Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya |
๑๒. โลหิจฺจสุตฺตํ
12. Lohiccasuttaṃ
โลหิจฺจพฺราหฺมณวตฺถุ
Lohiccabrāhmaṇavatthu
๕๐๑. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหิ เยน สาลวติกา ตทวสริฯ เตน โข ปน สมเยน โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ สาลวติกํ อชฺฌาวสติ สตฺตุสฺสทํ สติณกโฎฺฐทกํ สธญฺญํ ราชโภคฺคํ รญฺญา ปเสนทินา โกสเลน ทินฺนํ ราชทายํ, พฺรหฺมเทยฺยํฯ
501. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā kosalesu cārikaṃ caramāno mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ pañcamattehi bhikkhusatehi yena sālavatikā tadavasari. Tena kho pana samayena lohicco brāhmaṇo sālavatikaṃ ajjhāvasati sattussadaṃ satiṇakaṭṭhodakaṃ sadhaññaṃ rājabhoggaṃ raññā pasenadinā kosalena dinnaṃ rājadāyaṃ, brahmadeyyaṃ.
๕๐๒. เตน โข ปน สมเยน โลหิจฺจสฺส พฺราหฺมณสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ – ‘‘อิธ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา กุสลํ ธมฺมํ อธิคเจฺฉยฺย, กุสลํ ธมฺมํ อธิคนฺตฺวา น ปรสฺส อาโรเจยฺย, กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปุราณํ พนฺธนํ ฉินฺทิตฺวา อญฺญํ นวํ พนฺธนํ กเรยฺย, เอวํสมฺปทมิทํ ปาปกํ โลภธมฺมํ วทามิ, กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสตี’’ติฯ
502. Tena kho pana samayena lohiccassa brāhmaṇassa evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ hoti – ‘‘idha samaṇo vā brāhmaṇo vā kusalaṃ dhammaṃ adhigaccheyya, kusalaṃ dhammaṃ adhigantvā na parassa āroceyya, kiñhi paro parassa karissati. Seyyathāpi nāma purāṇaṃ bandhanaṃ chinditvā aññaṃ navaṃ bandhanaṃ kareyya, evaṃsampadamidaṃ pāpakaṃ lobhadhammaṃ vadāmi, kiñhi paro parassa karissatī’’ti.
๕๐๓. อโสฺสสิ โข โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ – ‘‘สมโณ ขลุ, โภ, โคตโม สกฺยปุโตฺต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหิ สาลวติกํ อนุปฺปโตฺตฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต – ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา’ฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี’’ติฯ
503. Assosi kho lohicco brāhmaṇo – ‘‘samaṇo khalu, bho, gotamo sakyaputto sakyakulā pabbajito kosalesu cārikaṃ caramāno mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ pañcamattehi bhikkhusatehi sālavatikaṃ anuppatto. Taṃ kho pana bhavantaṃ gotamaṃ evaṃ kalyāṇo kittisaddo abbhuggato – ‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā’. So imaṃ lokaṃ sadevakaṃ samārakaṃ sabrahmakaṃ sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedeti. So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāseti. Sādhu kho pana tathārūpānaṃ arahataṃ dassanaṃ hotī’’ti.
๕๐๔. อถ โข โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ โรสิกํ 1 นฺหาปิตํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม โรสิเก, เยน สมโณ โคตโม เตนุปสงฺกม ; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ โคตมํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ – โลหิโจฺจ, โภ โคตม, พฺราหฺมโณ ภวนฺตํ โคตมํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี’’ติฯ เอวญฺจ วเทหิ – ‘‘อธิวาเสตุ กิร ภวํ โคตโม โลหิจฺจสฺส พฺราหฺมณสฺส สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนา’’ติฯ
504. Atha kho lohicco brāhmaṇo rosikaṃ 2 nhāpitaṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ, samma rosike, yena samaṇo gotamo tenupasaṅkama ; upasaṅkamitvā mama vacanena samaṇaṃ gotamaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ puccha – lohicco, bho gotama, brāhmaṇo bhavantaṃ gotamaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchatī’’ti. Evañca vadehi – ‘‘adhivāsetu kira bhavaṃ gotamo lohiccassa brāhmaṇassa svātanāya bhattaṃ saddhiṃ bhikkhusaṅghenā’’ti.
๕๐๕. ‘‘เอวํ, โภ’’ติ 3 โข โรสิกา นฺหาปิโต โลหิจฺจสฺส พฺราหฺมณสฺส ปฎิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โรสิกา นฺหาปิโต ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โลหิโจฺจ, ภเนฺต, พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติ; เอวญฺจ วเทติ – อธิวาเสตุ กิร, ภเนฺต, ภควา โลหิจฺจสฺส พฺราหฺมณสฺส สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนา’’ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ
505. ‘‘Evaṃ, bho’’ti 4 kho rosikā nhāpito lohiccassa brāhmaṇassa paṭissutvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho rosikā nhāpito bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘lohicco, bhante, brāhmaṇo bhagavantaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchati; evañca vadeti – adhivāsetu kira, bhante, bhagavā lohiccassa brāhmaṇassa svātanāya bhattaṃ saddhiṃ bhikkhusaṅghenā’’ti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena.
๕๐๖. อถ โข โรสิกา นฺหาปิโต ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา โลหิจฺจํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ – ‘‘อโวจุมฺหา โข มยํ โภโต 5 วจเนน ตํ ภควนฺตํ – ‘โลหิโจฺจ, ภเนฺต, พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติ; เอวญฺจ วเทติ – อธิวาเสตุ กิร, ภเนฺต, ภควา โลหิจฺจสฺส พฺราหฺมณสฺส สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนา’ติฯ อธิวุตฺถญฺจ ปน เตน ภควตา’’ติฯ
506. Atha kho rosikā nhāpito bhagavato adhivāsanaṃ viditvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā yena lohicco brāhmaṇo tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā lohiccaṃ brāhmaṇaṃ etadavoca – ‘‘avocumhā kho mayaṃ bhoto 6 vacanena taṃ bhagavantaṃ – ‘lohicco, bhante, brāhmaṇo bhagavantaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchati; evañca vadeti – adhivāsetu kira, bhante, bhagavā lohiccassa brāhmaṇassa svātanāya bhattaṃ saddhiṃ bhikkhusaṅghenā’ti. Adhivutthañca pana tena bhagavatā’’ti.
๕๐๗. อถ โข โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สเก นิเวสเน ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฎิยาทาเปตฺวา โรสิกํ นฺหาปิตํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม โรสิเก, เยน สมโณ โคตโม เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา สมณสฺส โคตมสฺส กาลํ อาโรเจหิ – กาโล โภ, โคตม, นิฎฺฐิตํ ภตฺต’’นฺติฯ ‘‘เอวํ, โภ’’ติ โข โรสิกา นฺหาปิโต โลหิจฺจสฺส พฺราหฺมณสฺส ปฎิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิ ฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข โรสิกา นฺหาปิโต ภควโต กาลํ อาโรเจสิ – ‘‘กาโล, ภเนฺต, นิฎฺฐิตํ ภตฺต’’นฺติฯ
507. Atha kho lohicco brāhmaṇo tassā rattiyā accayena sake nivesane paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ paṭiyādāpetvā rosikaṃ nhāpitaṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ, samma rosike, yena samaṇo gotamo tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā samaṇassa gotamassa kālaṃ ārocehi – kālo bho, gotama, niṭṭhitaṃ bhatta’’nti. ‘‘Evaṃ, bho’’ti kho rosikā nhāpito lohiccassa brāhmaṇassa paṭissutvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi . Ekamantaṃ ṭhito kho rosikā nhāpito bhagavato kālaṃ ārocesi – ‘‘kālo, bhante, niṭṭhitaṃ bhatta’’nti.
๕๐๘. อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน เยน สาลวติกา เตนุปสงฺกมิฯ เตน โข ปน สมเยน โรสิกา นฺหาปิโต ภควนฺตํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพโนฺธ โหติฯ อถ โข โรสิกา นฺหาปิโต ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โลหิจฺจสฺส, ภเนฺต, พฺราหฺมณสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ – ‘อิธ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา กุสลํ ธมฺมํ อธิคเจฺฉยฺย, กุสลํ ธมฺมํ อธิคนฺตฺวา น ปรสฺส อาโรเจยฺย – กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปุราณํ พนฺธนํ ฉินฺทิตฺวา อญฺญํ นวํ พนฺธนํ กเรยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ ปาปกํ โลภธมฺมํ วทามิ – กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสตี’ติฯ สาธุ, ภเนฺต, ภควา โลหิจฺจํ พฺราหฺมณํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฎฺฐิคตา วิเวเจตู’’ติฯ ‘‘อเปฺปว นาม สิยา โรสิเก, อเปฺปว นาม สิยา โรสิเก’’ติฯ
508. Atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya saddhiṃ bhikkhusaṅghena yena sālavatikā tenupasaṅkami. Tena kho pana samayena rosikā nhāpito bhagavantaṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandho hoti. Atha kho rosikā nhāpito bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘lohiccassa, bhante, brāhmaṇassa evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ – ‘idha samaṇo vā brāhmaṇo vā kusalaṃ dhammaṃ adhigaccheyya, kusalaṃ dhammaṃ adhigantvā na parassa āroceyya – kiñhi paro parassa karissati. Seyyathāpi nāma purāṇaṃ bandhanaṃ chinditvā aññaṃ navaṃ bandhanaṃ kareyya, evaṃ sampadamidaṃ pāpakaṃ lobhadhammaṃ vadāmi – kiñhi paro parassa karissatī’ti. Sādhu, bhante, bhagavā lohiccaṃ brāhmaṇaṃ etasmā pāpakā diṭṭhigatā vivecetū’’ti. ‘‘Appeva nāma siyā rosike, appeva nāma siyā rosike’’ti.
อถ โข ภควา เยน โลหิจฺจสฺส พฺราหฺมณสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิ ฯ อถ โข โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปสิ สมฺปวาเรสิฯ
Atha kho bhagavā yena lohiccassa brāhmaṇassa nivesanaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi . Atha kho lohicco brāhmaṇo buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappesi sampavāresi.
โลหิจฺจพฺราหฺมณานุโยโค
Lohiccabrāhmaṇānuyogo
๕๐๙. อถ โข โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข โลหิจฺจํ พฺราหฺมณํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘สจฺจํ กิร เต, โลหิจฺจ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ – ‘อิธ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา กุสลํ ธมฺมํ อธิคเจฺฉยฺย, กุสลํ ธมฺมํ อธิคนฺตฺวา น ปรสฺส อาโรเจยฺย – กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปุราณํ พนฺธนํ ฉินฺทิตฺวา อญฺญํ นวํ พนฺธนํ กเรยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ ปาปกํ โลภธมฺมํ วทามิ, กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสตี’’’ ติ? ‘‘เอวํ, โภ โคตม’’ฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ โลหิจฺจ นนุ ตฺวํ สาลวติกํ อชฺฌาวสสี’’ติ? ‘‘เอวํ, โภ โคตม’’ฯ ‘‘โย นุ โข, โลหิจฺจ, เอวํ วเทยฺย – ‘โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ สาลวติกํ อชฺฌาวสติฯ ยา สาลวติกาย สมุทยสญฺชาติ โลหิโจฺจว ตํ พฺราหฺมโณ เอกโก ปริภุเญฺชยฺย, น อเญฺญสํ ทเทยฺยา’ติฯ เอวํ วาที โส เย ตํ อุปชีวนฺติ, เตสํ อนฺตรายกโร วา โหติ, โน วา’’ติ?
509. Atha kho lohicco brāhmaṇo bhagavantaṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ aññataraṃ nīcaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho lohiccaṃ brāhmaṇaṃ bhagavā etadavoca – ‘‘saccaṃ kira te, lohicca, evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ – ‘idha samaṇo vā brāhmaṇo vā kusalaṃ dhammaṃ adhigaccheyya, kusalaṃ dhammaṃ adhigantvā na parassa āroceyya – kiñhi paro parassa karissati. Seyyathāpi nāma purāṇaṃ bandhanaṃ chinditvā aññaṃ navaṃ bandhanaṃ kareyya, evaṃ sampadamidaṃ pāpakaṃ lobhadhammaṃ vadāmi, kiñhi paro parassa karissatī’’’ ti? ‘‘Evaṃ, bho gotama’’. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi lohicca nanu tvaṃ sālavatikaṃ ajjhāvasasī’’ti? ‘‘Evaṃ, bho gotama’’. ‘‘Yo nu kho, lohicca, evaṃ vadeyya – ‘lohicco brāhmaṇo sālavatikaṃ ajjhāvasati. Yā sālavatikāya samudayasañjāti lohiccova taṃ brāhmaṇo ekako paribhuñjeyya, na aññesaṃ dadeyyā’ti. Evaṃ vādī so ye taṃ upajīvanti, tesaṃ antarāyakaro vā hoti, no vā’’ti?
‘‘อนฺตรายกโร, โภ โคตม’’ฯ ‘‘อนฺตรายกโร สมาโน หิตานุกมฺปี วา เตสํ โหติ อหิตานุกมฺปี วา’’ติ? ‘‘อหิตานุกมฺปี, โภ โคตม’’ฯ ‘‘อหิตานุกมฺปิสฺส เมตฺตํ วา เตสุ จิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ โหติ สปตฺตกํ วา’’ติ? ‘‘สปตฺตกํ, โภ โคตม’’ฯ ‘‘สปตฺตเก จิเตฺต ปจฺจุปฎฺฐิเต มิจฺฉาทิฎฺฐิ วา โหติ สมฺมาทิฎฺฐิ วา’’ติ? ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิ, โภ โคตม’’ฯ ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิสฺส โข อหํ, โลหิจฺจ, ทฺวินฺนํ คตีนํ อญฺญตรํ คติํ วทามิ – นิรยํ วา ติรจฺฉานโยนิํ วา’’ฯ
‘‘Antarāyakaro, bho gotama’’. ‘‘Antarāyakaro samāno hitānukampī vā tesaṃ hoti ahitānukampī vā’’ti? ‘‘Ahitānukampī, bho gotama’’. ‘‘Ahitānukampissa mettaṃ vā tesu cittaṃ paccupaṭṭhitaṃ hoti sapattakaṃ vā’’ti? ‘‘Sapattakaṃ, bho gotama’’. ‘‘Sapattake citte paccupaṭṭhite micchādiṭṭhi vā hoti sammādiṭṭhi vā’’ti? ‘‘Micchādiṭṭhi, bho gotama’’. ‘‘Micchādiṭṭhissa kho ahaṃ, lohicca, dvinnaṃ gatīnaṃ aññataraṃ gatiṃ vadāmi – nirayaṃ vā tiracchānayoniṃ vā’’.
๕๑๐. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, โลหิจฺจ, นนุ ราชา ปเสนทิ โกสโล กาสิโกสลํ อชฺฌาวสตี’’ติ? ‘‘เอวํ, โภ โคตม’’ฯ ‘‘โย นุ โข, โลหิจฺจ, เอวํ วเทยฺย – ‘ราชา ปเสนทิ โกสโล กาสิโกสลํ อชฺฌาวสติ; ยา กาสิโกสเล สมุทยสญฺชาติ, ราชาว ตํ ปเสนทิ โกสโล เอกโก ปริภุเญฺชยฺย, น อเญฺญสํ ทเทยฺยา’ติฯ เอวํ วาที โส เย ราชานํ ปเสนทิํ โกสลํ อุปชีวนฺติ ตุเมฺห เจว อเญฺญ จ, เตสํ อนฺตรายกโร วา โหติ, โน วา’’ติ?
510. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, lohicca, nanu rājā pasenadi kosalo kāsikosalaṃ ajjhāvasatī’’ti? ‘‘Evaṃ, bho gotama’’. ‘‘Yo nu kho, lohicca, evaṃ vadeyya – ‘rājā pasenadi kosalo kāsikosalaṃ ajjhāvasati; yā kāsikosale samudayasañjāti, rājāva taṃ pasenadi kosalo ekako paribhuñjeyya, na aññesaṃ dadeyyā’ti. Evaṃ vādī so ye rājānaṃ pasenadiṃ kosalaṃ upajīvanti tumhe ceva aññe ca, tesaṃ antarāyakaro vā hoti, no vā’’ti?
‘‘อนฺตรายกโร, โภ โคตม’’ฯ ‘‘อนฺตรายกโร สมาโน หิตานุกมฺปี วา เตสํ โหติ อหิตานุกมฺปี วา’’ติ? ‘‘อหิตานุกมฺปี, โภ โคตม’’ฯ ‘‘อหิตานุกมฺปิสฺส เมตฺตํ วา เตสุ จิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ โหติ สปตฺตกํ วา’’ติ? ‘‘สปตฺตกํ, โภ โคตม’’ฯ ‘‘สปตฺตเก จิเตฺต ปจฺจุปฎฺฐิเต มิจฺฉาทิฎฺฐิ วา โหติ สมฺมาทิฎฺฐิ วา’’ติ? ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิ, โภ โคตม’’ฯ ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิสฺส โข อหํ, โลหิจฺจ, ทฺวินฺนํ คตีนํ อญฺญตรํ คติํ วทามิ – นิรยํ วา ติรจฺฉานโยนิํ วา’’ฯ
‘‘Antarāyakaro, bho gotama’’. ‘‘Antarāyakaro samāno hitānukampī vā tesaṃ hoti ahitānukampī vā’’ti? ‘‘Ahitānukampī, bho gotama’’. ‘‘Ahitānukampissa mettaṃ vā tesu cittaṃ paccupaṭṭhitaṃ hoti sapattakaṃ vā’’ti? ‘‘Sapattakaṃ, bho gotama’’. ‘‘Sapattake citte paccupaṭṭhite micchādiṭṭhi vā hoti sammādiṭṭhi vā’’ti? ‘‘Micchādiṭṭhi, bho gotama’’. ‘‘Micchādiṭṭhissa kho ahaṃ, lohicca, dvinnaṃ gatīnaṃ aññataraṃ gatiṃ vadāmi – nirayaṃ vā tiracchānayoniṃ vā’’.
๕๑๑. ‘‘อิติ กิร, โลหิจฺจ, โย เอวํ วเทยฺย – ‘‘โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ สาลวติกํ อชฺฌาวสติ; ยา สาลวติกาย สมุทยสญฺชาติ, โลหิโจฺจว ตํ พฺราหฺมโณ เอกโก ปริภุเญฺชยฺย, น อเญฺญสํ ทเทยฺยา’’ติฯ เอวํวาที โส เย ตํ อุปชีวนฺติ, เตสํ อนฺตรายกโร โหติฯ อนฺตรายกโร สมาโน อหิตานุกมฺปี โหติ, อหิตานุกมฺปิสฺส สปตฺตกํ จิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ โหติ, สปตฺตเก จิเตฺต ปจฺจุปฎฺฐิเต มิจฺฉาทิฎฺฐิ โหติฯ เอวเมว โข, โลหิจฺจ, โย เอวํ วเทยฺย – ‘‘อิธ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา กุสลํ ธมฺมํ อธิคเจฺฉยฺย, กุสลํ ธมฺมํ อธิคนฺตฺวา น ปรสฺส อาโรเจยฺย, กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปุราณํ พนฺธนํ ฉินฺทิตฺวา อญฺญํ นวํ พนฺธนํ กเรยฺย…เป.… กริสฺสตี’’ติฯ เอวํวาที โส เย เต กุลปุตฺตา ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ อาคมฺม เอวรูปํ อุฬารํ วิเสสํ อธิคจฺฉนฺติ, โสตาปตฺติผลมฺปิ สจฺฉิกโรนฺติ, สกทาคามิผลมฺปิ สจฺฉิกโรนฺติ, อนาคามิผลมฺปิ สจฺฉิกโรนฺติ, อรหตฺตมฺปิ สจฺฉิกโรนฺติ, เย จิเม ทิพฺพา คพฺภา ปริปาเจนฺติ ทิพฺพานํ ภวานํ อภินิพฺพตฺติยา, เตสํ อนฺตรายกโร โหติ, อนฺตรายกโร สมาโน อหิตานุกมฺปี โหติ , อหิตานุกมฺปิสฺส สปตฺตกํ จิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ โหติ, สปตฺตเก จิเตฺต ปจฺจุปฎฺฐิเต มิจฺฉาทิฎฺฐิ โหติฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิสฺส โข อหํ, โลหิจฺจ, ทฺวินฺนํ คตีนํ อญฺญตรํ คติํ วทามิ – นิรยํ วา ติรจฺฉานโยนิํ วาฯ
511. ‘‘Iti kira, lohicca, yo evaṃ vadeyya – ‘‘lohicco brāhmaṇo sālavatikaṃ ajjhāvasati; yā sālavatikāya samudayasañjāti, lohiccova taṃ brāhmaṇo ekako paribhuñjeyya, na aññesaṃ dadeyyā’’ti. Evaṃvādī so ye taṃ upajīvanti, tesaṃ antarāyakaro hoti. Antarāyakaro samāno ahitānukampī hoti, ahitānukampissa sapattakaṃ cittaṃ paccupaṭṭhitaṃ hoti, sapattake citte paccupaṭṭhite micchādiṭṭhi hoti. Evameva kho, lohicca, yo evaṃ vadeyya – ‘‘idha samaṇo vā brāhmaṇo vā kusalaṃ dhammaṃ adhigaccheyya, kusalaṃ dhammaṃ adhigantvā na parassa āroceyya, kiñhi paro parassa karissati. Seyyathāpi nāma purāṇaṃ bandhanaṃ chinditvā aññaṃ navaṃ bandhanaṃ kareyya…pe… karissatī’’ti. Evaṃvādī so ye te kulaputtā tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ āgamma evarūpaṃ uḷāraṃ visesaṃ adhigacchanti, sotāpattiphalampi sacchikaronti, sakadāgāmiphalampi sacchikaronti, anāgāmiphalampi sacchikaronti, arahattampi sacchikaronti, ye cime dibbā gabbhā paripācenti dibbānaṃ bhavānaṃ abhinibbattiyā, tesaṃ antarāyakaro hoti, antarāyakaro samāno ahitānukampī hoti , ahitānukampissa sapattakaṃ cittaṃ paccupaṭṭhitaṃ hoti, sapattake citte paccupaṭṭhite micchādiṭṭhi hoti. Micchādiṭṭhissa kho ahaṃ, lohicca, dvinnaṃ gatīnaṃ aññataraṃ gatiṃ vadāmi – nirayaṃ vā tiracchānayoniṃ vā.
๕๑๒. ‘‘อิติ กิร, โลหิจฺจ, โย เอวํ วเทยฺย – ‘‘ราชา ปเสนทิ โกสโล กาสิโกสลํ อชฺฌาวสติ; ยา กาสิโกสเล สมุทยสญฺชาติ, ราชาว ตํ ปเสนทิ โกสโล เอกโก ปริภุเญฺชยฺย, น อเญฺญสํ ทเทยฺยา’’ติฯ เอวํวาที โส เย ราชานํ ปเสนทิํ โกสลํ อุปชีวนฺติ ตุเมฺห เจว อเญฺญ จ, เตสํ อนฺตรายกโร โหติฯ อนฺตรายกโร สมาโน อหิตานุกมฺปี โหติ, อหิตานุกมฺปิสฺส สปตฺตกํ จิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ โหติ, สปตฺตเก จิเตฺต ปจฺจุปฎฺฐิเต มิจฺฉาทิฎฺฐิ โหติฯ เอวเมว โข, โลหิจฺจ, โย เอวํ วเทยฺย – ‘‘อิธ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา กุสลํ ธมฺมํ อธิคเจฺฉยฺย, กุสลํ ธมฺมํ อธิคนฺตฺวา น ปรสฺส อาโรเจยฺย, กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสติฯ เสยฺยถาปิ นาม…เป.… กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสตี’’ติ, เอวํ วาที โส เย เต กุลปุตฺตา ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ อาคมฺม เอวรูปํ อุฬารํ วิเสสํ อธิคจฺฉนฺติ, โสตาปตฺติผลมฺปิ สจฺฉิกโรนฺติ, สกทาคามิผลมฺปิ สจฺฉิกโรนฺติ, อนาคามิผลมฺปิ สจฺฉิกโรนฺติ, อรหตฺตมฺปิ สจฺฉิกโรนฺติฯ เย จิเม ทิพฺพา คพฺภา ปริปาเจนฺติ ทิพฺพานํ ภวานํ อภินิพฺพตฺติยา, เตสํ อนฺตรายกโร โหติ, อนฺตรายกโร สมาโน อหิตานุกมฺปี โหติ, อหิตานุกมฺปิสฺส สปตฺตกํ จิตฺตํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ โหติ, สปตฺตเก จิเตฺต ปจฺจุปฎฺฐิเต มิจฺฉาทิฎฺฐิ โหติฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิสฺส โข อหํ, โลหิจฺจ, ทฺวินฺนํ คตีนํ อญฺญตรํ คติํ วทามิ – นิรยํ วา ติรจฺฉานโยนิํ วาฯ
512. ‘‘Iti kira, lohicca, yo evaṃ vadeyya – ‘‘rājā pasenadi kosalo kāsikosalaṃ ajjhāvasati; yā kāsikosale samudayasañjāti, rājāva taṃ pasenadi kosalo ekako paribhuñjeyya, na aññesaṃ dadeyyā’’ti. Evaṃvādī so ye rājānaṃ pasenadiṃ kosalaṃ upajīvanti tumhe ceva aññe ca, tesaṃ antarāyakaro hoti. Antarāyakaro samāno ahitānukampī hoti, ahitānukampissa sapattakaṃ cittaṃ paccupaṭṭhitaṃ hoti, sapattake citte paccupaṭṭhite micchādiṭṭhi hoti. Evameva kho, lohicca, yo evaṃ vadeyya – ‘‘idha samaṇo vā brāhmaṇo vā kusalaṃ dhammaṃ adhigaccheyya, kusalaṃ dhammaṃ adhigantvā na parassa āroceyya, kiñhi paro parassa karissati. Seyyathāpi nāma…pe… kiñhi paro parassa karissatī’’ti, evaṃ vādī so ye te kulaputtā tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ āgamma evarūpaṃ uḷāraṃ visesaṃ adhigacchanti, sotāpattiphalampi sacchikaronti, sakadāgāmiphalampi sacchikaronti, anāgāmiphalampi sacchikaronti, arahattampi sacchikaronti. Ye cime dibbā gabbhā paripācenti dibbānaṃ bhavānaṃ abhinibbattiyā, tesaṃ antarāyakaro hoti, antarāyakaro samāno ahitānukampī hoti, ahitānukampissa sapattakaṃ cittaṃ paccupaṭṭhitaṃ hoti, sapattake citte paccupaṭṭhite micchādiṭṭhi hoti. Micchādiṭṭhissa kho ahaṃ, lohicca, dvinnaṃ gatīnaṃ aññataraṃ gatiṃ vadāmi – nirayaṃ vā tiracchānayoniṃ vā.
ตโย โจทนารหา
Tayo codanārahā
๕๑๓. ‘‘ตโย โขเม, โลหิจฺจ, สตฺถาโร, เย โลเก โจทนารหา; โย จ ปเนวรูเป สตฺถาโร โจเทติ, สา โจทนา ภูตา ตจฺฉา ธมฺมิกา อนวชฺชา ฯ กตเม ตโย? อิธ, โลหิจฺจ, เอกโจฺจ สตฺถา ยสฺสตฺถาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ, สฺวาสฺส สามญฺญโตฺถ อนนุปฺปโตฺต โหติฯ โส ตํ สามญฺญตฺถํ อนนุปาปุณิตฺวา สาวกานํ ธมฺมํ เทเสติ – ‘‘อิทํ โว หิตาย อิทํ โว สุขายา’’ติฯ ตสฺส สาวกา น สุสฺสูสนฺติ, น โสตํ โอทหนฺติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐเปนฺติ, โวกฺกมฺม จ สตฺถุสาสนา วตฺตนฺติฯ โส เอวมสฺส โจเทตโพฺพ – ‘‘อายสฺมา โข ยสฺสตฺถาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, โส เต สามญฺญโตฺถ อนนุปฺปโตฺต, ตํ ตฺวํ สามญฺญตฺถํ อนนุปาปุณิตฺวา สาวกานํ ธมฺมํ เทเสสิ – ‘อิทํ โว หิตาย อิทํ โว สุขายา’ติ ฯ ตสฺส เต สาวกา น สุสฺสูสนฺติ, น โสตํ โอทหนฺติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐเปนฺติ, โวกฺกมฺม จ สตฺถุสาสนา วตฺตนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม โอสกฺกนฺติยา วา อุสฺสเกฺกยฺย, ปรมฺมุขิํ วา อาลิเงฺคยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ ปาปกํ โลภธมฺมํ วทามิ – กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสตี’’ติฯ อยํ โข, โลหิจฺจ, ปฐโม สตฺถา, โย โลเก โจทนารโห; โย จ ปเนวรูปํ สตฺถารํ โจเทติ, สา โจทนา ภูตา ตจฺฉา ธมฺมิกา อนวชฺชาฯ
513. ‘‘Tayo khome, lohicca, satthāro, ye loke codanārahā; yo ca panevarūpe satthāro codeti, sā codanā bhūtā tacchā dhammikā anavajjā . Katame tayo? Idha, lohicca, ekacco satthā yassatthāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito hoti, svāssa sāmaññattho ananuppatto hoti. So taṃ sāmaññatthaṃ ananupāpuṇitvā sāvakānaṃ dhammaṃ deseti – ‘‘idaṃ vo hitāya idaṃ vo sukhāyā’’ti. Tassa sāvakā na sussūsanti, na sotaṃ odahanti, na aññā cittaṃ upaṭṭhapenti, vokkamma ca satthusāsanā vattanti. So evamassa codetabbo – ‘‘āyasmā kho yassatthāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, so te sāmaññattho ananuppatto, taṃ tvaṃ sāmaññatthaṃ ananupāpuṇitvā sāvakānaṃ dhammaṃ desesi – ‘idaṃ vo hitāya idaṃ vo sukhāyā’ti . Tassa te sāvakā na sussūsanti, na sotaṃ odahanti, na aññā cittaṃ upaṭṭhapenti, vokkamma ca satthusāsanā vattanti. Seyyathāpi nāma osakkantiyā vā ussakkeyya, parammukhiṃ vā āliṅgeyya, evaṃ sampadamidaṃ pāpakaṃ lobhadhammaṃ vadāmi – kiñhi paro parassa karissatī’’ti. Ayaṃ kho, lohicca, paṭhamo satthā, yo loke codanāraho; yo ca panevarūpaṃ satthāraṃ codeti, sā codanā bhūtā tacchā dhammikā anavajjā.
๕๑๔. ‘‘ปุน จปรํ, โลหิจฺจ, อิเธกโจฺจ สตฺถา ยสฺสตฺถาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ, สฺวาสฺส สามญฺญโตฺถ อนนุปฺปโตฺต โหติฯ โส ตํ สามญฺญตฺถํ อนนุปาปุณิตฺวา สาวกานํ ธมฺมํ เทเสติ – ‘‘อิทํ โว หิตาย, อิทํ โว สุขายา’’ติฯ ตสฺส สาวกา สุสฺสูสนฺติ, โสตํ โอทหนฺติ, อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐเปนฺติ, น จ โวกฺกมฺม สตฺถุสาสนา วตฺตนฺติฯ โส เอวมสฺส โจเทตโพฺพ – ‘‘อายสฺมา โข ยสฺสตฺถาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, โส เต สามญฺญโตฺถ อนนุปฺปโตฺตฯ ตํ ตฺวํ สามญฺญตฺถํ อนนุปาปุณิตฺวา สาวกานํ ธมฺมํ เทเสสิ – ‘อิทํ โว หิตาย อิทํ โว สุขายา’ติฯ ตสฺส เต สาวกา สุสฺสูสนฺติ, โสตํ โอทหนฺติ , อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐเปนฺติ, น จ โวกฺกมฺม สตฺถุสาสนา วตฺตนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม สกํ เขตฺตํ โอหาย ปรํ เขตฺตํ นิทฺทายิตพฺพํ มเญฺญยฺย , เอวํ สมฺปทมิทํ ปาปกํ โลภธมฺมํ วทามิ – กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสตี’’ติฯ อยํ โข, โลหิจฺจ, ทุติโย สตฺถา, โย, โลเก โจทนารโห; โย จ ปเนวรูปํ สตฺถารํ โจเทติ, สา โจทนา ภูตา ตจฺฉา ธมฺมิกา อนวชฺชาฯ
514. ‘‘Puna caparaṃ, lohicca, idhekacco satthā yassatthāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito hoti, svāssa sāmaññattho ananuppatto hoti. So taṃ sāmaññatthaṃ ananupāpuṇitvā sāvakānaṃ dhammaṃ deseti – ‘‘idaṃ vo hitāya, idaṃ vo sukhāyā’’ti. Tassa sāvakā sussūsanti, sotaṃ odahanti, aññā cittaṃ upaṭṭhapenti, na ca vokkamma satthusāsanā vattanti. So evamassa codetabbo – ‘‘āyasmā kho yassatthāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, so te sāmaññattho ananuppatto. Taṃ tvaṃ sāmaññatthaṃ ananupāpuṇitvā sāvakānaṃ dhammaṃ desesi – ‘idaṃ vo hitāya idaṃ vo sukhāyā’ti. Tassa te sāvakā sussūsanti, sotaṃ odahanti , aññā cittaṃ upaṭṭhapenti, na ca vokkamma satthusāsanā vattanti. Seyyathāpi nāma sakaṃ khettaṃ ohāya paraṃ khettaṃ niddāyitabbaṃ maññeyya , evaṃ sampadamidaṃ pāpakaṃ lobhadhammaṃ vadāmi – kiñhi paro parassa karissatī’’ti. Ayaṃ kho, lohicca, dutiyo satthā, yo, loke codanāraho; yo ca panevarūpaṃ satthāraṃ codeti, sā codanā bhūtā tacchā dhammikā anavajjā.
๕๑๕. ‘‘ปุน จปรํ, โลหิจฺจ, อิเธกโจฺจ สตฺถา ยสฺสตฺถาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต โหติ, สฺวาสฺส สามญฺญโตฺถ อนุปฺปโตฺต โหติฯ โส ตํ สามญฺญตฺถํ อนุปาปุณิตฺวา สาวกานํ ธมฺมํ เทเสติ – ‘‘อิทํ โว หิตาย อิทํ โว สุขายา’’ติฯ ตสฺส สาวกา น สุสฺสูสนฺติ, น โสตํ โอทหนฺติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐเปนฺติ, โวกฺกมฺม จ สตฺถุสาสนา วตฺตนฺติฯ โส เอวมสฺส โจเทตโพฺพ – ‘‘อายสฺมา โข ยสฺสตฺถาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, โส เต สามญฺญโตฺถ อนุปฺปโตฺตฯ ตํ ตฺวํ สามญฺญตฺถํ อนุปาปุณิตฺวา สาวกานํ ธมฺมํ เทเสสิ – ‘อิทํ โว หิตาย อิทํ โว สุขายา’ติฯ ตสฺส เต สาวกา น สุสฺสูสนฺติ, น โสตํ โอทหนฺติ, น อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐเปนฺติ , โวกฺกมฺม จ สตฺถุสาสนา วตฺตนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปุราณํ พนฺธนํ ฉินฺทิตฺวา อญฺญํ นวํ พนฺธนํ กเรยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ ปาปกํ โลภธมฺมํ วทามิ, กิญฺหิ ปโร ปรสฺส กริสฺสตี’’ติฯ อยํ โข, โลหิจฺจ, ตติโย สตฺถา, โย โลเก โจทนารโห; โย จ ปเนวรูปํ สตฺถารํ โจเทติ, สา โจทนา ภูตา ตจฺฉา ธมฺมิกา อนวชฺชาฯ อิเม โข, โลหิจฺจ, ตโย สตฺถาโร, เย โลเก โจทนารหา, โย จ ปเนวรูเป สตฺถาโร โจเทติ, สา โจทนา ภูตา ตจฺฉา ธมฺมิกา อนวชฺชาติฯ
515. ‘‘Puna caparaṃ, lohicca, idhekacco satthā yassatthāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito hoti, svāssa sāmaññattho anuppatto hoti. So taṃ sāmaññatthaṃ anupāpuṇitvā sāvakānaṃ dhammaṃ deseti – ‘‘idaṃ vo hitāya idaṃ vo sukhāyā’’ti. Tassa sāvakā na sussūsanti, na sotaṃ odahanti, na aññā cittaṃ upaṭṭhapenti, vokkamma ca satthusāsanā vattanti. So evamassa codetabbo – ‘‘āyasmā kho yassatthāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, so te sāmaññattho anuppatto. Taṃ tvaṃ sāmaññatthaṃ anupāpuṇitvā sāvakānaṃ dhammaṃ desesi – ‘idaṃ vo hitāya idaṃ vo sukhāyā’ti. Tassa te sāvakā na sussūsanti, na sotaṃ odahanti, na aññā cittaṃ upaṭṭhapenti , vokkamma ca satthusāsanā vattanti. Seyyathāpi nāma purāṇaṃ bandhanaṃ chinditvā aññaṃ navaṃ bandhanaṃ kareyya, evaṃ sampadamidaṃ pāpakaṃ lobhadhammaṃ vadāmi, kiñhi paro parassa karissatī’’ti. Ayaṃ kho, lohicca, tatiyo satthā, yo loke codanāraho; yo ca panevarūpaṃ satthāraṃ codeti, sā codanā bhūtā tacchā dhammikā anavajjā. Ime kho, lohicca, tayo satthāro, ye loke codanārahā, yo ca panevarūpe satthāro codeti, sā codanā bhūtā tacchā dhammikā anavajjāti.
นโจทนารหสตฺถุ
Nacodanārahasatthu
๕๑๖. เอวํ วุเตฺต, โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อตฺถิ ปน, โภ โคตม, โกจิ สตฺถา, โย โลเก นโจทนารโห’’ติ? ‘‘อตฺถิ โข, โลหิจฺจ, สตฺถา, โย โลเก นโจทนารโห’’ติฯ ‘‘กตโม ปน โส, โภ โคตม, สตฺถา, โย โลเก นโจทนารโห’’ติ?
516. Evaṃ vutte, lohicco brāhmaṇo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘atthi pana, bho gotama, koci satthā, yo loke nacodanāraho’’ti? ‘‘Atthi kho, lohicca, satthā, yo loke nacodanāraho’’ti. ‘‘Katamo pana so, bho gotama, satthā, yo loke nacodanāraho’’ti?
‘‘อิธ, โลหิจฺจ, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ…เป.… (ยถา ๑๙๐-๒๑๒ อนุเจฺฉเทสุ เอวํ วิตฺถาเรตพฺพํ)ฯ เอวํ โข, โลหิจฺจ, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน โหติ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ… ยสฺมิํ โข, โลหิจฺจ, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารํ วิเสสํ อธิคจฺฉติ, อยมฺปิ โข, โลหิจฺจ, สตฺถา, โย โลเก นโจทนารโห ฯ โย จ ปเนวรูปํ สตฺถารํ โจเทติ, สา โจทนา อภูตา อตจฺฉา อธมฺมิกา สาวชฺชา…เป.… ทุติยํ ฌานํ…เป.… ตติยํ ฌานํ…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยสฺมิํ โข, โลหิจฺจ, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารํ วิเสสํ อธิคจฺฉติ, อยมฺปิ โข, โลหิจฺจ, สตฺถา, โย โลเก นโจทนารโห, โย จ ปเนวรูปํ สตฺถารํ โจเทติ, สา โจทนา อภูตา อตจฺฉา อธมฺมิกา สาวชฺชา… ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติ…เป.… ยสฺมิํ โข, โลหิจฺจ, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารํ วิเสสํ อธิคจฺฉติ, อยมฺปิ โข, โลหิจฺจ, สตฺถา, โย โลเก นโจทนารโห, โย จ ปเนวรูปํ สตฺถารํ โจเทติ, สา โจทนา อภูตา อตจฺฉา อธมฺมิกา สาวชฺชา… นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติฯ ยสฺมิํ โข, โลหิจฺจ, สตฺถริ สาวโก เอวรูปํ อุฬารํ วิเสสํ อธิคจฺฉติ, อยมฺปิ โข, โลหิจฺจ, สตฺถา, โย โลเก นโจทนารโห, โย จ ปเนวรูปํ สตฺถารํ โจเทติ, สา โจทนา อภูตา อตจฺฉา อธมฺมิกา สาวชฺชา’’ติฯ
‘‘Idha, lohicca, tathāgato loke uppajjati arahaṃ, sammāsambuddho…pe… (yathā 190-212 anucchedesu evaṃ vitthāretabbaṃ). Evaṃ kho, lohicca, bhikkhu sīlasampanno hoti…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati… yasmiṃ kho, lohicca, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāraṃ visesaṃ adhigacchati, ayampi kho, lohicca, satthā, yo loke nacodanāraho . Yo ca panevarūpaṃ satthāraṃ codeti, sā codanā abhūtā atacchā adhammikā sāvajjā…pe… dutiyaṃ jhānaṃ…pe… tatiyaṃ jhānaṃ…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Yasmiṃ kho, lohicca, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāraṃ visesaṃ adhigacchati, ayampi kho, lohicca, satthā, yo loke nacodanāraho, yo ca panevarūpaṃ satthāraṃ codeti, sā codanā abhūtā atacchā adhammikā sāvajjā… ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti…pe… yasmiṃ kho, lohicca, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāraṃ visesaṃ adhigacchati, ayampi kho, lohicca, satthā, yo loke nacodanāraho, yo ca panevarūpaṃ satthāraṃ codeti, sā codanā abhūtā atacchā adhammikā sāvajjā… nāparaṃ itthattāyāti pajānāti. Yasmiṃ kho, lohicca, satthari sāvako evarūpaṃ uḷāraṃ visesaṃ adhigacchati, ayampi kho, lohicca, satthā, yo loke nacodanāraho, yo ca panevarūpaṃ satthāraṃ codeti, sā codanā abhūtā atacchā adhammikā sāvajjā’’ti.
๕๑๗. เอวํ วุเตฺต, โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เสยฺยถาปิ, โภ โคตม, ปุริโส ปุริสํ นรกปปาตํ ปตนฺตํ เกเสสุ คเหตฺวา อุทฺธริตฺวา ถเล ปติฎฺฐเปยฺย, เอวเมวาหํ โภตา โคตเมน นรกปปาตํ ปปตโนฺต อุทฺธริตฺวา ถเล ปติฎฺฐาปิโตฯ อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, เสยฺยถาปิ, โภ โคตม, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย, ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย, ‘จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตี’ติฯ เอวเมวํ โภตา โคตเมน อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโต ฯ เอสาหํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คต’’นฺติฯ
517. Evaṃ vutte, lohicco brāhmaṇo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘seyyathāpi, bho gotama, puriso purisaṃ narakapapātaṃ patantaṃ kesesu gahetvā uddharitvā thale patiṭṭhapeyya, evamevāhaṃ bhotā gotamena narakapapātaṃ papatanto uddharitvā thale patiṭṭhāpito. Abhikkantaṃ, bho gotama, abhikkantaṃ, bho gotama, seyyathāpi, bho gotama, nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya, paṭicchannaṃ vā vivareyya, mūḷhassa vā maggaṃ ācikkheyya, andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya, ‘cakkhumanto rūpāni dakkhantī’ti. Evamevaṃ bhotā gotamena anekapariyāyena dhammo pakāsito . Esāhaṃ bhavantaṃ gotamaṃ saraṇaṃ gacchāmi dhammañca bhikkhusaṅghañca. Upāsakaṃ maṃ bhavaṃ gotamo dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gata’’nti.
โลหิจฺจสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทฺวาทสมํฯ
Lohiccasuttaṃ niṭṭhitaṃ dvādasamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๑๒. โลหิจฺจสุตฺตวณฺณนา • 12. Lohiccasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๑๒. โลหิจฺจสุตฺตวณฺณนา • 12. Lohiccasuttavaṇṇanā