Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā)

    ๕. กูฎทนฺตสุตฺตวณฺณนา

    5. Kūṭadantasuttavaṇṇanā

    ๓๒๓. เอวํ เม สุตํ…เป.… มคเธสูติ กูฎทนฺตสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อปุพฺพปทวณฺณนาฯ มคเธสูติ มคธา นาม ชานปทิโน ราชกุมารา, เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รูฬฺหีสเทฺทน มคธาติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ มคเธสุ ชนปเทฯ อิโต ปรํ ปุริมสุตฺตทฺวเย วุตฺตนยเมวฯ อมฺพลฎฺฐิกา พฺรหฺมชาเล วุตฺตสทิสาวฯ กูฎทโนฺตติ ตสฺส พฺราหฺมณสฺส นามํฯ อุปกฺขโฎติ สชฺชิโตฯ วจฺฉตรสตานีติ วจฺฉสตานิฯ อุรพฺภาติ ตรุณเมณฺฑกา วุจฺจนฺติฯ เอเต ตาว ปาฬิยํ อาคตาเยวฯ ปาฬิยํ ปน อนาคตานมฺปิ อเนเกสํ มิคปกฺขีนํ สตฺตสตฺตสตานิ สมฺปิณฺฑิตาเนวาติ เวทิตพฺพานิฯ สพฺพสตฺตสติกยาคํ กิเรส ยชิตุกาโม โหติฯ ถูณูปนีตานีติ พนฺธิตฺวา ฐปนตฺถาย ยูปสงฺขาตํ ถูณํ อุปนีตานิฯ

    323.Evaṃme sutaṃ…pe… magadhesūti kūṭadantasuttaṃ. Tatrāyaṃ apubbapadavaṇṇanā. Magadhesūti magadhā nāma jānapadino rājakumārā, tesaṃ nivāso ekopi janapado rūḷhīsaddena magadhāti vuccati, tasmiṃ magadhesu janapade. Ito paraṃ purimasuttadvaye vuttanayameva. Ambalaṭṭhikā brahmajāle vuttasadisāva. Kūṭadantoti tassa brāhmaṇassa nāmaṃ. Upakkhaṭoti sajjito. Vacchatarasatānīti vacchasatāni. Urabbhāti taruṇameṇḍakā vuccanti. Ete tāva pāḷiyaṃ āgatāyeva. Pāḷiyaṃ pana anāgatānampi anekesaṃ migapakkhīnaṃ sattasattasatāni sampiṇḍitānevāti veditabbāni. Sabbasattasatikayāgaṃ kiresa yajitukāmo hoti. Thūṇūpanītānīti bandhitvā ṭhapanatthāya yūpasaṅkhātaṃ thūṇaṃ upanītāni.

    ๓๒๘. ติวิธนฺติ เอตฺถ วิธา วุจฺจติ ฐปนา, ติฎฺฐปนนฺติ อโตฺถฯ โสฬสปริกฺขารนฺติ โสฬสปริวารํฯ

    328.Tividhanti ettha vidhā vuccati ṭhapanā, tiṭṭhapananti attho. Soḷasaparikkhāranti soḷasaparivāraṃ.

    ๓๓๐-๓๓๖. ปฎิวสนฺตีติ ยญฺญานุภวนตฺถาย ปฎิวสนฺติฯ ภูตปุพฺพนฺติ อิทํ ภควา ปถวีคตํ นิธิํ อุทฺธริตฺวา ปุรโต ราสิํ กโรโนฺต วิย ภวปฎิจฺฉนฺนํ ปุพฺพจริตํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ มหาวิชิโตติ โส กิร สาครปริยนฺตํ มหนฺตํ ปถวีมณฺฑลํ วิชินิ, อิติ มหนฺตํ วิชิตมสฺสาติ มหาวิชิโต เตฺวว สงฺขฺยํ อคมาสิฯ อโฑฺฒติอาทีสุ โย โกจิ อตฺตโน สนฺตเกน วิภเวน อโฑฺฒ โหติ, อยํ ปน น เกวลํ อโฑฺฒเยว, มหทฺธโน มหตา อปริมาณสเงฺขฺยน ธเนน สมนฺนาคโตฯ ปญฺจกามคุณวเสน มหนฺตา อุฬารา โภคา อสฺสาติ มหาโภโคฯ ปิณฺฑปิณฺฑวเสน เจว สุวณฺณมาสกรชตมาสกาทิวเสน จ ชาตรูปรชตสฺส ปหูตตาย ปหูตชาตรูปรชโต, อเนกโกฎิสเงฺขฺยน ชาตรูปรชเตน สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ วิตฺตีติ ตุฎฺฐิ, วิตฺติยา อุปกรณํ วิตฺตูปกรณํ ตุฎฺฐิการณนฺติ อโตฺถฯ ปหูตํ นานาวิธาลงฺการสุวณฺณรชตภาชนาทิเภทํ วิตฺตูปกรณมสฺสาติ ปหูตวิตฺตูปกรโณฯ สตฺตรตนสงฺขาตสฺส นิทหิตฺวา ฐปิตธนสฺส สพฺพปุพฺพณฺณาปรณฺณสงฺคหิตสฺส ธญฺญสฺส จ ปหูตตาย ปหูตธนธโญฺญ ฯ อถวา อิทมสฺส เทวสิกํ ปริพฺพยทานคฺคหณาทิวเสน ปริวตฺตนธนธญฺญวเสน วุตฺตํฯ

    330-336.Paṭivasantīti yaññānubhavanatthāya paṭivasanti. Bhūtapubbanti idaṃ bhagavā pathavīgataṃ nidhiṃ uddharitvā purato rāsiṃ karonto viya bhavapaṭicchannaṃ pubbacaritaṃ dassento āha. Mahāvijitoti so kira sāgarapariyantaṃ mahantaṃ pathavīmaṇḍalaṃ vijini, iti mahantaṃ vijitamassāti mahāvijito tveva saṅkhyaṃ agamāsi. Aḍḍhotiādīsu yo koci attano santakena vibhavena aḍḍho hoti, ayaṃ pana na kevalaṃ aḍḍhoyeva, mahaddhano mahatā aparimāṇasaṅkhyena dhanena samannāgato. Pañcakāmaguṇavasena mahantā uḷārā bhogā assāti mahābhogo. Piṇḍapiṇḍavasena ceva suvaṇṇamāsakarajatamāsakādivasena ca jātarūparajatassa pahūtatāya pahūtajātarūparajato, anekakoṭisaṅkhyena jātarūparajatena samannāgatoti attho. Vittīti tuṭṭhi, vittiyā upakaraṇaṃ vittūpakaraṇaṃ tuṭṭhikāraṇanti attho. Pahūtaṃ nānāvidhālaṅkārasuvaṇṇarajatabhājanādibhedaṃ vittūpakaraṇamassāti pahūtavittūpakaraṇo. Sattaratanasaṅkhātassa nidahitvā ṭhapitadhanassa sabbapubbaṇṇāparaṇṇasaṅgahitassa dhaññassa ca pahūtatāya pahūtadhanadhañño. Athavā idamassa devasikaṃ paribbayadānaggahaṇādivasena parivattanadhanadhaññavasena vuttaṃ.

    ปริปุณฺณโกสโกฎฺฐาคาโรติ โกโส วุจฺจติ ภณฺฑาคารํ, นิทหิตฺวา ฐปิเตน ธเนน ปริปุณฺณโกโส, ธเญฺญน ปริปุณฺณโกฎฺฐาคาโร จาติ อโตฺถฯ อถวา จตุพฺพิโธ โกโส – หตฺถี, อสฺสา, รถา, ปตฺตีติฯ โกฎฺฐาคารํ ติวิธํ – ธนโกฎฺฐาคารํ, วตฺถโกฎฺฐาคารํ, ธญฺญโกฎฺฐาคารนฺติ, ตํ สพฺพมฺปิ ปริปุณฺณมสฺสาติ ปริปุณฺณโกสโกฎฺฐาคาโรฯ อุทปาทีติ อุปฺปชฺชิฯ อยํ กิร ราชา เอกทิวสํ รตนาวโลกนจาริกํ นาม นิกฺขโนฺตฯ โส ภณฺฑาคาริกํ ปุจฺฉิ – ‘‘ตาต, อิทํ เอวํ พหุธนํ เกน สงฺฆริต’’นฺติ? ตุมฺหากํ ปิตุปิตามหาทีหิ ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎาติฯ อิทํ ปน ธนํ สงฺฆริตฺวา เต กุหิํ คตาติ? สเพฺพว เต, เทว, มรณวสํ ปตฺตาติฯ อตฺตโน ธนํ อคเหตฺวาว คตา, ตาตาติ? เทว, กิํ วเทถ, ธนํ นาเมตํ ปหาย คมนียเมว, โน อาทาย คมนียนฺติฯ อถ ราชา นิวตฺติตฺวา สิรีคเพฺภ นิสิโนฺน – ‘อธิคตา โข เม’ติอาทีนิ จิเนฺตสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาที’’ติฯ

    Paripuṇṇakosakoṭṭhāgāroti koso vuccati bhaṇḍāgāraṃ, nidahitvā ṭhapitena dhanena paripuṇṇakoso, dhaññena paripuṇṇakoṭṭhāgāro cāti attho. Athavā catubbidho koso – hatthī, assā, rathā, pattīti. Koṭṭhāgāraṃ tividhaṃ – dhanakoṭṭhāgāraṃ, vatthakoṭṭhāgāraṃ, dhaññakoṭṭhāgāranti, taṃ sabbampi paripuṇṇamassāti paripuṇṇakosakoṭṭhāgāro. Udapādīti uppajji. Ayaṃ kira rājā ekadivasaṃ ratanāvalokanacārikaṃ nāma nikkhanto. So bhaṇḍāgārikaṃ pucchi – ‘‘tāta, idaṃ evaṃ bahudhanaṃ kena saṅgharita’’nti? Tumhākaṃ pitupitāmahādīhi yāva sattamā kulaparivaṭṭāti. Idaṃ pana dhanaṃ saṅgharitvā te kuhiṃ gatāti? Sabbeva te, deva, maraṇavasaṃ pattāti. Attano dhanaṃ agahetvāva gatā, tātāti? Deva, kiṃ vadetha, dhanaṃ nāmetaṃ pahāya gamanīyameva, no ādāya gamanīyanti. Atha rājā nivattitvā sirīgabbhe nisinno – ‘adhigatā kho me’tiādīni cintesi. Tena vuttaṃ – ‘‘evaṃ cetaso parivitakko udapādī’’ti.

    ๓๓๗. พฺราหฺมณํ อามเนฺตตฺวาติ กสฺมา อามเนฺตสิ? อยํ กิเรวํ จิเนฺตสิ – ‘‘ทานํ เทเนฺตน นาม เอเกน ปณฺฑิเตน สทฺธิํ มเนฺตตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติ, อนามเนฺตตฺวา กตกมฺมญฺหิ ปจฺฉานุตาปํ กโรตี’’ติฯ ตสฺมา อามเนฺตสิฯ อถ พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ราชา มหาทานํ ทาตุกาโม, ชนปเท จสฺส พหู โจรา, เต อวูปสเมตฺวา ทานํ เทนฺตสฺส ขีรทธิตณฺฑุลาทิเก ทานสมฺภาเร อาหรนฺตานํ นิปฺปุริสานิ เคหานิ โจรา วิลุมฺปิสฺสนฺติ ชนปโท โจรภเยเนว โกลาหโล ภวิสฺสติ, ตโต รโญฺญ ทานํ น จิรํ ปวตฺติสฺสติ, จิตฺตมฺปิสฺส เอกคฺคํ น ภวิสฺสติ, หนฺท, นํ เอตมตฺถํ สญฺญาเปมี’’ติ ตโต ตมตฺถํ สญฺญาเปโนฺต ‘‘โภโต, โข รโญฺญ’’ติอาทิมาหฯ

    337.Brāhmaṇaṃāmantetvāti kasmā āmantesi? Ayaṃ kirevaṃ cintesi – ‘‘dānaṃ dentena nāma ekena paṇḍitena saddhiṃ mantetvā dātuṃ vaṭṭati, anāmantetvā katakammañhi pacchānutāpaṃ karotī’’ti. Tasmā āmantesi. Atha brāhmaṇo cintesi – ‘‘ayaṃ rājā mahādānaṃ dātukāmo, janapade cassa bahū corā, te avūpasametvā dānaṃ dentassa khīradadhitaṇḍulādike dānasambhāre āharantānaṃ nippurisāni gehāni corā vilumpissanti janapado corabhayeneva kolāhalo bhavissati, tato rañño dānaṃ na ciraṃ pavattissati, cittampissa ekaggaṃ na bhavissati, handa, naṃ etamatthaṃ saññāpemī’’ti tato tamatthaṃ saññāpento ‘‘bhoto, kho rañño’’tiādimāha.

    ๓๓๘. ตตฺถ สกณฺฎโกติ โจรกณฺฎเกหิ สกณฺฎโกฯ ปนฺถทุหนาติ ปนฺถทุหา, ปนฺถฆาตกาติ อโตฺถฯ อกิจฺจการี อสฺสาติ อกตฺตพฺพการี อธมฺมการี ภเวยฺยฯ ทสฺสุขีลนฺติ โจรขีลํฯ วเธน วาติ มารเณน วา โกฎฺฎเนน วาฯ พนฺธเนนาติ อทฺทุพนฺธนาทินาฯ ชานิยาติ หานิยา; ‘‘สตํ คณฺหถ, สหสฺสํ คณฺหถา’’ติ เอวํ ปวตฺติตทเณฺฑนาติ อโตฺถฯ ครหายาติ ปญฺจสิขมุณฺฑกรณํ, โคมยสิญฺจนํ, คีวาย กุทณฺฑกพนฺธนนฺติ เอวมาทีนิ กตฺวา ครหปาปเนนฯ ปพฺพาชนายาติ รฎฺฐโต นีหรเณนฯ สมูหนิสฺสามีติ สมฺมา เหตุนา นเยน การเณน อูหนิสฺสามิฯ หตาวเสสกาติ มตาวเสสกาฯ อุสฺสหนฺตีติ อุสฺสาหํ กโรนฺติฯ อนุปฺปเทตูติ ทิเนฺน อปฺปโหเนฺต ปุน อญฺญมฺปิ พีชญฺจ ภตฺตญฺจ กสิอุปกรณภณฺฑญฺจ สพฺพํ เทตูติ อโตฺถฯ ปาภตํ อนุปฺปเทตูติ สกฺขิํ อกตฺวา ปเณฺณ อนาโรเปตฺวา มูลเจฺฉชฺชวเสน ภณฺฑมูลํ เทตูติ อโตฺถฯ ภณฺฑมูลสฺส หิ ปาภตนฺติ นามํฯ ยถาห –

    338. Tattha sakaṇṭakoti corakaṇṭakehi sakaṇṭako. Panthaduhanāti panthaduhā, panthaghātakāti attho. Akiccakārī assāti akattabbakārī adhammakārī bhaveyya. Dassukhīlanti corakhīlaṃ. Vadhena vāti māraṇena vā koṭṭanena vā. Bandhanenāti addubandhanādinā. Jāniyāti hāniyā; ‘‘sataṃ gaṇhatha, sahassaṃ gaṇhathā’’ti evaṃ pavattitadaṇḍenāti attho. Garahāyāti pañcasikhamuṇḍakaraṇaṃ, gomayasiñcanaṃ, gīvāya kudaṇḍakabandhananti evamādīni katvā garahapāpanena. Pabbājanāyāti raṭṭhato nīharaṇena. Samūhanissāmīti sammā hetunā nayena kāraṇena ūhanissāmi. Hatāvasesakāti matāvasesakā. Ussahantīti ussāhaṃ karonti. Anuppadetūti dinne appahonte puna aññampi bījañca bhattañca kasiupakaraṇabhaṇḍañca sabbaṃ detūti attho. Pābhataṃ anuppadetūti sakkhiṃ akatvā paṇṇe anāropetvā mūlacchejjavasena bhaṇḍamūlaṃ detūti attho. Bhaṇḍamūlassa hi pābhatanti nāmaṃ. Yathāha –

    ‘‘อปฺปเกนปิ เมธาวี, ปาภเตน วิจกฺขโณ;

    ‘‘Appakenapi medhāvī, pābhatena vicakkhaṇo;

    สมุฎฺฐาเปติ อตฺตานํ, อณุํ อคฺคิํว สนฺธม’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๔);

    Samuṭṭhāpeti attānaṃ, aṇuṃ aggiṃva sandhama’’nti. (jā. 1.1.4);

    ภตฺตเวตนนฺติ เทวสิกํ ภตฺตเญฺจว มาสิกาทิปริพฺพยญฺจ ตสฺส ตสฺส กุสลกมฺมสูรภาวานุรูเปน ฐานนฺตรคามนิคมาทิทาเนน สทฺธิํ เทตูติ อโตฺถฯ สกมฺมปสุตาติ กสิวาณิชฺชาทีสุ สเกสุ กเมฺมสุ อุยฺยุตฺตา พฺยาวฎาฯ ราสิโกติ ธนธญฺญานํ ราสิโกฯ เขมฎฺฐิตาติ เขเมน ฐิตา อภยาฯ อกณฺฎกาติ โจรกณฺฎกรหิตาฯ มุทา โมทมานาติ โมทา โมทมานาฯ อยเมว วา ปาโฐ, อญฺญมญฺญํ ปมุทิตจิตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อปารุตฆราติ โจรานํ อภาเวน ทฺวารานิ อสํวริตฺวา วิวฎทฺวาราติ อโตฺถฯ เอตทโวจาติ ชนปทสฺส สพฺพากาเรน อิทฺธผีตภาวํ ญตฺวา เอตํ อโวจฯ

    Bhattavetananti devasikaṃ bhattañceva māsikādiparibbayañca tassa tassa kusalakammasūrabhāvānurūpena ṭhānantaragāmanigamādidānena saddhiṃ detūti attho. Sakammapasutāti kasivāṇijjādīsu sakesu kammesu uyyuttā byāvaṭā. Rāsikoti dhanadhaññānaṃ rāsiko. Khemaṭṭhitāti khemena ṭhitā abhayā. Akaṇṭakāti corakaṇṭakarahitā. Mudā modamānāti modā modamānā. Ayameva vā pāṭho, aññamaññaṃ pamuditacittāti adhippāyo. Apārutagharāti corānaṃ abhāvena dvārāni asaṃvaritvā vivaṭadvārāti attho. Etadavocāti janapadassa sabbākārena iddhaphītabhāvaṃ ñatvā etaṃ avoca.

    จตุปริกฺขารวณฺณนา

    Catuparikkhāravaṇṇanā

    ๓๓๙. เตน หิ ภวํ ราชาติ พฺราหฺมโณ กิร จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ราชา มหาทานํ ทาตุํ อติวิย อุสฺสาหชาโตฯ สเจ ปน อตฺตโน อนุยนฺตา ขตฺติยาทโย อนามเนฺตตฺวา ทสฺสติฯ นาสฺส เต อตฺตมนา ภวิสฺสนฺติ; ยถา ทานํ เต อตฺตมนา โหนฺติ, ตถา กริสฺสามี’’ติฯ ตสฺมา ‘‘เตน หิ ภว’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เนคมาติ นิคมวาสิโนฯ ชานปทาติ ชนปทวาสิโน ฯ อามนฺตยตนฺติ อามเนฺตตุ ชานาเปตุฯ ยํ มม อสฺสาติ ยํ ตุมฺหากํ อนุชานนํ มม ภเวยฺยฯ อมจฺจาติ ปิยสหายกาฯ ปาริสชฺชาติ เสสา อาณตฺติการกาฯ ยชตํ ภวํ ราชาติ ยชตุ ภวํ, เต กิร – อยํ ราชา ‘‘อหํ อิสฺสโร’’ติ ปสยฺห ทานํ อทตฺวา อเมฺห อามเนฺตสิ, อโหเนน สุฎฺฐุ กต’’นฺติ อตฺตมนา เอวมาหํสุฯ อนามนฺติเต ปนสฺส ยญฺญฎฺฐานํ ทสฺสนายปิ น คเจฺฉยฺยุํฯ ยญฺญกาโล มหาราชาติ เทยฺยธมฺมสฺมิญฺหิ อสติ มหลฺลกกาเล จ เอวรูปํ ทานํ ทาตุํ น สกฺกา, ตฺวํ ปน มหาธโน เจว ตรุโณ จ, เอเตน เต ยญฺญกาโลติ ทเสฺสนฺตา วทนฺติฯ อนุมติปกฺขาติ อนุมติยา ปกฺขา, อนุมติทายกาติ อโตฺถฯ ปริกฺขารา ภวนฺตีติ ปริวารา ภวนฺติฯ ‘‘รโถ สีลปริกฺขาโร, ฌานโกฺข จกฺกวีริโย’’ติ (สํ. นิ. ๕.๔) เอตฺถ ปน อลงฺกาโร ปริกฺขาโรติ วุโตฺตฯ

    339.Tena hi bhavaṃ rājāti brāhmaṇo kira cintesi – ‘‘ayaṃ rājā mahādānaṃ dātuṃ ativiya ussāhajāto. Sace pana attano anuyantā khattiyādayo anāmantetvā dassati. Nāssa te attamanā bhavissanti; yathā dānaṃ te attamanā honti, tathā karissāmī’’ti. Tasmā ‘‘tena hi bhava’’ntiādimāha. Tattha negamāti nigamavāsino. Jānapadāti janapadavāsino . Āmantayatanti āmantetu jānāpetu. Yaṃ mama assāti yaṃ tumhākaṃ anujānanaṃ mama bhaveyya. Amaccāti piyasahāyakā. Pārisajjāti sesā āṇattikārakā. Yajataṃ bhavaṃ rājāti yajatu bhavaṃ, te kira – ayaṃ rājā ‘‘ahaṃ issaro’’ti pasayha dānaṃ adatvā amhe āmantesi, ahonena suṭṭhu kata’’nti attamanā evamāhaṃsu. Anāmantite panassa yaññaṭṭhānaṃ dassanāyapi na gaccheyyuṃ. Yaññakālo mahārājāti deyyadhammasmiñhi asati mahallakakāle ca evarūpaṃ dānaṃ dātuṃ na sakkā, tvaṃ pana mahādhano ceva taruṇo ca, etena te yaññakāloti dassentā vadanti. Anumatipakkhāti anumatiyā pakkhā, anumatidāyakāti attho. Parikkhārā bhavantīti parivārā bhavanti. ‘‘Ratho sīlaparikkhāro, jhānakkho cakkavīriyo’’ti (saṃ. ni. 5.4) ettha pana alaṅkāro parikkhāroti vutto.

    อฎฺฐปริกฺขารวณฺณนา

    Aṭṭhaparikkhāravaṇṇanā

    ๓๔๐. อฎฺฐหเงฺคหีติ อุภโต สุชาตาทีหิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิฯ ยสสาติ อาณาฐปนสมตฺถตายฯ สโทฺธติ ทานสฺส ผลํ อตฺถีติ สทฺทหติฯ ทายโกติ ทานสูโรฯ น สทฺธามตฺตเกเนว ติฎฺฐติ, ปริจฺจชิตุมฺปิ สโกฺกตีติ อโตฺถฯ ทานปตีติ ยํ ทานํ เทติ, ตสฺส ปติ หุตฺวา เทติ, น ทาโส, น สหาโยฯ โย หิ อตฺตนา มธุรํ ภุญฺชติ, ปเรสํ อมธุรํ เทติ, โส ทานสงฺขาตสฺส เทยฺยธมฺมสฺส ทาโส หุตฺวา เทติฯ โย ยํ อตฺตนา ภุญฺชติ, ตเทว เทติ, โส สหาโย หุตฺวา เทติฯ โย ปน อตฺตนา เยน เกนจิ ยาเปติ, ปเรสํ มธุรํ เทติ, โส ปติ เชฎฺฐโก สามี หุตฺวา เทติ, อยํ ตาทิโสติ อโตฺถฯ สมณพฺราหฺมณกปณทฺธิกวณิพฺพกยาจกานนฺติ เอตฺถ สมิตปาปา สมณา, พาหิตปาปา พฺราหฺมณาฯ กปณาติ ทุคฺคตา ทลิทฺทมนุสฺสาฯ อทฺธิกาติ ปถาวิโนฯ วณิพฺพกาติ เย – ‘‘อิฎฺฐํ ทินฺนํ, กนฺตํ, มนาปํ, กาเลน อนวชฺชํ ทินฺนํ, ททํ จิตฺตํ ปสาเทยฺย, คจฺฉตุ ภวํ พฺรหฺมโลก’’นฺติอาทินา นเยน ทานสฺส วณฺณํ โถมยมานา วิจรนฺติฯ ยาจกาติ เย – ‘‘ปสตมตฺตํ เทถ, สราวมตฺตํ เทถา’’ติอาทีนิ วตฺวา ยาจมานา วิจรนฺติฯ โอปานภูโตติ อุทปานภูโตฯ สเพฺพสํ สาธารณปริโภโค, จตุมหาปเถ ขตโปกฺขรณี วิย หุตฺวาติ อโตฺถฯ สุตชาตสฺสาติ เอตฺถ สุตเมว สุตชาตํฯ อตีตานาคตปจฺจุปฺปเนฺน อเตฺถ จิเนฺตตุนฺติ เอตฺถ – ‘‘อตีเต ปุญฺญสฺส กตตฺตาเยว เม อยํ สมฺปตฺตี’’ติ, เอวํ จิเนฺตโนฺต อตีตมตฺถํ จิเนฺตตุํ ปฎิพโล นาม โหติฯ ‘‘อิทานิ ปุญฺญํ กตฺวาว อนาคเต สกฺกา สมฺปตฺติํ ปาปุณิตุ’’นฺติ จิเนฺตโนฺต อนาคตมตฺถํ จิเนฺตตุํ ปฎิพโล นาม โหติฯ ‘‘อิทํ ปุญฺญกมฺมํ นาม สปฺปุริสานํ อาจิณฺณํ, มยฺหญฺจ โภคาปิ สํวิชฺชนฺติ, ทายกจิตฺตมฺปิ อตฺถิ; หนฺทาหํ ปุญฺญานิ กโรมี’’ติ จิเนฺตโนฺต ปจฺจุปฺปนฺนมตฺถํ จิเนฺตตุํ ปฎิพโล นาม โหตีติ เวทิตโพฺพฯ อิติ อิมานีติ เอวํ ยถา วุตฺตานิ เอตานิฯ เอเตหิ กิร อฎฺฐหเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส ทานํ สพฺพทิสาหิ มหาชโน อุปสงฺกมติฯ ‘‘อยํ ทุชฺชาโต กิตฺตกํ กาลํ ทสฺสติ, อิทานิ วิปฺปฎิสารี หุตฺวา อุปจฺฉินฺทิสฺสตี’’ติ เอวมาทีนิ จิเนฺตตฺวา น โกจิ อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺญติฯ ตสฺมา เอตานิ อฎฺฐงฺคานิ ปริกฺขารา ภวนฺตีติ วุตฺตานิฯ

    340.Aṭṭhahaṅgehīti ubhato sujātādīhi aṭṭhahi aṅgehi. Yasasāti āṇāṭhapanasamatthatāya. Saddhoti dānassa phalaṃ atthīti saddahati. Dāyakoti dānasūro. Na saddhāmattakeneva tiṭṭhati, pariccajitumpi sakkotīti attho. Dānapatīti yaṃ dānaṃ deti, tassa pati hutvā deti, na dāso, na sahāyo. Yo hi attanā madhuraṃ bhuñjati, paresaṃ amadhuraṃ deti, so dānasaṅkhātassa deyyadhammassa dāso hutvā deti. Yo yaṃ attanā bhuñjati, tadeva deti, so sahāyo hutvā deti. Yo pana attanā yena kenaci yāpeti, paresaṃ madhuraṃ deti, so pati jeṭṭhako sāmī hutvā deti, ayaṃ tādisoti attho. Samaṇabrāhmaṇakapaṇaddhikavaṇibbakayācakānanti ettha samitapāpā samaṇā, bāhitapāpā brāhmaṇā. Kapaṇāti duggatā daliddamanussā. Addhikāti pathāvino. Vaṇibbakāti ye – ‘‘iṭṭhaṃ dinnaṃ, kantaṃ, manāpaṃ, kālena anavajjaṃ dinnaṃ, dadaṃ cittaṃ pasādeyya, gacchatu bhavaṃ brahmaloka’’ntiādinā nayena dānassa vaṇṇaṃ thomayamānā vicaranti. Yācakāti ye – ‘‘pasatamattaṃ detha, sarāvamattaṃ dethā’’tiādīni vatvā yācamānā vicaranti. Opānabhūtoti udapānabhūto. Sabbesaṃ sādhāraṇaparibhogo, catumahāpathe khatapokkharaṇī viya hutvāti attho. Sutajātassāti ettha sutameva sutajātaṃ. Atītānāgatapaccuppanne atthe cintetunti ettha – ‘‘atīte puññassa katattāyeva me ayaṃ sampattī’’ti, evaṃ cintento atītamatthaṃ cintetuṃ paṭibalo nāma hoti. ‘‘Idāni puññaṃ katvāva anāgate sakkā sampattiṃ pāpuṇitu’’nti cintento anāgatamatthaṃ cintetuṃ paṭibalo nāma hoti. ‘‘Idaṃ puññakammaṃ nāma sappurisānaṃ āciṇṇaṃ, mayhañca bhogāpi saṃvijjanti, dāyakacittampi atthi; handāhaṃ puññāni karomī’’ti cintento paccuppannamatthaṃ cintetuṃ paṭibalo nāma hotīti veditabbo. Iti imānīti evaṃ yathā vuttāni etāni. Etehi kira aṭṭhahaṅgehi samannāgatassa dānaṃ sabbadisāhi mahājano upasaṅkamati. ‘‘Ayaṃ dujjāto kittakaṃ kālaṃ dassati, idāni vippaṭisārī hutvā upacchindissatī’’ti evamādīni cintetvā na koci upasaṅkamitabbaṃ maññati. Tasmā etāni aṭṭhaṅgāni parikkhārā bhavantīti vuttāni.

    จตุปริกฺขาราทิวณฺณนา

    Catuparikkhārādivaṇṇanā

    ๓๔๑. สุชํ ปคฺคณฺหนฺตานนฺติ มหายาคปฎิคฺคณฺหนฎฺฐาเน ทานกฎจฺฉุํ ปคฺคณฺหนฺตานํฯ อิเมหิ จตูหีติ เอเตหิ สุชาตาทีหิฯ เอเตสุ หิ อสติ – ‘‘เอวํ ทุชฺชาตสฺส สํวิธาเนน ปวตฺตทานํ กิตฺตกํ กาลํ ปวตฺติสฺสตี’’ติอาทีนิ วตฺวา อุปสงฺกมิตาโร น โหนฺติฯ ครหิตพฺพาภาวโต ปน อุปสงฺกมนฺติเยวฯ ตสฺมา อิมานิปิ ปริกฺขารา ภวนฺตีติ วุตฺตานิฯ

    341.Sujaṃpaggaṇhantānanti mahāyāgapaṭiggaṇhanaṭṭhāne dānakaṭacchuṃ paggaṇhantānaṃ. Imehi catūhīti etehi sujātādīhi. Etesu hi asati – ‘‘evaṃ dujjātassa saṃvidhānena pavattadānaṃ kittakaṃ kālaṃ pavattissatī’’tiādīni vatvā upasaṅkamitāro na honti. Garahitabbābhāvato pana upasaṅkamantiyeva. Tasmā imānipi parikkhārā bhavantīti vuttāni.

    ๓๔๒. ติโสฺส วิธา เทเสสีติ ตีณิ ฐปนานิ เทเสสิฯ โส กิร จิเนฺตสิ – ‘‘ทานํ ททมานา นาม ติณฺณํ ฐานานํ อญฺญตรสฺมิํ จลนฺติ หนฺทาหํ อิมํ ราชานํ เตสุ ฐาเนสุ ปฐมตรเญฺญว นิจฺจลํ กโรมี’’ติฯ เตนสฺส ติโสฺส วิธา เทเสสีติฯ โส โภโต รโญฺญติ อิทํ กรณเตฺถ สามิวจนํฯ โภตา รญฺญาติ วา ปาโฐฯ วิปฺปฎิสาโร น กรณีโยติ ‘‘โภคานํ วิคมเหตุโก ปจฺฉานุตาโป น กตฺตโพฺพ, ปุพฺพเจตนา ปน อจลา ปติฎฺฐเปตพฺพา, เอวญฺหิ ทานํ มหปฺผลํ โหตี’’ติ ทเสฺสติฯ อิตเรสุปิ ทฺวีสุ ฐาเนสุ เอเสว นโยฯ มุญฺจเจตนาปิ หิ ปจฺฉาสมนุสฺสรณเจตนา จ นิจฺจลาว กาตพฺพาฯ ตถา อกโรนฺตสฺส ทานํ น มหปฺผลํ โหติ, นาปิ อุฬาเรสุ โภเคสุ จิตฺตํ นมติ, มหาโรรุวํ อุปปนฺนสฺส เสฎฺฐิคหปติโน วิยฯ

    342.Tisso vidhā desesīti tīṇi ṭhapanāni desesi. So kira cintesi – ‘‘dānaṃ dadamānā nāma tiṇṇaṃ ṭhānānaṃ aññatarasmiṃ calanti handāhaṃ imaṃ rājānaṃ tesu ṭhānesu paṭhamataraññeva niccalaṃ karomī’’ti. Tenassa tisso vidhā desesīti. So bhoto raññoti idaṃ karaṇatthe sāmivacanaṃ. Bhotā raññāti vā pāṭho. Vippaṭisāro na karaṇīyoti ‘‘bhogānaṃ vigamahetuko pacchānutāpo na kattabbo, pubbacetanā pana acalā patiṭṭhapetabbā, evañhi dānaṃ mahapphalaṃ hotī’’ti dasseti. Itaresupi dvīsu ṭhānesu eseva nayo. Muñcacetanāpi hi pacchāsamanussaraṇacetanā ca niccalāva kātabbā. Tathā akarontassa dānaṃ na mahapphalaṃ hoti, nāpi uḷāresu bhogesu cittaṃ namati, mahāroruvaṃ upapannassa seṭṭhigahapatino viya.

    ๓๔๓. ทสหากาเรหีติ ทสหิ การเณหิฯ ตสฺส กิร เอวํ อโหสิ – สจายํ ราชา ทุสฺสีเล ทิสฺวา – ‘‘นสฺสติ วต เม ทานํ, ยสฺส เม เอวรูปา ทุสฺสีลา ภุญฺชนฺตี’’ติ สีลวเนฺตสุปิ วิปฺปฎิสารํ อุปฺปาเทสฺสติ, ทานํ น มหปฺผลํ ภวิสฺสติฯ วิปฺปฎิสาโร จ นาม ทายกานํ ปฎิคฺคาหกโตว อุปฺปชฺชติ , หนฺทสฺส ปฐมเมว ตํ วิปฺปฎิสารํ วิโนเทมีติฯ ตสฺมา ทสหากาเรหิ อุปจฺฉิชฺชิตุํ ยุตฺตํ ปฎิคฺคาหเกสุปิ วิปฺปฎิสารํ วิโนเทสีติฯ เตสเญฺญว เตนาติ เตสเญฺญว เตน ปาเปน อนิโฎฺฐ วิปาโก ภวิสฺสติ, น อเญฺญสนฺติ ทเสฺสติฯ ยชตํ ภวนฺติ เทตุ ภวํฯ สชฺชตนฺติ วิสฺสชฺชตุฯ อนฺตรนฺติ อพฺภนฺตรํฯ

    343.Dasahākārehīti dasahi kāraṇehi. Tassa kira evaṃ ahosi – sacāyaṃ rājā dussīle disvā – ‘‘nassati vata me dānaṃ, yassa me evarūpā dussīlā bhuñjantī’’ti sīlavantesupi vippaṭisāraṃ uppādessati, dānaṃ na mahapphalaṃ bhavissati. Vippaṭisāro ca nāma dāyakānaṃ paṭiggāhakatova uppajjati , handassa paṭhamameva taṃ vippaṭisāraṃ vinodemīti. Tasmā dasahākārehi upacchijjituṃ yuttaṃ paṭiggāhakesupi vippaṭisāraṃ vinodesīti. Tesaññeva tenāti tesaññeva tena pāpena aniṭṭho vipāko bhavissati, na aññesanti dasseti. Yajataṃ bhavanti detu bhavaṃ. Sajjatanti vissajjatu. Antaranti abbhantaraṃ.

    ๓๔๔. โสฬสหิ อากาเรหิ จิตฺตํ สนฺทเสฺสสีติ อิธ พฺราหฺมโณ รโญฺญ มหาทานานุโมทนํ นาม อารโทฺธฯ ตตฺถ สนฺทเสฺสสีติ – ‘อิทํ ทานํ ทาตา เอวรูปํ สมฺปตฺติํ ลภตี’ติ ทเสฺสตฺวา ทเสฺสตฺวา กเถสิฯ สมาทเปสีติ ตทตฺถํ สมาทเปตฺวา กเถสิฯ สมุเตฺตเชสีติ วิปฺปฎิสารวิโนทเนนสฺส จิตฺตํ โวทาเปสิฯ สมฺปหํเสสีติ ‘สุนฺทรํ เต กตํ, มหาราช, ทานํ ททมาเนนา’ติ ถุติํ กตฺวา กเถสิฯ วตฺตา ธมฺมโต นตฺถีติ ธเมฺมน สเมน การเณน วตฺตา นตฺถิฯ

    344.Soḷasahi ākārehi cittaṃ sandassesīti idha brāhmaṇo rañño mahādānānumodanaṃ nāma āraddho. Tattha sandassesīti – ‘idaṃ dānaṃ dātā evarūpaṃ sampattiṃ labhatī’ti dassetvā dassetvā kathesi. Samādapesīti tadatthaṃ samādapetvā kathesi. Samuttejesīti vippaṭisāravinodanenassa cittaṃ vodāpesi. Sampahaṃsesīti ‘sundaraṃ te kataṃ, mahārāja, dānaṃ dadamānenā’ti thutiṃ katvā kathesi. Vattā dhammato natthīti dhammena samena kāraṇena vattā natthi.

    ๓๔๕. รุกฺขา ฉิชฺชิํสุ ยูปตฺถาย น ทพฺภา ลูยิํสุ พริหิสตฺถายาติ เย ยูปนามเก มหาถเมฺภ อุสฺสาเปตฺวา – ‘‘อสุกราชา อสุกามโจฺจ อสุกพฺราหฺมโณ เอวรูปํ นาม มหายาคํ ยชตี’’ติ นามํ ลิขิตฺวา ฐเปนฺติฯ ยานิ จ ทพฺภติณานิ ลายิตฺวา วนมาลาสเงฺขเปน ยญฺญสาลํ ปริกฺขิปนฺติ, ภูมิยํ วา ปตฺถรนฺติ, เตปิ น รุกฺขา ฉิชฺชิํสุ, น ทพฺภา ลูยิํสุฯ กิํ ปน คาโว วา อชาทโย วา หญฺญิสฺสนฺตีติ ทเสฺสติฯ ทาสาติ อโนฺตเคหทาสาทโยฯ เปสฺสาติ เย ปุพฺพเมว ธนํ คเหตฺวา กมฺมํ กโรนฺติฯ กมฺมกราติ เย ภตฺตเวตนํ คเหตฺวา กโรนฺติฯ ทณฺฑตชฺชิตา นาม ทณฺฑยฎฺฐิมุคฺคราทีนิ คเหตฺวา – ‘‘กมฺมํ กโรถ กโรถา’’ติ เอวํ ตชฺชิตาฯ ภยตชฺชิตา นาม – สเจ กมฺมํ กโรสิ, กุสลํฯ โน เจ กโรสิ, ฉินฺทิสฺสาม วา พนฺธิสฺสาม วา มาเรสฺสาม วาติ เอวํ ภเยน ตชฺชิตาฯ เอเต ปน น ทณฺฑตชฺชิตา, น ภยตชฺชิตา, น อสฺสุมุขา โรทมานา ปริกมฺมานิ อกํสุฯ อถ โข ปิยสมุทาจาเรเนว สมุทาจริยมานา อกํสุฯ น หิ ตตฺถ ทาสํ วา ทาสาติ, เปสฺสํ วา เปสฺสาติ, กมฺมกรํ วา กมฺมกราติ อาลปนฺติฯ ยถานามวเสเนว ปน ปิยสมุทาจาเรน อาลปิตฺวา อิตฺถิปุริสพลวนฺตทุพฺพลานํ อนุรูปเมว กมฺมํ ทเสฺสตฺวา – ‘‘อิทญฺจิทญฺจ กโรถา’’ติ วทนฺติฯ เตปิ อตฺตโน รุจิวเสเนว กโรนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เย อิจฺฉิํสุ, เต อกํสุ; เย น อิจฺฉิํสุ, น เต อกํสุฯ ยํ อิจฺฉิํสุ, ตํ อกํสุ; ยํ น อิจฺฉิํสุ, น ตํ อกํสู’’ติฯ สปฺปิเตลนวนีตทธิมธุผาณิเตน เจว โส ยโญฺญ นิฎฺฐานมคมาสีติ ราชา กิร พหินครสฺส จตูสุ ทฺวาเรสุ อโนฺตนครสฺส จ มเชฺฌติ ปญฺจสุ ฐาเนสุ มหาทานสาลาโย การาเปตฺวา เอเกกิสฺสาย สาลาย สตสหสฺสํ สตสหสฺสํ กตฺวา ทิวเส ทิวเส ปญฺจสตสหสฺสานิ วิสฺสเชฺชตฺวา สูริยุคฺคมนโต ปฎฺฐาย ตสฺส ตสฺส กาลสฺส อนุรูเปหิ สหเตฺถน สุวณฺณกฎจฺฉุํ คเหตฺวา ปณีเตหิ สปฺปิเตลาทิสมฺมิเสฺสเหว ยาคุขชฺชกภตฺตพฺยญฺชนปานกาทีหิ มหาชนํ สนฺตเปฺปสิฯ ภาชนานิ ปูเรตฺวา คณฺหิตุกามานํ ตเถว ทาเปสิฯ สายณฺหสมเย ปน วตฺถคนฺธมาลาทีหิ สมฺปูเชสิฯ สปฺปิอาทีนํ ปน มหาจาฎิโย ปูราเปตฺวา – ‘‘โย ยํ ปริภุญฺชิตุกาโม, โส ตํ ปริภุญฺชตู’’ติ อเนกสเตสุ ฐาเนสุ ฐปาเปสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘สปฺปิเตลนวนีตทธิมธุผาณิเตน เจว โส ยโญฺญ นิฎฺฐานมคมาสี’’ติฯ

    345.Narukkhā chijjiṃsu yūpatthāya na dabbhā lūyiṃsu barihisatthāyāti ye yūpanāmake mahāthambhe ussāpetvā – ‘‘asukarājā asukāmacco asukabrāhmaṇo evarūpaṃ nāma mahāyāgaṃ yajatī’’ti nāmaṃ likhitvā ṭhapenti. Yāni ca dabbhatiṇāni lāyitvā vanamālāsaṅkhepena yaññasālaṃ parikkhipanti, bhūmiyaṃ vā pattharanti, tepi na rukkhā chijjiṃsu, na dabbhā lūyiṃsu. Kiṃ pana gāvo vā ajādayo vā haññissantīti dasseti. Dāsāti antogehadāsādayo. Pessāti ye pubbameva dhanaṃ gahetvā kammaṃ karonti. Kammakarāti ye bhattavetanaṃ gahetvā karonti. Daṇḍatajjitā nāma daṇḍayaṭṭhimuggarādīni gahetvā – ‘‘kammaṃ karotha karothā’’ti evaṃ tajjitā. Bhayatajjitā nāma – sace kammaṃ karosi, kusalaṃ. No ce karosi, chindissāma vā bandhissāma vā māressāma vāti evaṃ bhayena tajjitā. Ete pana na daṇḍatajjitā, na bhayatajjitā, na assumukhā rodamānā parikammāni akaṃsu. Atha kho piyasamudācāreneva samudācariyamānā akaṃsu. Na hi tattha dāsaṃ vā dāsāti, pessaṃ vā pessāti, kammakaraṃ vā kammakarāti ālapanti. Yathānāmavaseneva pana piyasamudācārena ālapitvā itthipurisabalavantadubbalānaṃ anurūpameva kammaṃ dassetvā – ‘‘idañcidañca karothā’’ti vadanti. Tepi attano rucivaseneva karonti. Tena vuttaṃ – ‘‘ye icchiṃsu, te akaṃsu; ye na icchiṃsu, na te akaṃsu. Yaṃ icchiṃsu, taṃ akaṃsu; yaṃ na icchiṃsu, na taṃ akaṃsū’’ti. Sappitelanavanītadadhimadhuphāṇitena ceva so yañño niṭṭhānamagamāsīti rājā kira bahinagarassa catūsu dvāresu antonagarassa ca majjheti pañcasu ṭhānesu mahādānasālāyo kārāpetvā ekekissāya sālāya satasahassaṃ satasahassaṃ katvā divase divase pañcasatasahassāni vissajjetvā sūriyuggamanato paṭṭhāya tassa tassa kālassa anurūpehi sahatthena suvaṇṇakaṭacchuṃ gahetvā paṇītehi sappitelādisammisseheva yāgukhajjakabhattabyañjanapānakādīhi mahājanaṃ santappesi. Bhājanāni pūretvā gaṇhitukāmānaṃ tatheva dāpesi. Sāyaṇhasamaye pana vatthagandhamālādīhi sampūjesi. Sappiādīnaṃ pana mahācāṭiyo pūrāpetvā – ‘‘yo yaṃ paribhuñjitukāmo, so taṃ paribhuñjatū’’ti anekasatesu ṭhānesu ṭhapāpesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘sappitelanavanītadadhimadhuphāṇitena ceva so yañño niṭṭhānamagamāsī’’ti.

    ๓๔๖. ปหูตํ สาปเตยฺยํ อาทายาติ พหุํ ธนํ คเหตฺวาฯ เต กิร จิเนฺตสุํ – ‘‘อยํ ราชา สปฺปิเตลาทีนิ ชนปทโต อนาหราเปตฺวา อตฺตโน สนฺตกเมว นีหริตฺวา มหาทานํ เทติฯ อเมฺหหิ ปน ‘ราชา น กิญฺจิ อาหราเปตี’ติ น ยุตฺตํ ตุณฺหี ภวิตุํฯ น หิ รโญฺญ ฆเร ธนํ อกฺขยธมฺมเมว, อเมฺหสุ จ อเทเนฺตสุ โก อโญฺญ รโญฺญ ทสฺสติ, หนฺทสฺส ธนํ อุปสํหรามา’’ติ เต คามภาเคน จ นิคมภาเคน จ นครภาเคน จ สาปเตยฺยํ สํหริตฺวา สกฎานิ ปูเรตฺวา รโญฺญ อุปหริํสุฯ ตํ สนฺธาย – ‘‘ปหูตํ สาปเตยฺย’’นฺติอาทิมาหฯ

    346.Pahūtaṃ sāpateyyaṃ ādāyāti bahuṃ dhanaṃ gahetvā. Te kira cintesuṃ – ‘‘ayaṃ rājā sappitelādīni janapadato anāharāpetvā attano santakameva nīharitvā mahādānaṃ deti. Amhehi pana ‘rājā na kiñci āharāpetī’ti na yuttaṃ tuṇhī bhavituṃ. Na hi rañño ghare dhanaṃ akkhayadhammameva, amhesu ca adentesu ko añño rañño dassati, handassa dhanaṃ upasaṃharāmā’’ti te gāmabhāgena ca nigamabhāgena ca nagarabhāgena ca sāpateyyaṃ saṃharitvā sakaṭāni pūretvā rañño upahariṃsu. Taṃ sandhāya – ‘‘pahūtaṃ sāpateyya’’ntiādimāha.

    ๓๔๗. ปุรตฺถิเมน ยญฺญวาฎสฺสาติ ปุรตฺถิมโต นครทฺวาเร ทานสาลาย ปุรตฺถิมภาเคฯ ยถา ปุรตฺถิมทิสโต อาคจฺฉนฺตา ขตฺติยานํ ทานสาลาย ยาคุํ ปิวิตฺวา รโญฺญ ทานสาลาย ภุญฺชิตฺวา นครํ ปวิสนฺติฯ เอวรูเป ฐาเน ปฎฺฐเปสุํฯ ทกฺขิเณน ยญฺญวาฎสฺสาติ ทกฺขิณโต นครทฺวาเร ทานสาลาย วุตฺตนเยเนว ทกฺขิณภาเค ปฎฺฐเปสุํฯ ปจฺฉิมุตฺตเรสุปิ เอเสว นโยฯ

    347.Puratthimenayaññavāṭassāti puratthimato nagaradvāre dānasālāya puratthimabhāge. Yathā puratthimadisato āgacchantā khattiyānaṃ dānasālāya yāguṃ pivitvā rañño dānasālāya bhuñjitvā nagaraṃ pavisanti. Evarūpe ṭhāne paṭṭhapesuṃ. Dakkhiṇena yaññavāṭassāti dakkhiṇato nagaradvāre dānasālāya vuttanayeneva dakkhiṇabhāge paṭṭhapesuṃ. Pacchimuttaresupi eseva nayo.

    ๓๔๘. อโห ยโญฺญ, อโห ยญฺญสมฺปทาติ พฺราหฺมณา สปฺปิอาทีหิ นิฎฺฐานคมนํ สุตฺวา – ‘‘ยํ โลเก มธุรํ, ตเทว สมโณ โคตโม กเถติ, หนฺทสฺส ยญฺญํ ปสํสามา’’ติ ตุฎฺฐจิตฺตา ปสํสมานา เอวมาหํสุฯ ตุณฺหีภูโตว นิสิโนฺน โหตีติ อุปริ วตฺตพฺพมตฺถํ จินฺตยมาโน นิสฺสโทฺทว นิสิโนฺน โหติฯ อภิชานาติ ปน ภวํ โคตโมติ อิทํ พฺราหฺมโณ ปริหาเรน ปุจฺฉโนฺต อาหฯ อิตรถา หิ – ‘‘กิํ ปน ตฺวํ, โภ โคตม, ตทา ราชา อโหสิ, อุทาหุ ปุโรหิโต พฺราหฺมโณ’’ติ เอวํ อุชุกเมว ปุจฺฉยมาโน อคารโว วิย โหติฯ

    348.Aho yañño, aho yaññasampadāti brāhmaṇā sappiādīhi niṭṭhānagamanaṃ sutvā – ‘‘yaṃ loke madhuraṃ, tadeva samaṇo gotamo katheti, handassa yaññaṃ pasaṃsāmā’’ti tuṭṭhacittā pasaṃsamānā evamāhaṃsu. Tuṇhībhūtova nisinno hotīti upari vattabbamatthaṃ cintayamāno nissaddova nisinno hoti. Abhijānāti pana bhavaṃ gotamoti idaṃ brāhmaṇo parihārena pucchanto āha. Itarathā hi – ‘‘kiṃ pana tvaṃ, bho gotama, tadā rājā ahosi, udāhu purohito brāhmaṇo’’ti evaṃ ujukameva pucchayamāno agāravo viya hoti.

    นิจฺจทานอนุกุลยญฺญวณฺณนา

    Niccadānaanukulayaññavaṇṇanā

    ๓๔๙. อตฺถิ ปน, โภ โคตมาติ – อิทํ พฺราหฺมโณ ‘‘สกลชมฺพุทีปวาสีนํ อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย ทานํ นาม ทาตุํ ครุกํ สกลชนปโท จ อตฺตโน กมฺมานิ อกโรโนฺต นสฺสิสฺสติ, อตฺถิ นุ โข อมฺหากมฺปิ อิมมฺหา ยญฺญา อโญฺญ ยโญฺญ อปฺปสมารมฺภตโร เจว มหปฺผลตโร จา’’ติ เอตมตฺถํ ปุจฺฉโนฺต อาหฯ นิจฺจทานานีติ ธุวทานานิ นิจฺจภตฺตานิฯ อนุกุลยญฺญานีติ – ‘‘อมฺหากํ ปิตุปิตามหาทีหิ ปวตฺติตานี’’ติ กตฺวา ปจฺฉา ทุคฺคตปุริเสหิปิ วํสปรมฺปราย ปวเตฺตตพฺพานิ ยาคานิ, เอวรูปานิ กิร สีลวเนฺต อุทฺทิสฺส นิพทฺธทานานิ ตสฺมิํ กุเล ทลิทฺทาปิ น อุปจฺฉินฺทนฺติฯ

    349.Atthi pana, bho gotamāti – idaṃ brāhmaṇo ‘‘sakalajambudīpavāsīnaṃ uṭṭhāya samuṭṭhāya dānaṃ nāma dātuṃ garukaṃ sakalajanapado ca attano kammāni akaronto nassissati, atthi nu kho amhākampi imamhā yaññā añño yañño appasamārambhataro ceva mahapphalataro cā’’ti etamatthaṃ pucchanto āha. Niccadānānīti dhuvadānāni niccabhattāni. Anukulayaññānīti – ‘‘amhākaṃ pitupitāmahādīhi pavattitānī’’ti katvā pacchā duggatapurisehipi vaṃsaparamparāya pavattetabbāni yāgāni, evarūpāni kira sīlavante uddissa nibaddhadānāni tasmiṃ kule daliddāpi na upacchindanti.

    ตตฺริทํ วตฺถุ – อนาถปิณฺฑิกสฺส กิร ฆเร ปญฺจ นิจฺจภตฺตสตานิ ทียิํสุฯ ทนฺตมยสลากานิ ปญฺจสตานิ อเหสุํฯ อถ ตํ กุลํ อนุกฺกเมน ทาลิทฺทิเยน อภิภูตํ, เอกา ตสฺมิํ กุเล ทาริกา เอกสลากโต อุทฺธํ ทาตุํ นาสกฺขิฯ สาปิ ปจฺฉา เสตวาหนรชฺชํ คนฺตฺวา ขลํ โสเธตฺวา ลทฺธธเญฺญน ตํ สลากํ อทาสิฯ เอโก เถโร รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ตํ อาเนตฺวา อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สา ตโต ปฎฺฐาย ปุน ปญฺจปิ สลากภตฺตสตานิ ปวเตฺตสิฯ

    Tatridaṃvatthu – anāthapiṇḍikassa kira ghare pañca niccabhattasatāni dīyiṃsu. Dantamayasalākāni pañcasatāni ahesuṃ. Atha taṃ kulaṃ anukkamena dāliddiyena abhibhūtaṃ, ekā tasmiṃ kule dārikā ekasalākato uddhaṃ dātuṃ nāsakkhi. Sāpi pacchā setavāhanarajjaṃ gantvā khalaṃ sodhetvā laddhadhaññena taṃ salākaṃ adāsi. Eko thero rañño ārocesi. Rājā taṃ ānetvā aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Sā tato paṭṭhāya puna pañcapi salākabhattasatāni pavattesi.

    ทณฺฑปฺปหาราติ – ‘‘ปฎิปาฎิยา ติฎฺฐถ ติฎฺฐถา’’ติ อุชุํ คนฺตฺวา คณฺหถ คณฺหถาติ จ อาทีนิ วตฺวา ทียมานา ทณฺฑปฺปหาราปิ คลคฺคาหาปิ ทิสฺสนฺติฯ อยํ โข, พฺราหฺมณ, เหตุ…เป.… มหานิสํสตรญฺจาติฯ เอตฺถ ยสฺมา มหายเญฺญ วิย อิมสฺมิํ สลากภเตฺต น พหูหิ เวยฺยาวจฺจกเรหิ วา อุปกรเณหิ วา อโตฺถ อตฺถิ, ตสฺมา เอตํ อปฺปฎฺฐตรํฯ ยสฺมา เจตฺถ น พหูนํ กมฺมเจฺฉทวเสน ปีฬาสงฺขาโต สมารโมฺภ อตฺถิ, ตสฺมา อปฺปสมารมฺภตรํฯ ยสฺมา เจตํ สงฺฆสฺส ยิฎฺฐํ ปริจฺจตฺตํ, ตสฺมา ยญฺญนฺติ วุตฺตํ, ยสฺมา ปน ฉฬงฺคสมนฺนาคตาย ทกฺขิณาย มหาสมุเทฺท อุทกเสฺสว น สุกรํ ปุญฺญาภิสนฺทสฺส ปมาณํ กาตุํ, อิทญฺจ ตถาวิธํฯ ตสฺมา ตํ มหปฺผลตรญฺจ มหานิสํสตรญฺจาติ เวทิตพฺพํฯ อิทํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – อิทมฺปิ นิจฺจภตฺตํ อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย ททโต ทิวเส ทิวเส เอกสฺส กมฺมํ นสฺสติฯ นวนโว อุสฺสาโห จ ชเนตโพฺพ โหติ, อตฺถิ นุ โข อิโตปิ อโญฺญ ยโญฺญ อปฺปฎฺฐตโร จ อปฺปสมารมฺภตโร จาติฯ ตสฺมา ‘‘อตฺถิ ปน, โภ โคตมา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา สลากภเตฺต กิจฺจปริโยสานํ นตฺถิ, เอเกน อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย อญฺญํ กมฺมํ อกตฺวา สํวิธาตพฺพเมวฯ วิหารทาเน ปน กิจฺจปริโยสานํ อตฺถิฯ ปณฺณสาลํ วา หิ กาเรตุํ โกฎิธนํ วิสฺสเชฺชตฺวา มหาวิหารํ วา, เอกวารํ ธนปริจฺจาคํ กตฺวา การิตํ สตฺตฎฺฐวสฺสานิปิ วสฺสสตมฺปิ วสฺสสหสฺสมฺปิ คจฺฉติเยวฯ เกวลํ ชิณฺณปติตฎฺฐาเน ปฎิสงฺขรณมตฺตเมว กาตพฺพํ โหติฯ ตสฺมา อิทํ วิหารทานํ สลากภตฺตโต อปฺปฎฺฐตรํ อปฺปสมารมฺภตรญฺจ โหติฯ ยสฺมา ปเนตฺถ สุตฺตนฺตปริยาเยน ยาวเทว สีตสฺส ปฎิฆาตายาติ อาทโย นวานิสํสา วุตฺตา, ขนฺธกปริยาเยนฯ

    Daṇḍappahārāti – ‘‘paṭipāṭiyā tiṭṭhatha tiṭṭhathā’’ti ujuṃ gantvā gaṇhatha gaṇhathāti ca ādīni vatvā dīyamānā daṇḍappahārāpi galaggāhāpi dissanti. Ayaṃ kho, brāhmaṇa, hetu…pe… mahānisaṃsatarañcāti. Ettha yasmā mahāyaññe viya imasmiṃ salākabhatte na bahūhi veyyāvaccakarehi vā upakaraṇehi vā attho atthi, tasmā etaṃ appaṭṭhataraṃ. Yasmā cettha na bahūnaṃ kammacchedavasena pīḷāsaṅkhāto samārambho atthi, tasmā appasamārambhataraṃ. Yasmā cetaṃ saṅghassa yiṭṭhaṃ pariccattaṃ, tasmā yaññanti vuttaṃ, yasmā pana chaḷaṅgasamannāgatāya dakkhiṇāya mahāsamudde udakasseva na sukaraṃ puññābhisandassa pamāṇaṃ kātuṃ, idañca tathāvidhaṃ. Tasmā taṃ mahapphalatarañca mahānisaṃsatarañcāti veditabbaṃ. Idaṃ sutvā brāhmaṇo cintesi – idampi niccabhattaṃ uṭṭhāya samuṭṭhāya dadato divase divase ekassa kammaṃ nassati. Navanavo ussāho ca janetabbo hoti, atthi nu kho itopi añño yañño appaṭṭhataro ca appasamārambhataro cāti. Tasmā ‘‘atthi pana, bho gotamā’’tiādimāha. Tattha yasmā salākabhatte kiccapariyosānaṃ natthi, ekena uṭṭhāya samuṭṭhāya aññaṃ kammaṃ akatvā saṃvidhātabbameva. Vihāradāne pana kiccapariyosānaṃ atthi. Paṇṇasālaṃ vā hi kāretuṃ koṭidhanaṃ vissajjetvā mahāvihāraṃ vā, ekavāraṃ dhanapariccāgaṃ katvā kāritaṃ sattaṭṭhavassānipi vassasatampi vassasahassampi gacchatiyeva. Kevalaṃ jiṇṇapatitaṭṭhāne paṭisaṅkharaṇamattameva kātabbaṃ hoti. Tasmā idaṃ vihāradānaṃ salākabhattato appaṭṭhataraṃ appasamārambhatarañca hoti. Yasmā panettha suttantapariyāyena yāvadeva sītassa paṭighātāyāti ādayo navānisaṃsā vuttā, khandhakapariyāyena.

    ‘‘สีตํ อุณฺหํ ปฎิหนฺติ, ตโต วาฬมิคานิ จ;

    ‘‘Sītaṃ uṇhaṃ paṭihanti, tato vāḷamigāni ca;

    สิริํสเป จ มกเส จ, สิสิเร จาปิ วุฎฺฐิโยฯ

    Siriṃsape ca makase ca, sisire cāpi vuṭṭhiyo.

    ตโต วาตาตโป โฆโร, สญฺชาโต ปฎิหญฺญติ;

    Tato vātātapo ghoro, sañjāto paṭihaññati;

    เลณตฺถญฺจ สุขตฺถญฺจ, ฌายิตุญฺจ วิปสฺสิตุํฯ

    Leṇatthañca sukhatthañca, jhāyituñca vipassituṃ.

    วิหารทานํ สงฺฆสฺส, อคฺคํ พุเทฺธน วณฺณิตํ;

    Vihāradānaṃ saṅghassa, aggaṃ buddhena vaṇṇitaṃ;

    ตสฺมา หิ ปณฺฑิโต โปโส, สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโน;

    Tasmā hi paṇḍito poso, sampassaṃ atthamattano;

    วิหาเร การเย รเมฺม, วาสเยตฺถ พหุสฺสุเตฯ

    Vihāre kāraye ramme, vāsayettha bahussute.

    ตสฺมา อนฺนญฺจ ปานญฺจ, วตฺถเสนาสนานิ จ;

    Tasmā annañca pānañca, vatthasenāsanāni ca;

    ทเทย อุชุภูเตสุ, วิปฺปสเนฺนน เจตสาฯ

    Dadeya ujubhūtesu, vippasannena cetasā.

    เต ตสฺส ธมฺมํ เทเสนฺติ, สพฺพทุกฺขาปนูทนํ;

    Te tassa dhammaṃ desenti, sabbadukkhāpanūdanaṃ;

    ยํ โส ธมฺมํ อิธญฺญาย, ปรินิพฺพาติ อนาสโว’’ติฯ (จูฬว. ๒๙๕);

    Yaṃ so dhammaṃ idhaññāya, parinibbāti anāsavo’’ti. (cūḷava. 295);

    สตฺตรสานิสํสา วุตฺตาฯ ตสฺมา เอตํ สลากภตฺตโต มหปฺผลตรญฺจ มหานิสํสตรญฺจาติ เวทิตพฺพํฯ สงฺฆสฺส ปน ปริจฺจตฺตตฺตาว ยโญฺญติ วุจฺจติฯ อิทมฺปิ สุตฺวา พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘ธนปริจฺจาคํ กตฺวา วิหารทานํ นาม ทุกฺกรํ, อตฺตโน สนฺตกา หิ กากณิกาปิ ปรสฺส ทุปฺปริจฺจชา, หนฺทาหํ อิโตปิ อปฺปฎฺฐตรญฺจ อปฺปสมารมฺภตรญฺจ ยญฺญํ ปุจฺฉามี’’ติฯ ตโต ตํ ปุจฺฉโนฺต – ‘‘อตฺถิ ปน โภ’’ติอาทิมาหฯ

    Sattarasānisaṃsā vuttā. Tasmā etaṃ salākabhattato mahapphalatarañca mahānisaṃsatarañcāti veditabbaṃ. Saṅghassa pana pariccattattāva yaññoti vuccati. Idampi sutvā brāhmaṇo cintesi – ‘‘dhanapariccāgaṃ katvā vihāradānaṃ nāma dukkaraṃ, attano santakā hi kākaṇikāpi parassa duppariccajā, handāhaṃ itopi appaṭṭhatarañca appasamārambhatarañca yaññaṃ pucchāmī’’ti. Tato taṃ pucchanto – ‘‘atthi pana bho’’tiādimāha.

    ๓๕๐-๓๕๑. ตตฺถ ยสฺมา สกิํ ปริจฺจเตฺตปิ วิหาเร ปุนปฺปุนํ ฉาทนขณฺฑผุลฺลปฺปฎิสงฺขรณาทิวเสน กิจฺจํ อตฺถิเยว, สรณํ ปน เอกภิกฺขุสฺส วา สนฺติเก สงฺฆสฺส วา คณสฺส วา สกิํ คหิตํ คหิตเมว โหติ, นตฺถิ ตสฺส ปุนปฺปุนํ กตฺตพฺพตา, ตสฺมา ตํ วิหารทานโต อปฺปฎฺฐตรญฺจ อปฺปสมารมฺภตรญฺจ โหติฯ ยสฺมา จ สรณคมนํ นาม ติณฺณํ รตนานํ ชีวิตปริจฺจาคมยํ ปุญฺญกมฺมํ สคฺคสมฺปตฺติํ เทติ, ตสฺมา มหปฺผลตรญฺจ มหานิสํสตรญฺจาติ เวทิตพฺพํฯ ติณฺณํ ปน รตนานํ ชีวิตปริจฺจาควเสน ยโญฺญติ วุจฺจติฯ

    350-351. Tattha yasmā sakiṃ pariccattepi vihāre punappunaṃ chādanakhaṇḍaphullappaṭisaṅkharaṇādivasena kiccaṃ atthiyeva, saraṇaṃ pana ekabhikkhussa vā santike saṅghassa vā gaṇassa vā sakiṃ gahitaṃ gahitameva hoti, natthi tassa punappunaṃ kattabbatā, tasmā taṃ vihāradānato appaṭṭhatarañca appasamārambhatarañca hoti. Yasmā ca saraṇagamanaṃ nāma tiṇṇaṃ ratanānaṃ jīvitapariccāgamayaṃ puññakammaṃ saggasampattiṃ deti, tasmā mahapphalatarañca mahānisaṃsatarañcāti veditabbaṃ. Tiṇṇaṃ pana ratanānaṃ jīvitapariccāgavasena yaññoti vuccati.

    ๓๕๒. อิทํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘อตฺตโน ชีวิตํ นาม ปรสฺส ปริจฺจชิตุํ ทุกฺกรํ, อตฺถิ นุ โข อิโตปิ อปฺปฎฺฐตโร ยโญฺญ’’ติ ตโต ตํ ปุจฺฉโนฺต ปุน ‘‘อตฺถิ ปน, โภ โคตมา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาณาติปาตา เวรมณีติอาทีสุ เวรมณี นาม วิรติฯ สา ติวิธา โหติ – สมฺปตฺตวิรติ, สมาทานวิรติ เสตุฆาตวิรตีติฯ ตตฺถ โย สิกฺขาปทานิ อคเหตฺวาปิ เกวลํ อตฺตโน ชาติโคตฺตกุลาปเทสาทีนิ อนุสฺสริตฺวา – ‘‘น เม อิทํ ปติรูป’’นฺติ ปาณาติปาตาทีนิ น กโรติ, สมฺปตฺตวตฺถุํ ปริหรติฯ ตโต อารกา วิรมติฯ ตสฺส สา วิรติ สมฺปตฺตวิรตีติ เวทิตพฺพาฯ

    352. Idaṃ sutvā brāhmaṇo cintesi – ‘‘attano jīvitaṃ nāma parassa pariccajituṃ dukkaraṃ, atthi nu kho itopi appaṭṭhataro yañño’’ti tato taṃ pucchanto puna ‘‘atthi pana, bho gotamā’’tiādimāha. Tattha pāṇātipātā veramaṇītiādīsu veramaṇī nāma virati. Sā tividhā hoti – sampattavirati, samādānavirati setughātaviratīti. Tattha yo sikkhāpadāni agahetvāpi kevalaṃ attano jātigottakulāpadesādīni anussaritvā – ‘‘na me idaṃ patirūpa’’nti pāṇātipātādīni na karoti, sampattavatthuṃ pariharati. Tato ārakā viramati. Tassa sā virati sampattaviratīti veditabbā.

    ‘‘อชฺชตเคฺค ชีวิตเหตุปิ ปาณํ น หนามี’’ติ วา ‘‘ปาณาติปาตา วิรมามี’’ติ วา ‘‘เวรมณิํ สมาทิยามี’’ติ วา เอวํ สิกฺขาปทานิ คณฺหนฺตสฺส ปน วิรติ สมาทานวิรตีติ เวทิตพฺพาฯ

    ‘‘Ajjatagge jīvitahetupi pāṇaṃ na hanāmī’’ti vā ‘‘pāṇātipātā viramāmī’’ti vā ‘‘veramaṇiṃ samādiyāmī’’ti vā evaṃ sikkhāpadāni gaṇhantassa pana virati samādānaviratīti veditabbā.

    อริยสาวกานํ ปน มคฺคสมฺปยุตฺตา วิรติ เสตุฆาตวิรติ นามฯ ตตฺถ ปุริมา เทฺว วิรติโย ยํ โวโรปนาทิวเสน วีติกฺกมิตพฺพํ ชีวิตินฺทฺริยาทิวตฺถุ, ตํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตนฺติฯ ปจฺฉิมา นิพฺพานารมฺมณาวฯ เอตฺถ จ โย ปญฺจ สิกฺขาปทานิ เอกโต คณฺหติ, ตสฺส เอกสฺมิํ ภิเนฺน สพฺพานิ ภินฺนานิ โหนฺติฯ โย เอเกกํ คณฺหติ, โส ยํ วีติกฺกมติ, ตเทว ภิชฺชติฯ เสตุฆาตวิรติยา ปน เภโท นาม นตฺถิ, ภวนฺตเรปิ หิ อริยสาวโก ชีวิตเหตุปิ เนว ปาณํ หนติ น สุรํ ปิวติฯ สเจปิสฺส สุรญฺจ ขีรญฺจ มิเสฺสตฺวา มุเข ปกฺขิปนฺติ, ขีรเมว ปวิสติ, น สุราฯ ยถา กิํ? โกญฺจสกุณานํ ขีรมิสฺสเก อุทเก ขีรเมว ปวิสติ? น อุทกํฯ อิทํ โยนิสิทฺธนฺติ เจ, อิทํ ธมฺมตาสิทฺธนฺติ จ เวทิตพฺพํฯ ยสฺมา ปน สรณคมเน ทิฎฺฐิอุชุกกรณํ นาม ภาริยํฯ สิกฺขาปทสมาทาเน ปน วิรติมตฺตกเมวฯ ตสฺมา เอตํ ยถา วา ตถา วา คณฺหนฺตสฺสาปิ สาธุกํ คณฺหนฺตสฺสาปิ อปฺปฎฺฐตรญฺจ อปฺปสมารมฺภตรญฺจฯ ปญฺจสีลสทิสสฺส ปน ทานสฺส อภาวโต เอตฺถ มหปฺผลตา มหานิสํสตา จ เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Ariyasāvakānaṃ pana maggasampayuttā virati setughātavirati nāma. Tattha purimā dve viratiyo yaṃ voropanādivasena vītikkamitabbaṃ jīvitindriyādivatthu, taṃ ārammaṇaṃ katvā pavattanti. Pacchimā nibbānārammaṇāva. Ettha ca yo pañca sikkhāpadāni ekato gaṇhati, tassa ekasmiṃ bhinne sabbāni bhinnāni honti. Yo ekekaṃ gaṇhati, so yaṃ vītikkamati, tadeva bhijjati. Setughātaviratiyā pana bhedo nāma natthi, bhavantarepi hi ariyasāvako jīvitahetupi neva pāṇaṃ hanati na suraṃ pivati. Sacepissa surañca khīrañca missetvā mukhe pakkhipanti, khīrameva pavisati, na surā. Yathā kiṃ? Koñcasakuṇānaṃ khīramissake udake khīrameva pavisati? Na udakaṃ. Idaṃ yonisiddhanti ce, idaṃ dhammatāsiddhanti ca veditabbaṃ. Yasmā pana saraṇagamane diṭṭhiujukakaraṇaṃ nāma bhāriyaṃ. Sikkhāpadasamādāne pana viratimattakameva. Tasmā etaṃ yathā vā tathā vā gaṇhantassāpi sādhukaṃ gaṇhantassāpi appaṭṭhatarañca appasamārambhatarañca. Pañcasīlasadisassa pana dānassa abhāvato ettha mahapphalatā mahānisaṃsatā ca veditabbā. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ปญฺจิมานิ , ภิกฺขเว, ทานานิ มหาทานานิ อคฺคญฺญานิ รตฺตญฺญานิ วํสญฺญานิ โปราณานิ อสํกิณฺณานิ อสํกิณฺณปุพฺพานิ น สงฺกิยนฺติ น สงฺกิยิสฺสนฺติ อปฺปฎิกุฎฺฐานิ สมเณหิ พฺราหฺมเณหิ วิญฺญูหิฯ กตมานิ ปญฺจ? อิธ, ภิกฺขเว, อริยสาวโก ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติฯ ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อปริมาณานํ สตฺตานํ อภยํ เทติ, อเวรํ เทติ อพฺยาปชฺฌํ เทติฯ อปริมาณานํ สตฺตานํ อภยํ ทตฺวา อเวรํ ทตฺวา อพฺยาปชฺฌํ ทตฺวา อปริมาณสฺส อภยสฺส อเวรสฺส อพฺยาปชฺฌสฺส ภาคี โหติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ปฐมํ ทานํ มหาทานํ…เป.… วิญฺญูหีติฯ

    ‘‘Pañcimāni , bhikkhave, dānāni mahādānāni aggaññāni rattaññāni vaṃsaññāni porāṇāni asaṃkiṇṇāni asaṃkiṇṇapubbāni na saṅkiyanti na saṅkiyissanti appaṭikuṭṭhāni samaṇehi brāhmaṇehi viññūhi. Katamāni pañca? Idha, bhikkhave, ariyasāvako pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti. Pāṇātipātā paṭivirato, bhikkhave, ariyasāvako aparimāṇānaṃ sattānaṃ abhayaṃ deti, averaṃ deti abyāpajjhaṃ deti. Aparimāṇānaṃ sattānaṃ abhayaṃ datvā averaṃ datvā abyāpajjhaṃ datvā aparimāṇassa abhayassa averassa abyāpajjhassa bhāgī hoti. Idaṃ, bhikkhave, paṭhamaṃ dānaṃ mahādānaṃ…pe… viññūhīti.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อทินฺนาทานํ ปหาย…เป.… กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย…เป.… มุสาวาทํ ปหาย…เป.… สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานํ ปหาย…เป.… อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ ทานานิ มหาทานานิ อคฺคญฺญานิ…เป.… วิญฺญูหี’’ติ (อ. นิ. ๘.๓๙)ฯ

    Puna caparaṃ, bhikkhave, ariyasāvako adinnādānaṃ pahāya…pe… kāmesumicchācāraṃ pahāya…pe… musāvādaṃ pahāya…pe… surāmerayamajjapamādaṭṭhānaṃ pahāya…pe… imāni kho, bhikkhave, pañca dānāni mahādānāni aggaññāni…pe… viññūhī’’ti (a. ni. 8.39).

    อิทญฺจ ปน สีลปญฺจกํ – ‘‘อตฺตสิเนหญฺจ ชีวิตสิเนหญฺจ ปริจฺจชิตฺวา รกฺขิสฺสามี’’ติ สมาทินฺนตาย ยโญฺญติ วุจฺจติฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ปญฺจสีลโต สรณคมนเมว เชฎฺฐกํ, อิทํ ปน สรณคมเนเยว ปติฎฺฐาย รกฺขิตสีลวเสน มหปฺผลนฺติ วุตฺตํฯ

    Idañca pana sīlapañcakaṃ – ‘‘attasinehañca jīvitasinehañca pariccajitvā rakkhissāmī’’ti samādinnatāya yaññoti vuccati. Tattha kiñcāpi pañcasīlato saraṇagamanameva jeṭṭhakaṃ, idaṃ pana saraṇagamaneyeva patiṭṭhāya rakkhitasīlavasena mahapphalanti vuttaṃ.

    ๓๕๓. อิทมฺปิ สุตฺวา พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘ปญฺจสีลํ นาม รกฺขิตุํ ครุกํ, อตฺถิ นุ โข อญฺญํ กิญฺจิ อีทิสเมว หุตฺวา อิโต อปฺปฎฺฐตรญฺจ มหปฺผลตรญฺจา’’ติฯ ตโต ตํ ปุจฺฉโนฺต ปุนปิ – ‘‘อตฺถิ ปน, โภ โคตมา’’ติอาทิมาหฯ อถสฺส ภควา ติวิธสีลปาริปูริยํ ฐิตสฺส ปฐมชฺฌานาทีนํ ยญฺญานํ อปฺปฎฺฐตรญฺจ มหปฺผลตรญฺจ ทเสฺสตุกาโม พุทฺธุปฺปาทโต ปฎฺฐาย เทสนํ อารภโนฺต ‘‘อิธ พฺราหฺมณา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา เหฎฺฐา วุเตฺตหิ คุเณหิ สมนฺนาคโต ปฐมํ ฌานํ, ปฐมชฺฌานาทีสุ ฐิโต ทุติยชฺฌานาทีนิ นิพฺพเตฺตโนฺต น กิลมติ, ตสฺมา ตานิ อปฺปฎฺฐานิ อปฺปสมารมฺภานิฯ ยสฺมา ปเนตฺถ ปฐมชฺฌานํ เอกํ กปฺปํ พฺรหฺมโลเก อายุํ เทติฯ ทุติยํ อฎฺฐกเปฺปฯ ตติยํ จตุสฎฺฐิกเปฺปฯ จตุตฺถํ ปญฺจกปฺปสตานิฯ ตเทว อากาสานญฺจายตนาทิสมาปตฺติวเสน ภาวิตํ วีสติ, จตฺตาลีสํ, สฎฺฐิ, จตุราสีติ จ กปฺปสหสฺสานิ อายุํ เทติ; ตสฺมา มหปฺผลตรญฺจ มหานิสํสตรญฺจฯ นีวรณาทีนํ ปน ปจฺจนีกานํ ธมฺมานํ ปริจฺจตฺตตฺตา ตํ ยญฺญนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    353. Idampi sutvā brāhmaṇo cintesi – ‘‘pañcasīlaṃ nāma rakkhituṃ garukaṃ, atthi nu kho aññaṃ kiñci īdisameva hutvā ito appaṭṭhatarañca mahapphalatarañcā’’ti. Tato taṃ pucchanto punapi – ‘‘atthi pana, bho gotamā’’tiādimāha. Athassa bhagavā tividhasīlapāripūriyaṃ ṭhitassa paṭhamajjhānādīnaṃ yaññānaṃ appaṭṭhatarañca mahapphalatarañca dassetukāmo buddhuppādato paṭṭhāya desanaṃ ārabhanto ‘‘idha brāhmaṇā’’tiādimāha. Tattha yasmā heṭṭhā vuttehi guṇehi samannāgato paṭhamaṃ jhānaṃ, paṭhamajjhānādīsu ṭhito dutiyajjhānādīni nibbattento na kilamati, tasmā tāni appaṭṭhāni appasamārambhāni. Yasmā panettha paṭhamajjhānaṃ ekaṃ kappaṃ brahmaloke āyuṃ deti. Dutiyaṃ aṭṭhakappe. Tatiyaṃ catusaṭṭhikappe. Catutthaṃ pañcakappasatāni. Tadeva ākāsānañcāyatanādisamāpattivasena bhāvitaṃ vīsati, cattālīsaṃ, saṭṭhi, caturāsīti ca kappasahassāni āyuṃ deti; tasmā mahapphalatarañca mahānisaṃsatarañca. Nīvaraṇādīnaṃ pana paccanīkānaṃ dhammānaṃ pariccattattā taṃ yaññanti veditabbaṃ.

    วิปสฺสนาญาณมฺปิ ยสฺมา จตุตฺถชฺฌานปริโยสาเนสุ คุเณสุ ปติฎฺฐาย นิพฺพเตฺตโนฺต น กิลมติ, ตสฺมา อปฺปฎฺฐํ อปฺปสมารมฺภํ; วิปสฺสนาสุขสทิสสฺส ปน สุขสฺส อภาวา มหปฺผลํฯ ปจฺจนีกกิเลสปริจฺจาคโต ยโญฺญติฯ มโนมยิทฺธิปิ ยสฺมา วิปสฺสนาญาเณ ปติฎฺฐาย นิพฺพเตฺตโนฺต น กิลมติ, ตสฺมา อปฺปฎฺฐา อปฺปสมารมฺภา; อตฺตโน สทิสรูปนิมฺมานสมตฺถตาย มหปฺผลาฯ อตฺตโน ปจฺจนีกกิเลสปริจฺจาคโต ยโญฺญฯ อิทฺธิวิธญาณาทีนิปิ ยสฺมา มโนมยญาณาทีสุ ปติฎฺฐาย นิพฺพเตฺตโนฺต น กิลมติ, ตสฺมา อปฺปฎฺฐานิ อปฺปสมารมฺภานิ, อตฺตโน อตฺตโน ปจฺจนีกกิเลสปฺปหานโต ยโญฺญฯ อิทฺธิวิธํ ปเนตฺถ นานาวิธวิกุพฺพนทสฺสนสมตฺถตายฯ ทิพฺพโสตํ เทวมนุสฺสานํ สทฺทสวนสมตฺถตาย; เจโตปริยญาณํ ปเรสํ โสฬสวิธจิตฺตชานนสมตฺถตาย; ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ อิจฺฉิติจฺฉิตฎฺฐานสมนุสฺสรณสมตฺถตาย; ทิพฺพจกฺขุ อิจฺฉิติจฺฉิตรูปทสฺสนสมตฺถตาย; อาสวกฺขยญาณํ อติปณีตโลกุตฺตรมคฺคสุขนิปฺผาทนสมตฺถตาย มหปฺผลนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยสฺมา ปน อรหตฺตโต วิสิฎฺฐตโร อโญฺญ ยโญฺญ นาม นตฺถิ, ตสฺมา อรหตฺตนิกูเฎเนว เทสนํ สมาเปโนฺต – ‘‘อยมฺปิ โข, พฺราหฺมณา’’ติอาทิมาหฯ

    Vipassanāñāṇampi yasmā catutthajjhānapariyosānesu guṇesu patiṭṭhāya nibbattento na kilamati, tasmā appaṭṭhaṃ appasamārambhaṃ; vipassanāsukhasadisassa pana sukhassa abhāvā mahapphalaṃ. Paccanīkakilesapariccāgato yaññoti. Manomayiddhipi yasmā vipassanāñāṇe patiṭṭhāya nibbattento na kilamati, tasmā appaṭṭhā appasamārambhā; attano sadisarūpanimmānasamatthatāya mahapphalā. Attano paccanīkakilesapariccāgato yañño. Iddhividhañāṇādīnipi yasmā manomayañāṇādīsu patiṭṭhāya nibbattento na kilamati, tasmā appaṭṭhāni appasamārambhāni, attano attano paccanīkakilesappahānato yañño. Iddhividhaṃ panettha nānāvidhavikubbanadassanasamatthatāya. Dibbasotaṃ devamanussānaṃ saddasavanasamatthatāya; cetopariyañāṇaṃ paresaṃ soḷasavidhacittajānanasamatthatāya; pubbenivāsānussatiñāṇaṃ icchiticchitaṭṭhānasamanussaraṇasamatthatāya; dibbacakkhu icchiticchitarūpadassanasamatthatāya; āsavakkhayañāṇaṃ atipaṇītalokuttaramaggasukhanipphādanasamatthatāya mahapphalanti veditabbaṃ. Yasmā pana arahattato visiṭṭhataro añño yañño nāma natthi, tasmā arahattanikūṭeneva desanaṃ samāpento – ‘‘ayampi kho, brāhmaṇā’’tiādimāha.

    กูฎทนฺตอุปาสกตฺตปฎิเวทนาวณฺณนา

    Kūṭadantaupāsakattapaṭivedanāvaṇṇanā

    ๓๕๔-๓๕๘. เอวํ วุเตฺตติ เอวํ ภควตา วุเตฺต เทสนาย ปสีทิตฺวา สรณํ คนฺตุกาโม กูฎทโนฺต พฺราหฺมโณ – ‘เอตํ อภิกฺกนฺตํ โภ, โคตมา’ติอาทิกํ วจนํ อโวจฯ อุปวายตูติ อุปคนฺตฺวา สรีรทรถํ นิพฺพาเปโนฺต ตนุสีตโล วาโต วายตูติฯ อิทญฺจ ปน วตฺวา พฺราหฺมโณ ปุริสํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ, ตาต, ยญฺญวาฎํ ปวิสิตฺวา สเพฺพ เต ปาณโย พนฺธนา โมเจหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ตถา กตฺวา อาคนฺตฺวา ‘‘มุตฺตา โภ, เต ปาณโย’’ติ อาโรเจสิฯ ยาว พฺราหฺมโณ ตํ ปวตฺติํ น สุณิ, น ตาว ภควา ธมฺมํ เทเสสิฯ กสฺมา? ‘‘พฺราหฺมณสฺส จิเตฺต อากุลภาโว อตฺถี’’ติฯ สุตฺวา ปนสฺส ‘‘พหู วต เม ปาณา โมจิตา’’ติ จิตฺตจาโร วิปฺปสีทติฯ ภควา ตสฺส วิปฺปสนฺนมนตํ ญตฺวา ธมฺมเทสนํ อารภิฯ ตํ สนฺธาย – ‘‘อถ โข ภควา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปุน ‘กลฺลจิตฺต’นฺติอาทิ อานุปุพฺพิกถานุภาเวน วิกฺขมฺภิตนีวรณตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    354-358.Evaṃvutteti evaṃ bhagavatā vutte desanāya pasīditvā saraṇaṃ gantukāmo kūṭadanto brāhmaṇo – ‘etaṃ abhikkantaṃ bho, gotamā’tiādikaṃ vacanaṃ avoca. Upavāyatūti upagantvā sarīradarathaṃ nibbāpento tanusītalo vāto vāyatūti. Idañca pana vatvā brāhmaṇo purisaṃ pesesi – ‘‘gaccha, tāta, yaññavāṭaṃ pavisitvā sabbe te pāṇayo bandhanā mocehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā tathā katvā āgantvā ‘‘muttā bho, te pāṇayo’’ti ārocesi. Yāva brāhmaṇo taṃ pavattiṃ na suṇi, na tāva bhagavā dhammaṃ desesi. Kasmā? ‘‘Brāhmaṇassa citte ākulabhāvo atthī’’ti. Sutvā panassa ‘‘bahū vata me pāṇā mocitā’’ti cittacāro vippasīdati. Bhagavā tassa vippasannamanataṃ ñatvā dhammadesanaṃ ārabhi. Taṃ sandhāya – ‘‘atha kho bhagavā’’tiādi vuttaṃ. Puna ‘kallacitta’ntiādi ānupubbikathānubhāvena vikkhambhitanīvaraṇataṃ sandhāya vuttaṃ. Sesaṃ uttānatthamevāti.

    อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ

    Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ

    กูฎทนฺตสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kūṭadantasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๕. กูฎทนฺตสุตฺตํ • 5. Kūṭadantasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๕. กูฎทนฺตสุตฺตวณฺณนา • 5. Kūṭadantasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact