวาทิเสน พุทฺธิมเนฺตน วินา เนโส ปโญฺห สุนิเพฺพฐิโย, โลกิกํ, ภเนฺต นาคเสน, โลกุตฺตเรน วิญฺญาปิต’’นฺติฯ

    ‘‘Ubhayampi taṃ, mahārāja, kammaṃ samparāyavedanīyameva, api ca kho akusalaṃ sāvajjatāya khaṇena diṭṭhadhammavedanīyaṃ hoti, pubbakehi, mahārāja, khattiyehi ṭhapito eso niyamo ‘yo pāṇaṃ hanati, so daṇḍāraho…pe… yo adinnaṃ ādiyati…pe… yo paradāraṃ gacchati…pe… yo musā bhaṇati…pe… yo gāmaṃ ghāteti…pe… yo panthaṃ dūseti…pe… yo nikatiṃ karoti…pe… yo vañcanaṃ karoti, so daṇḍāraho vadhitabbo chettabbo bhettabbo hantabbo’ti. Taṃ te upādāya vicinitvā vicinitvā daṇḍenti vadhenti chindanti bhindanti hananti ca, api nu, mahārāja, atthi kehici ṭhapito niyamo ‘yo dānaṃ vā deti, sīlaṃ vā rakkhati, uposathakammaṃ vā karoti, tassa dhanaṃ vā yasaṃ vā dātabba’nti; api nu taṃ vicinitvā vicinitvā dhanaṃ vā yasaṃ vā denti, corassa katakammassa vadhabandhanaṃ viyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante’’ti. ‘‘Yadi, mahārāja, dāyakānaṃ vicinitvā vicinitvā dhanaṃ vā yasaṃ vā dadeyyuṃ, kusalampi diṭṭhadhammavedanīyaṃ bhaveyya, yasmā ca kho, mahārāja, dāyake na vicinanti ‘dhanaṃ vā yasaṃ vā dassāmā’ti, tasmā kusalaṃ na diṭṭhadhammavedanīyaṃ. Iminā, mahārāja, kāraṇena akusalaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ, samparāyeva so adhimattaṃ balavataraṃ vedanaṃ vedayatī’’ti. ‘‘Sādhu, bhante nāgasena, tavādisena buddhimantena vinā neso pañho sunibbeṭhiyo, lokikaṃ, bhante nāgasena, lokuttarena viññāpita’’nti.

    กุสลากุสลพลวตรปโญฺห ตติโยฯ

    Kusalākusalabalavatarapañho tatiyo.







    Footnotes:
    1. ยสมนุปตฺตาติ (สี. ปี.)
    2. yasamanupattāti (sī. pī.)
    3. ทีปิตํ, อมฺหากเมฺปตํ (ก.)
    4. อุเทนสฺส (สี. ปี.)
    5. สจฺฉวี (สี. ปี.)
    6. dīpitaṃ, amhākampetaṃ (ka.)
    7. udenassa (sī. pī.)
    8. sacchavī (sī. pī.)
    9. ปริปุเณฺณ (สพฺพตฺถ)
    10. paripuṇṇe (sabbattha)
    11. ปฎิลภตีติ (ก.)
    12. น ลภติ (ก.)
    13. paṭilabhatīti (ka.)
    14. na labhati (ka.)
    15. มาสปูรา (ก.)
    16. māsapūrā (ka.)

    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact