Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā |
กุสสงฺกามนวตฺถุกถาวณฺณนา
Kusasaṅkāmanavatthukathāvaṇṇanā
๑๓๘. พลสาติ พเลนฯ สาฎโก ภวิสฺสติ, คณฺหิสฺสามีติ อนาคตวจนํ ปสิพฺพกคฺคหณโต ปุเรตรํ สมุปฺปนฺนปริกปฺปทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ คหณกฺขเณ ปน ‘‘สาฎโก เจ, คณฺหามี’’ติ ปสิพฺพกํ คณฺหาตีติ เอวเมตฺถ อธิปฺปาโย คเหตโพฺพ, น ปน พหิ นีหริตฺวา สาฎกภาวํ ญตฺวา คเหสฺสามีติ, เตนาห ‘‘อุทฺธาเรเยว ปาราชิก’’นฺติฯ อิตรถา ‘‘อิทานิ น คณฺหามิ, ปจฺฉา อนฺธกาเร ชาเต วิชานนกาเล วา คณฺหิสฺสามิ, อิทานิ โอโลเกโนฺต วิย หตฺถคตํ กโรมี’’ติ คณฺหนฺตสฺสาปิ คหณกฺขเณ อวหาโร ภเวยฺย, น จ ตํ ยุตฺตํ ตทา คหเณ สนฺนิฎฺฐานาภาวาฯ สนฺนิฎฺฐาปกเจตนาย เอว หิ ปาณาติปาตาทิอกุสลํ วิยฯ น หิ ‘‘ปจฺฉา วธิสฺสามี’’ติ ปาณํ คณฺหนฺตสฺส ตเทว ตสฺมิํ มเตปิ ปาณาติปาโต โหติ วธกเจตนาย ปโยคสฺส อกตตฺตา, เอวมิธาปิ อตฺถงฺคเต สูริเย อวหริสฺสามีติอาทินา กาลปริกปฺปนวเสน ฐานา จาวิเตปิ ตทาปิ อวหาโร น โหติ โอกาสปริกเปฺป (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๓๘) วิย, ตสฺมิํ ปน ยถาปริกปฺปิตฎฺฐาเน กาเล อาคเต ภณฺฑํ ภูมิยํ อนิกฺขิปิตฺวาปิ เถยฺยจิเตฺตน คจฺฉโต ปทวาเรน อวหาโรติ ขายติฯ ตสฺมา ภณฺฑปริกโปฺป โอกาสปริกโปฺป กาลปริกโปฺปติ ติวิโธปิ ปริกโปฺป คเหตโพฺพฯ อฎฺฐกถายํ ปน โอกาสปริกเปฺป สโมธาเนตฺวา กาลปริกโปฺป วิสุํ น วุโตฺตติ อมฺหากํ ขนฺติ, วีมํสิตฺวา คเหตพฺพํฯ ปทวาเรน กาเรตโพฺพติ ภูมิยํ อนิกฺขิปิตฺวา วีมํสิตตฺตา วุตฺตํฯ ปริยุฎฺฐิโตติ อนุพโทฺธฯ
138.Balasāti balena. Sāṭako bhavissati, gaṇhissāmīti anāgatavacanaṃ pasibbakaggahaṇato puretaraṃ samuppannaparikappadassanavasena vuttaṃ. Gahaṇakkhaṇe pana ‘‘sāṭako ce, gaṇhāmī’’ti pasibbakaṃ gaṇhātīti evamettha adhippāyo gahetabbo, na pana bahi nīharitvā sāṭakabhāvaṃ ñatvā gahessāmīti, tenāha ‘‘uddhāreyeva pārājika’’nti. Itarathā ‘‘idāni na gaṇhāmi, pacchā andhakāre jāte vijānanakāle vā gaṇhissāmi, idāni olokento viya hatthagataṃ karomī’’ti gaṇhantassāpi gahaṇakkhaṇe avahāro bhaveyya, na ca taṃ yuttaṃ tadā gahaṇe sanniṭṭhānābhāvā. Sanniṭṭhāpakacetanāya eva hi pāṇātipātādiakusalaṃ viya. Na hi ‘‘pacchā vadhissāmī’’ti pāṇaṃ gaṇhantassa tadeva tasmiṃ matepi pāṇātipāto hoti vadhakacetanāya payogassa akatattā, evamidhāpi atthaṅgate sūriye avaharissāmītiādinā kālaparikappanavasena ṭhānā cāvitepi tadāpi avahāro na hoti okāsaparikappe (pārā. aṭṭha. 1.138) viya, tasmiṃ pana yathāparikappitaṭṭhāne kāle āgate bhaṇḍaṃ bhūmiyaṃ anikkhipitvāpi theyyacittena gacchato padavārena avahāroti khāyati. Tasmā bhaṇḍaparikappo okāsaparikappo kālaparikappoti tividhopi parikappo gahetabbo. Aṭṭhakathāyaṃ pana okāsaparikappe samodhānetvā kālaparikappo visuṃ na vuttoti amhākaṃ khanti, vīmaṃsitvā gahetabbaṃ. Padavārena kāretabboti bhūmiyaṃ anikkhipitvā vīmaṃsitattā vuttaṃ. Pariyuṭṭhitoti anubaddho.
ปริกโปฺป ทิสฺสตีติ คหณกฺขเณ ปริกโปฺป ทิสฺสติ, น ตทา เตสํ มเตน อวหาโรติ ทเสฺสติฯ ทิสฺวา หฎตฺตา ปริกปฺปาวหาโร น ทิสฺสตีติ ปจฺฉา ปน พหิ วีมํสิตฺวา สาฎกภาวํ ญตฺวา ตโต ปจฺฉา เถยฺยจิเตฺตน หฎตฺตา ปุเพฺพ กตสฺส ปริกปฺปสฺส อวหารานงฺคตฺตา ‘‘สุตฺต’’นฺติ ญตฺวา หรเณ วิย เถยฺยาวหาโร เอว สิยาฯ ตสฺมา ปริกปฺปาวหาโร น ทิสฺสติฯ สาฎโก เจ ภวิสฺสตีติอาทิกสฺส ปริกปฺปสฺส ตทา อวิชฺชมานตฺตา เกวลํ อวหาโร เอว, น ปริกปฺปาวหาโรติ อธิปฺปาโย, เตน ภณฺฑปริกปฺปาวหารสฺส ‘‘สาฎโก เจ ภวิสฺสติ, คเหสฺสามี’’ติ เอวํ ภณฺฑสนฺนิฎฺฐานาภาวกฺขเณเยว ปวตฺติํ ทเสฺสติ, เตนาห ‘‘ยํ ปริกปฺปิตํ, ตํ อทิฎฺฐํ ปริกปฺปิตภาเว ฐิตํเยว อุทฺธรนฺตสฺส อวหาโร’’ติฯ ยทิ เอวํ กสฺมา โอกาสปอปฺปาวหาโร ภณฺฑํ ทิสฺวา อวหรนฺตสฺส ปริกปฺปาวหาโร สิยาติ? นายํ โทโส อภณฺฑวิสยตฺตา ตสฺส ปริกปฺปสฺส, ปุเพฺพว ทิสฺวา ญาตภณฺฑเสฺสว หิ โอกาสปริกโปฺป วุโตฺตฯ ตํ มญฺญมาโน ตํ อวหรีติ อิทํ สุตฺตํ กิญฺจาปิ ‘‘ตเญฺญเวต’’นฺติ นิยเมตฺวา คณฺหนฺตสฺส วเสน วุตฺตํ, ตถาปิ ‘‘ตเญฺจ คณฺหิสฺสามี’’ติ เอวํ ปวเตฺต อิมสฺมิํ ปริกเปฺปปิ ‘‘คณฺหิสฺสามี’’ติ คหเณ นิยมสพฺภาวา อวหารตฺถสาธกํ โหตีติ อุทฺธฎํ, เตเนว ‘‘สเมตี’’ติ วุตฺตํฯ
Parikappo dissatīti gahaṇakkhaṇe parikappo dissati, na tadā tesaṃ matena avahāroti dasseti. Disvā haṭattā parikappāvahāro na dissatīti pacchā pana bahi vīmaṃsitvā sāṭakabhāvaṃ ñatvā tato pacchā theyyacittena haṭattā pubbe katassa parikappassa avahārānaṅgattā ‘‘sutta’’nti ñatvā haraṇe viya theyyāvahāro eva siyā. Tasmā parikappāvahāro na dissati. Sāṭako ce bhavissatītiādikassa parikappassa tadā avijjamānattā kevalaṃ avahāro eva, na parikappāvahāroti adhippāyo, tena bhaṇḍaparikappāvahārassa ‘‘sāṭako ce bhavissati, gahessāmī’’ti evaṃ bhaṇḍasanniṭṭhānābhāvakkhaṇeyeva pavattiṃ dasseti, tenāha ‘‘yaṃ parikappitaṃ, taṃ adiṭṭhaṃ parikappitabhāve ṭhitaṃyeva uddharantassa avahāro’’ti. Yadi evaṃ kasmā okāsapaappāvahāro bhaṇḍaṃ disvā avaharantassa parikappāvahāro siyāti? Nāyaṃ doso abhaṇḍavisayattā tassa parikappassa, pubbeva disvā ñātabhaṇḍasseva hi okāsaparikappo vutto. Taṃ maññamāno taṃ avaharīti idaṃ suttaṃ kiñcāpi ‘‘taññeveta’’nti niyametvā gaṇhantassa vasena vuttaṃ, tathāpi ‘‘tañce gaṇhissāmī’’ti evaṃ pavatte imasmiṃ parikappepi ‘‘gaṇhissāmī’’ti gahaṇe niyamasabbhāvā avahāratthasādhakaṃ hotīti uddhaṭaṃ, teneva ‘‘sametī’’ti vuttaṃ.
เกจีติ มหาอฎฺฐกถายเมว เอกเจฺจ อาจริยาฯ มหาปจฺจริยํ ปนาติอาทินาปิ เกจิวาโท คารโยฺห, มหาอฎฺฐกถาวาโทว ยุตฺตตโรติ ทเสฺสติฯ
Kecīti mahāaṭṭhakathāyameva ekacce ācariyā. Mahāpaccariyaṃ panātiādināpi kecivādo gārayho, mahāaṭṭhakathāvādova yuttataroti dasseti.
อลงฺการภณฺฑนฺติ องฺคุลิมุทฺทิกาทิฯ กุสํ ปาเตตฺวาติ วิลีวมยํ วา ตาลปณฺณาทิมยํ วา กตสญฺญาณํ ปาเตตฺวาฯ ปรโกฎฺฐาสโต กุเส อุทฺธเฎปิ น ตาว กุสสฺส ปริวตฺตนํ ชาตนฺติ วุตฺตํ ‘‘อุทฺธาเร รกฺขตี’’ติฯ หตฺถโต มุตฺตมเตฺต ปาราชิกนฺติ อิมินา ฐานาจาวนํ ธุรนิเกฺขปญฺจ วินา กุสสงฺกามนํ นาม วิสุํ เอโกยํ อวหาโรติ ทเสฺสติฯ สเพฺพปิ หิ อวหารา สาหตฺถิกาณตฺติกาธิปฺปายโยเคหิ นิปฺผาทิยมานา อตฺถโต ฐานาจาวนธุรนิเกฺขปกุสสงฺกามเนสุ ตีสุ สโมสรนฺตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ อิตโร ตสฺส ภาคํ อุทฺธรติ, อุทฺธาเร ปาราชิกนฺติ ปุริมสฺส อตฺตโน โกฎฺฐาเส อาลยสฺส อวิคตตฺตา วุตฺตํ, อาลเย ปน สพฺพถา อสติ อวหาโร น โหติ, เตนาห ‘‘วิจินิตาวเสสํ คณฺหนฺตสฺสาปิ อวหาโร นเตฺถวา’’ติฯ
Alaṅkārabhaṇḍanti aṅgulimuddikādi. Kusaṃ pātetvāti vilīvamayaṃ vā tālapaṇṇādimayaṃ vā katasaññāṇaṃ pātetvā. Parakoṭṭhāsato kuse uddhaṭepi na tāva kusassa parivattanaṃ jātanti vuttaṃ ‘‘uddhāre rakkhatī’’ti. Hatthato muttamatte pārājikanti iminā ṭhānācāvanaṃ dhuranikkhepañca vinā kusasaṅkāmanaṃ nāma visuṃ ekoyaṃ avahāroti dasseti. Sabbepi hi avahārā sāhatthikāṇattikādhippāyayogehi nipphādiyamānā atthato ṭhānācāvanadhuranikkhepakusasaṅkāmanesu tīsu samosarantīti daṭṭhabbaṃ. Itaro tassa bhāgaṃ uddharati, uddhāre pārājikanti purimassa attano koṭṭhāse ālayassa avigatattā vuttaṃ, ālaye pana sabbathā asati avahāro na hoti, tenāha ‘‘vicinitāvasesaṃ gaṇhantassāpi avahāro natthevā’’ti.
นายํ มมาติ ชานโนฺตปีติ เอตฺถ ปิ-สเทฺทน ตตฺถ เวมติโกปิ หุตฺวา เถยฺยจิเตฺตน คณฺหโนฺตปิ สงฺคยฺหติฯ สิเวยฺยกนฺติ สิวิรเฎฺฐ ชาตํฯ
Nāyaṃ mamāti jānantopīti ettha pi-saddena tattha vematikopi hutvā theyyacittena gaṇhantopi saṅgayhati. Siveyyakanti siviraṭṭhe jātaṃ.
๑๔๐-๑. กปฺปิยํ การาเปตฺวาติ ปจาเปตฺวาฯ ตสฺมิํ ปาจิตฺติยนฺติ อทินฺนาทานภาเวน สหปโยคสฺสาปิ อภาวา ทุกฺกฎํ น วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อาณเตฺตหีติ สมฺมเตน อาณเตฺตหิฯ อาณเตฺตนาติ สามิเกหิ อาณเตฺตนฯ ภณฺฑเทยฺยนฺติ สมฺมตาทีหิ ทินฺนตฺตา น ปราชิกํ ชาตํ, อสนฺตํ ปุคฺคลํ วตฺวา คหิตตฺตา ปน ภณฺฑเทยฺยํ วุตฺตํฯ อเญฺญน ทิยฺยมานนฺติ สมฺมตาทีหิ จตูหิ อเญฺญน ทิยฺยมานํฯ คณฺหโนฺตติ ‘‘อปรสฺส ภาคํ เทหี’’ติ วตฺวา คณฺหโนฺตฯ อปรสฺสาติ อสนฺตํ ปุคฺคลํ อทเสฺสตฺวา ปน ‘‘อปรํ ภาคํ เทหี’’ติ วา กูฎวสฺสานิ คเณตฺวา วา คณฺหโต คิหิสนฺตเก สามินา จ ‘‘อิมสฺส เทหี’’ติ เอวํ อาณเตฺตน จ ทิเนฺน ภณฺฑเทยฺยมฺปิ น โหติ, สงฺฆสนฺตเก ปน โหตีติ อิมํ วิเสสํ ทเสฺสตุํ อสมฺมเตน วา อนาณเตฺตน วาติอาทิ ปุน วุตฺตํฯ อิตเรหิ ทิยฺยมานนฺติ สมฺมเตน อาณเตฺตน วา ทิยฺยมานํฯ เอวํ คณฺหโตติ ‘‘อปรมฺปิ ภาคํ เทหี’’ติ วตฺวา กูฎวสฺสานิ คเณตฺวา วา คณฺหโตฯ สามิเกน ปนาติ เอตฺถ ปน-สโทฺท วิเสสตฺถโชตโก, เตน ‘‘อปรมฺปิ ภาคํ เทหี’’ติ วา กูฎวสฺสานิ คเณตฺวา วา คณฺหเนฺต สามิเกน สยํ เทเนฺต วา ทาเปเนฺต วา วิเสโส อตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ สุทินฺนนฺติ ภณฺฑเทยฺยํ น โหตีติ อธิปฺปาโยฯ เหฎฺฐา ปน สามิเกน เตน อาณเตฺตน วา ทิยฺยมานํ คิหิสนฺตกํ ‘‘อปรสฺส ภาคํ เทหี’’ติ วตฺวา คณฺหโต อปรสฺส อภาวโต สามิสนฺตกเมว โหตีติ ภณฺฑเทยฺยํ ชาตํ, อิธ ปน เตหิเยว ทิยฺยมานํ ‘‘อปรมฺปิ ภาคํ เทหี’’ติ วตฺวา วา กูฎวสฺสานิ คเณตฺวา วา คณฺหโต ‘‘เทหี’’ติ วุตฺตตฺตา อญฺญาตกวิญฺญตฺติมตฺตํ ฐเปตฺวา ภณฺฑเทยฺยํ น โหตีติ สุทินฺนเมวาติ วุตฺตํฯ อสฺสามิเกน ปน อาณเตฺตน ทินฺนํ ภณฺฑํ คณฺหโต ภณฺฑเทยฺยเมวาติ วทนฺติ, ปตฺตจตุเกฺก วิย อวหารตาเวตฺถ ยุตฺตา, สงฺฆสนฺตเก ปน ‘‘เทหี’’ติ วุเตฺตปิ สามิกสฺส กสฺสจิ อภาวา สมฺมเตน ทิเนฺนปิ ภณฺฑเทยฺยํ วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ
140-1.Kappiyaṃ kārāpetvāti pacāpetvā. Tasmiṃ pācittiyanti adinnādānabhāvena sahapayogassāpi abhāvā dukkaṭaṃ na vuttanti veditabbaṃ. Āṇattehīti sammatena āṇattehi. Āṇattenāti sāmikehi āṇattena. Bhaṇḍadeyyanti sammatādīhi dinnattā na parājikaṃ jātaṃ, asantaṃ puggalaṃ vatvā gahitattā pana bhaṇḍadeyyaṃ vuttaṃ. Aññena diyyamānanti sammatādīhi catūhi aññena diyyamānaṃ. Gaṇhantoti ‘‘aparassa bhāgaṃ dehī’’ti vatvā gaṇhanto. Aparassāti asantaṃ puggalaṃ adassetvā pana ‘‘aparaṃ bhāgaṃ dehī’’ti vā kūṭavassāni gaṇetvā vā gaṇhato gihisantake sāminā ca ‘‘imassa dehī’’ti evaṃ āṇattena ca dinne bhaṇḍadeyyampi na hoti, saṅghasantake pana hotīti imaṃ visesaṃ dassetuṃ asammatena vā anāṇattena vātiādi puna vuttaṃ. Itarehi diyyamānanti sammatena āṇattena vā diyyamānaṃ. Evaṃ gaṇhatoti ‘‘aparampi bhāgaṃ dehī’’ti vatvā kūṭavassāni gaṇetvā vā gaṇhato. Sāmikena panāti ettha pana-saddo visesatthajotako, tena ‘‘aparampi bhāgaṃ dehī’’ti vā kūṭavassāni gaṇetvā vā gaṇhante sāmikena sayaṃ dente vā dāpente vā viseso atthīti vuttaṃ hoti. Sudinnanti bhaṇḍadeyyaṃ na hotīti adhippāyo. Heṭṭhā pana sāmikena tena āṇattena vā diyyamānaṃ gihisantakaṃ ‘‘aparassa bhāgaṃ dehī’’ti vatvā gaṇhato aparassa abhāvato sāmisantakameva hotīti bhaṇḍadeyyaṃ jātaṃ, idha pana tehiyeva diyyamānaṃ ‘‘aparampi bhāgaṃ dehī’’ti vatvā vā kūṭavassāni gaṇetvā vā gaṇhato ‘‘dehī’’ti vuttattā aññātakaviññattimattaṃ ṭhapetvā bhaṇḍadeyyaṃ na hotīti sudinnamevāti vuttaṃ. Assāmikena pana āṇattena dinnaṃ bhaṇḍaṃ gaṇhato bhaṇḍadeyyamevāti vadanti, pattacatukke viya avahāratāvettha yuttā, saṅghasantake pana ‘‘dehī’’ti vuttepi sāmikassa kassaci abhāvā sammatena dinnepi bhaṇḍadeyyaṃ vuttanti gahetabbaṃ.
๑๔๖-๙. อาหราเปเนฺตสุ ภณฺฑเทยฺยนฺติ ‘‘คหิเต อตฺตมโน โหตี’’ติ วจนโต อนตฺตมนสฺส สนฺตกํ คหิตมฺปิ ปุน ทาตพฺพเมวาติ วุตฺตํฯ ‘‘สมฺมุขีภูเตหิ ภาเชตพฺพ’’นฺติ วจนโต ภาชนียภณฺฑํ อุปจารสีมฎฺฐานเมว ปาปุณาตีติ อาห ‘‘อโนฺตอุปจารสีมายํ ฐิตเสฺสว คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ภณฺฑเทยฺยนฺติ อุภินฺนํ สาลยภาเวปิ โจรสฺส อทตฺวา สามิกเสฺสว ทาตพฺพํ โจเรนาปิ สามิกเสฺสว ทาตพฺพโตฯ เอเสว นโยติ ปํสุกูลสญฺญาย คหิเต ภณฺฑเทยฺยํ, เถยฺยจิเตฺตน ปาราชิกนฺติ อโตฺถฯ
146-9.Āharāpentesu bhaṇḍadeyyanti ‘‘gahite attamano hotī’’ti vacanato anattamanassa santakaṃ gahitampi puna dātabbamevāti vuttaṃ. ‘‘Sammukhībhūtehi bhājetabba’’nti vacanato bhājanīyabhaṇḍaṃ upacārasīmaṭṭhānameva pāpuṇātīti āha ‘‘antoupacārasīmāyaṃ ṭhitasseva gahetuṃ vaṭṭatī’’ti. Bhaṇḍadeyyanti ubhinnaṃ sālayabhāvepi corassa adatvā sāmikasseva dātabbaṃ corenāpi sāmikasseva dātabbato. Eseva nayoti paṃsukūlasaññāya gahite bhaṇḍadeyyaṃ, theyyacittena pārājikanti attho.
วุฎฺฐหเนฺตสูติ คามํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายเนฺตสุฯ อวิเสเสนาติ สอุสฺสาหตาทิวิเสสํ อปรามสิตฺวา สามญฺญโตฯ สอุสฺสาหมตฺตเมว อาปตฺติภาวสฺส ปมาณํ สามิกานํ ปริจฺฉินฺนภาวโตฯ ตโตติ คณสนฺตกาทิโตฯ กุลสงฺคหณตฺถาย เทตีติ ปํสุกูลวิสฺสาสิกาทิสญฺญาย คเหตฺวา เทติ, ตทา กุลสงฺคหปจฺจยา จ ทุกฺกฎํ ภณฺฑเทยฺยญฺจ, เถยฺยจิเตฺต ปน สติ กุลสงฺคหณตฺถาย คณฺหโตปิ ปาราชิกเมวฯ อูนปญฺจมาสกาทีสุ กุลทูสกทุกฺกเฎน สทฺธิํ ถุลฺลจฺจยทุกฺกฎานิฯ เสนาสนตฺถาย นิยมิตนฺติ อิทํ อิสฺสรวตาย ททโต ถุลฺลจฺจยทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ อิตรปจฺจยตฺถาย ทินฺนมฺปิ อเถยฺยจิเตฺตน อิสฺสรวตาย กุลสงฺคหณตฺถาย วา ญาตกาทีนํ วา ททโต ทุกฺกฎํ ภณฺฑเทยฺยญฺจ โหเตวฯ อิสฺสรวตายาติ ‘‘มยิ เทเนฺต โก นิวาเรสฺสติ, อหเมเวตฺถ ปมาณ’’นฺติ เอวํ อตฺตโน อิสฺสริยภาเวนฯ ถุลฺลจฺจยนฺติ กุลสงฺคหณตฺถาย วา อญฺญถา วา การเณน ททโต เสนาสนตฺถาย นิยมิตสฺส ครุภณฺฑตาย ถุลฺลจฺจยํ ภณฺฑเทยฺยญฺจฯ คีวาติ เอตฺถ เสนาสนตฺถาย นิยมิเต ถุลฺลจฺจเยน สทฺธิํ คีวา, อิตรสฺมิํ ทุกฺกเฎน สทฺธินฺติ เวทิตพฺพํฯ สุขาทิตเมวาติ อโนฺตอุปจารสีมายํ ฐตฺวา ภาเชตฺวา อตฺตโน สนฺตกํ กตฺวา ขาทิตตฺตา วุตฺตํฯ สงฺฆิกญฺหิ วิหารปฎิพทฺธํ เวภงฺคิยํ พหิอุปจารสีมฎฺฐํ ภณฺฑํ อโนฺตอุปจารเฎฺฐหิ ภิกฺขูหิ เอว ภาเชตพฺพํ, น พหิ ฐิเตหิ อุปจารสีมาย ภาเชตพฺพนฺติฯ
Vuṭṭhahantesūti gāmaṃ chaḍḍetvā palāyantesu. Avisesenāti saussāhatādivisesaṃ aparāmasitvā sāmaññato. Saussāhamattameva āpattibhāvassa pamāṇaṃ sāmikānaṃ paricchinnabhāvato. Tatoti gaṇasantakādito. Kulasaṅgahaṇatthāya detīti paṃsukūlavissāsikādisaññāya gahetvā deti, tadā kulasaṅgahapaccayā ca dukkaṭaṃ bhaṇḍadeyyañca, theyyacitte pana sati kulasaṅgahaṇatthāya gaṇhatopi pārājikameva. Ūnapañcamāsakādīsu kuladūsakadukkaṭena saddhiṃ thullaccayadukkaṭāni. Senāsanatthāya niyamitanti idaṃ issaravatāya dadato thullaccayadassanatthaṃ vuttaṃ. Itarapaccayatthāya dinnampi atheyyacittena issaravatāya kulasaṅgahaṇatthāya vā ñātakādīnaṃ vā dadato dukkaṭaṃ bhaṇḍadeyyañca hoteva. Issaravatāyāti ‘‘mayi dente ko nivāressati, ahamevettha pamāṇa’’nti evaṃ attano issariyabhāvena. Thullaccayanti kulasaṅgahaṇatthāya vā aññathā vā kāraṇena dadato senāsanatthāya niyamitassa garubhaṇḍatāya thullaccayaṃ bhaṇḍadeyyañca. Gīvāti ettha senāsanatthāya niyamite thullaccayena saddhiṃ gīvā, itarasmiṃ dukkaṭena saddhinti veditabbaṃ. Sukhāditamevāti antoupacārasīmāyaṃ ṭhatvā bhājetvā attano santakaṃ katvā khāditattā vuttaṃ. Saṅghikañhi vihārapaṭibaddhaṃ vebhaṅgiyaṃ bahiupacārasīmaṭṭhaṃ bhaṇḍaṃ antoupacāraṭṭhehi bhikkhūhi eva bhājetabbaṃ, na bahi ṭhitehi upacārasīmāya bhājetabbanti.
๑๕๐. ‘‘วุโตฺต วเชฺชมี’’ติ วุตฺตภิกฺขุสฺมิํ ‘‘วุโตฺต วเชฺชหี’’ติ วุตฺตสฺส ปจฺฉา อุปฺปชฺชนกปาราชิกาทิโทสาโรปนโต, คหฎฺฐานํ วา ‘‘ภทนฺตา อปริเจฺฉทํ กตฺวา วทนฺตี’’ติ เอวํ โทสาโรปนโตฯ
150. ‘‘Vutto vajjemī’’ti vuttabhikkhusmiṃ ‘‘vutto vajjehī’’ti vuttassa pacchā uppajjanakapārājikādidosāropanato, gahaṭṭhānaṃ vā ‘‘bhadantā aparicchedaṃ katvā vadantī’’ti evaṃ dosāropanato.
๑๕๓-๕. ฉาตชฺฌตฺตนฺติ เตน ฉาเตน ชิฆจฺฉาย อุทรคฺคินา ฌตฺตํ, ทฑฺฒํ ปีฬิตนฺติ อโตฺถฯ ธนุกนฺติ ขุทฺทกธนุสณฺฐานํ ลคฺคนกทณฺฑํฯ มทฺทโนฺต คจฺฉติ, ภณฺฑเทยฺยนฺติ เอตฺถ เอกสูกรคฺฆนกภณฺฑํ ทาตพฺพํ เอกสฺมิํ พเนฺธ อเญฺญสํ ตตฺถ อพชฺฌนโตฯ อทูหลนฺติ ยนฺตปาสาโณ, เยน อโชฺฌตฺถฎตฺตา มิคา ปลายิตุํ น สโกฺกนฺติฯ ปจฺฉา คจฺฉตีติ เตน กตปโยเคน อคนฺตฺวา ปจฺฉา สยเมว คจฺฉติ, เหฎฺฐา วุเตฺตสุปิ อีทิเสสุ ฐาเนสุ เอเสว นโยฯ รกฺขํ ยาจิตฺวาติ ราชปุริสานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา อนุทฺทิสฺส รกฺขํ ยาจิตฺวาฯ กุมีนมุขนฺติ กุมีนสฺส อโนฺต มจฺฉานํ ปวิสนมุขํฯ
153-5.Chātajjhattanti tena chātena jighacchāya udaragginā jhattaṃ, daḍḍhaṃ pīḷitanti attho. Dhanukanti khuddakadhanusaṇṭhānaṃ lagganakadaṇḍaṃ. Maddanto gacchati, bhaṇḍadeyyanti ettha ekasūkaragghanakabhaṇḍaṃ dātabbaṃ ekasmiṃ bandhe aññesaṃ tattha abajjhanato. Adūhalanti yantapāsāṇo, yena ajjhotthaṭattā migā palāyituṃ na sakkonti. Pacchā gacchatīti tena katapayogena agantvā pacchā sayameva gacchati, heṭṭhā vuttesupi īdisesu ṭhānesu eseva nayo. Rakkhaṃ yācitvāti rājapurisānaṃ santikaṃ gantvā anuddissa rakkhaṃ yācitvā. Kumīnamukhanti kumīnassa anto macchānaṃ pavisanamukhaṃ.
๑๕๖. เถรานนฺติ อาคนฺตุกเตฺถรานํฯ เตสมฺปีติ อาวาสิกภิกฺขูนมฺปิฯ ปริโภคตฺถายาติ สงฺฆิเก กตฺตพฺพวิธิํ กตฺวา ปริภุญฺชนตฺถายฯ คหเณติ ปาฐเสโส ทฎฺฐโพฺพฯ ยตฺถาติ ยสฺมิํ อาวาเสฯ อเญฺญสนฺติ อเญฺญสํ อาคนฺตุกานํฯ เตสุปิ อาคนฺตุกา อนิสฺสราติ เสนาสเน นิรนฺตรํ วสนฺตานํ จีวรตฺถาย ทายเกหิ ภิกฺขูหิ วา นิยเมตฺวา ทินฺนตฺตา ภาเชตฺวา ขาทิตุํ อนิสฺสรา, อาคนฺตุเกหิปิ อิจฺฉเนฺตหิ ตสฺมิํ วิหาเร วสฺสานาทีสุ ปวิสิตฺวา จีวรตฺถาย คเหตพฺพํฯ เตสํ กติกาย ฐาตพฺพนฺติ สพฺพานิ ผลาผลานิ อภาเชตฺวา ‘‘เอตฺตเกสุ รุเกฺขสุ ผลานิ ภาเชตฺวา ปริภุญฺชิสฺสาม, อเญฺญสุ ผลาผเลหิ เสนาสนานิ ปฎิชคฺคิสฺสามา’’ติ วา, ‘‘ปิณฺฑปาตาทิปจฺจยํ สมฺปาเทสฺสามา’’ติ วา, ‘‘กิญฺจิปิ อภาเชตฺวา จตุปจฺจยตฺถาเยว อุปเนมา’’ติ วา เอวํ สมฺมา อุปเนนฺตานํ อาวาสิกานํ กติกาย อาคนฺตุเกหิ ฐาตพฺพํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ‘‘อนิสฺสรา’’ติ วจเนน ทีปิโต เอว อโตฺถ, มหาปจฺจริยํ จตุนฺนํ ปจฺจยานนฺติอาทินา วิตฺถาเรตฺวา ทสฺสิโตฯ ปริโภควเสเนวาติ เอตฺถ เอว-สโทฺท อฎฺฐานปฺปยุโตฺต, ปริโภควเสน ตเมว ภาเชตฺวาติ โยเชตพฺพํฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ วิหาเร, รเฎฺฐ วาฯ
156.Therānanti āgantukattherānaṃ. Tesampīti āvāsikabhikkhūnampi. Paribhogatthāyāti saṅghike kattabbavidhiṃ katvā paribhuñjanatthāya. Gahaṇeti pāṭhaseso daṭṭhabbo. Yatthāti yasmiṃ āvāse. Aññesanti aññesaṃ āgantukānaṃ. Tesupi āgantukā anissarāti senāsane nirantaraṃ vasantānaṃ cīvaratthāya dāyakehi bhikkhūhi vā niyametvā dinnattā bhājetvā khādituṃ anissarā, āgantukehipi icchantehi tasmiṃ vihāre vassānādīsu pavisitvā cīvaratthāya gahetabbaṃ. Tesaṃ katikāya ṭhātabbanti sabbāni phalāphalāni abhājetvā ‘‘ettakesu rukkhesu phalāni bhājetvā paribhuñjissāma, aññesu phalāphalehi senāsanāni paṭijaggissāmā’’ti vā, ‘‘piṇḍapātādipaccayaṃ sampādessāmā’’ti vā, ‘‘kiñcipi abhājetvā catupaccayatthāyeva upanemā’’ti vā evaṃ sammā upanentānaṃ āvāsikānaṃ katikāya āgantukehi ṭhātabbaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ ‘‘anissarā’’ti vacanena dīpito eva attho, mahāpaccariyaṃ catunnaṃ paccayānantiādinā vitthāretvā dassito. Paribhogavasenevāti ettha eva-saddo aṭṭhānappayutto, paribhogavasena tameva bhājetvāti yojetabbaṃ. Etthāti etasmiṃ vihāre, raṭṭhe vā.
เสนาสนปจฺจยนฺติ เสนาสนญฺจ ตทตฺถาย นิยเมตฺวา ฐปิตญฺจฯ เอกํ วา เทฺว วา วรเสนาสนานิ ฐเปตฺวาติ วุตฺตเมวตฺถํ ปุน พฺยติเรกมุเขน ทเสฺสตุํ ‘‘มูลวตฺถุเจฺฉทํ ปน กตฺวา น อุปเนตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ, เสนาสนสงฺขาตวตฺถุโน มูลเจฺฉทํ กตฺวา สพฺพานิ เสนาสนานิ น วิสฺสเชฺชตพฺพานีติ อโตฺถฯ เกจิ ปเนตฺถ ‘‘เอกํ วา เทฺว วา วรเสนาสนานิ ฐเปตฺวา ลามกโต ปฎฺฐาย วิสฺสเชฺชเนฺตหิปิ เสนาสนภูมิโย น วิสฺสเชฺชตพฺพาติ อยมโตฺถ วุโตฺต’’ติ วทนฺติ, ตมฺปิ ยุตฺตเมว อิมสฺสาปิ อตฺถสฺส อวสฺสํ วตฺตพฺพโต, อิตรถา เกจิ สห วตฺถุนาปิ วิสฺสเชฺชตพฺพํ มเญฺญยฺยุํฯ
Senāsanapaccayanti senāsanañca tadatthāya niyametvā ṭhapitañca. Ekaṃ vā dve vā varasenāsanāni ṭhapetvāti vuttamevatthaṃ puna byatirekamukhena dassetuṃ ‘‘mūlavatthucchedaṃ pana katvā na upanetabba’’nti vuttaṃ, senāsanasaṅkhātavatthuno mūlacchedaṃ katvā sabbāni senāsanāni na vissajjetabbānīti attho. Keci panettha ‘‘ekaṃ vā dve vā varasenāsanāni ṭhapetvā lāmakato paṭṭhāya vissajjentehipi senāsanabhūmiyo na vissajjetabbāti ayamattho vutto’’ti vadanti, tampi yuttameva imassāpi atthassa avassaṃ vattabbato, itarathā keci saha vatthunāpi vissajjetabbaṃ maññeyyuṃ.
ปณฺณํ อาโรเปตฺวาติ ‘‘เอตฺตเก รุเกฺข รกฺขิตฺวา ตโต เอตฺตกํ คเหตพฺพ’’นฺติ ปณฺณํ อาโรเปตฺวาฯ นิมิตฺตสญฺญํ กตฺวาติ สเงฺกตํ กตฺวาฯ ทารกาติ เตสํ ปุตฺตนตฺตาทโย เย เกจิ โคเปนฺติ, เต สเพฺพปิ อิธ ‘‘ทารกา’’ติ วุตฺตาฯ ตโตติ ยถาวุตฺตทารุสมฺภารโตฯ อาปุจฺฉิตฺวาติ การกสงฺฆํ อาปุจฺฉิตฺวาฯ ตํ สพฺพมฺปิ อาหริตฺวาติ อนาปุจฺฉิตฺวาปิ ตาวกาลิกํ อาหริตฺวาฯ อยเมว ภิกฺขุ อิสฺสโรติอาทิโต ปฎฺฐาย อตฺตโน สนฺตเกหิ ทารุสมฺภาราทีหิ จ การาปิตตฺตา ปฎิชคฺคิตตฺตา จ สงฺฆิกเสนาสเน ภาคิตาย จ อยเมว อิสฺสโร, น จ โส ตโต วุฎฺฐาเปตโพฺพติ วุตฺตํ โหติฯ อุทกปูชนฺติ เจติยงฺคเณ สิญฺจนาทิปูชํฯ วตฺตสีเสนาติ เกวลํ สทฺธาย, น เวตนาทิอตฺถายฯ สวตฺถุกนฺติ สห ภูมิยาฯ กุฎฺฎนฺติ เคหภิตฺติํฯ ปาการนฺติ ปริเกฺขปปาการํฯ ตโตติ ฉฑฺฑิตวิหารโตฯ ตโต อาหริตฺวา เสนาสนํ กตํ โหตีติ สามนฺตคามวาสีหิ ภิกฺขูหิ ฉฑฺฑิตวิหารโต ทารุสมฺภาราทิํ อาหริตฺวา เสนาสนํ กตํ โหติฯ
Paṇṇaṃ āropetvāti ‘‘ettake rukkhe rakkhitvā tato ettakaṃ gahetabba’’nti paṇṇaṃ āropetvā. Nimittasaññaṃ katvāti saṅketaṃ katvā. Dārakāti tesaṃ puttanattādayo ye keci gopenti, te sabbepi idha ‘‘dārakā’’ti vuttā. Tatoti yathāvuttadārusambhārato. Āpucchitvāti kārakasaṅghaṃ āpucchitvā. Taṃ sabbampi āharitvāti anāpucchitvāpi tāvakālikaṃ āharitvā. Ayameva bhikkhu issarotiādito paṭṭhāya attano santakehi dārusambhārādīhi ca kārāpitattā paṭijaggitattā ca saṅghikasenāsane bhāgitāya ca ayameva issaro, na ca so tato vuṭṭhāpetabboti vuttaṃ hoti. Udakapūjanti cetiyaṅgaṇe siñcanādipūjaṃ. Vattasīsenāti kevalaṃ saddhāya, na vetanādiatthāya. Savatthukanti saha bhūmiyā. Kuṭṭanti gehabhittiṃ. Pākāranti parikkhepapākāraṃ. Tatoti chaḍḍitavihārato. Tato āharitvā senāsanaṃ kataṃ hotīti sāmantagāmavāsīhi bhikkhūhi chaḍḍitavihārato dārusambhārādiṃ āharitvā senāsanaṃ kataṃ hoti.
๑๕๗. ‘‘ปุคฺคลิกปริโภเคน ปริภุญฺชตี’’ติ วุตฺตมตฺถํเยว ปากฎํ กาตุํ ‘‘อาคตาคตานํ วุฑฺฒตรานํ น เทตี’’ติ วุตฺตํฯ จตุภาคอุทกสมฺภิเนฺนติ จตุตฺถภาเคน สมฺภิเนฺนฯ ปาฬิยํ ‘‘อนาปตฺติ, ภิกฺขเว, ปาราชิกสฺสา’’ติ (ปารา. ๑๕๗) สามิเกหิ ถุลฺลนนฺทํ อุทฺทิสฺส เอติสฺสา หเตฺถ ทินฺนตฺตา, อเถยฺยจิเตฺตน ปริภุญฺชิตตฺตา จ วุตฺตํฯ เถยฺยจิเตฺตน ปริภุเตฺตปิ จสฺสา ภณฺฑเทยฺยเมว อุปนิกฺขิตฺตภณฺฑฎฺฐานิยตฺตาฯ โอทนภาชนียวตฺถุสฺมินฺติ ‘‘อปรสฺส ภาคํ เทหี’’ติ อาคตวตฺถุสฺมิํ (ปารา. ๑๔๑)ฯ
157. ‘‘Puggalikaparibhogena paribhuñjatī’’ti vuttamatthaṃyeva pākaṭaṃ kātuṃ ‘‘āgatāgatānaṃ vuḍḍhatarānaṃ na detī’’ti vuttaṃ. Catubhāgaudakasambhinneti catutthabhāgena sambhinne. Pāḷiyaṃ ‘‘anāpatti, bhikkhave, pārājikassā’’ti (pārā. 157) sāmikehi thullanandaṃ uddissa etissā hatthe dinnattā, atheyyacittena paribhuñjitattā ca vuttaṃ. Theyyacittena paribhuttepi cassā bhaṇḍadeyyameva upanikkhittabhaṇḍaṭṭhāniyattā. Odanabhājanīyavatthusminti ‘‘aparassa bhāgaṃ dehī’’ti āgatavatthusmiṃ (pārā. 141).
๑๕๙. ตสฺส กุลสฺส อนุกมฺปาย ปสาทานุรกฺขณตฺถายาติอาทินา กุลสงฺคหตฺถํ นากาสีติ ทเสฺสติฯ ‘‘ยาว ทารกา ปาสาทํ อาโรหนฺติ, ตาว ปาสาโท เตสํ สนฺติเก โหตู’’ติ ปุเพฺพ กาลปริเจฺฉทํ กตฺวา อธิฎฺฐิตตฺตา เอว ยถากาลปริเจฺฉทเมว ตตฺถ ติฎฺฐติ, ตโต ปรํ ปาสาโท สยเมว ยถาฐานํ คจฺฉติ, ตถาคมนญฺจ อิทฺธิวิสฺสชฺชเนน สญฺชาตํ วิย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘เถโร อิทฺธิํ ปฎิสํหรี’’ติฯ ยสฺมา เอวํ อิทฺธิวิธญาเณน กโรนฺตสฺส กายวจีปโยคา น สนฺติ เถยฺยจิตฺตญฺจ นตฺถิ ปาสาทเสฺสว วิจาริตตฺตา, ตสฺมา ‘‘เอตฺถ อวหาโร นตฺถี’’ติ เถโร เอวมกาสีติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ทารเกสุ อนุกมฺปาย อานยนตฺถเมว ปาสาเท อุปนีเต ปาเส พทฺธสูกราทีนํ อามิสํ ทเสฺสตฺวา ฐานาจาวนํ วิย กรมรานีเตสุ ทารเกสุ ปาสาทํ อารุเฬฺหสุปิ ปุน ปฎิสํหรเณ จ อิธ อวหาโร นตฺถิ การุญฺญาธิปฺปายตฺตา, ภณฺฑเทยฺยมฺปิ น โหติ กายวจีปโยคาภาวาฯ กายวจีปโยเค สติเยว หิ อาปตฺติ ภณฺฑเทยฺยํ วา โหติ, เตเนว ภควา ‘‘อนาปตฺติ, ภิกฺขเว, อเถยฺยจิตฺตสฺสา’’ติอาทิํ อวตฺวา ‘‘อนาปตฺติ, ภิกฺขเว, อิทฺธิมสฺส อิทฺธิวิสเย’’ติ (ปารา. ๑๕๙) เอตฺตกเมว อโวจฯ อิทฺธิวิสเยติ เจตฺถ ปรภณฺฑาทายกกายวจีปโยคาสมุฎฺฐาปกสฺส เกวลํ มโนทฺวาริกสฺส อเถยฺยจิตฺตภูตสฺส อิทฺธิจิตฺตสฺส วิสเย อาปตฺติ นาม นตฺถีติ อธิปฺปาโย คเหตโพฺพฯ กิํ ปน ปฎิกฺขิตฺตํ อิทฺธิปาฎิหาริยํ กาตุํ วฎฺฎตีติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘อีทิสาย อธิฎฺฐานิทฺธิยา อนาปตฺตี’’ติฯ ‘‘อนาปตฺติ, ภิกฺขเว, อิทฺธิมสฺส อิทฺธิวิสเย’’ติ หิ อิมินาเยว สุเตฺตน อธิฎฺฐานิทฺธิยา อปฺปฎิกฺขิตฺตภาโว สิชฺฌติฯ อตฺตโน ปกติวณฺณํ อวิชหิตฺวา พหิทฺธา หตฺถิอาทิทสฺสนํ, ‘‘เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๓๘, ๒๓๙; ม. นิ. ๑.๑๔๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๐๒) อาคตญฺจ อธิฎฺฐานวเสน นิปฺผนฺนตฺตา อธิฎฺฐานิทฺธิ นาม, ‘‘โส ปกติวณฺณํ วิชหิตฺวา กุมารกวณฺณํ วา ทเสฺสติ, นาควณฺณํ…เป.… วิวิธมฺปิ เสนาพฺยูหํ ทเสฺสตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๓.๑๓) เอวํ อาคตา อิทฺธิ ปกติวณฺณวิชหนวิการวเสน ปวตฺตตฺตา วิกุพฺพนิทฺธิ นามฯ อตฺตโน ปน ปกติรูปํ ยถาสภาเวน ฐเปตฺวาว พหิ หตฺถิอาทิทสฺสนํ วิกุพฺพนิทฺธิ นาม น โหติ, อตฺตโน รูปเมว หตฺถิอาทิรูเปน นิมฺมานํ วิกุพฺพนิทฺธีติ เวทิตพฺพํฯ
159.Tassakulassa anukampāya pasādānurakkhaṇatthāyātiādinā kulasaṅgahatthaṃ nākāsīti dasseti. ‘‘Yāva dārakā pāsādaṃ ārohanti, tāva pāsādo tesaṃ santike hotū’’ti pubbe kālaparicchedaṃ katvā adhiṭṭhitattā eva yathākālaparicchedameva tattha tiṭṭhati, tato paraṃ pāsādo sayameva yathāṭhānaṃ gacchati, tathāgamanañca iddhivissajjanena sañjātaṃ viya hotīti vuttaṃ ‘‘thero iddhiṃ paṭisaṃharī’’ti. Yasmā evaṃ iddhividhañāṇena karontassa kāyavacīpayogā na santi theyyacittañca natthi pāsādasseva vicāritattā, tasmā ‘‘ettha avahāro natthī’’ti thero evamakāsīti daṭṭhabbaṃ. Atha vā dārakesu anukampāya ānayanatthameva pāsāde upanīte pāse baddhasūkarādīnaṃ āmisaṃ dassetvā ṭhānācāvanaṃ viya karamarānītesu dārakesu pāsādaṃ āruḷhesupi puna paṭisaṃharaṇe ca idha avahāro natthi kāruññādhippāyattā, bhaṇḍadeyyampi na hoti kāyavacīpayogābhāvā. Kāyavacīpayoge satiyeva hi āpatti bhaṇḍadeyyaṃ vā hoti, teneva bhagavā ‘‘anāpatti, bhikkhave, atheyyacittassā’’tiādiṃ avatvā ‘‘anāpatti, bhikkhave, iddhimassa iddhivisaye’’ti (pārā. 159) ettakameva avoca. Iddhivisayeti cettha parabhaṇḍādāyakakāyavacīpayogāsamuṭṭhāpakassa kevalaṃ manodvārikassa atheyyacittabhūtassa iddhicittassa visaye āpatti nāma natthīti adhippāyo gahetabbo. Kiṃ pana paṭikkhittaṃ iddhipāṭihāriyaṃ kātuṃ vaṭṭatīti codanaṃ sandhāyāha ‘‘īdisāya adhiṭṭhāniddhiyā anāpattī’’ti. ‘‘Anāpatti, bhikkhave, iddhimassa iddhivisaye’’ti hi imināyeva suttena adhiṭṭhāniddhiyā appaṭikkhittabhāvo sijjhati. Attano pakativaṇṇaṃ avijahitvā bahiddhā hatthiādidassanaṃ, ‘‘ekopi hutvā bahudhā hotī’’ti (dī. ni. 1.238, 239; ma. ni. 1.147; paṭi. ma. 1.102) āgatañca adhiṭṭhānavasena nipphannattā adhiṭṭhāniddhi nāma, ‘‘so pakativaṇṇaṃ vijahitvā kumārakavaṇṇaṃ vā dasseti, nāgavaṇṇaṃ…pe… vividhampi senābyūhaṃ dassetī’’ti (paṭi. ma. 3.13) evaṃ āgatā iddhi pakativaṇṇavijahanavikāravasena pavattattā vikubbaniddhi nāma. Attano pana pakatirūpaṃ yathāsabhāvena ṭhapetvāva bahi hatthiādidassanaṃ vikubbaniddhi nāma na hoti, attano rūpameva hatthiādirūpena nimmānaṃ vikubbaniddhīti veditabbaṃ.
ปราชิตกิเลเสนาติ วิชิตกิเลเสน, นิกฺกิเลเสนาติ อโตฺถฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเน, เตน ทุติยปาราชิกสิกฺขาปเทน สมํ อญฺญํ อเนกนยโวกิณฺณํ คมฺภีรตฺถวินิจฺฉยํ กิญฺจิ สิกฺขาปทํ น วิชฺชตีติ โยชนาฯ ตตฺถ อโตฺถ นาม ปาฬิอโตฺถ, วินิจฺฉโย ปาฬิมุตฺตกวินิจฺฉโย, เต คมฺภีรา ยสฺมิํ, ตํ คมฺภีรตฺถวินิจฺฉยํฯ วตฺถุมฺหิ โอติเณฺณติ โจทนาวเสน วา อตฺตนาว อตฺตโน วีติกฺกมาโรจนวเสน วา สงฺฆมเชฺฌ อทินฺนาทานวตฺถุสฺมิํ โอติเณฺณฯ เอตฺถาติ โอติณฺณวตฺถุมฺหิฯ วินิจฺฉโยติ อาปตฺตานาปตฺตินิยมนํฯ กปฺปิเยปิ จ วตฺถุสฺมินฺติ อตฺตนา คเหตุํ ยุเตฺต มาตาปิตาทีนํ สนฺตเกปิฯ
Parājitakilesenāti vijitakilesena, nikkilesenāti attho. Idhāti imasmiṃ sāsane, tena dutiyapārājikasikkhāpadena samaṃ aññaṃ anekanayavokiṇṇaṃ gambhīratthavinicchayaṃ kiñci sikkhāpadaṃ na vijjatīti yojanā. Tattha attho nāma pāḷiattho, vinicchayo pāḷimuttakavinicchayo, te gambhīrā yasmiṃ, taṃ gambhīratthavinicchayaṃ. Vatthumhi otiṇṇeti codanāvasena vā attanāva attano vītikkamārocanavasena vā saṅghamajjhe adinnādānavatthusmiṃ otiṇṇe. Etthāti otiṇṇavatthumhi. Vinicchayoti āpattānāpattiniyamanaṃ. Kappiyepi ca vatthusminti attanā gahetuṃ yutte mātāpitādīnaṃ santakepi.
อิติ สมนฺตปาสาทิกาย วินยฎฺฐกถาย วิมติวิโนทนิยํ
Iti samantapāsādikāya vinayaṭṭhakathāya vimativinodaniyaṃ
ทุติยปาราชิกวณฺณนานโย นิฎฺฐิโตฯ
Dutiyapārājikavaṇṇanānayo niṭṭhito.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๒. ทุติยปาราชิกํ • 2. Dutiyapārājikaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๒. ทุติยปาราชิกํ • 2. Dutiyapārājikaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / วินีตวตฺถุวณฺณนา • Vinītavatthuvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / กุสสงฺกามนวตฺถุกถาวณฺณนา • Kusasaṅkāmanavatthukathāvaṇṇanā