Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๑๓. โลกสุตฺตวณฺณนา
13. Lokasuttavaṇṇanā
๑๑๒. เตรสเม โลโกติ ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน โลโก, อตฺถโต ปุริมํ อริยสจฺจทฺวยํ อิธ ปน ทุกฺขํ อริยสจฺจํ เวทิตพฺพํฯ สฺวายํ สตฺตโลโก, สงฺขารโลโก, โอกาสโลโกติ วิภาคโต สรูปโต จ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ อปิจ ขนฺธโลกาทิวเสน จ อเนกวิโธ โลโกฯ ยถาห –
112. Terasame lokoti lujjanapalujjanaṭṭhena loko, atthato purimaṃ ariyasaccadvayaṃ idha pana dukkhaṃ ariyasaccaṃ veditabbaṃ. Svāyaṃ sattaloko, saṅkhāraloko, okāsalokoti vibhāgato sarūpato ca heṭṭhā vuttoyeva. Apica khandhalokādivasena ca anekavidho loko. Yathāha –
‘‘โลโกติ ขนฺธโลโก, ธาตุโลโก, อายตนโลโก, วิปตฺติภวโลโก, วิปตฺติสมฺภวโลโก, สมฺปตฺติภวโลโก, สมฺปตฺติสมฺภวโลโก, เอโก โลโก สเพฺพ สตฺตา อหารฎฺฐิติกา, เทฺว โลกา นามญฺจ รูปญฺจ, ตโย โลกา ติโสฺส เวทนา, จตฺตาโร โลกา จตฺตาโร อาหารา, ปญฺจ โลกา ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา, ฉ โลกา ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ, สตฺต โลกา สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโย, อฎฺฐ โลกา อฎฺฐ โลกธมฺมา, นว โลกา นว สตฺตาวาสา, ทส โลกา ทสายตนานิ, ทฺวาทส โลกา ทฺวาทสายตนานิ, อฎฺฐารส โลกา อฎฺฐารส ธาตุโย’’ติ (มหานิ. ๓; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒)ฯ
‘‘Lokoti khandhaloko, dhātuloko, āyatanaloko, vipattibhavaloko, vipattisambhavaloko, sampattibhavaloko, sampattisambhavaloko, eko loko sabbe sattā ahāraṭṭhitikā, dve lokā nāmañca rūpañca, tayo lokā tisso vedanā, cattāro lokā cattāro āhārā, pañca lokā pañcupādānakkhandhā, cha lokā cha ajjhattikāni āyatanāni, satta lokā satta viññāṇaṭṭhitiyo, aṭṭha lokā aṭṭha lokadhammā, nava lokā nava sattāvāsā, dasa lokā dasāyatanāni, dvādasa lokā dvādasāyatanāni, aṭṭhārasa lokā aṭṭhārasa dhātuyo’’ti (mahāni. 3; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 2).
เอวมเนกธา วิภโตฺตปิ โลโก ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ เอว สงฺคหํ สโมสรณํ คจฺฉติ, อุปาทานกฺขนฺธา จ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ชาติปิ ทุกฺขา …เป.… สํขิเตฺตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาปิ ทุกฺขาติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อตฺถโต ปุริมํ อริยสจฺจทฺวยํ, อิธ ปน ทุกฺขํ อริยสจฺจํ เวทิตพฺพ’’นฺติฯ นนุ จ ลุชฺชนปลุชฺชนโฎฺฐ อวิเสเสน ปญฺจสุ ขเนฺธสุ สมฺภวตีติ? สจฺจํ สมฺภวติฯ ยํ ปน น ลุชฺชตีติ คหิตํ, ตํ ตถา น โหติ, เอกํเสเนว ลุชฺชติ ปลุชฺชตีติ โส โลโกติ อุปาทานกฺขเนฺธเสฺวว โลกสโทฺท นิรูโฬฺหติ เวทิตโพฺพฯ ตสฺมา โลโกติ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ เอวฯ
Evamanekadhā vibhattopi loko pañcasu upādānakkhandhesu eva saṅgahaṃ samosaraṇaṃ gacchati, upādānakkhandhā ca dukkhaṃ ariyasaccaṃ jātipi dukkhā …pe… saṃkhittena pañcupādānakkhandhāpi dukkhāti. Tena vuttaṃ ‘‘atthato purimaṃ ariyasaccadvayaṃ, idha pana dukkhaṃ ariyasaccaṃ veditabba’’nti. Nanu ca lujjanapalujjanaṭṭho avisesena pañcasu khandhesu sambhavatīti? Saccaṃ sambhavati. Yaṃ pana na lujjatīti gahitaṃ, taṃ tathā na hoti, ekaṃseneva lujjati palujjatīti so lokoti upādānakkhandhesveva lokasaddo nirūḷhoti veditabbo. Tasmā lokoti dukkhaṃ ariyasaccaṃ eva.
ยทิปิ ตถาคต-สทฺทสฺส เหฎฺฐา ตถาคตสุเตฺต นานานเยหิ วิตฺถารโต อโตฺถ วิภโตฺต, ตถาปิ ปาฬิยา อตฺถสํวณฺณนามุเขน อยมตฺถวิภาวนา – อภิสมฺพุโทฺธติ ‘‘อภิเญฺญยฺยโต ปริเญฺญยฺยโต’’ติ ปุเพฺพ วุตฺตวิภาเคน วา อวิเสสโต ตาว อาสยานุสยจริยาธิมุตฺติอาทิเภทโต กุสลากุสลาทิวิภาคโต วฎฺฎปฺปมาณสณฺฐานาทิเภทโต, วิเสสโต วา ปน ‘‘อยํ สสฺสตาสโย, อยํ อุเจฺฉทาสโย’’ติอาทินา ‘‘กกฺขฬลกฺขณา ปถวีธาตุ, ปคฺฆรณลกฺขณา อาโปธาตู’’ติอาทินา จ อภิวิสิเฎฺฐน สยมฺภุญาเณน สมฺมา อวิปรีตํ โย โย อโตฺถ ยถา ยถา พุชฺฌิตโพฺพ, ตถา ตถา พุโทฺธ ญาโต อตฺตปจฺจโกฺข กโตติ อภิสมฺพุโทฺธฯ
Yadipi tathāgata-saddassa heṭṭhā tathāgatasutte nānānayehi vitthārato attho vibhatto, tathāpi pāḷiyā atthasaṃvaṇṇanāmukhena ayamatthavibhāvanā – abhisambuddhoti ‘‘abhiññeyyato pariññeyyato’’ti pubbe vuttavibhāgena vā avisesato tāva āsayānusayacariyādhimuttiādibhedato kusalākusalādivibhāgato vaṭṭappamāṇasaṇṭhānādibhedato, visesato vā pana ‘‘ayaṃ sassatāsayo, ayaṃ ucchedāsayo’’tiādinā ‘‘kakkhaḷalakkhaṇā pathavīdhātu, paggharaṇalakkhaṇā āpodhātū’’tiādinā ca abhivisiṭṭhena sayambhuñāṇena sammā aviparītaṃ yo yo attho yathā yathā bujjhitabbo, tathā tathā buddho ñāto attapaccakkho katoti abhisambuddho.
โลกสฺมาติ ยถาวุตฺตโลกโตฯ วิสํยุโตฺตติ วิสํสโฎฺฐ, ตปฺปฎิพทฺธานํ สเพฺพสํ สํโยชนานํ สมฺมเทว สมุจฺฉินฺนตฺตา ตโต วิปฺปมุโตฺตติ อโตฺถฯ โลกสมุทโยติ สุตฺตนฺตนเยน ตณฺหา, อภิธมฺมนเยน ปน อภิสงฺขาเรหิ สทฺธิํ ทิยฑฺฒกิเลสสหสฺสํฯ ปหีโนติ โพธิมเณฺฑ อรหตฺตมคฺคญาเณน สมุเจฺฉทปฺปหานวเสน สวาสนํ ปหีโนฯ โลกนิโรโธติ นิพฺพานํฯ สจฺฉิกโตติ อตฺตปจฺจโกฺข กโตฯ โลกนิโรธคามินี ปฎิปทาติ สีลาทิกฺขนฺธตฺตยสงฺคโห อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺคฯ โส หิ โลกนิโรธํ นิพฺพานํ คจฺฉติ อธิคจฺฉติ, ตทตฺถํ อริเยหิ ปฎิปชฺชียติ จาติ โลกนิโรธคามินี ปฎิปทาติ วุจฺจติฯ
Lokasmāti yathāvuttalokato. Visaṃyuttoti visaṃsaṭṭho, tappaṭibaddhānaṃ sabbesaṃ saṃyojanānaṃ sammadeva samucchinnattā tato vippamuttoti attho. Lokasamudayoti suttantanayena taṇhā, abhidhammanayena pana abhisaṅkhārehi saddhiṃ diyaḍḍhakilesasahassaṃ. Pahīnoti bodhimaṇḍe arahattamaggañāṇena samucchedappahānavasena savāsanaṃ pahīno. Lokanirodhoti nibbānaṃ. Sacchikatoti attapaccakkho kato. Lokanirodhagāminī paṭipadāti sīlādikkhandhattayasaṅgaho ariyo aṭṭhaṅgiko maggo. So hi lokanirodhaṃ nibbānaṃ gacchati adhigacchati, tadatthaṃ ariyehi paṭipajjīyati cāti lokanirodhagāminī paṭipadāti vuccati.
เอตฺตาวตา ตถานิ อภิสมฺพุโทฺธ ยาถาวโต คโตติ ตถาคโตติ อยมโตฺถ ทสฺสิโต โหติฯ จตฺตาริ หิ อริยสจฺจานิ ตถานิ นามฯ ยถาห –
Ettāvatā tathāni abhisambuddho yāthāvato gatoti tathāgatoti ayamattho dassito hoti. Cattāri hi ariyasaccāni tathāni nāma. Yathāha –
‘‘จตฺตาริมานิ , ภิกฺขเว, ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? อิทํ ทุกฺขนฺติ, ภิกฺขเว, ตถเมตํ อวิตถเมตํ, อนญฺญถเมต’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๐) วิตฺถาโรฯ
‘‘Cattārimāni , bhikkhave, tathāni avitathāni anaññathāni. Katamāni cattāri? Idaṃ dukkhanti, bhikkhave, tathametaṃ avitathametaṃ, anaññathameta’’nti (saṃ. ni. 5.1090) vitthāro.
อปิจ ตถาย คโตติ ตถาคโต, ตถํ คโตติ ตถาคโต , คโตติ จ อวคโต อตีโต ปโตฺต ปฎิปโนฺนติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยสฺมา ภควา สกลโลกํ ตีรณปริญฺญาย ตถาย อวิปรีตาย คโต อวคโต, ตสฺมา โลโก ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโตฯ โลกสมุทยํ ปหานปริญฺญาย ตถาย คโต อตีโตติ ตถาคโตฯ โลกนิโรธํ สจฺฉิกิริยาย ตถาย คโต ปโตฺตติ ตถาคโตฯ โลกนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ ตถํ อวิปรีตํ คโต ปฎิปโนฺนติ ตถาคโตติฯ เอวํ อิมิสฺสา ปาฬิยา ภควโต ตถาคตภาวทีปนวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Apica tathāya gatoti tathāgato, tathaṃ gatoti tathāgato , gatoti ca avagato atīto patto paṭipannoti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – yasmā bhagavā sakalalokaṃ tīraṇapariññāya tathāya aviparītāya gato avagato, tasmā loko tathāgatena abhisambuddhoti tathāgato. Lokasamudayaṃ pahānapariññāya tathāya gato atītoti tathāgato. Lokanirodhaṃ sacchikiriyāya tathāya gato pattoti tathāgato. Lokanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ tathaṃ aviparītaṃ gato paṭipannoti tathāgatoti. Evaṃ imissā pāḷiyā bhagavato tathāgatabhāvadīpanavasena attho veditabbo.
อิติ ภควา จตุสจฺจาภิสโมฺพธนวเสน อตฺตโน ตถาคตภาวํ ปกาเสตฺวา อิทานิ ตตฺถ ทิฎฺฐาทิอภิสโมฺพธิวเสนปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยํ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ องฺคุตฺตรฎฺฐกถายํ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔.๒๓) ปน ‘‘จตูหิ สเจฺจหิ อตฺตโน พุทฺธภาวํ กเถตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตํ ตถาคตสทฺท-พุทฺธสทฺทานํ อตฺถโต นินฺนานากรณตํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตถา เจว หิ ปาฬิ ปวตฺตาติฯ ตตฺถ ทิฎฺฐนฺติ รูปายตนํฯ สุตนฺติ สทฺทายตนํฯ มุตนฺติ ปตฺวา คเหตพฺพโต คนฺธายตนํ, รสายตนํ, โผฎฺฐพฺพายตนญฺจฯ วิญฺญาตนฺติ สุขทุกฺขาทิธมฺมารมฺมณํฯ ปตฺตนฺติ ปริเยสิตฺวา วา อปริเยสิตฺวา วา ปตฺตํฯ ปริเยสิตนฺติ ปตฺตํ วา อปฺปตฺตํ วา ปริเยสิตํฯ อนุวิจริตํ มนสาติ จิเตฺตน อนุสญฺจริตํฯ กสฺส ปน อนุวิจริตํ มนสาติ? สเทวกสฺส…เป.… สเทวมนุสฺสายาติ สมฺพนฺธนียํฯ ตตฺถ สห เทเวหีติ สเทวโก, ตสฺส สเทวกสฺสฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ
Iti bhagavā catusaccābhisambodhanavasena attano tathāgatabhāvaṃ pakāsetvā idāni tattha diṭṭhādiabhisambodhivasenapi taṃ dassetuṃ ‘‘yaṃ, bhikkhave’’tiādimāha. Aṅguttaraṭṭhakathāyaṃ (a. ni. aṭṭha. 2.4.23) pana ‘‘catūhi saccehi attano buddhabhāvaṃ kathetvā’’tiādi vuttaṃ. Taṃ tathāgatasadda-buddhasaddānaṃ atthato ninnānākaraṇataṃ dassetuṃ vuttaṃ. Tathā ceva hi pāḷi pavattāti. Tattha diṭṭhanti rūpāyatanaṃ. Sutanti saddāyatanaṃ. Mutanti patvā gahetabbato gandhāyatanaṃ, rasāyatanaṃ, phoṭṭhabbāyatanañca. Viññātanti sukhadukkhādidhammārammaṇaṃ. Pattanti pariyesitvā vā apariyesitvā vā pattaṃ. Pariyesitanti pattaṃ vā appattaṃ vā pariyesitaṃ. Anuvicaritaṃ manasāti cittena anusañcaritaṃ. Kassa pana anuvicaritaṃ manasāti? Sadevakassa…pe… sadevamanussāyāti sambandhanīyaṃ. Tattha saha devehīti sadevako, tassa sadevakassa. Sesapadesupi eseva nayo.
สเทวกวจเนน เจตฺถ ปญฺจกามาวจรเทวคฺคหณํ เวทิตพฺพํ, สมารกวจเนน ฉฎฺฐกามาวจรเทวคฺคหณํ, สพฺรหฺมกวจเนน พฺรหฺมกายิกาทิพฺรหฺมคฺคหณํ, สสฺสมณพฺราหฺมณิวจเนน สาสนสฺส ปจฺจตฺถิกสมณพฺราหฺมณคฺคหณเญฺจว สมิตปาปพาหิตปาปสมณพฺราหฺมณคฺคหณญฺจ, ปชาวจเนน สตฺตโลกคฺคหณํ , สเทวมนุสฺสวจเนน สมฺมุติเทวอวเสสมนุสฺสคฺคหณํฯ เอวเมตฺถ ตีหิ ปเทหิ เทวมารพฺรเหฺมหิ สทฺธิํ สตฺตโลโก, ทฺวีหิ ปชาวเสน สตฺตโลโก คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Sadevakavacanena cettha pañcakāmāvacaradevaggahaṇaṃ veditabbaṃ, samārakavacanena chaṭṭhakāmāvacaradevaggahaṇaṃ, sabrahmakavacanena brahmakāyikādibrahmaggahaṇaṃ, sassamaṇabrāhmaṇivacanena sāsanassa paccatthikasamaṇabrāhmaṇaggahaṇañceva samitapāpabāhitapāpasamaṇabrāhmaṇaggahaṇañca, pajāvacanena sattalokaggahaṇaṃ , sadevamanussavacanena sammutidevaavasesamanussaggahaṇaṃ. Evamettha tīhi padehi devamārabrahmehi saddhiṃ sattaloko, dvīhi pajāvasena sattaloko gahitoti veditabbo.
อปโร นโย – สเทวกคฺคหเณน อรูปาวจรเทวโลโก คหิโต, สมารกวจเนน ฉกามาวจรเทวโลโก, สพฺรหฺมกวจเนน รูปีพฺรหฺมโลโก, สสฺสมณพฺราหฺมณาทิวจเนน สมฺมุติเทเวหิ สห อวเสสสตฺตโลโก คหิโตฯ อปิเจตฺถ สเทวกวจเนน อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต สพฺพโลกวิสยสฺส ภควโต อภิสมฺพุทฺธภาเว ปกาสิเต เยสเมวํ สิยา ‘‘มาโร นาม มหานุภาโว ฉกามาวจริสฺสโร วสวตฺตี, พฺรหฺมา ปน ตโตปิ มหานุภาวตโร ทสหิ องฺคุลีหิ ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ อาโลกํ ผรติ, อุตฺตมชฺฌานสมาปตฺติสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ ปุถู จ สมณพฺราหฺมณา อิทฺธิมโนฺต ทิพฺพจกฺขุกา ปรจิตฺตวิทุโน มหานุภาวา สํวิชฺชนฺติฯ อยญฺจ สตฺตกาโย อนโนฺต อปริมาโณ, กิเมเตสํ สเพฺพสํเยว วิสโย อนวเสสโต ภควตา อภิสมฺพุโทฺธ’’ติ? เตสํ วิมติํ วิธเมโนฺต ภควา ‘‘สเทวกสฺส โลกสฺสา’’ติอาทิมาหฯ
Aparo nayo – sadevakaggahaṇena arūpāvacaradevaloko gahito, samārakavacanena chakāmāvacaradevaloko, sabrahmakavacanena rūpībrahmaloko, sassamaṇabrāhmaṇādivacanena sammutidevehi saha avasesasattaloko gahito. Apicettha sadevakavacanena ukkaṭṭhaparicchedato sabbalokavisayassa bhagavato abhisambuddhabhāve pakāsite yesamevaṃ siyā ‘‘māro nāma mahānubhāvo chakāmāvacarissaro vasavattī, brahmā pana tatopi mahānubhāvataro dasahi aṅgulīhi dasasu cakkavāḷasahassesu ālokaṃ pharati, uttamajjhānasamāpattisukhaṃ paṭisaṃvedeti. Puthū ca samaṇabrāhmaṇā iddhimanto dibbacakkhukā paracittaviduno mahānubhāvā saṃvijjanti. Ayañca sattakāyo ananto aparimāṇo, kimetesaṃ sabbesaṃyeva visayo anavasesato bhagavatā abhisambuddho’’ti? Tesaṃ vimatiṃ vidhamento bhagavā ‘‘sadevakassa lokassā’’tiādimāha.
โปราณา ปนาหุ – ‘‘สเทวกสฺสา’’ติ เทวตาหิ สทฺธิํ อวเสสโลกํ ปริยาทิยติ, ‘‘สมารกสฺสา’’ติ มาเรน สทฺธิํ อวเสสโลกํ, ‘‘สพฺรหฺมกสฺสา’’ติ พฺรเหฺมหิ สทฺธิํ อวเสสโลกํฯ เอวํ สเพฺพปิ ติภวูปเค สเตฺต ตีสุ ปเทสุ ปกฺขิปิตฺวา ปุน ทฺวีหิ ปเทหิ ปริยาทิยโนฺต ‘‘สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสายา’’ติ อาหฯ เอวํ ปญฺจหิปิ ปเทหิ ขนฺธตฺตยปริจฺฉิเนฺน สพฺพสเตฺต ปริยาทิยติฯ
Porāṇā panāhu – ‘‘sadevakassā’’ti devatāhi saddhiṃ avasesalokaṃ pariyādiyati, ‘‘samārakassā’’ti mārena saddhiṃ avasesalokaṃ, ‘‘sabrahmakassā’’ti brahmehi saddhiṃ avasesalokaṃ. Evaṃ sabbepi tibhavūpage satte tīsu padesu pakkhipitvā puna dvīhi padehi pariyādiyanto ‘‘sassamaṇabrāhmaṇiyā pajāya sadevamanussāyā’’ti āha. Evaṃ pañcahipi padehi khandhattayaparicchinne sabbasatte pariyādiyati.
ยสฺมา ตํ ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธนฺติ อิมินา อิทํ ทเสฺสติ – ยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส ‘‘นีลํ ปีตก’’นฺติอาทิ รูปารมฺมณํ จกฺขุทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉติ, ตํ สพฺพํ ‘‘อยํ สโตฺต อิมสฺมิํ ขเณ อิมํ นาม รูปารมฺมณํ ทิสฺวา สุมโน วา ทุมฺมโน วา มชฺฌโตฺต วา ชาโต’’ติ ตถาคตสฺส เอวํ อภิสมฺพุทฺธํฯ ตถา ยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส ‘‘เภริสโทฺท มุทิงฺคสโทฺท’’ติอาทิ สทฺทารมฺมณํ โสตทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉติ, ‘‘มูลคโนฺธ ตจคโนฺธ’’ติอาทิ คนฺธารมฺมณํ ฆานทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติ, ‘‘มูลรโส ขนฺธรโส’’ติอาทิ รสารมฺมณํ ชิวฺหาทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติ , ‘‘กกฺขฬํ มุทุก’’นฺติอาทิ ปถวีธาตุเตโชธาตุวาโยธาตุเภทํ โผฎฺฐพฺพารมฺมณํ กายทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติ , ‘‘อยํ สโตฺต อิมสฺมิํ ขเณ อิมํ นาม โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา สุมโน วา ทุมฺมโน วา มชฺฌโตฺต วา ชาโต’’ติ สพฺพํ ตํ ตถาคตสฺส เอวํ อภิสมฺพุทฺธํฯ
Yasmā taṃ tathāgatena abhisambuddhanti iminā idaṃ dasseti – yaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu imassa sadevakassa lokassa ‘‘nīlaṃ pītaka’’ntiādi rūpārammaṇaṃ cakkhudvāre āpāthaṃ āgacchati, taṃ sabbaṃ ‘‘ayaṃ satto imasmiṃ khaṇe imaṃ nāma rūpārammaṇaṃ disvā sumano vā dummano vā majjhatto vā jāto’’ti tathāgatassa evaṃ abhisambuddhaṃ. Tathā yaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu imassa sadevakassa lokassa ‘‘bherisaddo mudiṅgasaddo’’tiādi saddārammaṇaṃ sotadvāre āpāthaṃ āgacchati, ‘‘mūlagandho tacagandho’’tiādi gandhārammaṇaṃ ghānadvāre āpāthamāgacchati, ‘‘mūlaraso khandharaso’’tiādi rasārammaṇaṃ jivhādvāre āpāthamāgacchati , ‘‘kakkhaḷaṃ muduka’’ntiādi pathavīdhātutejodhātuvāyodhātubhedaṃ phoṭṭhabbārammaṇaṃ kāyadvāre āpāthamāgacchati , ‘‘ayaṃ satto imasmiṃ khaṇe imaṃ nāma phoṭṭhabbaṃ phusitvā sumano vā dummano vā majjhatto vā jāto’’ti sabbaṃ taṃ tathāgatassa evaṃ abhisambuddhaṃ.
ตถา ยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส สุขาทิเภทํ ธมฺมารมฺมณํ มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติ, ‘‘อยํ สโตฺต อิมสฺมิํ ขเณ อิมํ นาม ธมฺมารมฺมณํ ชานิตฺวา สุมโน วา ทุมฺมโน วา มชฺฌโตฺต วา ชาโต’’ติ สพฺพํ ตํ ตถาคตสฺส เอวํ อภิสมฺพุทฺธํฯ เอวํ ยํ อิมสฺส สเทวกสฺส โลกสฺส ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ, ตํ ตถาคเตน อทิฎฺฐํ วา อสุตํ วา อมุตํ วา อวิญฺญาตํ วา นตฺถิฯ อิมสฺส ปน มหาชนสฺส ปริเยสิตฺวา อปฺปตฺตมฺปิ อตฺถิ, อปริเยสิตฺวา อปฺปตฺตมฺปิ อตฺถิ, ปริเยสิตฺวา ปตฺตมฺปิ อตฺถิ, อปริเยสิตฺวา ปตฺตมฺปิ อตฺถิฯ สพฺพมฺปิ ตถาคตสฺส อปฺปตฺตํ นาม นตฺถิ ญาเณน อสจฺฉิกตํฯ ตโต เอว ยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ จกฺขุทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉนฺตํ รูปารมฺมณํ นาม อตฺถิ, ตํ ภควา สพฺพํ สพฺพากาเรน ชานาติ ปสฺสติฯ เอวํ ชานตา ปสฺสตา จาเนน ตํ อิฎฺฐานิฎฺฐาทิวเสน วา ทิฎฺฐสุตมุตวิญฺญาเตสุ ลพฺภมานปทวเสน วา ‘‘กตมํ ตํ รูปํ รูปายตนํ? ยํ รูปํ จตุนฺนํ มหาภูตานํ อุปาทาย วณฺณนิภา สนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ นีลํ ปีตก’’นฺติอาทินา (ธ. ส. ๖๑๗) นเยน อเนเกหิ นาเมหิ เตรสหิ วาเรหิ เทฺวปญฺญาสาย นเยหิ วิภชฺชมานํ ตเถว โหติ, วิตถํ นตฺถิฯ เอส นโย โสตทฺวาราทีสุปิ อาปาถมาคจฺฉเนฺตสุ สทฺทาทีสุฯ
Tathā yaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu imassa sadevakassa lokassa sukhādibhedaṃ dhammārammaṇaṃ manodvāre āpāthamāgacchati, ‘‘ayaṃ satto imasmiṃ khaṇe imaṃ nāma dhammārammaṇaṃ jānitvā sumano vā dummano vā majjhatto vā jāto’’ti sabbaṃ taṃ tathāgatassa evaṃ abhisambuddhaṃ. Evaṃ yaṃ imassa sadevakassa lokassa diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ, taṃ tathāgatena adiṭṭhaṃ vā asutaṃ vā amutaṃ vā aviññātaṃ vā natthi. Imassa pana mahājanassa pariyesitvā appattampi atthi, apariyesitvā appattampi atthi, pariyesitvā pattampi atthi, apariyesitvā pattampi atthi. Sabbampi tathāgatassa appattaṃ nāma natthi ñāṇena asacchikataṃ. Tato eva yaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ cakkhudvāre āpāthamāgacchantaṃ rūpārammaṇaṃ nāma atthi, taṃ bhagavā sabbaṃ sabbākārena jānāti passati. Evaṃ jānatā passatā cānena taṃ iṭṭhāniṭṭhādivasena vā diṭṭhasutamutaviññātesu labbhamānapadavasena vā ‘‘katamaṃ taṃ rūpaṃ rūpāyatanaṃ? Yaṃ rūpaṃ catunnaṃ mahābhūtānaṃ upādāya vaṇṇanibhā sanidassanaṃ sappaṭighaṃ nīlaṃ pītaka’’ntiādinā (dha. sa. 617) nayena anekehi nāmehi terasahi vārehi dvepaññāsāya nayehi vibhajjamānaṃ tatheva hoti, vitathaṃ natthi. Esa nayo sotadvārādīsupi āpāthamāgacchantesu saddādīsu.
ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตีติ ยํ ยถา โลเกน คตํ, ตสฺส ตเถว คตตฺตา ตถาคโตติ วุจฺจติฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘อภิสมฺพุทฺธ’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ ตถาคตสเทฺทน สมานตฺถํฯ อิมินา ตถาทสฺสิภาวโต ตถาคโตติ อยมโตฺถ ทสฺสิโต โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ธมฺมเสนาปตินา –
Tasmā tathāgatoti vuccatīti yaṃ yathā lokena gataṃ, tassa tatheva gatattā tathāgatoti vuccati. Pāḷiyaṃ pana ‘‘abhisambuddha’’nti vuttaṃ, taṃ tathāgatasaddena samānatthaṃ. Iminā tathādassibhāvato tathāgatoti ayamattho dassito hoti. Vuttañhetaṃ dhammasenāpatinā –
‘‘น ตสฺส อทฺทิฎฺฐมิธตฺถิ กิญฺจิ,
‘‘Na tassa addiṭṭhamidhatthi kiñci,
อโถ อวิญฺญาตมชานิตพฺพํ;
Atho aviññātamajānitabbaṃ;
สพฺพํ อภิญฺญาสิ ยทตฺถิ เนยฺยํ,
Sabbaṃ abhiññāsi yadatthi neyyaṃ,
ตถาคโต เตน สมนฺตจกฺขู’’ติฯ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕; ปฎิ. ม. ๑.๑๒๑);
Tathāgato tena samantacakkhū’’ti. (mahāni. 156; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85; paṭi. ma. 1.121);
สุตฺตเนฺตปิ วุตฺตํ ภควตา –
Suttantepi vuttaṃ bhagavatā –
‘‘ยํ , ภิกฺขเว, สเทวกสฺส โลกสฺส…เป.… สเทวมนุสฺสาย ปชาย ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมหํ ชานามิ, ตมหํ อพฺภญฺญาสิํ, ตํ ตถาคตสฺส วิทิตํ, ตํ ตถาคโต น อุปฎฺฐาสี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔)ฯ
‘‘Yaṃ , bhikkhave, sadevakassa lokassa…pe… sadevamanussāya pajāya diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tamahaṃ jānāmi, tamahaṃ abbhaññāsiṃ, taṃ tathāgatassa viditaṃ, taṃ tathāgato na upaṭṭhāsī’’ti (a. ni. 4.24).
ยญฺจ, ภิกฺขเว, รตฺติํ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌตีติ ยสฺสญฺจ วิสาขปุณฺณมรตฺติยํ ตถา อาคตาทิอเตฺถน ตถาคโต ภควา โพธิมเณฺฑ อปราชิตปลฺลเงฺก นิสิโนฺน ติณฺณํ มารานํ มตฺถกํ มทฺทิตฺวา อุตฺตริตราภาวโต อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อาสวกฺขยญาเณน สทฺธิํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อธิคจฺฉติฯ ยญฺจ รตฺติํ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายตีติ ยสฺสญฺจ วิสาขปุณฺณมรตฺติยํเยว กุสินารายํ อุปวตฺตเน มลฺลานํ สาลวเน ยมกสาลานมนฺตเร อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติฯ ยํ เอตสฺมิํ อนฺตเรติ อิมาสํ ทฺวินฺนํ สอุปาทิเสสอนุปาทิเสสนิพฺพานธาตูนํ เวมเชฺฌ ปญฺจจตฺตาลีสวสฺสปริมาเณ กาเล ปฐมโพธิยมฺปิ, มชฺฌิมโพธิยมฺปิ, ปจฺฉิมโพธิยมฺปิ ยํ สุตฺตเคยฺยาทิปฺปเภทํ ธมฺมํ ภาสติ นิทฺทิสนวเสน, ลปติ อุทฺธิสนวเสน, นิทฺทิสติ ปฎินิทฺทิสนวเสนฯ สพฺพํ ตํ ตเถว โหตีติ ตํ เอตฺถนฺตเร เทสิตํ สพฺพํ สุตฺตเคยฺยาทินวงฺคํ พุทฺธวจนํ อตฺถโต พฺยญฺชนโต จ อนุปวชฺชํ อนูนํ อนธิกํ สพฺพาการปริปุณฺณํ ราคมทนิมฺมทนํ…เป.… โมหมทนิมฺมทนํ, นตฺถิ ตตฺถ วาลคฺคมตฺตมฺปิ อวกฺขลิตํ, เอกมุทฺทิกาย ลญฺฉิตํ วิย เอกนาฬิยา มิตํ วิย เอกตุลาย ตุลิตํ วิย จ ตํ ตเถว โหติ ยสฺสตฺถาย ภาสิตํ, เอกเนฺตเนว ตสฺส สาธนโต, โน อญฺญถาฯ ตสฺมา ตถํ, อวิตถํ, อนญฺญถํฯ เอเตน ตถาวาทิตาย ตถาคโตติ ทเสฺสติฯ คทอโตฺถ อยํ คตสโทฺท ทการสฺส ตการํ กตฺวา, ตสฺมา ตถํ คทตีติ ตถาคโตติ อโตฺถฯ อถ วา อาคทนํ อาคโท, วจนนฺติ อโตฺถฯ ตโถ อวิปรีโต อาคโท ยสฺสาติ ทการสฺส ตการํ กตฺวา ตถาคโตติ เอวเมตฺถ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ
Yañca, bhikkhave, rattiṃ tathāgato anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhatīti yassañca visākhapuṇṇamarattiyaṃ tathā āgatādiatthena tathāgato bhagavā bodhimaṇḍe aparājitapallaṅke nisinno tiṇṇaṃ mārānaṃ matthakaṃ madditvā uttaritarābhāvato anuttaraṃ sammāsambodhiṃ āsavakkhayañāṇena saddhiṃ sabbaññutaññāṇaṃ adhigacchati. Yañca rattiṃ anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyatīti yassañca visākhapuṇṇamarattiyaṃyeva kusinārāyaṃ upavattane mallānaṃ sālavane yamakasālānamantare anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyati. Yaṃ etasmiṃ antareti imāsaṃ dvinnaṃ saupādisesaanupādisesanibbānadhātūnaṃ vemajjhe pañcacattālīsavassaparimāṇe kāle paṭhamabodhiyampi, majjhimabodhiyampi, pacchimabodhiyampi yaṃ suttageyyādippabhedaṃ dhammaṃ bhāsati niddisanavasena, lapati uddhisanavasena, niddisati paṭiniddisanavasena. Sabbaṃ taṃ tatheva hotīti taṃ etthantare desitaṃ sabbaṃ suttageyyādinavaṅgaṃ buddhavacanaṃ atthato byañjanato ca anupavajjaṃ anūnaṃ anadhikaṃ sabbākāraparipuṇṇaṃ rāgamadanimmadanaṃ…pe… mohamadanimmadanaṃ, natthi tattha vālaggamattampi avakkhalitaṃ, ekamuddikāya lañchitaṃ viya ekanāḷiyā mitaṃ viya ekatulāya tulitaṃ viya ca taṃ tatheva hoti yassatthāya bhāsitaṃ, ekanteneva tassa sādhanato, no aññathā. Tasmā tathaṃ, avitathaṃ, anaññathaṃ. Etena tathāvāditāya tathāgatoti dasseti. Gadaattho ayaṃ gatasaddo dakārassa takāraṃ katvā, tasmā tathaṃ gadatīti tathāgatoti attho. Atha vā āgadanaṃ āgado, vacananti attho. Tatho aviparīto āgado yassāti dakārassa takāraṃ katvā tathāgatoti evamettha padasiddhi veditabbā.
ยถาวาที ตถาการีติ เย ธเมฺม ภควา ‘‘อิเม ธมฺมา อกุสลา สาวชฺชา วิญฺญุครหิตา สมตฺตา สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺตี’’ติ ปเรสํ ธมฺมํ เทเสโนฺต วทติ, เต ธเมฺม เอกเนฺตเนว สยํ ปหาสิฯ เย ปน ธเมฺม ภควา ‘‘อิเม ธมฺมา กุสลา อนวชฺชา วิญฺญุปฺปสตฺถา สมตฺตา สมาทินฺนา หิตาย สุขาย สํวตฺตนฺตี’’ติ วทติ, เต ธเมฺม เอกเนฺตเนว สยํ อุปสมฺปชฺช วิหาสิฯ ตสฺมา ยถาวาที ภควา, ตถาการีติ เวทิตโพฺพฯ ยถาการี ตถาวาทีติ สมฺมเทว สีลาทิปริปูรณวเสน สมฺมา ปฎิปโนฺน สยํ ยถาการี ภควา, ตเถว ธมฺมเทสนาย ปเรสํ ตตฺถ ปติฎฺฐาปนวเสน ตถาวาทีฯ ภควโต หิ วาจาย กาโย อนุโลเมติ, กายสฺสปิ วาจาฯ ตสฺมา ยถาวาที ตถาการี, ยถาการี ตถาวาที จ โหติฯ เอวํภูตสฺส จสฺส ยถา วาจา, กาโยปิ ตถา คโต ปวโตฺตฯ ยถา จ กาโย, วาจาปิ ตถา คตา ปวตฺตาติ อโตฺถฯ
Yathāvādī tathākārīti ye dhamme bhagavā ‘‘ime dhammā akusalā sāvajjā viññugarahitā samattā samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattantī’’ti paresaṃ dhammaṃ desento vadati, te dhamme ekanteneva sayaṃ pahāsi. Ye pana dhamme bhagavā ‘‘ime dhammā kusalā anavajjā viññuppasatthā samattā samādinnā hitāya sukhāya saṃvattantī’’ti vadati, te dhamme ekanteneva sayaṃ upasampajja vihāsi. Tasmā yathāvādī bhagavā, tathākārīti veditabbo. Yathākārī tathāvādīti sammadeva sīlādiparipūraṇavasena sammā paṭipanno sayaṃ yathākārī bhagavā, tatheva dhammadesanāya paresaṃ tattha patiṭṭhāpanavasena tathāvādī. Bhagavato hi vācāya kāyo anulometi, kāyassapi vācā. Tasmā yathāvādī tathākārī, yathākārī tathāvādī ca hoti. Evaṃbhūtassa cassa yathā vācā, kāyopi tathā gato pavatto. Yathā ca kāyo, vācāpi tathā gatā pavattāti attho.
อภิภู อนภิภูโตติ อุปริ ภวคฺคํ เหฎฺฐา อวีจินิรยํ ปริยนฺตํ กตฺวา ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ ภควา สพฺพสเตฺต อภิภวติ สีเลนปิ สมาธินาปิ ปญฺญายปิ วิมุตฺติยาปิ วิมุตฺติญาณทสฺสเนนปิ, น ตสฺส ตุลา วา ปมาณํ วา อตฺถิ, อสโม อสมสโม อปฺปฎิโม อปฺปฎิภาโค อปฺปฎิปุคฺคโล อตุโล อปฺปเมโยฺย อนุตฺตโร ธมฺมราชา เทวานํ อติเทโว สกฺกานํ อติสโกฺก พฺรหฺมานํ อติพฺรหฺมาฯ ตโต เอว สยํ น เกนจิ อภิภูโตติ อนภิภูโตฯ อญฺญทตฺถูติ เอกํสเตฺถ นิปาโตฯ ยญฺหิ กิญฺจิ เนยฺยํ นาม, สพฺพํ ตํ หตฺถตเล อามลกํ วิย ปสฺสตีติ ทโสฯ อวิปรีตํ อาสยาทิอวโพเธน หิตูปสํหาราทินา จ สเตฺต, ภาวญฺญถตฺตูปนยวเสน สงฺขาเร สพฺพากาเรน สุจิณฺณวสิตาย สมาปตฺติโย จิตฺตญฺจ วเส วเตฺตตีติ วสวตฺตีฯ เอตฺตาวตา อภิภวนเฎฺฐน ภควา อตฺตโน ตถาคตภาวํ ทเสฺสติฯ
Abhibhū anabhibhūtoti upari bhavaggaṃ heṭṭhā avīcinirayaṃ pariyantaṃ katvā tiriyaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu bhagavā sabbasatte abhibhavati sīlenapi samādhināpi paññāyapi vimuttiyāpi vimuttiñāṇadassanenapi, na tassa tulā vā pamāṇaṃ vā atthi, asamo asamasamo appaṭimo appaṭibhāgo appaṭipuggalo atulo appameyyo anuttaro dhammarājā devānaṃ atidevo sakkānaṃ atisakko brahmānaṃ atibrahmā. Tato eva sayaṃ na kenaci abhibhūtoti anabhibhūto. Aññadatthūti ekaṃsatthe nipāto. Yañhi kiñci neyyaṃ nāma, sabbaṃ taṃ hatthatale āmalakaṃ viya passatīti daso. Aviparītaṃ āsayādiavabodhena hitūpasaṃhārādinā ca satte, bhāvaññathattūpanayavasena saṅkhāre sabbākārena suciṇṇavasitāya samāpattiyo cittañca vase vattetīti vasavattī. Ettāvatā abhibhavanaṭṭhena bhagavā attano tathāgatabhāvaṃ dasseti.
ตเตฺรวํ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพา – อคโท วิย อคโทฯ โก ปเนส? เทสนาวิลาโส เจว ปุญฺญุสฺสโย จฯ เตเนว เหส มหานุภาโว ภิสโกฺก วิย ทิพฺพาคเทน สเปฺป, สเพฺพ ปรปฺปวาทิโน สเทวกญฺจ โลกํ อภิภวติฯ อิติ สพฺพโลกาภิภวเน ตโถ อวิปรีโต เทสนาวิลาโส เจว ปุญฺญุสฺสโย จ อคโท อสฺสาติ ทการสฺส ตการํ กตฺวา ตถาคโตติ เวทิตโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… วสวตฺตี, ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตี’’ติฯ
Tatrevaṃ padasiddhi veditabbā – agado viya agado. Ko panesa? Desanāvilāso ceva puññussayo ca. Teneva hesa mahānubhāvo bhisakko viya dibbāgadena sappe, sabbe parappavādino sadevakañca lokaṃ abhibhavati. Iti sabbalokābhibhavane tatho aviparīto desanāvilāso ceva puññussayo ca agado assāti dakārassa takāraṃ katvā tathāgatoti veditabbo. Tena vuttaṃ ‘‘sadevake, bhikkhave, loke…pe… vasavattī, tasmā tathāgatoti vuccatī’’ti.
คาถาสุ สพฺพโลกํ อภิญฺญายาติ เตธาตุกโลกสนฺนิวาสํ ชานิตฺวาฯ สพฺพโลเก ยถาตถนฺติ ตสฺมิํ เตธาตุกโลกสนฺนิวาเส ยํกิญฺจิ เนยฺยํ, ตํ สพฺพํ ยถาตถํ อวิปรีตํ ชานิตฺวาฯ สพฺพโลกวิสํยุโตฺตติ จตุนฺนํ โยคานํ อนวเสสปฺปหาเนน สเพฺพนปิ โลเกน วิสํยุโตฺต วิปฺปมุโตฺตฯ อนูปโยติ สพฺพสฺมิมฺปิ โลเก ตณฺหาทิฎฺฐิอุปเยหิ อนูปโย เตหิ อุปเยหิ วิรหิโตฯ
Gāthāsu sabbalokaṃ abhiññāyāti tedhātukalokasannivāsaṃ jānitvā. Sabbaloke yathātathanti tasmiṃ tedhātukalokasannivāse yaṃkiñci neyyaṃ, taṃ sabbaṃ yathātathaṃ aviparītaṃ jānitvā. Sabbalokavisaṃyuttoti catunnaṃ yogānaṃ anavasesappahānena sabbenapi lokena visaṃyutto vippamutto. Anūpayoti sabbasmimpi loke taṇhādiṭṭhiupayehi anūpayo tehi upayehi virahito.
สพฺพาภิภูติ รูปาทีนิ สพฺพารมฺมณานิ, สพฺพํ สงฺขารคตํ, สเพฺพปิ มาเร อภิภวิตฺวา ฐิโตฯ ธีโรติ ธิติสมฺปโนฺนฯ สพฺพคนฺถปฺปโมจโนติ สเพฺพ อภิชฺฌากายคนฺถาทิเก โมเจตฺวา ฐิโต เวเนยฺยสนฺตาเนปิ อตฺตโน เทสนาวิลาเสน เตสํ ปโมจนโต สพฺพคนฺถปฺปโมจโนฯ ผุฎฺฐาสฺสาติ ผุฎฺฐา อสฺสฯ กรณเตฺถ อิทํ สามิวจนํ, ผุฎฺฐา อเนนาติ อโตฺถฯ ปรมา สนฺตีติ นิพฺพานํฯ ตญฺหิ เตน ญาณผุสเนน ผุฎฺฐํฯ เตเนวาห ‘‘นิพฺพานํ อกุโตภย’’นฺติฯ อถ วา ปรมา สนฺตีติ อุตฺตมา สนฺติฯ กตรา สาติ? นิพฺพานํฯ ยสฺมา ปน นิพฺพาเน กุโตจิ ภยํ นตฺถิ, ตสฺมา ตํ อกุโตภยนฺติ วุจฺจติฯ
Sabbābhibhūti rūpādīni sabbārammaṇāni, sabbaṃ saṅkhāragataṃ, sabbepi māre abhibhavitvā ṭhito. Dhīroti dhitisampanno. Sabbaganthappamocanoti sabbe abhijjhākāyaganthādike mocetvā ṭhito veneyyasantānepi attano desanāvilāsena tesaṃ pamocanato sabbaganthappamocano. Phuṭṭhāssāti phuṭṭhā assa. Karaṇatthe idaṃ sāmivacanaṃ, phuṭṭhā anenāti attho. Paramā santīti nibbānaṃ. Tañhi tena ñāṇaphusanena phuṭṭhaṃ. Tenevāha ‘‘nibbānaṃ akutobhaya’’nti. Atha vā paramā santīti uttamā santi. Katarā sāti? Nibbānaṃ. Yasmā pana nibbāne kutoci bhayaṃ natthi, tasmā taṃ akutobhayanti vuccati.
อนีโฆติ นิทฺทุโกฺขฯ สพฺพกมฺมกฺขยํ ปโตฺตติ สเพฺพสํ กมฺมานํ ขยํ ปริโยสานํ อจฺจนฺตาภาวํ ปโตฺตฯ วิมุโตฺต อุปธิสงฺขเยติ อุปธิสงฺขยสงฺขาเต นิพฺพาเน ตทารมฺมณาย ผลวิมุตฺติยา วิมุโตฺตฯ เอส โสติ เอโส โสฯ สีโห อนุตฺตโรติ ปริสฺสยานํ สหนเฎฺฐน, กิเลสานํ หนนเฎฺฐน จ, ตถาคโต อนุตฺตโร สีโห นามฯ พฺรหฺมนฺติ เสฎฺฐํฯ จกฺกนฺติ ธมฺมจกฺกํฯ ปวตฺตยีติ ติปริวฎฺฎํ ทฺวาทสาการํ ปวเตฺตสิฯ
Anīghoti niddukkho. Sabbakammakkhayaṃ pattoti sabbesaṃ kammānaṃ khayaṃ pariyosānaṃ accantābhāvaṃ patto. Vimutto upadhisaṅkhayeti upadhisaṅkhayasaṅkhāte nibbāne tadārammaṇāya phalavimuttiyā vimutto. Esa soti eso so. Sīho anuttaroti parissayānaṃ sahanaṭṭhena, kilesānaṃ hananaṭṭhena ca, tathāgato anuttaro sīho nāma. Brahmanti seṭṭhaṃ. Cakkanti dhammacakkaṃ. Pavattayīti tiparivaṭṭaṃ dvādasākāraṃ pavattesi.
อิตีติ เอวํ ตถาคตสฺส คุเณ ชานิตฺวาฯ สงฺคมฺมาติ สมาคนฺตฺวาฯ ตํ นมสฺสนฺตีติ ตํ ตถาคตํ เต สรณํ คตา เทวมนุสฺสา นมสฺสนฺติฯ มหเนฺตหิ สีลาทิคุเณหิ สมนฺนาคตตฺตา มหนฺตํ, จตุเวสารชฺชโยเคน วีตสารทํฯ อิทานิ ยํ วทนฺตา เต นมสฺสนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ ทโนฺตติอาทิ วุตฺตํฯ ตํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
Itīti evaṃ tathāgatassa guṇe jānitvā. Saṅgammāti samāgantvā. Taṃnamassantīti taṃ tathāgataṃ te saraṇaṃ gatā devamanussā namassanti. Mahantehi sīlādiguṇehi samannāgatattā mahantaṃ, catuvesārajjayogena vītasāradaṃ. Idāni yaṃ vadantā te namassanti, taṃ dassetuṃ dantotiādi vuttaṃ. Taṃ uttānatthameva.
อิติ อิมสฺมิํ จตุกฺกนิปาเต ฉเฎฺฐ สตฺตเม จ สุเตฺต วฎฺฎํ กถิตํ, ปฐมทุติยตติยทฺวาทสมเตรสเมสุ วิวฎฺฎํ กถิตํ, เสเสสุ วฎฺฎวิวฎฺฎํ กถิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Iti imasmiṃ catukkanipāte chaṭṭhe sattame ca sutte vaṭṭaṃ kathitaṃ, paṭhamadutiyatatiyadvādasamaterasamesu vivaṭṭaṃ kathitaṃ, sesesu vaṭṭavivaṭṭaṃ kathitanti veditabbaṃ.
เตรสมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Terasamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
อิติ ปรมตฺถทีปนิยา
Iti paramatthadīpaniyā
ขุทฺทกนิกาย-อฎฺฐกถาย
Khuddakanikāya-aṭṭhakathāya
อิติวุตฺตกสฺส จตุกฺกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Itivuttakassa catukkanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑๓. โลกสุตฺตํ • 13. Lokasuttaṃ