Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๖. ลกุณฺฑกภทฺทิยสุตฺตวณฺณนา
6. Lakuṇḍakabhaddiyasuttavaṇṇanā
๒๔๐. ฉเฎฺฐ ทุพฺพณฺณนฺติ วิรูปสรีรวณฺณํฯ โอโกฎิมกนฺติ รสฺสํฯ ปริภูตรูปนฺติ ปมาณวเสน ปริภูตชาติกํฯ ตํ กิร ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู, ‘‘อาวุโส ภทฺทิย, อาวุโส, ภทฺทิยา’’ติ ตตฺถ ตตฺถ ปรามสิตฺวา นานปฺปการํ กีฬนฺติ อากฑฺฒนฺติ ปริกฑฺฒนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปริภูตรูป’’นฺติฯ กสฺมา ปเนส เอวรูโป ชาโต? อยํ กิร อตีเต เอโก มหาราชา อโหสิ, ตสฺส มหลฺลกา จ มหลฺลกิตฺถิโย จ ปฎิกูลา โหนฺติฯ โส สเจ มหลฺลเก ปสฺสติ, เตสํ จูฬํ ฐปาเปตฺวา กจฺฉํ พนฺธาเปตฺวา ยถารุจิ กีฬาเปติฯ มหลฺลกิตฺถิโยปิ ทิสฺวา ตาสมฺปิ อิจฺฉิติจฺฉิตํ วิปฺปการํ กตฺวา ยถารุจิ กีฬาเปติฯ เตสํ ปุตฺตธีตาทีนํ สนฺติเก มหาสารชฺชํ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺส ปาปกิริยา ปถวิโต ปฎฺฐาย ฉเทวโลเก เอกโกลาหลํ อกาสิฯ
240. Chaṭṭhe dubbaṇṇanti virūpasarīravaṇṇaṃ. Okoṭimakanti rassaṃ. Paribhūtarūpanti pamāṇavasena paribhūtajātikaṃ. Taṃ kira chabbaggiyā bhikkhū, ‘‘āvuso bhaddiya, āvuso, bhaddiyā’’ti tattha tattha parāmasitvā nānappakāraṃ kīḷanti ākaḍḍhanti parikaḍḍhanti. Tena vuttaṃ ‘‘paribhūtarūpa’’nti. Kasmā panesa evarūpo jāto? Ayaṃ kira atīte eko mahārājā ahosi, tassa mahallakā ca mahallakitthiyo ca paṭikūlā honti. So sace mahallake passati, tesaṃ cūḷaṃ ṭhapāpetvā kacchaṃ bandhāpetvā yathāruci kīḷāpeti. Mahallakitthiyopi disvā tāsampi icchiticchitaṃ vippakāraṃ katvā yathāruci kīḷāpeti. Tesaṃ puttadhītādīnaṃ santike mahāsārajjaṃ uppajjati. Tassa pāpakiriyā pathavito paṭṭhāya chadevaloke ekakolāhalaṃ akāsi.
อถ สโกฺก จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ อนฺธพาโล มหาชนํ วิเหเฐติ, กริสฺสามิสฺส นิคฺคห’’นฺติฯ โส มหลฺลกคามิยวณฺณํ กตฺวา ยานเก เอกํ ตกฺกจาฎิํ อาโรเปตฺวา ยานํ เปเสโนฺต นครํ ปวิสติฯ ราชาปิ หตฺถิํ อารุยฺห นครโต นิกฺขโนฺต ตํ ทิสฺวา – ‘‘อยํ มหลฺลโก ตกฺกยานเกน อมฺหากํ อภิมุโข อาคจฺฉติ, วาเรถ วาเรถา’’ติ อาหฯ มนุสฺสา อิโต จิโต จ ปกฺขนฺทนฺตาปิ น ปสฺสนฺติฯ สโกฺก หิ ‘‘ราชาว มํ ปสฺสตุ, มา อเญฺญ’’ติ เอวํ อธิฎฺฐหิฯ อถ เตสุ มนุเสฺสสุ ‘‘กหํ, เทว, กหํ เทวา’’ติ วทเนฺตสุ เอว ราชา สห หตฺถินา วโจฺฉ วิย เธนุยา ยานสฺส เหฎฺฐา ปาวิสิฯ สโกฺก ตกฺกจาฎิํ ภินฺทิฯ
Atha sakko cintesi – ‘‘ayaṃ andhabālo mahājanaṃ viheṭheti, karissāmissa niggaha’’nti. So mahallakagāmiyavaṇṇaṃ katvā yānake ekaṃ takkacāṭiṃ āropetvā yānaṃ pesento nagaraṃ pavisati. Rājāpi hatthiṃ āruyha nagarato nikkhanto taṃ disvā – ‘‘ayaṃ mahallako takkayānakena amhākaṃ abhimukho āgacchati, vāretha vārethā’’ti āha. Manussā ito cito ca pakkhandantāpi na passanti. Sakko hi ‘‘rājāva maṃ passatu, mā aññe’’ti evaṃ adhiṭṭhahi. Atha tesu manussesu ‘‘kahaṃ, deva, kahaṃ devā’’ti vadantesu eva rājā saha hatthinā vaccho viya dhenuyā yānassa heṭṭhā pāvisi. Sakko takkacāṭiṃ bhindi.
ราชา สีสโต ปฎฺฐาย ตเกฺกน กิลินฺนสรีโร อโหสิฯ โส สรีรํ อุพฺพฎฺฎาเปตฺวา อุยฺยานโปกฺขรณิยํ นฺหตฺวา อลงฺกตสรีโร นครํ ปวิสโนฺต ปุน ตํ อทฺทสฯ ทิสฺวา ‘‘อยํ โส อเมฺหหิ ทิฎฺฐมหลฺลโก ปุน ทิสฺสติฯ วาเรถ วาเรถ น’’นฺติ อาหฯ มนุสฺสา ‘‘กหํ, เทว, กหํ, เทวา’’ติ อิโต จิโต จ วิธาวิํสุฯ โส ปฐมวิปฺปการเมว ปุน ปาปุณิฯ ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก โคเณ จ ยานญฺจ อนฺตรธาเปตฺวา อากาเส ฐตฺวา อาห, ‘‘อนฺธพาล, ตฺวํ มยิ ตกฺกวาณิชโก เอโส’’ติ สญฺญํ กโรสิ, สโกฺกหํ เทวราชา, ‘‘ตเวตํ ปาปกิริยํ นิวาเรสฺสามี’’ติ อาคโต, ‘‘มา ปุน เอวรูปํ อกาสี’’ติ สนฺตเชฺชตฺวา อคมาสิฯ อิมินา กเมฺมน โส ทุพฺพโณฺณ อโหสิฯ
Rājā sīsato paṭṭhāya takkena kilinnasarīro ahosi. So sarīraṃ ubbaṭṭāpetvā uyyānapokkharaṇiyaṃ nhatvā alaṅkatasarīro nagaraṃ pavisanto puna taṃ addasa. Disvā ‘‘ayaṃ so amhehi diṭṭhamahallako puna dissati. Vāretha vāretha na’’nti āha. Manussā ‘‘kahaṃ, deva, kahaṃ, devā’’ti ito cito ca vidhāviṃsu. So paṭhamavippakārameva puna pāpuṇi. Tasmiṃ khaṇe sakko goṇe ca yānañca antaradhāpetvā ākāse ṭhatvā āha, ‘‘andhabāla, tvaṃ mayi takkavāṇijako eso’’ti saññaṃ karosi, sakkohaṃ devarājā, ‘‘tavetaṃ pāpakiriyaṃ nivāressāmī’’ti āgato, ‘‘mā puna evarūpaṃ akāsī’’ti santajjetvā agamāsi. Iminā kammena so dubbaṇṇo ahosi.
วิปสฺสีสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล ปเนส จิตฺตปตฺตโกกิโล นาม หุตฺวา เขเม มิคทาเย วสโนฺต เอกทิวสํ หิมวนฺตํ คนฺตฺวา มธุรํ อมฺพผลํ ตุเณฺฑน คเหตฺวา อาคจฺฉโนฺต ภิกฺขุสงฺฆปริวารํ สตฺถารํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อเญฺญสุ ทิวเสสุ ริตฺตโก ตถาคตํ ปสฺสามิฯ อชฺช ปน เม อิมํ อมฺพปกฺกํ อตฺถิ, ทสพลสฺส ตํ ทสฺสามี’’ติ โอตริตฺวา อากาเส จรติฯ สตฺถา ตสฺส จิตฺตํ ญตฺวา อุปฎฺฐากํ โอโลเกสิฯ โส ปตฺตํ นีหริตฺวา ทสพลํ วนฺทิตฺวา สตฺถุ หเตฺถ ฐเปสิฯ โกกิโล ทสพลสฺส ปเตฺต อมฺพปกฺกํ ปติฎฺฐาเปสิฯ สตฺถา ตเตฺถว นิสีทิตฺวา ตํ ปริภุญฺชิฯ โกกิโล ปสนฺนจิโตฺต ปุนปฺปุนํ ทสพลสฺส คุเณ อาวเชฺชตฺวา ทสพลํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน กุลาวกํ คนฺตฺวา สตฺตาหํ ปีติสุเขเนว วีตินาเมสิฯ อิมินา กเมฺมน สโร มธุโร อโหสิฯ
Vipassīsammāsambuddhakāle panesa cittapattakokilo nāma hutvā kheme migadāye vasanto ekadivasaṃ himavantaṃ gantvā madhuraṃ ambaphalaṃ tuṇḍena gahetvā āgacchanto bhikkhusaṅghaparivāraṃ satthāraṃ disvā cintesi – ‘‘ahaṃ aññesu divasesu rittako tathāgataṃ passāmi. Ajja pana me imaṃ ambapakkaṃ atthi, dasabalassa taṃ dassāmī’’ti otaritvā ākāse carati. Satthā tassa cittaṃ ñatvā upaṭṭhākaṃ olokesi. So pattaṃ nīharitvā dasabalaṃ vanditvā satthu hatthe ṭhapesi. Kokilo dasabalassa patte ambapakkaṃ patiṭṭhāpesi. Satthā tattheva nisīditvā taṃ paribhuñji. Kokilo pasannacitto punappunaṃ dasabalassa guṇe āvajjetvā dasabalaṃ vanditvā attano kulāvakaṃ gantvā sattāhaṃ pītisukheneva vītināmesi. Iminā kammena saro madhuro ahosi.
กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล ปน เจติเย อารเทฺธ ‘‘กิํปมาณํ กโรม? สตฺตโยชนปฺปมาณํฯ อติมหนฺตํ เอตํ, ฉโยชนปฺปมาณํ กโรมฯ อิทมฺปิ อติมหนฺตํ, ปญฺจโยชนํ กโรม, จตุโยชนํ, ติโยชนํ, ทฺวิโยชน’’นฺติฯ อยํ ตทา เชฎฺฐกวฑฺฒกี หุตฺวา, ‘‘เอวํ, โภ, อนาคเต สุขปฎิชคฺคิตํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา รชฺชุํ อาทาย ปริกฺขิปโนฺต คาวุตมตฺตเก ฐตฺวา, ‘‘เอเกกํ มุขํ คาวุตํ โหตุ, เจติยํ โยชนาวฎฺฎํ โยชนุเพฺพธํ ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ เต ตสฺส วจเน อฎฺฐํสุฯ เจติยํ สตฺตทิวสสตฺตมาสาธิเกหิ สตฺตหิ สํวจฺฉเรหิ นิฎฺฐิตํฯ อิติ อปฺปมาณสฺส พุทฺธสฺส ปมาณํ อกาสีติฯ เตน กเมฺมน โอโกฎิมโก ชาโตฯ
Kassapasammāsambuddhakāle pana cetiye āraddhe ‘‘kiṃpamāṇaṃ karoma? Sattayojanappamāṇaṃ. Atimahantaṃ etaṃ, chayojanappamāṇaṃ karoma. Idampi atimahantaṃ, pañcayojanaṃ karoma, catuyojanaṃ, tiyojanaṃ, dviyojana’’nti. Ayaṃ tadā jeṭṭhakavaḍḍhakī hutvā, ‘‘evaṃ, bho, anāgate sukhapaṭijaggitaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vatvā rajjuṃ ādāya parikkhipanto gāvutamattake ṭhatvā, ‘‘ekekaṃ mukhaṃ gāvutaṃ hotu, cetiyaṃ yojanāvaṭṭaṃ yojanubbedhaṃ bhavissatī’’ti āha. Te tassa vacane aṭṭhaṃsu. Cetiyaṃ sattadivasasattamāsādhikehi sattahi saṃvaccharehi niṭṭhitaṃ. Iti appamāṇassa buddhassa pamāṇaṃ akāsīti. Tena kammena okoṭimako jāto.
หตฺถโย ปสทา มิคาติ หตฺถิโน จ ปสทมิคา จฯ นตฺถิ กายสฺมิํ ตุลฺยตาติ กายสฺมิํ ปมาณํ นาม นตฺถิ, อการณํ กายปมาณนฺติ อโตฺถฯ ฉฎฺฐํฯ
Hatthayo pasadā migāti hatthino ca pasadamigā ca. Natthi kāyasmiṃ tulyatāti kāyasmiṃ pamāṇaṃ nāma natthi, akāraṇaṃ kāyapamāṇanti attho. Chaṭṭhaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๖. ลกุณฺฑกภทฺทิยสุตฺตํ • 6. Lakuṇḍakabhaddiyasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๖. ลกุณฺฑกภทฺทิยสุตฺตวณฺณนา • 6. Lakuṇḍakabhaddiyasuttavaṇṇanā