Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา
6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā
๓๔๒. เตน สมเยนาติ กุฎิการสิกฺขาปทํฯ ตตฺถ อาฬวกาติ อาฬวิรเฎฺฐ ชาตา ทารกา อาฬวกา นาม, เต ปพฺพชิตกาเลปิ ‘‘อาฬวกา’’เตฺวว ปญฺญายิํสุฯ เต สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อาฬวกา ภิกฺขู’’ติฯ สญฺญาจิกาโยติ สยํ ยาจิตฺวา คหิตูปกรณาโยฯ การาเปนฺตีติ กโรนฺติปิ การาเปนฺติปิ, เต กิร สาสเน วิปสฺสนาธุรญฺจ คนฺถธุรญฺจาติ เทฺวปิ ธุรานิ ฉเฑฺฑตฺวา นวกมฺมเมว ธุรํ กตฺวา ปคฺคณฺหิํสุฯ อสฺสามิกาโยติ อนิสฺสราโย, กาเรตา ทายเกน วิรหิตาโยติ อโตฺถฯ อตฺตุเทฺทสิกาโยติ อตฺตานํ อุทฺทิสฺส อตฺตโน อตฺถาย อารทฺธาโยติ อโตฺถฯ อปฺปมาณิกาโยติ ‘‘เอตฺตเกน นิฎฺฐํ คจฺฉิสฺสนฺตี’’ติ เอวํ อปริจฺฉินฺนปฺปมาณาโย, วุทฺธิปฺปมาณาโย วา มหนฺตปฺปมาณาโยติ อโตฺถฯ
342.Tena samayenāti kuṭikārasikkhāpadaṃ. Tattha āḷavakāti āḷaviraṭṭhe jātā dārakā āḷavakā nāma, te pabbajitakālepi ‘‘āḷavakā’’tveva paññāyiṃsu. Te sandhāya vuttaṃ ‘‘āḷavakā bhikkhū’’ti. Saññācikāyoti sayaṃ yācitvā gahitūpakaraṇāyo. Kārāpentīti karontipi kārāpentipi, te kira sāsane vipassanādhurañca ganthadhurañcāti dvepi dhurāni chaḍḍetvā navakammameva dhuraṃ katvā paggaṇhiṃsu. Assāmikāyoti anissarāyo, kāretā dāyakena virahitāyoti attho. Attuddesikāyoti attānaṃ uddissa attano atthāya āraddhāyoti attho. Appamāṇikāyoti ‘‘ettakena niṭṭhaṃ gacchissantī’’ti evaṃ aparicchinnappamāṇāyo, vuddhippamāṇāyo vā mahantappamāṇāyoti attho.
ยาจนา เอว พหุลา เอเตสํ มนฺทํ อญฺญํ กมฺมนฺติ ยาจนพหุลาฯ เอวํ วิญฺญตฺติพหุลา เวทิตพฺพาฯ อตฺถโต ปเนตฺถ นานากรณํ นตฺถิ, อเนกกฺขตฺตุํ ‘‘ปุริสํ เทถ, ปุริสตฺถกรํ เทถา’’ติ ยาจนฺตานเมตํ อธิวจนํฯ ตตฺถ มูลเจฺฉชฺชาย ปุริสํ ยาจิตุํ น วฎฺฎติ, สหายตฺถาย กมฺมกรณตฺถาย ‘‘ปุริสํ เทถา’’ติ ยาจิตุํ วฎฺฎติฯ ปุริสตฺถกรนฺติ ปุริเสน กาตพฺพํ หตฺถกมฺมํ วุจฺจติ, ตํ ยาจิตุํ วฎฺฎติฯ หตฺถกมฺมํ นาม กิญฺจิ วตฺถุ น โหติ, ตสฺมา ฐเปตฺวา มิคลุทฺทกมจฺฉพนฺธกาทีนํ สกกมฺมํ อวเสสํ สพฺพํ กปฺปิยํฯ ‘‘กิํ, ภเนฺต, อาคตตฺถ เกน กมฺม’’นฺติ ปุจฺฉิเต วา อปุจฺฉิเต วา ยาจิตุํ วฎฺฎติ, วิญฺญตฺติปจฺจยา โทโส นตฺถิฯ ตสฺมา มิคลุทฺทกาทโย สกกมฺมํ น ยาจิตพฺพา, ‘‘หตฺถกมฺมํ เทถา’’ติ อนิยเมตฺวาปิ น ยาจิตพฺพา; เอวํ ยาจิตา หิ เต ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ ภิกฺขู อุโยฺยเชตฺวา มิเคปิ มาเรตฺวา อาหเรยฺยุํฯ นิยเมตฺวา ปน ‘‘วิหาเร กิญฺจิ กตฺตพฺพํ อตฺถิ, ตตฺถ หตฺถกมฺมํ เทถา’’ติ ยาจิตพฺพาฯ ผาลนงฺคลาทีนิ อุปกรณานิ คเหตฺวา กสิตุํ วา วปิตุํ วา ลายิตุํ วา คจฺฉนฺตํ สกิจฺจปสุตมฺปิ กสฺสกํ วา อญฺญํ วา กิญฺจิ หตฺถกมฺมํ ยาจิตุํ วฎฺฎเตวฯ โย ปน วิฆาสาโท วา อโญฺญ วา โกจิ นิกฺกโมฺม นิรตฺถกกถํ กเถโนฺต นิทฺทายโนฺต วา วิหรติ, เอวรูปํ อยาจิตฺวาปิ ‘‘เอหิ เร อิทํ วา อิทํ วา กโรหี’’ติ ยทิจฺฉกํ การาเปตุํ วฎฺฎติฯ
Yācanā eva bahulā etesaṃ mandaṃ aññaṃ kammanti yācanabahulā. Evaṃ viññattibahulā veditabbā. Atthato panettha nānākaraṇaṃ natthi, anekakkhattuṃ ‘‘purisaṃ detha, purisatthakaraṃ dethā’’ti yācantānametaṃ adhivacanaṃ. Tattha mūlacchejjāya purisaṃ yācituṃ na vaṭṭati, sahāyatthāya kammakaraṇatthāya ‘‘purisaṃ dethā’’ti yācituṃ vaṭṭati. Purisatthakaranti purisena kātabbaṃ hatthakammaṃ vuccati, taṃ yācituṃ vaṭṭati. Hatthakammaṃ nāma kiñci vatthu na hoti, tasmā ṭhapetvā migaluddakamacchabandhakādīnaṃ sakakammaṃ avasesaṃ sabbaṃ kappiyaṃ. ‘‘Kiṃ, bhante, āgatattha kena kamma’’nti pucchite vā apucchite vā yācituṃ vaṭṭati, viññattipaccayā doso natthi. Tasmā migaluddakādayo sakakammaṃ na yācitabbā, ‘‘hatthakammaṃ dethā’’ti aniyametvāpi na yācitabbā; evaṃ yācitā hi te ‘‘sādhu, bhante’’ti bhikkhū uyyojetvā migepi māretvā āhareyyuṃ. Niyametvā pana ‘‘vihāre kiñci kattabbaṃ atthi, tattha hatthakammaṃ dethā’’ti yācitabbā. Phālanaṅgalādīni upakaraṇāni gahetvā kasituṃ vā vapituṃ vā lāyituṃ vā gacchantaṃ sakiccapasutampi kassakaṃ vā aññaṃ vā kiñci hatthakammaṃ yācituṃ vaṭṭateva. Yo pana vighāsādo vā añño vā koci nikkammo niratthakakathaṃ kathento niddāyanto vā viharati, evarūpaṃ ayācitvāpi ‘‘ehi re idaṃ vā idaṃ vā karohī’’ti yadicchakaṃ kārāpetuṃ vaṭṭati.
หตฺถกมฺมสฺส ปน สพฺพกปฺปิยภาวทีปนตฺถํ อิมํ นยํ กเถนฺติฯ สเจ หิ ภิกฺขุ ปาสาทํ กาเรตุกาโม โหติ, ถมฺภตฺถาย ปาสาณโกฎฺฎกานํ ฆรํ คนฺตฺวา วตฺตพฺพํ ‘‘หตฺถกมฺมํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ อุปาสกา’’ติฯ กิํ กาตพฺพํ, ภเนฺต,ติ? ปาสาณตฺถมฺภา อุทฺธริตฺวา ทาตพฺพาติฯ สเจ เต อุทฺธริตฺวา วา เทนฺติ, อุทฺธริตฺวา นิกฺขิเตฺต อตฺตโน ถเมฺภ วา เทนฺติ, วฎฺฎติฯ อถาปิ วทนฺติ – ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, หตฺถกมฺมํ กาตุํ ขโณ นตฺถิ, อญฺญํ อุทฺธราเปถ, ตสฺส มูลํ ทสฺสามา’’ติ อุทฺธราเปตฺวา ‘‘ปาสาณตฺถเมฺภ อุทฺธฎมนุสฺสานํ มูลํ เทถา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอเตเนวุปาเยน ปาสาททารูนํ อตฺถาย วฑฺฒกีนํ สนฺติกํ อิฎฺฐกตฺถาย อิฎฺฐกวฑฺฒกีนํ ฉทนตฺถาย เคหจฺฉาทกานํ จิตฺตกมฺมตฺถาย จิตฺตการานนฺติ เยน เยน อโตฺถ โหติ, ตสฺส ตสฺส อตฺถาย เตสํ เตสํ สิปฺปการกานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา หตฺถกมฺมํ ยาจิตุํ วฎฺฎติฯ หตฺถกมฺมยาจนวเสน จ มูลเจฺฉชฺชาย วา ภตฺตเวตนานุปฺปทาเนน วา ลทฺธมฺปิ สพฺพํ คเหตุํ วฎฺฎติฯ อรญฺญโต อาหราเปเนฺตน จ สพฺพํ อนชฺฌาวุตฺถกํ อาหราเปตพฺพํฯ
Hatthakammassa pana sabbakappiyabhāvadīpanatthaṃ imaṃ nayaṃ kathenti. Sace hi bhikkhu pāsādaṃ kāretukāmo hoti, thambhatthāya pāsāṇakoṭṭakānaṃ gharaṃ gantvā vattabbaṃ ‘‘hatthakammaṃ laddhuṃ vaṭṭati upāsakā’’ti. Kiṃ kātabbaṃ, bhante,ti? Pāsāṇatthambhā uddharitvā dātabbāti. Sace te uddharitvā vā denti, uddharitvā nikkhitte attano thambhe vā denti, vaṭṭati. Athāpi vadanti – ‘‘amhākaṃ, bhante, hatthakammaṃ kātuṃ khaṇo natthi, aññaṃ uddharāpetha, tassa mūlaṃ dassāmā’’ti uddharāpetvā ‘‘pāsāṇatthambhe uddhaṭamanussānaṃ mūlaṃ dethā’’ti vattuṃ vaṭṭati. Etenevupāyena pāsādadārūnaṃ atthāya vaḍḍhakīnaṃ santikaṃ iṭṭhakatthāya iṭṭhakavaḍḍhakīnaṃ chadanatthāya gehacchādakānaṃ cittakammatthāya cittakārānanti yena yena attho hoti, tassa tassa atthāya tesaṃ tesaṃ sippakārakānaṃ santikaṃ gantvā hatthakammaṃ yācituṃ vaṭṭati. Hatthakammayācanavasena ca mūlacchejjāya vā bhattavetanānuppadānena vā laddhampi sabbaṃ gahetuṃ vaṭṭati. Araññato āharāpentena ca sabbaṃ anajjhāvutthakaṃ āharāpetabbaṃ.
น เกวลญฺจ ปาสาทํ กาเรตุกาเมน มญฺจปีฐปตฺตปริสฺสาวนธมกรกจีวราทีนิ การาเปตุกาเมนาปิ ทารุโลหสุตฺตาทีนิ ลภิตฺวา เต เต สิปฺปการเก อุปสงฺกมิตฺวา วุตฺตนเยเนว หตฺถกมฺมํ ยาจิตพฺพํฯ หตฺถกมฺมยาจนวเสน จ มูลเจฺฉชฺชาย วา ภตฺตเวตนานุปฺปทาเนน วา ลทฺธมฺปิ สพฺพํ คเหตพฺพํฯ สเจ ปน กาตุํ น อิจฺฉนฺติ, ภตฺตเวตนํ ปจฺจาสีสนฺติ, อกปฺปิยกหาปณาทิ น ทาตพฺพํฯ ภิกฺขาจารวเตฺตน ตณฺฑุลาทีนิ ปริเยสิตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติฯ
Na kevalañca pāsādaṃ kāretukāmena mañcapīṭhapattaparissāvanadhamakarakacīvarādīni kārāpetukāmenāpi dārulohasuttādīni labhitvā te te sippakārake upasaṅkamitvā vuttanayeneva hatthakammaṃ yācitabbaṃ. Hatthakammayācanavasena ca mūlacchejjāya vā bhattavetanānuppadānena vā laddhampi sabbaṃ gahetabbaṃ. Sace pana kātuṃ na icchanti, bhattavetanaṃ paccāsīsanti, akappiyakahāpaṇādi na dātabbaṃ. Bhikkhācāravattena taṇḍulādīni pariyesitvā dātuṃ vaṭṭati.
หตฺถกมฺมวเสน ปตฺตํ กาเรตฺวา ตเถว ปาเจตฺวา นวปกฺกสฺส ปตฺตสฺส ปุญฺฉนเตลตฺถาย อโนฺตคามํ ปวิเฎฺฐน ‘‘ภิกฺขาย อาคโต’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ยาคุยา วา ภเตฺต วา อานีเต หเตฺถน ปโตฺต ปิธาตโพฺพฯ สเจ อุปาสิกา ‘‘กิํ, ภเนฺต’’ติ ปุจฺฉติ, ‘‘นวปโกฺก ปโตฺต ปุญฺฉนเตเลน อโตฺถ’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ สา ‘‘เทหิ, ภเนฺต’’ติ ปตฺตํ คเหตฺวา เตเลน ปุญฺฉิตฺวา ยาคุยา วา ภตฺตสฺส วา ปูเรตฺวา เทติ, วิญฺญตฺติ นาม น โหติ, คเหตุํ วฎฺฎตีติฯ
Hatthakammavasena pattaṃ kāretvā tatheva pācetvā navapakkassa pattassa puñchanatelatthāya antogāmaṃ paviṭṭhena ‘‘bhikkhāya āgato’’ti sallakkhetvā yāguyā vā bhatte vā ānīte hatthena patto pidhātabbo. Sace upāsikā ‘‘kiṃ, bhante’’ti pucchati, ‘‘navapakko patto puñchanatelena attho’’ti vattabbaṃ. Sace sā ‘‘dehi, bhante’’ti pattaṃ gahetvā telena puñchitvā yāguyā vā bhattassa vā pūretvā deti, viññatti nāma na hoti, gahetuṃ vaṭṭatīti.
ภิกฺขู ปเคว ปิณฺฑาย จริตฺวา อาสนสาลํ คนฺตฺวา อาสนํ อปสฺสนฺตา ติฎฺฐนฺติฯ ตตฺร เจ อุปาสกา ภิกฺขู ฐิเต ทิสฺวา สยเมว อาสนานิ อาหราเปนฺติ, นิสีทิตฺวา คจฺฉเนฺตหิ อาปุจฺฉิตฺวา คนฺตพฺพํฯ อนาปุจฺฉา คตานมฺปิ นฎฺฐํ คีวา น โหติ, อาปุจฺฉิตฺวา คมนํ ปน วตฺตํฯ สเจ ภิกฺขูหิ ‘‘อาสนานิ อาหรถา’’ติ วุเตฺตหิ อาหฎานิ โหนฺติ, อาปุจฺฉิตฺวาว คนฺตพฺพํฯ อนาปุจฺฉา คตานํ วตฺตเภโท จ นฎฺฐญฺจ คีวาติฯ อตฺถรณโกชวาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Bhikkhū pageva piṇḍāya caritvā āsanasālaṃ gantvā āsanaṃ apassantā tiṭṭhanti. Tatra ce upāsakā bhikkhū ṭhite disvā sayameva āsanāni āharāpenti, nisīditvā gacchantehi āpucchitvā gantabbaṃ. Anāpucchā gatānampi naṭṭhaṃ gīvā na hoti, āpucchitvā gamanaṃ pana vattaṃ. Sace bhikkhūhi ‘‘āsanāni āharathā’’ti vuttehi āhaṭāni honti, āpucchitvāva gantabbaṃ. Anāpucchā gatānaṃ vattabhedo ca naṭṭhañca gīvāti. Attharaṇakojavādīsupi eseva nayo.
มกฺขิกาโย พหุกา โหนฺติ, ‘‘มกฺขิกาพีชนิํ อาหรถา’’ติ วตฺตพฺพํฯ ปุจิมนฺทสาขาทีนิ อาหรนฺติ, กปฺปิยํ การาเปตฺวา ปฎิคฺคเหตพฺพานิฯ อาสนสาลาย อุทกภาชนํ ริตฺตํ โหติ, ‘‘ธมกรณํ คณฺหา’’ติ น วตฺตพฺพํฯ ธมกรกญฺหิ ริตฺตภาชเน ปกฺขิปโนฺต ภิเนฺทยฺย ‘‘นทิํ วา ตฬากํ วา คนฺตฺวา ปน อุทกํ อาหรา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘เคหโต อาหรา’’ติ เนว วตฺตุํ วฎฺฎติ, น อาหฎํ ปริภุญฺชิตพฺพํฯ อาสนสาลายํ วา อรญฺญเก วา ภตฺตกิจฺจํ กโรเนฺตหิ ตตฺถชาตกํ อนชฺฌาวุตฺถกํ ยํกิญฺจิ อุตฺตริภงฺคารหํ ปตฺตํ วา ผลํ วา สเจ กิญฺจิ กมฺมํ กโรนฺตํ อาหราเปติ, หตฺถกมฺมวเสน อาหราเปตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ อลชฺชีหิ ปน ภิกฺขูหิ วา สามเณเรหิ วา หตฺถกมฺมํ น กาเรตพฺพํฯ อยํ ตาว ปุริสตฺถกเร นโยฯ
Makkhikāyo bahukā honti, ‘‘makkhikābījaniṃ āharathā’’ti vattabbaṃ. Pucimandasākhādīni āharanti, kappiyaṃ kārāpetvā paṭiggahetabbāni. Āsanasālāya udakabhājanaṃ rittaṃ hoti, ‘‘dhamakaraṇaṃ gaṇhā’’ti na vattabbaṃ. Dhamakarakañhi rittabhājane pakkhipanto bhindeyya ‘‘nadiṃ vā taḷākaṃ vā gantvā pana udakaṃ āharā’’ti vattuṃ vaṭṭati. ‘‘Gehato āharā’’ti neva vattuṃ vaṭṭati, na āhaṭaṃ paribhuñjitabbaṃ. Āsanasālāyaṃ vā araññake vā bhattakiccaṃ karontehi tatthajātakaṃ anajjhāvutthakaṃ yaṃkiñci uttaribhaṅgārahaṃ pattaṃ vā phalaṃ vā sace kiñci kammaṃ karontaṃ āharāpeti, hatthakammavasena āharāpetvā paribhuñjituṃ vaṭṭati. Alajjīhi pana bhikkhūhi vā sāmaṇerehi vā hatthakammaṃ na kāretabbaṃ. Ayaṃ tāva purisatthakare nayo.
โคณํ ปน อญฺญาตกอปฺปวาริตฎฺฐานโต อาหราเปตุํ น วฎฺฎติ, อาหราเปนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ ญาติปวาริตฎฺฐานโตปิ มูลเจฺฉชฺชาย ยาจิตุํ น วฎฺฎติ, ตาวกาลิกนเยน สพฺพตฺถ วฎฺฎติฯ เอวํ อาหราปิตญฺจ โคณํ รกฺขิตฺวา ชคฺคิตฺวา สามิกา ปฎิจฺฉาเปตพฺพาฯ สจสฺส ปาโท วา สิงฺคํ วา ภิชฺชติ วา นสฺสติ วา สามิกา เจ สมฺปฎิจฺฉนฺติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ สมฺปฎิจฺฉนฺติ, คีวา โหติฯ สเจ ‘‘ตุมฺหากํเยว เทมา’’ติ วทนฺติ น สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ ‘‘วิหารสฺส เทมา’’ติ วุเตฺต ปน ‘‘อารามิกานํ อาจิกฺขถ ชคฺคนตฺถายา’’ติ วตฺตพฺพํฯ
Goṇaṃ pana aññātakaappavāritaṭṭhānato āharāpetuṃ na vaṭṭati, āharāpentassa dukkaṭaṃ. Ñātipavāritaṭṭhānatopi mūlacchejjāya yācituṃ na vaṭṭati, tāvakālikanayena sabbattha vaṭṭati. Evaṃ āharāpitañca goṇaṃ rakkhitvā jaggitvā sāmikā paṭicchāpetabbā. Sacassa pādo vā siṅgaṃ vā bhijjati vā nassati vā sāmikā ce sampaṭicchanti, iccetaṃ kusalaṃ. No ce sampaṭicchanti, gīvā hoti. Sace ‘‘tumhākaṃyeva demā’’ti vadanti na sampaṭicchitabbaṃ. ‘‘Vihārassa demā’’ti vutte pana ‘‘ārāmikānaṃ ācikkhatha jagganatthāyā’’ti vattabbaṃ.
‘‘สกฎํ เทถา’’ติปิ อญฺญาตกอปฺปวาริเต วตฺตุํ น วฎฺฎติ, วิญฺญตฺติเอว โหติ ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ ญาติปวาริตฎฺฐาเน ปน วฎฺฎติ, ตาวกาลิกํ วฎฺฎติ กมฺมํ กตฺวา ปุน ทาตพฺพํฯ สเจ เนมิยาทีนิ ภิชฺชนฺติ ปากติกานิ กตฺวา ทาตพฺพํฯ นเฎฺฐ คีวา โหติฯ ‘‘ตุมฺหากเมว เทมา’’ติ วุเตฺต ทารุภณฺฑํ นาม สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎติฯ เอส นโย วาสิผรสุกุฐารีกุทาลนิขาทเนสุฯ วลฺลิอาทีสุ จ ปรปริคฺคหิเตสุฯ ครุภณฺฑปฺปโหนเกสุเยว จ วลฺลิอาทีสุ วิญฺญตฺติ โหติ, น ตโต โอรํฯ
‘‘Sakaṭaṃ dethā’’tipi aññātakaappavārite vattuṃ na vaṭṭati, viññattieva hoti dukkaṭaṃ āpajjati. Ñātipavāritaṭṭhāne pana vaṭṭati, tāvakālikaṃ vaṭṭati kammaṃ katvā puna dātabbaṃ. Sace nemiyādīni bhijjanti pākatikāni katvā dātabbaṃ. Naṭṭhe gīvā hoti. ‘‘Tumhākameva demā’’ti vutte dārubhaṇḍaṃ nāma sampaṭicchituṃ vaṭṭati. Esa nayo vāsipharasukuṭhārīkudālanikhādanesu. Valliādīsu ca parapariggahitesu. Garubhaṇḍappahonakesuyeva ca valliādīsu viññatti hoti, na tato oraṃ.
อนชฺฌาวุตฺถกํ ปน ยํกิญฺจิ อาหราเปตุํ วฎฺฎติฯ รกฺขิตโคปิตฎฺฐาเนเยว หิ วิญฺญตฺติ นาม วุจฺจติฯ สา ทฺวีสุ ปจฺจเยสุ สเพฺพน สพฺพํ น วฎฺฎติ, เสนาสนปจฺจเย ปน ‘‘อาหร เทหี’’ติ วิญฺญตฺติมตฺตเมว น วฎฺฎติ , ปริกโถภาสนิมิตฺตกมฺมานิ วฎฺฎนฺติฯ ตตฺถ อุโปสถาคารํ วา โภชนสาลํ วา อญฺญํ วา ยํกิญฺจิ เสนาสนํ อิจฺฉโต ‘‘อิมสฺมิํ วต โอกาเส เอวรูปํ เสนาสนํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วา ‘‘ยุตฺต’’นฺติ วา ‘‘อนุรูป’’นฺติ วาติอาทินา นเยน วจนํ ปริกถา นามฯ ‘‘อุปาสกา ตุเมฺห กุหิํ วสถา’’ติ? ‘‘ปาสาเท, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิํ ภิกฺขูนํ ปน อุปาสกา ปาสาโท น วฎฺฎตี’’ติ เอวมาทิวจนํ โอภาโส นามฯ มนุเสฺส ทิสฺวา รชฺชุํ ปสาเรติ, ขีเล อาโกฎาเปติฯ ‘‘กิํ อิทํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘อิธ อาวาสํ กริสฺสามา’’ติ เอวมาทิกรณํ ปน นิมิตฺตกมฺมํ นามฯ คิลานปจฺจเย ปน วิญฺญตฺติปิ วฎฺฎติ, ปเคว ปริกถาทีนิฯ
Anajjhāvutthakaṃ pana yaṃkiñci āharāpetuṃ vaṭṭati. Rakkhitagopitaṭṭhāneyeva hi viññatti nāma vuccati. Sā dvīsu paccayesu sabbena sabbaṃ na vaṭṭati, senāsanapaccaye pana ‘‘āhara dehī’’ti viññattimattameva na vaṭṭati , parikathobhāsanimittakammāni vaṭṭanti. Tattha uposathāgāraṃ vā bhojanasālaṃ vā aññaṃ vā yaṃkiñci senāsanaṃ icchato ‘‘imasmiṃ vata okāse evarūpaṃ senāsanaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vā ‘‘yutta’’nti vā ‘‘anurūpa’’nti vātiādinā nayena vacanaṃ parikathā nāma. ‘‘Upāsakā tumhe kuhiṃ vasathā’’ti? ‘‘Pāsāde, bhante’’ti. ‘‘Kiṃ bhikkhūnaṃ pana upāsakā pāsādo na vaṭṭatī’’ti evamādivacanaṃ obhāso nāma. Manusse disvā rajjuṃ pasāreti, khīle ākoṭāpeti. ‘‘Kiṃ idaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘idha āvāsaṃ karissāmā’’ti evamādikaraṇaṃ pana nimittakammaṃ nāma. Gilānapaccaye pana viññattipi vaṭṭati, pageva parikathādīni.
มนุสฺสา อุปทฺทุตา ยาจนาย อุปทฺทุตา วิญฺญตฺติยาติ เตสํ ภิกฺขูนํ ตาย ยาจนาย จ วิญฺญตฺติยา จ ปีฬิตาฯ อุพฺพิชฺชนฺติปีติ ‘‘กิํ นุ อาหราเปสฺสนฺตี’’ติ อุเพฺพคํ อิญฺชนํ จลนํ ปฎิลภนฺติฯ อุตฺตสนฺติปีติ อหิํ วิย ทิสฺวา สหสา ตสิตฺวา อุกฺกมนฺติฯ ปลายนฺติปีติ ทูรโตว เยน วา เตน วา ปลายนฺติฯ อเญฺญนปิ คจฺฉนฺตีติ ยํ มคฺคํ ปฎิปนฺนา ตํ ปหาย นิวตฺติตฺวา วามํ วา ทกฺขิณํ วา คเหตฺวา คจฺฉนฺติ, ทฺวารมฺปิ ถเกนฺติฯ
Manussā upaddutā yācanāya upaddutā viññattiyāti tesaṃ bhikkhūnaṃ tāya yācanāya ca viññattiyā ca pīḷitā. Ubbijjantipīti ‘‘kiṃ nu āharāpessantī’’ti ubbegaṃ iñjanaṃ calanaṃ paṭilabhanti. Uttasantipīti ahiṃ viya disvā sahasā tasitvā ukkamanti. Palāyantipīti dūratova yena vā tena vā palāyanti. Aññenapi gacchantīti yaṃ maggaṃ paṭipannā taṃ pahāya nivattitvā vāmaṃ vā dakkhiṇaṃ vā gahetvā gacchanti, dvārampi thakenti.
๓๔๔. ภูตปุพฺพํ ภิกฺขเวติ อิติ ภควา เต ภิกฺขู ครหิตฺวา ตทนุรูปญฺจ ธมฺมิํ กถํ กตฺวา ปุนปิ วิญฺญตฺติยา โทสํ ปากฎํ กุรุมาโน อิมินา ‘‘ภูตปุพฺพํ ภิกฺขเว’’ติอาทินา นเยน ตีณิ วตฺถูนิ ทเสฺสสิฯ ตตฺถ มณิกโณฺฐติ โส กิร นาคราชา สพฺพกามททํ มหคฺฆํ มณิํ กเณฺฐ ปิลนฺธิตฺวา จรติ, ตสฺมา ‘‘มณิกโณฺฐ’’ เตฺวว ปญฺญายิตฺถฯ อุปริมุทฺธนิ มหนฺตํ ผณํ กริตฺวา อฎฺฐาสีติ โส กิร เตสํ ทฺวินฺนํ อิสีนํ กนิโฎฺฐ อิสิ เมตฺตาวิหารี อโหสิ, ตสฺมา นาคราชา นทิโต อุตฺตริตฺวา เทววณฺณํ นิมฺมินิตฺวา ตสฺส สนฺติเก นิสีทิตฺวา สโมฺมทนียํ กถํ กตฺวา ตํ เทววณฺณํ ปหาย สกวณฺณเมว อุปคนฺตฺวา ตํ อิสิํ ปริกฺขิปิตฺวา ปสนฺนาการํ กโรโนฺต อุปริมุทฺธนิ มหนฺตํ ผณํ กริตฺวา ฉตฺตํ วิย ธารยมาโน มุหุตฺตํ ฐตฺวา ปกฺกมติ, เตน วุตฺตํ ‘‘อุปริมุทฺธนิ มหนฺตํ ผณํ กริตฺวา อฎฺฐาสี’’ติฯ มณิมสฺส กเณฺฐ ปิลนฺธนนฺติ มณิํ อสฺส กเณฺฐ ปิลนฺธิตํ, อามุกฺกนฺติ อโตฺถฯ เอกมนฺตํ อฎฺฐาสีติ เตน เทววเณฺณน อาคนฺตฺวา ตาปเสน สทฺธิํ สโมฺมทมาโน เอกสฺมิํ ปเทเส อฎฺฐาสิฯ
344.Bhūtapubbaṃ bhikkhaveti iti bhagavā te bhikkhū garahitvā tadanurūpañca dhammiṃ kathaṃ katvā punapi viññattiyā dosaṃ pākaṭaṃ kurumāno iminā ‘‘bhūtapubbaṃ bhikkhave’’tiādinā nayena tīṇi vatthūni dassesi. Tattha maṇikaṇṭhoti so kira nāgarājā sabbakāmadadaṃ mahagghaṃ maṇiṃ kaṇṭhe pilandhitvā carati, tasmā ‘‘maṇikaṇṭho’’ tveva paññāyittha. Uparimuddhani mahantaṃ phaṇaṃ karitvā aṭṭhāsīti so kira tesaṃ dvinnaṃ isīnaṃ kaniṭṭho isi mettāvihārī ahosi, tasmā nāgarājā nadito uttaritvā devavaṇṇaṃ nimminitvā tassa santike nisīditvā sammodanīyaṃ kathaṃ katvā taṃ devavaṇṇaṃ pahāya sakavaṇṇameva upagantvā taṃ isiṃ parikkhipitvā pasannākāraṃ karonto uparimuddhani mahantaṃ phaṇaṃ karitvā chattaṃ viya dhārayamāno muhuttaṃ ṭhatvā pakkamati, tena vuttaṃ ‘‘uparimuddhani mahantaṃ phaṇaṃ karitvā aṭṭhāsī’’ti. Maṇimassa kaṇṭhe pilandhananti maṇiṃ assa kaṇṭhe pilandhitaṃ, āmukkanti attho. Ekamantaṃ aṭṭhāsīti tena devavaṇṇena āgantvā tāpasena saddhiṃ sammodamāno ekasmiṃ padese aṭṭhāsi.
มมนฺนปานนฺติ มม อนฺนญฺจ ปานญฺจฯ วิปุลนฺติ พหุลํฯ อุฬารนฺติ ปณีตํ ฯ อติยาจโกสีติ อติวิย ยาจโก, อสิ ปุนปฺปุนํ ยาจสีติ วุตฺตํ โหติฯ สุสูติ ตรุโณ, ถามสมฺปโนฺน โยพฺพนปฺปตฺตปุริโสฯ สกฺขรา วุจฺจติ กาฬสิลา, ตตฺถ โธโต อสิ ‘‘สกฺขรโธโต นามา’’ติ วุจฺจติ, สกฺขรโธโต ปาณิมฺหิ อสฺสาติ สกฺขรโธตปาณิ, ปาสาเณ โธตนิสิตขคฺคหโตฺถติ อโตฺถฯ ยถา โส อสิหโตฺถ ปุริโส ตาเสยฺย, เอวํ ตาเสสิ มํ เสลํ ยาจมาโน, มณิํ ยาจโนฺตติ อโตฺถฯ
Mamannapānanti mama annañca pānañca. Vipulanti bahulaṃ. Uḷāranti paṇītaṃ . Atiyācakosīti ativiya yācako, asi punappunaṃ yācasīti vuttaṃ hoti. Susūti taruṇo, thāmasampanno yobbanappattapuriso. Sakkharā vuccati kāḷasilā, tattha dhoto asi ‘‘sakkharadhoto nāmā’’ti vuccati, sakkharadhoto pāṇimhi assāti sakkharadhotapāṇi, pāsāṇe dhotanisitakhaggahatthoti attho. Yathā so asihattho puriso tāseyya, evaṃ tāsesi maṃ selaṃ yācamāno, maṇiṃ yācantoti attho.
น ตํ ยาเจติ ตํ น ยาเจยฺยฯ กตรํ? ยสฺส ปิยํ ชิคีเสติ ยํ อสฺส สตฺตสฺส ปิยนฺติ ชาเนยฺยฯ
Na taṃ yāceti taṃ na yāceyya. Kataraṃ? Yassa piyaṃ jigīseti yaṃ assa sattassa piyanti jāneyya.
กิมงฺคํ ปน มนุสฺสภูตานนฺติ มนุสฺสภูตานํ อมนาปาติ กิเมเวตฺถ วตฺตพฺพํฯ
Kimaṅgaṃ pana manussabhūtānanti manussabhūtānaṃ amanāpāti kimevettha vattabbaṃ.
๓๔๕. สกุณสงฺฆสฺส สเทฺทน อุพฺพาโฬฺหติ โส กิร สกุณสโงฺฆ ปฐมยามญฺจ ปจฺฉิมยามญฺจ นิรนฺตรํ สทฺทเมว กโรติ, โส ภิกฺขุ เตน สเทฺทน ปีฬิโต หุตฺวา ภควโต สนฺติกํ อคมาสิฯ เตนาห – ‘‘เยนาหํ เตนุปสงฺกมี’’ติฯ
345.Sakuṇasaṅghassa saddena ubbāḷhoti so kira sakuṇasaṅgho paṭhamayāmañca pacchimayāmañca nirantaraṃ saddameva karoti, so bhikkhu tena saddena pīḷito hutvā bhagavato santikaṃ agamāsi. Tenāha – ‘‘yenāhaṃ tenupasaṅkamī’’ti.
กุโต จ ตฺวํ ภิกฺขุ อาคจฺฉสีติ เอตฺถ นิสิโนฺน โส ภิกฺขุ น อาคจฺฉติ วตฺตมานสมีเป ปน เอวํ วตฺตุํ ลพฺภติฯ เตนาห – ‘‘กุโต จ ตฺวํ ภิกฺขุ อาคจฺฉสี’’ติ, กุโต อาคโตสีติ อโตฺถฯ ตโต อหํ ภควา อาคจฺฉามีติ เอตฺถาปิ โส เอว นโยฯ อุพฺพาโฬฺหติ ปีฬิโต, อุกฺกณฺฐาปิโต หุตฺวาติ อโตฺถฯ
Kuto ca tvaṃ bhikkhu āgacchasīti ettha nisinno so bhikkhu na āgacchati vattamānasamīpe pana evaṃ vattuṃ labbhati. Tenāha – ‘‘kuto ca tvaṃ bhikkhu āgacchasī’’ti, kuto āgatosīti attho. Tato ahaṃ bhagavā āgacchāmīti etthāpi so eva nayo. Ubbāḷhoti pīḷito, ukkaṇṭhāpito hutvāti attho.
โส สกุณสโงฺฆ ‘‘ภิกฺขุ ปตฺตํ ยาจตี’’ติ เอตฺถ น เต สกุณา ภิกฺขุโน วจนํ ชานนฺติ, ภควา ปน อตฺตโน อานุภาเวน ยถา ชานนฺติ ตถา อกาสิฯ
So sakuṇasaṅgho ‘‘bhikkhu pattaṃ yācatī’’ti ettha na te sakuṇā bhikkhuno vacanaṃ jānanti, bhagavā pana attano ānubhāvena yathā jānanti tathā akāsi.
๓๔๖. อปาหํ เต น ชานามีติ อปิ อหํ เต ชเน ‘‘เก วา อิเม, กสฺส วา อิเม’’ติ น ชานามิฯ สงฺคมฺม ยาจนฺตีติ สมาคนฺตฺวา วคฺควคฺคา หุตฺวา ยาจนฺติฯ ยาจโก อปฺปิโย โหตีติ โย ยาจติ โส อปฺปิโย โหติฯ ยาจํ อททมปฺปิโยติ ยาจนฺติ ยาจิตํ วุจฺจติ, ยาจิตมตฺถํ อททโนฺตปิ อปฺปิโย โหติฯ อถ วา ยาจนฺติ ยาจนฺตสฺส, อททมปฺปิโยติ อเทโนฺต อปฺปิโย โหติฯ มา เม วิเทสฺสนา อหูติ มา เม อปฺปิยภาโว อหุ, อหํ วา ตว, ตฺวํ วา มม วิเทโสฺส อปฺปิโย มา อโหสีติ อโตฺถฯ
346.Apāhaṃ te na jānāmīti api ahaṃ te jane ‘‘ke vā ime, kassa vā ime’’ti na jānāmi. Saṅgamma yācantīti samāgantvā vaggavaggā hutvā yācanti. Yācako appiyo hotīti yo yācati so appiyo hoti. Yācaṃ adadamappiyoti yācanti yācitaṃ vuccati, yācitamatthaṃ adadantopi appiyo hoti. Atha vā yācanti yācantassa, adadamappiyoti adento appiyo hoti. Mā me videssanā ahūti mā me appiyabhāvo ahu, ahaṃ vā tava, tvaṃ vā mama videsso appiyo mā ahosīti attho.
๓๔๗. ทุสฺสํหรานีติ กสิโครกฺขาทีหิ อุปาเยหิ ทุเกฺขน สํหรณียานิฯ
347.Dussaṃharānīti kasigorakkhādīhi upāyehi dukkhena saṃharaṇīyāni.
๓๔๘-๙. สญฺญาจิกาย ปน ภิกฺขุนาติ เอตฺถ สญฺญาจิกา นาม สยํ ปวตฺติตยาจนา วุจฺจติ, ตสฺมา ‘‘สญฺญาจิกายา’’ติ อตฺตโน ยาจนายาติ วุตฺตํ โหติ, สยํ ยาจิตเกหิ อุปกรเณหีติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปน สา สยํยาจิตเกหิ กยิรมานา สยํ ยาจิตฺวา กยิรมานา โหติ, ตสฺมา ตํ อตฺถปริยายํ ทเสฺสตุํ ‘‘สยํ ยาจิตฺวา ปุริสมฺปี’’ติ เอวมสฺส ปทภาชนํ วุตฺตํฯ
348-9.Saññācikāya pana bhikkhunāti ettha saññācikā nāma sayaṃ pavattitayācanā vuccati, tasmā ‘‘saññācikāyā’’ti attano yācanāyāti vuttaṃ hoti, sayaṃ yācitakehi upakaraṇehīti attho. Yasmā pana sā sayaṃyācitakehi kayiramānā sayaṃ yācitvā kayiramānā hoti, tasmā taṃ atthapariyāyaṃ dassetuṃ ‘‘sayaṃ yācitvā purisampī’’ti evamassa padabhājanaṃ vuttaṃ.
อุลฺลิตฺตาติ อโนฺตลิตฺตาฯ อวลิตฺตาติ พหิลิตฺตาฯ อุลฺลิตฺตาวลิตฺตาติ อนฺตรพาหิรลิตฺตาติ วุตฺตํ โหติฯ
Ullittāti antolittā. Avalittāti bahilittā. Ullittāvalittāti antarabāhiralittāti vuttaṃ hoti.
การยมาเนนาติ อิมสฺส ปทภาชเน ‘‘การาเปเนฺตนา’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพํ สิยา, เอวญฺหิ พฺยญฺชนํ สเมติฯ ยสฺมา ปน สญฺญาจิกาย กุฎิํ กโรเนฺตนาปิ อิธ วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตพฺพํ, ตสฺมา กโรโนฺต วา โหตุ การาเปโนฺต วา อุโภเปเต ‘‘การยมาเนนา’’ติ อิมินาว ปเทน สงฺคหิตาติ เอตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘กโรโนฺต วา การาเปโนฺต วา’’ติ วุตฺตํฯ ยทิ ปน กโรเนฺตน วา การาเปเนฺตน วาติ วเทยฺย, พฺยญฺชนํ วิโลมิตํ ภเวยฺย, น หิ การาเปโนฺต กโรโนฺต นาม โหติ, ตสฺมา อตฺถมตฺตเมเวตฺถ ทสฺสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Kārayamānenāti imassa padabhājane ‘‘kārāpentenā’’ti ettakameva vattabbaṃ siyā, evañhi byañjanaṃ sameti. Yasmā pana saññācikāya kuṭiṃ karontenāpi idha vuttanayeneva paṭipajjitabbaṃ, tasmā karonto vā hotu kārāpento vā ubhopete ‘‘kārayamānenā’’ti imināva padena saṅgahitāti etamatthaṃ dassetuṃ ‘‘karonto vā kārāpento vā’’ti vuttaṃ. Yadi pana karontena vā kārāpentena vāti vadeyya, byañjanaṃ vilomitaṃ bhaveyya, na hi kārāpento karonto nāma hoti, tasmā atthamattamevettha dassitanti veditabbaṃ.
อตฺตุเทฺทสนฺติ ‘‘มยฺหํ เอสา’’ติ เอวํ อตฺตา อุเทฺทโส อสฺสาติ อตฺตุเทฺทสา, ตํ อตฺตุเทฺทสํฯ ยสฺมา ปน ยสฺสา อตฺตา อุเทฺทโส สา อตฺตโน อตฺถาย โหติ, ตสฺมา อตฺถปริยายํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อตฺตุเทฺทสนฺติ อตฺตโน อตฺถายา’’ติ อาหฯ ปมาณิกา กาเรตพฺพาติ ปมาณยุตฺตา กาเรตพฺพาฯ ตตฺริทํ ปมาณนฺติ ตสฺสา กุฎิยา อิทํ ปมาณํฯ สุคตวิทตฺถิยาติ สุคตวิทตฺถิ นาม อิทานิ มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส ติโสฺส วิทตฺถิโย วฑฺฒกีหเตฺถน ทิยโฑฺฒ หโตฺถ โหติฯ พาหิริเมน มาเนนาติ กุฎิยา พหิกุฎฺฎมาเนน ทฺวาทส วิทตฺถิโย, มินเนฺตน ปน สพฺพปฐมํ ทิโนฺน มหามตฺติกปริยโนฺต น คเหตโพฺพฯ ถุสปิณฺฑปริยเนฺตน มินิตพฺพํฯ ถุสปิณฺฑสฺสอุปริ เสตกมฺมํ อโพฺพหาริกํฯ สเจ ถุสปิเณฺฑน อนตฺถิโก มหามตฺติกาย เอว นิฎฺฐาเปติ, มหามตฺติกาว ปริเจฺฉโทฯ
Attuddesanti ‘‘mayhaṃ esā’’ti evaṃ attā uddeso assāti attuddesā, taṃ attuddesaṃ. Yasmā pana yassā attā uddeso sā attano atthāya hoti, tasmā atthapariyāyaṃ dassento ‘‘attuddesanti attano atthāyā’’ti āha. Pamāṇikā kāretabbāti pamāṇayuttā kāretabbā. Tatridaṃ pamāṇanti tassā kuṭiyā idaṃ pamāṇaṃ. Sugatavidatthiyāti sugatavidatthi nāma idāni majjhimassa purisassa tisso vidatthiyo vaḍḍhakīhatthena diyaḍḍho hattho hoti. Bāhirimena mānenāti kuṭiyā bahikuṭṭamānena dvādasa vidatthiyo, minantena pana sabbapaṭhamaṃ dinno mahāmattikapariyanto na gahetabbo. Thusapiṇḍapariyantena minitabbaṃ. Thusapiṇḍassaupari setakammaṃ abbohārikaṃ. Sace thusapiṇḍena anatthiko mahāmattikāya eva niṭṭhāpeti, mahāmattikāva paricchedo.
ติริยนฺติ วิตฺถารโตฯ สตฺตาติ สตฺต สุคตวิทตฺถิโยฯ อนฺตราติ อิมสฺส ปน อยํ นิเทฺทโส , ‘‘อพฺภนฺตริเมน มาเนนา’’ติ, กุฎฺฎสฺส พหิ อนฺตํ อคฺคเหตฺวา อพฺภนฺตริเมน อเนฺตน มินิยมาเน ติริยํ สตฺต สุคตวิทตฺถิโย ปมาณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Tiriyanti vitthārato. Sattāti satta sugatavidatthiyo. Antarāti imassa pana ayaṃ niddeso , ‘‘abbhantarimena mānenā’’ti, kuṭṭassa bahi antaṃ aggahetvā abbhantarimena antena miniyamāne tiriyaṃ satta sugatavidatthiyo pamāṇanti vuttaṃ hoti.
โย ปน เลสํ โอเฑฺฑโนฺต ยถาวุตฺตปฺปมาณเมว กริสฺสามีติ ทีฆโต เอกาทส วิทตฺถิโย ติริยํ อฎฺฐ วิทตฺถิโย, ทีฆโต วา เตรส วิทตฺถิโย ติริยํ ฉ วิทตฺถิโย กเรยฺย, น วฎฺฎติฯ เอกโตภาเคน อติกฺกนฺตมฺปิ หิ ปมาณํ อติกฺกนฺตเมว โหติฯ ติฎฺฐตุ วิทตฺถิ, เกสคฺคมตฺตมฺปิ ทีฆโต วา หาเปตฺวา ติริยํ ติริยโต วา หาเปตฺวา ทีฆํ วเฑฺฒตุํ น วฎฺฎติ, โก ปน วาโท อุภโต วฑฺฒเน? วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อายามโต วา วิตฺถารโต วา อนฺตมโส เกสคฺคมตฺตมฺปิ อติกฺกมิตฺวา กโรติ วา การาเปติ วา ปโยเค ทุกฺกฎ’’นฺติอาทิ (ปารา. ๓๕๓)ฯ ยถาวุตฺตปฺปมาณา เอว ปน วฎฺฎติฯ ยา ปน ทีฆโต สฎฺฐิหตฺถาปิ โหติ ติริยํ ติหตฺถา วา อูนกจตุหตฺถา วา ยตฺถ ปมาณยุโตฺต มโญฺจ อิโต จิโต จ น ปริวตฺตติ, อยํ กุฎีติ สงฺขฺยํ น คจฺฉติ, ตสฺมา อยมฺปิ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ปจฺฉิมโกฎิยา จตุหตฺถวิตฺถารา วุตฺตา, ตโต เหฎฺฐา อกุฎิฯ ปมาณิกาปิ ปน อเทสิตวตฺถุกา วา สารมฺภา วา อปริกฺกมนา วา น วฎฺฎติฯ ปมาณิกา เทสิตวตฺถุกา อนารมฺภา สปริกฺกมนาว วฎฺฎติฯ ปมาณโต อูนตรมฺปิ จตุหตฺถํ ปญฺจหตฺถมฺปิ กโรเนฺตน เทสิตวตฺถุกาว กาเรตพฺพาฯ ปมาณาติกฺกนฺตญฺจ ปน กโรโนฺต เลปปริโยสาเน ครุกํ อาปตฺติํ อาปชฺชติฯ
Yo pana lesaṃ oḍḍento yathāvuttappamāṇameva karissāmīti dīghato ekādasa vidatthiyo tiriyaṃ aṭṭha vidatthiyo, dīghato vā terasa vidatthiyo tiriyaṃ cha vidatthiyo kareyya, na vaṭṭati. Ekatobhāgena atikkantampi hi pamāṇaṃ atikkantameva hoti. Tiṭṭhatu vidatthi, kesaggamattampi dīghato vā hāpetvā tiriyaṃ tiriyato vā hāpetvā dīghaṃ vaḍḍhetuṃ na vaṭṭati, ko pana vādo ubhato vaḍḍhane? Vuttañhetaṃ – ‘‘āyāmato vā vitthārato vā antamaso kesaggamattampi atikkamitvā karoti vā kārāpeti vā payoge dukkaṭa’’ntiādi (pārā. 353). Yathāvuttappamāṇā eva pana vaṭṭati. Yā pana dīghato saṭṭhihatthāpi hoti tiriyaṃ tihatthā vā ūnakacatuhatthā vā yattha pamāṇayutto mañco ito cito ca na parivattati, ayaṃ kuṭīti saṅkhyaṃ na gacchati, tasmā ayampi vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana pacchimakoṭiyā catuhatthavitthārā vuttā, tato heṭṭhā akuṭi. Pamāṇikāpi pana adesitavatthukā vā sārambhā vā aparikkamanā vā na vaṭṭati. Pamāṇikā desitavatthukā anārambhā saparikkamanāva vaṭṭati. Pamāṇato ūnatarampi catuhatthaṃ pañcahatthampi karontena desitavatthukāva kāretabbā. Pamāṇātikkantañca pana karonto lepapariyosāne garukaṃ āpattiṃ āpajjati.
ตตฺถ เลโป จ อเลโป จ เลโปกาโส จ อเลโปกาโส จ เวทิตโพฺพฯ เสยฺยถิทํ – เลโปติ เทฺว เลปา – มตฺติกาเลโป จ สุธาเลโป จฯ ฐเปตฺวา ปน อิเม เทฺว เลเป อวเสโส ภสฺมโคมยาทิเภโท เลโป, อเลโปฯ สเจปิ กลลเลโป โหติ, อลโป เอวฯ เลโปกาโสติ ภิตฺติโย เจว ฉทนญฺจ, ฐเปตฺวา ปน ภิตฺติจฺฉทเน อวเสโส ถมฺภตุลาปิฎฺฐสงฺฆาฎวาตปานธูมจฺฉิทฺทาทิ อเลปารโห โอกาโส สโพฺพปิ อเลโปกาโสติ เวทิตโพฺพฯ
Tattha lepo ca alepo ca lepokāso ca alepokāso ca veditabbo. Seyyathidaṃ – lepoti dve lepā – mattikālepo ca sudhālepo ca. Ṭhapetvā pana ime dve lepe avaseso bhasmagomayādibhedo lepo, alepo. Sacepi kalalalepo hoti, alapo eva. Lepokāsoti bhittiyo ceva chadanañca, ṭhapetvā pana bhitticchadane avaseso thambhatulāpiṭṭhasaṅghāṭavātapānadhūmacchiddādi alepāraho okāso sabbopi alepokāsoti veditabbo.
ภิกฺขู อภิเนตพฺพา วตฺถุเทสนายาติ ยสฺมิํ ฐาเน กุฎิํ กาเรตุกาโม โหติ, ตตฺถ วตฺถุเทสนตฺถาย ภิกฺขู เนตพฺพาฯ เตน กุฎิการเกนาติอาทิ ปน เยน วิธินา เต ภิกฺขู อภิเนตพฺพา, ตสฺส ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตตฺถ กุฎิวตฺถุํ โสเธตฺวาติ น วิสมํ อรญฺญํ ภิกฺขู คเหตฺวา คนฺตพฺพํ , กุฎิวตฺถุํ ปน ปฐมเมว โสเธตฺวา สมตลํ สีมมณฺฑลสทิสํ กตฺวา ปจฺฉา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิตฺวา เนตพฺพาติ ทเสฺสติฯ เอวมสฺส วจนีโยติ สโงฺฆ เอวํ วตฺตโพฺพ อสฺสฯ ปรโต ปน ‘‘ทุติยมฺปิ ยาจิตพฺพา’’ติ ภิกฺขู สนฺธาย พหุวจนํ วุตฺตํฯ โน เจ สโพฺพ สโงฺฆ อุสฺสหตีติ สเจ สโพฺพ สโงฺฆ น อิจฺฉติ, สชฺฌายมนสิการาทีสุ อุยฺยุตฺตา เต เต ภิกฺขู โหนฺติฯ สารมฺภํ อนารมฺภนฺติ สอุปทฺทวํ อนุปทฺทวํฯ สปริกฺกมนํ อปริกฺกมนนฺติ สอุปจารํ อนุปจารํฯ
Bhikkhū abhinetabbā vatthudesanāyāti yasmiṃ ṭhāne kuṭiṃ kāretukāmo hoti, tattha vatthudesanatthāya bhikkhū netabbā. Tena kuṭikārakenātiādi pana yena vidhinā te bhikkhū abhinetabbā, tassa dassanatthaṃ vuttaṃ. Tattha kuṭivatthuṃ sodhetvāti na visamaṃ araññaṃ bhikkhū gahetvā gantabbaṃ , kuṭivatthuṃ pana paṭhamameva sodhetvā samatalaṃ sīmamaṇḍalasadisaṃ katvā pacchā saṅghaṃ upasaṅkamitvā yācitvā netabbāti dasseti. Evamassa vacanīyoti saṅgho evaṃ vattabbo assa. Parato pana ‘‘dutiyampi yācitabbā’’ti bhikkhū sandhāya bahuvacanaṃ vuttaṃ. No ce sabbo saṅgho ussahatīti sace sabbo saṅgho na icchati, sajjhāyamanasikārādīsu uyyuttā te te bhikkhū honti. Sārambhaṃ anārambhanti saupaddavaṃ anupaddavaṃ. Saparikkamanaṃ aparikkamananti saupacāraṃ anupacāraṃ.
ปตฺตกลฺลนฺติ ปโตฺต กาโล อิมสฺส โอโลกนสฺสาติ ปตฺตกาลํ, ปตฺตกาลเมว ปตฺตกลฺลํฯ อิทญฺจ วตฺถุํโอโลกนตฺถาย สมฺมุติกมฺมํ อนุสาวนานเยน โอโลเกตฺวาปิ กาตุํ วฎฺฎติฯ ปรโต ปน วตฺถุเทสนากมฺมํ ยถาวุตฺตาย เอว ญตฺติยา จ อนุสาวนาย จ กาตพฺพํ, โอโลเกตฺวา กาตุํ น วฎฺฎติฯ
Pattakallanti patto kālo imassa olokanassāti pattakālaṃ, pattakālameva pattakallaṃ. Idañca vatthuṃolokanatthāya sammutikammaṃ anusāvanānayena oloketvāpi kātuṃ vaṭṭati. Parato pana vatthudesanākammaṃ yathāvuttāya eva ñattiyā ca anusāvanāya ca kātabbaṃ, oloketvā kātuṃ na vaṭṭati.
๓๕๓. กิปิลฺลิกานนฺติ รตฺตกาฬปิงฺคลาทิเภทานํ ยาสํ กาสญฺจิ กิปิลฺลิกานํฯ กิปีลฺลกานนฺติปิ ปาโฐฯ อาสโยติ นิพทฺธวสนฎฺฐานํ, ยถา จ กิปิลฺลิกานํ เอวํ อุปจิกาทีนมฺปิ นิพทฺธวสนฎฺฐานํเยว อาสโย เวทิตโพฺพฯ ยตฺถ ปน เต โคจรตฺถาย อาคนฺตฺวา คจฺฉนฺติ, สเพฺพสมฺปิ ตาทิโส สญฺจรณปฺปเทโส อวาริโต, ตสฺมา ตตฺถ อปเนตฺวา โสเธตฺวา กาตุํ วฎฺฎติฯ อิมานิ ตาว ฉ ฐานานิสตฺตานุทฺทยาย ปฎิกฺขิตฺตานิฯ
353.Kipillikānanti rattakāḷapiṅgalādibhedānaṃ yāsaṃ kāsañci kipillikānaṃ. Kipīllakānantipi pāṭho. Āsayoti nibaddhavasanaṭṭhānaṃ, yathā ca kipillikānaṃ evaṃ upacikādīnampi nibaddhavasanaṭṭhānaṃyeva āsayo veditabbo. Yattha pana te gocaratthāya āgantvā gacchanti, sabbesampi tādiso sañcaraṇappadeso avārito, tasmā tattha apanetvā sodhetvā kātuṃ vaṭṭati. Imāni tāva cha ṭhānānisattānuddayāya paṭikkhittāni.
หตฺถีนํ วาติ หตฺถีนํ ปน นิพทฺธวสนฎฺฐานมฺปิ นิพทฺธโคจรฎฺฐานมฺปิ น วฎฺฎติ, สีหาทีนํ อาสโย จ โคจราย ปกฺกมนฺตานํ นิพทฺธคมนมโคฺค จ น วฎฺฎติฯ เอเตสํ โคจรภูมิ น คหิตาฯ เยสํ เกสญฺจีติ อเญฺญสมฺปิ วาฬานํ ติรจฺฉานคตานํ ฯ อิมานิ สตฺต ฐานานิ สปฺปฎิภยานิ ภิกฺขูนํ อาโรคฺยตฺถาย ปฎิกฺขิตฺตานิฯ เสสานิ นานาอุปทฺทเวหิ สอุปทฺทวานิฯ ตตฺถ ปุพฺพณฺณนิสฺสิตนฺติ ปุพฺพณฺณํ นิสฺสิตํ สตฺตนฺนํ ธญฺญานํ วิรุหนกเขตฺตสามนฺตา ฐิตํฯ เอเสว นโย อปรณฺณนิสฺสิตาทีสุปิฯ เอตฺถ ปน อพฺภาฆาตนฺติ การณาฆรํ เวริฆรํ, โจรานํ มารณตฺถาย กตนฺติ กุรุนฺทิอาทีสุฯ
Hatthīnaṃ vāti hatthīnaṃ pana nibaddhavasanaṭṭhānampi nibaddhagocaraṭṭhānampi na vaṭṭati, sīhādīnaṃ āsayo ca gocarāya pakkamantānaṃ nibaddhagamanamaggo ca na vaṭṭati. Etesaṃ gocarabhūmi na gahitā. Yesaṃ kesañcīti aññesampi vāḷānaṃ tiracchānagatānaṃ . Imāni satta ṭhānāni sappaṭibhayāni bhikkhūnaṃ ārogyatthāya paṭikkhittāni. Sesāni nānāupaddavehi saupaddavāni. Tattha pubbaṇṇanissitanti pubbaṇṇaṃ nissitaṃ sattannaṃ dhaññānaṃ viruhanakakhettasāmantā ṭhitaṃ. Eseva nayo aparaṇṇanissitādīsupi. Ettha pana abbhāghātanti kāraṇāgharaṃ verigharaṃ, corānaṃ māraṇatthāya katanti kurundiādīsu.
อาฆาตนนฺติ ธมฺมคนฺธิกา วุจฺจติฯ สุสานนฺติ มหาสุสานํฯ สํสรณนฺติ อนิพฺพิชฺฌคมนีโย คตปจฺจาคตมโคฺค วุจฺจติฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ
Āghātananti dhammagandhikā vuccati. Susānanti mahāsusānaṃ. Saṃsaraṇanti anibbijjhagamanīyo gatapaccāgatamaggo vuccati. Sesaṃ uttānameva.
น สกฺกา โหติ ยถายุเตฺตน สกเฎนาติ ทฺวีหิ พลิพเทฺทหิ ยุเตฺตน สกเฎน เอกํ จกฺกํ นิโพฺพทกปตนฎฺฐาเน เอกํ พหิ กตฺวา อาวิชฺชิตุํ น สกฺกา โหติฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘จตูหิ ยุเตฺตนา’’ติ วุตฺตํฯ สมนฺตา นิเสฺสณิยา อนุปริคนฺตุนฺติ นิเสฺสณิยํ ฐตฺวา เคหํ ฉาเทเนฺตหิ น สกฺกา โหติ สมนฺตา นิเสฺสณิยา อาวิชฺชิตุํฯ อิติ เอวรูเป สารเมฺภ จ อปริกฺกมเน จ ฐาเน น กาเรตพฺพาฯ อนารเมฺภ ปน สปริกฺกมเน กาเรตพฺพา, ตํ วุตฺตปฎิปกฺขนเยน ปาฬิยํ อาคตเมวฯ
Na sakkā hoti yathāyuttena sakaṭenāti dvīhi balibaddehi yuttena sakaṭena ekaṃ cakkaṃ nibbodakapatanaṭṭhāne ekaṃ bahi katvā āvijjituṃ na sakkā hoti. Kurundiyaṃ pana ‘‘catūhi yuttenā’’ti vuttaṃ. Samantā nisseṇiyā anuparigantunti nisseṇiyaṃ ṭhatvā gehaṃ chādentehi na sakkā hoti samantā nisseṇiyā āvijjituṃ. Iti evarūpe sārambhe ca aparikkamane ca ṭhāne na kāretabbā. Anārambhe pana saparikkamane kāretabbā, taṃ vuttapaṭipakkhanayena pāḷiyaṃ āgatameva.
ปุน สญฺญาจิกา นามาติ เอวมาทิ ‘‘สารเมฺภ เจ ภิกฺขุ วตฺถุสฺมิํ อปริกฺกมเน สญฺญาจิกาย กุฎิํ กาเรยฺยา’’ติ เอวํ วุตฺตสํยาจิกาทีนํ อตฺถปฺปกาสนตฺถํ วุตฺตํฯ
Puna saññācikā nāmāti evamādi ‘‘sārambhe ce bhikkhu vatthusmiṃ aparikkamane saññācikāya kuṭiṃ kāreyyā’’ti evaṃ vuttasaṃyācikādīnaṃ atthappakāsanatthaṃ vuttaṃ.
ปโยเค ทุกฺกฎนฺติ เอวํ อเทสิตวตฺถุกํ วา ปมาณาติกฺกนฺตํ วา กุฎิํ กาเรสฺสามีติ อรญฺญโต รุกฺขา หรณตฺถาย วาสิํ วา ผรสุํ วา นิเสติ ทุกฺกฎํ, อรญฺญํ ปวิสติ ทุกฺกฎํ, ตตฺถ อลฺลติณานิ ฉินฺทติ ทุกฺกเฎน สทฺธิํ ปาจิตฺติยํ, สุกฺขานิ ฉินฺทติ ทุกฺกฎํฯ รุเกฺขสุปิ เอเสว นโยฯ ภูมิํ โสเธติ ขณติ, ปํสุํ อุทฺธรติ, จินาติ; เอวํ ยาว ปาจีรํ พนฺธติ ตาว ปุพฺพปโยโค นาม โหติฯ ตสฺมิํ ปุพฺพปโยเค สพฺพตฺถ ปาจิตฺติยฎฺฐาเน ทุกฺกเฎน สทฺธิํ ปาจิตฺติยํ, ทุกฺกฎฎฺฐาเน ทุกฺกฎํ, ตโต ปฎฺฐาย สหปโยโค นามฯ ตตฺถ ถเมฺภหิ กาตพฺพาย ถมฺภํ อุสฺสาเปติ, ทุกฺกฎํฯ อิฎฺฐกาหิ จินิตพฺพาย อิฎฺฐกํ อาจินาติ, ทุกฺกฎํฯ เอวํ ยํ ยํ อุปกรณํ โยเชติ, สพฺพตฺถ ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํฯ ตจฺฉนฺตสฺส หตฺถวาเร หตฺถวาเร ตทตฺถาย คจฺฉนฺตสฺส ปเท ปเท ทุกฺกฎํฯ เอวํ กตํ ปน ทารุกุฎฺฎิกํ วา อิฎฺฐกกุฎฺฎิกํ วา สิลากุฎฺฎิกํ วา อนฺตมโส ปณฺณสาลมฺปิ สภิตฺติจฺฉทนํ ลิมฺปิสฺสามีติ สุธาย วา มตฺติกาย วา ลิมฺปนฺตสฺส ปโยเค ปโยเค ยาว ถุลฺลจฺจยํ น โหติ, ตาว ทุกฺกฎํฯ เอตํ ปน ทุกฺกฎํ มหาเลเปเนว วฎฺฎติ, เสตรตฺตวณฺณกรเณ วา จิตฺตกเมฺม วา อนาปตฺติฯ
Payoge dukkaṭanti evaṃ adesitavatthukaṃ vā pamāṇātikkantaṃ vā kuṭiṃ kāressāmīti araññato rukkhā haraṇatthāya vāsiṃ vā pharasuṃ vā niseti dukkaṭaṃ, araññaṃ pavisati dukkaṭaṃ, tattha allatiṇāni chindati dukkaṭena saddhiṃ pācittiyaṃ, sukkhāni chindati dukkaṭaṃ. Rukkhesupi eseva nayo. Bhūmiṃ sodheti khaṇati, paṃsuṃ uddharati, cināti; evaṃ yāva pācīraṃ bandhati tāva pubbapayogo nāma hoti. Tasmiṃ pubbapayoge sabbattha pācittiyaṭṭhāne dukkaṭena saddhiṃ pācittiyaṃ, dukkaṭaṭṭhāne dukkaṭaṃ, tato paṭṭhāya sahapayogo nāma. Tattha thambhehi kātabbāya thambhaṃ ussāpeti, dukkaṭaṃ. Iṭṭhakāhi cinitabbāya iṭṭhakaṃ ācināti, dukkaṭaṃ. Evaṃ yaṃ yaṃ upakaraṇaṃ yojeti, sabbattha payoge payoge dukkaṭaṃ. Tacchantassa hatthavāre hatthavāre tadatthāya gacchantassa pade pade dukkaṭaṃ. Evaṃ kataṃ pana dārukuṭṭikaṃ vā iṭṭhakakuṭṭikaṃ vā silākuṭṭikaṃ vā antamaso paṇṇasālampi sabhitticchadanaṃ limpissāmīti sudhāya vā mattikāya vā limpantassa payoge payoge yāva thullaccayaṃ na hoti, tāva dukkaṭaṃ. Etaṃ pana dukkaṭaṃ mahālepeneva vaṭṭati, setarattavaṇṇakaraṇe vā cittakamme vā anāpatti.
เอกํ ปิณฺฑํ อนาคเตติ โย สพฺพปจฺฉิโม เอโก เลปปิโณฺฑ, ตํ เอกํ ปิณฺฑํ อสมฺปเตฺต กุฎิกเมฺมฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ, อิทานิ ทฺวีหิ ปิเณฺฑหิ นิฎฺฐานํ คมิสฺสตีติ เตสุ ปฐมปิณฺฑทาเน ถุลฺลจฺจยนฺติฯ
Ekaṃ piṇḍaṃ anāgateti yo sabbapacchimo eko lepapiṇḍo, taṃ ekaṃ piṇḍaṃ asampatte kuṭikamme. Idaṃ vuttaṃ hoti, idāni dvīhi piṇḍehi niṭṭhānaṃ gamissatīti tesu paṭhamapiṇḍadāne thullaccayanti.
ตสฺมิํ ปิเณฺฑ อาคเตติ ยํ เอกํ ปิณฺฑํ อนาคเต กุฎิกเมฺม ถุลฺลจฺจยํ โหติ, ตสฺมิํ อวสานปิเณฺฑ อาคเต ทิเนฺน ฐปิเต เลปสฺส ฆฎิตตฺตา อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺสฯ เอวํ เลมฺปนฺตสฺส จ อโนฺตเลเป วา อโนฺตเลเปน สทฺธิํ ภิตฺติญฺจ ฉทนญฺจ เอกาพทฺธํ กตฺวา ฆฎิเต พหิเลเป วา พหิเลเปน สทฺธิํ ฆฎิเต สงฺฆาทิเสโสฯ สเจ ปน ทฺวารพทฺธํ วา วาตปานํ วา อฎฺฐเปตฺวาว มตฺติกาย ลิมฺปติ, ตสฺมิญฺจ ตโสฺสกาสํ ปุน วเฑฺฒตฺวา วา อวเฑฺฒตฺวา วา ฐปิเต เลโป น ฆฎียติ รกฺขติ ตาว, ปุน ลิมฺปนฺตสฺส ปน ฆฎิตมเตฺต สงฺฆาทิเสโสฯ สเจ ตํ ฐปิยมานํ ปฐมํ ทินฺนเลเปน สทฺธิํ นิรนฺตรเมว หุตฺวา ติฎฺฐติ, ปฐมเมว สงฺฆาทิเสโสฯ อุปจิกาโมจนตฺถํ อฎฺฐงฺคุลมเตฺตน อปฺปตฺตจฺฉทนํ กตฺวา ภิตฺติํ ลิมฺปติ, อนาปตฺติฯ อุปจิกาโมจนตฺถเมว เหฎฺฐา ปาสาณกุฎฺฎํ กตฺวา ตํ อลิมฺปิตฺวา อุปริ ลิมฺปติ, เลโป น ฆฎิยติ นาม, อนาปตฺติเยวฯ
Tasmiṃ piṇḍe āgateti yaṃ ekaṃ piṇḍaṃ anāgate kuṭikamme thullaccayaṃ hoti, tasmiṃ avasānapiṇḍe āgate dinne ṭhapite lepassa ghaṭitattā āpatti saṅghādisesassa. Evaṃ lempantassa ca antolepe vā antolepena saddhiṃ bhittiñca chadanañca ekābaddhaṃ katvā ghaṭite bahilepe vā bahilepena saddhiṃ ghaṭite saṅghādiseso. Sace pana dvārabaddhaṃ vā vātapānaṃ vā aṭṭhapetvāva mattikāya limpati, tasmiñca tassokāsaṃ puna vaḍḍhetvā vā avaḍḍhetvā vā ṭhapite lepo na ghaṭīyati rakkhati tāva, puna limpantassa pana ghaṭitamatte saṅghādiseso. Sace taṃ ṭhapiyamānaṃ paṭhamaṃ dinnalepena saddhiṃ nirantarameva hutvā tiṭṭhati, paṭhamameva saṅghādiseso. Upacikāmocanatthaṃ aṭṭhaṅgulamattena appattacchadanaṃ katvā bhittiṃ limpati, anāpatti. Upacikāmocanatthameva heṭṭhā pāsāṇakuṭṭaṃ katvā taṃ alimpitvā upari limpati, lepo na ghaṭiyati nāma, anāpattiyeva.
อิฎฺฐกกุฎฺฎิกาย อิฎฺฐกาหิเยว วาตปาเน จ ธูมเนตฺตานิ จ กโรติ, เลปฆฎเนเนว อาปตฺติฯ ปณฺณสาลํ ลิมฺปติ, เลปฆฎเนเนว อาปตฺติฯ ตตฺถ อาโลกตฺถาย อฎฺฐงฺคุลมตฺตํ ฐเปตฺวา ลิมฺปติ, เลโป น ฆฎียติ นาม, อนาปตฺติเยวฯ สเจ ‘‘วาตปานํ ลทฺธา เอตฺถ ฐเปสฺสามี’’ติ กโรติ, วาตปาเน ฐปิเต เลปฆฎเนน อาปตฺติฯ สเจ มตฺติกาย กุฎฺฎํ กโรติ, ฉทนเลเปน สทฺธิํ ฆฎเน อาปตฺติฯ เอโก เอกปิณฺฑาวเสสํ กตฺวา ฐเปติ, อโญฺญ ตํ ทิสฺวา ‘‘ทุกฺกตํ อิท’’นฺติ วตฺตสีเสน ลิมฺปติ อุภินฺนมฺปิ อนาปตฺติฯ
Iṭṭhakakuṭṭikāya iṭṭhakāhiyeva vātapāne ca dhūmanettāni ca karoti, lepaghaṭaneneva āpatti. Paṇṇasālaṃ limpati, lepaghaṭaneneva āpatti. Tattha ālokatthāya aṭṭhaṅgulamattaṃ ṭhapetvā limpati, lepo na ghaṭīyati nāma, anāpattiyeva. Sace ‘‘vātapānaṃ laddhā ettha ṭhapessāmī’’ti karoti, vātapāne ṭhapite lepaghaṭanena āpatti. Sace mattikāya kuṭṭaṃ karoti, chadanalepena saddhiṃ ghaṭane āpatti. Eko ekapiṇḍāvasesaṃ katvā ṭhapeti, añño taṃ disvā ‘‘dukkataṃ ida’’nti vattasīsena limpati ubhinnampi anāpatti.
๓๕๔. ภิกฺขุ กุฎิํ กโรตีติ เอวมาทีนิ ฉตฺติํส จตุกฺกานิ อาปตฺติเภททสฺสนตฺถํ วุตฺตานิ, ตตฺถ สารมฺภาย ทุกฺกฎํ, อปริกฺกมนาย ทุกฺกฎํ , ปมาณาติกฺกนฺตาย สงฺฆาทิเสโส, อเทสิตวตฺถุกาย สงฺฆาทิเสโส, เอเตสํ วเสน โวมิสฺสกาปตฺติโย เวทิตพฺพาฯ
354.Bhikkhu kuṭiṃ karotīti evamādīni chattiṃsa catukkāni āpattibhedadassanatthaṃ vuttāni, tattha sārambhāya dukkaṭaṃ, aparikkamanāya dukkaṭaṃ , pamāṇātikkantāya saṅghādiseso, adesitavatthukāya saṅghādiseso, etesaṃ vasena vomissakāpattiyo veditabbā.
๓๕๕. อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสน ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานนฺติอาทีสุ จ ทฺวีหิ สงฺฆาทิเสเสหิ สทฺธิํ ทฺวินฺนํ ทุกฺกฎานนฺติอาทินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
355.Āpatti dvinnaṃ saṅghādisesena dvinnaṃ dukkaṭānantiādīsu ca dvīhi saṅghādisesehi saddhiṃ dvinnaṃ dukkaṭānantiādinā nayena attho veditabbo.
๓๖๑. โส เจ วิปฺปกเต อาคจฺฉตีติอาทีสุ ปน อยํ อตฺถวินิจฺฉโยฯ โสติ สมาทิสิตฺวา ปกฺกนฺตภิกฺขุฯ วิปฺปกเตติ อนิฎฺฐิเต กุฎิกเมฺมฯ อญฺญสฺส วา ทาตพฺพาติ อญฺญสฺส ปุคฺคลสฺส วา สงฺฆสฺส วา จชิตฺวา ทาตพฺพาฯ ภินฺทิตฺวา วา ปุน กาตพฺพาติ กิตฺตเกน ภินฺนา โหติ, สเจ ถมฺภา ภูมิยํ นิขาตา, อุทฺธริตพฺพาฯ สเจ ปาสาณานํ อุปริ ฐปิตา, อปเนตพฺพาฯ อิฎฺฐกจิตาย ยาว มงฺคลิฎฺฐกา ตาว กุฎฺฎา อปจินิตพฺพาฯ สเงฺขปโต ภูมิสมํ กตฺวา วินาสิตา ภินฺนา โหติ, ภูมิโต อุปริ จตุรงฺคุลมเตฺตปิ ฐิเต อภินฺนาวฯ เสสํ สพฺพจตุเกฺกสุ ปากฎเมวฯ น เหตฺถ อญฺญํ กิญฺจิ อตฺถิ, ยํ ปาฬิอนุสาเรเนว ทุพฺพิเญฺญยฺยํ สิยาฯ
361.So ce vippakate āgacchatītiādīsu pana ayaṃ atthavinicchayo. Soti samādisitvā pakkantabhikkhu. Vippakateti aniṭṭhite kuṭikamme. Aññassa vā dātabbāti aññassa puggalassa vā saṅghassa vā cajitvā dātabbā. Bhinditvā vā puna kātabbāti kittakena bhinnā hoti, sace thambhā bhūmiyaṃ nikhātā, uddharitabbā. Sace pāsāṇānaṃ upari ṭhapitā, apanetabbā. Iṭṭhakacitāya yāva maṅgaliṭṭhakā tāva kuṭṭā apacinitabbā. Saṅkhepato bhūmisamaṃ katvā vināsitā bhinnā hoti, bhūmito upari caturaṅgulamattepi ṭhite abhinnāva. Sesaṃ sabbacatukkesu pākaṭameva. Na hettha aññaṃ kiñci atthi, yaṃ pāḷianusāreneva dubbiññeyyaṃ siyā.
๓๖๓. อตฺตนา วิปฺปกตนฺติอาทีสุ ปน อตฺตนา อารทฺธํ กุฎิํฯ อตฺตนา ปริโยสาเปตีติ มหามตฺติกาย วา ถุสมตฺติกาย วา ยาย กตํ ปริโยสิตภาวํ ปาเปตุกาโม โหติ, ตาย อวสานปิณฺฑํ เทโนฺต ปริโยสาเปติ ฯ
363.Attanā vippakatantiādīsu pana attanā āraddhaṃ kuṭiṃ. Attanā pariyosāpetīti mahāmattikāya vā thusamattikāya vā yāya kataṃ pariyositabhāvaṃ pāpetukāmo hoti, tāya avasānapiṇḍaṃ dento pariyosāpeti .
ปเรหิ ปริโยสาเปตีติ อตฺตโนว อตฺถาย ปเรหิ ปริโยสาเปติฯ อตฺตนา วา หิ วิปฺปกตา โหตุ ปเรหิ วา อุภเยหิ วา, ตํ เจ อตฺตโน อตฺถาย อตฺตนา วา ปริโยสาเปติ, ปเรหิ วา ปริโยสาเปติ, อตฺตนา จ ปเรหิ จาติ ยุคนทฺธํ วา ปริโยสาเปติ, สงฺฆาทิเสโสเยวาติ อยเมตฺถ วินิจฺฉโยฯ
Parehi pariyosāpetīti attanova atthāya parehi pariyosāpeti. Attanā vā hi vippakatā hotu parehi vā ubhayehi vā, taṃ ce attano atthāya attanā vā pariyosāpeti, parehi vā pariyosāpeti, attanā ca parehi cāti yuganaddhaṃ vā pariyosāpeti, saṅghādisesoyevāti ayamettha vinicchayo.
กุรุนฺทิยํปน วุตฺตํ – ‘‘เทฺว ตโย ภิกฺขู ‘เอกโต วสิสฺสามา’ติ กโรนฺติ, รกฺขติ ตาว, อวิภตฺตตฺตา อนาปตฺติฯ ‘อิทํ ฐานํ ตว, อิทํ มมา’ติ วิภชิตฺวา กโรนฺติ อาปตฺติฯ สามเณโร จ ภิกฺขุ จ เอกโต กโรนฺติ, ยาว อวิภตฺตา ตาว รกฺขติฯ ปุริมนเยน วิภชิตฺวา กโรนฺติ, ภิกฺขุสฺส อาปตฺตี’’ติฯ
Kurundiyaṃpana vuttaṃ – ‘‘dve tayo bhikkhū ‘ekato vasissāmā’ti karonti, rakkhati tāva, avibhattattā anāpatti. ‘Idaṃ ṭhānaṃ tava, idaṃ mamā’ti vibhajitvā karonti āpatti. Sāmaṇero ca bhikkhu ca ekato karonti, yāva avibhattā tāva rakkhati. Purimanayena vibhajitvā karonti, bhikkhussa āpattī’’ti.
๓๖๔. อนาปตฺติ เลเณติอาทีสุ เลณํ มหนฺตมฺปิ กโรนฺตสฺส อนาปตฺติฯ น เหตฺถ เลโป ฆฎียติฯ คุหมฺปิ อิฎฺฐกาคุหํ วา สิลาคุหํ วา ทารุคุหํ วา ภูมิคุหํ วา มหนฺตมฺปิ กโรนฺตสฺส อนาปตฺติฯ
364.Anāpattileṇetiādīsu leṇaṃ mahantampi karontassa anāpatti. Na hettha lepo ghaṭīyati. Guhampi iṭṭhakāguhaṃ vā silāguhaṃ vā dāruguhaṃ vā bhūmiguhaṃ vā mahantampi karontassa anāpatti.
ติณกุฎิกายาติ สตฺตภูมิโกปิ ปาสาโท ติณปณฺณจฺฉทโน ‘‘ติณกุฎิกา’’ติ วุจฺจติฯ อฎฺฐกถาสุ ปน กุกฺกุฎจฺฉิกเคหนฺติ ฉทนํ ทณฺฑเกหิ ชาลพทฺธํ กตฺวา ติเณหิ วา ปเณฺณหิ วา ฉาทิตกุฎิกาว วุตฺตา, ตตฺถ อนาปตฺติฯ มหนฺตมฺปิ ติณจฺฉทนเคหํ กาตุํ วฎฺฎติ, อุลฺลิตฺตาทิภาโว เอว หิ กุฎิยา ลกฺขณํ, โส จ ฉทนเมว สนฺธาย วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ จงฺกมนสาลายํ ติณจุณฺณํ ปริปตติ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, โอคุเมฺผตฺวา อุลฺลิตฺตาวลิตฺตํ กาตุ’’นฺติอาทีนิ (จูฬว. ๒๖๐) เจตฺถ สาธกานิ, ตสฺมา อุภโต ปกฺขํ วา กูฎพทฺธํ วา วฎฺฎํ วา จตุรสฺสํ วา ยํ ‘‘อิมํ เอตสฺส เคหสฺส ฉทน’’นฺติ ฉทนสเงฺขเปน กตํ โหติ, ตสฺส ภิตฺติเลเปน สทฺธิํ เลเป ฆฎิเต อาปตฺติฯ สเจ ปน อุลฺลิตฺตาวลิตฺตจฺฉทนสฺส เคหสฺส เลปรกฺขณตฺถํ อุปริ ติเณน ฉาเทนฺติ, เอตฺตาวตา ติณกุฎิ นาม น โหติฯ กิํ ปเนตฺถ อเทสิตวตฺถุกปฺปมาณาติกฺกนฺตปจฺจยาว อนาปตฺติ, อุทาหุ สารมฺภอปริกฺกมนปจฺจยาปีติ สพฺพตฺถาปิ อนาปตฺติฯ ตถา หิ ตาทิสํ กุฎิํ สนฺธาย ปริวาเร วุตฺตํ –
Tiṇakuṭikāyāti sattabhūmikopi pāsādo tiṇapaṇṇacchadano ‘‘tiṇakuṭikā’’ti vuccati. Aṭṭhakathāsu pana kukkuṭacchikagehanti chadanaṃ daṇḍakehi jālabaddhaṃ katvā tiṇehi vā paṇṇehi vā chāditakuṭikāva vuttā, tattha anāpatti. Mahantampi tiṇacchadanagehaṃ kātuṃ vaṭṭati, ullittādibhāvo eva hi kuṭiyā lakkhaṇaṃ, so ca chadanameva sandhāya vuttoti veditabbo. Caṅkamanasālāyaṃ tiṇacuṇṇaṃ paripatati ‘‘anujānāmi, bhikkhave, ogumphetvā ullittāvalittaṃ kātu’’ntiādīni (cūḷava. 260) cettha sādhakāni, tasmā ubhato pakkhaṃ vā kūṭabaddhaṃ vā vaṭṭaṃ vā caturassaṃ vā yaṃ ‘‘imaṃ etassa gehassa chadana’’nti chadanasaṅkhepena kataṃ hoti, tassa bhittilepena saddhiṃ lepe ghaṭite āpatti. Sace pana ullittāvalittacchadanassa gehassa leparakkhaṇatthaṃ upari tiṇena chādenti, ettāvatā tiṇakuṭi nāma na hoti. Kiṃ panettha adesitavatthukappamāṇātikkantapaccayāva anāpatti, udāhu sārambhaaparikkamanapaccayāpīti sabbatthāpi anāpatti. Tathā hi tādisaṃ kuṭiṃ sandhāya parivāre vuttaṃ –
‘‘ภิกฺขุ สญฺญาจิกาย กุฎิํ กโรติ;
‘‘Bhikkhu saññācikāya kuṭiṃ karoti;
อเทสิตวตฺถุกํ ปมาณาติกฺกนฺตํ;
Adesitavatthukaṃ pamāṇātikkantaṃ;
สารมฺภํ อปริกฺกมนํ อนาปตฺติ;
Sārambhaṃ aparikkamanaṃ anāpatti;
ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา’’ติฯ (ปริ. ๔๗๙);
Pañhā mesā kusalehi cintitā’’ti. (pari. 479);
อญฺญสฺสตฺถายาติ กุฎิลกฺขณปฺปตฺตมฺปิ กุฎิํ อญฺญสฺส อุปชฺฌายสฺส วา อาจริยสฺส วา สงฺฆสฺส วา อตฺถาย กโรนฺตสฺส อนาปตฺติฯ ยํ ปน ‘‘อาปตฺติ การุกานํ ติณฺณํ ทุกฺกฎาน’’นฺติอาทิ ปาฬิยํ วุตฺตํ, ตํ ยถาสมาทิฎฺฐาย อกรณปจฺจยา วุตฺตํฯ
Aññassatthāyāti kuṭilakkhaṇappattampi kuṭiṃ aññassa upajjhāyassa vā ācariyassa vā saṅghassa vā atthāya karontassa anāpatti. Yaṃ pana ‘‘āpatti kārukānaṃ tiṇṇaṃ dukkaṭāna’’ntiādi pāḷiyaṃ vuttaṃ, taṃ yathāsamādiṭṭhāya akaraṇapaccayā vuttaṃ.
วาสาคารํ ฐเปตฺวา สพฺพตฺถาติ อตฺตโน วสนตฺถาย อคารํ ฐเปตฺวา อญฺญํ อุโปสถาคารํ วา ชนฺตาฆรํ วา โภชนสาลา วา อคฺคิสาลา วา ภวิสฺสตีติ กาเรติ, สพฺพตฺถ อนาปตฺติฯ สเจปิสฺส โหติ ‘‘อุโปสถาคารญฺจ ภวิสฺสติ, อหญฺจ วสิสฺสามิ ชนฺตาฆรญฺจ โภชนสาลา จ อคฺคิสาลา จ ภวิสฺสติ, อหญฺจ วสิสฺสามี’’ติ การิเตปิ อานาปตฺติเยวฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘อนาปตฺตี’’ติ วตฺวา ‘‘อตฺตโน วาสาคารตฺถาย กโรนฺตเสฺสว อาปตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ อุมฺมตฺตกสฺส อาทิกมฺมิกานญฺจ อาฬวกานํ ภิกฺขูนํ อนาปตฺติฯ
Vāsāgāraṃ ṭhapetvā sabbatthāti attano vasanatthāya agāraṃ ṭhapetvā aññaṃ uposathāgāraṃ vā jantāgharaṃ vā bhojanasālā vā aggisālā vā bhavissatīti kāreti, sabbattha anāpatti. Sacepissa hoti ‘‘uposathāgārañca bhavissati, ahañca vasissāmi jantāgharañca bhojanasālā ca aggisālā ca bhavissati, ahañca vasissāmī’’ti kāritepi ānāpattiyeva. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘anāpattī’’ti vatvā ‘‘attano vāsāgāratthāya karontasseva āpattī’’ti vuttaṃ. Ummattakassa ādikammikānañca āḷavakānaṃ bhikkhūnaṃ anāpatti.
สมุฎฺฐานาทีสุ ฉสมุฎฺฐานํ กิริยญฺจ กิริยากิริยญฺจ, อิทญฺหิ วตฺถุํ เทสาเปตฺวา ปมาณาติกฺกนฺตํ กโรโต กิริยโต สมุฎฺฐาติ, วตฺถุํ อเทสาเปตฺวา กโรโต กิริยากิริยโต, โนสญฺญาวิโมกฺขํ, อจิตฺตกํ, ปณฺณตฺติวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, ติจิตฺตํ, ติเวทนนฺติฯ
Samuṭṭhānādīsu chasamuṭṭhānaṃ kiriyañca kiriyākiriyañca, idañhi vatthuṃ desāpetvā pamāṇātikkantaṃ karoto kiriyato samuṭṭhāti, vatthuṃ adesāpetvā karoto kiriyākiriyato, nosaññāvimokkhaṃ, acittakaṃ, paṇṇattivajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, ticittaṃ, tivedananti.
กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทํ • 6. Kuṭikārasikkhāpadaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā