Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-อภินว-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-abhinava-ṭīkā

    ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา

    6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā

    สญฺญาจิกาย ปนาติ เอตฺถ นฺติ อตฺตวาจโก ตติยเตฺถ นิปาโต, ยาจิกาติ ภาวสาธโน, เตสญฺจ มเชฺฌปทโลปสมาโสฯ ปนาติ นิปาตมตฺตเมวฯ เตนาห ‘‘สยํ ปวตฺติตยาจนา วุจฺจตี’’ติฯ ยา หิ อตฺตนา ปวตฺติตา, สา อตฺตโน นาม โหตีติ อาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ นนุ น สกฺกา ยาจนาเยว กุฎิํ กาตุนฺติ อนุโยคํ สนฺธาย ตสฺสาธิปฺปายตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘สยํ ยาจิตเกหี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สยํ ยาจิตเกหีติ ‘‘วาสิํ เทถ, ผรสุํ เทถา’’ติอาทินา (ปารา. ๓๔๒) สยํ ยาจิตเกหิฯ อุปกรเณหีติ วาสิยาทีหิฯ ปเรน ภณฺฑสามิเกน ‘‘มม อิท’’นฺติ อปริจฺจาคารกฺขณโคปนวเสน ปริคฺคหิตํ ปรปริคฺคหิตกํ, ปรสนฺตกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ มูลเจฺฉทวเสนาติ มูลสฺส ฉินฺทนวเสน, ปรสนฺตกภาวโต โมเจตฺวา อตฺตโน สนฺตกํ กตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ เอวญฺหิ อญฺญาตกอปฺปวาริตฎฺฐานโต ยาจนฺตสฺส อญฺญาตกวิญฺญตฺติยา ทุกฺกฎํฯ ตาวกาลิกํ ปน วฎฺฎตีติ ตาวกาลิกํ กตฺวา ยาจิตุํ วฎฺฎติฯ สกกมฺมํ น ยาจิตพฺพาติ ปาณาติปาตสิกฺขาปทรกฺขณตฺถํ วุตฺตํฯ ‘‘หตฺถกมฺมํ เทถา’’ติ อนิยเมตฺวาปิ น ยาจิตพฺพาฯ เอวํ ยาจิตา หิ เต ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ ภิกฺขุํ อุโยฺยเชตฺวา มิเคปิ มาเรตฺวา อาหเรยฺยุํฯ นิยเมตฺวา ปน ‘‘วิหาเร กิญฺจิ กตฺตพฺพํ อตฺถิ, ตตฺถ หตฺถกมฺมํ เทถา’’ติ ยาจิตพฺพาฯ ‘‘กุฎิ นาม อุลฺลิตฺตา วา โหติ, อวลิตฺตา วา อุลฺลิตฺตาวลิตฺตา วา’’ติ (ปารา. ๓๔๕) ปทภาชเน วุตฺตตฺตา ‘‘กุฎินฺติ อุลฺลิตฺตาทีสุ อญฺญตร’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุทฺธํ มุขํ ลิตฺตา อุลฺลิตฺตาฯ อโนฺต ลิมฺปนฺตา หิ เอวํ ลิมฺปนฺติฯ อโธ มุขํ ลิตฺตา อวลิตฺตาฯ พหิ ลิมฺปนฺตา หิ เอวํ ลิมฺปนฺติฯ เตนาห ‘‘ตตฺถ อุลฺลิตฺตา นามา’’ติอาทิฯ ปิฎฺฐสงฺฆาโฎติ ทฺวารพาหาฯ ‘‘สุธาย วา มตฺติกาย วา’’ติ เอเตน ฐเปตฺวา อิเม เทฺว เลเป อวเสโส ภสฺมาโคมยาทิเภโท อเลโปติ ทเสฺสติฯ

    Saññācikāyapanāti ettha santi attavācako tatiyatthe nipāto, yācikāti bhāvasādhano, tesañca majjhepadalopasamāso. Panāti nipātamattameva. Tenāha ‘‘sayaṃ pavattitayācanā vuccatī’’ti. Yā hi attanā pavattitā, sā attano nāma hotīti āha ‘‘tasmā’’tiādi. Nanu na sakkā yācanāyeva kuṭiṃ kātunti anuyogaṃ sandhāya tassādhippāyatthaṃ dassetuṃ ‘‘sayaṃ yācitakehī’’tiādimāha. Tattha sayaṃ yācitakehīti ‘‘vāsiṃ detha, pharasuṃ dethā’’tiādinā (pārā. 342) sayaṃ yācitakehi. Upakaraṇehīti vāsiyādīhi. Parena bhaṇḍasāmikena ‘‘mama ida’’nti apariccāgārakkhaṇagopanavasena pariggahitaṃ parapariggahitakaṃ, parasantakanti vuttaṃ hoti. Mūlacchedavasenāti mūlassa chindanavasena, parasantakabhāvato mocetvā attano santakaṃ katvāti vuttaṃ hoti. Evañhi aññātakaappavāritaṭṭhānato yācantassa aññātakaviññattiyā dukkaṭaṃ. Tāvakālikaṃ pana vaṭṭatīti tāvakālikaṃ katvā yācituṃ vaṭṭati. Sakakammaṃ na yācitabbāti pāṇātipātasikkhāpadarakkhaṇatthaṃ vuttaṃ. ‘‘Hatthakammaṃ dethā’’ti aniyametvāpi na yācitabbā. Evaṃ yācitā hi te ‘‘sādhu, bhante’’ti bhikkhuṃ uyyojetvā migepi māretvā āhareyyuṃ. Niyametvā pana ‘‘vihāre kiñci kattabbaṃ atthi, tattha hatthakammaṃ dethā’’ti yācitabbā. ‘‘Kuṭi nāma ullittā vā hoti, avalittā vā ullittāvalittā vā’’ti (pārā. 345) padabhājane vuttattā ‘‘kuṭinti ullittādīsu aññatara’’nti vuttaṃ. Tattha uddhaṃ mukhaṃ littā ullittā. Anto limpantā hi evaṃ limpanti. Adho mukhaṃ littā avalittā. Bahi limpantā hi evaṃ limpanti. Tenāha ‘‘tattha ullittā nāmā’’tiādi. Piṭṭhasaṅghāṭoti dvārabāhā. ‘‘Sudhāya vā mattikāya vā’’ti etena ṭhapetvā ime dve lepe avaseso bhasmāgomayādibhedo alepoti dasseti.

    ยสฺมา ปน สญฺญาจิกาย กุฎิํ กโรเนฺตนาปิ อิธ วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตพฺพํ, ตสฺมา ‘‘สยํ วา กโรเนฺตน อาณตฺติยา วา การาเปเนฺตนา’’ติ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ ‘‘สยํ วา กโรเนฺตนา’’ติ อิมินา สามตฺถิยโต ลพฺภมานมตฺถมาห, น ตุ ปทตฺถโตฯ ‘‘อาณตฺติยา วา การาเปเนฺตนา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๔๘-๓๔๙) ปน ปทตฺถโตฯ เอวญฺจ กตฺวา ยทิ ปน ‘‘กโรเนฺตน วา การาเปเนฺตน วา’’ติ วเทยฺย, พฺยญฺชนํ วิโลมิตํ ภเวยฺยฯ น หิ การาเปโนฺต กโรโนฺต นาม โหตีติ เอทิสี โจทนา อนวกาสาติ ทฎฺฐพฺพํฯ นตฺถิ สามี ปติ เอติสฺสาติ อสามิกา, ตํ อสามิกํ, อนิสฺสรนฺติ อโตฺถฯ อนิสฺสรตา เจตฺถ การาปเนนาติ อาห ‘‘กาเรตา ทายเกน วิรหิต’’นฺติฯ อุเทฺทโสติ อุทฺทิสิตโพฺพฯ

    Yasmā pana saññācikāya kuṭiṃ karontenāpi idha vuttanayeneva paṭipajjitabbaṃ, tasmā ‘‘sayaṃ vā karontena āṇattiyā vā kārāpentenā’’ti vuttaṃ. Ettha ca ‘‘sayaṃ vā karontenā’’ti iminā sāmatthiyato labbhamānamatthamāha, na tu padatthato. ‘‘Āṇattiyā vā kārāpentenā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.348-349) pana padatthato. Evañca katvā yadi pana ‘‘karontena vā kārāpentena vā’’ti vadeyya, byañjanaṃ vilomitaṃ bhaveyya. Na hi kārāpento karonto nāma hotīti edisī codanā anavakāsāti daṭṭhabbaṃ. Natthi sāmī pati etissāti asāmikā, taṃ asāmikaṃ, anissaranti attho. Anissaratā cettha kārāpanenāti āha ‘‘kāretā dāyakena virahita’’nti. Uddesoti uddisitabbo.

    ตตฺราติ สามิสฺมิํ ภุมฺมวจนนฺติ อาห ‘‘ตสฺสา กุฎิยา’’ติฯ ทีฆโสติ นิสฺสกฺกวจนนฺติ อาห ‘‘ทีฆโต’’ติฯ พหิกุเฎฺฎติ กุฎฺฎสฺส พหิ, ถุเสน มิสฺสโก ปิโณฺฑ ถุสปิโณฺฑ, ตสฺส ปริยโนฺต ถุสปิณฺฑปริยโนฺต, เตน, ถุสมิสฺสกมตฺติกาปิณฺฑปริยเนฺตนาติ วุตฺตํ โหติฯ ถุสปิณฺฑสฺสูปริ เสตกมฺมํ ปน อโพฺพหาริกํฯ อพฺภนฺตเร ภโว อพฺภนฺตริโม, เตนฯ ยตฺถาติ ยสฺสํ กุฎิยํฯ ปมาณยุโตฺตติ ปกติวิทตฺถิยา นววิทตฺถิปมาโณฯ ‘‘ติริยํ สตฺตนฺตรา’’ติ (ปารา. ๓๔๘) อุกฺกํสโต ปมาณสฺส วุตฺตตฺตา ‘‘เหฎฺฐิมโกฎิยา จตุหตฺถวิตฺถารา น โหตี’’ติ วุตฺตํฯ

    Tatrāti sāmismiṃ bhummavacananti āha ‘‘tassā kuṭiyā’’ti. Dīghasoti nissakkavacananti āha ‘‘dīghato’’ti. Bahikuṭṭeti kuṭṭassa bahi, thusena missako piṇḍo thusapiṇḍo, tassa pariyanto thusapiṇḍapariyanto, tena, thusamissakamattikāpiṇḍapariyantenāti vuttaṃ hoti. Thusapiṇḍassūpari setakammaṃ pana abbohārikaṃ. Abbhantare bhavo abbhantarimo, tena. Yatthāti yassaṃ kuṭiyaṃ. Pamāṇayuttoti pakatividatthiyā navavidatthipamāṇo. ‘‘Tiriyaṃ sattantarā’’ti (pārā. 348) ukkaṃsato pamāṇassa vuttattā ‘‘heṭṭhimakoṭiyā catuhatthavitthārā na hotī’’ti vuttaṃ.

    โสเธตฺวาติ สมตลสีมมณฺฑลสทิสํ กตฺวาฯ ปทภาชเน วุตฺตนเยน สงฺฆํ ติกฺขตฺตุํ ยาจิตฺวาติ ‘‘สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย ‘อหํ, ภเนฺต, สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ กุฎิวตฺถุโอโลกนํ ยาจามี’’’ติ (ปารา. ๓๔๙) ปทภาชเน วุตฺตนเยน ติกฺขตฺตุํ ยาจิตฺวาฯ สเงฺฆน วา สมฺมตาติ ปทภาชนิยํ (ปารา. ๓๕๐) วุเตฺตน ญตฺติทุติยกเมฺมน, อปโลกนกมฺมวเสน วา สเงฺฆน สมฺมตาฯ วตฺถูติ กุฎิวตฺถุฯ อนารมฺภนฺติ อนุปทฺทวํฯ ปริโต กมติ คจฺฉติ เอตฺถาติ ปริกฺกมนํ, เตน สห วตฺตตีติ สปริกฺกมนํ, สอุปจารนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘เตหิ ภิกฺขูหี’’ติอาทิฯ

    Sodhetvāti samatalasīmamaṇḍalasadisaṃ katvā. Padabhājane vuttanayena saṅghaṃ tikkhattuṃ yācitvāti ‘‘saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo ‘ahaṃ, bhante, saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo asāmikaṃ attuddesaṃ, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ kuṭivatthuolokanaṃ yācāmī’’’ti (pārā. 349) padabhājane vuttanayena tikkhattuṃ yācitvā. Saṅghena vā sammatāti padabhājaniyaṃ (pārā. 350) vuttena ñattidutiyakammena, apalokanakammavasena vā saṅghena sammatā. Vatthūti kuṭivatthu. Anārambhanti anupaddavaṃ. Parito kamati gacchati etthāti parikkamanaṃ, tena saha vattatīti saparikkamanaṃ, saupacāranti attho. Tenāha ‘‘tehi bhikkhūhī’’tiādi.

    กิปิลฺลิกาทีนนฺติ เอตฺถ กิปิลฺลิกา (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๕๓) นาม รตฺตกาฬปิงฺคลาทิเภทา ยา กาจิ, ตา อาทิ เยสํ ตานิ กิปิลฺลิกาทีนิ, เตสํฯ อาทิสเทฺทน อุปจิกาทีนํ สงฺคหณํฯ อาสโยติ นิพทฺธวสนฎฺฐานํ, โส อาทิ เยสํ เต อาสยาทโย, เตหิฯ อาทิสเทฺทน เจตฺถ นิสฺสิตสฺส คหณํฯ โสฬสหิ อุปทฺทเวหีติ ‘‘กิปิลฺลิกานํ วา อาสโย โหติ, อุปจิกานํ วา อุนฺทูรานํ วา อหีนํ วา วิจฺฉิกานํ วา สตปทีนํ วา หตฺถีนํ วา อสฺสานํ วา สีหานํ วา พฺยคฺฆานํ วา ทีปีนํ วา อจฺฉานํ วา ตรจฺฉานํ วา เยสํ เกสญฺจิ ติรจฺฉานคตานํ ปาณานํ วา อาสโย โหติ, ปุพฺพณฺณนิสฺสิตํ วา โหติ, อปรณฺณอพฺภาฆาตอาฆาตนสุสานอุยฺยานราชวตฺถุหตฺถิสาลาอสฺสสาลาพนฺธนาคารปานาคารสูนรจฺฉาจจฺจรสภาสํสรณนิสฺสิตํ วา โหตี’’ติ (ปารา. ๓๕๓) เอวํ วุเตฺตหิ โสฬสหิ อุปทฺทเวหิฯ ตตฺถ จ อพฺภาฆาตํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๕๓) นาม การณาฆรํฯ อาฆาตนํ นาม ธมฺมคนฺธิกาฯ สุสานนฺติ มหาสุสานํฯ สํสรณํ นาม อนิพฺพิชฺฌคมนีโย คตปจฺจาคตมโคฺคฯ

    Kipillikādīnanti ettha kipillikā (pārā. aṭṭha. 2.353) nāma rattakāḷapiṅgalādibhedā yā kāci, tā ādi yesaṃ tāni kipillikādīni, tesaṃ. Ādisaddena upacikādīnaṃ saṅgahaṇaṃ. Āsayoti nibaddhavasanaṭṭhānaṃ, so ādi yesaṃ te āsayādayo, tehi. Ādisaddena cettha nissitassa gahaṇaṃ. Soḷasahi upaddavehīti ‘‘kipillikānaṃ vā āsayo hoti, upacikānaṃ vā undūrānaṃ vā ahīnaṃ vā vicchikānaṃ vā satapadīnaṃ vā hatthīnaṃ vā assānaṃ vā sīhānaṃ vā byagghānaṃ vā dīpīnaṃ vā acchānaṃ vā taracchānaṃ vā yesaṃ kesañci tiracchānagatānaṃ pāṇānaṃ vā āsayo hoti, pubbaṇṇanissitaṃ vā hoti, aparaṇṇaabbhāghātaāghātanasusānauyyānarājavatthuhatthisālāassasālābandhanāgārapānāgārasūnaracchācaccarasabhāsaṃsaraṇanissitaṃ vā hotī’’ti (pārā. 353) evaṃ vuttehi soḷasahi upaddavehi. Tattha ca abbhāghātaṃ (pārā. aṭṭha. 2.353) nāma kāraṇāgharaṃ. Āghātanaṃ nāma dhammagandhikā. Susānanti mahāsusānaṃ. Saṃsaraṇaṃ nāma anibbijjhagamanīyo gatapaccāgatamaggo.

    อาวิชฺฌิตุํ สกฺกุเณยฺยตายาติ ฉินฺนตฎาทีนมภาวโต อนุปริยายิตุํ สกฺกุเณยฺยตายฯ เตน ภิกฺขุนาติ กุฎิการเกน ภิกฺขุนาฯ ยาจิเตหีติ ‘‘เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย ‘อหํ, ภเนฺต, สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ กุฎิวตฺถุเทสนํ ยาจามี’’’ติ (ปารา. ๓๕๑) ติกฺขตฺตุํ ยาจิเตหิฯ ญตฺติทุติเยน กเมฺมนาติ –

    Āvijjhituṃ sakkuṇeyyatāyāti chinnataṭādīnamabhāvato anupariyāyituṃ sakkuṇeyyatāya. Tena bhikkhunāti kuṭikārakena bhikkhunā. Yācitehīti ‘‘ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo ‘ahaṃ, bhante, saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo asāmikaṃ attuddesaṃ, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ kuṭivatthudesanaṃ yācāmī’’’ti (pārā. 351) tikkhattuṃ yācitehi. Ñattidutiyena kammenāti –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ, โส สงฺฆํ กุฎิวตฺถุเทสนํ ยาจติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุํ เทเสยฺยฯ เอสา ญตฺติฯ สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สญฺญาจิกาย กุฎิํ กตฺตุกาโม อสามิกํ อตฺตุเทฺทสํ, โส สงฺฆํ กุฎิวตฺถุเทสนํ ยาจติฯ สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุํ เทเสติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุสฺส เทสนา, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ เทสิตํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน กุฎิวตฺถุ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo asāmikaṃ attuddesaṃ, so saṅghaṃ kuṭivatthudesanaṃ yācati. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthuṃ deseyya. Esā ñatti. Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu saññācikāya kuṭiṃ kattukāmo asāmikaṃ attuddesaṃ, so saṅghaṃ kuṭivatthudesanaṃ yācati. Saṅgho itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthuṃ deseti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthussa desanā, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya. Desitaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno kuṭivatthu, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ ปทภาชเน วุเตฺตน ญตฺติทุติเยน กเมฺมนฯ อาฬวิกา นาม อาฬวิรเฎฺฐ ชาตา ทารกา, เต ปพฺพชิตกาเลปิ ‘‘อาฬวิกา’’เตฺวว ปญฺญายิํสุฯ เต สนฺธาย วุตฺตํ อาฬวิเก ภิกฺขู’’ติฯ เลเป ฆฎิเตติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๕๓) อโนฺตเลเป วา อโนฺตเลเปน สทฺธิํ ภิตฺติญฺจ ฉทนญฺจ เอกาพทฺธํ กตฺวา ฆฎิเต, พหิเลเป วา พหิเลเปน สทฺธิํ ฆฎิเตฯ เทฺว จ ทุกฺกฎานิ สารมฺภอปริกฺกมนวเสนฯ อุภยวิปนฺนาติ อุภเยหิ เทสนาปมาเณหิ วิปนฺนา วิรหิตา อุภยวิปนฺนา, อเทสิตวตฺถุกา ปมาณาติกฺกนฺตาติ อโตฺถฯ ตสฺมินฺติ ทฺวารพเนฺธ วา วาตปาเน วาฯ เลโป น ฆฎิยตีติ ปุเพฺพ ทินฺนเลโป ทฺวารพเนฺธน วา วาตปาเนน วา สทฺธิํ น ฆฎิยติ, เอกาพทฺธํ หุตฺวา น ติฎฺฐตีติ วุตฺตํ โหติฯ นฺติ ทฺวารพนฺธํ วา วาตปานํ วา ปรามสติฯ ปฐมเมวาติ เลปกิจฺจสฺส นิฎฺฐิตตฺตา ทฺวารพนฺธวาตปานานํ ฐปนโต ปุเพฺพเยว, เลปสฺส นิฎฺฐิตกฺขเณเยวาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ภิกฺขุ กุฎิํ กโรติ เทสิตวตฺถุกํ ปมาณิกํ อนารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๓๕๕) ปทภาชนิยํ วุตฺตตฺตา ‘‘เกวลํ สารมฺภายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ วิปฺปกตนฺติ อนิฎฺฐิตํฯ อญฺญสฺส ททโต จาติ อญฺญสฺส ปุคฺคลสฺส วา สงฺฆสฺส วา ททโต จฯ คุหา นาม อิฎฺฐกคุหา วา สิลาคุหา วา ทารุคุหา วา ภูมิคุหา วาฯ ติณกุฎิ นาม สตฺตภูมิโกปิ ปาสาโท ติณจฺฉทโน ‘‘ติณกุฎิกา’’ติ วุจฺจติฯ อญฺญสฺสาติ อาจริยสฺส วา อุปชฺฌายสฺส วา สงฺฆสฺส วาฯ วาสาคารํ ฐเปตฺวาติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๓๖๔) อตฺตโน วสนตฺถาย วาสาคารํ ฐเปตฺวาฯ อุโปสถาคาราทีสูติ เอตฺถ อาทิสเทฺทน ชนฺตาฆรโภชนสาลาอคฺคิสาลานํ คหณํฯ เหฎฺฐิมปมาณสมฺภโวติ จตุหตฺถวิตฺถิณฺณตาฯ อเทสาเปตฺวา กโรโตติ วตฺถุํ อเทสาเปตฺวา ปมาณาติกฺกนฺตํ, ปมาณยุตฺตํ วา กโรโตฯ เอตฺถ จ วตฺถุโน อเทสาปนํ อกิริยาฯ กุฎิกรณํ กิริยา

    Evaṃ padabhājane vuttena ñattidutiyena kammena. Āḷavikā nāma āḷaviraṭṭhe jātā dārakā, te pabbajitakālepi ‘‘āḷavikā’’tveva paññāyiṃsu. Te sandhāya vuttaṃ āḷavike bhikkhū’’ti. Lepe ghaṭiteti (pārā. aṭṭha. 2.353) antolepe vā antolepena saddhiṃ bhittiñca chadanañca ekābaddhaṃ katvā ghaṭite, bahilepe vā bahilepena saddhiṃ ghaṭite. Dve ca dukkaṭāni sārambhaaparikkamanavasena. Ubhayavipannāti ubhayehi desanāpamāṇehi vipannā virahitā ubhayavipannā, adesitavatthukā pamāṇātikkantāti attho. Tasminti dvārabandhe vā vātapāne vā. Lepo na ghaṭiyatīti pubbe dinnalepo dvārabandhena vā vātapānena vā saddhiṃ na ghaṭiyati, ekābaddhaṃ hutvā na tiṭṭhatīti vuttaṃ hoti. Tanti dvārabandhaṃ vā vātapānaṃ vā parāmasati. Paṭhamamevāti lepakiccassa niṭṭhitattā dvārabandhavātapānānaṃ ṭhapanato pubbeyeva, lepassa niṭṭhitakkhaṇeyevāti adhippāyo. ‘‘Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ sārambhaṃ saparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassa. Bhikkhu kuṭiṃ karoti desitavatthukaṃ pamāṇikaṃ anārambhaṃ aparikkamanaṃ, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 355) padabhājaniyaṃ vuttattā ‘‘kevalaṃ sārambhāyā’’tiādi vuttaṃ. Vippakatanti aniṭṭhitaṃ. Aññassa dadato cāti aññassa puggalassa vā saṅghassa vā dadato ca. Guhā nāma iṭṭhakaguhā vā silāguhā vā dāruguhā vā bhūmiguhā vā. Tiṇakuṭi nāma sattabhūmikopi pāsādo tiṇacchadano ‘‘tiṇakuṭikā’’ti vuccati. Aññassāti ācariyassa vā upajjhāyassa vā saṅghassa vā. Vāsāgāraṃ ṭhapetvāti (pārā. aṭṭha. 2.364) attano vasanatthāya vāsāgāraṃ ṭhapetvā. Uposathāgārādīsūti ettha ādisaddena jantāgharabhojanasālāaggisālānaṃ gahaṇaṃ. Heṭṭhimapamāṇasambhavoti catuhatthavitthiṇṇatā. Adesāpetvā karototi vatthuṃ adesāpetvā pamāṇātikkantaṃ, pamāṇayuttaṃ vā karoto. Ettha ca vatthuno adesāpanaṃ akiriyā. Kuṭikaraṇaṃ kiriyā.

    กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact