Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya

    ๙. โลหิจฺจสุตฺตํ

    9. Lohiccasuttaṃ

    ๑๓๒. เอกํ สมยํ อายสฺมา มหากจฺจาโน อวนฺตีสุ วิหรติ มกฺกรกเต 1 อรญฺญกุฎิกายํฯ อถ โข โลหิจฺจสฺส พฺราหฺมณสฺส สมฺพหุลา อเนฺตวาสิกา กฎฺฐหารกา มาณวกา เยนายสฺมโต มหากจฺจานสฺส อรญฺญกุฎิกา เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ปริโต ปริโต กุฎิกาย อนุจงฺกมนฺติ อนุวิจรนฺติ อุจฺจาสทฺทา มหาสทฺทา กานิจิ กานิจิ เสเลยฺยกานิ กโรนฺติ 2 – ‘‘อิเม ปน มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กณฺหา 3 พนฺธุปาทาปจฺจา, อิเมสํ ภรตกานํ สกฺกตา ครุกตา มานิตา ปูชิตา อปจิตา’’ติฯ อถ โข อายสฺมา มหากจฺจาโน วิหารา นิกฺขมิตฺวา เต มาณวเก เอตทโวจ – ‘‘มา มาณวกา สทฺทมกตฺถ; ธมฺมํ โว ภาสิสฺสามี’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, เต มาณวกา ตุณฺหี อเหสุํฯ อถ โข อายสฺมา มหากจฺจาโน เต มาณวเก คาถาหิ อชฺฌภาสิ –

    132. Ekaṃ samayaṃ āyasmā mahākaccāno avantīsu viharati makkarakate 4 araññakuṭikāyaṃ. Atha kho lohiccassa brāhmaṇassa sambahulā antevāsikā kaṭṭhahārakā māṇavakā yenāyasmato mahākaccānassa araññakuṭikā tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā parito parito kuṭikāya anucaṅkamanti anuvicaranti uccāsaddā mahāsaddā kānici kānici seleyyakāni karonti 5 – ‘‘ime pana muṇḍakā samaṇakā ibbhā kaṇhā 6 bandhupādāpaccā, imesaṃ bharatakānaṃ sakkatā garukatā mānitā pūjitā apacitā’’ti. Atha kho āyasmā mahākaccāno vihārā nikkhamitvā te māṇavake etadavoca – ‘‘mā māṇavakā saddamakattha; dhammaṃ vo bhāsissāmī’’ti. Evaṃ vutte, te māṇavakā tuṇhī ahesuṃ. Atha kho āyasmā mahākaccāno te māṇavake gāthāhi ajjhabhāsi –

    ‘‘สีลุตฺตมา ปุพฺพตรา อเหสุํ,

    ‘‘Sīluttamā pubbatarā ahesuṃ,

    เต พฺราหฺมณา เย ปุราณํ สรนฺติ;

    Te brāhmaṇā ye purāṇaṃ saranti;

    คุตฺตานิ ทฺวารานิ สุรกฺขิตานิ,

    Guttāni dvārāni surakkhitāni,

    อเหสุํ เตสํ อภิภุยฺย โกธํฯ

    Ahesuṃ tesaṃ abhibhuyya kodhaṃ.

    ‘‘ธเมฺม จ ฌาเน จ รตา อเหสุํ,

    ‘‘Dhamme ca jhāne ca ratā ahesuṃ,

    เต พฺราหฺมณา เย ปุราณํ สรนฺติ;

    Te brāhmaṇā ye purāṇaṃ saranti;

    อิเม จ โวกฺกมฺม ชปามเสติ,

    Ime ca vokkamma japāmaseti,

    โคเตฺตน มตฺตา วิสมํ จรนฺติฯ

    Gottena mattā visamaṃ caranti.

    ‘‘โกธาภิภูตา ปุถุอตฺตทณฺฑา 7,

    ‘‘Kodhābhibhūtā puthuattadaṇḍā 8,

    วิรชฺชมานา สตณฺหาตเณฺหสุ;

    Virajjamānā sataṇhātaṇhesu;

    อคุตฺตทฺวารสฺส ภวนฺติ โมฆา,

    Aguttadvārassa bhavanti moghā,

    สุปิเนว ลทฺธํ ปุริสสฺส วิตฺตํฯ

    Supineva laddhaṃ purisassa vittaṃ.

    ‘‘อนาสกา ถณฺฑิลสายิกา จ;

    ‘‘Anāsakā thaṇḍilasāyikā ca;

    ปาโต สินานญฺจ ตโย จ เวทาฯ

    Pāto sinānañca tayo ca vedā.

    ‘‘ขราชินํ ชฎาปโงฺก, มนฺตา สีลพฺพตํ ตโป;

    ‘‘Kharājinaṃ jaṭāpaṅko, mantā sīlabbataṃ tapo;

    กุหนา วงฺกทณฺฑา จ, อุทกาจมนานิ จฯ

    Kuhanā vaṅkadaṇḍā ca, udakācamanāni ca.

    ‘‘วณฺณา เอเต พฺราหฺมณานํ, กตา กิญฺจิกฺขภาวนา;

    ‘‘Vaṇṇā ete brāhmaṇānaṃ, katā kiñcikkhabhāvanā;

    จิตฺตญฺจ สุสมาหิตํ, วิปฺปสนฺนมนาวิลํ;

    Cittañca susamāhitaṃ, vippasannamanāvilaṃ;

    อขิลํ สพฺพภูเตสุ, โส มโคฺค พฺรหฺมปตฺติยา’’ติฯ

    Akhilaṃ sabbabhūtesu, so maggo brahmapattiyā’’ti.

    อถ โข เต มาณวกา กุปิตา อนตฺตมนา เยน โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา โลหิจฺจํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจุํ – ‘‘ยเคฺฆ! ภวํ ชาเนยฺย, สมโณ มหากจฺจาโน พฺราหฺมณานํ มเนฺต 9 เอกํเสน อปวทติ, ปฎิโกฺกสตี’’ติ? เอวํ วุเตฺต, โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ กุปิโต อโหสิ อนตฺตมโนฯ อถ โข โลหิจฺจสฺส พฺราหฺมณสฺส เอตทโหสิ – ‘‘น โข ปน เมตํ ปติรูปํ โยหํ อญฺญทตฺถุ มาณวกานํเยว สุตฺวา สมณํ มหากจฺจานํ อโกฺกเสยฺยํ 10 ปริภาเสยฺยํฯ ยํนูนาหํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ

    Atha kho te māṇavakā kupitā anattamanā yena lohicco brāhmaṇo tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā lohiccaṃ brāhmaṇaṃ etadavocuṃ – ‘‘yagghe! Bhavaṃ jāneyya, samaṇo mahākaccāno brāhmaṇānaṃ mante 11 ekaṃsena apavadati, paṭikkosatī’’ti? Evaṃ vutte, lohicco brāhmaṇo kupito ahosi anattamano. Atha kho lohiccassa brāhmaṇassa etadahosi – ‘‘na kho pana metaṃ patirūpaṃ yohaṃ aññadatthu māṇavakānaṃyeva sutvā samaṇaṃ mahākaccānaṃ akkoseyyaṃ 12 paribhāseyyaṃ. Yaṃnūnāhaṃ upasaṅkamitvā puccheyya’’nti.

    อถ โข โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ เตหิ มาณวเกหิ สทฺธิํ เยนายสฺมา มหากจฺจาโน เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา มหากจฺจาเนน สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โลหิโจฺจ พฺราหฺมโณ อายสฺมนฺตํ มหากจฺจานํ เอตทโวจ – ‘‘อาคมํสุ นุ ขฺวิธ, โภ กจฺจาน, อมฺหากํ สมฺพหุลา อเนฺตวาสิกา กฎฺฐหารกา มาณวกา’’ติ? ‘‘อาคมํสุ ขฺวิธ เต, พฺราหฺมณ, สมฺพหุลา อเนฺตวาสิกา กฎฺฐหารกา มาณวกา’’ติฯ ‘‘อหุ ปน โภโต กจฺจานสฺส เตหิ มาณวเกหิ สทฺธิํ โกจิเทว กถาสลฺลาโป’’ติ? ‘‘อหุ โข เม, พฺราหฺมณ, เตหิ มาณวเกหิ สทฺธิํ โกจิเทว กถาสลฺลาโป’’ติ ฯ ‘‘ยถา กถํ ปน โภโต กจฺจานสฺส เตหิ มาณวเกหิ สทฺธิํ อโหสิ กถาสลฺลาโป’’ติ? ‘‘เอวํ โข เม, พฺราหฺมณ, เตหิ มาณวเกหิ สทฺธิํ อโหสิ กถาสลฺลาโป –

    Atha kho lohicco brāhmaṇo tehi māṇavakehi saddhiṃ yenāyasmā mahākaccāno tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā mahākaccānena saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho lohicco brāhmaṇo āyasmantaṃ mahākaccānaṃ etadavoca – ‘‘āgamaṃsu nu khvidha, bho kaccāna, amhākaṃ sambahulā antevāsikā kaṭṭhahārakā māṇavakā’’ti? ‘‘Āgamaṃsu khvidha te, brāhmaṇa, sambahulā antevāsikā kaṭṭhahārakā māṇavakā’’ti. ‘‘Ahu pana bhoto kaccānassa tehi māṇavakehi saddhiṃ kocideva kathāsallāpo’’ti? ‘‘Ahu kho me, brāhmaṇa, tehi māṇavakehi saddhiṃ kocideva kathāsallāpo’’ti . ‘‘Yathā kathaṃ pana bhoto kaccānassa tehi māṇavakehi saddhiṃ ahosi kathāsallāpo’’ti? ‘‘Evaṃ kho me, brāhmaṇa, tehi māṇavakehi saddhiṃ ahosi kathāsallāpo –

    ‘‘สีลุตฺตมา ปุพฺพตรา อเหสุํ,

    ‘‘Sīluttamā pubbatarā ahesuṃ,

    เต พฺราหฺมณา เย ปุราณํ สรนฺติ;…เป.…;

    Te brāhmaṇā ye purāṇaṃ saranti;…Pe…;

    อขิลํ สพฺพภูเตสุ,

    Akhilaṃ sabbabhūtesu,

    โส มโคฺค พฺรหฺมปตฺติยา’’ติฯ

    So maggo brahmapattiyā’’ti.

    ‘‘เอวํ โข เม, พฺราหฺมณ, เตหิ มาณวเกหิ สทฺธิํ อโหสิ กถาสลฺลาโป’’ติฯ

    ‘‘Evaṃ kho me, brāhmaṇa, tehi māṇavakehi saddhiṃ ahosi kathāsallāpo’’ti.

    ‘‘‘อคุตฺตทฺวาโร’ติ 13 ภวํ กจฺจาโน อาหฯ กิตฺตาวตา นุ โข, โภ กจฺจาน, อคุตฺตทฺวาโร โหตี’’ติ? ‘‘อิธ, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา ปิยรูเป รูเป อธิมุจฺจติ, อปฺปิยรูเป รูเป พฺยาปชฺชติ, อนุปฎฺฐิตกายสฺสติ 14 จ วิหรติ, ปริตฺตเจตโส ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ ยตฺถสฺส เต อุปฺปนฺนา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย ปิยรูเป ธเมฺม อธิมุจฺจติ, อปฺปิยรูเป จ ธเมฺม พฺยาปชฺชติ, อนุปฎฺฐิตกายสฺสติ จ วิหรติ, ปริตฺตเจตโส ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ ยตฺถสฺส เต อุปฺปนฺนา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวํ โข, พฺราหฺมณ, อคุตฺตทฺวาโร โหตี’’ติฯ ‘‘อจฺฉริยํ, โภ กจฺจาน; อพฺภุตํ, โภ กจฺจาน! ยาวญฺจิทํ โภตา กจฺจาเนน อคุตฺตทฺวาโรว สมาโน อคุตฺตทฺวาโรติ อกฺขาโตฯ

    ‘‘‘Aguttadvāro’ti 15 bhavaṃ kaccāno āha. Kittāvatā nu kho, bho kaccāna, aguttadvāro hotī’’ti? ‘‘Idha, brāhmaṇa, ekacco cakkhunā rūpaṃ disvā piyarūpe rūpe adhimuccati, appiyarūpe rūpe byāpajjati, anupaṭṭhitakāyassati 16 ca viharati, parittacetaso tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ nappajānāti yatthassa te uppannā pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti. Sotena saddaṃ sutvā… ghānena gandhaṃ ghāyitvā… jivhāya rasaṃ sāyitvā… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā… manasā dhammaṃ viññāya piyarūpe dhamme adhimuccati, appiyarūpe ca dhamme byāpajjati, anupaṭṭhitakāyassati ca viharati, parittacetaso tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ nappajānāti yatthassa te uppannā pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti. Evaṃ kho, brāhmaṇa, aguttadvāro hotī’’ti. ‘‘Acchariyaṃ, bho kaccāna; abbhutaṃ, bho kaccāna! Yāvañcidaṃ bhotā kaccānena aguttadvārova samāno aguttadvāroti akkhāto.

    ‘‘‘คุตฺตทฺวาโร’ติ ภวํ กจฺจาโน อาหฯ กิตฺตาวตา นุ โข, โภ กจฺจาน, คุตฺตทฺวาโร โหตี’’ติ? ‘‘อิธ, พฺราหฺมณ, ภิกฺขุ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา ปิยรูเป รูเป นาธิมุจฺจติ, อปฺปิยรูเป รูเป น พฺยาปชฺชติ, อุปฎฺฐิตกายสฺสติ จ วิหรติ, อปฺปมาณเจตโส ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ ปชานาติ ยตฺถสฺส เต อุปฺปนฺนา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย ปิยรูเป ธเมฺม นาธิมุจฺจติ, อปฺปิยรูเป ธเมฺม น พฺยาปชฺชติ, อุปฎฺฐิตกายสฺสติ จ วิหรติ, อปฺปมาณเจตโส ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ ปชานาติ, ยตฺถสฺส เต อุปฺปนฺนา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวํ โข, พฺราหฺมณ, คุตฺตทฺวาโร โหตี’’ติฯ

    ‘‘‘Guttadvāro’ti bhavaṃ kaccāno āha. Kittāvatā nu kho, bho kaccāna, guttadvāro hotī’’ti? ‘‘Idha, brāhmaṇa, bhikkhu cakkhunā rūpaṃ disvā piyarūpe rūpe nādhimuccati, appiyarūpe rūpe na byāpajjati, upaṭṭhitakāyassati ca viharati, appamāṇacetaso tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ pajānāti yatthassa te uppannā pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti. Sotena saddaṃ sutvā… ghānena gandhaṃ ghāyitvā… jivhāya rasaṃ sāyitvā… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā… manasā dhammaṃ viññāya piyarūpe dhamme nādhimuccati, appiyarūpe dhamme na byāpajjati, upaṭṭhitakāyassati ca viharati, appamāṇacetaso tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ pajānāti, yatthassa te uppannā pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti. Evaṃ kho, brāhmaṇa, guttadvāro hotī’’ti.

    ‘‘อจฺฉริยํ, โภ กจฺจาน; อพฺภุตํ, โภ กจฺจาน! ยาวญฺจิทํ โภตา กจฺจาเนน คุตฺตทฺวาโรว สมาโน คุตฺตทฺวาโรติ อกฺขาโตฯ อภิกฺกนฺตํ, โภ กจฺจาน; อภิกฺกนฺตํ, โภ กจฺจาน! เสยฺยถาปิ, โภ กจฺจาน, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุเชฺชยฺย, ปฎิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิเกฺขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปโชฺชตํ ธาเรยฺย, จกฺขุมโนฺต รูปานิ ทกฺขนฺตีติ; เอวเมวํ โภตา กจฺจาเนน อเนกปริยาเยน ธโมฺม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, โภ กจฺจาน, ตํ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมญฺจ, ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภวํ กจฺจาโน ธาเรตุ อชฺชตเคฺค ปาณุเปตํ สรณํ คตํฯ ยถา จ ภวํ กจฺจาโน มกฺกรกเต อุปาสกกุลานิ อุปสงฺกมติ; เอวเมว โลหิจฺจกุลํ อุปสงฺกมตุฯ ตตฺถ เย มาณวกา วา มาณวิกา วา ภวนฺตํ กจฺจานํ อภิวาเทสฺสนฺติ ปจฺจุฎฺฐิสฺสนฺติ อาสนํ วา อุทกํ วา ทสฺสนฺติ, เตสํ ตํ ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติฯ นวมํฯ

    ‘‘Acchariyaṃ, bho kaccāna; abbhutaṃ, bho kaccāna! Yāvañcidaṃ bhotā kaccānena guttadvārova samāno guttadvāroti akkhāto. Abhikkantaṃ, bho kaccāna; abhikkantaṃ, bho kaccāna! Seyyathāpi, bho kaccāna, nikkujjitaṃ vā ukkujjeyya, paṭicchannaṃ vā vivareyya, mūḷhassa vā maggaṃ ācikkheyya, andhakāre vā telapajjotaṃ dhāreyya, cakkhumanto rūpāni dakkhantīti; evamevaṃ bhotā kaccānena anekapariyāyena dhammo pakāsito. Esāhaṃ, bho kaccāna, taṃ bhagavantaṃ saraṇaṃ gacchāmi, dhammañca, bhikkhusaṅghañca. Upāsakaṃ maṃ bhavaṃ kaccāno dhāretu ajjatagge pāṇupetaṃ saraṇaṃ gataṃ. Yathā ca bhavaṃ kaccāno makkarakate upāsakakulāni upasaṅkamati; evameva lohiccakulaṃ upasaṅkamatu. Tattha ye māṇavakā vā māṇavikā vā bhavantaṃ kaccānaṃ abhivādessanti paccuṭṭhissanti āsanaṃ vā udakaṃ vā dassanti, tesaṃ taṃ bhavissati dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti. Navamaṃ.







    Footnotes:
    1. มกฺกรกเฎ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    2. เสลิสฺสกานิ กโรนฺตา (สี.)
    3. กิณฺหา (สี. ปี.)
    4. makkarakaṭe (sī. syā. kaṃ. pī.)
    5. selissakāni karontā (sī.)
    6. kiṇhā (sī. pī.)
    7. โกธาภิภูตาสุปุถุตฺตทณฺฑา (สฺยา. กํ. ก.)
    8. kodhābhibhūtāsuputhuttadaṇḍā (syā. kaṃ. ka.)
    9. มนฺตํ (ก.)
    10. อโกฺกเสยฺยํ วิรุเชฺฌยฺยํ (สฺยา. กํ. ก.)
    11. mantaṃ (ka.)
    12. akkoseyyaṃ virujjheyyaṃ (syā. kaṃ. ka.)
    13. อคุตฺตทฺวาโร อคุตฺตทฺวาโรติ (ก.)
    14. อนุปฎฺฐิตาย สติยา (สฺยา. กํ. ปี. ก.) อุปริ อาสีวิสวเคฺค อวสฺสุตสุเตฺต ปน ‘‘อนุปฎฺฐิตกายสฺสตี’’เตฺวว สพฺพตฺถ ทิสฺสติ
    15. aguttadvāro aguttadvāroti (ka.)
    16. anupaṭṭhitāya satiyā (syā. kaṃ. pī. ka.) upari āsīvisavagge avassutasutte pana ‘‘anupaṭṭhitakāyassatī’’tveva sabbattha dissati



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๙. โลหิจฺจสุตฺตวณฺณนา • 9. Lohiccasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๙. โลหิจฺจสุตฺตวณฺณนา • 9. Lohiccasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact