Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๖. ลฎุกิโกปมสุตฺตํ

    6. Laṭukikopamasuttaṃ

    ๑๔๘. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา องฺคุตฺตราเปสุ วิหรติ อาปณํ นาม องฺคุตฺตราปานํ นิคโมฯ อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อาปณํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อาปเณ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต เยนญฺญตโร วนสโณฺฑ เตนุปสงฺกมิ ทิวาวิหารายฯ ตํ วนสณฺฑํ อโชฺฌคาเหตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ อายสฺมาปิ โข อุทายี ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อาปณํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อาปเณ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต เยน โส วนสโณฺฑ เตนุปสงฺกมิ ทิวาวิหารายฯ ตํ วนสณฺฑํ อโชฺฌคาเหตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ อถ โข อายสฺมโต อุทายิสฺส รโหคตสฺส ปฎิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘‘พหูนํ 1 วต โน ภควา ทุกฺขธมฺมานํ อปหตฺตา, พหูนํ วต โน ภควา สุขธมฺมานํ อุปหตฺตา; พหูนํ วต โน ภควา อกุสลานํ ธมฺมานํ อปหตฺตา, พหูนํ วต โน ภควา กุสลานํ ธมฺมานํ อุปหตฺตา’’ติฯ อถ โข อายสฺมา อุทายี สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ ฯ

    148. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā aṅguttarāpesu viharati āpaṇaṃ nāma aṅguttarāpānaṃ nigamo. Atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya āpaṇaṃ piṇḍāya pāvisi. Āpaṇe piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto yenaññataro vanasaṇḍo tenupasaṅkami divāvihārāya. Taṃ vanasaṇḍaṃ ajjhogāhetvā aññatarasmiṃ rukkhamūle divāvihāraṃ nisīdi. Āyasmāpi kho udāyī pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya āpaṇaṃ piṇḍāya pāvisi. Āpaṇe piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto yena so vanasaṇḍo tenupasaṅkami divāvihārāya. Taṃ vanasaṇḍaṃ ajjhogāhetvā aññatarasmiṃ rukkhamūle divāvihāraṃ nisīdi. Atha kho āyasmato udāyissa rahogatassa paṭisallīnassa evaṃ cetaso parivitakko udapādi – ‘‘bahūnaṃ 2 vata no bhagavā dukkhadhammānaṃ apahattā, bahūnaṃ vata no bhagavā sukhadhammānaṃ upahattā; bahūnaṃ vata no bhagavā akusalānaṃ dhammānaṃ apahattā, bahūnaṃ vata no bhagavā kusalānaṃ dhammānaṃ upahattā’’ti. Atha kho āyasmā udāyī sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhito yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi .

    ๑๔๙. เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา อุทายี ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อิธ มยฺหํ, ภเนฺต, รโหคตสฺส ปฎิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘พหูนํ วต โน ภควา ทุกฺขธมฺมานํ อปหตฺตา, พหูนํ วต โน ภควา สุขธมฺมานํ อุปหตฺตา; พหูนํ วต โน ภควา อกุสลานํ ธมฺมานํ อปหตฺตา, พหูนํ วต โน ภควา กุสลานํ ธมฺมานํ อุปหตฺตา’ติฯ มยญฺหิ, ภเนฺต, ปุเพฺพ สายเญฺจว ภุญฺชาม ปาโต จ ทิวา จ วิกาเลฯ อหุ โข โส, ภเนฺต, สมโย ยํ ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘อิงฺฆ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอตํ ทิวาวิกาลโภชนํ ปชหถา’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, อหุเทว อญฺญถตฺตํ, อหุเทว 3 โทมนสฺสํ – ‘ยมฺปิ โน สทฺธา คหปติกา ทิวา วิกาเล ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ เทนฺติ ตสฺสปิ โน ภควา ปหานมาห, ตสฺสปิ โน สุคโต ปฎินิสฺสคฺคมาหา’ติฯ เต มยํ, ภเนฺต, ภควติ เปมญฺจ คารวญฺจ หิริญฺจ โอตฺตปฺปญฺจ สมฺปสฺสมานา เอวํ ตํ ทิวาวิกาลโภชนํ ปชหิมฺหาฯ เต มยํ, ภเนฺต, สายเญฺจว ภุญฺชาม ปาโต จฯ อหุ โข โส, ภเนฺต, สมโย ยํ ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘อิงฺฆ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอตํ รตฺติํวิกาลโภชนํ ปชหถา’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, อหุเทว อญฺญถตฺตํ อหุเทว โทมนสฺสํ – ‘ยมฺปิ โน อิเมสํ ทฺวินฺนํ ภตฺตานํ ปณีตสงฺขาตตรํ ตสฺสปิ โน ภควา ปหานมาห, ตสฺสปิ โน สุคโต ปฎินิสฺสคฺคมาหา’ติฯ ภูตปุพฺพํ, ภเนฺต, อญฺญตโร ปุริโส ทิวา สูเปยฺยํ ลภิตฺวา เอวมาห – ‘หนฺท จ อิมํ นิกฺขิปถ, สายํ สเพฺพว สมคฺคา ภุญฺชิสฺสามา’ติฯ ยา กาจิ, ภเนฺต, สงฺขติโย สพฺพา ตา รตฺติํ, อปฺปา ทิวาฯ เต มยํ, ภเนฺต, ภควติ เปมญฺจ คารวญฺจ หิริญฺจ โอตฺตปฺปญฺจ สมฺปสฺสมานา เอวํ ตํ รตฺติํวิกาลโภชนํ ปชหิมฺหาฯ ภูตปุพฺพํ, ภเนฺต, ภิกฺขู รตฺตนฺธการติมิสายํ ปิณฺฑาย จรนฺตา จนฺทนิกมฺปิ ปวิสนฺติ, โอลิคเลฺลปิ ปปตนฺติ, กณฺฎกาวาฎมฺปิ 4 อาโรหนฺติ, สุตฺตมฺปิ คาวิํ อาโรหนฺติ, มาณเวหิปิ สมาคจฺฉนฺติ กตกเมฺมหิปิ อกตกเมฺมหิปิ, มาตุคาโมปิ เต 5 อสทฺธเมฺมน นิมเนฺตติฯ ภูตปุพฺพาหํ, ภเนฺต, รตฺตนฺธการติมิสายํ ปิณฺฑาย จรามิฯ อทฺทสา โข มํ, ภเนฺต, อญฺญตรา อิตฺถี วิชฺชนฺตริกาย ภาชนํ โธวนฺตีฯ ทิสฺวา มํ ภีตา วิสฺสรมกาสิ – ‘อภุเมฺม 6 ปิสาโจ วต ม’นฺติ! เอวํ วุเตฺต, อหํ, ภเนฺต, ตํ อิตฺถิํ เอตทโวจํ – ‘นาหํ, ภคินิ, ปิสาโจ; ภิกฺขุ ปิณฺฑาย ฐิโต’ติฯ ‘ภิกฺขุสฺส อาตุมารี, ภิกฺขุสฺส มาตุมารี 7! วรํ เต, ภิกฺขุ, ติเณฺหน โควิกนฺตเนน กุจฺฉิ ปริกโนฺต, น เตฺวว วรํ ยํ 8 รตฺตนฺธการติมิสายํ กุจฺฉิเหตุ ปิณฺฑาย จรสี’ติ 9ฯ ตสฺส มยฺหํ, ภเนฺต, ตทนุสฺสรโต เอวํ โหติ – ‘พหูนํ วต โน ภควา ทุกฺขธมฺมานํ อปหตฺตา, พหูนํ วต โน ภควา สุขธมฺมานํ อุปหตฺตา; พหูนํ วต โน ภควา อกุสลานํ ธมฺมานํ อปหตฺตา, พหูนํ วต โน ภควา กุสลานํ ธมฺมานํ อุปหตฺตา’’’ติฯ

    149. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā udāyī bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘idha mayhaṃ, bhante, rahogatassa paṭisallīnassa evaṃ cetaso parivitakko udapādi – ‘bahūnaṃ vata no bhagavā dukkhadhammānaṃ apahattā, bahūnaṃ vata no bhagavā sukhadhammānaṃ upahattā; bahūnaṃ vata no bhagavā akusalānaṃ dhammānaṃ apahattā, bahūnaṃ vata no bhagavā kusalānaṃ dhammānaṃ upahattā’ti. Mayañhi, bhante, pubbe sāyañceva bhuñjāma pāto ca divā ca vikāle. Ahu kho so, bhante, samayo yaṃ bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘iṅgha tumhe, bhikkhave, etaṃ divāvikālabhojanaṃ pajahathā’ti. Tassa mayhaṃ, bhante, ahudeva aññathattaṃ, ahudeva 10 domanassaṃ – ‘yampi no saddhā gahapatikā divā vikāle paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ denti tassapi no bhagavā pahānamāha, tassapi no sugato paṭinissaggamāhā’ti. Te mayaṃ, bhante, bhagavati pemañca gāravañca hiriñca ottappañca sampassamānā evaṃ taṃ divāvikālabhojanaṃ pajahimhā. Te mayaṃ, bhante, sāyañceva bhuñjāma pāto ca. Ahu kho so, bhante, samayo yaṃ bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘iṅgha tumhe, bhikkhave, etaṃ rattiṃvikālabhojanaṃ pajahathā’ti. Tassa mayhaṃ, bhante, ahudeva aññathattaṃ ahudeva domanassaṃ – ‘yampi no imesaṃ dvinnaṃ bhattānaṃ paṇītasaṅkhātataraṃ tassapi no bhagavā pahānamāha, tassapi no sugato paṭinissaggamāhā’ti. Bhūtapubbaṃ, bhante, aññataro puriso divā sūpeyyaṃ labhitvā evamāha – ‘handa ca imaṃ nikkhipatha, sāyaṃ sabbeva samaggā bhuñjissāmā’ti. Yā kāci, bhante, saṅkhatiyo sabbā tā rattiṃ, appā divā. Te mayaṃ, bhante, bhagavati pemañca gāravañca hiriñca ottappañca sampassamānā evaṃ taṃ rattiṃvikālabhojanaṃ pajahimhā. Bhūtapubbaṃ, bhante, bhikkhū rattandhakāratimisāyaṃ piṇḍāya carantā candanikampi pavisanti, oligallepi papatanti, kaṇṭakāvāṭampi 11 ārohanti, suttampi gāviṃ ārohanti, māṇavehipi samāgacchanti katakammehipi akatakammehipi, mātugāmopi te 12 asaddhammena nimanteti. Bhūtapubbāhaṃ, bhante, rattandhakāratimisāyaṃ piṇḍāya carāmi. Addasā kho maṃ, bhante, aññatarā itthī vijjantarikāya bhājanaṃ dhovantī. Disvā maṃ bhītā vissaramakāsi – ‘abhumme 13 pisāco vata ma’nti! Evaṃ vutte, ahaṃ, bhante, taṃ itthiṃ etadavocaṃ – ‘nāhaṃ, bhagini, pisāco; bhikkhu piṇḍāya ṭhito’ti. ‘Bhikkhussa ātumārī, bhikkhussa mātumārī 14! Varaṃ te, bhikkhu, tiṇhena govikantanena kucchi parikanto, na tveva varaṃ yaṃ 15 rattandhakāratimisāyaṃ kucchihetu piṇḍāya carasī’ti 16. Tassa mayhaṃ, bhante, tadanussarato evaṃ hoti – ‘bahūnaṃ vata no bhagavā dukkhadhammānaṃ apahattā, bahūnaṃ vata no bhagavā sukhadhammānaṃ upahattā; bahūnaṃ vata no bhagavā akusalānaṃ dhammānaṃ apahattā, bahūnaṃ vata no bhagavā kusalānaṃ dhammānaṃ upahattā’’’ti.

    ๑๕๐. ‘‘เอวเมว ปนุทายิ, อิเธกเจฺจ โมฆปุริสา ‘อิทํ ปชหถา’ติ มยา วุจฺจมานา เต เอวมาหํสุ – ‘กิํ ปนิมสฺส อปฺปมตฺตกสฺส โอรมตฺตกสฺส อธิสลฺลิขเตวายํ สมโณ’ติฯ เต ตเญฺจว นปฺปชหนฺติ, มยิ จ อปฺปจฺจยํ อุปฎฺฐาเปนฺติฯ เย จ ภิกฺขู สิกฺขากามา เตสํ ตํ, อุทายิ, โหติ พลวํ พนฺธนํ, ทฬฺหํ พนฺธนํ, ถิรํ พนฺธนํ, อปูติกํ พนฺธนํ, ถูโล, กลิงฺคโร – เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ลฎุกิกา สกุณิกา ปูติลตาย พนฺธเนน พทฺธา ตเตฺถว วธํ วา พนฺธํ วา มรณํ วา อาคเมติฯ โย นุ โข, อุทายิ, เอวํ วเทยฺย – ‘เยน สา ลฎุกิกา สกุณิกา ปูติลตาย พนฺธเนน พทฺธา ตเตฺถว วธํ วา พนฺธํ วา มรณํ วา อาคเมติ, ตญฺหิ ตสฺสา อพลํ พนฺธนํ , ทุพฺพลํ พนฺธนํ, ปูติกํ พนฺธนํ, อสารกํ พนฺธน’นฺติ; สมฺมา นุ โข โส, อุทายิ, วทมาโน วเทยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺตฯ เยน สา, ภเนฺต, ลฎุกิกา สกุณิกา ปูติลตาย พนฺธเนน พทฺธา ตเตฺถว วธํ วา พนฺธํ วา มรณํ วา อาคเมติ, ตญฺหิ ตสฺสา พลวํ พนฺธนํ, ทฬฺหํ พนฺธนํ, ถิรํ พนฺธนํ อปูติกํ พนฺธนํ, ถูโล, กลิงฺคโร’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, อุทายิ, อิเธกเจฺจ โมฆปุริสา ‘อิทํ ปชหถา’ติ มยา วุจฺจมานา เต เอวมาหํสุ – ‘กิํ ปนิมสฺส อปฺปมตฺตกสฺส โอรมตฺตกสฺส อธิสลฺลิขเตวายํ สมโณ’ติ? เต ตเญฺจว นปฺปชหนฺติ, มยิ จ อปฺปจฺจยํ อุปฎฺฐาเปนฺติฯ เย จ ภิกฺขู สิกฺขากามา เตสํ ตํ, อุทายิ, โหติ พลวํ พนฺธนํ, ทฬฺหํ พนฺธนํ, ถิรํ พนฺธนํ, อปูติกํ พนฺธนํ, ถูโล, กลิงฺคโร’’ฯ

    150. ‘‘Evameva panudāyi, idhekacce moghapurisā ‘idaṃ pajahathā’ti mayā vuccamānā te evamāhaṃsu – ‘kiṃ panimassa appamattakassa oramattakassa adhisallikhatevāyaṃ samaṇo’ti. Te tañceva nappajahanti, mayi ca appaccayaṃ upaṭṭhāpenti. Ye ca bhikkhū sikkhākāmā tesaṃ taṃ, udāyi, hoti balavaṃ bandhanaṃ, daḷhaṃ bandhanaṃ, thiraṃ bandhanaṃ, apūtikaṃ bandhanaṃ, thūlo, kaliṅgaro – seyyathāpi, udāyi, laṭukikā sakuṇikā pūtilatāya bandhanena baddhā tattheva vadhaṃ vā bandhaṃ vā maraṇaṃ vā āgameti. Yo nu kho, udāyi, evaṃ vadeyya – ‘yena sā laṭukikā sakuṇikā pūtilatāya bandhanena baddhā tattheva vadhaṃ vā bandhaṃ vā maraṇaṃ vā āgameti, tañhi tassā abalaṃ bandhanaṃ , dubbalaṃ bandhanaṃ, pūtikaṃ bandhanaṃ, asārakaṃ bandhana’nti; sammā nu kho so, udāyi, vadamāno vadeyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante. Yena sā, bhante, laṭukikā sakuṇikā pūtilatāya bandhanena baddhā tattheva vadhaṃ vā bandhaṃ vā maraṇaṃ vā āgameti, tañhi tassā balavaṃ bandhanaṃ, daḷhaṃ bandhanaṃ, thiraṃ bandhanaṃ apūtikaṃ bandhanaṃ, thūlo, kaliṅgaro’’ti. ‘‘Evameva kho, udāyi, idhekacce moghapurisā ‘idaṃ pajahathā’ti mayā vuccamānā te evamāhaṃsu – ‘kiṃ panimassa appamattakassa oramattakassa adhisallikhatevāyaṃ samaṇo’ti? Te tañceva nappajahanti, mayi ca appaccayaṃ upaṭṭhāpenti. Ye ca bhikkhū sikkhākāmā tesaṃ taṃ, udāyi, hoti balavaṃ bandhanaṃ, daḷhaṃ bandhanaṃ, thiraṃ bandhanaṃ, apūtikaṃ bandhanaṃ, thūlo, kaliṅgaro’’.

    ๑๕๑. ‘‘อิธ ปนุทายิ, เอกเจฺจ กุลปุตฺตา ‘อิทํ ปชหถา’ติ มยา วุจฺจมานา เต เอวมาหํสุ – ‘กิํ ปนิมสฺส อปฺปมตฺตกสฺส โอรมตฺตกสฺส ปหาตพฺพสฺส ยสฺส โน ภควา ปหานมาห, ยสฺส โน สุคโต ปฎินิสฺสคฺคมาหา’ติ? เต ตเญฺจว ปชหนฺติ, มยิ จ น อปฺปจฺจยํ อุปฎฺฐาเปนฺติฯ เย จ ภิกฺขู สิกฺขากามา เต ตํ ปหาย อโปฺปสฺสุกฺกา ปนฺนโลมา ปรทตฺตวุตฺตา 17 มิคภูเตน เจตสา วิหรนฺติฯ เตสํ ตํ, อุทายิ, โหติ อพลํ พนฺธนํ, ทุพฺพลํ พนฺธนํ, ปูติกํ พนฺธนํ, อสารกํ พนฺธนํ – เสยฺยถาปิ, อุทายิ, รโญฺญ นาโค อีสาทโนฺต อุรูฬฺหวา อภิชาโต สงฺคามาวจโร ทเฬฺหหิ วรเตฺตหิ พนฺธเนหิ พโทฺธ อีสกํเยว กายํ สนฺนาเมตฺวา ตานิ พนฺธนานิ สํฉินฺทิตฺวา สํปทาเลตฺวา เยน กามํ ปกฺกมติฯ โย นุ โข, อุทายิ, เอวํ วเทยฺย – ‘เยหิ โส รโญฺญ นาโค อีสาทโนฺต อุรูฬฺหวา อภิชาโต สงฺคามาวจโร ทเฬฺหหิ วรเตฺตหิ พนฺธเนหิ พโทฺธ อีสกํเยว กายํ สนฺนาเมตฺวา ตานิ พนฺธนานิ สํฉินฺทิตฺวา สํปทาเลตฺวา เยน กามํ ปกฺกมติ, ตญฺหิ ตสฺส พลวํ พนฺธนํ, ทฬฺหํ พนฺธนํ, ถิรํ พนฺธนํ, อปูติกํ พนฺธนํ, ถูโล, กลิงฺคโร’ติ; สมฺมา นุ โข โส, อุทายิ, วทมาโน วเทยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺตฯ เยหิ โส, ภเนฺต, รโญฺญ นาโค อีสาทโนฺต อุรูฬฺหวา อภิชาโต สงฺคามาวจโร ทเฬฺหหิ วรเตฺตหิ พนฺธเนหิ พโทฺธ อีสกํเยว กายํ สนฺนาเมตฺวา ตานิ พนฺธนานิ สํฉินฺทิตฺวา สํปทาเลตฺวา เยน กามํ ปกฺกมติ, ตญฺหิ ตสฺส อพลํ พนฺธนํ…เป.… อสารกํ พนฺธน’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, อุทายิ, อิเธกเจฺจ กุลปุตฺตา ‘อิทํ ปชหถา’ติ มยา วุจฺจมานา เต เอวมาหํสุ – ‘กิํ ปนิมสฺส อปฺปมตฺตกสฺส โอรมตฺตกสฺส ปหาตพฺพสฺส ยสฺส โน ภควา ปหานมาห, ยสฺส โน สุคโต ปฎินิสฺสคฺคมาหา’ติ? เต ตเญฺจว ปชหนฺติ, มยิ จ น อปฺปจฺจยํ อุปฎฺฐาเปนฺติฯ เย จ ภิกฺขู สิกฺขากามา เต ตํ ปหาย อโปฺปสฺสุกฺกา ปนฺนโลมา ปรทตฺตวุตฺตา มิคภูเตน เจตสา วิหรนฺติฯ เตสํ ตํ, อุทายิ, โหติ อพลํ พนฺธนํ, ทุพฺพลํ พนฺธนํ, ปูติกํ พนฺธนํ, อสารกํ พนฺธนํ’’ฯ

    151. ‘‘Idha panudāyi, ekacce kulaputtā ‘idaṃ pajahathā’ti mayā vuccamānā te evamāhaṃsu – ‘kiṃ panimassa appamattakassa oramattakassa pahātabbassa yassa no bhagavā pahānamāha, yassa no sugato paṭinissaggamāhā’ti? Te tañceva pajahanti, mayi ca na appaccayaṃ upaṭṭhāpenti. Ye ca bhikkhū sikkhākāmā te taṃ pahāya appossukkā pannalomā paradattavuttā 18 migabhūtena cetasā viharanti. Tesaṃ taṃ, udāyi, hoti abalaṃ bandhanaṃ, dubbalaṃ bandhanaṃ, pūtikaṃ bandhanaṃ, asārakaṃ bandhanaṃ – seyyathāpi, udāyi, rañño nāgo īsādanto urūḷhavā abhijāto saṅgāmāvacaro daḷhehi varattehi bandhanehi baddho īsakaṃyeva kāyaṃ sannāmetvā tāni bandhanāni saṃchinditvā saṃpadāletvā yena kāmaṃ pakkamati. Yo nu kho, udāyi, evaṃ vadeyya – ‘yehi so rañño nāgo īsādanto urūḷhavā abhijāto saṅgāmāvacaro daḷhehi varattehi bandhanehi baddho īsakaṃyeva kāyaṃ sannāmetvā tāni bandhanāni saṃchinditvā saṃpadāletvā yena kāmaṃ pakkamati, tañhi tassa balavaṃ bandhanaṃ, daḷhaṃ bandhanaṃ, thiraṃ bandhanaṃ, apūtikaṃ bandhanaṃ, thūlo, kaliṅgaro’ti; sammā nu kho so, udāyi, vadamāno vadeyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante. Yehi so, bhante, rañño nāgo īsādanto urūḷhavā abhijāto saṅgāmāvacaro daḷhehi varattehi bandhanehi baddho īsakaṃyeva kāyaṃ sannāmetvā tāni bandhanāni saṃchinditvā saṃpadāletvā yena kāmaṃ pakkamati, tañhi tassa abalaṃ bandhanaṃ…pe… asārakaṃ bandhana’’nti. ‘‘Evameva kho, udāyi, idhekacce kulaputtā ‘idaṃ pajahathā’ti mayā vuccamānā te evamāhaṃsu – ‘kiṃ panimassa appamattakassa oramattakassa pahātabbassa yassa no bhagavā pahānamāha, yassa no sugato paṭinissaggamāhā’ti? Te tañceva pajahanti, mayi ca na appaccayaṃ upaṭṭhāpenti. Ye ca bhikkhū sikkhākāmā te taṃ pahāya appossukkā pannalomā paradattavuttā migabhūtena cetasā viharanti. Tesaṃ taṃ, udāyi, hoti abalaṃ bandhanaṃ, dubbalaṃ bandhanaṃ, pūtikaṃ bandhanaṃ, asārakaṃ bandhanaṃ’’.

    ๑๕๒. ‘‘เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส ทลิโทฺท อสฺสโก อนาฬฺหิโย; ตสฺส’สฺส เอกํ อคารกํ โอลุคฺควิลุคฺคํ กากาติทายิํ 19 นปรมรูปํ, เอกา ขโฎปิกา 20 โอลุคฺควิลุคฺคา นปรมรูปา, เอกิสฺสา กุมฺภิยา ธญฺญสมวาปกํ นปรมรูปํ, เอกา ชายิกา นปรมรูปาฯ โส อารามคตํ ภิกฺขุํ ปเสฺสยฺย สุโธตหตฺถปาทํ มนุญฺญํ โภชนํ ภุตฺตาวิํ สีตาย ฉายาย นิสินฺนํ อธิจิเตฺต ยุตฺตํฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘สุขํ วต, โภ, สามญฺญํ, อาโรคฺยํ วต, โภ, สามญฺญํ! โส วตสฺสํ 21 โยหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’นฺติฯ โส น สกฺกุเณยฺย เอกํ อคารกํ โอลุคฺควิลุคฺคํ กากาติทายิํ นปรมรูปํ ปหาย, เอกํ ขโฎปิกํ โอลุคฺควิลุคฺคํ นปรมรูปํ ปหาย, เอกิสฺสา กุมฺภิยา ธญฺญสมวาปกํ นปรมรูปํ ปหาย, เอกํ ชายิกํ นปรมรูปํ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุํฯ โย นุ โข, อุทายิ, เอวํ วเทยฺย – ‘เยหิ โส ปุริโส พนฺธเนหิ พโทฺธ น สโกฺกติ เอกํ อคารกํ โอลุคฺควิลุคฺคํ กากาติทายิํ นปรมรูปํ ปหาย, เอกํ ขโฎปิกํ โอลุคฺควิลุคฺคํ นปรมรูปํ ปหาย, เอกิสฺสา กุมฺภิยา ธญฺญสมวาปกํ นปรมรูปํ ปหาย, เอกํ ชายิกํ นปรมรูปํ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุํ; ตญฺหิ ตสฺส อพลํ พนฺธนํ, ทุพฺพลํ พนฺธนํ, ปูติกํ พนฺธนํ, อสารกํ พนฺธน’นฺติ; สมฺมา นุ โข โส, อุทายิ, วทมาโน วเทยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺตฯ เยหิ โส, ภเนฺต, ปุริโส พนฺธเนหิ พโทฺธ, น สโกฺกติ เอกํ อคารกํ โอลุคฺควิลุคฺคํ กากาติทายิํ นปรมรูปํ ปหาย, เอกํ ขโฎปิกํ โอลุคฺควิลุคฺคํ นปรมรูปํ ปหาย, เอกิสฺสา กุมฺภิยา ธญฺญสมวาปกํ นปรมรูปํ ปหาย, เอกํ ชายิกํ นปรมรูปํ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุํ; ตญฺหิ ตสฺส พลวํ พนฺธนํ, ทฬฺหํ พนฺธนํ, ถิรํ พนฺธนํ, อปูติกํ พนฺธนํ, ถูโล, กลิงฺคโร’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, อุทายิ, อิเธกเจฺจ โมฆปุริสา ‘อิทํ ปชหถา’ติ มยา วุจฺจมานา เต เอวมาหํสุ – ‘กิํ ปนิมสฺส อปฺปมตฺตกสฺส โอรมตฺตกสฺส อธิสลฺลิขเตวายํ สมโณ’ติ? เต ตเญฺจว นปฺปชหนฺติ, มยิ จ อปฺปจฺจยํ อุปฎฺฐาเปนฺติฯ เย จ ภิกฺขู สิกฺขากามา เตสํ ตํ, อุทายิ, โหติ พลวํ พนฺธนํ, ทฬฺหํ พนฺธนํ, ถิรํ พนฺธนํ, อปูติกํ พนฺธนํ, ถูโล, กลิงฺคโร’’ฯ

    152. ‘‘Seyyathāpi, udāyi, puriso daliddo assako anāḷhiyo; tassa’ssa ekaṃ agārakaṃ oluggaviluggaṃ kākātidāyiṃ 22 naparamarūpaṃ, ekā khaṭopikā 23 oluggaviluggā naparamarūpā, ekissā kumbhiyā dhaññasamavāpakaṃ naparamarūpaṃ, ekā jāyikā naparamarūpā. So ārāmagataṃ bhikkhuṃ passeyya sudhotahatthapādaṃ manuññaṃ bhojanaṃ bhuttāviṃ sītāya chāyāya nisinnaṃ adhicitte yuttaṃ. Tassa evamassa – ‘sukhaṃ vata, bho, sāmaññaṃ, ārogyaṃ vata, bho, sāmaññaṃ! So vatassaṃ 24 yohaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya’nti. So na sakkuṇeyya ekaṃ agārakaṃ oluggaviluggaṃ kākātidāyiṃ naparamarūpaṃ pahāya, ekaṃ khaṭopikaṃ oluggaviluggaṃ naparamarūpaṃ pahāya, ekissā kumbhiyā dhaññasamavāpakaṃ naparamarūpaṃ pahāya, ekaṃ jāyikaṃ naparamarūpaṃ pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajituṃ. Yo nu kho, udāyi, evaṃ vadeyya – ‘yehi so puriso bandhanehi baddho na sakkoti ekaṃ agārakaṃ oluggaviluggaṃ kākātidāyiṃ naparamarūpaṃ pahāya, ekaṃ khaṭopikaṃ oluggaviluggaṃ naparamarūpaṃ pahāya, ekissā kumbhiyā dhaññasamavāpakaṃ naparamarūpaṃ pahāya, ekaṃ jāyikaṃ naparamarūpaṃ pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajituṃ; tañhi tassa abalaṃ bandhanaṃ, dubbalaṃ bandhanaṃ, pūtikaṃ bandhanaṃ, asārakaṃ bandhana’nti; sammā nu kho so, udāyi, vadamāno vadeyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante. Yehi so, bhante, puriso bandhanehi baddho, na sakkoti ekaṃ agārakaṃ oluggaviluggaṃ kākātidāyiṃ naparamarūpaṃ pahāya, ekaṃ khaṭopikaṃ oluggaviluggaṃ naparamarūpaṃ pahāya, ekissā kumbhiyā dhaññasamavāpakaṃ naparamarūpaṃ pahāya, ekaṃ jāyikaṃ naparamarūpaṃ pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajituṃ; tañhi tassa balavaṃ bandhanaṃ, daḷhaṃ bandhanaṃ, thiraṃ bandhanaṃ, apūtikaṃ bandhanaṃ, thūlo, kaliṅgaro’’ti. ‘‘Evameva kho, udāyi, idhekacce moghapurisā ‘idaṃ pajahathā’ti mayā vuccamānā te evamāhaṃsu – ‘kiṃ panimassa appamattakassa oramattakassa adhisallikhatevāyaṃ samaṇo’ti? Te tañceva nappajahanti, mayi ca appaccayaṃ upaṭṭhāpenti. Ye ca bhikkhū sikkhākāmā tesaṃ taṃ, udāyi, hoti balavaṃ bandhanaṃ, daḷhaṃ bandhanaṃ, thiraṃ bandhanaṃ, apūtikaṃ bandhanaṃ, thūlo, kaliṅgaro’’.

    ๑๕๓. ‘‘เสยฺยถาปิ , อุทายิ, คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อโฑฺฒ มหทฺธโน มหาโภโค, เนกานํ นิกฺขคณานํ จโย, เนกานํ ธญฺญคณานํ จโย, เนกานํ เขตฺตคณานํ จโย, เนกานํ วตฺถุคณานํ จโย, เนกานํ ภริยคณานํ จโย, เนกานํ ทาสคณานํ จโย, เนกานํ ทาสิคณานํ จโย; โส อารามคตํ ภิกฺขุํ ปเสฺสยฺย สุโธตหตฺถปาทํ มนุญฺญํ โภชนํ ภุตฺตาวิํ สีตาย ฉายาย นิสินฺนํ อธิจิเตฺต ยุตฺตํฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘สุขํ วต, โภ, สามญฺญํ, อาโรคฺยํ วต, โภ, สามญฺญํ! โส วตสฺสํ โยหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’นฺติฯ โส สกฺกุเณยฺย เนกานิ นิกฺขคณานิ ปหาย, เนกานิ ธญฺญคณานิ ปหาย, เนกานิ เขตฺตคณานิ ปหาย, เนกานิ วตฺถุคณานิ ปหาย, เนกานิ ภริยคณานิ ปหาย, เนกานิ ทาสคณานิ ปหาย, เนกานิ ทาสิคณานิ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุํฯ โย นุ โข, อุทายิ, เอวํ วเทยฺย – ‘เยหิ โส คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา พนฺธเนหิ พโทฺธ, สโกฺกติ เนกานิ นิกฺขคณานิ ปหาย, เนกานิ ธญฺญคณานิ ปหาย, เนกานิ เขตฺตคณานิ ปหาย, เนกานิ วตฺถุคณานิ ปหาย, เนกานิ ภริยคณานิ ปหาย, เนกานิ ทาสคณานิ ปหาย, เนกานิ ทาสิคณานิ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุํ, ตญฺหิ ตสฺส พลวํ พนฺธนํ, ทฬฺหํ พนฺธนํ, ถิรํ พนฺธนํ, อปูติกํ พนฺธนํ, ถูโล, กลิงฺคโร’ติ; สมฺมา นุ โข โส, อุทายิ, วทมาโน วเทยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺตฯ เยหิ โส, ภเนฺต, คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา พนฺธเนหิ พโทฺธ, สโกฺกติ เนกานิ นิกฺขคณานิ ปหาย, เนกานิ ธญฺญคณานิ ปหาย, เนกานิ เขตฺตคณานิ ปหาย, เนกานิ วตฺถุคณานิ ปหาย, เนกานิ ภริยคณานิ ปหาย, เนกานิ ทาสคณานิ ปหาย, เนกานิ ทาสิคณานิ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตุํ; ตญฺหิ ตสฺส อพลํ พนฺธนํ, ทุพฺพลํ พนฺธนํ, ปูติกํ พนฺธนํ, อสารกํ พนฺธน’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, อุทายิ, อิเธกเจฺจ กุลปุตฺตา ‘อิทํ ปชหถา’ติ มยา วุจฺจมานา เต เอวมาหํสุ – ‘กิํ ปนิมสฺส อปฺปมตฺตกสฺส โอรมตฺตกสฺส ปหาตพฺพสฺส ยสฺส โน ภควา ปหานมาห ยสฺส, โน สุคโต ปฎินิสฺสคฺคมาหา’ติ? เต ตเญฺจว ปชหนฺติ, มยิ จ น อปฺปจฺจยํ อุปฎฺฐาเปนฺติฯ เย จ ภิกฺขู สิกฺขากามา เต ตํ ปหาย อโปฺปสฺสุกฺกา ปนฺนโลมา ปรทตฺตวุตฺตา มิคภูเตน เจตสา วิหรนฺติฯ เตสํ ตํ, อุทายิ, โหติ อพลํ พนฺธนํ, ทุพฺพลํ พนฺธนํ, ปูติกํ พนฺธนํ, อสารกํ พนฺธนํ’’ฯ

    153. ‘‘Seyyathāpi , udāyi, gahapati vā gahapatiputto vā aḍḍho mahaddhano mahābhogo, nekānaṃ nikkhagaṇānaṃ cayo, nekānaṃ dhaññagaṇānaṃ cayo, nekānaṃ khettagaṇānaṃ cayo, nekānaṃ vatthugaṇānaṃ cayo, nekānaṃ bhariyagaṇānaṃ cayo, nekānaṃ dāsagaṇānaṃ cayo, nekānaṃ dāsigaṇānaṃ cayo; so ārāmagataṃ bhikkhuṃ passeyya sudhotahatthapādaṃ manuññaṃ bhojanaṃ bhuttāviṃ sītāya chāyāya nisinnaṃ adhicitte yuttaṃ. Tassa evamassa – ‘sukhaṃ vata, bho, sāmaññaṃ, ārogyaṃ vata, bho, sāmaññaṃ! So vatassaṃ yohaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya’nti. So sakkuṇeyya nekāni nikkhagaṇāni pahāya, nekāni dhaññagaṇāni pahāya, nekāni khettagaṇāni pahāya, nekāni vatthugaṇāni pahāya, nekāni bhariyagaṇāni pahāya, nekāni dāsagaṇāni pahāya, nekāni dāsigaṇāni pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajituṃ. Yo nu kho, udāyi, evaṃ vadeyya – ‘yehi so gahapati vā gahapatiputto vā bandhanehi baddho, sakkoti nekāni nikkhagaṇāni pahāya, nekāni dhaññagaṇāni pahāya, nekāni khettagaṇāni pahāya, nekāni vatthugaṇāni pahāya, nekāni bhariyagaṇāni pahāya, nekāni dāsagaṇāni pahāya, nekāni dāsigaṇāni pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajituṃ, tañhi tassa balavaṃ bandhanaṃ, daḷhaṃ bandhanaṃ, thiraṃ bandhanaṃ, apūtikaṃ bandhanaṃ, thūlo, kaliṅgaro’ti; sammā nu kho so, udāyi, vadamāno vadeyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante. Yehi so, bhante, gahapati vā gahapatiputto vā bandhanehi baddho, sakkoti nekāni nikkhagaṇāni pahāya, nekāni dhaññagaṇāni pahāya, nekāni khettagaṇāni pahāya, nekāni vatthugaṇāni pahāya, nekāni bhariyagaṇāni pahāya, nekāni dāsagaṇāni pahāya, nekāni dāsigaṇāni pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajituṃ; tañhi tassa abalaṃ bandhanaṃ, dubbalaṃ bandhanaṃ, pūtikaṃ bandhanaṃ, asārakaṃ bandhana’’nti. ‘‘Evameva kho, udāyi, idhekacce kulaputtā ‘idaṃ pajahathā’ti mayā vuccamānā te evamāhaṃsu – ‘kiṃ panimassa appamattakassa oramattakassa pahātabbassa yassa no bhagavā pahānamāha yassa, no sugato paṭinissaggamāhā’ti? Te tañceva pajahanti, mayi ca na appaccayaṃ upaṭṭhāpenti. Ye ca bhikkhū sikkhākāmā te taṃ pahāya appossukkā pannalomā paradattavuttā migabhūtena cetasā viharanti. Tesaṃ taṃ, udāyi, hoti abalaṃ bandhanaṃ, dubbalaṃ bandhanaṃ, pūtikaṃ bandhanaṃ, asārakaṃ bandhanaṃ’’.

    ๑๕๔. ‘‘จตฺตาโรเม , อุทายิ, ปุคฺคลา สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ กตเม จตฺตาโร? อิธุทายิ, เอกโจฺจ ปุคฺคโล อุปธิปหานาย ปฎิปโนฺน โหติ อุปธิปฎินิสฺสคฺคายฯ ตเมนํ อุปธิปหานาย ปฎิปนฺนํ อุปธิปฎินิสฺสคฺคาย อุปธิปฎิสํยุตฺตา สรสงฺกปฺปา สมุทาจรนฺติฯ โส เต อธิวาเสติ, นปฺปชหติ, น วิโนเทติ, น พฺยนฺตีกโรติ, น อนภาวํ คเมติฯ อิมํ โข อหํ, อุทายิ, ปุคฺคลํ ‘สํยุโตฺต’ติ วทามิ โน ‘วิสํยุโตฺต’ฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อินฺทฺริยเวมตฺตตา หิ เม, อุทายิ, อิมสฺมิํ ปุคฺคเล วิทิตาฯ

    154. ‘‘Cattārome , udāyi, puggalā santo saṃvijjamānā lokasmiṃ. Katame cattāro? Idhudāyi, ekacco puggalo upadhipahānāya paṭipanno hoti upadhipaṭinissaggāya. Tamenaṃ upadhipahānāya paṭipannaṃ upadhipaṭinissaggāya upadhipaṭisaṃyuttā sarasaṅkappā samudācaranti. So te adhivāseti, nappajahati, na vinodeti, na byantīkaroti, na anabhāvaṃ gameti. Imaṃ kho ahaṃ, udāyi, puggalaṃ ‘saṃyutto’ti vadāmi no ‘visaṃyutto’. Taṃ kissa hetu? Indriyavemattatā hi me, udāyi, imasmiṃ puggale viditā.

    ‘‘อิธ ปนุทายิ, เอกโจฺจ ปุคฺคโล อุปธิปหานาย ปฎิปโนฺน โหติ อุปธิปฎินิสฺสคฺคายฯ ตเมนํ อุปธิปหานาย ปฎิปนฺนํ อุปธิปฎินิสฺสคฺคาย อุปธิปฎิสํยุตฺตา สรสงฺกปฺปา สมุทาจรนฺติฯ โส เต นาธิวาเสติ, ปชหติ, วิโนเทติ, พฺยนฺตีกโรติ, อนภาวํ คเมติฯ อิมมฺปิ โข อหํ, อุทายิ , ปุคฺคลํ ‘สํยุโตฺต’ติ วทามิ โน ‘วิสํยุโตฺต’ฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อินฺทฺริยเวมตฺตตา หิ เม, อุทายิ, อิมสฺมิํ ปุคฺคเล วิทิตาฯ

    ‘‘Idha panudāyi, ekacco puggalo upadhipahānāya paṭipanno hoti upadhipaṭinissaggāya. Tamenaṃ upadhipahānāya paṭipannaṃ upadhipaṭinissaggāya upadhipaṭisaṃyuttā sarasaṅkappā samudācaranti. So te nādhivāseti, pajahati, vinodeti, byantīkaroti, anabhāvaṃ gameti. Imampi kho ahaṃ, udāyi , puggalaṃ ‘saṃyutto’ti vadāmi no ‘visaṃyutto’. Taṃ kissa hetu? Indriyavemattatā hi me, udāyi, imasmiṃ puggale viditā.

    ‘‘อิธ ปนุทายิ, เอกโจฺจ ปุคฺคโล อุปธิปหานาย ปฎิปโนฺน โหติ อุปธิปฎินิสฺสคฺคายฯ ตเมนํ อุปธิปหานาย ปฎิปนฺนํ อุปธิปฎินิสฺสคฺคาย กทาจิ กรหจิ สติสโมฺมสา อุปธิปฎิสํยุตฺตา สรสงฺกปฺปา สมุทาจรนฺติ; ทโนฺธ, อุทายิ, สตุปฺปาโทฯ อถ โข นํ ขิปฺปเมว ปชหติ, วิโนเทติ, พฺยนฺตีกโรติ, อนภาวํ คเมติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส ทิวสํสนฺตเตฺต 25 อโยกฎาเห เทฺว วา ตีณิ วา อุทกผุสิตานิ นิปาเตยฺย; ทโนฺธ, อุทายิ, อุทกผุสิตานํ นิปาโตฯ อถ โข นํ ขิปฺปเมว ปริกฺขยํ ปริยาทานํ คเจฺฉยฺยฯ เอวเมว โข, อุทายิ, อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล อุปธิปหานาย ปฎิปโนฺน โหติ อุปธิปฎินิสฺสคฺคายฯ ตเมนํ อุปธิปหานาย ปฎิปนฺนํ อุปธิปฎินิสฺสคฺคาย กทาจิ กรหจิ สติสโมฺมสา อุปธิปฎิสํยุตฺตา สรสงฺกปฺปา สมุทาจรนฺติ; ทโนฺธ, อุทายิ, สตุปฺปาโทฯ อถ โข นํ ขิปฺปเมว ปชหติ, วิโนเทติ, พฺยนฺตีกโรติ, อนภาวํ คเมติฯ อิมมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, ปุคฺคลํ ‘สํยุโตฺต’ติ วทามิ โน ‘วิสํยุโตฺต’ฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อินฺทฺริยเวมตฺตตา หิ เม, อุทายิ, อิมสฺมิํ ปุคฺคเล วิทิตาฯ

    ‘‘Idha panudāyi, ekacco puggalo upadhipahānāya paṭipanno hoti upadhipaṭinissaggāya. Tamenaṃ upadhipahānāya paṭipannaṃ upadhipaṭinissaggāya kadāci karahaci satisammosā upadhipaṭisaṃyuttā sarasaṅkappā samudācaranti; dandho, udāyi, satuppādo. Atha kho naṃ khippameva pajahati, vinodeti, byantīkaroti, anabhāvaṃ gameti. Seyyathāpi, udāyi, puriso divasaṃsantatte 26 ayokaṭāhe dve vā tīṇi vā udakaphusitāni nipāteyya; dandho, udāyi, udakaphusitānaṃ nipāto. Atha kho naṃ khippameva parikkhayaṃ pariyādānaṃ gaccheyya. Evameva kho, udāyi, idhekacco puggalo upadhipahānāya paṭipanno hoti upadhipaṭinissaggāya. Tamenaṃ upadhipahānāya paṭipannaṃ upadhipaṭinissaggāya kadāci karahaci satisammosā upadhipaṭisaṃyuttā sarasaṅkappā samudācaranti; dandho, udāyi, satuppādo. Atha kho naṃ khippameva pajahati, vinodeti, byantīkaroti, anabhāvaṃ gameti. Imampi kho ahaṃ, udāyi, puggalaṃ ‘saṃyutto’ti vadāmi no ‘visaṃyutto’. Taṃ kissa hetu? Indriyavemattatā hi me, udāyi, imasmiṃ puggale viditā.

    ‘‘อิธ ปนุทายิ, เอกโจฺจ ปุคฺคโล ‘อุปธิ ทุกฺขสฺส มูล’นฺติ – อิติ วิทิตฺวา นิรุปธิ โหติ, อุปธิสงฺขเย วิมุโตฺตฯ อิมํ โข อหํ, อุทายิ, ปุคฺคลํ ‘วิสํยุโตฺต’ติ วทามิ โน ‘สํยุโตฺต’ติ ฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อินฺทฺริยเวมตฺตตา หิ เม, อุทายิ, อิมสฺมิํ ปุคฺคเล วิทิตาฯ อิเม โข, อุทายิ, จตฺตาโร ปุคฺคลา สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ

    ‘‘Idha panudāyi, ekacco puggalo ‘upadhi dukkhassa mūla’nti – iti viditvā nirupadhi hoti, upadhisaṅkhaye vimutto. Imaṃ kho ahaṃ, udāyi, puggalaṃ ‘visaṃyutto’ti vadāmi no ‘saṃyutto’ti . Taṃ kissa hetu? Indriyavemattatā hi me, udāyi, imasmiṃ puggale viditā. Ime kho, udāyi, cattāro puggalā santo saṃvijjamānā lokasmiṃ.

    ๑๕๕. ‘‘ปญฺจ โข อิเม, อุทายิ, กามคุณาฯ กตเม ปญฺจ? จกฺขุวิเญฺญยฺยา รูปา อิฎฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสํหิตา รชนียา, โสตวิเญฺญยฺยา สทฺทา…เป.… ฆานวิเญฺญยฺยา คนฺธา… ชิวฺหาวิเญฺญยฺยา รสา… กายวิเญฺญยฺยา โผฎฺฐพฺพา อิฎฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสํหิตา รชนียาฯ อิเม โข, อุทายิ, ปญฺจ กามคุณาฯ ยํ โข, อุทายิ, อิเม ปญฺจ กามคุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ อิทํ วุจฺจติ กามสุขํ มิฬฺหสุขํ 27 ปุถุชฺชนสุขํ อนริยสุขํ, น เสวิตพฺพํ, น ภาเวตพฺพํ, น พหุลีกาตพฺพํ; ‘ภายิตพฺพํ เอตสฺส สุขสฺสา’ติ วทามิฯ

    155. ‘‘Pañca kho ime, udāyi, kāmaguṇā. Katame pañca? Cakkhuviññeyyā rūpā iṭṭhā kantā manāpā piyarūpā kāmūpasaṃhitā rajanīyā, sotaviññeyyā saddā…pe… ghānaviññeyyā gandhā… jivhāviññeyyā rasā… kāyaviññeyyā phoṭṭhabbā iṭṭhā kantā manāpā piyarūpā kāmūpasaṃhitā rajanīyā. Ime kho, udāyi, pañca kāmaguṇā. Yaṃ kho, udāyi, ime pañca kāmaguṇe paṭicca uppajjati sukhaṃ somanassaṃ idaṃ vuccati kāmasukhaṃ miḷhasukhaṃ 28 puthujjanasukhaṃ anariyasukhaṃ, na sevitabbaṃ, na bhāvetabbaṃ, na bahulīkātabbaṃ; ‘bhāyitabbaṃ etassa sukhassā’ti vadāmi.

    ๑๕๖. ‘‘อิธุทายิ , ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, ปีติยา จ วิราคา… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, สุขสฺส จ ปหานา… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อิทํ วุจฺจติ เนกฺขมฺมสุขํ ปวิเวกสุขํ อุปสมสุขํ สโมฺพธสุขํ, อาเสวิตพฺพํ, ภาเวตพฺพํ, พหุลีกาตพฺพํ; ‘น ภายิตพฺพํ เอตสฺส สุขสฺสา’ติ วทามิฯ

    156. ‘‘Idhudāyi , bhikkhu vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, vitakkavicārānaṃ vūpasamā… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, pītiyā ca virāgā… tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, sukhassa ca pahānā… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Idaṃ vuccati nekkhammasukhaṃ pavivekasukhaṃ upasamasukhaṃ sambodhasukhaṃ, āsevitabbaṃ, bhāvetabbaṃ, bahulīkātabbaṃ; ‘na bhāyitabbaṃ etassa sukhassā’ti vadāmi.

    ‘‘อิธุทายิ, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; อิทํ โข อหํ, อุทายิ, อิญฺชิตสฺมิํ วทามิฯ กิญฺจ ตตฺถ อิญฺชิตสฺมิํ? ยเทว ตตฺถ วิตกฺกวิจารา อนิรุทฺธา โหนฺติ อิทํ ตตฺถ อิญฺชิตสฺมิํฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา…เป.… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; อิทมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, อิญฺชิตสฺมิํ วทามิฯ กิญฺจ ตตฺถ อิญฺชิตสฺมิํ? ยเทว ตตฺถ ปีติสุขํ อนิรุทฺธํ โหติ อิทํ ตตฺถ อิญฺชิตสฺมิํฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา…เป.… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; อิทมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, อิญฺชิตสฺมิํ วทามิฯ กิญฺจ ตตฺถ อิญฺชิตสฺมิํ? ยเทว ตตฺถ อุเปกฺขาสุขํ อนิรุทฺธํ โหติ อิทํ ตตฺถ อิญฺชิตสฺมิํฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; อิทํ โข อหํ, อุทายิ, อนิญฺชิตสฺมิํ วทามิฯ

    ‘‘Idhudāyi, bhikkhu vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; idaṃ kho ahaṃ, udāyi, iñjitasmiṃ vadāmi. Kiñca tattha iñjitasmiṃ? Yadeva tattha vitakkavicārā aniruddhā honti idaṃ tattha iñjitasmiṃ. Idhudāyi, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā…pe… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; idampi kho ahaṃ, udāyi, iñjitasmiṃ vadāmi. Kiñca tattha iñjitasmiṃ? Yadeva tattha pītisukhaṃ aniruddhaṃ hoti idaṃ tattha iñjitasmiṃ. Idhudāyi, bhikkhu pītiyā ca virāgā…pe… tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; idampi kho ahaṃ, udāyi, iñjitasmiṃ vadāmi. Kiñca tattha iñjitasmiṃ? Yadeva tattha upekkhāsukhaṃ aniruddhaṃ hoti idaṃ tattha iñjitasmiṃ. Idhudāyi, bhikkhu sukhassa ca pahānā…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; idaṃ kho ahaṃ, udāyi, aniñjitasmiṃ vadāmi.

    ‘‘อิธุทายิ , ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ; อิทํ โข อหํ, อุทายิ, ‘อนล’นฺติ วทามิ, ‘ปชหถา’ติ วทามิ, ‘สมติกฺกมถา’ติ วทามิฯ โก จ ตสฺส สมติกฺกโม? อิธุทายิ, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ตสฺส สมติกฺกโม; อิทมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, ‘อนล’นฺติ วทามิ, ‘ปชหถา’ติ วทามิ, ‘สมติกฺกมถา’ติ วทามิฯ โก จ ตสฺส สมติกฺกโม? อิธุทายิ, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ตสฺส สมติกฺกโม; อิทมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, ‘อนล’นฺติ วทามิ, ‘ปชหถา’ติ วทามิ, ‘สมติกฺกมถา’ติ วทามิฯ โก จ ตสฺส สมติกฺกโม? อิธุทายิ, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ตสฺส สมติกฺกโม; อิทมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, ‘อนล’นฺติ วทามิ, ‘ปชหถา’ติ วทามิ, ‘สมติกฺกมถา’ติ วทามิฯ โก จ ตสฺส สมติกฺกโม? อิธุทายิ, ภิกฺขุ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนโนฺต อากาโส’ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ตสฺส สมติกฺกโม; อิทมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, ‘อนล’นฺติ วทามิ, ‘ปชหถา’ติ วทามิ, ‘สมติกฺกมถา’ติ วทามิฯ โก จ ตสฺส สมติกฺกโม? อิธุทายิ, ภิกฺขุ สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณ’นฺติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ตสฺส สมติกฺกโม ; อิทมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, ‘อนล’นฺติ วทามิ, ‘ปชหถา’ติ วทามิ, ‘สมติกฺกมถา’ติ วทามิฯ โก จ ตสฺส สมติกฺกโม? อิธุทายิ, ภิกฺขุ สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี’ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ตสฺส สมติกฺกโม; อิทมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, ‘อนล’นฺติ วทามิ, ‘ปชหถา’ติ วทามิ, ‘สมติกฺกมถา’ติ วทามิฯ โก จ ตสฺส สมติกฺกโม? อิธุทายิ, ภิกฺขุ สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ตสฺส สมติกฺกโม; อิทมฺปิ โข อหํ, อุทายิ, ‘อนล’นฺติ วทามิ, ‘ปชหถา’ติ วทามิ, ‘สมติกฺกมถา’ติ วทามิฯ โก จ ตสฺส สมติกฺกโม? อิธุทายิ, ภิกฺขุ สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ตสฺส สมติกฺกโม; อิติ โข อหํ, อุทายิ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนสฺสปิ ปหานํ วทามิฯ ปสฺสสิ โน ตฺวํ, อุทายิ, ตํ สํโยชนํ อณุํ วา ถูลํ วา ยสฺสาหํ โน ปหานํ วทามี’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ติฯ

    ‘‘Idhudāyi , bhikkhu vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati; idaṃ kho ahaṃ, udāyi, ‘anala’nti vadāmi, ‘pajahathā’ti vadāmi, ‘samatikkamathā’ti vadāmi. Ko ca tassa samatikkamo? Idhudāyi, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, ayaṃ tassa samatikkamo; idampi kho ahaṃ, udāyi, ‘anala’nti vadāmi, ‘pajahathā’ti vadāmi, ‘samatikkamathā’ti vadāmi. Ko ca tassa samatikkamo? Idhudāyi, bhikkhu pītiyā ca virāgā… tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, ayaṃ tassa samatikkamo; idampi kho ahaṃ, udāyi, ‘anala’nti vadāmi, ‘pajahathā’ti vadāmi, ‘samatikkamathā’ti vadāmi. Ko ca tassa samatikkamo? Idhudāyi, bhikkhu sukhassa ca pahānā… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati, ayaṃ tassa samatikkamo; idampi kho ahaṃ, udāyi, ‘anala’nti vadāmi, ‘pajahathā’ti vadāmi, ‘samatikkamathā’ti vadāmi. Ko ca tassa samatikkamo? Idhudāyi, bhikkhu sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā ‘ananto ākāso’ti ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja viharati, ayaṃ tassa samatikkamo; idampi kho ahaṃ, udāyi, ‘anala’nti vadāmi, ‘pajahathā’ti vadāmi, ‘samatikkamathā’ti vadāmi. Ko ca tassa samatikkamo? Idhudāyi, bhikkhu sabbaso ākāsānañcāyatanaṃ samatikkamma ‘anantaṃ viññāṇa’nti viññāṇañcāyatanaṃ upasampajja viharati, ayaṃ tassa samatikkamo ; idampi kho ahaṃ, udāyi, ‘anala’nti vadāmi, ‘pajahathā’ti vadāmi, ‘samatikkamathā’ti vadāmi. Ko ca tassa samatikkamo? Idhudāyi, bhikkhu sabbaso viññāṇañcāyatanaṃ samatikkamma ‘natthi kiñcī’ti ākiñcaññāyatanaṃ upasampajja viharati, ayaṃ tassa samatikkamo; idampi kho ahaṃ, udāyi, ‘anala’nti vadāmi, ‘pajahathā’ti vadāmi, ‘samatikkamathā’ti vadāmi. Ko ca tassa samatikkamo? Idhudāyi, bhikkhu sabbaso ākiñcaññāyatanaṃ samatikkamma nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharati, ayaṃ tassa samatikkamo; idampi kho ahaṃ, udāyi, ‘anala’nti vadāmi, ‘pajahathā’ti vadāmi, ‘samatikkamathā’ti vadāmi. Ko ca tassa samatikkamo? Idhudāyi, bhikkhu sabbaso nevasaññānāsaññāyatanaṃ samatikkamma saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja viharati, ayaṃ tassa samatikkamo; iti kho ahaṃ, udāyi, nevasaññānāsaññāyatanassapi pahānaṃ vadāmi. Passasi no tvaṃ, udāyi, taṃ saṃyojanaṃ aṇuṃ vā thūlaṃ vā yassāhaṃ no pahānaṃ vadāmī’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’ti.

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อุทายี ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    Idamavoca bhagavā. Attamano āyasmā udāyī bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.

    ลฎุกิโกปมสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ฉฎฺฐํฯ

    Laṭukikopamasuttaṃ niṭṭhitaṃ chaṭṭhaṃ.







    Footnotes:
    1. พหุนฺนํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.) เอวมีทิเส อวิญฺญาณกปฺปกรเณ
    2. bahunnaṃ (sī. syā. kaṃ. pī.) evamīdise aviññāṇakappakaraṇe
    3. อหุ (สี. ปี.)
    4. กณฺฎกวตฺตมฺปิ (สี. ปี.), กณฺฎกราชิมฺปิ (สฺยา. กํ.)
    5. เตน (ก.)
    6. อพฺภุเมฺม (สี. ปี.)
    7. ฐิโต’ติฯ ภิกฺขุสฺส อาตุมาตุมารี (ก.)
    8. น เตฺวว ยา (สี. ปี.)
    9. จรสาติ (สี. ปี.)
    10. ahu (sī. pī.)
    11. kaṇṭakavattampi (sī. pī.), kaṇṭakarājimpi (syā. kaṃ.)
    12. tena (ka.)
    13. abbhumme (sī. pī.)
    14. ṭhito’ti. bhikkhussa ātumātumārī (ka.)
    15. na tveva yā (sī. pī.)
    16. carasāti (sī. pī.)
    17. ปรทวุตฺตา (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    18. paradavuttā (sī. syā. kaṃ. pī.)
    19. กากาติฑายิํ (?)
    20. กโฬปิกา (ก.)
    21. โส วตสฺส (ก.)
    22. kākātiḍāyiṃ (?)
    23. kaḷopikā (ka.)
    24. so vatassa (ka.)
    25. ทิวสสนฺตเตฺต (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    26. divasasantatte (sī. syā. kaṃ. pī.)
    27. มีฬฺหสุขํ (สี. ปี.)
    28. mīḷhasukhaṃ (sī. pī.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๖. ลฎุกิโกปมสุตฺตวณฺณนา • 6. Laṭukikopamasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๖. ลฎุกิโกปมสุตฺตวณฺณนา • 6. Laṭukikopamasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact