Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๓. โลกนฺตคมนสุตฺตวณฺณนา
3. Lokantagamanasuttavaṇṇanā
๑๑๖. ตติเย โลกสฺสาติ จกฺกวาฬโลกสฺสฯ โลกสฺส อนฺตนฺติ สงฺขารโลกสฺส อนฺตํฯ วิหารํ ปาวิสีติ ‘‘มยิ วิหารํ ปวิเฎฺฐ อิเม ภิกฺขู, อิมํ อุเทฺทสํ อานนฺทํ ปุจฺฉิสฺสนฺติ, โส จ เตสํ มม สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สํสนฺทิตฺวา กเถสฺสติฯ ตโต นํ โถเมสฺสามิ, มม โถมนํ สุตฺวา ภิกฺขู อานนฺทํ อุปสงฺกมิตพฺพํ, วจนญฺจสฺส โสตพฺพํ สทฺธาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, ตํ เนสํ ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติ จิเนฺตตฺวา สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อวิภชิตฺวาว นิสินฺนาสเน อนฺตรหิโต คนฺธกุฎิยํ ปาตุรโหสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุฎฺฐายาสนา วิหารํ ปาวิสี’’ติฯ
116. Tatiye lokassāti cakkavāḷalokassa. Lokassa antanti saṅkhāralokassa antaṃ. Vihāraṃ pāvisīti ‘‘mayi vihāraṃ paviṭṭhe ime bhikkhū, imaṃ uddesaṃ ānandaṃ pucchissanti, so ca tesaṃ mama sabbaññutaññāṇena saṃsanditvā kathessati. Tato naṃ thomessāmi, mama thomanaṃ sutvā bhikkhū ānandaṃ upasaṅkamitabbaṃ, vacanañcassa sotabbaṃ saddhātabbaṃ maññissanti, taṃ nesaṃ bhavissati dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti cintetvā saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ avibhajitvāva nisinnāsane antarahito gandhakuṭiyaṃ pāturahosi. Tena vuttaṃ ‘‘uṭṭhāyāsanā vihāraṃ pāvisī’’ti.
สตฺถุ เจว สํวณฺณิโตติ สตฺถารา จ ปสโตฺถฯ วิญฺญูนนฺติ อิทมฺปิ กรณเตฺถ สามิวจนํ, ปณฺฑิเตหิ สพฺรหฺมจารีหิ จ สมฺภาวิโตติ อโตฺถฯ ปโหตีติ สโกฺกติฯ อติกฺกเมฺมว มูลํ อติกฺกเมฺมว ขนฺธนฺติ สาโร นาม มูเล วา ขเนฺธ วา ภเวยฺย, ตมฺปิ อติกฺกมิตฺวาติ อโตฺถฯ เอวํสมฺปทมิทนฺติ เอวํสมฺปตฺติกํ, อีทิสนฺติ อโตฺถฯ อติสิตฺวาติ อติกฺกมิตฺวาฯ ชานํ ชานาตีติ ชานิตพฺพเมว ชานาติฯ ปสฺสํ ปสฺสตีติ ปสฺสิตพฺพเมว ปสฺสติฯ ยถา วา เอกโจฺจ วิปรีตํ คณฺหโนฺต ชานโนฺตปิ น ชานาติ, ปสฺสโนฺตปิ น ปสฺสติ, น เอวํ ภควาฯ ภควา ปน ชานโนฺต ชานาติ, ปสฺสโนฺต ปสฺสติเยวฯ สฺวายํ ทสฺสนปริณายกเฎฺฐน จกฺขุภูโตฯ วิทิตกรณเฎฺฐน ญาณภูโต ฯ อวิปรีตสภาวเฎฺฐน ปริยตฺติธมฺมปวตฺตนโต วา หทเยน จิเนฺตตฺวา วาจาย นิจฺฉาริตธมฺมมโยติ ธมฺมภูโตฯ เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมภูโตฯ อถ วา จกฺขุ วิย ภูโตติ จกฺขุภูโตฯ เอวเมเตสุ ปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สฺวายํ ธมฺมสฺส วตฺตนโต วตฺตาฯ ปวตฺตนโต ปวตฺตาฯ อตฺถํ นีหริตฺวา นีหริตฺวา ทสฺสนสมตฺถตาย อตฺถสฺส นิเนฺนตาฯ อมตาธิคมาย ปฎิปตฺติํ เทเสตีติ อมตสฺส ทาตาฯ
Satthu ceva saṃvaṇṇitoti satthārā ca pasattho. Viññūnanti idampi karaṇatthe sāmivacanaṃ, paṇḍitehi sabrahmacārīhi ca sambhāvitoti attho. Pahotīti sakkoti. Atikkammeva mūlaṃ atikkammeva khandhanti sāro nāma mūle vā khandhe vā bhaveyya, tampi atikkamitvāti attho. Evaṃsampadamidanti evaṃsampattikaṃ, īdisanti attho. Atisitvāti atikkamitvā. Jānaṃ jānātīti jānitabbameva jānāti. Passaṃ passatīti passitabbameva passati. Yathā vā ekacco viparītaṃ gaṇhanto jānantopi na jānāti, passantopi na passati, na evaṃ bhagavā. Bhagavā pana jānanto jānāti, passanto passatiyeva. Svāyaṃ dassanapariṇāyakaṭṭhena cakkhubhūto. Viditakaraṇaṭṭhena ñāṇabhūto. Aviparītasabhāvaṭṭhena pariyattidhammapavattanato vā hadayena cintetvā vācāya nicchāritadhammamayoti dhammabhūto. Seṭṭhaṭṭhena brahmabhūto. Atha vā cakkhu viya bhūtoti cakkhubhūto. Evametesu padesu attho veditabbo. Svāyaṃ dhammassa vattanato vattā. Pavattanato pavattā. Atthaṃ nīharitvā nīharitvā dassanasamatthatāya atthassa ninnetā. Amatādhigamāya paṭipattiṃ desetīti amatassa dātā.
อครุํ กริตฺวาติ ปุนปฺปุนํ ยาจาเปโนฺตปิ หิ ครุํ กโรติ นามฯ อตฺตโน เสกฺขปฎิสมฺภิทาญาเณ ฐตฺวา สิเนรุปาทโต วาลิกํ อุทฺธรมาโน วิย ทุพฺพิเญฺญยฺยํ กตฺวา กเถโนฺตปิ ครุํ กโรติเยว นามฯ เอวํ อกตฺวา อเมฺห ปุนปฺปุนํ อยาจาเปตฺวา สุวิเญฺญยฺยมฺปิ โน กตฺวา กเถหีติ วุตฺตํ โหติฯ
Agaruṃ karitvāti punappunaṃ yācāpentopi hi garuṃ karoti nāma. Attano sekkhapaṭisambhidāñāṇe ṭhatvā sinerupādato vālikaṃ uddharamāno viya dubbiññeyyaṃ katvā kathentopi garuṃ karotiyeva nāma. Evaṃ akatvā amhe punappunaṃ ayācāpetvā suviññeyyampi no katvā kathehīti vuttaṃ hoti.
ยํ โข โวติ ยํ โข ตุมฺหากํฯ จกฺขุนา โข, อาวุโส, โลกสฺมิํ โลกสญฺญี โหติ โลกมานีติ จกฺขุญฺหิ โลเก อปฺปหีนทิฎฺฐิ ปุถุชฺชโน สตฺตโลกวเสน โลโกติ สญฺชานาติ เจว มญฺญติ จ, ตถา จกฺกวาฬโลกวเสนฯ น หิ อญฺญตฺร จกฺขาทีหิ ทฺวาทสายตเนหิ ตสฺส สา สญฺญา วา มาโน วา อุปฺปชฺชติฯ เตน วุตฺตํ, ‘‘จกฺขุนา โข, อาวุโส, โลกสฺมิํ โลกสญฺญี โหติ โลกมานี’’ติฯ อิมสฺส จ โลกสฺส คมเนน อโนฺต นาม ญาตุํ วา ทฎฺฐุํ วา ปตฺตุํ วา น สกฺกาฯ ลุชฺชนเฎฺฐน ปน ตเสฺสว จกฺขาทิเภทสฺส โลกสฺส นิพฺพานสงฺขาตํ อนฺตํ อปฺปตฺวา วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตกิริยา นาม นตฺถีติ เวทิตพฺพาฯ
Yaṃ kho voti yaṃ kho tumhākaṃ. Cakkhunā kho, āvuso, lokasmiṃ lokasaññī hoti lokamānīti cakkhuñhi loke appahīnadiṭṭhi puthujjano sattalokavasena lokoti sañjānāti ceva maññati ca, tathā cakkavāḷalokavasena. Na hi aññatra cakkhādīhi dvādasāyatanehi tassa sā saññā vā māno vā uppajjati. Tena vuttaṃ, ‘‘cakkhunā kho, āvuso, lokasmiṃ lokasaññī hoti lokamānī’’ti. Imassa ca lokassa gamanena anto nāma ñātuṃ vā daṭṭhuṃ vā pattuṃ vā na sakkā. Lujjanaṭṭhena pana tasseva cakkhādibhedassa lokassa nibbānasaṅkhātaṃ antaṃ appatvā vaṭṭadukkhassa antakiriyā nāma natthīti veditabbā.
เอวํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวา อิทานิ ‘‘สาวเกน ปโญฺห กถิโตติ มา นิกฺกงฺขา อหุวตฺถ, อยํ ภควา สพฺพญฺญุตญฺญาณตุลํ คเหตฺวา นิสิโนฺนฯ อิจฺฉมานา ตเมว อุปสงฺกมิตฺวา นิกฺกงฺขา โหถา’’ติ อุโยฺยเชโนฺต อากงฺขมานา ปนาติอาทิมาหฯ
Evaṃ pañhaṃ vissajjetvā idāni ‘‘sāvakena pañho kathitoti mā nikkaṅkhā ahuvattha, ayaṃ bhagavā sabbaññutaññāṇatulaṃ gahetvā nisinno. Icchamānā tameva upasaṅkamitvā nikkaṅkhā hothā’’ti uyyojento ākaṅkhamānā panātiādimāha.
อิเมหิ อากาเรหีติ อิเมหิ การเณหิ จกฺกวาฬโลกสฺส อนฺตาภาวการเณหิ เจว สงฺขารโลกสฺส อนฺตาปตฺติการเณหิ จฯ อิเมหิ ปเทหีติ อิเมหิ อกฺขรสมฺปิณฺฑเนหิฯ พฺยญฺชเนหีติ ปาฎิเยกฺกอกฺขเรหิฯ
Imehi ākārehīti imehi kāraṇehi cakkavāḷalokassa antābhāvakāraṇehi ceva saṅkhāralokassa antāpattikāraṇehi ca. Imehi padehīti imehi akkharasampiṇḍanehi. Byañjanehīti pāṭiyekkaakkharehi.
ปณฺฑิโตติ ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคโตฯ จตูหิ การเณหิ ปณฺฑิโต ธาตุกุสโล อายตนกุสโล ปจฺจยาการกุสโล การณาการณกุสโลติฯ มหาปโญฺญติ มหเนฺต อเตฺถ มหเนฺต ธเมฺม มหนฺตา นิรุตฺติโย มหนฺตานิ ปฎิภานานิ ปฎิคฺคณฺหนสมตฺถตาย มหาปญฺญาย สมนฺนาคโตฯ ยถา ตํ อานเนฺทนาติ ยถา อานเนฺทน พฺยากตํ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยถา อานเนฺทน ตํ พฺยากตํ, อหมฺปิ ตํ เอวเมว พฺยากเรยฺยนฺติ อโตฺถฯ
Paṇḍitoti paṇḍiccena samannāgato. Catūhi kāraṇehi paṇḍito dhātukusalo āyatanakusalo paccayākārakusalo kāraṇākāraṇakusaloti. Mahāpaññoti mahante atthe mahante dhamme mahantā niruttiyo mahantāni paṭibhānāni paṭiggaṇhanasamatthatāya mahāpaññāya samannāgato. Yathātaṃ ānandenāti yathā ānandena byākataṃ, taṃ sandhāya vuttaṃ. Yathā ānandena taṃ byākataṃ, ahampi taṃ evameva byākareyyanti attho.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๓. โลกนฺตคมนสุตฺตํ • 3. Lokantagamanasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๓. โลกนฺตคมนสุตฺตวณฺณนา • 3. Lokantagamanasuttavaṇṇanā