Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๑๔] ๔. โลหกุมฺภิชาตกวณฺณนา

    [314] 4. Lohakumbhijātakavaṇṇanā

    ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โกสลราชานํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา กิร โกสลราชา รตฺติภาเค จตุนฺนํ เนรยิกสตฺตานํ สทฺทํ สุณิฯ เอโก ทุ-การเมว ภณิ, เอโก -การํ, เอโก -การํ, เอโก โส-การเมวาติฯ เต กิร อตีตภเว สาวตฺถิยํเยว ปารทาริกา ราชปุตฺตา อเหสุํฯ เต ปเรสํ รกฺขิตโคปิตมาตุคาเมสุ อปรชฺฌิตฺวา จิตฺตเกฬิํ กีฬนฺตา พหุํ ปาปกมฺมํ กตฺวา มรณจเกฺกน ฉินฺนา สาวตฺถิสามเนฺต จตูสุ โลหกุมฺภีสุ นิพฺพตฺตา สฎฺฐิ วสฺสสหสฺสานิ ตตฺถ ปจฺจิตฺวา อุคฺคตา โลหกุมฺภิมุขวฎฺฎิํ ทิสฺวา ‘‘กทา นุ โข อิมมฺหา ทุกฺขา มุจฺจิสฺสามา’’ติ จตฺตาโรปิ มหเนฺตน สเทฺทน อนุปฎิปาฎิยา วิรวิํสุฯ ราชา เตสํ สทฺทํ สุตฺวา มรณภยตชฺชิโต นิสินฺนโกว อรุณํ อุฎฺฐาเปสิฯ

    Dujjīvitamajīvimhāti idaṃ satthā jetavane viharanto kosalarājānaṃ ārabbha kathesi. Tadā kira kosalarājā rattibhāge catunnaṃ nerayikasattānaṃ saddaṃ suṇi. Eko du-kārameva bhaṇi, eko sa-kāraṃ, eko na-kāraṃ, eko so-kāramevāti. Te kira atītabhave sāvatthiyaṃyeva pāradārikā rājaputtā ahesuṃ. Te paresaṃ rakkhitagopitamātugāmesu aparajjhitvā cittakeḷiṃ kīḷantā bahuṃ pāpakammaṃ katvā maraṇacakkena chinnā sāvatthisāmante catūsu lohakumbhīsu nibbattā saṭṭhi vassasahassāni tattha paccitvā uggatā lohakumbhimukhavaṭṭiṃ disvā ‘‘kadā nu kho imamhā dukkhā muccissāmā’’ti cattāropi mahantena saddena anupaṭipāṭiyā viraviṃsu. Rājā tesaṃ saddaṃ sutvā maraṇabhayatajjito nisinnakova aruṇaṃ uṭṭhāpesi.

    อรุณุคฺคมนเวลาย พฺราหฺมณา อาคนฺตฺวา ราชานํ สุขสยิตํ ปุจฺฉิํสุฯ ราชา ‘‘กุโต เม อาจริยา สุขสยิตํ, อชฺชาหํ เอวรูเป จตฺตาโร ภิํสนกสเทฺท สุณิ’’นฺติฯ พฺราหฺมณา หเตฺถ วิธุนิํสุฯ ‘‘กิํ อาจริยา’’ติ? ‘‘สาหสิกสทฺทา, มหาราชา’’ติฯ ‘‘สปฎิกมฺมา อปฺปฎิกมฺมา’’ติ? ‘‘กามํ อปฺปฎิกมฺมา, มยํ ปน สุสิกฺขิตา, มหาราชา’’ติฯ ‘‘กิํ กตฺวา ปฎิพาหิสฺสถา’’ติ? ‘‘มหาราช, ปฎิกมฺมํ มหนฺตํ น สกฺกา กาตุํ, มยํ ปน สพฺพจตุกฺกํ ยญฺญํ ยชิตฺวา หาเรสฺสามา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ขิปฺปํ จตฺตาโร หตฺถี จตฺตาโร อเสฺส จตฺตาโร อุสเภ จตฺตาโร มนุเสฺสติ ลฎุกิกสกุณิกา อาทิํ กตฺวา จตฺตาโร จตฺตาโร ปาเณ คเหตฺวา สพฺพจตุกฺกยญฺญํ ยชิตฺวา มม โสตฺถิภาวํ กโรถา’’ติฯ ‘‘สาธุ, มหาราชา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เยนโตฺถ, ตํ คเหตฺวา ยญฺญาวาฎํ ปจฺจุปฎฺฐเปสุํ, พหุปาเณ ถูณูปนีเต กตฺวา ฐเปสุํฯ ‘‘พหุํ มจฺฉมํสํ ขาทิสฺสาม, พหุํ ธนํ ลภิสฺสามา’’ติ อุสฺสาหปฺปตฺตา หุตฺวา ‘‘อิทํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, อิทํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, เทวา’’ติ อปราปรํ จรนฺติฯ

    Aruṇuggamanavelāya brāhmaṇā āgantvā rājānaṃ sukhasayitaṃ pucchiṃsu. Rājā ‘‘kuto me ācariyā sukhasayitaṃ, ajjāhaṃ evarūpe cattāro bhiṃsanakasadde suṇi’’nti. Brāhmaṇā hatthe vidhuniṃsu. ‘‘Kiṃ ācariyā’’ti? ‘‘Sāhasikasaddā, mahārājā’’ti. ‘‘Sapaṭikammā appaṭikammā’’ti? ‘‘Kāmaṃ appaṭikammā, mayaṃ pana susikkhitā, mahārājā’’ti. ‘‘Kiṃ katvā paṭibāhissathā’’ti? ‘‘Mahārāja, paṭikammaṃ mahantaṃ na sakkā kātuṃ, mayaṃ pana sabbacatukkaṃ yaññaṃ yajitvā hāressāmā’’ti. ‘‘Tena hi khippaṃ cattāro hatthī cattāro asse cattāro usabhe cattāro manusseti laṭukikasakuṇikā ādiṃ katvā cattāro cattāro pāṇe gahetvā sabbacatukkayaññaṃ yajitvā mama sotthibhāvaṃ karothā’’ti. ‘‘Sādhu, mahārājā’’ti sampaṭicchitvā yenattho, taṃ gahetvā yaññāvāṭaṃ paccupaṭṭhapesuṃ, bahupāṇe thūṇūpanīte katvā ṭhapesuṃ. ‘‘Bahuṃ macchamaṃsaṃ khādissāma, bahuṃ dhanaṃ labhissāmā’’ti ussāhappattā hutvā ‘‘idaṃ laddhuṃ vaṭṭati, idaṃ laddhuṃ vaṭṭati, devā’’ti aparāparaṃ caranti.

    มลฺลิกา เทวี ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กิํ นุ โข, มหาราช, พฺราหฺมณา อติวิย อุสฺสาหยนฺตา วิจรนฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทวิ กิํ ตุยฺหิมินา, ตฺวํ อตฺตโน ยเสเนว มตฺตา ปมตฺตา, ทุกฺขํ ปน อมฺหากเมว น ชานาสี’’ติ? ‘‘กิํ , มหาราชา’’ติฯ ‘‘เทวิ, อหํ เอวรูปํ นาม อโสตพฺพํ สุณิํ, ตโต อิเมสํ สทฺทานํ สุตตฺตา ‘‘กิํ ภวิสฺสตี’’ติ พฺราหฺมเณ ปุจฺฉิํ, พฺราหฺมณา ‘‘ตุมฺหากํ มหาราช รชฺชสฺส วา โภคานํ วา ชีวิตสฺส วา อนฺตราโย ปญฺญายติ, สพฺพจตุเกฺกน ยญฺญํ ยชิตฺวา โสตฺถิภาวํ กริสฺสามา’’ติ วทิํสุ, เต มยฺหํ วจนํ คเหตฺวา ยญฺญาวาฎํ กตฺวา เยน เยนโตฺถ, ตสฺส ตสฺส การณา อาคจฺฉนฺตี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน เทว, อิเมสํ สทฺทานํ นิปฺผตฺติํ สเทวเก โลเก อคฺคพฺราหฺมณํ ปุจฺฉิตฺถา’’ติ? ‘‘โก เอส เทวิ, สเทวเก โลเก อคฺคพฺราหฺมโณ นามา’’ติ? ‘‘มหาโคตโม สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติฯ ‘‘เทวิ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ เม น ปุจฺฉิโต’’ติ? ‘‘เตน หิ คนฺตฺวา ปุจฺฉถา’’ติฯ

    Mallikā devī rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘kiṃ nu kho, mahārāja, brāhmaṇā ativiya ussāhayantā vicarantī’’ti pucchi. ‘‘Devi kiṃ tuyhiminā, tvaṃ attano yaseneva mattā pamattā, dukkhaṃ pana amhākameva na jānāsī’’ti? ‘‘Kiṃ , mahārājā’’ti. ‘‘Devi, ahaṃ evarūpaṃ nāma asotabbaṃ suṇiṃ, tato imesaṃ saddānaṃ sutattā ‘‘kiṃ bhavissatī’’ti brāhmaṇe pucchiṃ, brāhmaṇā ‘‘tumhākaṃ mahārāja rajjassa vā bhogānaṃ vā jīvitassa vā antarāyo paññāyati, sabbacatukkena yaññaṃ yajitvā sotthibhāvaṃ karissāmā’’ti vadiṃsu, te mayhaṃ vacanaṃ gahetvā yaññāvāṭaṃ katvā yena yenattho, tassa tassa kāraṇā āgacchantī’’ti. ‘‘Kiṃ pana deva, imesaṃ saddānaṃ nipphattiṃ sadevake loke aggabrāhmaṇaṃ pucchitthā’’ti? ‘‘Ko esa devi, sadevake loke aggabrāhmaṇo nāmā’’ti? ‘‘Mahāgotamo sammāsambuddho’’ti. ‘‘Devi, sammāsambuddho me na pucchito’’ti? ‘‘Tena hi gantvā pucchathā’’ti.

    ราชา ตสฺสา วจนํ คเหตฺวา ภุตฺตปาตราโส รถวรมารุยฺห เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘อหํ, ภเนฺต, รตฺติภาเค จตฺตาโร สเทฺท สุตฺวา พฺราหฺมเณ ปุจฺฉิํ, เต ‘สพฺพจตุกฺกยญฺญํ ยชิตฺวา โสตฺถิํ กริสฺสามา’ติ วตฺวา ยญฺญาวาเฎ กมฺมํ กโรนฺติ, เตสํ สทฺทานํ สุตตฺตา มยฺหํ กิํ ภวิสฺสตี’’ติฯ ‘‘น กิญฺจิ, มหาราช, เนรยิกสตฺตา ทุกฺขมนุภวนฺตา เอวํ วิรวิํสุ, น อิเม สทฺทา อิทานิ ตยา เอว สุตา, โปราณกราชูหิปิ สุตาเยว, เตปิ พฺราหฺมเณ ปุจฺฉิตฺวา ปสุฆาตยญฺญํ กตฺตุกามา หุตฺวา ปณฺฑิตานํ กถํ สุตฺวา น กริํสุ, ปณฺฑิตา เตสํ สทฺทานํ อนฺตรํ กเถตฺวา มหาชนํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา โสตฺถิมกํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Rājā tassā vacanaṃ gahetvā bhuttapātarāso rathavaramāruyha jetavanaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā pucchi ‘‘ahaṃ, bhante, rattibhāge cattāro sadde sutvā brāhmaṇe pucchiṃ, te ‘sabbacatukkayaññaṃ yajitvā sotthiṃ karissāmā’ti vatvā yaññāvāṭe kammaṃ karonti, tesaṃ saddānaṃ sutattā mayhaṃ kiṃ bhavissatī’’ti. ‘‘Na kiñci, mahārāja, nerayikasattā dukkhamanubhavantā evaṃ viraviṃsu, na ime saddā idāni tayā eva sutā, porāṇakarājūhipi sutāyeva, tepi brāhmaṇe pucchitvā pasughātayaññaṃ kattukāmā hutvā paṇḍitānaṃ kathaṃ sutvā na kariṃsu, paṇḍitā tesaṃ saddānaṃ antaraṃ kathetvā mahājanaṃ vissajjāpetvā sotthimakaṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อญฺญตรสฺมิํ กาสิคาเม พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา กาเม ปหาย อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ อุปฺปาเทตฺวา ฌานกีฬํ กีฬโนฺต หิมวเนฺต รมณีเย วนสเณฺฑ วสติฯ ตทา พาราณสิราชา จตุนฺนํ เนรยิกานํ อิเมว จตฺตาโร สเทฺท สุตฺวา ภีตตสิโต อิมินาว นิยาเมน พฺราหฺมเณหิ ‘‘ติณฺณํ อนฺตรายานํ อญฺญตโร ภวิสฺสติ, สพฺพจตุกฺกยเญฺญน ตํ วูปสเมสฺสามา’’ติ วุเตฺต สมฺปฎิจฺฉิฯ ปุโรหิโต พฺราหฺมเณหิ สทฺธิํ ยญฺญาวาฎํ ปจฺจุปฎฺฐาเปสิ, มหาชโน ถูณูปนีโต อโหสิฯ ตทา โพธิสโตฺต เมตฺตาภาวนํ ปุเรจาริกํ กตฺวา ทิพฺพจกฺขุนา โลกํ โอโลเกโนฺต อิมํ การณํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช, มยา คนฺตุํ วฎฺฎติ, มหาชนสฺส โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ อิทฺธิพเลน เวหาสํ อุปฺปติตฺวา พาราณสิรโญฺญ อุยฺยาเน โอตริตฺวา มงฺคลสิลาปเฎฺฎ กญฺจนรูปกํ วิย นิสีทิฯ ตทา ปุโรหิตสฺส เชฎฺฐเนฺตวาสิโก อาจริยํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘นนุ, อาจริย, อมฺหากํ เวเทสุ ปรํ มาเรตฺวา โสตฺถิกรณํ นาม นตฺถี’’ติ อาหฯ ปุโรหิโต ‘‘ตฺวํ ราชธนํ รกฺขสิ, พหุํ มจฺฉมํสํ ขาทิสฺสาม, ธนํ ลภิสฺสาม, ตุณฺหี โหหี’’ติ ตํ ปฎิพาหิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto aññatarasmiṃ kāsigāme brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto kāmesu ādīnavaṃ disvā kāme pahāya isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca uppādetvā jhānakīḷaṃ kīḷanto himavante ramaṇīye vanasaṇḍe vasati. Tadā bārāṇasirājā catunnaṃ nerayikānaṃ imeva cattāro sadde sutvā bhītatasito imināva niyāmena brāhmaṇehi ‘‘tiṇṇaṃ antarāyānaṃ aññataro bhavissati, sabbacatukkayaññena taṃ vūpasamessāmā’’ti vutte sampaṭicchi. Purohito brāhmaṇehi saddhiṃ yaññāvāṭaṃ paccupaṭṭhāpesi, mahājano thūṇūpanīto ahosi. Tadā bodhisatto mettābhāvanaṃ purecārikaṃ katvā dibbacakkhunā lokaṃ olokento imaṃ kāraṇaṃ disvā ‘‘ajja, mayā gantuṃ vaṭṭati, mahājanassa sotthi bhavissatī’’ti iddhibalena vehāsaṃ uppatitvā bārāṇasirañño uyyāne otaritvā maṅgalasilāpaṭṭe kañcanarūpakaṃ viya nisīdi. Tadā purohitassa jeṭṭhantevāsiko ācariyaṃ upasaṅkamitvā ‘‘nanu, ācariya, amhākaṃ vedesu paraṃ māretvā sotthikaraṇaṃ nāma natthī’’ti āha. Purohito ‘‘tvaṃ rājadhanaṃ rakkhasi, bahuṃ macchamaṃsaṃ khādissāma, dhanaṃ labhissāma, tuṇhī hohī’’ti taṃ paṭibāhi.

    โส ‘‘นาหํ เอตฺถ สหาโย ภวิสฺสามี’’ติ นิกฺขมิตฺวา ราชุยฺยานํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา กตปฎิสนฺถาโร เอกมนฺตํ นิสีทิฯ โพธิสโตฺต ‘‘กิํ, มาณว, ราชา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภเนฺต, ราชา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรติ, รตฺติภาเค ปน จตฺตาโร สเทฺท สุตฺวา พฺราหฺมเณ ปุจฺฉิฯ พฺราหฺมณา ‘สพฺพจตุกฺกยญฺญํ ยชิตฺวา โสตฺถิํ กริสฺสามา’’’ติ วทิํสุฯ ราชา ปสุฆาตกมฺมํ กตฺวา อตฺตโน โสตฺถิํ กาตุกาโม มหาชโน ถูณูปนีโต, ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต, ตุมฺหาทิสานํ สีลวนฺตานํ เตสํ สทฺทานํ นิปฺผตฺติํ วตฺวา มหาชนํ มรณมุขา โมเจตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘มาณว, ราชา อเมฺห น ชานาติ, มยมฺปิ ตํ น ชานาม, อิเมสํ ปน สทฺทานํ นิปฺผตฺติํ ชานาม, สเจ ราชา อเมฺห อุปสงฺกมิตฺวา ปุเจฺฉยฺย, ราชานํ นิกฺกงฺขํ กตฺวา กเถสฺสามา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, มุหุตฺตํ อิเธว โหถ, อหํ ราชานํ อาเนสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, มาณวา’’ติฯ โส คนฺตฺวา รโญฺญ ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ราชานํ อาเนสิฯ

    So ‘‘nāhaṃ ettha sahāyo bhavissāmī’’ti nikkhamitvā rājuyyānaṃ gantvā bodhisattaṃ disvā vanditvā katapaṭisanthāro ekamantaṃ nisīdi. Bodhisatto ‘‘kiṃ, māṇava, rājā dhammena rajjaṃ kāretī’’ti pucchi. ‘‘Bhante, rājā dhammena rajjaṃ kāreti, rattibhāge pana cattāro sadde sutvā brāhmaṇe pucchi. Brāhmaṇā ‘sabbacatukkayaññaṃ yajitvā sotthiṃ karissāmā’’’ti vadiṃsu. Rājā pasughātakammaṃ katvā attano sotthiṃ kātukāmo mahājano thūṇūpanīto, ‘‘kiṃ nu kho, bhante, tumhādisānaṃ sīlavantānaṃ tesaṃ saddānaṃ nipphattiṃ vatvā mahājanaṃ maraṇamukhā mocetuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Māṇava, rājā amhe na jānāti, mayampi taṃ na jānāma, imesaṃ pana saddānaṃ nipphattiṃ jānāma, sace rājā amhe upasaṅkamitvā puccheyya, rājānaṃ nikkaṅkhaṃ katvā kathessāmā’’ti. ‘‘Tena hi, bhante, muhuttaṃ idheva hotha, ahaṃ rājānaṃ ānessāmī’’ti. ‘‘Sādhu, māṇavā’’ti. So gantvā rañño tamatthaṃ ārocetvā rājānaṃ ānesi.

    อถ ราชา โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ปุจฺฉิ ‘‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห มยา สุตสทฺทานํ นิปฺผตฺติํ ชานาถา’’ติ? ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘กเถถ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘มหาราช, เอเต ปุริมภเว ปเรสํ รกฺขิตโคปิเตสุ ทาเรสุ จาริตฺตํ อาปชฺชิตฺวา พาราณสิสามเนฺต จตูสุ โลหกุมฺภีสุ นิพฺพตฺตา ปกฺกุถิเต ขารโลโหทเก เผณุเทฺทหกํ ปจฺจมานา ติํส วสฺสสหสฺสานิ อโธ คนฺตฺวา กุมฺภิตลํ อาหจฺจ อุทฺธํ อาโรหนฺตา ติํสวสฺสสหเสฺสเนว กาเลน กุมฺภิมุขํ ทิสฺวา พหิ โอโลเกตฺวา จตฺตาโร ชนา จตโสฺส คาถา ปริปุณฺณํ กตฺวา วตฺตุกามาปิ ตถา กาตุํ อสโกฺกนฺตา เอเกกเมว อกฺขรํ วตฺวา ปุน โลหกุมฺภีสุเยว นิมุคฺคาฯ เตสุ ทุ-การํ วตฺวา นิมุคฺคสโตฺต เอวํ วตฺตุกาโม อโหสิ –

    Atha rājā bodhisattaṃ vanditvā ekamantaṃ nisinno pucchi ‘‘saccaṃ kira tumhe mayā sutasaddānaṃ nipphattiṃ jānāthā’’ti? ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Kathetha, bhante’’ti. ‘‘Mahārāja, ete purimabhave paresaṃ rakkhitagopitesu dāresu cārittaṃ āpajjitvā bārāṇasisāmante catūsu lohakumbhīsu nibbattā pakkuthite khāralohodake pheṇuddehakaṃ paccamānā tiṃsa vassasahassāni adho gantvā kumbhitalaṃ āhacca uddhaṃ ārohantā tiṃsavassasahasseneva kālena kumbhimukhaṃ disvā bahi oloketvā cattāro janā catasso gāthā paripuṇṇaṃ katvā vattukāmāpi tathā kātuṃ asakkontā ekekameva akkharaṃ vatvā puna lohakumbhīsuyeva nimuggā. Tesu du-kāraṃ vatvā nimuggasatto evaṃ vattukāmo ahosi –

    ๕๓.

    53.

    ‘ทุชฺชีวิตมชีวิมฺห , เย สเนฺต น ททมฺหเส;

    ‘Dujjīvitamajīvimha , ye sante na dadamhase;

    วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ, ทีปํ นากมฺห อตฺตโน’ติฯ –

    Vijjamānesu bhogesu, dīpaṃ nākamha attano’ti. –

    ตํ คาถํ ปริปุณฺณํ กาตุํ นาสกฺขี’’ติ วตฺวา โพธิสโตฺต อตฺตโน ญาเณน ตํ คาถํ ปริปุณฺณํ กตฺวา กเถสิฯ เสสาสุปิ เอเสว นโยฯ

    Taṃ gāthaṃ paripuṇṇaṃ kātuṃ nāsakkhī’’ti vatvā bodhisatto attano ñāṇena taṃ gāthaṃ paripuṇṇaṃ katvā kathesi. Sesāsupi eseva nayo.

    เตสุ -การํ วตฺวา วตฺตุกามสฺส อยํ คาถา –

    Tesu sa-kāraṃ vatvā vattukāmassa ayaṃ gāthā –

    ๕๔.

    54.

    ‘‘สฎฺฐิ วสฺสสหสฺสานิ, ปริปุณฺณานิ สพฺพโส;

    ‘‘Saṭṭhi vassasahassāni, paripuṇṇāni sabbaso;

    นิรเย ปจฺจมานานํ, กทา อโนฺต ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Niraye paccamānānaṃ, kadā anto bhavissatī’’ti.

    -การํ วตฺวา วตฺตุกามสฺส อยํ คาถา –

    Na-kāraṃ vatvā vattukāmassa ayaṃ gāthā –

    ๕๕.

    55.

    ‘‘นตฺถิ อโนฺต กุโต อโนฺต, น อโนฺต ปฎิทิสฺสติ;

    ‘‘Natthi anto kuto anto, na anto paṭidissati;

    ตทา หิ ปกตํ ปาปํ, มม ตุยฺหญฺจ มาริสา’’ติฯ

    Tadā hi pakataṃ pāpaṃ, mama tuyhañca mārisā’’ti.

    โส-การํ วตฺวา วตฺตุกามสฺส อยํ คาถา –

    So-kāraṃ vatvā vattukāmassa ayaṃ gāthā –

    ๕๖.

    56.

    ‘‘โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา, โยนิํ ลทฺธาน มานุสิํ;

    ‘‘Sohaṃ nūna ito gantvā, yoniṃ laddhāna mānusiṃ;

    วทญฺญู สีลสมฺปโนฺน, กาหามิ กุสลํ พหุ’’นฺติฯ

    Vadaññū sīlasampanno, kāhāmi kusalaṃ bahu’’nti.

    ตตฺถ ทุชฺชีวิตนฺติ ตีณิ ทุจฺจริตานิ จรโนฺต ทุชฺชีวิตํ ลามกชีวิตํ ชีวติ นาม, โสปิ ตเทว สนฺธายาห ‘‘ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา’’ติฯ เย สเนฺต น ททมฺหเสติ เย มยํ เทยฺยธเมฺม จ ปฎิคฺคาหเก จ สํวิชฺชมาเนเยว น ทานํ ททิมฺหฯ ทีปํ นากมฺห อตฺตโนติ อตฺตโน ปติฎฺฐํ น กริมฺหฯ ปริปุณฺณานีติ อนูนานิ อนธิกานิฯ สพฺพโสติ สพฺพากาเรนฯ ปจฺจมานานนฺติ อมฺหากํ อิมสฺมิํ นิรเย ปจฺจมานานํฯ

    Tattha dujjīvitanti tīṇi duccaritāni caranto dujjīvitaṃ lāmakajīvitaṃ jīvati nāma, sopi tadeva sandhāyāha ‘‘dujjīvitamajīvimhā’’ti. Ye sante na dadamhaseti ye mayaṃ deyyadhamme ca paṭiggāhake ca saṃvijjamāneyeva na dānaṃ dadimha. Dīpaṃ nākamha attanoti attano patiṭṭhaṃ na karimha. Paripuṇṇānīti anūnāni anadhikāni. Sabbasoti sabbākārena. Paccamānānanti amhākaṃ imasmiṃ niraye paccamānānaṃ.

    นตฺถิ อโนฺตติ ‘‘อมฺหากํ อสุกกาเล นาม โมโกฺข ภวิสฺสตี’’ติ เอวํ กาลปริเจฺฉโท นตฺถิฯ กุโต อโนฺตติ เกน การเณน อโนฺต ปญฺญายิสฺสติฯ น อโนฺตติ อนฺตํ ทฎฺฐุกามานมฺปิ โน ทุกฺขสฺส อโนฺต น ปฎิทิสฺสติฯ ตทา หิ ปกตนฺติ ตสฺมิํ กาเล มาริสา มม จ ตุยฺหญฺจ ปกตํ ปาปํ ปกฎฺฐํ กตํ อติพหุเมว กตํฯ ‘‘ตถา หิ ปกต’’นฺติปิ ปาโฐ, เตน การเณน กตํ, เยนสฺส อโนฺต ทฎฺฐุํ น สกฺกาติ อโตฺถฯ มาริสาติ มยา สทิสา, ปิยาลปนเมตํ เอเตสํฯ นูนาติ เอกํสเตฺถ นิปาโต, โส อหํ อิโต คนฺตฺวา โยนิํ มานุสิํ ลทฺธาน วทญฺญู สีลสมฺปโนฺน หุตฺวา เอกํเสเนว พหุํ กุสลํ กริสฺสามีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ

    Natthiantoti ‘‘amhākaṃ asukakāle nāma mokkho bhavissatī’’ti evaṃ kālaparicchedo natthi. Kuto antoti kena kāraṇena anto paññāyissati. Na antoti antaṃ daṭṭhukāmānampi no dukkhassa anto na paṭidissati. Tadā hi pakatanti tasmiṃ kāle mārisā mama ca tuyhañca pakataṃ pāpaṃ pakaṭṭhaṃ kataṃ atibahumeva kataṃ. ‘‘Tathā hi pakata’’ntipi pāṭho, tena kāraṇena kataṃ, yenassa anto daṭṭhuṃ na sakkāti attho. Mārisāti mayā sadisā, piyālapanametaṃ etesaṃ. Nūnāti ekaṃsatthe nipāto, so ahaṃ ito gantvā yoniṃ mānusiṃ laddhāna vadaññū sīlasampanno hutvā ekaṃseneva bahuṃ kusalaṃ karissāmīti ayamettha attho.

    อิติ โพธิสโตฺต เอกเมกํ คาถํ วตฺวา ‘‘มหาราช, โส เนรยิกสโตฺต อิมํ คาถํ ปริปุณฺณํ กตฺวา วตฺตุกาโม อตฺตโน ปาปสฺส มหนฺตตาย ตถา กเถตุํ นาสกฺขิ, อิติ โส อตฺตโน กมฺมวิปากํ อนุภวโนฺต วิรวิฯ ตุมฺหากํ เอตสฺส สทฺทสฺส สวนปจฺจยา อนฺตราโย นาม นตฺถิ, ตุเมฺห มา ภายิตฺถา’’ติ ราชานํ สญฺญาเปสิฯ ราชา มหาชนํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา สุวณฺณเภริํ จราเปตฺวา ยญฺญาวาฎํ วิทฺธํสาเปสิฯ โพธิสโตฺต มหาชนสฺส โสตฺถิํ กตฺวา กติปาหํ วสิตฺวา ตเตฺถว คนฺตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชิฯ

    Iti bodhisatto ekamekaṃ gāthaṃ vatvā ‘‘mahārāja, so nerayikasatto imaṃ gāthaṃ paripuṇṇaṃ katvā vattukāmo attano pāpassa mahantatāya tathā kathetuṃ nāsakkhi, iti so attano kammavipākaṃ anubhavanto viravi. Tumhākaṃ etassa saddassa savanapaccayā antarāyo nāma natthi, tumhe mā bhāyitthā’’ti rājānaṃ saññāpesi. Rājā mahājanaṃ vissajjāpetvā suvaṇṇabheriṃ carāpetvā yaññāvāṭaṃ viddhaṃsāpesi. Bodhisatto mahājanassa sotthiṃ katvā katipāhaṃ vasitvā tattheva gantvā aparihīnajjhāno brahmaloke uppajji.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปุโรหิตสฺส เชฎฺฐเนฺตวาสิกมาณโว สาริปุโตฺต อโหสิ, ตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā purohitassa jeṭṭhantevāsikamāṇavo sāriputto ahosi, tāpaso pana ahameva ahosi’’nti.

    โลหกุมฺภิชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ

    Lohakumbhijātakavaṇṇanā catutthā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๑๔. โลหกุมฺภิชาตกํ • 314. Lohakumbhijātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact