Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๘๗] ๗. ลาภครหชาตกวณฺณนา

    [287] 7. Lābhagarahajātakavaṇṇanā

    นานุมฺมโตฺตติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สทฺธิวิหาริกํ อารพฺภ กเถสิฯ เถรสฺส กิร สทฺธิวิหาริโก เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ‘‘ลาภุปฺปตฺติปฎิปทํ เม, ภเนฺต, กเถถ, กิํ กโรโนฺต จีวราทีนํ ลาภี โหตี’’ติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส เถโร ‘‘อาวุโส, จตูหเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส ลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชติ, อตฺตโน อพฺภนฺตเร หิโรตฺตปฺปํ ภินฺทิตฺวา สามญฺญํ ปหาย อนุมฺมเตฺตเนว อุมฺมเตฺตน วิย ภวิตพฺพํ, ปิสุณวาจา วตฺตพฺพา, นฎสทิเสน ภวิตพฺพํ, วิกิณฺณวาเจน กุตูหเลน ภวิตพฺพ’’นฺติ อิมํ ลาภุปฺปตฺติปฎิปทํ กเถสิฯ โส ตํ ปฎิปทํ ครหิตฺวา อุฎฺฐาย ปกฺกโนฺตฯ เถโร สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ สตฺถา ‘‘เนโส, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ อิทาเนว ลาภํ ครหติ, ปุเพฺพเปส ครหิเยวา’’ติ วตฺวา เถเรน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Nānummattoti idaṃ satthā jetavane viharanto sāriputtattherassa saddhivihārikaṃ ārabbha kathesi. Therassa kira saddhivihāriko theraṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisinno ‘‘lābhuppattipaṭipadaṃ me, bhante, kathetha, kiṃ karonto cīvarādīnaṃ lābhī hotī’’ti pucchi. Athassa thero ‘‘āvuso, catūhaṅgehi samannāgatassa lābhasakkāro uppajjati, attano abbhantare hirottappaṃ bhinditvā sāmaññaṃ pahāya anummatteneva ummattena viya bhavitabbaṃ, pisuṇavācā vattabbā, naṭasadisena bhavitabbaṃ, vikiṇṇavācena kutūhalena bhavitabba’’nti imaṃ lābhuppattipaṭipadaṃ kathesi. So taṃ paṭipadaṃ garahitvā uṭṭhāya pakkanto. Thero satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā taṃ pavattiṃ ācikkhi. Satthā ‘‘neso, sāriputta, bhikkhu idāneva lābhaṃ garahati, pubbepesa garahiyevā’’ti vatvā therena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต โสฬสวสฺสิกกาเลเยว ติณฺณํ เวทานํ อฎฺฐารสนฺนญฺจ สิปฺปานํ ปริโยสานํ ปตฺวา ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย หุตฺวา ปญฺจ มาณวกสตานิ สิปฺปํ วาเจสิฯ ตเตฺรโก มาณโว สีลาจารสมฺปโนฺน เอกทิวสํ อาจริยํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กถํ อิเมสํ สตฺตานํ ลาโภ อุปฺปชฺชตี’’ติ ลาภุปฺปตฺติปฎิปทํ ปุจฺฉิฯ อาจริโย ‘‘ตาต, อิเมสํ สตฺตานํ จตูหิ การเณหิ ลาโภ อุปฺปชฺชตี’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto soḷasavassikakāleyeva tiṇṇaṃ vedānaṃ aṭṭhārasannañca sippānaṃ pariyosānaṃ patvā disāpāmokkho ācariyo hutvā pañca māṇavakasatāni sippaṃ vācesi. Tatreko māṇavo sīlācārasampanno ekadivasaṃ ācariyaṃ upasaṅkamitvā ‘‘kathaṃ imesaṃ sattānaṃ lābho uppajjatī’’ti lābhuppattipaṭipadaṃ pucchi. Ācariyo ‘‘tāta, imesaṃ sattānaṃ catūhi kāraṇehi lābho uppajjatī’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๐๙.

    109.

    ‘‘นานุมฺมโตฺต นาปิสุโณ, นานโฎ นากุตูหโล;

    ‘‘Nānummatto nāpisuṇo, nānaṭo nākutūhalo;

    มูเฬฺหสุ ลภเต ลาภํ, เอสา เต อนุสาสนี’’ติฯ

    Mūḷhesu labhate lābhaṃ, esā te anusāsanī’’ti.

    ตตฺถ นานุมฺมโตฺตติ น อนุมฺมโตฺตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา อุมฺมตฺตโก นาม อิตฺถิปุริสทาริกทารเก ทิสฺวา เตสํ วตฺถาลงฺการาทีนิ วิลุมฺปติ, ตโต ตโต มจฺฉมํสปูวาทีนิ พลกฺกาเรน คเหตฺวา ขาทติ, เอวเมว โย คิหิภูโต อชฺฌตฺตพหิทฺธสมุฎฺฐานํ หิโรตฺตปฺปํ ปหาย กุสลากุสลํ อคเณตฺวา นิรยภยํ อภายโนฺต โลภาภิภูโต ปริยาทิณฺณจิโตฺต กาเมสุ ปมโตฺต สนฺธิเจฺฉทาทีนิ สาหสิกกมฺมานิ กโรติ, ปพฺพชิโตปิ หิโรตฺตปฺปํ ปหาย กุสลากุสลํ อคเณตฺวา นิรยภยํ อภายโนฺต สตฺถารา ปญฺญตฺตํ สิกฺขาปทํ มทฺทโนฺต โลเภน อภิภูโต ปริยาทิณฺณจิโตฺต จีวราทิมตฺตํ นิสฺสาย อตฺตโน สามญฺญํ วิชหิตฺวา ปมโตฺต เวชฺชกมฺมทูตกมฺมาทีนิ กโรติ, เวฬุทานาทีนิ นิสฺสาย ชีวิกํ กเปฺปติ, อยํ อนุมฺมโตฺตปิ อุมฺมตฺตสทิสตฺตา อุมฺมโตฺต นาม , เอวรูปสฺส ขิปฺปํ ลาโภ อุปฺปชฺชติฯ โย ปน เอวํ อนุมฺมโตฺต ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก, เอส มูเฬฺหสุ อปณฺฑิเตสุ ปุริเสสุ ลาภํ น ลภติ, ตสฺมา ลาภตฺถิเกน อุมฺมตฺตเกน วิย ภวิตพฺพนฺติฯ

    Tattha nānummattoti na anummatto. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā ummattako nāma itthipurisadārikadārake disvā tesaṃ vatthālaṅkārādīni vilumpati, tato tato macchamaṃsapūvādīni balakkārena gahetvā khādati, evameva yo gihibhūto ajjhattabahiddhasamuṭṭhānaṃ hirottappaṃ pahāya kusalākusalaṃ agaṇetvā nirayabhayaṃ abhāyanto lobhābhibhūto pariyādiṇṇacitto kāmesu pamatto sandhicchedādīni sāhasikakammāni karoti, pabbajitopi hirottappaṃ pahāya kusalākusalaṃ agaṇetvā nirayabhayaṃ abhāyanto satthārā paññattaṃ sikkhāpadaṃ maddanto lobhena abhibhūto pariyādiṇṇacitto cīvarādimattaṃ nissāya attano sāmaññaṃ vijahitvā pamatto vejjakammadūtakammādīni karoti, veḷudānādīni nissāya jīvikaṃ kappeti, ayaṃ anummattopi ummattasadisattā ummatto nāma , evarūpassa khippaṃ lābho uppajjati. Yo pana evaṃ anummatto lajjī kukkuccako, esa mūḷhesu apaṇḍitesu purisesu lābhaṃ na labhati, tasmā lābhatthikena ummattakena viya bhavitabbanti.

    นาปิสุโณติ เอตฺถาปิ โย ปิสุโณ โหติ, ‘‘อสุเกน อิทํ นาม กต’’นฺติ ราชกุเล เปสุญฺญํ อุปสํหรติ, โส อเญฺญสํ ยสํ อจฺฉินฺทิตฺวา อตฺตโน คณฺหาติฯ ราชาโนปิ นํ ‘‘อยํ อเมฺหสุ สสเสฺนโห’’ติ อุเจฺจ ฐาเน ฐเปนฺติ, อมจฺจาทโยปิสฺส ‘‘อยํ โน ราชกุเล ปริภิเนฺทยฺยา’’ติ ภเยน ทาตพฺพํ มญฺญนฺติ, เอวํ เอตรหิ ปิสุณสฺส ลาโภ อุปฺปชฺชติฯ โย ปน อปิสุโณ, โส มูเฬฺหสุ ลาภํ น ลภตีติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Nāpisuṇoti etthāpi yo pisuṇo hoti, ‘‘asukena idaṃ nāma kata’’nti rājakule pesuññaṃ upasaṃharati, so aññesaṃ yasaṃ acchinditvā attano gaṇhāti. Rājānopi naṃ ‘‘ayaṃ amhesu sasasneho’’ti ucce ṭhāne ṭhapenti, amaccādayopissa ‘‘ayaṃ no rājakule paribhindeyyā’’ti bhayena dātabbaṃ maññanti, evaṃ etarahi pisuṇassa lābho uppajjati. Yo pana apisuṇo, so mūḷhesu lābhaṃ na labhatīti evamattho veditabbo.

    นานโฎติ ลาภํ อุปฺปาเทเนฺตน นเฎน วิย ภวิตพฺพํฯ ยถา นโฎ หิโรตฺตปฺปํ ปหาย นจฺจคีตวาทิเตหิ กีฬํ กตฺวา ธนํ สํหรติ, เอวเมว ลาภตฺถิเกน หิโรตฺตปฺปํ ภินฺทิตฺวา อิตฺถิปุริสทาริกทารกานํ โสณฺฑสหาเยน วิย นานปฺปการํ เกฬิํ กโรเนฺตน วิจริตพฺพํฯ โย เอวํ อนโฎ, โส มูเฬฺหสุ ลาภํ น ลภติฯ

    Nānaṭoti lābhaṃ uppādentena naṭena viya bhavitabbaṃ. Yathā naṭo hirottappaṃ pahāya naccagītavāditehi kīḷaṃ katvā dhanaṃ saṃharati, evameva lābhatthikena hirottappaṃ bhinditvā itthipurisadārikadārakānaṃ soṇḍasahāyena viya nānappakāraṃ keḷiṃ karontena vicaritabbaṃ. Yo evaṃ anaṭo, so mūḷhesu lābhaṃ na labhati.

    นากุตูหโลติ กุตูหโล นาม วิปฺปกิณฺณวาโจฯ ราชาโน หิ อมเจฺจ ปุจฺฉนฺติ – ‘‘อสุกฎฺฐาเน กิร ‘มนุโสฺส มาริโต, ฆรํ วิลุตฺตํ, ปเรสํ ทารา ปธํสิตา’ติ สุยฺยติ, เกสํ นุ โข อิทํ กมฺม’’นฺติฯ ตตฺถ เสเสสุ อกเถเนฺตสุเยว โย อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘อสุโก จ อสุโก จ นามา’’ติ วทติ, อยํ กุตูหโล นามฯ ราชาโน ตสฺส วจเนน เต ปุริเส ปริเยสิตฺวา นิเสเธตฺวา ‘‘อิมํ นิสฺสาย โน นครํ นิโจฺจรํ ชาต’’นฺติ ตสฺส มหนฺตํ ยสํ เทนฺติ, เสสาปิ ชนา ‘‘อยํ โน ราชปุริเสหิ ปุโฎฺฐ สุยุตฺตทุยุตฺตํ กเถยฺยา’’ติ ภเยน ตเสฺสว ธนํ เทนฺติ, เอวํ กุตูหลสฺส ลาโภ อุปฺปชฺชติฯ โย ปน อกุตูหโล, เอส น มูเฬฺหสุ ลภติ ลาภํฯ เอสา เต อนุสาสนีติ เอสา อมฺหากํ สนฺติกา ตุยฺหํ ลาภานุสิฎฺฐีติฯ

    Nākutūhaloti kutūhalo nāma vippakiṇṇavāco. Rājāno hi amacce pucchanti – ‘‘asukaṭṭhāne kira ‘manusso mārito, gharaṃ viluttaṃ, paresaṃ dārā padhaṃsitā’ti suyyati, kesaṃ nu kho idaṃ kamma’’nti. Tattha sesesu akathentesuyeva yo uṭṭhahitvā ‘‘asuko ca asuko ca nāmā’’ti vadati, ayaṃ kutūhalo nāma. Rājāno tassa vacanena te purise pariyesitvā nisedhetvā ‘‘imaṃ nissāya no nagaraṃ niccoraṃ jāta’’nti tassa mahantaṃ yasaṃ denti, sesāpi janā ‘‘ayaṃ no rājapurisehi puṭṭho suyuttaduyuttaṃ katheyyā’’ti bhayena tasseva dhanaṃ denti, evaṃ kutūhalassa lābho uppajjati. Yo pana akutūhalo, esa na mūḷhesu labhati lābhaṃ. Esā te anusāsanīti esā amhākaṃ santikā tuyhaṃ lābhānusiṭṭhīti.

    อเนฺตวาสิโก อาจริยสฺส กถํ สุตฺวา ลาภํ ครหโนฺต –

    Antevāsiko ācariyassa kathaṃ sutvā lābhaṃ garahanto –

    ๑๑๐.

    110.

    ‘‘ธิรตฺถุ ตํ ยสลาภํ, ธนลาภญฺจ พฺราหฺมณ;

    ‘‘Dhiratthu taṃ yasalābhaṃ, dhanalābhañca brāhmaṇa;

    ยา วุตฺติ วินิปาเตน, อธมฺมจรเณน วาฯ

    Yā vutti vinipātena, adhammacaraṇena vā.

    ๑๑๑.

    111.

    ‘‘อปิ เจ ปตฺตมาทาย, อนคาโร ปริพฺพเช;

    ‘‘Api ce pattamādāya, anagāro paribbaje;

    เอสาว ชีวิกา เสโยฺย, ยา จาธเมฺมน เอสนา’’ติฯ – คาถาทฺวยมาห;

    Esāva jīvikā seyyo, yā cādhammena esanā’’ti. – gāthādvayamāha;

    ตตฺถ ยา วุตฺตีติ ยา ชีวิตวุตฺติฯ วินิปาเตนาติ อตฺตโน วินิปาเตนฯ อธมฺมจรเณนาติ อธมฺมกิริยาย วิสมกิริยาย วธพนฺธนครหาทีหิ อตฺตานํ วินิปาเตตฺวา อธมฺมํ จริตฺวา ยา วุตฺติ, ตญฺจ ยสธนลาภญฺจ สพฺพํ ธิรตฺถุ นินฺทามิ ครหามิ, น เม เอเตนโตฺถติ อธิปฺปาโยฯ ปตฺตมาทายาติ ภิกฺขาภาชนํ คเหตฺวาฯ อนคาโร ปริพฺพเชติ อเคโห ปพฺพชิโต หุตฺวา จเรยฺย, น จ สปฺปุริโส กายทุจฺจริตาทิวเสน อธมฺมจริยํ จเรยฺยฯ กิํการณา? เอสาว ชีวิกา เสโยฺยฯ ยา จาธเมฺมน เอสนาติ, ยา เอสา อธเมฺมน ชีวิกปริเยสนา, ตโต เอสา ปตฺตหตฺถสฺส ปรกุเลสุ ภิกฺขาจริยาว เสโยฺย, สตคุเณน สหสฺสคุเณน สุนฺทรตโรติ ทเสฺสติฯ

    Tattha yā vuttīti yā jīvitavutti. Vinipātenāti attano vinipātena. Adhammacaraṇenāti adhammakiriyāya visamakiriyāya vadhabandhanagarahādīhi attānaṃ vinipātetvā adhammaṃ caritvā yā vutti, tañca yasadhanalābhañca sabbaṃ dhiratthu nindāmi garahāmi, na me etenatthoti adhippāyo. Pattamādāyāti bhikkhābhājanaṃ gahetvā. Anagāro paribbajeti ageho pabbajito hutvā careyya, na ca sappuriso kāyaduccaritādivasena adhammacariyaṃ careyya. Kiṃkāraṇā? Esāva jīvikā seyyo. Yā cādhammena esanāti, yā esā adhammena jīvikapariyesanā, tato esā pattahatthassa parakulesu bhikkhācariyāva seyyo, sataguṇena sahassaguṇena sundarataroti dasseti.

    เอวํ มาณโว ปพฺพชฺชาย คุณํ วเณฺณตฺวา นิกฺขมิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ธเมฺมน ภิกฺขํ ปริเยสโนฺต อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ

    Evaṃ māṇavo pabbajjāya guṇaṃ vaṇṇetvā nikkhamitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā dhammena bhikkhaṃ pariyesanto abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มาณโว ลาภครหี ภิกฺขุ อโหสิ, อาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā māṇavo lābhagarahī bhikkhu ahosi, ācariyo pana ahameva ahosi’’nti.

    ลาภครหชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ

    Lābhagarahajātakavaṇṇanā sattamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๘๗. ลาภครหชาตกํ • 287. Lābhagarahajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact