Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๒. สีลวโคฺค
2. Sīlavaggo
[๑๑] ๑. ลกฺขณมิคชาตกวณฺณนา
[11] 1. Lakkhaṇamigajātakavaṇṇanā
โหติ สีลวตํ อโตฺถติ อิทํ สตฺถา ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ เทวทตฺตสฺส วตฺถุ ยาว อภิมารปฺปโยชนา ขณฺฑหาลชาตเก อาวิภวิสฺสติ, ยาว ธนปาลกวิสฺสชฺชนา ปน จูฬหํสชาตเก อาวิภวิสฺสติ, ยาว ปถวิปฺปเวสนา ทฺวาทสนิปาเต สมุทฺทวาณิชชาตเก อาวิภวิสฺสติฯ
Hotisīlavataṃ atthoti idaṃ satthā rājagahaṃ upanissāya veḷuvane viharanto devadattaṃ ārabbha kathesi. Devadattassa vatthu yāva abhimārappayojanā khaṇḍahālajātake āvibhavissati, yāva dhanapālakavissajjanā pana cūḷahaṃsajātake āvibhavissati, yāva pathavippavesanā dvādasanipāte samuddavāṇijajātake āvibhavissati.
เอกสฺมิญฺหิ สมเย เทวทโตฺต ปญฺจ วตฺถูนิ ยาจิตฺวา อลภโนฺต สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ อาทาย คยาสีเส วิหรติฯ อถ เตสํ ภิกฺขูนํ ญาณํ ปริปากํ อคมาสิฯ ตํ ญตฺวา สตฺถา เทฺว อคฺคสาวเก อามเนฺตสิ ‘‘สาริปุตฺตา, ตุมฺหากํ นิสฺสิตกา ปญฺจสตา ภิกฺขู เทวทตฺตสฺส ลทฺธิํ โรเจตฺวา เตน สทฺธิํ คตา, อิทานิ ปน เตสํ ญาณํ ปริปากํ คตํ, ตุเมฺห พหูหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา เตสํ ธมฺมํ เทเสตฺวา เต ภิกฺขู มคฺคผเลหิ ปโพเธตฺวา คเหตฺวา อาคจฺฉถา’’ติฯ เต ตเถว คนฺตฺวา เตสํ ธมฺมํ เทเสตฺวา มคฺคผเลหิ ปโพเธตฺวา ปุนทิวเส อรุณุคฺคมนเวลาย เต ภิกฺขู อาทาย เวฬุวนเมว อาคมํสุฯ อาคนฺตฺวา จ ปน สาริปุตฺตเตฺถรสฺส ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ฐิตกาเล ภิกฺขู เถรํ ปสํสิตฺวา ภควนฺตํ อาหํสุ – ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ เชฎฺฐภาติโก ธมฺมเสนาปติ ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ ปริวุโต อาคจฺฉโนฺต อติวิย โสภติ, เทวทโตฺต ปน ปริหีนปริวาโร ชาโต’’ติฯ น, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต อิทาเนว ญาติสงฺฆปริวุโต อาคจฺฉโนฺต โสภติ, ปุเพฺพปิ โสภิเยวฯ เทวทโตฺตปิ น อิทาเนว คณโต ปริหีโน, ปุเพฺพปิ ปริหีโนเยวาติฯ ภิกฺขู ตสฺสตฺถสฺสาวิภาวตฺถาย ภควนฺตํ ยาจิํสุ, ภควา ภวนฺตเรน ปฎิจฺฉนฺนํ การณํ ปากฎํ อกาสิฯ
Ekasmiñhi samaye devadatto pañca vatthūni yācitvā alabhanto saṅghaṃ bhinditvā pañca bhikkhusatāni ādāya gayāsīse viharati. Atha tesaṃ bhikkhūnaṃ ñāṇaṃ paripākaṃ agamāsi. Taṃ ñatvā satthā dve aggasāvake āmantesi ‘‘sāriputtā, tumhākaṃ nissitakā pañcasatā bhikkhū devadattassa laddhiṃ rocetvā tena saddhiṃ gatā, idāni pana tesaṃ ñāṇaṃ paripākaṃ gataṃ, tumhe bahūhi bhikkhūhi saddhiṃ tattha gantvā tesaṃ dhammaṃ desetvā te bhikkhū maggaphalehi pabodhetvā gahetvā āgacchathā’’ti. Te tatheva gantvā tesaṃ dhammaṃ desetvā maggaphalehi pabodhetvā punadivase aruṇuggamanavelāya te bhikkhū ādāya veḷuvanameva āgamaṃsu. Āgantvā ca pana sāriputtattherassa bhagavantaṃ vanditvā ṭhitakāle bhikkhū theraṃ pasaṃsitvā bhagavantaṃ āhaṃsu – ‘‘bhante, amhākaṃ jeṭṭhabhātiko dhammasenāpati pañcahi bhikkhusatehi parivuto āgacchanto ativiya sobhati, devadatto pana parihīnaparivāro jāto’’ti. Na, bhikkhave, sāriputto idāneva ñātisaṅghaparivuto āgacchanto sobhati, pubbepi sobhiyeva. Devadattopi na idāneva gaṇato parihīno, pubbepi parihīnoyevāti. Bhikkhū tassatthassāvibhāvatthāya bhagavantaṃ yāciṃsu, bhagavā bhavantarena paṭicchannaṃ kāraṇaṃ pākaṭaṃ akāsi.
อตีเต มคธรเฎฺฐ ราชคหนคเร เอโก มคธราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต มิคโยนิยํ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา วุทฺธิปฺปโตฺต มิคสหสฺสปริวาโร อรเญฺญ วสติฯ ตสฺส ลกฺขโณ จ กาโฬ จาติ เทฺว ปุตฺตา อเหสุํฯ โส อตฺตโน มหลฺลกกาเล ‘‘ตาตา, อหํ อิทานิ มหลฺลโก, ตุเมฺห อิมํ คณํ ปริหรถา’’ติ ปญฺจ ปญฺจ มิคสตานิ เอเกกํ ปุตฺตํ ปฎิจฺฉาเปสิ ฯ ตโต ปฎฺฐาย เต เทฺว ชนา มิคคณํ ปริหรนฺติฯ มคธรฎฺฐสฺมิญฺจ สสฺสปากสมเย กิฎฺฐสมฺพาเธ อรเญฺญ มิคานํ ปริปโนฺถ โหติฯ มนุสฺสา สสฺสขาทกานํ มิคานํ มารณตฺถาย ตตฺถ ตตฺถ โอปาตํ ขณนฺติ, สูลานิ โรเปนฺติ, ปาสาณยนฺตานิ สเชฺชนฺติ, กูฎปาสาทโย ปาเส โอเฑฺฑนฺติ, พหู มิคา วินาสํ อาปชฺชนฺติฯ โพธิสโตฺต กิฎฺฐสมฺพาธสมยํ ญตฺวา เทฺว ปุเตฺต ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘ตาตา, อยํ กิฎฺฐสมฺพาธสมโย, พหู มิคา วินาสํ ปาปุณนฺติ, มยํ มหลฺลกา เยน เกนจิ อุปาเยน เอกสฺมิํ ฐาเน วีตินาเมสฺสาม, ตุเมฺห ตุมฺหากํ มิคคเณ คเหตฺวา อรเญฺญ ปพฺพตปาทํ ปวิสิตฺวา สสฺสานํ อุทฺธฎกาเล อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ปิตุ วจนํ สุตฺวา สปริวารา นิกฺขมิํสุฯ เตสํ ปน คมนมคฺคํ มนุสฺสา ชานนฺติ ‘‘อิมสฺมิํ กาเล มิคา ปพฺพตมาโรหนฺติ, อิมสฺมิํ กาเล โอโรหนฺตี’’ติฯ เต ตตฺถ ตตฺถ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน นิลีนา พหู มิเค วิชฺฌิตฺวา มาเรนฺติฯ
Atīte magadharaṭṭhe rājagahanagare eko magadharājā rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto migayoniyaṃ paṭisandhiṃ gahetvā vuddhippatto migasahassaparivāro araññe vasati. Tassa lakkhaṇo ca kāḷo cāti dve puttā ahesuṃ. So attano mahallakakāle ‘‘tātā, ahaṃ idāni mahallako, tumhe imaṃ gaṇaṃ pariharathā’’ti pañca pañca migasatāni ekekaṃ puttaṃ paṭicchāpesi . Tato paṭṭhāya te dve janā migagaṇaṃ pariharanti. Magadharaṭṭhasmiñca sassapākasamaye kiṭṭhasambādhe araññe migānaṃ paripantho hoti. Manussā sassakhādakānaṃ migānaṃ māraṇatthāya tattha tattha opātaṃ khaṇanti, sūlāni ropenti, pāsāṇayantāni sajjenti, kūṭapāsādayo pāse oḍḍenti, bahū migā vināsaṃ āpajjanti. Bodhisatto kiṭṭhasambādhasamayaṃ ñatvā dve putte pakkosāpetvā āha – ‘‘tātā, ayaṃ kiṭṭhasambādhasamayo, bahū migā vināsaṃ pāpuṇanti, mayaṃ mahallakā yena kenaci upāyena ekasmiṃ ṭhāne vītināmessāma, tumhe tumhākaṃ migagaṇe gahetvā araññe pabbatapādaṃ pavisitvā sassānaṃ uddhaṭakāle āgaccheyyāthā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti pitu vacanaṃ sutvā saparivārā nikkhamiṃsu. Tesaṃ pana gamanamaggaṃ manussā jānanti ‘‘imasmiṃ kāle migā pabbatamārohanti, imasmiṃ kāle orohantī’’ti. Te tattha tattha paṭicchannaṭṭhāne nilīnā bahū mige vijjhitvā mārenti.
กาฬมิโค อตฺตโน ทนฺธตาย ‘‘อิมาย นาม เวลาย คนฺตพฺพํ, อิมาย เวลาย น คนฺตพฺพ’’นฺติ อชานโนฺต มิคคณํ อาทาย ปุพฺพเณฺหปิ สายเนฺหปิ ปโทเสปิ ปจฺจูเสปิ คามทฺวาเรน คจฺฉติฯ มนุสฺสา ตตฺถ ตตฺถ ปกติยา ฐิตา จ นิลีนา จ พหู มิเค วินาสํ ปาเปนฺติฯ เอวํ โส อตฺตโน ทนฺธตาย พหู มิเค วินาสํ ปาเปตฺวา อปฺปเกเหว มิเคหิ อรญฺญํ ปาวิสิฯ ลกฺขณมิโค ปน ปณฺฑิโต พฺยโตฺต อุปายกุสโล ‘‘อิมาย เวลาย คนฺตพฺพํ, อิมาย เวลาย น คนฺตพฺพ’’นฺติ ชานาติฯ โส คามทฺวาเรนปิ น คจฺฉติ , ทิวาปิ น คจฺฉติ, ปโทเสปิ น คจฺฉติ, ปจฺจูเสปิ น คจฺฉติ, มิคคณํ อาทาย อฑฺฒรตฺตสมเยเยว คจฺฉติฯ ตสฺมา เอกมฺปิ มิคํ อวินาเสตฺวา อรญฺญํ ปาวิสิฯ เต ตตฺถ จตฺตาโร มาเส วสิตฺวา สเสฺสสุ อุทฺธเฎสุ ปพฺพตา โอตริํสุฯ
Kāḷamigo attano dandhatāya ‘‘imāya nāma velāya gantabbaṃ, imāya velāya na gantabba’’nti ajānanto migagaṇaṃ ādāya pubbaṇhepi sāyanhepi padosepi paccūsepi gāmadvārena gacchati. Manussā tattha tattha pakatiyā ṭhitā ca nilīnā ca bahū mige vināsaṃ pāpenti. Evaṃ so attano dandhatāya bahū mige vināsaṃ pāpetvā appakeheva migehi araññaṃ pāvisi. Lakkhaṇamigo pana paṇḍito byatto upāyakusalo ‘‘imāya velāya gantabbaṃ, imāya velāya na gantabba’’nti jānāti. So gāmadvārenapi na gacchati , divāpi na gacchati, padosepi na gacchati, paccūsepi na gacchati, migagaṇaṃ ādāya aḍḍharattasamayeyeva gacchati. Tasmā ekampi migaṃ avināsetvā araññaṃ pāvisi. Te tattha cattāro māse vasitvā sassesu uddhaṭesu pabbatā otariṃsu.
กาโฬ ปจฺจาคจฺฉโนฺตปิ ปุริมนเยเนว อวเสสมิเค วินาสํ ปาเปโนฺต เอกโกว อาคมิฯ ลกฺขโณ ปน เอกมิคมฺปิ อวินาเสตฺวา ปญฺจหิ มิคสเตหิ ปริวุโต มาตาปิตูนํ สนฺติกํ อาคมิฯ โพธิสโตฺต เทฺวปิ ปุเตฺต อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา มิคคเณน สทฺธิํ มเนฺตโนฺต อิมํ คาถํ สมุฎฺฐาเปสิ –
Kāḷo paccāgacchantopi purimanayeneva avasesamige vināsaṃ pāpento ekakova āgami. Lakkhaṇo pana ekamigampi avināsetvā pañcahi migasatehi parivuto mātāpitūnaṃ santikaṃ āgami. Bodhisatto dvepi putte āgacchante disvā migagaṇena saddhiṃ mantento imaṃ gāthaṃ samuṭṭhāpesi –
๑๑.
11.
‘‘โหติ สีลวตํ อโตฺถ, ปฎิสนฺถารวุตฺตินํ;
‘‘Hoti sīlavataṃ attho, paṭisanthāravuttinaṃ;
ลกฺขณํ ปสฺส อายนฺตํ, ญาติสงฺฆปุรกฺขตํ;
Lakkhaṇaṃ passa āyantaṃ, ñātisaṅghapurakkhataṃ;
อถ ปสฺสสิมํ กาฬํ, สุวิหีนํว ญาติภี’’ติฯ
Atha passasimaṃ kāḷaṃ, suvihīnaṃva ñātibhī’’ti.
ตตฺถ สีลวตนฺติ สุขสีลตาย สีลวนฺตานํ อาจารสมฺปนฺนานํฯ อโตฺถติ วุฑฺฒิฯ ปฎิสนฺถารวุตฺตินนฺติ ธมฺมปฎิสนฺถาโร จ อามิสปฎิสนฺถาโร จ เอเตสํ วุตฺตีติ ปฎิสนฺถารวุตฺติโน, เตสํ ปฎิสนฺถารวุตฺตินํฯ เอตฺถ จ ปาปนิวารณโอวาทานุสาสนิวเสน ธมฺมปฎิสนฺถาโร จ, โคจรลาภาปนคิลานุปฎฺฐานธมฺมิกรกฺขาวเสน อามิสปฎิสนฺถาโร จ เวทิตโพฺพฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อิเมสุ ทฺวีสุ ปฎิสนฺถาเรสุ ฐิตานํ อาจารสมฺปนฺนานํ ปณฺฑิตานํ วุฑฺฒิ นาม โหตีติฯ อิทานิ ตํ วุฑฺฒิํ ทเสฺสตุํ ปุตฺตมาตรํ อาลปโนฺต วิย ‘‘ลกฺขณํ ปสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – อาจารปฎิสนฺถารสมฺปนฺนํ อตฺตโน ปุตฺตํ เอกมิคมฺปิ อวินาเสตฺวา ญาติสเงฺฆน ปุรกฺขตํ ปริวาริตํ อาคจฺฉนฺตํ ปสฺสฯ ตาย ปน อาจารปฎิสนฺถารสมฺปทาย วิหีนํ ทนฺธปญฺญํ อถ ปสฺสสิมํ กาฬํ เอกมฺปิ ญาติํ อนวเสเสตฺวา สุวิหีนเมว ญาตีหิ เอกกํ อาคจฺฉนฺตนฺติฯ เอวํ ปุตฺตํ อภินนฺทิตฺวา ปน โพธิสโตฺต ยาวตายุกํ ฐตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Tattha sīlavatanti sukhasīlatāya sīlavantānaṃ ācārasampannānaṃ. Atthoti vuḍḍhi. Paṭisanthāravuttinanti dhammapaṭisanthāro ca āmisapaṭisanthāro ca etesaṃ vuttīti paṭisanthāravuttino, tesaṃ paṭisanthāravuttinaṃ. Ettha ca pāpanivāraṇaovādānusāsanivasena dhammapaṭisanthāro ca, gocaralābhāpanagilānupaṭṭhānadhammikarakkhāvasena āmisapaṭisanthāro ca veditabbo. Idaṃ vuttaṃ hoti – imesu dvīsu paṭisanthāresu ṭhitānaṃ ācārasampannānaṃ paṇḍitānaṃ vuḍḍhi nāma hotīti. Idāni taṃ vuḍḍhiṃ dassetuṃ puttamātaraṃ ālapanto viya ‘‘lakkhaṇaṃ passā’’tiādimāha. Tatrāyaṃ saṅkhepattho – ācārapaṭisanthārasampannaṃ attano puttaṃ ekamigampi avināsetvā ñātisaṅghena purakkhataṃ parivāritaṃ āgacchantaṃ passa. Tāya pana ācārapaṭisanthārasampadāya vihīnaṃ dandhapaññaṃ atha passasimaṃ kāḷaṃ ekampi ñātiṃ anavasesetvā suvihīnameva ñātīhi ekakaṃ āgacchantanti. Evaṃ puttaṃ abhinanditvā pana bodhisatto yāvatāyukaṃ ṭhatvā yathākammaṃ gato.
สตฺถาปิ ‘‘น, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต อิทาเนว ญาติสงฺฆปริวาริโต โสภติ, ปุเพฺพปิ โสภติเยวฯ น จ เทวทโตฺต เอตรหิเยว คณมฺหา ปริหีโน, ปุเพฺพปิ ปริหีโนเยวา’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ ทเสฺสตฺวา เทฺว วตฺถูนิ กเถตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา กาโฬ เทวทโตฺต อโหสิ, ปริสาปิสฺส เทวทตฺตปริสาว, ลกฺขโณ สาริปุโตฺต, ปริสา ปนสฺส พุทฺธปริสา, มาตา ราหุลมาตา, ปิตา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthāpi ‘‘na, bhikkhave, sāriputto idāneva ñātisaṅghaparivārito sobhati, pubbepi sobhatiyeva. Na ca devadatto etarahiyeva gaṇamhā parihīno, pubbepi parihīnoyevā’’ti imaṃ dhammadesanaṃ dassetvā dve vatthūni kathetvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kāḷo devadatto ahosi, parisāpissa devadattaparisāva, lakkhaṇo sāriputto, parisā panassa buddhaparisā, mātā rāhulamātā, pitā pana ahameva ahosi’’nti.
ลกฺขณมิคชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Lakkhaṇamigajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๑. ลกฺขณมิคชาตกํ • 11. Lakkhaṇamigajātakaṃ