Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga

    ๖. กุฎิการสิกฺขาปทํ

    6. Kuṭikārasikkhāpadaṃ

    ๓๔๒. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน โข ปน สมเยน อาฬวกา ภิกฺขู สญฺญาจิกาโย กุฎิโย การาเปนฺติ อสฺสามิกาโย อตฺตุเทฺทสิกาโย อปฺปมาณิกาโยฯ ตาโย น นิฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ เต ยาจนพหุลา วิญฺญตฺติพหุลา วิหรนฺติ – ‘‘ปุริสํ เทถ, ปุริสตฺถกรํ เทถ, โคณํ เทถ, สกฎํ เทถ, วาสิํ เทถ, ปรสุํ เทถ, กุฐาริํ เทถ, กุทาลํ เทถ, นิขาทนํ เทถ, วลฺลิํ เทถ, เวฬุํ เทถ, มุญฺชํ เทถ, ปพฺพชํ เทถ, ติณํ เทถ, มตฺติกํ เทถา’’ติฯ มนุสฺสา อุปทฺทุตา ยาจนาย อุปทฺทุตา วิญฺญตฺติยา ภิกฺขู ทิสฺวา อุพฺพิชฺชนฺติปิ อุตฺตสนฺติปิ ปลายนฺติปิ อเญฺญนปิ คจฺฉนฺติ อเญฺญนปิ มุขํ กโรนฺติ ทฺวารมฺปิ ถเกนฺติ, คาวิมฺปิ ทิสฺวา ปลายนฺติ ภิกฺขูติ มญฺญมานาฯ

    342. Tena samayena buddho bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena kho pana samayena āḷavakā bhikkhū saññācikāyo kuṭiyo kārāpenti assāmikāyo attuddesikāyo appamāṇikāyo. Tāyo na niṭṭhānaṃ gacchanti. Te yācanabahulā viññattibahulā viharanti – ‘‘purisaṃ detha, purisatthakaraṃ detha, goṇaṃ detha, sakaṭaṃ detha, vāsiṃ detha, parasuṃ detha, kuṭhāriṃ detha, kudālaṃ detha, nikhādanaṃ detha, valliṃ detha, veḷuṃ detha, muñjaṃ detha, pabbajaṃ detha, tiṇaṃ detha, mattikaṃ dethā’’ti. Manussā upaddutā yācanāya upaddutā viññattiyā bhikkhū disvā ubbijjantipi uttasantipi palāyantipi aññenapi gacchanti aññenapi mukhaṃ karonti dvārampi thakenti, gāvimpi disvā palāyanti bhikkhūti maññamānā.

    อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป ราชคเห วสฺสํวุโฎฺฐ เยน อาฬวี เตน ปกฺกามิฯ อนุปุเพฺพน เยน อาฬวี ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ อายสฺมา มหากสฺสโป อาฬวิยํ วิหรติ อคฺคาฬเว เจติเยฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อาฬวิํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ มนุสฺสา อายสฺมนฺตํ มหากสฺสปํ ปสฺสิตฺวา อุพฺพิชฺชนฺติปิ อุตฺตสนฺติปิ ปลายนฺติปิ อเญฺญนปิ คจฺฉนฺติ อเญฺญนปิ มุขํ กโรนฺติ ทฺวารมฺปิ ถเกนฺติฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป อาฬวิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฺปฎิกฺกโนฺต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ปุพฺพายํ, อาวุโส, อาฬวี สุภิกฺขา อโหสิ สุลภปิณฺฑา สุกรา อุเญฺฉน ปคฺคเหน ยาเปตุํ; เอตรหิ ปนายํ อาฬวี ทุพฺภิกฺขา ทุลฺลภปิณฺฑา, น สุกรา อุเญฺฉน ปคฺคเหน ยาเปตุํฯ โก นุ โข, อาวุโส, เหตุ โก ปจฺจโย, เยนายํ อาฬวี ทุพฺภิกฺขา ทุลฺลภปิณฺฑา, น สุกรา อุเญฺฉน ปคฺคเหน ยาเปตุ’’นฺติ? อถ โข เต ภิกฺขู อายสฺมโต มหากสฺสปสฺส เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ

    Atha kho āyasmā mahākassapo rājagahe vassaṃvuṭṭho yena āḷavī tena pakkāmi. Anupubbena yena āḷavī tadavasari. Tatra sudaṃ āyasmā mahākassapo āḷaviyaṃ viharati aggāḷave cetiye. Atha kho āyasmā mahākassapo pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya āḷaviṃ piṇḍāya pāvisi. Manussā āyasmantaṃ mahākassapaṃ passitvā ubbijjantipi uttasantipi palāyantipi aññenapi gacchanti aññenapi mukhaṃ karonti dvārampi thakenti. Atha kho āyasmā mahākassapo āḷaviyaṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātappaṭikkanto bhikkhū āmantesi – ‘‘pubbāyaṃ, āvuso, āḷavī subhikkhā ahosi sulabhapiṇḍā sukarā uñchena paggahena yāpetuṃ; etarahi panāyaṃ āḷavī dubbhikkhā dullabhapiṇḍā, na sukarā uñchena paggahena yāpetuṃ. Ko nu kho, āvuso, hetu ko paccayo, yenāyaṃ āḷavī dubbhikkhā dullabhapiṇḍā, na sukarā uñchena paggahena yāpetu’’nti? Atha kho te bhikkhū āyasmato mahākassapassa etamatthaṃ ārocesuṃ.

    ๓๔๓. อถ โข ภควา ราชคเห ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา เยน อาฬวี เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน อาฬวี ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา อาฬวิยํ วิหรติ อคฺคาฬเว เจติเยฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา มหากสฺสโป ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ อถ โข ภควา เอตสฺมิํ นิทาเน เอตสฺมิํ ปกรเณ ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา อาฬวเก ภิกฺขู ปฎิปุจฺฉิ – ‘‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห, ภิกฺขเว, สญฺญาจิกาโย กุฎิโย การาเปถ อสฺสามิกาโย อตฺตุเทฺทสิกาโย อปฺปมาณิกาโย ฯ ตาโย น นิฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ เต ตุเมฺห ยาจนพหุลา วิญฺญตฺติพหุลา วิหรถ – ‘ปุริสํ เทถ ปุริสตฺถกรํ เทถ…เป.… ติณํ เทถ มตฺติกํ เทถา’ติฯ มนุสฺสา อุปทฺทุตา ยาจนาย อุปทฺทุตา วิญฺญตฺติยา ภิกฺขู ทิสฺวา อุพฺพิชฺชนฺติปิ อุตฺตสนฺติปิ ปลายนฺติปิ อเญฺญนปิ คจฺฉนฺติ อเญฺญนปิ มุขํ กโรนฺติ ทฺวารมฺปิ ถเกนฺติ, คาวิมฺปิ ทิสฺวา ปลายนฺติ ภิกฺขูติ มญฺญมานา’’ติ? ‘‘สจฺจํ, ภควา’’ติฯ วิครหิ พุโทฺธ ภควา…เป.… ‘‘กถญฺหิ นาม ตุเมฺห, โมฆปุริสา, สํยาจิกาโย กุฎิโย การาเปสฺสถ อสฺสามิกาโย อตฺตุเทฺทสิกาโย อปฺปมาณิกาโย! ตาโย น นิฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ เต ตุเมฺห ยาจนพหุลา วิญฺญตฺติพหุลา วิหริสฺสถ – ‘ปุริสํ เทถ ปุริสตฺถกรํ เทถ…เป.… ติณํ เทถ มตฺติกํ เทถา’ติ! เนตํ โมฆปุริสา, อปฺปสนฺนานํ วา ปสาทาย…เป.…’’ วิครหิตฺวา ธมฺมิํ กถํ กตฺวา ภิกฺขู อามเนฺตสิ –

    343. Atha kho bhagavā rājagahe yathābhirantaṃ viharitvā yena āḷavī tena cārikaṃ pakkāmi. Anupubbena cārikaṃ caramāno yena āḷavī tadavasari. Tatra sudaṃ bhagavā āḷaviyaṃ viharati aggāḷave cetiye. Atha kho āyasmā mahākassapo yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā mahākassapo bhagavato etamatthaṃ ārocesi. Atha kho bhagavā etasmiṃ nidāne etasmiṃ pakaraṇe bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā āḷavake bhikkhū paṭipucchi – ‘‘saccaṃ kira tumhe, bhikkhave, saññācikāyo kuṭiyo kārāpetha assāmikāyo attuddesikāyo appamāṇikāyo . Tāyo na niṭṭhānaṃ gacchanti. Te tumhe yācanabahulā viññattibahulā viharatha – ‘purisaṃ detha purisatthakaraṃ detha…pe… tiṇaṃ detha mattikaṃ dethā’ti. Manussā upaddutā yācanāya upaddutā viññattiyā bhikkhū disvā ubbijjantipi uttasantipi palāyantipi aññenapi gacchanti aññenapi mukhaṃ karonti dvārampi thakenti, gāvimpi disvā palāyanti bhikkhūti maññamānā’’ti? ‘‘Saccaṃ, bhagavā’’ti. Vigarahi buddho bhagavā…pe… ‘‘kathañhi nāma tumhe, moghapurisā, saṃyācikāyo kuṭiyo kārāpessatha assāmikāyo attuddesikāyo appamāṇikāyo! Tāyo na niṭṭhānaṃ gacchanti. Te tumhe yācanabahulā viññattibahulā viharissatha – ‘purisaṃ detha purisatthakaraṃ detha…pe… tiṇaṃ detha mattikaṃ dethā’ti! Netaṃ moghapurisā, appasannānaṃ vā pasādāya…pe…’’ vigarahitvā dhammiṃ kathaṃ katvā bhikkhū āmantesi –

    ๓๔๔. ‘‘ภูตปุพฺพํ , ภิกฺขเว, เทฺว ภาตโร อิสโย คงฺคํ นทิํ อุปนิสฺสาย วิหริํสุฯ อถ โข, ภิกฺขเว, มณิกโณฺฐ นาคราชา คงฺคํ นทิํ อุตฺตริตฺวา เยน กนิโฎฺฐ อิสิ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา กนิฎฺฐํ อิสิํ สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิตฺวา อุปริมุทฺธนิ มหนฺตํ ผณํ กริตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ โข, ภิกฺขเว, กนิโฎฺฐ อิสิ ตสฺส นาคสฺส ภยา กิโส อโหสิ ลูโข ทุพฺพโณฺณ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺตฯ อทฺทส โข, ภิกฺขเว, เชโฎฺฐ อิสิ กนิฎฺฐํ อิสิํ กิสํ ลูขํ ทุพฺพณฺณํ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาตํ ธมนิสนฺถตคตฺตํฯ ทิสฺวาน กนิฎฺฐํ อิสิํ เอตทโวจ – ‘‘กิสฺส ตฺวํ, โภ, กิโส ลูโข ทุพฺพโณฺณ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺต’’ติ? ‘‘อิธ, โภ, มณิกโณฺฐ นาคราชา คงฺคํ นทิํ อุตฺตริตฺวา เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิตฺวา อุปริมุทฺธนิ มหนฺตํ ผณํ กริตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตสฺสาหํ, โภ, นาคสฺส ภยา 1 กิโส ลูโข ทุพฺพโณฺณ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺต’’ติฯ ‘‘อิจฺฉสิ ปน ตฺวํ, โภ, ตสฺส นาคสฺส อนาคมน’’นฺติ? ‘‘อิจฺฉามหํ, โภ, ตสฺส นาคสฺส อนาคมน’’นฺติฯ ‘‘อปิ ปน ตฺวํ, โภ, ตสฺส นาคสฺส กิญฺจิ ปสฺสสี’’ติ? ‘‘ปสฺสามหํ, โภ, มณิมสฺส 2 กเณฺฐ ปิลนฺธน’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ ตฺวํ, โภ, ตํ นาคํ มณิํ ยาจ – ‘มณิํ เม, โภ, เทหิ; มณินา เม อโตฺถ’’’ติฯ

    344. ‘‘Bhūtapubbaṃ , bhikkhave, dve bhātaro isayo gaṅgaṃ nadiṃ upanissāya vihariṃsu. Atha kho, bhikkhave, maṇikaṇṭho nāgarājā gaṅgaṃ nadiṃ uttaritvā yena kaniṭṭho isi tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā kaniṭṭhaṃ isiṃ sattakkhattuṃ bhogehi parikkhipitvā uparimuddhani mahantaṃ phaṇaṃ karitvā aṭṭhāsi. Atha kho, bhikkhave, kaniṭṭho isi tassa nāgassa bhayā kiso ahosi lūkho dubbaṇṇo uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto. Addasa kho, bhikkhave, jeṭṭho isi kaniṭṭhaṃ isiṃ kisaṃ lūkhaṃ dubbaṇṇaṃ uppaṇḍuppaṇḍukajātaṃ dhamanisanthatagattaṃ. Disvāna kaniṭṭhaṃ isiṃ etadavoca – ‘‘kissa tvaṃ, bho, kiso lūkho dubbaṇṇo uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto’’ti? ‘‘Idha, bho, maṇikaṇṭho nāgarājā gaṅgaṃ nadiṃ uttaritvā yenāhaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā maṃ sattakkhattuṃ bhogehi parikkhipitvā uparimuddhani mahantaṃ phaṇaṃ karitvā aṭṭhāsi. Tassāhaṃ, bho, nāgassa bhayā 3 kiso lūkho dubbaṇṇo uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto’’ti. ‘‘Icchasi pana tvaṃ, bho, tassa nāgassa anāgamana’’nti? ‘‘Icchāmahaṃ, bho, tassa nāgassa anāgamana’’nti. ‘‘Api pana tvaṃ, bho, tassa nāgassa kiñci passasī’’ti? ‘‘Passāmahaṃ, bho, maṇimassa 4 kaṇṭhe pilandhana’’nti. ‘‘Tena hi tvaṃ, bho, taṃ nāgaṃ maṇiṃ yāca – ‘maṇiṃ me, bho, dehi; maṇinā me attho’’’ti.

    อถ โข, ภิกฺขเว, มณิกโณฺฐ นาคราชา คงฺคํ นทิํ อุตฺตริตฺวา เยน กนิโฎฺฐ อิสิ เตนุปสงฺกมิ ; อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิตํ โข, ภิกฺขเว, มณิกณฺฐํ นาคราชานํ กนิโฎฺฐ อิสิ เอตทโวจ – ‘‘มณิํ เม, โภ, เทหิ; มณินา เม อโตฺถ’’ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, มณิกโณฺฐ นาคราชา – ‘ภิกฺขุ มณิํ ยาจติ, ภิกฺขุสฺส มณินา อโตฺถ’ติ ขิปฺปเญฺญว อคมาสิฯ ทุติยมฺปิ โข, ภิกฺขเว, มณิกโณฺฐ นาคราชา คงฺคํ นทิํ อุตฺตริตฺวา เยน กนิโฎฺฐ อิสิ เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทส โข, ภิกฺขเว, กนิโฎฺฐ อิสิ มณิกณฺฐํ นาคราชานํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน มณิกณฺฐํ นาคราชานํ เอตทโวจ – ‘‘มณิํ เม, โภ, เทหิ; มณินา เม อโตฺถ’’ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, มณิกโณฺฐ นาคราชา – ‘‘ภิกฺขุ มณิํ ยาจติ, ภิกฺขุสฺส มณินา อโตฺถ’’ติ ตโตว ปฎินิวตฺติฯ ตติยมฺปิ โข, ภิกฺขเว, มณิกโณฺฐ นาคราชา คงฺคํ นทิํ อุตฺตรติฯ อทฺทส โข, ภิกฺขเว, กนิโฎฺฐ อิสิ มณิกณฺฐํ นาคราชานํ คงฺคํ นทิํ อุตฺตรนฺตํฯ ทิสฺวาน มณิกณฺฐํ นาคราชานํ เอตทโวจ – ‘‘มณิํ เม, โภ, เทหิ; มณินา เม อโตฺถ’’ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, มณิกโณฺฐ นาคราชา กนิฎฺฐํ อิสิํ คาถาหิ อชฺฌภาสิ –

    Atha kho, bhikkhave, maṇikaṇṭho nāgarājā gaṅgaṃ nadiṃ uttaritvā yena kaniṭṭho isi tenupasaṅkami ; upasaṅkamitvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhitaṃ kho, bhikkhave, maṇikaṇṭhaṃ nāgarājānaṃ kaniṭṭho isi etadavoca – ‘‘maṇiṃ me, bho, dehi; maṇinā me attho’’ti. Atha kho, bhikkhave, maṇikaṇṭho nāgarājā – ‘bhikkhu maṇiṃ yācati, bhikkhussa maṇinā attho’ti khippaññeva agamāsi. Dutiyampi kho, bhikkhave, maṇikaṇṭho nāgarājā gaṅgaṃ nadiṃ uttaritvā yena kaniṭṭho isi tenupasaṅkami. Addasa kho, bhikkhave, kaniṭṭho isi maṇikaṇṭhaṃ nāgarājānaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna maṇikaṇṭhaṃ nāgarājānaṃ etadavoca – ‘‘maṇiṃ me, bho, dehi; maṇinā me attho’’ti. Atha kho, bhikkhave, maṇikaṇṭho nāgarājā – ‘‘bhikkhu maṇiṃ yācati, bhikkhussa maṇinā attho’’ti tatova paṭinivatti. Tatiyampi kho, bhikkhave, maṇikaṇṭho nāgarājā gaṅgaṃ nadiṃ uttarati. Addasa kho, bhikkhave, kaniṭṭho isi maṇikaṇṭhaṃ nāgarājānaṃ gaṅgaṃ nadiṃ uttarantaṃ. Disvāna maṇikaṇṭhaṃ nāgarājānaṃ etadavoca – ‘‘maṇiṃ me, bho, dehi; maṇinā me attho’’ti. Atha kho, bhikkhave, maṇikaṇṭho nāgarājā kaniṭṭhaṃ isiṃ gāthāhi ajjhabhāsi –

    5 ‘‘มมนฺนปานํ วิปุลํ อุฬารํ,

    6 ‘‘Mamannapānaṃ vipulaṃ uḷāraṃ,

    อุปฺปชฺชตีมสฺส มณิสฺส เหตุ;

    Uppajjatīmassa maṇissa hetu;

    ตํ เต น ทสฺสํ อติยาจโกสิ;

    Taṃ te na dassaṃ atiyācakosi;

    น จาปิ เต อสฺสมมาคมิสฺสํฯ

    Na cāpi te assamamāgamissaṃ.

    7 ‘‘สุสู ยถา สกฺขรโธตปาณี;

    8 ‘‘Susū yathā sakkharadhotapāṇī;

    ตาเสสิ มํ เสลมายาจมาโน;

    Tāsesi maṃ selamāyācamāno;

    ตํ เต น ทสฺสํ อติยาจโกสิ;

    Taṃ te na dassaṃ atiyācakosi;

    น จาปิ เต อสฺสมมาคมิสฺส’’นฺติฯ

    Na cāpi te assamamāgamissa’’nti.

    อถ โข, ภิกฺขเว, มณิกโณฺฐ นาคราชา – ‘‘ภิกฺขุ มณิํ ยาจติ, ภิกฺขุสฺส มณินา อโตฺถ’’ติ ปกฺกามิฯ ตถา ปกฺกโนฺตว 9 อโหสิ, น ปุน ปจฺจาคญฺฉิฯ อถ โข, ภิกฺขเว, กนิโฎฺฐ อิสิ ตสฺส นาคสฺส ทสฺสนียสฺส อทสฺสเนน ภิโยฺยโสมตฺตาย กิโส อโหสิ ลูโข ทุพฺพโณฺณ, อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺตฯ อทฺทส โข, ภิกฺขเว, เชโฎฺฐ อิสิ กนิฎฺฐํ อิสิํ ภิโยฺยโสมตฺตาย กิสํ ลูขํ ทุพฺพณฺณํ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาตํ ธมนิสนฺถตคตฺตํฯ ทิสฺวาน กนิฎฺฐํ อิสิํ เอตทโวจ – ‘‘กิสฺส ตฺวํ, โภ, ภิโยฺยโสมตฺตาย กิโส ลูโข ทุพฺพโณฺณ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺต’’ติ? ‘‘ตสฺสาหํ, โภ, นาคสฺส ทสฺสนียสฺส อทสฺสเนน ภิโยฺยโสมตฺตาย กิโส ลูโข ทุพฺพโณฺณ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺต’’ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, เชโฎฺฐ อิสิ กนิฎฺฐํ อิสิํ คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Atha kho, bhikkhave, maṇikaṇṭho nāgarājā – ‘‘bhikkhu maṇiṃ yācati, bhikkhussa maṇinā attho’’ti pakkāmi. Tathā pakkantova 10 ahosi, na puna paccāgañchi. Atha kho, bhikkhave, kaniṭṭho isi tassa nāgassa dassanīyassa adassanena bhiyyosomattāya kiso ahosi lūkho dubbaṇṇo, uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto. Addasa kho, bhikkhave, jeṭṭho isi kaniṭṭhaṃ isiṃ bhiyyosomattāya kisaṃ lūkhaṃ dubbaṇṇaṃ uppaṇḍuppaṇḍukajātaṃ dhamanisanthatagattaṃ. Disvāna kaniṭṭhaṃ isiṃ etadavoca – ‘‘kissa tvaṃ, bho, bhiyyosomattāya kiso lūkho dubbaṇṇo uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto’’ti? ‘‘Tassāhaṃ, bho, nāgassa dassanīyassa adassanena bhiyyosomattāya kiso lūkho dubbaṇṇo uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto’’ti. Atha kho, bhikkhave, jeṭṭho isi kaniṭṭhaṃ isiṃ gāthāya ajjhabhāsi –

    11 ‘‘น ตํ ยาเจ ยสฺส ปิยํ ชิคีเส,

    12 ‘‘Na taṃ yāce yassa piyaṃ jigīse,

    วิเทโสฺส 13 โหติ อติยาจนาย;

    Videsso 14 hoti atiyācanāya;

    นาโค มณิํ ยาจิโต พฺราหฺมเณน;

    Nāgo maṇiṃ yācito brāhmaṇena;

    อทสฺสนเญฺญว ตทชฺฌคมา’’ติฯ

    Adassanaññeva tadajjhagamā’’ti.

    เตสญฺหิ นาม, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตานํ ปาณานํ อมนาปา ภวิสฺสติ ยาจนา อมนาปา วิญฺญตฺติฯ กิมงฺคํ 15 ปน มนุสฺสภูตานํ!

    Tesañhi nāma, bhikkhave, tiracchānagatānaṃ pāṇānaṃ amanāpā bhavissati yācanā amanāpā viññatti. Kimaṅgaṃ 16 pana manussabhūtānaṃ!

    ๓๔๕. ‘‘ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, อญฺญตโร ภิกฺขุ หิมวนฺตปเสฺส วิหรติ อญฺญตรสฺมิํ วนสเณฺฑฯ ตสฺส โข, ภิกฺขเว, วนสณฺฑสฺส อวิทูเร มหนฺตํ นินฺนํ ปลฺลลํฯ อถ โข,

    345. ‘‘Bhūtapubbaṃ, bhikkhave, aññataro bhikkhu himavantapasse viharati aññatarasmiṃ vanasaṇḍe. Tassa kho, bhikkhave, vanasaṇḍassa avidūre mahantaṃ ninnaṃ pallalaṃ. Atha kho,

    วาสาย อุปคจฺฉติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, โส ภิกฺขุ ตสฺส สกุณสงฺฆสฺส สเทฺทน อุพฺพาโฬฺห เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อหํ, ภิกฺขเว, ตํ ภิกฺขุํ เอตทโวจ – ‘กจฺจิ, ภิกฺขุ, ขมนียํ กจฺจิ ยาปนียํ กจฺจิสิ อปฺปกิลมเถน อทฺธานํ อาคโต? กุโต จ ตฺวํ, ภิกฺขุ, อาคจฺฉสี’ติ? ‘ขมนียํ, ภควา, ยาปนียํ, ภควาฯ อปฺปกิลมเถน จาหํ, ภเนฺต, อทฺธานํ อาคโตฯ อตฺถิ, ภเนฺต, หิมวนฺตปเสฺส มหาวนสโณฺฑฯ ตสฺส โข ปน, ภเนฺต, วนสณฺฑสฺส อวิทูเร มหนฺตํ นินฺนํ ปลฺลลํฯ อถ โข, ภเนฺต, มหาสกุณสโงฺฆ ตสฺมิํ ปลฺลเล ทิวสํ โคจรํ จริตฺวา สายํ ตํ วนสณฺฑํ วาสาย อุปคจฺฉติฯ ตโต อหํ, ภควา, อาคจฺฉามิ – ตสฺส สกุณสงฺฆสฺส สเทฺทน อุพฺพาโฬฺห’ติฯ ‘อิจฺฉสิ ปน ตฺวํ, ภิกฺขุ, ตสฺส สกุณสงฺฆสฺส อนาคมน’นฺติ ? ‘อิจฺฉามหํ, ภควา, ตสฺส สกุณสงฺฆสฺส อนาคมน’นฺติฯ ‘เตน หิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ วนสณฺฑํ อโชฺฌคาเหตฺวา รตฺติยา ปฐมํ ยามํ ติกฺขตฺตุํ สทฺทมนุสฺสาเวหิ – สุณนฺตุ เม, โภโนฺต สกุณา, ยาวติกา อิมสฺมิํ วนสเณฺฑ วาสํ อุปคตา, ปเตฺตน เม อโตฺถฯ เอเกกํ เม, โภโนฺต, ปตฺตํ ททนฺตู’ติฯ รตฺติยา มชฺฌิมํ ยามํ… รตฺติยา ปจฺฉิมํ ยามํ ติกฺขตฺตุํ สทฺทมนุสฺสาเวหิ – ‘สุณนฺตุ เม, โภโนฺต สกุณา, ยาวติกา อิมสฺมิํ วนสเณฺฑ วาสํ อุปคตา, ปเตฺตน เม อโตฺถฯ เอเกกํ เม, โภโนฺต, ปตฺตํ ททนฺตู’ติฯ

    Vāsāya upagacchati. Atha kho, bhikkhave, so bhikkhu tassa sakuṇasaṅghassa saddena ubbāḷho yenāhaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā maṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho ahaṃ, bhikkhave, taṃ bhikkhuṃ etadavoca – ‘kacci, bhikkhu, khamanīyaṃ kacci yāpanīyaṃ kaccisi appakilamathena addhānaṃ āgato? Kuto ca tvaṃ, bhikkhu, āgacchasī’ti? ‘Khamanīyaṃ, bhagavā, yāpanīyaṃ, bhagavā. Appakilamathena cāhaṃ, bhante, addhānaṃ āgato. Atthi, bhante, himavantapasse mahāvanasaṇḍo. Tassa kho pana, bhante, vanasaṇḍassa avidūre mahantaṃ ninnaṃ pallalaṃ. Atha kho, bhante, mahāsakuṇasaṅgho tasmiṃ pallale divasaṃ gocaraṃ caritvā sāyaṃ taṃ vanasaṇḍaṃ vāsāya upagacchati. Tato ahaṃ, bhagavā, āgacchāmi – tassa sakuṇasaṅghassa saddena ubbāḷho’ti. ‘Icchasi pana tvaṃ, bhikkhu, tassa sakuṇasaṅghassa anāgamana’nti ? ‘Icchāmahaṃ, bhagavā, tassa sakuṇasaṅghassa anāgamana’nti. ‘Tena hi tvaṃ, bhikkhu, tattha gantvā taṃ vanasaṇḍaṃ ajjhogāhetvā rattiyā paṭhamaṃ yāmaṃ tikkhattuṃ saddamanussāvehi – suṇantu me, bhonto sakuṇā, yāvatikā imasmiṃ vanasaṇḍe vāsaṃ upagatā, pattena me attho. Ekekaṃ me, bhonto, pattaṃ dadantū’ti. Rattiyā majjhimaṃ yāmaṃ… rattiyā pacchimaṃ yāmaṃ tikkhattuṃ saddamanussāvehi – ‘suṇantu me, bhonto sakuṇā, yāvatikā imasmiṃ vanasaṇḍe vāsaṃ upagatā, pattena me attho. Ekekaṃ me, bhonto, pattaṃ dadantū’ti.

    ‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, โส ภิกฺขุ ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ วนสณฺฑํ อโชฺฌคาเหตฺวา รตฺติยา ปฐมํ ยามํ ติกฺขตฺตุํ สทฺทมนุสฺสาเวสิ – ‘สุณนฺตุ เม, โภโนฺต สกุณา, ยาวติกา อิมสฺมิํ วนสเณฺฑ วาสํ อุปคตา, ปเตฺตน เม อโตฺถฯ เอเกกํ เม, โภโนฺต, ปตฺตํ ททนฺตู’ติฯ รตฺติยา มชฺฌิม ยามํ… รตฺติยา ปจฺฉิมํ ยามํ ติกฺขตฺตุํ สทฺทมนุสฺสาเวสิ – ‘สุณนฺตุ เม, โภโนฺต สกุณา, ยาวติกา อิมสฺมิํ วนสเณฺฑ วาสํ อุปคตา, ปเตฺตน เม อโตฺถฯ เอเกกํ เม, โภโนฺต, ปตฺตํ ททนฺตู’ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, โส สกุณสโงฺฆ – ‘ภิกฺขุ ปตฺตํ ยาจติ ภิกฺขุสฺส ปเตฺตน อโตฺถ’ติ ตมฺหา วนสณฺฑา ปกฺกามิฯ ตถา ปกฺกโนฺตว อโหสิ น ปุน ปจฺจาคญฺฉิฯ เตสญฺหิ นาม, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตานํ ปาณานํ อมนาปา ภวิสฺสติ ยาจนา อมนาปา วิญฺญตฺติฯ กิมงฺคํ ปน มนุสฺสภูตานํ’’!

    ‘‘Atha kho, bhikkhave, so bhikkhu tattha gantvā taṃ vanasaṇḍaṃ ajjhogāhetvā rattiyā paṭhamaṃ yāmaṃ tikkhattuṃ saddamanussāvesi – ‘suṇantu me, bhonto sakuṇā, yāvatikā imasmiṃ vanasaṇḍe vāsaṃ upagatā, pattena me attho. Ekekaṃ me, bhonto, pattaṃ dadantū’ti. Rattiyā majjhima yāmaṃ… rattiyā pacchimaṃ yāmaṃ tikkhattuṃ saddamanussāvesi – ‘suṇantu me, bhonto sakuṇā, yāvatikā imasmiṃ vanasaṇḍe vāsaṃ upagatā, pattena me attho. Ekekaṃ me, bhonto, pattaṃ dadantū’ti. Atha kho, bhikkhave, so sakuṇasaṅgho – ‘bhikkhu pattaṃ yācati bhikkhussa pattena attho’ti tamhā vanasaṇḍā pakkāmi. Tathā pakkantova ahosi na puna paccāgañchi. Tesañhi nāma, bhikkhave, tiracchānagatānaṃ pāṇānaṃ amanāpā bhavissati yācanā amanāpā viññatti. Kimaṅgaṃ pana manussabhūtānaṃ’’!

    ๓๔๖. ‘‘ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, รฎฺฐปาลสฺส กุลปุตฺตสฺส ปิตา รฎฺฐปาลํ กุลปุตฺตํ คาถาย อชฺฌภาสิ –

    346. ‘‘Bhūtapubbaṃ, bhikkhave, raṭṭhapālassa kulaputtassa pitā raṭṭhapālaṃ kulaputtaṃ gāthāya ajjhabhāsi –

    ‘อปาหํ เต น ชานามิ, รฎฺฐปาล พหู ชนา;

    ‘Apāhaṃ te na jānāmi, raṭṭhapāla bahū janā;

    17 เต มํ สงฺคมฺม ยาจนฺติ, กสฺมา มํ ตฺวํ น ยาจสี’ติฯ

    18 Te maṃ saṅgamma yācanti, kasmā maṃ tvaṃ na yācasī’ti.

    19 ‘ยาจโก อปฺปิโย โหติ, ยาจํ อททมปฺปิโย;

    20 ‘Yācako appiyo hoti, yācaṃ adadamappiyo;

    ตสฺมาหํ ตํ น ยาจามิ, มา เม วิเทสฺสนา อหู’ติฯ

    Tasmāhaṃ taṃ na yācāmi, mā me videssanā ahū’ti.

    ‘‘โส หิ นาม, ภิกฺขเว, รฎฺฐปาโล กุลปุโตฺต สกํ ปิตรํ เอวํ วกฺขติฯ กิมงฺคํ ปน ชโน ชนํ!

    ‘‘So hi nāma, bhikkhave, raṭṭhapālo kulaputto sakaṃ pitaraṃ evaṃ vakkhati. Kimaṅgaṃ pana jano janaṃ!

    ๓๔๗. ‘‘คิหีนํ, ภิกฺขเว, ทุสฺสํหรานิ โภคานิ สมฺภตานิปิ ทุรกฺขิยานิ ฯ ตตฺถ นาม ตุเมฺห, โมฆปุริสา, เอวํ ทุสฺสํหเรสุ โภเคสุ สมฺภเตสุปิ ทุรกฺขิเยสุ ยาจนพหุลา วิญฺญตฺติพหุลา วิหริสฺสถ – ‘ปุริสํ เทถ, ปุริสตฺถกรํ เทถ, โคณํ เทถ, สกฎํ เทถ, วาสิํ เทถ, ปรสุํ เทถ, กุฐาริํ เทถ, กุทาลํ เทถ, นิขาทนํ เทถ, วลฺลิํ เทถ, เวฬุํ เทถ, มุญฺชํ เทถ , ปพฺพชํ เทถ, ติณํ เทถ, มตฺติกํ เทถา’’ติ! เนตํ, โมฆปุริสา, อปฺปสนฺนานํ วา ปสาทาย…เป.… เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ –

    347. ‘‘Gihīnaṃ, bhikkhave, dussaṃharāni bhogāni sambhatānipi durakkhiyāni . Tattha nāma tumhe, moghapurisā, evaṃ dussaṃharesu bhogesu sambhatesupi durakkhiyesu yācanabahulā viññattibahulā viharissatha – ‘purisaṃ detha, purisatthakaraṃ detha, goṇaṃ detha, sakaṭaṃ detha, vāsiṃ detha, parasuṃ detha, kuṭhāriṃ detha, kudālaṃ detha, nikhādanaṃ detha, valliṃ detha, veḷuṃ detha, muñjaṃ detha , pabbajaṃ detha, tiṇaṃ detha, mattikaṃ dethā’’ti! Netaṃ, moghapurisā, appasannānaṃ vā pasādāya…pe… evañca pana, bhikkhave, imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyātha –

    ๓๔๘. ‘‘สญฺญาจิกาย ปน ภิกฺขุนา กุฎิํ การยมาเนน อสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ ปมาณิกา กาเรตพฺพาฯ ตตฺริทํ ปมาณํ – ทีฆโส ทฺวาทส วิทตฺถิโย, สุคตวิทตฺถิยา; ติริยํ สตฺตนฺตราฯ ภิกฺขู อภิเนตพฺพา วตฺถุเทสนายฯ เตหิ ภิกฺขูหิ วตฺถุ เทเสตพฺพํ – อนารมฺภํ 21 สปริกฺกมนํฯ สารเมฺภ 22 เจ ภิกฺขุ วตฺถุสฺมิํ อปริกฺกมเน สญฺญาจิกาย กุฎิํ กาเรยฺย, ภิกฺขู วา อนภิเนยฺย วตฺถุเทสนาย, ปมาณํ วา อติกฺกาเมยฺย, สงฺฆาทิเสโส’’ติฯ

    348.‘‘Saññācikāya pana bhikkhunā kuṭiṃ kārayamānena assāmikaṃ attuddesaṃ pamāṇikā kāretabbā. Tatridaṃ pamāṇaṃ – dīghaso dvādasavidatthiyo, sugatavidatthiyā; tiriyaṃ sattantarā. Bhikkhū abhinetabbā vatthudesanāya. Tehi bhikkhūhi vatthu desetabbaṃ – anārambhaṃ 23 saparikkamanaṃ. Sārambhe 24 ce bhikkhu vatthusmiṃ aparikkamane saññācikāya kuṭiṃ kāreyya, bhikkhū vā anabhineyya vatthudesanāya, pamāṇaṃ vā atikkāmeyya, saṅghādiseso’’ti.

    ๓๔๙. สญฺญาจิกา นาม สยํ ยาจิตฺวา ปุริสมฺปิ ปุริสตฺถกรมฺปิ โคณมฺปิ สกฎมฺปิ วาสิมฺปิ ปรสุมฺปิ กุฐาริมฺปิ กุทาลมฺปิ นิขาทนมฺปิ วลฺลิมฺปิ เวฬุมฺปิ มุญฺชมฺปิ ปพฺพชมฺปิ ติณมฺปิ มตฺติกมฺปิฯ

    349.Saññācikā nāma sayaṃ yācitvā purisampi purisatthakarampi goṇampi sakaṭampi vāsimpi parasumpi kuṭhārimpi kudālampi nikhādanampi vallimpi veḷumpi muñjampi pabbajampi tiṇampi mattikampi.

    กุฎิ นาม อุลฺลิตฺตา วา โหติ อวลิตฺตา วา อุลฺลิตฺตาวลิตฺตา วาฯ

    Kuṭi nāma ullittā vā hoti avalittā vā ullittāvalittā vā.

    การยมาเนนาติ กโรโนฺต วา การาเปโนฺต วาฯ

    Kārayamānenāti karonto vā kārāpento vā.

    อสฺสามิกนฺติ น อโญฺญ โกจิ สามิโก โหติ, อิตฺถี วา ปุริโส วา คหโฎฺฐ วา ปพฺพชิโต วาฯ

    Assāmikanti na añño koci sāmiko hoti, itthī vā puriso vā gahaṭṭho vā pabbajito vā.

    อตฺตุเทฺทสนฺติ อตฺตโน อตฺถายฯ

    Attuddesanti attano atthāya.

    ปมาณิกา กาเรตพฺพาฯ ตตฺริทํ ปมาณํ – ทีฆโส ทฺวาทส วิทตฺถิโย, สุคตวิทตฺถิยาติ พาหิริเมน มาเนนฯ

    Pamāṇikā kāretabbā. Tatridaṃ pamāṇaṃ – dīghaso dvādasa vidatthiyo, sugatavidatthiyāti bāhirimena mānena.

    ติริยํ สตฺตนฺตราติ อพฺภนฺตริเมน มาเนนฯ

    Tiriyaṃ sattantarāti abbhantarimena mānena.

    ภิกฺขู อภิเนตพฺพา วตฺถุเทสนายาติ เตน กุฎิการเกน ภิกฺขุนา กุฎิวตฺถุํ โสเธตฺวา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย – ‘‘อหํ, ภเนฺต, สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํฯ โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ กุฎิวตฺถุโอโลกนํ ยาจามี’’ติฯ ทุติยมฺปิ ยาจิตพฺพาฯ ตติยมฺปิ ยาจิตพฺพาฯ สเจ สโพฺพ สโงฺฆ อุสฺสหติ กุฎิวตฺถุํ โอโลเกตุํ, สเพฺพน สเงฺฆน โอโลเกตพฺพํฯ โน เจ สโพฺพ สโงฺฆ อุสฺสหติ กุฎิวตฺถุํ โอโลเกตุํ, เย ตตฺถ โหนฺติ ภิกฺขู พฺยตฺตา ปฎิพลา สารมฺภํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ อปริกฺกมนํ ชานิตุํ เต ยาจิตฺวา สมฺมนฺนิตพฺพาฯ เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, สมฺมนฺนิตพฺพาฯ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    Bhikkhū abhinetabbā vatthudesanāyāti tena kuṭikārakena bhikkhunā kuṭivatthuṃ sodhetvā saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo – ‘‘ahaṃ, bhante, saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo assāmikaṃ attuddesaṃ. Sohaṃ, bhante, saṅghaṃ kuṭivatthuolokanaṃ yācāmī’’ti. Dutiyampi yācitabbā. Tatiyampi yācitabbā. Sace sabbo saṅgho ussahati kuṭivatthuṃ oloketuṃ, sabbena saṅghena oloketabbaṃ. No ce sabbo saṅgho ussahati kuṭivatthuṃ oloketuṃ, ye tattha honti bhikkhū byattā paṭibalā sārambhaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ aparikkamanaṃ jānituṃ te yācitvā sammannitabbā. Evañca pana, bhikkhave, sammannitabbā. Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –

    ๓๕๐. ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํฯ โส สงฺฆํ กุฎิวตฺถุโอโลกนํ ยาจติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามญฺจ อิตฺถนฺนามญฺจ ภิกฺขู สมฺมเนฺนยฺย อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุํ โอโลเกตุํฯ เอสา ญตฺติฯ

    350. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Ayaṃ itthannāmo bhikkhu saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo assāmikaṃ attuddesaṃ. So saṅghaṃ kuṭivatthuolokanaṃ yācati. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmañca itthannāmañca bhikkhū sammanneyya itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthuṃ oloketuṃ. Esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํฯ โส สงฺฆํ กุฎิวตฺถุโอโลกนํ ยาจติฯ สโงฺฆ อิตฺถนฺนามญฺจ อิตฺถนฺนามญฺจ ภิกฺขู สมฺมนฺนติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุํ โอโลเกตุํฯ ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส จ อิตฺถนฺนามสฺส จ ภิกฺขูนํ สมฺมุติ 25 อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุํ โอโลเกตุํ, โส ตุณฺหสฺส; ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Ayaṃ itthannāmo bhikkhu saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo assāmikaṃ attuddesaṃ. So saṅghaṃ kuṭivatthuolokanaṃ yācati. Saṅgho itthannāmañca itthannāmañca bhikkhū sammannati itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthuṃ oloketuṃ. Yassāyasmato khamati itthannāmassa ca itthannāmassa ca bhikkhūnaṃ sammuti 26 itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthuṃ oloketuṃ, so tuṇhassa; yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘สมฺมตา สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม จ อิตฺถนฺนาโม จ ภิกฺขู อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุํ โอโลเกตุํฯ ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติฯ

    ‘‘Sammatā saṅghena itthannāmo ca itthannāmo ca bhikkhū itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthuṃ oloketuṃ. Khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti.

    ๓๕๑. เตหิ สมฺมเตหิ ภิกฺขูหิ ตตฺถ คนฺตฺวา กุฎิวตฺถุ โอโลเกตพฺพํ, สารมฺภํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ อปริกฺกมนํ ชานิตพฺพํฯ สเจ สารมฺภํ โหติ อปริกฺกมนํ, ‘มา อิธ กรี’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ อนารมฺภํ โหติ สปริกฺกมนํ, สงฺฆสฺส อาโรเจตพฺพํ – ‘อนารมฺภํ สปริกฺกมน’นฺติฯ เตน กุฎิการเกน ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย – ‘‘อหํ, ภเนฺต, สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ ฯ โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ กุฎิวตฺถุเทสนํ ยาจามี’’ติฯ ทุติยมฺปิ ยาจิตพฺพาฯ ตติยมฺปิ ยาจิตพฺพาฯ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    351. Tehi sammatehi bhikkhūhi tattha gantvā kuṭivatthu oloketabbaṃ, sārambhaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ aparikkamanaṃ jānitabbaṃ. Sace sārambhaṃ hoti aparikkamanaṃ, ‘mā idha karī’ti vattabbo. Sace anārambhaṃ hoti saparikkamanaṃ, saṅghassa ārocetabbaṃ – ‘anārambhaṃ saparikkamana’nti. Tena kuṭikārakena bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo – ‘‘ahaṃ, bhante, saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo assāmikaṃ attuddesaṃ . Sohaṃ, bhante, saṅghaṃ kuṭivatthudesanaṃ yācāmī’’ti. Dutiyampi yācitabbā. Tatiyampi yācitabbā. Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –

    ๓๕๒. ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํฯ โส สงฺฆํ กุฎิวตฺถุเทสนํ ยาจติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุํ เทเสยฺยฯ เอสา ญตฺติฯ

    352. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Ayaṃ itthannāmo bhikkhu saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo assāmikaṃ attuddesaṃ. So saṅghaṃ kuṭivatthudesanaṃ yācati. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthuṃ deseyya. Esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสฺสามิกํ อตฺตุเทฺทสํฯ โส สงฺฆํ กุฎิวตฺถุเทสนํ ยาจติฯ สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุํ เทเสติฯ ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุสฺส เทสนา, โส ตุณฺหสฺส; ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Ayaṃ itthannāmo bhikkhu saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo assāmikaṃ attuddesaṃ. So saṅghaṃ kuṭivatthudesanaṃ yācati. Saṅgho itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthuṃ deseti. Yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthussa desanā, so tuṇhassa; yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘เทสิตํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุฯ ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติฯ

    ‘‘Desitaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthu. Khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti.

    ๓๕๓. สารมฺภํ นาม กิปิลฺลิกานํ วา อาสโย โหติ, อุปจิกานํ วา อาสโย โหติ, อุนฺทุรานํ วา อาสโย โหติ, อหีนํ วา อาสโย โหติ, วิจฺฉิกานํ วา อาสโย โหติ, สตปทีนํ วา อาสโย โหติ, หตฺถีนํ วา อาสโย โหติ, อสฺสานํ วา อาสโย โหติ, สีหานํ วา อาสโย โหติ, พฺยคฺฆานํ วา อาสโย โหติ, ทีปีนํ วา อาสโย โหติ, อจฺฉานํ วา อาสโย โหติ, ตรจฺฉานํ วา อาสโย โหติ, เยสํ เกสญฺจิ ติรจฺฉานคตานํ ปาณานํ อาสโย โหติ, ปุพฺพณฺณนิสฺสิตํ วา โหติ, อปรณฺณนิสฺสิตํ วา โหติ, อพฺภาฆาตนิสฺสิตํ วา โหติ, อาฆาตนนิสฺสิตํ วา โหติ, สุสานนิสฺสิตํ วา โหติ, อุยฺยานนิสฺสิตํ วา โหติ, ราชวตฺถุนิสฺสิตํ วา โหติ, หตฺถิสาลานิสฺสิตํ วา โหติ, อสฺสสาลานิสฺสิตํ วา โหติ, พนฺธนาคารนิสฺสิตํ วา โหติ, ปานาคารนิสฺสิตํ วา โหติ, สูนนิสฺสิตํ วา โหติ, รจฺฉานิสฺสิตํ วา โหติ, จจฺจรนิสฺสิตํ วา โหติ, สภานิสฺสิตํ วา โหติ, สํสรณนิสฺสิตํ วา 27 โหติฯ เอตํ สารมฺภํ นามฯ

    353.Sārambhaṃ nāma kipillikānaṃ vā āsayo hoti, upacikānaṃ vā āsayo hoti, undurānaṃ vā āsayo hoti, ahīnaṃ vā āsayo hoti, vicchikānaṃ vā āsayo hoti, satapadīnaṃ vā āsayo hoti, hatthīnaṃ vā āsayo hoti, assānaṃ vā āsayo hoti, sīhānaṃ vā āsayo hoti, byagghānaṃ vā āsayo hoti, dīpīnaṃ vā āsayo hoti, acchānaṃ vā āsayo hoti, taracchānaṃ vā āsayo hoti, yesaṃ kesañci tiracchānagatānaṃ pāṇānaṃ āsayo hoti, pubbaṇṇanissitaṃ vā hoti, aparaṇṇanissitaṃ vā hoti, abbhāghātanissitaṃ vā hoti, āghātananissitaṃ vā hoti, susānanissitaṃ vā hoti, uyyānanissitaṃ vā hoti, rājavatthunissitaṃ vā hoti, hatthisālānissitaṃ vā hoti, assasālānissitaṃ vā hoti, bandhanāgāranissitaṃ vā hoti, pānāgāranissitaṃ vā hoti, sūnanissitaṃ vā hoti, racchānissitaṃ vā hoti, caccaranissitaṃ vā hoti, sabhānissitaṃ vā hoti, saṃsaraṇanissitaṃ vā 28 hoti. Etaṃ sārambhaṃ nāma.

    อปริกฺกมนํ นาม น สกฺกา โหติ ยถายุเตฺตน สกเฎน อนุปริคนฺตุํ สมนฺตา นิเสฺสณิยา อนุปริคนฺตุํฯ เอตํ อปริกฺกมนํ นามฯ

    Aparikkamanaṃ nāma na sakkā hoti yathāyuttena sakaṭena anuparigantuṃ samantā nisseṇiyā anuparigantuṃ. Etaṃ aparikkamanaṃ nāma.

    อนารมฺภํ นาม น กิปิลฺลิกานํ วา อาสโย โหติ, น อุปจิกานํ วา อาสโย โหติ, น อุนฺทุรานํ วา อาสโย โหติ, น อหีนํ วา อาสโย โหติ, น วิจฺฉิกานํ วา อาสโย โหติ, น สตปทีนํ วา อาสโย โหติ…เป.… น สํสรณนิสฺสิตํ วา โหติฯ เอตํ อนารมฺภํ นามฯ

    Anārambhaṃ nāma na kipillikānaṃ vā āsayo hoti, na upacikānaṃ vā āsayo hoti, na undurānaṃ vā āsayo hoti, na ahīnaṃ vā āsayo hoti, na vicchikānaṃ vā āsayo hoti, na satapadīnaṃ vā āsayo hoti…pe… na saṃsaraṇanissitaṃ vā hoti. Etaṃ anārambhaṃ nāma.

    สปริกฺกมนํ นาม สกฺกา โหติ ยถายุเตฺตน สกเฎน อนุปริคนฺตุํ, สมนฺตา นิเสฺสณิยา อนุปริคนฺตุํฯ เอตํ สปริกฺกมนํ นามฯ

    Saparikkamanaṃ nāma sakkā hoti yathāyuttena sakaṭena anuparigantuṃ, samantā nisseṇiyā anuparigantuṃ. Etaṃ saparikkamanaṃ nāma.

    สญฺญาจิกา นาม สยํ ยาจิตฺวา ปุริสมฺปิ ปุริสตฺถกรมฺปิ…เป.… มตฺติกมฺปิ ฯ

    Saññācikā nāma sayaṃ yācitvā purisampi purisatthakarampi…pe… mattikampi .

    กุฎิ นาม อุลฺลิตฺตา วา โหติ วา อวลิตฺตา วา อุลฺลิตฺตาวลิตฺตา วาฯ

    Kuṭi nāma ullittā vā hoti vā avalittā vā ullittāvalittā vā.

    กาเรยฺยาติ กโรติ วา การาเปติ วาฯ

    Kāreyyāti karoti vā kārāpeti vā.

    ภิกฺขู วา อนภิเนยฺย, วตฺถุเทสนาย ปมาณํ วา อติกฺกาเมยฺยาติ ญตฺติทุติเยน กเมฺมน กุฎิวตฺถุํ น เทสาเปตฺวา, อายามโต วา วิตฺถารโต วา อนฺตมโส เกสคฺคมตฺตมฺปิ อติกฺกาเมตฺวา กโรติ วา การาเปติ วา, ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํฯ เอกํ ปิณฺฑํ อนาคเต อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสฯ ตสฺมิํ ปิเณฺฑ อาคเต อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    Bhikkhū vā anabhineyya, vatthudesanāya pamāṇaṃ vā atikkāmeyyāti ñattidutiyena kammena kuṭivatthuṃ na desāpetvā, āyāmato vā vitthārato vā antamaso kesaggamattampi atikkāmetvā karoti vā kārāpeti vā, payoge payoge dukkaṭaṃ. Ekaṃ piṇḍaṃ anāgate āpatti thullaccayassa. Tasmiṃ piṇḍe āgate āpatti saṅghādisesassa.

    สงฺฆาทิเสโสติ…เป.… เตนปิ วุจฺจติ สงฺฆาทิเสโสติฯ

    Saṅghādisesoti…pe… tenapi vuccati saṅghādisesoti.

    ๓๕๔. ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    354. Bhikkhu kuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ. Bhikkhu kuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesassa.

    ๓๕๕. ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    355. Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ. Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ ปมาณาติกฺกนฺตํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ ปมาณาติกฺกนฺตํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    Bhikkhu kuṭiṃ karoti pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ. Bhikkhu kuṭiṃ karoti pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti pamāṇātikkantaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti pamāṇātikkantaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesassa.

    ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ ปมาณิกํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ ปมาณิกํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ ปมาณิกํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu kuṭiṃ karoti pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ. Bhikkhu kuṭiṃ karoti pamāṇikaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti pamāṇikaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti pamāṇikaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสสานํฯ

    Bhikkhu kuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ. Bhikkhu kuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesānaṃ.

    ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ. Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ๓๕๖. ภิกฺขุ สมาทิสติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ , อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    356. Bhikkhu samādisati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ , āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ภิกฺขุ สมาทิสติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    Bhikkhu samādisati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ภิกฺขุ สมาทิสติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสสานํฯ

    Bhikkhu samādisati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesānaṃ.

    ภิกฺขุ สมาทิสติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ๓๕๗. ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ น จ สมาทิสติ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    357. Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Na ca samādisati – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ น จ สมาทิสติ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Na ca samādisati – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ น จ สมาทิสติ – ‘‘ปมาณิกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Na ca samādisati – ‘‘pamāṇikā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ น จ สมาทิสติ – ‘‘ปมาณิกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Na ca samādisati – ‘‘pamāṇikā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ น จ สมาทิสติ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ , อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส …เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสสานํฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Na ca samādisati – ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā ca anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ , āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dukkaṭassa …pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesānaṃ.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ น จ สมาทิสติ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Na ca samādisati – ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā ca anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ๓๕๘. ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ อเทสิตวตฺถุกา สารมฺภา อปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ โน เจ สามํ วา คเจฺฉยฺย ทูตํ วา ปหิเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    358. Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati adesitavatthukā sārambhā aparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. No ce sāmaṃ vā gaccheyya dūtaṃ vā pahiṇeyya, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ อเทสิตวตฺถุกา สารมฺภา สปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จา’’ติฯ โน เจ สามํ วา คเจฺฉยฺย ทูตํ วา ปหิเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati adesitavatthukā sārambhā saparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā cā’’ti. No ce sāmaṃ vā gaccheyya dūtaṃ vā pahiṇeyya, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ อเทสิตวตฺถุกา อนารมฺภา อปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ โน เจ สามํ วา คเจฺฉยฺย ทูตํ วา ปหิเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati adesitavatthukā anārambhā aparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘desitavatthukā ca hotu saparikkamanā cā’’ti. No ce sāmaṃ vā gaccheyya dūtaṃ vā pahiṇeyya, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ อเทสิตวตฺถุกา อนารมฺภา สปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา โหตู’’ติฯ โน เจ สามํ วา คเจฺฉยฺย ทูตํ วา ปหิเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati adesitavatthukā anārambhā saparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘desitavatthukā hotū’’ti. No ce sāmaṃ vā gaccheyya dūtaṃ vā pahiṇeyya, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ เทสิตวตฺถุกา สารมฺภา อปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘อนารมฺภา จ โหตุ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ โน เจ สามํ วา คเจฺฉยฺย ทูตํ วา ปหิเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati desitavatthukā sārambhā aparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘anārambhā ca hotu saparikkamanā cā’’ti. No ce sāmaṃ vā gaccheyya dūtaṃ vā pahiṇeyya, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ เทสิตวตฺถุกา สารมฺภา สปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘อนารมฺภา โหตู’’ติฯ โน เจ สามํ วา คเจฺฉยฺย ทูตํ วา ปหิเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati desitavatthukā sārambhā saparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘anārambhā hotū’’ti. No ce sāmaṃ vā gaccheyya dūtaṃ vā pahiṇeyya, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ เทสิตวตฺถุกา อนารมฺภา อปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘สปริกฺกมนา โหตู’’ติฯ โน เจ สามํ วา คเจฺฉยฺย ทูตํ วา ปหิเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati desitavatthukā anārambhā aparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘saparikkamanā hotū’’ti. No ce sāmaṃ vā gaccheyya dūtaṃ vā pahiṇeyya, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ๓๕๙. ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘ปมาณิกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ ปมาณาติกฺกนฺตา สารมฺภา อปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘ปมาณิกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติ…เป.… ‘‘ปมาณิกา จ โหตุ อนารมฺภา จา’’ติ…เป.… ‘‘ปมาณิกา จ โหตุ สปริกฺกมนา จา’’ติ…เป.… ‘‘ปมาณิกา โหตู’’ติฯ โน เจ สามํ วา คเจฺฉยฺย ทูตํ วา ปหิเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    359. Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘pamāṇikā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati pamāṇātikkantā sārambhā aparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘pamāṇikā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti…pe… ‘‘pamāṇikā ca hotu anārambhā cā’’ti…pe… ‘‘pamāṇikā ca hotu saparikkamanā cā’’ti…pe… ‘‘pamāṇikā hotū’’ti. No ce sāmaṃ vā gaccheyya dūtaṃ vā pahiṇeyya, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘ปมาณิกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ ปมาณิกา สารมฺภา อปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘อนารมฺภา จ โหตุ สปริกฺกมนา จา’’ติ…เป.… ‘‘อนารมฺภา โหตู’’ติ…เป.… ‘‘สปริกฺกมนา โหตู’’ติ…เป.… อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘pamāṇikā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati pamāṇikā sārambhā aparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘anārambhā ca hotu saparikkamanā cā’’ti…pe… ‘‘anārambhā hotū’’ti…pe… ‘‘saparikkamanā hotū’’ti…pe… anāpatti.

    ๓๖๐. ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ อเทสิตวตฺถุกา ปมาณาติกฺกนฺตา สารมฺภา อปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติ…เป.… ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จ อนารมฺภา จา’’ติ…เป.… ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จ สปริกฺกมนา จา’’ติ…เป.… ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จา’’ติฯ โน เจ สามํ วา คเจฺฉยฺย ทูตํ วา ปหิเณยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    360. Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā ca anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati adesitavatthukā pamāṇātikkantā sārambhā aparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā ca anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti…pe… ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā ca anārambhā cā’’ti…pe… ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā ca saparikkamanā cā’’ti…pe… ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā cā’’ti. No ce sāmaṃ vā gaccheyya dūtaṃ vā pahiṇeyya, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส สุณาติ – ‘‘กุฎิ กิร เม กยิรติ เทสิตวตฺถุกา ปมาณิกา สารมฺภา อปริกฺกมนา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘อนารมฺภา จ โหตุ สปริกฺกมนา จา’’ติ…เป.… ‘‘อนารมฺภา โหตู’’ติ…เป.… ‘‘สปริกฺกมนา โหตู’’ติ…เป.… อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā ca anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So suṇāti – ‘‘kuṭi kira me kayirati desitavatthukā pamāṇikā sārambhā aparikkamanā’’ti. Tena bhikkhunā sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘anārambhā ca hotu saparikkamanā cā’’ti…pe… ‘‘anārambhā hotū’’ti…pe… ‘‘saparikkamanā hotū’’ti…pe… anāpatti.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ติณฺณํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทุกฺกฎสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ tiṇṇaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทฺวินฺนํ ทุกฺกาฎนํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dvinnaṃ dukkāṭanaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘ปมาณิกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ติณฺณํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ อาปตฺติ การุกานํ ทุกฺกฎสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘pamāṇikā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ tiṇṇaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ āpatti kārukānaṃ dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘ปมาณิกา จ โหตุ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘pamāṇikā ca hotu anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ จตุนฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ติณฺณํ ทุกฺกฎานํ…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ติณฺณํ ทุกฺกฎานํ…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā ca anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ catunnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ tiṇṇaṃ dukkaṭānaṃ…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ tiṇṇaṃ dukkaṭānaṃ…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dvinnaṃ dukkaṭānaṃ.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ สมาทิสติ จ – ‘‘เทสิตวตฺถุกา จ โหตุ ปมาณิกา จ อนารมฺภา จ สปริกฺกมนา จา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ การุกานํ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Samādisati ca – ‘‘desitavatthukā ca hotu pamāṇikā ca anārambhā ca saparikkamanā cā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti kārukānaṃ dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ๓๖๑. ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส เจ วิปฺปกเต อาคจฺฉติ, เตน ภิกฺขุนา สา กุฎิ อญฺญสฺส วา ทาตพฺพา ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาตพฺพาฯ โน เจ อญฺญสฺส วา ทเทยฺย ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาเรยฺย, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํฯ

    361. Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So ce vippakate āgacchati, tena bhikkhunā sā kuṭi aññassa vā dātabbā bhinditvā vā puna kātabbā. No ce aññassa vā dadeyya bhinditvā vā puna kāreyya, āpatti saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํฯ โส เจ วิปฺปกเต อาคจฺฉติ, เตน ภิกฺขุนา สา กุฎิ อญฺญสฺส วา ทาตพฺพา ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาตพฺพาฯ โน เจ อญฺญสฺส วา ทเทยฺย ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาเรยฺย, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ…เป.… อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ…เป.… อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ. So ce vippakate āgacchati, tena bhikkhunā sā kuṭi aññassa vā dātabbā bhinditvā vā puna kātabbā. No ce aññassa vā dadeyya bhinditvā vā puna kāreyya, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ…pe… āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ…pe… āpatti saṅghādisesassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส เจ วิปฺปกเต อาคจฺฉติ, เตน ภิกฺขุนา สา กุฎิ อญฺญสฺส วา ทาตพฺพา ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาตพฺพาฯ โน เจ อญฺญสฺส วา ทเทยฺย ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาเรยฺย, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So ce vippakate āgacchati, tena bhikkhunā sā kuṭi aññassa vā dātabbā bhinditvā vā puna kātabbā. No ce aññassa vā dadeyya bhinditvā vā puna kāreyya, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ๓๖๒. ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส เจ วิปฺปกเต อาคจฺฉติ, เตน ภิกฺขุนา สา กุฎิ อญฺญสฺส วา ทาตพฺพา ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาตพฺพาฯ โน เจ อญฺญสฺส วา ทเทยฺย ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาเรยฺย, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    362. Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So ce vippakate āgacchati, tena bhikkhunā sā kuṭi aññassa vā dātabbā bhinditvā vā puna kātabbā. No ce aññassa vā dadeyya bhinditvā vā puna kāreyya, āpatti saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti saṅghādisesassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส เจ วิปฺปกเต อาคจฺฉติ, เตน ภิกฺขุนา สา กุฎิ อญฺญสฺส วา ทาตพฺพา ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาตพฺพา ฯ โน เจ อญฺญสฺส วา ทเทยฺย ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาเรยฺย, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So ce vippakate āgacchati, tena bhikkhunā sā kuṭi aññassa vā dātabbā bhinditvā vā puna kātabbā . No ce aññassa vā dadeyya bhinditvā vā puna kāreyya, āpatti dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส เจ วิปฺปกเต อาคจฺฉติ, เตน ภิกฺขุนา สา กุฎิ อญฺญสฺส วา ทาตพฺพา ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาตพฺพาฯ โน เจ อญฺญสฺส วา ทเทยฺย ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาเรยฺย, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสสานํฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So ce vippakate āgacchati, tena bhikkhunā sā kuṭi aññassa vā dātabbā bhinditvā vā puna kātabbā. No ce aññassa vā dadeyya bhinditvā vā puna kāreyya, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dvinnaṃ saṅghādisesānaṃ.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ อปริกฺกมนํฯ โส เจ วิปฺปกเต อาคจฺฉติ, เตน ภิกฺขุนา สา กุฎิ อญฺญสฺส วา ทาตพฺพา ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาตพฺพาฯ โน เจ อญฺญสฺส วา ทเทยฺย ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาเรยฺย, อาปตฺติ ทฺวินฺนํ ทุกฺกาฎานํ…เป.… สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส…เป.… อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ aparikkamanaṃ. So ce vippakate āgacchati, tena bhikkhunā sā kuṭi aññassa vā dātabbā bhinditvā vā puna kātabbā. No ce aññassa vā dadeyya bhinditvā vā puna kāreyya, āpatti dvinnaṃ dukkāṭānaṃ…pe… sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa…pe… anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa.

    ภิกฺขุ สมาทิสิตฺวา ปกฺกมติ – ‘‘กุฎิํ เม กโรถา’’ติฯ ตสฺส กุฎิํ กโรนฺติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อนาปตฺติฯ

    Bhikkhu samādisitvā pakkamati – ‘‘kuṭiṃ me karothā’’ti. Tassa kuṭiṃ karonti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, anāpatti.

    ๓๖๓. อตฺตนา วิปฺปกตํ อตฺตนา ปริโยสาเปติ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    363. Attanā vippakataṃ attanā pariyosāpeti, āpatti saṅghādisesassa.

    อตฺตนา วิปฺปกตํ ปเรหิ ปริโยสาเปติ 29, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    Attanā vippakataṃ parehi pariyosāpeti 30, āpatti saṅghādisesassa.

    ปเรหิ วิปฺปกตํ อตฺตนา ปริโยสาเปติ, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    Parehi vippakataṃ attanā pariyosāpeti, āpatti saṅghādisesassa.

    ปเรหิ วิปฺปกตํ ปเรหิ ปริโยสาเปติ 31, อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ

    Parehi vippakataṃ parehi pariyosāpeti 32, āpatti saṅghādisesassa.

    ๓๖๔. อนาปตฺติ เลเณ คุหาย ติณกุฎิกาย อญฺญสฺสตฺถาย วาสาคารํ ฐเปตฺวา สพฺพตฺถ, อนาปตฺติ อุมฺมตฺตกสฺส อาทิกมฺมิกสฺสาติฯ

    364. Anāpatti leṇe guhāya tiṇakuṭikāya aññassatthāya vāsāgāraṃ ṭhapetvā sabbattha, anāpatti ummattakassa ādikammikassāti.

    กุฎิการสิกฺขาปทํ นิฎฺฐิตํ ฉฎฺฐํฯ

    Kuṭikārasikkhāpadaṃ niṭṭhitaṃ chaṭṭhaṃ.







    Footnotes:
    1. ภยามฺหิ (สี.)
    2. มณิสฺส (สี. ก.)
    3. bhayāmhi (sī.)
    4. maṇissa (sī. ka.)
    5. ชา. ๑.๓.๗ มณิกณฺฐชาตเกปิ
    6. jā. 1.3.7 maṇikaṇṭhajātakepi
    7. ชา. ๑.๓.๘ มณิกณฺฐชาตเกปิ
    8. jā. 1.3.8 maṇikaṇṭhajātakepi
    9. ตทาปกฺกโนฺตว (ก.)
    10. tadāpakkantova (ka.)
    11. ชา. ๑.๓.๙ มณิกณฺฐชาตเกปิ
    12. jā. 1.3.9 maṇikaṇṭhajātakepi
    13. เทโสฺส (สี.), เทโสฺส จ (สฺยา.)
    14. desso (sī.), desso ca (syā.)
    15. กิมงฺค (สี.)
    16. kimaṅga (sī.)
    17. ชา. ๑.๗.๕๔
    18. jā. 1.7.54
    19. ชา. ๑.๗.๕๕
    20. jā. 1.7.55
    21. อนารพฺภํ (ก.)
    22. สารเพฺภ (ก.)
    23. anārabbhaṃ (ka.)
    24. sārabbhe (ka.)
    25. สมฺมติ (สฺยา.)
    26. sammati (syā.)
    27. สญฺจรณนิสฺสิตํ วา (ก.)
    28. sañcaraṇanissitaṃ vā (ka.)
    29. ปริโยสาวาเปติ (ก.)
    30. pariyosāvāpeti (ka.)
    31. ปริโยสาวาเปติ (ก.)
    32. pariyosāvāpeti (ka.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact