Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๑. เอกกนิปาโต
1. Ekakanipāto
๑. ปฐมวโคฺค
1. Paṭhamavaggo
๑. โลภสุตฺตวณฺณนา
1. Lobhasuttavaṇṇanā
๑. อิทานิ เอกธมฺมํ, ภิกฺขเว, ปชหถาติอาทินา นเยน ภควตา นิกฺขิตฺตสฺส สุตฺตสฺส วณฺณนาย โอกาโส อนุปฺปโตฺตฯ สา ปเนสา อตฺถวณฺณนา ยสฺมา สุตฺตนิเกฺขปํ วิจาเรตฺวา วุจฺจมานา ปากฎา โหติ, ตสฺมา สุตฺตนิเกฺขปํ ตาว วิจาเรสฺสามฯ จตฺตาโร หิ สุตฺตนิเกฺขปา – อตฺตชฺฌาสโย, ปรชฺฌาสโย, ปุจฺฉาวสิโก, อฎฺฐุปฺปตฺติโกติฯ ยถา หิ อเนกสตอเนกสหสฺสเภทานิปิ สุตฺตนฺตานิ สํกิเลสภาคิยาทิปฎฺฐานนเยน โสฬสวิธตํ นาติวตฺตนฺติ, เอวํ อตฺตชฺฌาสยาทิสุตฺตนิเกฺขปวเสน จตุพฺพิธตํ นาติวตฺตนฺตีติฯ ตตฺถ ยถา อตฺตชฺฌาสยสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติยา จ ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิเกหิ สทฺธิํ สํสคฺคเภโท สมฺภวติ อตฺตชฺฌาสโย จ ปรชฺฌาสโย จ, อตฺตชฺฌาสโย จ ปุจฺฉาวสิโก จ, อฎฺฐุปฺปตฺติโก จ ปรชฺฌาสโย จ, อฎฺฐุปฺปตฺติโก จ ปุจฺฉาวสิโก จาติ อชฺฌาสยปุจฺฉานุสนฺธิสมฺภวโต; เอวํ ยทิปิ อฎฺฐุปฺปตฺติยา อตฺตชฺฌาสเยนปิ สํสคฺคเภโท สมฺภวติ, อตฺตชฺฌาสยาทีหิ ปน ปุรโต ฐิเตหิ อฎฺฐุปฺปตฺติยา สํสโคฺค นตฺถีติ นิรวเสโส ปฎฺฐานนโย น สมฺภวติฯ ตทโนฺตคธตฺตา วา สมฺภวนฺตานํ เสสนิเกฺขปานํ มูลนิเกฺขปวเสน จตฺตาโร สุตฺตนิเกฺขปา วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ
1. Idāni ekadhammaṃ, bhikkhave, pajahathātiādinā nayena bhagavatā nikkhittassa suttassa vaṇṇanāya okāso anuppatto. Sā panesā atthavaṇṇanā yasmā suttanikkhepaṃ vicāretvā vuccamānā pākaṭā hoti, tasmā suttanikkhepaṃ tāva vicāressāma. Cattāro hi suttanikkhepā – attajjhāsayo, parajjhāsayo, pucchāvasiko, aṭṭhuppattikoti. Yathā hi anekasataanekasahassabhedānipi suttantāni saṃkilesabhāgiyādipaṭṭhānanayena soḷasavidhataṃ nātivattanti, evaṃ attajjhāsayādisuttanikkhepavasena catubbidhataṃ nātivattantīti. Tattha yathā attajjhāsayassa aṭṭhuppattiyā ca parajjhāsayapucchāvasikehi saddhiṃ saṃsaggabhedo sambhavati attajjhāsayo ca parajjhāsayo ca, attajjhāsayo ca pucchāvasiko ca, aṭṭhuppattiko ca parajjhāsayo ca, aṭṭhuppattiko ca pucchāvasiko cāti ajjhāsayapucchānusandhisambhavato; evaṃ yadipi aṭṭhuppattiyā attajjhāsayenapi saṃsaggabhedo sambhavati, attajjhāsayādīhi pana purato ṭhitehi aṭṭhuppattiyā saṃsaggo natthīti niravaseso paṭṭhānanayo na sambhavati. Tadantogadhattā vā sambhavantānaṃ sesanikkhepānaṃ mūlanikkhepavasena cattāro suttanikkhepā vuttāti veditabbaṃ.
ตตฺรายํ วจนโตฺถ – นิกฺขิปียตีติ นิเกฺขโป, สุตฺตํ เอว นิเกฺขโป สุตฺตนิเกฺขโปฯ อถ วา นิกฺขิปนํ นิเกฺขโป, สุตฺตสฺส นิเกฺขโป สุตฺตนิเกฺขโป, สุตฺตเทสนาติ อโตฺถฯ อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโย, โส อสฺส อตฺถิ การณภูโตติ อตฺตชฺฌาสโย, อตฺตโน อชฺฌาสโย เอตสฺสาติ วา อตฺตชฺฌาสโยฯ ปรชฺฌาสเยปิ เอเสว นโยฯ ปุจฺฉาย วโสติ ปุจฺฉาวโสฯ โส เอตสฺส อตฺถีติ ปุจฺฉาวสิโกฯ สุตฺตเทสนาย วตฺถุภูตสฺส อตฺถสฺส อุปฺปตฺติ อตฺถุปฺปตฺติ , อตฺถุปฺปตฺติ เอว อฎฺฐุปฺปตฺติ ถ-การสฺส ฐ-การํ กตฺวา, สา เอตสฺส อตฺถีติ อฎฺฐุปฺปตฺติโก ฯ อถ วา นิกฺขิปียติ สุตฺตํ เอเตนาติ นิเกฺขโป, อตฺตชฺฌาสยาทิ เอวฯ เอตสฺมิํ ปน อตฺถวิกเปฺป อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโยฯ ปเรสํ อชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโยฯ ปุจฺฉียตีติ ปุจฺฉา, ปุจฺฉิตโพฺพ อโตฺถ, ปุจฺฉาวเสน ปวตฺตํ ธมฺมปฺปฎิคฺคาหกานํ วจนํ ปุจฺฉาวสํ, ตเทว นิเกฺขปสทฺทาเปกฺขาย ปุจฺฉาวสิโกติ ปุลฺลิงฺควเสน วุตฺตํฯ ตถา อฎฺฐุปฺปตฺติ เอว อฎฺฐุปฺปตฺติโกติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tatrāyaṃ vacanattho – nikkhipīyatīti nikkhepo, suttaṃ eva nikkhepo suttanikkhepo. Atha vā nikkhipanaṃ nikkhepo, suttassa nikkhepo suttanikkhepo, suttadesanāti attho. Attano ajjhāsayo attajjhāsayo, so assa atthi kāraṇabhūtoti attajjhāsayo, attano ajjhāsayo etassāti vā attajjhāsayo. Parajjhāsayepi eseva nayo. Pucchāya vasoti pucchāvaso. So etassa atthīti pucchāvasiko. Suttadesanāya vatthubhūtassa atthassa uppatti atthuppatti , atthuppatti eva aṭṭhuppatti tha-kārassa ṭha-kāraṃ katvā, sā etassa atthīti aṭṭhuppattiko. Atha vā nikkhipīyati suttaṃ etenāti nikkhepo, attajjhāsayādi eva. Etasmiṃ pana atthavikappe attano ajjhāsayo attajjhāsayo. Paresaṃ ajjhāsayo parajjhāsayo. Pucchīyatīti pucchā, pucchitabbo attho, pucchāvasena pavattaṃ dhammappaṭiggāhakānaṃ vacanaṃ pucchāvasaṃ, tadeva nikkhepasaddāpekkhāya pucchāvasikoti pulliṅgavasena vuttaṃ. Tathā aṭṭhuppatti eva aṭṭhuppattikoti evamettha attho veditabbo.
อปิจ ปเรสํ อินฺทฺริยปริปากาทิการณนิรเปกฺขตฺตา อตฺตชฺฌาสยสฺส วิสุํ สุตฺตนิเกฺขปภาโว ยุโตฺต, เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว ธมฺมตนฺติฐปนตฺถํ ปวตฺติตเทสนตฺตาฯ ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ ปน ปเรสํ อชฺฌาสยปุจฺฉานํ เทสนาปวตฺติเหตุภูตานํ อุปฺปตฺติยํ ปวตฺติตานํ กถํ อฎฺฐุปฺปตฺติยํ อนวโรโธ, ปุจฺฉาวสิกฎฺฐุปฺปตฺติกานํ วา ปรชฺฌาสยานุโรเธน ปวตฺติตานํ กถํ ปรชฺฌาสเย อนวโรโธติ? น โจเทตพฺพเมตํฯ ปเรสญฺหิ อภินีหารปริปุจฺฉาทิวินิมุตฺตเสฺสว สุตฺตเทสนาการณุปฺปาทสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติภาเวน คหิตตฺตา ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ วิสุํ คหณํฯ ตถา หิ พฺรหฺมชาลธมฺมทายาทสุตฺตาทีนํ (ที. น. ๑.๑ อาทโย) วณฺณาวณฺณอามิสุปฺปาทาทิเทสนานิมิตฺตํ อฎฺฐุปฺปตฺติ วุจฺจติฯ ปเรสํ ปุจฺฉํ วินา อชฺฌาสยเมว นิมิตฺตํ กตฺวา เทสิโต ปรชฺฌาสโย, ปุจฺฉาวเสน เทสิโต ปุจฺฉาวสิโกติ ปากโฎยมโตฺถติฯ
Apica paresaṃ indriyaparipākādikāraṇanirapekkhattā attajjhāsayassa visuṃ suttanikkhepabhāvo yutto, kevalaṃ attano ajjhāsayeneva dhammatantiṭhapanatthaṃ pavattitadesanattā. Parajjhāsayapucchāvasikānaṃ pana paresaṃ ajjhāsayapucchānaṃ desanāpavattihetubhūtānaṃ uppattiyaṃ pavattitānaṃ kathaṃ aṭṭhuppattiyaṃ anavarodho, pucchāvasikaṭṭhuppattikānaṃ vā parajjhāsayānurodhena pavattitānaṃ kathaṃ parajjhāsaye anavarodhoti? Na codetabbametaṃ. Paresañhi abhinīhāraparipucchādivinimuttasseva suttadesanākāraṇuppādassa aṭṭhuppattibhāvena gahitattā parajjhāsayapucchāvasikānaṃ visuṃ gahaṇaṃ. Tathā hi brahmajāladhammadāyādasuttādīnaṃ (dī. na. 1.1 ādayo) vaṇṇāvaṇṇaāmisuppādādidesanānimittaṃ aṭṭhuppatti vuccati. Paresaṃ pucchaṃ vinā ajjhāsayameva nimittaṃ katvā desito parajjhāsayo, pucchāvasena desito pucchāvasikoti pākaṭoyamatthoti.
ยานิ ภควา ปเรหิ อนชฺฌิโฎฺฐ เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว กเถติ, เสยฺยถิทํ – อากเงฺขยฺยสุตฺตํ, ตุวฎฺฎกสุตฺตนฺติเอวมาทีนิ (สุ. นิ. ๙๒๑ อาทโย; ม. นิ. ๑.๖๔ อาทโย), เตสํ อตฺตชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ
Yāni bhagavā parehi anajjhiṭṭho kevalaṃ attano ajjhāsayeneva katheti, seyyathidaṃ – ākaṅkheyyasuttaṃ, tuvaṭṭakasuttantievamādīni (su. ni. 921 ādayo; ma. ni. 1.64 ādayo), tesaṃ attajjhāsayo nikkhepo.
ยานิ ปน ‘‘ปริปกฺกา โข ราหุลสฺส วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา, ยํนูนาหํ ราหุลํ อุตฺตริํ อาสวานํ ขเย วิเนยฺย’’นฺติ เอวํ ปเรสํ อชฺฌาสยํ ขนฺติํ อภินีหารํ พุชฺฌนภาวญฺจ โอโลเกตฺวา ปรชฺฌาสยวเสน กถิตานิ, เสยฺยถิทํ – ราหุโลวาทสุตฺตํ, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตนฺติเอวมาทีนิ (ม. นิ. ๒.๑๐๗ อาทโย; ๓.๔๑๖ อาทโย; สํ. นิ. ๓.๕๙; มหาว. ๑๙-๒๐), เตสํ ปรชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ
Yāni pana ‘‘paripakkā kho rāhulassa vimuttiparipācanīyā dhammā, yaṃnūnāhaṃ rāhulaṃ uttariṃ āsavānaṃ khaye vineyya’’nti evaṃ paresaṃ ajjhāsayaṃ khantiṃ abhinīhāraṃ bujjhanabhāvañca oloketvā parajjhāsayavasena kathitāni, seyyathidaṃ – rāhulovādasuttaṃ, dhammacakkappavattanasuttantievamādīni (ma. ni. 2.107 ādayo; 3.416 ādayo; saṃ. ni. 3.59; mahāva. 19-20), tesaṃ parajjhāsayo nikkhepo.
ภควนฺตํ ปน อุปสงฺกมิตฺวา เทวา มนุสฺสา จตโสฺส ปริสา จตฺตาโร วณฺณา จ ตถา ตถา ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ ‘‘โพชฺฌงฺคา โพชฺฌงฺคาติ, ภเนฺต, วุจฺจนฺติ, นีวรณา นีวรณาติ วุจฺจนฺตี’’ติอาทินา , เอวํ ปุเฎฺฐน ภควตา ยานิ กถิตานิ โพชฺฌงฺคสํยุตฺตาทีนิ (สํ. นิ. ๕.๑๘๖) เตสํ ปุจฺฉาวสิโก นิเกฺขโปฯ
Bhagavantaṃ pana upasaṅkamitvā devā manussā catasso parisā cattāro vaṇṇā ca tathā tathā pañhaṃ pucchanti ‘‘bojjhaṅgā bojjhaṅgāti, bhante, vuccanti, nīvaraṇā nīvaraṇāti vuccantī’’tiādinā , evaṃ puṭṭhena bhagavatā yāni kathitāni bojjhaṅgasaṃyuttādīni (saṃ. ni. 5.186) tesaṃ pucchāvasiko nikkhepo.
ยานิ ปน ตานิ อุปฺปนฺนํ การณํ ปฎิจฺจ กถิตานิ, เสยฺยถิทํ – ธมฺมทายาทํ, ปุตฺตมํสูปมํ, ทารุกฺขนฺธูปมนฺติเอวมาทีนิ (ม. นิ. ๑.๒๙; สํ. นิ. ๒.๖๓), เตสํ อฎฺฐุปฺปตฺติโก นิเกฺขโปฯ
Yāni pana tāni uppannaṃ kāraṇaṃ paṭicca kathitāni, seyyathidaṃ – dhammadāyādaṃ, puttamaṃsūpamaṃ, dārukkhandhūpamantievamādīni (ma. ni. 1.29; saṃ. ni. 2.63), tesaṃ aṭṭhuppattiko nikkhepo.
เอวมิเมสุ จตูสุ สุตฺตนิเกฺขเปสุ อิมสฺส สุตฺตสฺส ปรชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ ปรชฺฌาสยวเสน เหตํ นิกฺขิตฺตํฯ เกสํ อชฺฌาสเยน? โลเภ อาทีนวทสฺสีนํ ปุคฺคลานํฯ เกจิ ปน ‘‘อตฺตชฺฌาสโย’’ติ วทนฺติฯ
Evamimesu catūsu suttanikkhepesu imassa suttassa parajjhāsayo nikkhepo. Parajjhāsayavasena hetaṃ nikkhittaṃ. Kesaṃ ajjhāsayena? Lobhe ādīnavadassīnaṃ puggalānaṃ. Keci pana ‘‘attajjhāsayo’’ti vadanti.
ตตฺถ เอกธมฺมํ, ภิกฺขเวติอาทีสุ เอกสโทฺท อเตฺถว อญฺญเตฺถ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺติ อิเตฺถเก อภิวทนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๗)ฯ อตฺถิ เสเฎฺฐ ‘‘เจตโส เอโกทิภาว’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๒๘; ปารา. ๑๑)ฯ อตฺถิ อสหาเย ‘‘เอโก วูปกโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๐๕)ฯ อตฺถิ สงฺขายํ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙)ฯ อิธาปิ สงฺขายเมว ทฎฺฐโพฺพฯ
Tattha ekadhammaṃ, bhikkhavetiādīsu ekasaddo attheva aññatthe ‘‘sassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamaññanti ittheke abhivadantī’’tiādīsu (ma. ni. 3.27). Atthi seṭṭhe ‘‘cetaso ekodibhāva’’ntiādīsu (dī. ni. 1.228; pārā. 11). Atthi asahāye ‘‘eko vūpakaṭṭho’’tiādīsu (dī. ni. 1.405). Atthi saṅkhāyaṃ ‘‘ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29). Idhāpi saṅkhāyameva daṭṭhabbo.
ธมฺม-สโทฺท ปริยตฺติสจฺจสมาธิปญฺญาปกติปุญฺญาปตฺติสุญฺญตาเญยฺยสภาวาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิสฺส ‘‘อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๗๓) ปริยตฺติ อโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐธโมฺม’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๙๙) สจฺจานิฯ ‘‘เอวํธมฺมา เต ภควโนฺต อเหสุ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๓; ๓.๑๔๒) สมาธิฯ ‘‘สจฺจํ ธโมฺม ธิติ จาโค, สเว เปจฺจ น โสจตี’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๑.๕๗) ปญฺญาฯ ‘‘ชาติธมฺมานํ, ภิกฺขเว, สตฺตานํ เอวํ อิจฺฉา อุปฺปชฺชตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๙๘) ปกติฯ ‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริ’’นฺติอาทีสุ (ชา. ๑.๑๐.๑๐๒) ปุญฺญํฯ ‘‘ติณฺณํ ธมฺมานํ อญฺญตเรน วเทยฺย ปาราชิเกน วา สงฺฆาทิเสเสน วา ปาจิตฺติเยน วา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๔๔๔) อาปตฺติฯ ‘‘ตสฺมิํ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๒๑) สุญฺญตาฯ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉนฺตี’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕) เญโยฺยฯ ‘‘กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ติกมาติกา ๑) สภาโว อโตฺถ ฯ อิธาปิ สภาโวฯ ตสฺมา เอกธมฺมนฺติ เอกํ สํกิเลสสภาวนฺติ อธิปฺปาโยฯ เอโก จ โส ธโมฺม จาติ เอกธโมฺม, ตํ เอกธมฺมํฯ
Dhamma-saddo pariyattisaccasamādhipaññāpakatipuññāpattisuññatāñeyyasabhāvādīsu dissati. Tathā hissa ‘‘idha bhikkhu dhammaṃ pariyāpuṇātī’’tiādīsu (a. ni. 5.73) pariyatti attho. ‘‘Diṭṭhadhammo’’tiādīsu (dī. ni. 1.299) saccāni. ‘‘Evaṃdhammā te bhagavanto ahesu’’ntiādīsu (dī. ni. 2.13; 3.142) samādhi. ‘‘Saccaṃ dhammo dhiti cāgo, save pecca na socatī’’tiādīsu (jā. 1.1.57) paññā. ‘‘Jātidhammānaṃ, bhikkhave, sattānaṃ evaṃ icchā uppajjatī’’tiādīsu (dī. ni. 2.398) pakati. ‘‘Dhammo have rakkhati dhammacāri’’ntiādīsu (jā. 1.10.102) puññaṃ. ‘‘Tiṇṇaṃ dhammānaṃ aññatarena vadeyya pārājikena vā saṅghādisesena vā pācittiyena vā’’tiādīsu (pārā. 444) āpatti. ‘‘Tasmiṃ kho pana samaye dhammā hontī’’tiādīsu (dha. sa. 121) suññatā. ‘‘Sabbe dhammā sabbākārena buddhassa bhagavato ñāṇamukhe āpāthaṃ āgacchantī’’tiādīsu (mahāni. 156; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85) ñeyyo. ‘‘Kusalā dhammā akusalā dhammā’’tiādīsu (dha. sa. tikamātikā 1) sabhāvo attho . Idhāpi sabhāvo. Tasmā ekadhammanti ekaṃ saṃkilesasabhāvanti adhippāyo. Eko ca so dhammo cāti ekadhammo, taṃ ekadhammaṃ.
ภิกฺขเวติ ภิกฺขู อาลปติฯ กิมตฺถํ ปน ภควา ธมฺมํ เทเสโนฺต ภิกฺขู อาลปติ, น ธมฺมเมว เทเสตีติ? สติชนนตฺถํฯ ภิกฺขู หิ อญฺญํ จิเนฺตนฺตาปิ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขนฺตาปิ กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรนฺตาปิ นิสินฺนา โหนฺติฯ เต ปฐมํ อนาลปิตฺวา ธเมฺม เทสิยมาเน ‘‘อยํ เทสนา กิํนิทานา, กิํปจฺจยา’’ติ สลฺลเกฺขตุํ น สโกฺกนฺติฯ อาลปิเต ปน สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา สลฺลเกฺขตุํ สโกฺกนฺติ, ตสฺมา สติชนนตฺถํ ‘‘ภิกฺขเว’’ติ อาลปติฯ เตน จ เตสํ ภิกฺขนสีลตาทิคุณโยคสิเทฺธน วจเนน หีนาธิกชนเสวิตํ วุตฺติํ ปกาเสโนฺต อุทฺธตทีนภาวนิคฺคหํ กโรติฯ ‘‘ภิกฺขเว’’ติ อิมินา กรุณาวิปฺผารโสมฺมหทยนยนนิปาตปุพฺพงฺคเมน วจเนน เต อตฺตโน มุขาภิมุเข กโรโนฺต เตน จ กเถตุกมฺยตาทีปเกน วจเนน เนสํ โสตุกมฺยตํ ชเนติฯ เตเนว จ สโมฺพธนเตฺถน สาธุกํ สวนมนสิกาเรปิ นิโยเชติฯ สาธุกํ สวนมนสิการายตฺตา หิ สาสนสมฺปตฺติฯ
Bhikkhaveti bhikkhū ālapati. Kimatthaṃ pana bhagavā dhammaṃ desento bhikkhū ālapati, na dhammameva desetīti? Satijananatthaṃ. Bhikkhū hi aññaṃ cintentāpi dhammaṃ paccavekkhantāpi kammaṭṭhānaṃ manasi karontāpi nisinnā honti. Te paṭhamaṃ anālapitvā dhamme desiyamāne ‘‘ayaṃ desanā kiṃnidānā, kiṃpaccayā’’ti sallakkhetuṃ na sakkonti. Ālapite pana satiṃ upaṭṭhapetvā sallakkhetuṃ sakkonti, tasmā satijananatthaṃ ‘‘bhikkhave’’ti ālapati. Tena ca tesaṃ bhikkhanasīlatādiguṇayogasiddhena vacanena hīnādhikajanasevitaṃ vuttiṃ pakāsento uddhatadīnabhāvaniggahaṃ karoti. ‘‘Bhikkhave’’ti iminā karuṇāvipphārasommahadayanayananipātapubbaṅgamena vacanena te attano mukhābhimukhe karonto tena ca kathetukamyatādīpakena vacanena nesaṃ sotukamyataṃ janeti. Teneva ca sambodhanatthena sādhukaṃ savanamanasikārepi niyojeti. Sādhukaṃ savanamanasikārāyattā hi sāsanasampatti.
อเญฺญสุปิ เทวมนุเสฺสสุ ปริสปริยาปเนฺนสุ วิชฺชมาเนสุ กสฺมา ภิกฺขู เอว อามเนฺตสีติ? เชฎฺฐเสฎฺฐาสนฺนสทาสนฺนิหิตภาวโตฯ สพฺพปริสสาธารณา หิ ภควโต ธมฺมเทสนา, ปริสาย จ เชฎฺฐา ภิกฺขู ปฐมุปฺปนฺนตฺตา, เสฎฺฐา อนคาริยภาวํ อาทิํ กตฺวา สตฺถุ จริยานุวิธายกตฺตา สกลสาสนปฎิคฺคาหกตฺตา จ, อาสนฺนา ตตฺถ นิสิเนฺนสุ สมีปวุตฺติยา, สทาสนฺนิหิตา สตฺถุสนฺติกาวจรตฺตาฯ อปิจ เต ธมฺมเทสนาย ภาชนํ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปตฺติสพฺภาวโต, วิเสสโต จ เอกเจฺจ ภิกฺขู สนฺธาย อยํ เทสนาติ เต เอว อาลปิฯ
Aññesupi devamanussesu parisapariyāpannesu vijjamānesu kasmā bhikkhū eva āmantesīti? Jeṭṭhaseṭṭhāsannasadāsannihitabhāvato. Sabbaparisasādhāraṇā hi bhagavato dhammadesanā, parisāya ca jeṭṭhā bhikkhū paṭhamuppannattā, seṭṭhā anagāriyabhāvaṃ ādiṃ katvā satthu cariyānuvidhāyakattā sakalasāsanapaṭiggāhakattā ca, āsannā tattha nisinnesu samīpavuttiyā, sadāsannihitā satthusantikāvacarattā. Apica te dhammadesanāya bhājanaṃ yathānusiṭṭhaṃ paṭipattisabbhāvato, visesato ca ekacce bhikkhū sandhāya ayaṃ desanāti te eva ālapi.
ปชหถาติ เอตฺถ ปหานํ นาม ตทงฺคปฺปหานํ, วิกฺขมฺภนปฺปหานํ, สมุเจฺฉทปฺปหานํ, ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ, นิสฺสรณปฺปหานนฺติ ปญฺจวิธํฯ ตตฺถ ยํ ทีปาโลเกเนว ตมสฺส ปฎิปกฺขภาวโต อโลภาทีหิ โลภาทิกสฺส, นามรูปปริเจฺฉทาทิวิปสฺสนาญาเณหิ ตสฺส ตสฺส อนตฺถสฺส ปหานํฯ เสยฺยถิทํ – ปริจฺจาเคน โลภาทิมลสฺส, สีเลน ปาณาติปาตาทิทุสฺสีลฺยสฺส, สทฺธาทีหิ อสฺสทฺธิยาทิกสฺส, นามรูปววตฺถาเนน สกฺกายทิฎฺฐิยา, ปจฺจยปริคฺคเหน อเหตุวิสมเหตุทิฎฺฐีนํ, ตเสฺสว อปรภาเคน กงฺขาวิตรเณน กถํกถีภาวสฺส, กลาปสมฺมสเนน ‘‘อหํ มมา’’ติ คาหสฺส, มคฺคามคฺคววตฺถาเนน อมเคฺค มคฺคสญฺญาย, อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา, วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา, ภยทสฺสเนน สภเยสุ อภยสญฺญาย, อาทีนวทสฺสเนน อสฺสาทสญฺญาย, นิพฺพิทานุปสฺสเนน อภิรติสญฺญาย, มุจฺจิตุกมฺยตาญาเณน อมุจฺจิตุกมฺยตาย อุเปกฺขาญาเณน อนุเปกฺขาย, อนุโลเมน ธมฺมฎฺฐิติยา, นิพฺพาเนน ปฎิโลมภาวสฺส, โคตฺรภุนา สงฺขารนิมิตฺตคฺคาหสฺส ปหานํ, เอตํ ตทงฺคปฺปหานํ นามฯ
Pajahathāti ettha pahānaṃ nāma tadaṅgappahānaṃ, vikkhambhanappahānaṃ, samucchedappahānaṃ, paṭippassaddhippahānaṃ, nissaraṇappahānanti pañcavidhaṃ. Tattha yaṃ dīpālokeneva tamassa paṭipakkhabhāvato alobhādīhi lobhādikassa, nāmarūpaparicchedādivipassanāñāṇehi tassa tassa anatthassa pahānaṃ. Seyyathidaṃ – pariccāgena lobhādimalassa, sīlena pāṇātipātādidussīlyassa, saddhādīhi assaddhiyādikassa, nāmarūpavavatthānena sakkāyadiṭṭhiyā, paccayapariggahena ahetuvisamahetudiṭṭhīnaṃ, tasseva aparabhāgena kaṅkhāvitaraṇena kathaṃkathībhāvassa, kalāpasammasanena ‘‘ahaṃ mamā’’ti gāhassa, maggāmaggavavatthānena amagge maggasaññāya, udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā, vayadassanena sassatadiṭṭhiyā, bhayadassanena sabhayesu abhayasaññāya, ādīnavadassanena assādasaññāya, nibbidānupassanena abhiratisaññāya, muccitukamyatāñāṇena amuccitukamyatāya upekkhāñāṇena anupekkhāya, anulomena dhammaṭṭhitiyā, nibbānena paṭilomabhāvassa, gotrabhunā saṅkhāranimittaggāhassa pahānaṃ, etaṃ tadaṅgappahānaṃ nāma.
ยํ ปน อุปจารปฺปนาเภเทน สมาธินา ปวตฺติภาวนิวารณโต ฆฎปฺปหาเรเนว อุทกปิเฎฺฐ เสวาลสฺส เตสํ เตสํ นีวรณาทิธมฺมานํ ปหานํ, เอตํ วิกฺขมฺภนปฺปหานํ นามฯ ยํ จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา ตํตํมคฺควโต อตฺตโน สนฺตาเน ‘‘ทิฎฺฐิคตานํ ปหานายา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๒๗๗; วิภ. ๖๒๘) นเยน วุตฺตสฺส สมุทยปกฺขิยสฺส กิเลสคณสฺส อจฺจนฺตํ อปฺปวตฺติภาเวน สมุจฺฉินฺทนํ, อิทํ สมุเจฺฉทปฺปหานํ นามฯ ยํ ปน ผลกฺขเณ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตํ กิเลสานํ, เอตํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานํ นามฯ ยํ ปน สพฺพสงฺขตนิสฺสฎตฺตา ปหีนสพฺพสงฺขตํ นิพฺพานํ, เอตํ นิสฺสรณปฺปหานํ นามฯ เอวํ ปญฺจวิเธ ปหาเน อนาคามิกภาวกรสฺส ปหานสฺส อธิเปฺปตตฺตา อิธ สมุเจฺฉทปฺปหานนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตสฺมา ปชหถาติ ปริจฺจชถ, สมุจฺฉินฺทถาติ อโตฺถฯ
Yaṃ pana upacārappanābhedena samādhinā pavattibhāvanivāraṇato ghaṭappahāreneva udakapiṭṭhe sevālassa tesaṃ tesaṃ nīvaraṇādidhammānaṃ pahānaṃ, etaṃ vikkhambhanappahānaṃ nāma. Yaṃ catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā taṃtaṃmaggavato attano santāne ‘‘diṭṭhigatānaṃ pahānāyā’’tiādinā (dha. sa. 277; vibha. 628) nayena vuttassa samudayapakkhiyassa kilesagaṇassa accantaṃ appavattibhāvena samucchindanaṃ, idaṃ samucchedappahānaṃ nāma. Yaṃ pana phalakkhaṇe paṭippassaddhattaṃ kilesānaṃ, etaṃ paṭippassaddhippahānaṃ nāma. Yaṃ pana sabbasaṅkhatanissaṭattā pahīnasabbasaṅkhataṃ nibbānaṃ, etaṃ nissaraṇappahānaṃ nāma. Evaṃ pañcavidhe pahāne anāgāmikabhāvakarassa pahānassa adhippetattā idha samucchedappahānanti veditabbaṃ. Tasmā pajahathāti pariccajatha, samucchindathāti attho.
อหนฺติ ภควา อตฺตานํ นิทฺทิสติฯ โวติ อยํ โวสโทฺท ปจฺจตฺตอุปโยคกรณสามิวจนปทปูรณสมฺปทาเนสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิ ‘‘กจฺจิ, ปน โว อนุรุทฺธา, สมคฺคา สโมฺมทมานา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๒๖) ปจฺจเตฺต อาคโตฯ ‘‘คจฺฉถ, ภิกฺขเว, ปณาเมมิ โว’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๕๗) อุปโยเคฯ ‘‘น โว มม สนฺติเก วตฺถพฺพ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๕๗) กรเณฯ ‘‘สเพฺพสํ โว, สาริปุตฺต, สุภาสิต’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๔๕) สามิวจเนฯ ‘‘เย หิ โว อริยา ปริสุทฺธกายกมฺมนฺตา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๕) ปทปูรเณฯ ‘‘วนปตฺถปริยายํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๙๐) สมฺปทาเนฯ อิธาปิ สมฺปทาเน เอว ทฎฺฐโพฺพฯ
Ahanti bhagavā attānaṃ niddisati. Voti ayaṃ vosaddo paccattaupayogakaraṇasāmivacanapadapūraṇasampadānesu dissati. Tathā hi ‘‘kacci, pana vo anuruddhā, samaggā sammodamānā’’tiādīsu (ma. ni. 1.326) paccatte āgato. ‘‘Gacchatha, bhikkhave, paṇāmemi vo’’tiādīsu (ma. ni. 2.157) upayoge. ‘‘Na vo mama santike vatthabba’’ntiādīsu (ma. ni. 2.157) karaṇe. ‘‘Sabbesaṃ vo, sāriputta, subhāsita’’ntiādīsu (ma. ni. 1.345) sāmivacane. ‘‘Ye hi vo ariyā parisuddhakāyakammantā’’tiādīsu (ma. ni. 1.35) padapūraṇe. ‘‘Vanapatthapariyāyaṃ vo, bhikkhave, desessāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.190) sampadāne. Idhāpi sampadāne eva daṭṭhabbo.
ปาฎิโภโคติ ปฎิภูฯ โส หิ ธารณกํ ปฎิจฺจ ธนิกสฺส, ธนิกํ ปฎิจฺจ ธารณกสฺส ปฎินิธิภูโต ธนิกสนฺตกสฺส ตโต หรณาทิสงฺขาเตน ภุญฺชเนน โภโคติ ปฎิโภโค, ปฎิโภโค เอว ปาฎิโภโคฯ อนาคามิตายาติ อนาคามิภาวตฺถายฯ ปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน หิ กามภวสฺส อนาคมนโต อนาคามีฯ โย ยสฺส ธมฺมสฺส อธิคเมน อนาคามีติ วุจฺจติ, สผโล โส ตติยมโคฺค อนาคามิตา นามฯ อิติ ภควา เวเนยฺยทมนกุสโล เวเนยฺยชฺฌาสยานุกูลํ ตติยมคฺคาธิคมํ ลหุนา อุปาเยน เอกธมฺมปูรณตามเตฺตน ถิรํ กตฺวา ทเสฺสสิ ยถา ตํ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ ภินฺนภูมิกาปิ หิ ปฎิฆสํโยชนาทโย ตติยมคฺควชฺฌา กิเลสา กามราคปฺปหานํ นาติวตฺตนฺตีติฯ
Pāṭibhogoti paṭibhū. So hi dhāraṇakaṃ paṭicca dhanikassa, dhanikaṃ paṭicca dhāraṇakassa paṭinidhibhūto dhanikasantakassa tato haraṇādisaṅkhātena bhuñjanena bhogoti paṭibhogo, paṭibhogo eva pāṭibhogo. Anāgāmitāyāti anāgāmibhāvatthāya. Paṭisandhiggahaṇavasena hi kāmabhavassa anāgamanato anāgāmī. Yo yassa dhammassa adhigamena anāgāmīti vuccati, saphalo so tatiyamaggo anāgāmitā nāma. Iti bhagavā veneyyadamanakusalo veneyyajjhāsayānukūlaṃ tatiyamaggādhigamaṃ lahunā upāyena ekadhammapūraṇatāmattena thiraṃ katvā dassesi yathā taṃ sammāsambuddho. Bhinnabhūmikāpi hi paṭighasaṃyojanādayo tatiyamaggavajjhā kilesā kāmarāgappahānaṃ nātivattantīti.
กสฺมา ปเนตฺถ ภควา อตฺตานํ ปาฎิโภคภาเว ฐเปสิ? เตสํ ภิกฺขูนํ อนาคามิมคฺคาธิคมาย อุสฺสาหชนนตฺถํฯ ปสฺสติ หิ ภควา ‘‘มยา ‘เอกธมฺมํ, ภิกฺขเว, ปชหถ, อหํ โว ปาฎิโภโค อนาคามิตายา’ติ วุเตฺต อิเม ภิกฺขู อทฺธา ตํ เอกธมฺมํ ปหาย สกฺกา ตติยภูมิํ สมธิคนฺตุํ, ยโต ธมฺมสฺสามิ ปฐมมาห ‘อหํ ปาฎิโภโค’ติ อุสฺสาหชาตา ตทตฺถาย ปฎิปชฺชิตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺตี’’ติฯ ตสฺมา อุสฺสาหชนนตฺถํ อนาคามิตาย เตสํ ภิกฺขูนํ อตฺตานํ ปาฎิโภคภาเว ฐเปสิฯ
Kasmā panettha bhagavā attānaṃ pāṭibhogabhāve ṭhapesi? Tesaṃ bhikkhūnaṃ anāgāmimaggādhigamāya ussāhajananatthaṃ. Passati hi bhagavā ‘‘mayā ‘ekadhammaṃ, bhikkhave, pajahatha, ahaṃ vo pāṭibhogo anāgāmitāyā’ti vutte ime bhikkhū addhā taṃ ekadhammaṃ pahāya sakkā tatiyabhūmiṃ samadhigantuṃ, yato dhammassāmi paṭhamamāha ‘ahaṃ pāṭibhogo’ti ussāhajātā tadatthāya paṭipajjitabbaṃ maññissantī’’ti. Tasmā ussāhajananatthaṃ anāgāmitāya tesaṃ bhikkhūnaṃ attānaṃ pāṭibhogabhāve ṭhapesi.
กตมํ เอกธมฺมนฺติ เอตฺถ กตมนฺติ ปุจฺฉาวจนํฯ ปุจฺฉา จ นาเมสา ปญฺจวิธา – อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา, ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา, วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา, อนุมติปุจฺฉา , กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติฯ ตตฺถ ปกติยา ลกฺขณํ อญฺญาตํ โหติ อทิฎฺฐํ อตุลิตํ อตีริตํ อวิภูตํ อวิภาวิตํ, ตสฺส ญาณาย ทสฺสนาย ตุลนาย ตีรณาย วิภูตตฺถาย วิภาวนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉาฯ ปกติยา ลกฺขณํ ญาตํ โหติ ทิฎฺฐํ ตุลิตํ ตีริตํ วิภูตํ วิภาวิตํฯ โส อเญฺญหิ ปณฺฑิเตหิ สทฺธิํ สํสนฺทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉาฯ ปกติยา สํสยปกฺขโนฺท โหติ วิมติปกฺขโนฺท เทฺวฬฺหกชาโต – ‘‘เอวํ นุ โข, น นุ โข, กิํ นุ โข, กถํ นุ โข’’ติ, โส วิมติเจฺฉทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉาฯ ภควา หิ อนุมติคฺคหณตฺถํ ปญฺหํ ปุจฺฉติ – ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๓.๕๙; มหาว. ๒๑), อยํ อนุมติปุจฺฉาฯ ภควา ภิกฺขูนํ กเถตุกมฺยตาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ – ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อาหารา ภูตานํ วา สตฺตานํ ฐิติยา สมฺภเวสีนํ วา อนุคฺคหายฯ กตเม จตฺตาโร’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๑) อยํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ
Katamaṃ ekadhammanti ettha katamanti pucchāvacanaṃ. Pucchā ca nāmesā pañcavidhā – adiṭṭhajotanāpucchā, diṭṭhasaṃsandanāpucchā, vimaticchedanāpucchā, anumatipucchā , kathetukamyatāpucchāti. Tattha pakatiyā lakkhaṇaṃ aññātaṃ hoti adiṭṭhaṃ atulitaṃ atīritaṃ avibhūtaṃ avibhāvitaṃ, tassa ñāṇāya dassanāya tulanāya tīraṇāya vibhūtatthāya vibhāvanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ adiṭṭhajotanāpucchā. Pakatiyā lakkhaṇaṃ ñātaṃ hoti diṭṭhaṃ tulitaṃ tīritaṃ vibhūtaṃ vibhāvitaṃ. So aññehi paṇḍitehi saddhiṃ saṃsandanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ diṭṭhasaṃsandanāpucchā. Pakatiyā saṃsayapakkhando hoti vimatipakkhando dveḷhakajāto – ‘‘evaṃ nu kho, na nu kho, kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho’’ti, so vimaticchedanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ vimaticchedanāpucchā. Bhagavā hi anumatiggahaṇatthaṃ pañhaṃ pucchati – ‘‘taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’tiādinā (saṃ. ni. 3.59; mahāva. 21), ayaṃ anumatipucchā. Bhagavā bhikkhūnaṃ kathetukamyatāya pañhaṃ pucchati – ‘‘cattārome, bhikkhave, āhārā bhūtānaṃ vā sattānaṃ ṭhitiyā sambhavesīnaṃ vā anuggahāya. Katame cattāro’’ti (saṃ. ni. 2.11) ayaṃ kathetukamyatāpucchā.
ตตฺถ ปุริมา ติโสฺส ปุจฺฉา พุทฺธานํ นตฺถิฯ กสฺมา? ตีสุ หิ อทฺธาสุ กิญฺจิ สงฺขตํ อทฺธาวิมุตฺตํ วา อสงฺขตํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ อทิฎฺฐํ อตุลิตํ อตีริตํ อวิภูตํ อวิภาวิตํ นาม นตฺถิฯ เตน เนสํ อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา นตฺถิฯ ยํ ปน เตหิ อตฺตโน ญาเณน ปฎิวิทฺธํ, ตสฺส อเญฺญน สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา สทฺธิํ สํสนฺทนกิจฺจํ นตฺถิ, เตน เนสํ ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉาปิ นตฺถิฯ ยสฺมา ปน พุทฺธา ภควโนฺต อกถํกถี ติณฺณวิจิกิจฺฉา สพฺพธเมฺมสุ วิคตสํสยา, เตน เนสํ วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉาปิ นตฺถิฯ อิตรา ปน เทฺว ปุจฺฉา อตฺถิ, ตาสุ อยํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติ เวทิตพฺพาฯ
Tattha purimā tisso pucchā buddhānaṃ natthi. Kasmā? Tīsu hi addhāsu kiñci saṅkhataṃ addhāvimuttaṃ vā asaṅkhataṃ sammāsambuddhānaṃ adiṭṭhaṃ atulitaṃ atīritaṃ avibhūtaṃ avibhāvitaṃ nāma natthi. Tena nesaṃ adiṭṭhajotanāpucchā natthi. Yaṃ pana tehi attano ñāṇena paṭividdhaṃ, tassa aññena samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā saddhiṃ saṃsandanakiccaṃ natthi, tena nesaṃ diṭṭhasaṃsandanāpucchāpi natthi. Yasmā pana buddhā bhagavanto akathaṃkathī tiṇṇavicikicchā sabbadhammesu vigatasaṃsayā, tena nesaṃ vimaticchedanāpucchāpi natthi. Itarā pana dve pucchā atthi, tāsu ayaṃ kathetukamyatāpucchāti veditabbā.
อิทานิ ตาย ปุจฺฉาย ปุฎฺฐมตฺถํ สรูปโต ทเสฺสโนฺต ‘‘โลภํ, ภิกฺขเว, เอกธมฺม’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ลุพฺภนฺติ เตน, สยํ วา ลุพฺภติ, ลุพฺภนมตฺตเมว วา ตนฺติ โลโภฯ สฺวายํ อารมฺมณคฺคหณลกฺขโณ มกฺกฎาเลโป วิย, อภิสงฺครโส ตตฺตกปาเล ปกฺขิตฺตมํสเปสิ วิย, อปริจฺจาคปจฺจุปฎฺฐาโน เตลญฺชนราโค วิย, สํโยชนิเยสุ ธเมฺมสุ อสฺสาททสฺสนปทฎฺฐาโน, ตณฺหานทิภาเวน วฑฺฒมาโน ยตฺถ สมุปฺปโนฺน, สีฆโสตา นที วิย มหาสมุทฺทํ อปายเมว ตํ สตฺตํ คเหตฺวา คจฺฉตีติ ทฎฺฐโพฺพฯ กิญฺจาปิ อยํ โลภสโทฺท สพฺพโลภสามญฺญวจโน, อิธ ปน กามราควจโนติ เวทิตโพฺพฯ โส หิ อนาคามิมคฺควโชฺฌฯ
Idāni tāya pucchāya puṭṭhamatthaṃ sarūpato dassento ‘‘lobhaṃ, bhikkhave, ekadhamma’’ntiādimāha. Tattha lubbhanti tena, sayaṃ vā lubbhati, lubbhanamattameva vā tanti lobho. Svāyaṃ ārammaṇaggahaṇalakkhaṇo makkaṭālepo viya, abhisaṅgaraso tattakapāle pakkhittamaṃsapesi viya, apariccāgapaccupaṭṭhāno telañjanarāgo viya, saṃyojaniyesu dhammesu assādadassanapadaṭṭhāno, taṇhānadibhāvena vaḍḍhamāno yattha samuppanno, sīghasotā nadī viya mahāsamuddaṃ apāyameva taṃ sattaṃ gahetvā gacchatīti daṭṭhabbo. Kiñcāpi ayaṃ lobhasaddo sabbalobhasāmaññavacano, idha pana kāmarāgavacanoti veditabbo. So hi anāgāmimaggavajjho.
ปุน ภิกฺขเวติ อาลปนํ ธมฺมสฺส ปฎิคฺคาหกภาเวน อภิมุขีภูตานํ ตตฺถ อาทรชนนตฺถํฯ ปชหถาติ อิมินา ปหานาภิสมโย วิหิโต, โส จ ปริญฺญาสจฺฉิกิริยาภาวนาภิสมเยหิ สทฺธิํ เอว ปวตฺตติ, น วิสุนฺติ จตุสจฺจาธิฎฺฐานานิ จตฺตาริปิ สมฺมาทิฎฺฐิยา กิจฺจานิ วิหิตาเนว โหนฺติฯ ยถา จ ‘‘โลภํ ปชหถา’’ติ วุเตฺต ปหาเนกฎฺฐภาวโต โทสาทีนมฺปิ ปหานํ อตฺถโต วุตฺตเมว โหติ, เอวํ สมุทยสจฺจวิสเย สมฺมาทิฎฺฐิกิเจฺจ ปหานาภิสมเย วุเตฺต ตสฺสา สหการีการณภูตานํ สมฺมาสงฺกปฺปาทีนํ เสสมคฺคงฺคานมฺปิ สมุทยสจฺจวิสยกิจฺจํ อตฺถโต วุตฺตเมว โหตีติ ปริปุโณฺณ อริยมคฺคพฺยาปาโร อิธ กถิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ อิมินา นเยน สติปฎฺฐานาทีนมฺปิ โพธิปกฺขิยธมฺมานํ พฺยาปารสฺส อิธ วุตฺตภาโว ยถารหํ วิตฺถาเรตโพฺพฯ
Puna bhikkhaveti ālapanaṃ dhammassa paṭiggāhakabhāvena abhimukhībhūtānaṃ tattha ādarajananatthaṃ. Pajahathāti iminā pahānābhisamayo vihito, so ca pariññāsacchikiriyābhāvanābhisamayehi saddhiṃ eva pavattati, na visunti catusaccādhiṭṭhānāni cattāripi sammādiṭṭhiyā kiccāni vihitāneva honti. Yathā ca ‘‘lobhaṃ pajahathā’’ti vutte pahānekaṭṭhabhāvato dosādīnampi pahānaṃ atthato vuttameva hoti, evaṃ samudayasaccavisaye sammādiṭṭhikicce pahānābhisamaye vutte tassā sahakārīkāraṇabhūtānaṃ sammāsaṅkappādīnaṃ sesamaggaṅgānampi samudayasaccavisayakiccaṃ atthato vuttameva hotīti paripuṇṇo ariyamaggabyāpāro idha kathitoti daṭṭhabbo. Iminā nayena satipaṭṭhānādīnampi bodhipakkhiyadhammānaṃ byāpārassa idha vuttabhāvo yathārahaṃ vitthāretabbo.
อปิเจตฺถ โลภํ ปชหถาติ เอเตน ปหานปริญฺญา วุตฺตาฯ สา จ ตีรณปริญฺญาธิฎฺฐานา, ตีรณปริญฺญา จ ญาตปริญฺญาธิฎฺฐานาติ อวินาภาเวน ติโสฺสปิ ปริญฺญา โพธิตา โหนฺติฯ เอวเมตฺถ สห ผเลน จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานํ ปริปุณฺณํ กตฺวา ปกาสิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา โลภํ ปชหถาติ สห ผเลน ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ เทสิตาฯ สา จ ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิสนฺนิสฺสยา…เป.… จิตฺตวิสุทฺธิสีลวิสุทฺธิสนฺนิสฺสยา จาติ นานนฺตริกภาเวน สห ผเลน สพฺพาปิ สตฺต วิสุทฺธิโย วิภาวิตาติ เวทิตพฺพํฯ
Apicettha lobhaṃ pajahathāti etena pahānapariññā vuttā. Sā ca tīraṇapariññādhiṭṭhānā, tīraṇapariññā ca ñātapariññādhiṭṭhānāti avinābhāvena tissopi pariññā bodhitā honti. Evamettha saha phalena catusaccakammaṭṭhānaṃ paripuṇṇaṃ katvā pakāsitanti daṭṭhabbaṃ. Atha vā lobhaṃ pajahathāti saha phalena ñāṇadassanavisuddhi desitā. Sā ca paṭipadāñāṇadassanavisuddhisannissayā…pe… cittavisuddhisīlavisuddhisannissayā cāti nānantarikabhāvena saha phalena sabbāpi satta visuddhiyo vibhāvitāti veditabbaṃ.
เอวเมตาย วิสุทฺธิกฺกมภาวนาย ปริญฺญาตฺตยสมฺปาทเนน โลภํ ปชหิตุกาเมน –
Evametāya visuddhikkamabhāvanāya pariññāttayasampādanena lobhaṃ pajahitukāmena –
‘‘อนตฺถชนโน โลโภ, โลโภ จิตฺตปฺปโกปโน;
‘‘Anatthajanano lobho, lobho cittappakopano;
ภยมนฺตรโต ชาตํ, ตํ ชโน นาวพุชฺฌติฯ
Bhayamantarato jātaṃ, taṃ jano nāvabujjhati.
‘‘ลุโทฺธ อตฺถํ น ชานาติ, ลุโทฺธ ธมฺมํ น ปสฺสติ;
‘‘Luddho atthaṃ na jānāti, luddho dhammaṃ na passati;
อนฺธตมํ ตทา โหติ, ยํ โลโภ สหเต นรํ’’ฯ (อิติวุ. ๘๘);
Andhatamaṃ tadā hoti, yaṃ lobho sahate naraṃ’’. (itivu. 88);
รโตฺต โข, อาวุโส, ราเคน อภิภูโต ปริยาทินฺนจิโตฺต ปาณมฺปิ หนติ, อทินฺนมฺปิ อาทิยติ, สนฺธิมฺปิ ฉินฺทติ, นิโลฺลปมฺปิ หรติ, เอกาคาริกมฺปิ กโรติ, ปริปเนฺถปิ ติฎฺฐติ, ปรทารมฺปิ คจฺฉติ, มุสาปิ ภณติฯ ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อชานตํ อปสฺสตํ อเวทยตํ ตณฺหานุคตานํ ปริตสฺสิตํ วิปฺผนฺทิตเมว (อ. นิ. ๓.๕๔)ฯ
Ratto kho, āvuso, rāgena abhibhūto pariyādinnacitto pāṇampi hanati, adinnampi ādiyati, sandhimpi chindati, nillopampi harati, ekāgārikampi karoti, paripanthepi tiṭṭhati, paradārampi gacchati, musāpi bhaṇati. Tadapi tesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ ajānataṃ apassataṃ avedayataṃ taṇhānugatānaṃ paritassitaṃ vipphanditameva (a. ni. 3.54).
‘‘ตณฺหาทุติโย ปุริโส, ทีฆมทฺธาน สํสรํ;
‘‘Taṇhādutiyo puriso, dīghamaddhāna saṃsaraṃ;
อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ, สํสารํ นาติวตฺตติ’’ฯ (อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕);
Itthabhāvaññathābhāvaṃ, saṃsāraṃ nātivattati’’. (itivu. 15, 105);
‘‘นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ, นตฺถิ โทสสโม กลิ’’ฯ (ธ. ป. ๒๐๒, ๒๕๑);
‘‘Natthi rāgasamo aggi, natthi dosasamo kali’’. (dha. pa. 202, 251);
‘‘กามราเคน ฑยฺหามิ, จิตฺตํ เม ปริฑยฺหติ’’ฯ (สํ. นิ. ๑.๒๑๒);
‘‘Kāmarāgena ḍayhāmi, cittaṃ me pariḍayhati’’. (saṃ. ni. 1.212);
‘‘เย ราครตฺตานุปตนฺติ โสตํ, สยํกตํ มกฺกฎโกว ชาล’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๔๗) จ –
‘‘Ye rāgarattānupatanti sotaṃ, sayaṃkataṃ makkaṭakova jāla’’nti. (dha. pa. 347) ca –
เอวมาทิสุตฺตปทานุสาเรน นานานเยหิ โลภสฺส อาทีนวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ตสฺส ปหานาย ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ
Evamādisuttapadānusārena nānānayehi lobhassa ādīnavaṃ paccavekkhitvā tassa pahānāya paṭipajjitabbaṃ.
อปิจ ฉ ธมฺมา กามราคสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ, อสุภนิมิตฺตสฺส อุคฺคโห, อสุภภาวนานุโยโค, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา, โภชเน มตฺตญฺญุตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติฯ ทสวิธญฺหิ อสุภนิมิตฺตํ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ กามราโค ปหียติ, กายคตาสติภาวนาวเสน สวิญฺญาณเก อุทฺธุมาตกาทิวเสน อวิญฺญาณเก อสุเภ อสุภภาวนานุโยคมนุยุตฺตสฺสาปิ, มนจฺฉเฎฺฐสุ อินฺทฺริเยสุ สํวรณวเสน สติกวาเฎน ปิหิตทฺวารสฺสาปิ , จตุนฺนํ ปญฺจนฺนํ วา อาโลปานํ โอกาเส สติ อุทกํ ปิวิตฺวา ยาปนสีลตาย โภชเน มตฺตญฺญุโนปิฯ เตเนวาห –
Apica cha dhammā kāmarāgassa pahānāya saṃvattanti, asubhanimittassa uggaho, asubhabhāvanānuyogo, indriyesu guttadvāratā, bhojane mattaññutā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti. Dasavidhañhi asubhanimittaṃ uggaṇhantassāpi kāmarāgo pahīyati, kāyagatāsatibhāvanāvasena saviññāṇake uddhumātakādivasena aviññāṇake asubhe asubhabhāvanānuyogamanuyuttassāpi, manacchaṭṭhesu indriyesu saṃvaraṇavasena satikavāṭena pihitadvārassāpi , catunnaṃ pañcannaṃ vā ālopānaṃ okāse sati udakaṃ pivitvā yāpanasīlatāya bhojane mattaññunopi. Tenevāha –
‘‘จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป, อภุตฺวา อุทกํ ปิเว;
‘‘Cattāro pañca ālope, abhutvā udakaṃ pive;
อลํ ผาสุวิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ (เถรคา. ๙๘๓);
Alaṃ phāsuvihārāya, pahitattassa bhikkhuno’’ti. (theragā. 983);
อสุภกมฺมฎฺฐานภาวนารเต กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ทสอสุภนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตเนวาห –
Asubhakammaṭṭhānabhāvanārate kalyāṇamitte sevantassāpi, ṭhānanisajjādīsu dasaasubhanissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tenevāha –
‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อสุภนิมิตฺตํ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส อนุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานายา’’ติฯ
‘‘Atthi, bhikkhave, asubhanimittaṃ, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā kāmacchandassa anuppādāya uppannassa vā kāmacchandassa pahānāyā’’ti.
เอวํ ปุพฺพภาเค กามราคสงฺขาตสฺส โลภสฺส ปหานาย ปฎิปโนฺน วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา ตติยมเคฺคน ตํ อนวเสสโต สมุจฺฉินฺทติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘โลภํ, ภิกฺขเว, เอกธมฺมํ ปชหถ, อหํ โว ปาฎิโภโค อนาคามิตายา’’ติฯ
Evaṃ pubbabhāge kāmarāgasaṅkhātassa lobhassa pahānāya paṭipanno vipassanaṃ ussukkāpetvā tatiyamaggena taṃ anavasesato samucchindati. Tena vuttaṃ ‘‘lobhaṃ, bhikkhave, ekadhammaṃ pajahatha, ahaṃ vo pāṭibhogo anāgāmitāyā’’ti.
เอตฺถาห ‘‘โก ปเนตฺถ โลโภ ปหียติ, กิํ อตีโต, อถ อนาคโต, อุทาหุ ปจฺจุปฺปโนฺน’’ติ? กิเญฺจตฺถ – น ตาว อตีโต โลโภ ปหีเยยฺย, น อนาคโต วา เตสํ อภาวโตฯ น หิ นิรุทฺธํ อนุปฺปนฺนํ วา อตฺถีติ วุจฺจติ, วายาโม จ อผโล อาปชฺชติฯ อถ ปจฺจุปฺปโนฺน, เอวมฺปิ อผโล วายาโม ตสฺส สรสภงฺคตฺตา, สํกิลิฎฺฐา จ มคฺคภาวนา อาปชฺชติ, จิตฺตวิปฺปยุโตฺต วา โลโภ สิยา, น จายํ นโย อิจฺฉิโตติฯ วุจฺจเต – น วุตฺตนเยน อตีตานาคตปจฺจุปฺปโนฺน โลโภ ปหียติฯ เสยฺยถาปิ อิธ ตรุณรุโกฺข อสญฺชาตผโล, ตํ ปุริโส กุฐาริยา มูเล ฉิเนฺทยฺย, ตสฺส รุกฺขสฺส เฉเท อสติ ยานิ ผลานิ นิพฺพเตฺตยฺยุํ, ตานิ รุกฺขสฺส ฉินฺนตฺตา อชาตานิ เอว น ชาเยยฺยุํ, เอวเมว อริยมคฺคาธิคเม อสติ อุปฺปชฺชนารโห โลโภ อริยมคฺคาธิคเมน ปจฺจยฆาตสฺส กตตฺตา น อุปฺปชฺชติฯ อยญฺหิ อฎฺฐกถาสุ ‘‘ภูมิลทฺธุปฺปโนฺน’’ติ วุจฺจติฯ วิปสฺสนาย หิ อารมฺมณภูตา ปญฺจกฺขนฺธา ตสฺส อุปฺปชฺชนฎฺฐานตาย ภูมิ นามฯ สา ภูมิ เตน ลทฺธาติ กตฺวา ภูมิลทฺธุปฺปโนฺนฯ อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปโนฺน อวิกฺขมฺภิตุปฺปโนฺน อสมูหตุปฺปโนฺนติ จ อยเมว วุจฺจติฯ
Etthāha ‘‘ko panettha lobho pahīyati, kiṃ atīto, atha anāgato, udāhu paccuppanno’’ti? Kiñcettha – na tāva atīto lobho pahīyeyya, na anāgato vā tesaṃ abhāvato. Na hi niruddhaṃ anuppannaṃ vā atthīti vuccati, vāyāmo ca aphalo āpajjati. Atha paccuppanno, evampi aphalo vāyāmo tassa sarasabhaṅgattā, saṃkiliṭṭhā ca maggabhāvanā āpajjati, cittavippayutto vā lobho siyā, na cāyaṃ nayo icchitoti. Vuccate – na vuttanayena atītānāgatapaccuppanno lobho pahīyati. Seyyathāpi idha taruṇarukkho asañjātaphalo, taṃ puriso kuṭhāriyā mūle chindeyya, tassa rukkhassa chede asati yāni phalāni nibbatteyyuṃ, tāni rukkhassa chinnattā ajātāni eva na jāyeyyuṃ, evameva ariyamaggādhigame asati uppajjanāraho lobho ariyamaggādhigamena paccayaghātassa katattā na uppajjati. Ayañhi aṭṭhakathāsu ‘‘bhūmiladdhuppanno’’ti vuccati. Vipassanāya hi ārammaṇabhūtā pañcakkhandhā tassa uppajjanaṭṭhānatāya bhūmi nāma. Sā bhūmi tena laddhāti katvā bhūmiladdhuppanno. Ārammaṇādhiggahituppanno avikkhambhituppanno asamūhatuppannoti ca ayameva vuccati.
ตตฺถาติ ตสฺมิํ สุเตฺตฯ เอตนฺติ เอตํ อตฺถชาตํฯ อิทานิ คาถาพนฺธวเสน วุจฺจมานํฯ อิติ วุจฺจตีติ เกน ปน วุจฺจติ? ภควตา วฯ อเญฺญสุ หิ ตาทิเสสุ ฐาเนสุ สงฺคีติกาเรหิ อุปนิพนฺธคาถา โหนฺติ, อิธ ปน ภควตา ว คาถารุจิกานํ ปุคฺคลานํ อชฺฌาสยวเสน วุตฺตเมวตฺถํ สงฺคเหตฺวา คาถา ภาสิตาฯ
Tatthāti tasmiṃ sutte. Etanti etaṃ atthajātaṃ. Idāni gāthābandhavasena vuccamānaṃ. Iti vuccatīti kena pana vuccati? Bhagavatā va. Aññesu hi tādisesu ṭhānesu saṅgītikārehi upanibandhagāthā honti, idha pana bhagavatā va gāthārucikānaṃ puggalānaṃ ajjhāsayavasena vuttamevatthaṃ saṅgahetvā gāthā bhāsitā.
ตตฺถ เยน โลเภน ลุทฺธาเส, สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคตินฺติ เยน อารมฺมณคฺคหณลกฺขเณน ตโต เอว อภิสงฺครเสน โลเภน ลุทฺธา อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ อายตเนสุ คิทฺธา คธิตาฯ เสติ หิ นิปาตมตฺตํฯ อกฺขรจินฺตกา ปน อีทิเสสุ ฐาเนสุ เส-การาคมํ อิจฺฉนฺติฯ ตถา ลุทฺธตฺตา เอว กายสุจริตาทีสุ กิญฺจิ สุจริตํ อกตฺวา กายทุจฺจริตาทีนิ จ อุปจินิตฺวา รูปาทีสุ สตฺตวิสตฺตตาย สตฺตาติ ลทฺธนามา ปาณิโน ทุกฺขสฺส นิพฺพตฺติฎฺฐานตาย ทุคฺคตีติ สงฺขํ คตํ นิรยํ ติรจฺฉานโยนิํ เปตฺติวิสยญฺจ ปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน คจฺฉนฺติ อุปปชฺชนฺติฯ
Tattha yena lobhena luddhāse, sattā gacchanti duggatinti yena ārammaṇaggahaṇalakkhaṇena tato eva abhisaṅgarasena lobhena luddhā ajjhattikabāhiresu āyatanesu giddhā gadhitā. Seti hi nipātamattaṃ. Akkharacintakā pana īdisesu ṭhānesu se-kārāgamaṃ icchanti. Tathā luddhattā eva kāyasucaritādīsu kiñci sucaritaṃ akatvā kāyaduccaritādīni ca upacinitvā rūpādīsu sattavisattatāya sattāti laddhanāmā pāṇino dukkhassa nibbattiṭṭhānatāya duggatīti saṅkhaṃ gataṃ nirayaṃ tiracchānayoniṃ pettivisayañca paṭisandhiggahaṇavasena gacchanti upapajjanti.
ตํ โลภํ สมฺมทญฺญาย, ปชหนฺติ วิปสฺสิโนติ ตํ ยถาวุตฺตํ โลภํ สภาวโต สมุทยโต อตฺถงฺคมโต อสฺสาทโต อาทีนวโต นิสฺสรณโตติ อิเมหิ อากาเรหิ สมฺมา อวิปรีตํ เหตุนา ญาเยน อญฺญาย ญาตตีรณปริญฺญาสงฺขาตาย ปญฺญาย ชานิตฺวา รูปาทิเก ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธ อนิจฺจาทีหิ วิวิเธหิ อากาเรหิ ปสฺสนโต วิปสฺสิโน อวสิฎฺฐกิเลเส วิปสฺสนาปญฺญาปุพฺพงฺคมาย มคฺคปญฺญาย สมุเจฺฉทปฺปหานวเสน ปชหนฺติ, น ปุน อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปชฺชิตุํ เทนฺติฯ ปหาย น ปุนายนฺติ, อิมํ โลกํ กุทาจนนฺติ เอวํ สหเชกฎฺฐปหาเนกเฎฺฐหิ อวสิฎฺฐกิเลเสหิ สทฺธิํ ตํ โลภํ อนาคามิมเคฺคน ปชหิตฺวา ปุน ปจฺฉา อิมํ กามธาตุสงฺขาตํ โลกํ ปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน กทาจิปิ น อาคจฺฉนฺติ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ สุปฺปหีนตฺตาฯ อิติ ภควา อนาคามิผเลน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ
Taṃ lobhaṃ sammadaññāya, pajahanti vipassinoti taṃ yathāvuttaṃ lobhaṃ sabhāvato samudayato atthaṅgamato assādato ādīnavato nissaraṇatoti imehi ākārehi sammā aviparītaṃ hetunā ñāyena aññāya ñātatīraṇapariññāsaṅkhātāya paññāya jānitvā rūpādike pañcupādānakkhandhe aniccādīhi vividhehi ākārehi passanato vipassino avasiṭṭhakilese vipassanāpaññāpubbaṅgamāya maggapaññāya samucchedappahānavasena pajahanti, na puna attano santāne uppajjituṃ denti. Pahāyana punāyanti, imaṃ lokaṃ kudācananti evaṃ sahajekaṭṭhapahānekaṭṭhehi avasiṭṭhakilesehi saddhiṃ taṃ lobhaṃ anāgāmimaggena pajahitvā puna pacchā imaṃ kāmadhātusaṅkhātaṃ lokaṃ paṭisandhiggahaṇavasena kadācipi na āgacchanti orambhāgiyānaṃ saṃyojanānaṃ suppahīnattā. Iti bhagavā anāgāmiphalena desanaṃ niṭṭhāpesi.
อยมฺปิ อโตฺถติ นิทานาวสานโต ปภุติ ยาว คาถาปริโยสานา อิมินา สุเตฺตน ปกาสิโต อโตฺถฯ อปิ-สโทฺท อิทานิ วกฺขมานสุตฺตตฺถสมฺปิณฺฑโนฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต สมุทยสจฺจํ สรูเปเนว อาคตํ, ปหานาปเทเสน มคฺคสจฺจํฯ อิตรํ สจฺจทฺวยญฺจ ตทุภยเหตุตาย นิทฺธาเรตพฺพํฯ คาถาย ปน ทุกฺขสมุทยมคฺคสจฺจานิ ยถารุตวเสเนว ญายนฺติ, อิตรํ นิทฺธาเรตพฺพํฯ เอเสว นโย อิโต ปเรสุปิ สุเตฺตสุฯ
Ayampi atthoti nidānāvasānato pabhuti yāva gāthāpariyosānā iminā suttena pakāsito attho. Api-saddo idāni vakkhamānasuttatthasampiṇḍano. Sesaṃ vuttanayameva. Imasmiṃ sutte samudayasaccaṃ sarūpeneva āgataṃ, pahānāpadesena maggasaccaṃ. Itaraṃ saccadvayañca tadubhayahetutāya niddhāretabbaṃ. Gāthāya pana dukkhasamudayamaggasaccāni yathārutavaseneva ñāyanti, itaraṃ niddhāretabbaṃ. Eseva nayo ito paresupi suttesu.
ปรมตฺถทีปนิยา ขุทฺทกนิกาย-อฎฺฐกถาย
Paramatthadīpaniyā khuddakanikāya-aṭṭhakathāya
อิติวุตฺตกวณฺณนาย ปฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Itivuttakavaṇṇanāya paṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑. โลภสุตฺตํ • 1. Lobhasuttaṃ