Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-ปุราณ-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-purāṇa-ṭīkā |
๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา
6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā
กิํ ภเนฺตติ เอตฺตเกปิ วุเตฺตฯ ปุจฺฉิโต ยทตฺถาย ปวิโฎฺฐ, ตํ กเถตุํ ลภติ ปุจฺฉิตปญฺญตฺตา ภิกฺขาจารวเตฺตติ ลิขิตํฯ หตฺถกมฺมํ ยาจิโต ‘‘อุปกรณํ, มูลํ วา ทสฺสตี’’ติ ยาจติ, วฎฺฎติ, น วฎฺฎตีติ? วฎฺฎติ เสนาสเน โอภาสปริกถาทีนํ ลทฺธตฺตาติ เอเกฯ ติหตฺถา วาติ เอตฺถ วฑฺฒกิหเตฺถน ติหตฺถาฯ ‘‘ปมาณยุโตฺต มโญฺจติ ปกติวิทตฺถิยา นววิทตฺถิปฺปมาณมโญฺจ, โส ตตฺถ อิโต จ น สญฺจรติ, ตสฺมา จตุหตฺถวิตฺถารา น โหตี’’ติอาทิ ลิขิตํฯ อกุฎิยา ปน วตฺถุเทสนากิจฺจํ นตฺถิ อุลฺลิตฺตาวลิตฺตํ กาตุํ วุตฺตตฺตาฯ ‘‘อุลฺลิตฺตาทิภาโว…เป.… ‘ฉทนเมว สนฺธาย วุโตฺต’ติ ยุตฺตมิทํฯ กสฺมาติ เจ? ยสฺมา มตฺติกามยภิตฺติํ อุฎฺฐาเปตฺวา อุปริ อุลฺลิตฺตํ วา อวลิตฺตํ วา อุภยํ วา ภิตฺติยา ฆฎิตํ กโรนฺตสฺส อาปตฺติ เอว วินาปิ ภิตฺติเลเปนา’’ติ ลิขิตํฯ เอวเมตฺถ ถมฺภตุลาปิฎฺฐสงฺฆาฎาทิ นิรตฺถกํ สิยาฯ ตสฺมา วิจาเรตฺวาว คเหตพฺพํฯ ‘‘อุโปสถาคารมฺปิ ภวิสฺสติ, อหมฺปิ วสิสฺสามี’’ติ วา ‘‘ภิกฺขูหิ วา สามเณเรหิ วา เอกโต วสิสฺสามี’’ติ วา กโรนฺตสฺส วฎฺฎติ เอวฯ กสฺมา? ‘‘อตฺตุเทฺทส’’นฺติ วุตฺตตฺตาติ ลิขิตํฯ
Kiṃ bhanteti ettakepi vutte. Pucchito yadatthāya paviṭṭho, taṃ kathetuṃ labhati pucchitapaññattā bhikkhācāravatteti likhitaṃ. Hatthakammaṃ yācito ‘‘upakaraṇaṃ, mūlaṃ vā dassatī’’ti yācati, vaṭṭati, na vaṭṭatīti? Vaṭṭati senāsane obhāsaparikathādīnaṃ laddhattāti eke. Tihatthā vāti ettha vaḍḍhakihatthena tihatthā. ‘‘Pamāṇayutto mañcoti pakatividatthiyā navavidatthippamāṇamañco, so tattha ito ca na sañcarati, tasmā catuhatthavitthārā na hotī’’tiādi likhitaṃ. Akuṭiyā pana vatthudesanākiccaṃ natthi ullittāvalittaṃ kātuṃ vuttattā. ‘‘Ullittādibhāvo…pe… ‘chadanameva sandhāya vutto’ti yuttamidaṃ. Kasmāti ce? Yasmā mattikāmayabhittiṃ uṭṭhāpetvā upari ullittaṃ vā avalittaṃ vā ubhayaṃ vā bhittiyā ghaṭitaṃ karontassa āpatti eva vināpi bhittilepenā’’ti likhitaṃ. Evamettha thambhatulāpiṭṭhasaṅghāṭādi niratthakaṃ siyā. Tasmā vicāretvāva gahetabbaṃ. ‘‘Uposathāgārampi bhavissati, ahampi vasissāmī’’ti vā ‘‘bhikkhūhi vā sāmaṇerehi vā ekato vasissāmī’’ti vā karontassa vaṭṭati eva. Kasmā? ‘‘Attuddesa’’nti vuttattāti likhitaṃ.
อิทํ ปน สิกฺขาปทํ จตุตฺถปาราชิกํ วิย นิทานาเปกฺขํฯ น หิ วคฺคุมุทาตีริยา ภิกฺขู สยเมว อตฺตโน อสนฺตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ มุสาวาทลกฺขณํ ปาเปตฺวา ภาสิํสุฯ อญฺญมญฺญญฺหิ เต อุตฺตริมนุสฺสธมฺมวณฺณํ ภาสิํสุฯ น จ ตาวตา ปาราชิกวตฺถุ โหติ, ตตฺตเกน ปน เลเสน ภควา ตํ วตฺถุํ นิทานํ กตฺวา ปาราชิกํ ปญฺญเปสิ, ตถา อิธาปิฯ น หิ นิทาเน ‘‘อเทสิตวตฺถุกาโย สารมฺภาโย อปริกฺกมนาโย’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘อปฺปมาณิกาโย’’ติ ปน วุตฺตตฺตา ปมาณมติกฺกมนฺตสฺส สงฺฆาทิเสโสว นิทานาเปโกฺขฯ ตตฺถ สารเมฺภ อปริกฺกมเน สงฺฆาทิเสสปฺปสงฺคํ วิย ทิสฺสมานํ ‘‘วิภโงฺค ตํนิยมโก’’ติ วุตฺตตฺตา วิภเงฺค น นิวาเรติฯ ตถา มหลฺลเกฯ
Idaṃ pana sikkhāpadaṃ catutthapārājikaṃ viya nidānāpekkhaṃ. Na hi vaggumudātīriyā bhikkhū sayameva attano asantaṃ uttarimanussadhammaṃ musāvādalakkhaṇaṃ pāpetvā bhāsiṃsu. Aññamaññañhi te uttarimanussadhammavaṇṇaṃ bhāsiṃsu. Na ca tāvatā pārājikavatthu hoti, tattakena pana lesena bhagavā taṃ vatthuṃ nidānaṃ katvā pārājikaṃ paññapesi, tathā idhāpi. Na hi nidāne ‘‘adesitavatthukāyo sārambhāyo aparikkamanāyo’’ti vuttaṃ. ‘‘Appamāṇikāyo’’ti pana vuttattā pamāṇamatikkamantassa saṅghādisesova nidānāpekkho. Tattha sārambhe aparikkamane saṅghādisesappasaṅgaṃ viya dissamānaṃ ‘‘vibhaṅgo taṃniyamako’’ti vuttattā vibhaṅge na nivāreti. Tathā mahallake.
เอตฺถาห – กิมตฺถํ มาติกายํ ทุกฺกฎวตฺถุ วุตฺตํ, นนุ วิภเงฺค เอว วตฺตพฺพํ สิยาติ? เอวเมตํฯ กิํ นุ ภิกฺขู อภิเนตพฺพา วตฺถุเทสนาย, เตหิ ภิกฺขูหิ วตฺถุ เทเสตพฺพํ, กีทิสํ? อนารมฺภํ สปริกฺกมนนฺติฯ อิตรญฺหิ ‘‘สารเมฺภ เจ ภิกฺขุ วตฺถุสฺมิํ อปริกฺกมเน’’ติ เอวํ อนุปฺปสงฺควเสน อาคตตฺตา วุตฺตํฯ ยสฺมา วตฺถุ นาม อตฺถิ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อตฺถิ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อตฺถิ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อตฺถิ อนารมฺภํ อปริกฺกมนนฺติ พหุวิธํ, ตสฺมา พหุวิธตฺตา วตฺถุ เทเสตพฺพํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, เนตรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ กิมตฺถิกา ปเนตฺถ วตฺถุเทสนาติ เจ? ครุกาปตฺติปญฺญาปนเหตุปริวชฺชนุปายตฺตาฯ วตฺถุอเทสนา หิ ครุกาปตฺติปญฺญาปนเหตุภูตาฯ ครุกาปตฺติปญฺญาปนํ อกตวิญฺญตฺติคิหิปีฬาชนนํ, อตฺตทุกฺขปรทุกฺขเหตุภูโต จ สารมฺภภาโวติ เอเต วตฺถุเทสนาปเทเสน อุปาเยน ปริวชฺชิตา โหนฺติฯ น หิ ภิกฺขู อกปฺปิยกุฎิกรณตฺถํ คิหีนํ วา ปีฬานิมิตฺตํ, สารมฺภวตฺถุกุฎิกรณตฺถํ วา วตฺถุํ เทเสนฺตีติฯ โหนฺติ เจตฺถ –
Etthāha – kimatthaṃ mātikāyaṃ dukkaṭavatthu vuttaṃ, nanu vibhaṅge eva vattabbaṃ siyāti? Evametaṃ. Kiṃ nu bhikkhū abhinetabbā vatthudesanāya, tehi bhikkhūhi vatthu desetabbaṃ, kīdisaṃ? Anārambhaṃ saparikkamananti. Itarañhi ‘‘sārambhe ce bhikkhu vatthusmiṃ aparikkamane’’ti evaṃ anuppasaṅgavasena āgatattā vuttaṃ. Yasmā vatthu nāma atthi sārambhaṃ aparikkamanaṃ, atthi anārambhaṃ saparikkamanaṃ, atthi sārambhaṃ saparikkamanaṃ, atthi anārambhaṃ aparikkamananti bahuvidhaṃ, tasmā bahuvidhattā vatthu desetabbaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, netaranti vuttaṃ hoti. Kimatthikā panettha vatthudesanāti ce? Garukāpattipaññāpanahetuparivajjanupāyattā. Vatthuadesanā hi garukāpattipaññāpanahetubhūtā. Garukāpattipaññāpanaṃ akataviññattigihipīḷājananaṃ, attadukkhaparadukkhahetubhūto ca sārambhabhāvoti ete vatthudesanāpadesena upāyena parivajjitā honti. Na hi bhikkhū akappiyakuṭikaraṇatthaṃ gihīnaṃ vā pīḷānimittaṃ, sārambhavatthukuṭikaraṇatthaṃ vā vatthuṃ desentīti. Honti cettha –
‘‘ทุกฺกฎสฺส หิ วตฺถูนํ, มาติกาย ปกาสนา;
‘‘Dukkaṭassa hi vatthūnaṃ, mātikāya pakāsanā;
ครุกาปตฺติเหตูนํ, เตสํ เอวํ ปกาสิตาฯ
Garukāpattihetūnaṃ, tesaṃ evaṃ pakāsitā.
‘‘วตฺถุสฺส เทสนุปาเยน, ครุกาปตฺติเหตุโย;
‘‘Vatthussa desanupāyena, garukāpattihetuyo;
วชฺชิตา โหนฺติ ยํ ตสฺมา, สารมฺภาทิ ชหาปิต’’นฺติฯ
Vajjitā honti yaṃ tasmā, sārambhādi jahāpita’’nti.
กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.