Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา
6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā
๓๔๒. ยาจนาติ ‘‘เทถ เทถา’’ติ โจทนาฯ วิญฺญตฺตีติ อิมินา โน อโตฺถติ วิญฺญาปนาฯ ‘‘หตฺถกมฺมํ ยาจิโต อุปกรณํ, มูลํ วา ทสฺสตี’’ติ ยาจติ, น วฎฺฎตีติฯ วฎฺฎติ เสนาสเน โอภาสปริกถาทีนํ ลทฺธตฺตาติ เอเกฯ อนชฺฌาวุตฺถกนฺติ อสฺสามิกํฯ น อาหฎํ ปริภุญฺชิตพฺพนฺติ ‘‘สูโปทนวิญฺญตฺติทุกฺกฎํ โหตี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘กิญฺจาปิ ครุภณฺฑปฺปโหนเกสูติ วุตฺตํ, ตถาปิ ยํ วตฺถุวเสน อปฺปํ หุตฺวา อคฺฆวเสน มหา หริตาลหิงฺคุลิกาทิ, ตํ ยาจิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ
342.Yācanāti ‘‘detha dethā’’ti codanā. Viññattīti iminā no atthoti viññāpanā. ‘‘Hatthakammaṃ yācito upakaraṇaṃ, mūlaṃ vā dassatī’’ti yācati, na vaṭṭatīti. Vaṭṭati senāsane obhāsaparikathādīnaṃ laddhattāti eke. Anajjhāvutthakanti assāmikaṃ. Na āhaṭaṃparibhuñjitabbanti ‘‘sūpodanaviññattidukkaṭaṃ hotī’’ti vuttaṃ. ‘‘Kiñcāpi garubhaṇḍappahonakesūti vuttaṃ, tathāpi yaṃ vatthuvasena appaṃ hutvā agghavasena mahā haritālahiṅgulikādi, taṃ yācituṃ na vaṭṭatī’’ti vadanti.
๓๔๔. โส กิราติ อิสิฯ ตทา อชฺฌคมา ตทชฺฌคมาฯ
344.So kirāti isi. Tadā ajjhagamā tadajjhagamā.
๓๔๘-๙. น หิ สกฺกา ยาจนาย กาตุํ, ตสฺมา สยํ ยาจิตเกหิ อุปกรเณหีติ อธิปฺปาโยฯ พฺยญฺชนํ สเมติ, น อโตฺถฯ กสฺมา? อิธ อุภเยสํ อธิเปฺปตตฺตา, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยสฺมา ปนา’’ติอาทิมาหฯ อิธ วุตฺตนเยนาติ อิมสฺมิํ สิกฺขาปทวิภเงฺค วุตฺตนเยนฯ ‘‘สญฺญาจิกายา’’ติ วจนโต กโรเนฺตนาปิ, ‘‘ปเรหิ ปริโยสาเปตี’’ติ วจนโต การาเปเนฺตนาปิ ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ อุโภเปเต การกการาปกาฯ พฺยญฺชนํ วิโลมิตํ ภเวยฺย, ‘‘การยมาเนนา’’ติ หิ พฺยญฺชนํ ‘‘กโรเนฺตนา’’ติ วุเตฺต วิโลมิตํ โหติ อตทตฺถตฺตาฯ น หิ การาเปโนฺต นาม โหติฯ ‘‘อิธ วุตฺตนเยนาติ เทสิตวตฺถุกปมาณิกนเยนฯ เอวํ สเนฺต ‘กโรเนฺตน วา การาเปเนฺตน วา’ติ วจนโต กโรเนฺตนาปิ ปเรหิ วิปฺปกตํ วตฺตพฺพนฺติ เจ, ตทตฺถวิสฺสชฺชนตฺถํ ‘ยทิ ปนาติอาทิมาหา’’’ติ อนุคณฺฐิปเท วุตฺตํฯ ‘‘สญฺญาจิกาย กุฎิํ กโรโนฺต’’ติ วจนวเสน วุตฺตํฯ ‘‘อายามโต จ วิตฺถารโต จา’’ติ อวตฺวา วิกปฺปตฺถสฺส วา-สทฺทสฺส คหิตตฺตา เอกโตภาเคปิ วฑฺฒิเต อาปตฺติ เอวฯ ปมาณยุตฺตมโญฺจ กิร นววิทตฺถิฯ ‘‘‘จตุหตฺถวิตฺถารา’ติ วจเนน ‘ติริยํ ติหตฺถา วา’ติ วจนมฺปิ สเมติ ‘ยตฺถ ปมาณยุโตฺต’ติอาทิสนฺนิฎฺฐานวจนาสมฺภวโต’’ติ วุตฺตํฯ ปมาณโต อูนตรมฺปีติ วิตฺถารโต จตุปญฺจหตฺถมฺปิ ทีฆโต อนติกฺกมิตฺวา วุตฺตปมาณเมว เทสิตวตฺถุฯ อเทสิตวตฺถุญฺหิ กโรโต อาปตฺติฯ ปมาณาติกฺกนฺตา กุฎิ เอว ปมาณาติกฺกนฺตํ กุฎิํ กเรยฺยาติ วุตฺตตฺตาฯ ‘‘ถมฺภตุลา’’ติ ปาโฐฯ อนุสฺสาวนานเยนาติ เอตฺถ ‘‘ทมิฬภาสายปิ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติฯ
348-9. Na hi sakkā yācanāya kātuṃ, tasmā sayaṃ yācitakehi upakaraṇehīti adhippāyo. Byañjanaṃ sameti, na attho. Kasmā? Idha ubhayesaṃ adhippetattā, taṃ dassento ‘‘yasmā panā’’tiādimāha. Idha vuttanayenāti imasmiṃ sikkhāpadavibhaṅge vuttanayena. ‘‘Saññācikāyā’’ti vacanato karontenāpi, ‘‘parehi pariyosāpetī’’ti vacanato kārāpentenāpi paṭipajjitabbaṃ. Ubhopete kārakakārāpakā. Byañjanaṃ vilomitaṃ bhaveyya, ‘‘kārayamānenā’’ti hi byañjanaṃ ‘‘karontenā’’ti vutte vilomitaṃ hoti atadatthattā. Na hi kārāpento nāma hoti. ‘‘Idha vuttanayenāti desitavatthukapamāṇikanayena. Evaṃ sante ‘karontena vā kārāpentena vā’ti vacanato karontenāpi parehi vippakataṃ vattabbanti ce, tadatthavissajjanatthaṃ ‘yadi panātiādimāhā’’’ti anugaṇṭhipade vuttaṃ. ‘‘Saññācikāya kuṭiṃ karonto’’ti vacanavasena vuttaṃ. ‘‘Āyāmato ca vitthārato cā’’ti avatvā vikappatthassa vā-saddassa gahitattā ekatobhāgepi vaḍḍhite āpatti eva. Pamāṇayuttamañco kira navavidatthi. ‘‘‘Catuhatthavitthārā’ti vacanena ‘tiriyaṃ tihatthā vā’ti vacanampi sameti ‘yattha pamāṇayutto’tiādisanniṭṭhānavacanāsambhavato’’ti vuttaṃ. Pamāṇato ūnatarampīti vitthārato catupañcahatthampi dīghato anatikkamitvā vuttapamāṇameva desitavatthu. Adesitavatthuñhi karoto āpatti. Pamāṇātikkantā kuṭi eva pamāṇātikkantaṃ kuṭiṃ kareyyāti vuttattā. ‘‘Thambhatulā’’ti pāṭho. Anussāvanānayenāti ettha ‘‘damiḷabhāsāyapi vaṭṭatī’’ti vadanti.
๓๕๓. จารภูมิ โคจรภูมิฯ น คหิตาติ น วาริตาฯ อฎฺฐกถายํ ‘‘การณาย คุตฺติพนฺธนาคารํ, อกรณฎฺฐานํ วา ธมฺมคนฺธิกา หตฺถปาทจฺฉินฺทนกา คนฺธิกา’’ติ ลิขิตํฯ ทฺวีหิ พลิพเทฺทหีติ เหฎฺฐิมโกฎิยา กิร วุตฺตโต อาวิชฺชิตุํ น สกฺกา ฉินฺนาวฎตฺตา, นิคมนสฺสาปิ อตฺถปฺปกาสนตฺถํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ปาจินนฺติ วตฺถุ อธิฎฺฐานํฯ ตทตฺถายาติ ตจฺฉนตฺถายฯ ปณฺณสาลมฺปีติ อุลฺลิตฺตาวลิตฺตกุฎิเมว ปณฺณจฺฉทนํฯ เตเนว ‘‘สภิตฺติจฺฉทน’’นฺติ วุตฺตํ, อลิตฺตํ กิร สพฺพํ วฎฺฎติฯ ปุเพฺพ โถกํ ฐปิตํ ปุน วเฑฺฒตฺวาฯ ตสฺมินฺติ ทฺวารพนฺธเน วา วาตปาเน วา ฐปิเตฯ ปฐมเมวาติ เอตฺถ ปตฺตกาเล เอวาติ กิร ธมฺมสิริเตฺถโรฯ อุปติสฺสเตฺถโร ฐปิตกาเลวาติ กิรฯ ปุริเมน เลปสฺส อฆฎิตตฺตา ทุติเยน วตฺตสีเสน กตตฺตา อุภินฺนมฺปิ อนาปตฺติฯ สเจ อาณเตฺตน กตํ, ‘‘กโรติ วา การาเปติ วา’’ติ วจนโต อาปตฺติ อุภินฺนํ สติ อตฺตุเทฺทสิกตาย, อสติ มูลฎฺฐเสฺสวฯ เหฎฺฐิมปฺปมาณสมฺภเว สติ สพฺพมตฺติกามยํ กุฎิํ กโรโต อาปตฺติ ทุกฺกเฎน สงฺฆาทิเสโสติ อาจริยสฺส ตโกฺกฯ
353.Cārabhūmi gocarabhūmi. Na gahitāti na vāritā. Aṭṭhakathāyaṃ ‘‘kāraṇāya guttibandhanāgāraṃ, akaraṇaṭṭhānaṃ vā dhammagandhikā hatthapādacchindanakā gandhikā’’ti likhitaṃ. Dvīhi balibaddehīti heṭṭhimakoṭiyā kira vuttato āvijjituṃ na sakkā chinnāvaṭattā, nigamanassāpi atthappakāsanatthaṃ vuttanti veditabbaṃ. Pācinanti vatthu adhiṭṭhānaṃ. Tadatthāyāti tacchanatthāya. Paṇṇasālampīti ullittāvalittakuṭimeva paṇṇacchadanaṃ. Teneva ‘‘sabhitticchadana’’nti vuttaṃ, alittaṃ kira sabbaṃ vaṭṭati. Pubbe thokaṃ ṭhapitaṃ puna vaḍḍhetvā. Tasminti dvārabandhane vā vātapāne vā ṭhapite. Paṭhamamevāti ettha pattakāle evāti kira dhammasiritthero. Upatissatthero ṭhapitakālevāti kira. Purimena lepassa aghaṭitattā dutiyena vattasīsena katattā ubhinnampi anāpatti. Sace āṇattena kataṃ, ‘‘karoti vā kārāpeti vā’’ti vacanato āpatti ubhinnaṃ sati attuddesikatāya, asati mūlaṭṭhasseva. Heṭṭhimappamāṇasambhave sati sabbamattikāmayaṃ kuṭiṃ karoto āpatti dukkaṭena saṅghādisesoti ācariyassa takko.
๓๕๔. ฉตฺติํส จตุกฺกานิ นาม อเทสิตวตฺถุกจตุกฺกํ เทสิตวตฺถุกจตุกฺกํ ปมาณาติกฺกนฺตจตุกฺกํ ปมาณิกจตุกฺกํ อเทสิตวตฺถุกปมาณาติกฺกนฺตจตุกฺกํ เทสิตวตฺถุกปมาณิกจตุกฺกนฺติ ฉ จตุกฺกานิ, เอวํ สมาทิสติวาราทีสุปิ ปญฺจสูติ ฉตฺติํสฯ อาปตฺติเภททสฺสนตฺถนฺติ เอตฺถ ยสฺมา ‘‘สารเมฺภ เจ, ภิกฺขุ, วตฺถุสฺมิํ อปริกฺกมเน…เป.… สงฺฆาทิเสโส’’ติ มาติกายํ อวิเสเสน วุตฺตตฺตา สารมฺภอปริกฺกมเนปิ สงฺฆาทิเสโสวาติ มิจฺฉาคาหวิวชฺชนตฺถํ อาปตฺติเภโท ทสฺสิโต, ตสฺมา วุตฺตานีติ อธิปฺปาโยฯ วิภเงฺค เอวํ อวตฺวา กิมตฺถํ มาติกายํ ทุกฺกฎวตฺถุ วุตฺตนฺติ เจ? ภิกฺขู อภิเนตพฺพา วตฺถุเทสนาย, เตหิ ภิกฺขูหิ วตฺถุ เทเสตพฺพํฯ กีทิสํ? อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, เนตรํ, อิตรสฺมิํ ‘‘สารเมฺภ เจ ภิกฺขุ วตฺถุสฺมิํ อปริกฺกมเน’’ติ เอวํ อานิสํสวเสน อาคตตฺตา วุตฺตํฯ ยสฺมา วตฺถุ นาม อตฺถิ สารมฺภํ, อตฺถิ อนารมฺภํ, อตฺถิ สปริกฺกมนํ, อตฺถิ อปริกฺกมนํ, อตฺถิ สารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อตฺถิ สารมฺภํ อปริกฺกมนํ, อตฺถิ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, อตฺถิ อนารมฺภํ อปริกฺกมนนฺติ พหุวิธตฺตา วตฺถุ เทเสตพฺพํ อนารมฺภํ สปริกฺกมนํ, เนตรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ กิมตฺถิกา ปเนสา เทสนาติ เจ? ครุกาปตฺติปญฺญาปนเหตุปริวชฺชนุปายตฺถาฯ วตฺถุเทสนาย หิ ครุกาปตฺติปญฺญาปนเหตุตฺตา อกตวิญฺญตฺติ คิหีนํ ปีฬาชนเนน อตฺตทุกฺขปรทุกฺขเหตุภูโต จ สารมฺภภาโวติ เอเต วตฺถุเทสนาปเทเสน อุปาเยน ปริวชฺชิตา โหนฺติฯ น หิ ภิกฺขุ อกปฺปิยกุฎิกรณตฺถํ คิหีนํ วา ปีฬานิมิตฺตํ สารมฺภวตฺถุฯ กุฎิกรณตฺถํ วา วตฺถุํ เทเสนฺตีติ ปฐมเมว สาธิตเมตํฯ โวมิสฺสกาปตฺติโยติ ทุกฺกฎสงฺฆาทิเสสมิสฺสกาปตฺติโยฯ
354. Chattiṃsa catukkāni nāma adesitavatthukacatukkaṃ desitavatthukacatukkaṃ pamāṇātikkantacatukkaṃ pamāṇikacatukkaṃ adesitavatthukapamāṇātikkantacatukkaṃ desitavatthukapamāṇikacatukkanti cha catukkāni, evaṃ samādisativārādīsupi pañcasūti chattiṃsa. Āpattibhedadassanatthanti ettha yasmā ‘‘sārambhe ce, bhikkhu, vatthusmiṃ aparikkamane…pe… saṅghādiseso’’ti mātikāyaṃ avisesena vuttattā sārambhaaparikkamanepi saṅghādisesovāti micchāgāhavivajjanatthaṃ āpattibhedo dassito, tasmā vuttānīti adhippāyo. Vibhaṅge evaṃ avatvā kimatthaṃ mātikāyaṃ dukkaṭavatthu vuttanti ce? Bhikkhū abhinetabbā vatthudesanāya, tehi bhikkhūhi vatthu desetabbaṃ. Kīdisaṃ? Anārambhaṃ saparikkamanaṃ, netaraṃ, itarasmiṃ ‘‘sārambhe ce bhikkhu vatthusmiṃ aparikkamane’’ti evaṃ ānisaṃsavasena āgatattā vuttaṃ. Yasmā vatthu nāma atthi sārambhaṃ, atthi anārambhaṃ, atthi saparikkamanaṃ, atthi aparikkamanaṃ, atthi sārambhaṃ saparikkamanaṃ, atthi sārambhaṃ aparikkamanaṃ, atthi anārambhaṃ saparikkamanaṃ, atthi anārambhaṃ aparikkamananti bahuvidhattā vatthu desetabbaṃ anārambhaṃ saparikkamanaṃ, netaranti vuttaṃ hoti. Kimatthikā panesā desanāti ce? Garukāpattipaññāpanahetuparivajjanupāyatthā. Vatthudesanāya hi garukāpattipaññāpanahetuttā akataviññatti gihīnaṃ pīḷājananena attadukkhaparadukkhahetubhūto ca sārambhabhāvoti ete vatthudesanāpadesena upāyena parivajjitā honti. Na hi bhikkhu akappiyakuṭikaraṇatthaṃ gihīnaṃ vā pīḷānimittaṃ sārambhavatthu. Kuṭikaraṇatthaṃ vā vatthuṃ desentīti paṭhamameva sādhitametaṃ. Vomissakāpattiyoti dukkaṭasaṅghādisesamissakāpattiyo.
๓๕๕. ตตฺถ ‘‘ทฺวีหิ สงฺฆาทิเสเสหี’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสเสนา’’ติ วิภตฺติพฺยตฺตเยน, วจนพฺยตฺตเยน จ วุตฺตํฯ ‘‘อาปตฺติ ทฺวินฺนํ สงฺฆาทิเสสาน’’นฺติปิ ปาโฐฯ
355. Tattha ‘‘dvīhi saṅghādisesehī’’ti vattabbe ‘‘dvinnaṃ saṅghādisesenā’’ti vibhattibyattayena, vacanabyattayena ca vuttaṃ. ‘‘Āpatti dvinnaṃ saṅghādisesāna’’ntipi pāṭho.
๓๖๔. น ฆฎยติ ฉทนเลปาภาวโต, อนาปตฺติ, ตํ ปรโต สาธิยติฯ ฉทนเมว สนฺธาย อุลฺลิตฺตาวลิตฺตตา วุตฺตาติฯ ‘‘กุกฺกุฎจฺฉิกเคหํ วฎฺฎตีติ วตฺวา ปุน ฉทนํ ทณฺฑเกหีติอาทินา นเยน ตํ ทเสฺสเนฺตหิ ติณปณฺณจฺฉทนากุฎิกาว วุตฺตาฯ ตตฺถ ฉทนํ ทณฺฑเกหิ ทีฆโต ติริยญฺจ ชาลํ วิย พนฺธิตฺวา ติเณหิ วา ปเณฺณหิ วา ฉาเทตุํ อุลฺลิตฺตาทิภาโว ฉทนเมว สนฺธาย วุโตฺตติ ยุตฺตมิทํฯ ตสฺมา มตฺติกามยํ ภิตฺติํ วฑฺฒาเปตฺวา อุปริ อุลฺลิตฺตํ วา อวลิตฺตํ วา อุภยํ วา ภิตฺติยา ฆฎิตํ กโรนฺตสฺส อาปตฺติ เอว วินาปิ ภิตฺติเลเปนา’’ติ ลิขิตํฯ ‘‘‘โส จ ฉทนเมว สนฺธายา’ติ ปธานวเสน วุตฺตํ, น เหฎฺฐาภาคํ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ วทนฺติ, วีมํสิตพฺพํฯ เอตฺถาติ ติณกุฎิกายฯ ยถาสมาทิฎฺฐายาติ ยถาวุตฺตปฺปการนฺติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อาปตฺติ การุกานํ ติณฺณํ ทุกฺกฎาน’’นฺติอาทิมฺหิ โส สุณาติฉกฺกมฺปิ ลพฺภติฯ อุภยตฺถ สมาทิฎฺฐตฺตา อาณาปกสฺส อนาปตฺติฯ อาณตฺตสฺส ยถา สมาทิฎฺฐํ อาณาปเกน, ตถา อกรณปจฺจยา ทุกฺกฎํฯ สเจ ‘‘อหเมฺปตฺถ วสามี’’ติ อตฺตุเทฺทสมฺปิ กโรติ, สงฺฆาทิเสโสวฯ ‘‘กุฎิํ กโรถา’’ติ อวิเสเสน วุตฺตฎฺฐาเน ปน อาณาปกสฺสาปิ สงฺฆาทิเสโส อจิตฺตกตฺตา สิกฺขาปทสฺสฯ
364.Na ghaṭayati chadanalepābhāvato, anāpatti, taṃ parato sādhiyati. Chadanameva sandhāya ullittāvalittatā vuttāti. ‘‘Kukkuṭacchikagehaṃ vaṭṭatīti vatvā puna chadanaṃ daṇḍakehītiādinā nayena taṃ dassentehi tiṇapaṇṇacchadanākuṭikāva vuttā. Tattha chadanaṃ daṇḍakehi dīghato tiriyañca jālaṃ viya bandhitvā tiṇehi vā paṇṇehi vā chādetuṃ ullittādibhāvo chadanameva sandhāya vuttoti yuttamidaṃ. Tasmā mattikāmayaṃ bhittiṃ vaḍḍhāpetvā upari ullittaṃ vā avalittaṃ vā ubhayaṃ vā bhittiyā ghaṭitaṃ karontassa āpatti eva vināpi bhittilepenā’’ti likhitaṃ. ‘‘‘So ca chadanameva sandhāyā’ti padhānavasena vuttaṃ, na heṭṭhābhāgaṃ paṭikkhitta’’nti vadanti, vīmaṃsitabbaṃ. Etthāti tiṇakuṭikāya. Yathāsamādiṭṭhāyāti yathāvuttappakāranti adhippāyo. ‘‘Āpatti kārukānaṃ tiṇṇaṃ dukkaṭāna’’ntiādimhi so suṇātichakkampi labbhati. Ubhayattha samādiṭṭhattā āṇāpakassa anāpatti. Āṇattassa yathā samādiṭṭhaṃ āṇāpakena, tathā akaraṇapaccayā dukkaṭaṃ. Sace ‘‘ahampettha vasāmī’’ti attuddesampi karoti, saṅghādisesova. ‘‘Kuṭiṃ karothā’’ti avisesena vuttaṭṭhāne pana āṇāpakassāpi saṅghādiseso acittakattā sikkhāpadassa.
อหญฺจ วสิสฺสามีติ เอตฺถ ปรสฺส ยสฺส กสฺสจิ อุทฺทิฎฺฐสฺส อภาวา อาปตฺติ เอว ‘‘กโรนฺตสฺส วา’’ติ นิยมิตตฺตา, อนาปตฺติ อวิภตฺตตฺตาฯ ‘‘อิธ ปญฺญตฺติชานนมตฺตเมว จิตฺต’’นฺติ จ ลิขิตํฯ อนุคณฺฐิปเท ปน อหญฺจ วสิสฺสามีติ เอตฺถ โย ‘‘มยฺหํ วาสาคารญฺจ ภวิสฺสตี’’ติ อิจฺฉติ, ตสฺสาปตฺติฯ โย ปน อุโปสถาคารํ อิจฺฉติ, ตสฺส อนาปตฺติ, ตสฺมา ‘‘อุภยํ สเมตี’’ติ วตฺวา จ ‘‘วินยวินิจฺฉเย อาคเต ครุเก ฐาตพฺพ’’นฺติ วจนโต มหาปจฺจริวาทโต อิตโร ปจฺฉา วตฺตโพฺพติ เจ? น, พลวตฺตา ฯ ‘‘วาสาคารํ ฐเปตฺวา สพฺพตฺถ, อนาปตฺตี’’ติ วจนโต, โภชนสาลาทีนมฺปิ อตฺถาย อิมินา กตตฺตา สงฺกรา ชาตาฯ ยถา – เทฺว ตโย ‘‘เอกโต วสิสฺสามา’’ติ กโรนฺติ, รกฺขติ ตาวาติ เอตฺถ วิยฯ ‘‘อิทํ ฐานํ วาสาคารํ ภวิสฺสติ, อิทํ อุโปสถาคาร’’นฺติ วิภชิตฺวา กเตปิ อาปตฺติ เอวฯ ทฺวีสุ มหาปจฺจริวาโท พลวา, ตสฺมา ‘‘ปจฺฉา วุโตฺต’’ติอาทินา อตีว ปปญฺจิตํฯ กิํ เตนฯ ‘‘อตฺตนา วิปฺปกตํ อตฺตนา จ ปเรหิ จ ปริโยสาเปตี’’ติอาทินา นเยน อปรานิปิ จตุกฺกานิ ยถาสมฺภวํ โยเชตฺวา ทเสฺสตพฺพานิ, เลณาทีสุ กิญฺจาปิ สงฺฆาทิเสเสน อนาปตฺติ, อกตวิญฺญตฺติยา สติ ตปฺปจฺจยา อาปตฺติ เอวฯ
Ahañca vasissāmīti ettha parassa yassa kassaci uddiṭṭhassa abhāvā āpatti eva ‘‘karontassa vā’’ti niyamitattā, anāpatti avibhattattā. ‘‘Idha paññattijānanamattameva citta’’nti ca likhitaṃ. Anugaṇṭhipade pana ahañca vasissāmīti ettha yo ‘‘mayhaṃ vāsāgārañca bhavissatī’’ti icchati, tassāpatti. Yo pana uposathāgāraṃ icchati, tassa anāpatti, tasmā ‘‘ubhayaṃ sametī’’ti vatvā ca ‘‘vinayavinicchaye āgate garuke ṭhātabba’’nti vacanato mahāpaccarivādato itaro pacchā vattabboti ce? Na, balavattā . ‘‘Vāsāgāraṃ ṭhapetvā sabbattha, anāpattī’’ti vacanato, bhojanasālādīnampi atthāya iminā katattā saṅkarā jātā. Yathā – dve tayo ‘‘ekato vasissāmā’’ti karonti, rakkhati tāvāti ettha viya. ‘‘Idaṃ ṭhānaṃ vāsāgāraṃ bhavissati, idaṃ uposathāgāra’’nti vibhajitvā katepi āpatti eva. Dvīsu mahāpaccarivādo balavā, tasmā ‘‘pacchā vutto’’tiādinā atīva papañcitaṃ. Kiṃ tena. ‘‘Attanā vippakataṃ attanā ca parehi ca pariyosāpetī’’tiādinā nayena aparānipi catukkāni yathāsambhavaṃ yojetvā dassetabbāni, leṇādīsu kiñcāpi saṅghādisesena anāpatti, akataviññattiyā sati tappaccayā āpatti eva.
กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทํ • 6. Kuṭikārasikkhāpadaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๖. กุฎิการสิกฺขาปทวณฺณนา • 6. Kuṭikārasikkhāpadavaṇṇanā