Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๑๐. โลกสุตฺตวณฺณนา

    10. Lokasuttavaṇṇanā

    ๓๐. ทสเม พุทฺธจกฺขุนาติ เอตฺถ อาสยานุสยญาณํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณญฺจ พุทฺธจกฺขุ นามฯ ยถาห –

    30. Dasame buddhacakkhunāti ettha āsayānusayañāṇaṃ indriyaparopariyattañāṇañca buddhacakkhu nāma. Yathāha –

    ‘‘อทฺทสา โข ภควา พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต สเตฺต อปฺปรชเกฺข มหารชเกฺข ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๘๓; ๒.๓๓๙)ฯ

    ‘‘Addasā kho bhagavā buddhacakkhunā lokaṃ volokento satte apparajakkhe mahārajakkhe tikkhindriye mudindriye’’tiādi (ma. ni. 1.283; 2.339).

    โลกนฺติ ตโย โลกา – โอกาสโลโก, สงฺขารโลโก, สตฺตโลโกติฯ ตตฺถ –

    Lokanti tayo lokā – okāsaloko, saṅkhāraloko, sattalokoti. Tattha –

    ‘‘ยาวตา จนฺทิมสูริยา ปริหรนฺติ,

    ‘‘Yāvatā candimasūriyā pariharanti,

    ทิสา ภนฺติ วิโรจนา;

    Disā bhanti virocanā;

    ตาว สหสฺสธา โลโก,

    Tāva sahassadhā loko,

    เอตฺถ เต วตฺตตี วโส’’ติฯ –

    Ettha te vattatī vaso’’ti. –

    อาทีสุ (ม. นิ. ๑.๕๐๓) โอกาสโลโกฯ ‘‘เอโก โลโก – สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกา, เทฺว โลกา – นามญฺจ รูปญฺจ, ตโย โลกา – ติโสฺส เวทนา , จตฺตาโร โลกา – จตฺตาโร อาหารา, ปญฺจ โลกา – ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา, ฉ โลกา – ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ, สตฺต โลกา – สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโย, อฎฺฐ โลกา – อฎฺฐ โลกธมฺมา, นว โลกา – นว สตฺตาวาสา, ทส โลกา – ทสายตนานิ, ทฺวาทส โลกา – ทฺวาทสายตนานิ, อฎฺฐารส โลกา – อฎฺฐารส ธาตุโย’’ติอาทีสุ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๒) สงฺขารโลโกฯ ‘‘สสฺสโต โลโก, อสสฺสโต โลโก’’ติอาทีสุ สตฺตโลโก วุโตฺตฯ อิธาปิ สตฺตโลโก เวทิตโพฺพฯ

    Ādīsu (ma. ni. 1.503) okāsaloko. ‘‘Eko loko – sabbe sattā āhāraṭṭhitikā, dve lokā – nāmañca rūpañca, tayo lokā – tisso vedanā , cattāro lokā – cattāro āhārā, pañca lokā – pañcupādānakkhandhā, cha lokā – cha ajjhattikāni āyatanāni, satta lokā – satta viññāṇaṭṭhitiyo, aṭṭha lokā – aṭṭha lokadhammā, nava lokā – nava sattāvāsā, dasa lokā – dasāyatanāni, dvādasa lokā – dvādasāyatanāni, aṭṭhārasa lokā – aṭṭhārasa dhātuyo’’tiādīsu (paṭi. ma. 1.112) saṅkhāraloko. ‘‘Sassato loko, asassato loko’’tiādīsu sattaloko vutto. Idhāpi sattaloko veditabbo.

    ตตฺถ โลกียติ วิจิตฺตาการโต ทิสฺสตีติ จกฺกวาฬสงฺขาโต โลโก โอกาสโลโก, สงฺขาโร ลุชฺชติ ปลุชฺชตีติ โลโก, โลกียติ เอตฺถ ปุญฺญปาปํ ตพฺพิปาโก จาติ สตฺตโลโกฯ เตสุ ภควา มหากรุณาย อนุกมฺปมาโน สํสารทุกฺขโต โมเจตุกาโม สตฺตโลกํ โอโลเกสิฯ กตมสฺส ปน สตฺตาหสฺส อจฺจเยน โอโลเกสิ? ปฐมสฺส สตฺตาหสฺสฯ ภควา หิ ปลฺลงฺกสตฺตาหสฺส ปริโยสาเน ปจฺฉิมยามาวสาเน ‘‘ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา…เป.… สูริโยว โอภาสยมนฺตลิกฺข’’นฺติ (อุทา. ๑-๓; กถา. ๓๒๑; มหาว. ๑-๓) อิมํ อริยมคฺคานุภาวทีปกํ อุทานํ อุทาเนตฺวา, ‘‘อหํ ตาว เอวํ สุทุตฺตรํ สํสารมโหฆํ อิมาย ธมฺมนาวาย สมุตฺตริตฺวา นิพฺพานปาเร ฐิโต, หนฺท ทานิ โลกมฺปิ ตาเรสฺสามิ, กีทิโส นุ โข โลโก’’ติ โลกํ โวโลเกสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ภควา ตสฺส สตฺตาหสฺส อจฺจเยน ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฎฺฐหิตฺวา พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสี’’ติฯ

    Tattha lokīyati vicittākārato dissatīti cakkavāḷasaṅkhāto loko okāsaloko, saṅkhāro lujjati palujjatīti loko, lokīyati ettha puññapāpaṃ tabbipāko cāti sattaloko. Tesu bhagavā mahākaruṇāya anukampamāno saṃsāradukkhato mocetukāmo sattalokaṃ olokesi. Katamassa pana sattāhassa accayena olokesi? Paṭhamassa sattāhassa. Bhagavā hi pallaṅkasattāhassa pariyosāne pacchimayāmāvasāne ‘‘yadā have pātubhavanti dhammā…pe… sūriyova obhāsayamantalikkha’’nti (udā. 1-3; kathā. 321; mahāva. 1-3) imaṃ ariyamaggānubhāvadīpakaṃ udānaṃ udānetvā, ‘‘ahaṃ tāva evaṃ suduttaraṃ saṃsāramahoghaṃ imāya dhammanāvāya samuttaritvā nibbānapāre ṭhito, handa dāni lokampi tāressāmi, kīdiso nu kho loko’’ti lokaṃ volokesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘atha kho bhagavātassa sattāhassa accayena tamhā samādhimhā vuṭṭhahitvā buddhacakkhunā lokaṃ volokesī’’ti.

    ตตฺถ โวโลเกสีติ วิวิเธหิ อากาเรหิ ปสฺสิ, หตฺถตเล ฐปิตอามลกํ วิย อตฺตโน ญาเณน ปจฺจกฺขํ อกาสิฯ อเนเกหิ สนฺตาเปหีติอาทิ โวโลกิตาการทสฺสนํฯ อเนเกหิ สนฺตาเปหีติ อเนเกหิ ทุเกฺขหิฯ ทุกฺขญฺหิ สนฺตาปนปีฬนเฎฺฐน สนฺตาโปติ วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗)ฯ ตญฺจ ทุกฺขทุกฺขาทิวเสน เจว ชาติอาทิวเสน จ อเนกปฺปการํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อเนเกหิ สนฺตาเปหี’’ติฯ อเนเกหิ ทุเกฺขหิ สนฺตปฺปมาเน ปีฬิยมาเน พาธิยมาเนฯ ปริฬาเหหีติ ปริทาเหหิฯ ปริฑยฺหมาเนติ อินฺธนํ วิย อคฺคินา สมนฺตโต ฑยฺหมาเนฯ ราคเชหีติ ราคสมฺภูเตหิ ฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ราคาทโย หิ ยสฺมิํ สนฺตาเน อุปฺปชฺชนฺติ, ตํ นิทฺทหนฺตา วิย วิพาเธนฺติ, เตน วุตฺตํ – ‘‘ตโยเม, ภิกฺขเว, อคฺคี – ราคคฺคิ, โทสคฺคิ, โมหคฺคี’’ติ (อิติวุ. ๙๓)ฯ ยโต เต จิตฺตํ กายญฺจ กิเลเสนฺตีติ กิเลสาติ วุจฺจนฺติฯ เอตฺถ จ ปริฑยฺหมาเนติ เอเตน ภควา ราคาทิกิเลสานํ ปวตฺติทุกฺขตํ, เตน จ สตฺตานํ อภิภูตตํ ทเสฺสติฯ สนฺตปฺปมาเนติ อิมินา ปน เตสํ กาลนฺตรทุกฺขตํ, เตน นิรนฺตโรปทฺทวตญฺจ ทเสฺสติฯ

    Tattha volokesīti vividhehi ākārehi passi, hatthatale ṭhapitaāmalakaṃ viya attano ñāṇena paccakkhaṃ akāsi. Anekehi santāpehītiādi volokitākāradassanaṃ. Anekehi santāpehīti anekehi dukkhehi. Dukkhañhi santāpanapīḷanaṭṭhena santāpoti vuccati. Yathāha – ‘‘dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho’’ti (paṭi. ma. 1.17). Tañca dukkhadukkhādivasena ceva jātiādivasena ca anekappakāraṃ. Tena vuttaṃ ‘‘anekehi santāpehī’’ti. Anekehi dukkhehi santappamāne pīḷiyamāne bādhiyamāne. Pariḷāhehīti paridāhehi. Pariḍayhamāneti indhanaṃ viya agginā samantato ḍayhamāne. Rāgajehīti rāgasambhūtehi . Esa nayo sesesupi. Rāgādayo hi yasmiṃ santāne uppajjanti, taṃ niddahantā viya vibādhenti, tena vuttaṃ – ‘‘tayome, bhikkhave, aggī – rāgaggi, dosaggi, mohaggī’’ti (itivu. 93). Yato te cittaṃ kāyañca kilesentīti kilesāti vuccanti. Ettha ca pariḍayhamāneti etena bhagavā rāgādikilesānaṃ pavattidukkhataṃ, tena ca sattānaṃ abhibhūtataṃ dasseti. Santappamāneti iminā pana tesaṃ kālantaradukkhataṃ, tena nirantaropaddavatañca dasseti.

    ภควา หิ โพธิรุกฺขมูเล อปราชิตปลฺลเงฺก นิสิโนฺน ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริตฺวา มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา ปจฺฉิมยาเม ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ญาณํ โอตาเรตฺวา กิเลสมูลกํ วฎฺฎทุกฺขํ อภิญฺญาย สงฺขาเร ปริคฺคเหตฺวา สมฺมสโนฺต อนุกฺกเมน วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อริยมคฺคาธิคเมน สยํ วิคตวิทฺธสฺตกิเลโส อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ปจฺจเวกฺขณานนฺตรํ อนวเสสานํ กิเลสานํ ปหีนตฺตา อตฺตโน วฎฺฎทุกฺขสฺส ปริกฺขีณภาวทีปกํ สพฺพพุทฺธานํ อวิชหิตํ ‘‘อเนกชาติสํสาร’’นฺติ (ธ. ป. ๑๕๓) อุทานํ อุทาเนตฺวา เตเนว ปลฺลเงฺกน สตฺตาหํ วิมุตฺติสุขปฎิสํเวที นิสิโนฺน สตฺตมาย รตฺติยา ตีสุ ยาเมสุ วุตฺตนเยน ตีณิ อุทานานิ อุทาเนตฺวา ตติยอุทานานนฺตรํ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต ‘‘สกลมิทํ สตฺตานํ วฎฺฎทุกฺขํ กิเลสมูลกํ, กิเลสา นาเมเต ปวตฺติทุกฺขา อายติมฺปิ ทุกฺขเหตุภูตา, เตหิ อิเม สตฺตา สนฺตปฺปนฺติ ปริฑยฺหนฺติ จา’’ติ ปสฺสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อทฺทสา โข ภควา…เป.… โมหเชหิปี’’ติฯ

    Bhagavā hi bodhirukkhamūle aparājitapallaṅke nisinno paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussaritvā majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhetvā pacchimayāme paṭiccasamuppāde ñāṇaṃ otāretvā kilesamūlakaṃ vaṭṭadukkhaṃ abhiññāya saṅkhāre pariggahetvā sammasanto anukkamena vipassanaṃ vaḍḍhetvā ariyamaggādhigamena sayaṃ vigataviddhastakileso abhisambuddho hutvā paccavekkhaṇānantaraṃ anavasesānaṃ kilesānaṃ pahīnattā attano vaṭṭadukkhassa parikkhīṇabhāvadīpakaṃ sabbabuddhānaṃ avijahitaṃ ‘‘anekajātisaṃsāra’’nti (dha. pa. 153) udānaṃ udānetvā teneva pallaṅkena sattāhaṃ vimuttisukhapaṭisaṃvedī nisinno sattamāya rattiyā tīsu yāmesu vuttanayena tīṇi udānāni udānetvā tatiyaudānānantaraṃ buddhacakkhunā lokaṃ volokento ‘‘sakalamidaṃ sattānaṃ vaṭṭadukkhaṃ kilesamūlakaṃ, kilesā nāmete pavattidukkhā āyatimpi dukkhahetubhūtā, tehi ime sattā santappanti pariḍayhanti cā’’ti passi. Tena vuttaṃ ‘‘addasā kho bhagavā…pe… mohajehipī’’ti.

    เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ โลกสฺส ยถาวุตฺตสนฺตาปปริฬาเหหิ อภิภุยฺยมานตํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ สพฺพสนฺตาปปริฬาหโต ปรินิพฺพานวิภาวนํ มหาอุทานํ อุทาเนสิฯ

    Etamatthaṃviditvāti etaṃ lokassa yathāvuttasantāpapariḷāhehi abhibhuyyamānataṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti imaṃ sabbasantāpapariḷāhato parinibbānavibhāvanaṃ mahāudānaṃ udānesi.

    ตตฺถ อยํ โลโก สนฺตาปชาโตติ อยํ สโพฺพปิ โลโก ชราโรคมรเณหิ เจว นานาวิธพฺยสเนหิ จ กิเลสปริยุฎฺฐาเนหิ จ ชาตสนฺตาโป, อุปฺปนฺนกายิกเจตสิกทุกฺขาภิภโวติ อโตฺถฯ ผสฺสปเรโตติ ตโต เอว อเนเกหิ ทุกฺขสมฺผเสฺสหิ ปริหโต อุปทฺทุโตฯ อถ วา ผสฺสปเรโตติ สุขาทิสงฺขาตานํ ติสฺสนฺนํ ทุกฺขตานํ ปจฺจยภูเตหิ ฉหิ ผเสฺสหิ อภิภูโต, ตโต ตโต ทฺวารโต ตสฺมิํ ตสฺมิํ อารมฺมเณ ปวตฺติวเสน อุปสฺสโฎฺฐฯ โรคํ วทติ อตฺตโตติ ผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชมานํ เวทนาสงฺขาตํ โรคํ ทุกฺขํ, ขนฺธปญฺจกเมว วา ยถาภูตํ อชานโนฺต ‘‘อห’’นฺติ สญฺญาย ทิฎฺฐิคาหวเสน ‘‘อหํ สุขิโต ทุกฺขิโต’’ติ อตฺตโต วทติฯ ‘‘อตฺตโน’’ติปิ ปฐนฺติฯ ตสฺสโตฺถ – ยฺวายํ โลโก เกนจิ ทุกฺขธเมฺมน ผุโฎฺฐ อภาวิตตฺตตาย อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘อโห ทุกฺขํ, อีทิสํ ทุกฺขํ มยฺหํ อตฺตโนปิ มา โหตู’’ติอาทินา วิปฺปลปโนฺต เกวลํ อตฺตโน โรคํ วทติ, ตสฺส ปน ปหานาย น ปฎิปชฺชตีติ อธิปฺปาโยฯ อถ วา ตํ ยถาวุตฺตํ ทุกฺขํ ยถาภูตํ อชานโนฺต ตณฺหาคาหวเสน ‘‘มม’’นฺติ สญฺญาย อตฺตโต วทติ, ‘‘มม อิท’’นฺติ วาจํ นิจฺฉาเรติฯ

    Tattha ayaṃ loko santāpajātoti ayaṃ sabbopi loko jarārogamaraṇehi ceva nānāvidhabyasanehi ca kilesapariyuṭṭhānehi ca jātasantāpo, uppannakāyikacetasikadukkhābhibhavoti attho. Phassaparetoti tato eva anekehi dukkhasamphassehi parihato upadduto. Atha vā phassaparetoti sukhādisaṅkhātānaṃ tissannaṃ dukkhatānaṃ paccayabhūtehi chahi phassehi abhibhūto, tato tato dvārato tasmiṃ tasmiṃ ārammaṇe pavattivasena upassaṭṭho. Rogaṃ vadati attatoti phassapaccayā uppajjamānaṃ vedanāsaṅkhātaṃ rogaṃ dukkhaṃ, khandhapañcakameva vā yathābhūtaṃ ajānanto ‘‘aha’’nti saññāya diṭṭhigāhavasena ‘‘ahaṃ sukhito dukkhito’’ti attato vadati. ‘‘Attano’’tipi paṭhanti. Tassattho – yvāyaṃ loko kenaci dukkhadhammena phuṭṭho abhāvitattatāya adhivāsetuṃ asakkonto ‘‘aho dukkhaṃ, īdisaṃ dukkhaṃ mayhaṃ attanopi mā hotū’’tiādinā vippalapanto kevalaṃ attano rogaṃ vadati, tassa pana pahānāya na paṭipajjatīti adhippāyo. Atha vā taṃ yathāvuttaṃ dukkhaṃ yathābhūtaṃ ajānanto taṇhāgāhavasena ‘‘mama’’nti saññāya attato vadati, ‘‘mama ida’’nti vācaṃ nicchāreti.

    เยน เยน หิ มญฺญตีติ เอวมิมํ โรคภูตํ ขนฺธปญฺจกํ อตฺตโต อตฺตโน วา วทโนฺต โลโก เยน เยน รูปเวทนาทินา การณภูเตน, เยน วา สสฺสตาทินา ปกาเรน ทิฎฺฐิมานตณฺหามญฺญนาหิ มญฺญติฯ ตโต ตํ โหติ อญฺญถาติ ตโต อตฺตนา ปริกปฺปิตาการโต ตํ มญฺญนาย วตฺถุภูตํ ขนฺธปญฺจกํ อญฺญถา อนตฺตานตฺตนิยเมว โหติฯ วเส วเตฺตตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อหงฺการมมงฺการตฺตํ น นิปฺผาเทตีติ อโตฺถฯ อถ วา ตโตติ ตสฺมา มญฺญนามตฺตภาวโต ตํ ขนฺธปญฺจกํ นิจฺจาทิวเสน มญฺญิตํ อญฺญถา อนิจฺจาทิสภาวเมว โหติฯ น หิ มญฺญนา ภาวญฺญถตฺตํ วา ลกฺขณญฺญถตฺตํ วา กาตุํ สโกฺกติฯ

    Yena yena hi maññatīti evamimaṃ rogabhūtaṃ khandhapañcakaṃ attato attano vā vadanto loko yena yena rūpavedanādinā kāraṇabhūtena, yena vā sassatādinā pakārena diṭṭhimānataṇhāmaññanāhi maññati. Tato taṃ hoti aññathāti tato attanā parikappitākārato taṃ maññanāya vatthubhūtaṃ khandhapañcakaṃ aññathā anattānattaniyameva hoti. Vase vattetuṃ asakkuṇeyyatāya ahaṅkāramamaṅkārattaṃ na nipphādetīti attho. Atha vā tatoti tasmā maññanāmattabhāvato taṃ khandhapañcakaṃ niccādivasena maññitaṃ aññathā aniccādisabhāvameva hoti. Na hi maññanā bhāvaññathattaṃ vā lakkhaṇaññathattaṃ vā kātuṃ sakkoti.

    อญฺญถาภาวี ภวสโตฺตติ อสมฺภเว วฑฺฒิยํ หิตสุเข สโตฺต ลโคฺค สตฺตโลโก มญฺญนาย ยถารุจิ จินฺติยมาโนปิ วิปรีตปฺปฎิปตฺติยา ตโต อญฺญถาภาวี อหิตทุกฺขภาวี วิฆาตํเยว ปาปุณาติฯ ภวเมวาภินนฺทตีติ เอวํ สเนฺตปิ ตํ มญฺญนาปริกปฺปิตํ อวิชฺชมานํ ภวํ วฑฺฒิํ อภินนฺทติ เอว อภิกงฺขติ เอวฯ อถ วา อญฺญถาภาวีติ ‘‘นิโจฺจ เม อตฺตา’’ติอาทินา มญฺญนาย ปริกปฺปิตาการโต สยํ อญฺญถาภาวี สมาโน อนิโจฺจ อธุโวติ อโตฺถฯ ภวสโตฺตติ กามาทิภเวสุ ภวตณฺหาย สโตฺต ลโคฺค คธิโตฯ ภวเมวาภินนฺทตีติ อนิจฺจาทิสภาวํ ภวเมว นิจฺจาทิวเสน ปรามสิตฺวา, ตตฺถ วา อธิมุตฺติสญฺญํ ตณฺหาทิฎฺฐาภินนฺทนาหิ อภินนฺทติ, น ตตฺถ นิพฺพินฺทติ ฯ ยทภินนฺทติ ตํ ภยนฺติ ยํ วฑฺฒิสงฺขาตํ ภวํ กามาทิภวํ วา อภินนฺทติ, ตํ อนิจฺจาทิวิปริณามสภาวตฺตา อเนกพฺยสนานุพนฺธตฺตา จ ภวเหตุภาวโต อติวิย ภยานกเฎฺฐน ภยํฯ ยสฺส ภายตีติ ยโต ชรามรณาทิโต ภายติ, ตํ ชรามรณาทิ ทุกฺขาธิฎฺฐานภาวโต ทุกฺขทุกฺขภาวโต จ ทุกฺขํฯ อถ วา ยสฺส ภายตีติ ภวาภินนฺทเนน ยสฺส วิภวสฺส ภายติ , โส อุเจฺฉทสงฺขาโต วิภโว, ตโต ภายนญฺจ ทุกฺขวตฺถุภาวโต ชาติอาทิทุกฺขสฺส อนติวตฺตนโต จ ทุกฺขํ ทุกฺขสภาวเมวาติ อโตฺถฯ อถ วา ยสฺส ภายติ ตํ ทุกฺขนฺติ ยสฺส อนิจฺจาทิกสฺส ภายติ ตํ นิสฺสรณํ อชานโนฺต, ตํ ภยํ ตสฺส ทุกฺขํ โหติ, ทุกฺขํ อาวหตีติ อโตฺถฯ

    Aññathābhāvī bhavasattoti asambhave vaḍḍhiyaṃ hitasukhe satto laggo sattaloko maññanāya yathāruci cintiyamānopi viparītappaṭipattiyā tato aññathābhāvī ahitadukkhabhāvī vighātaṃyeva pāpuṇāti. Bhavamevābhinandatīti evaṃ santepi taṃ maññanāparikappitaṃ avijjamānaṃ bhavaṃ vaḍḍhiṃ abhinandati eva abhikaṅkhati eva. Atha vā aññathābhāvīti ‘‘nicco me attā’’tiādinā maññanāya parikappitākārato sayaṃ aññathābhāvī samāno anicco adhuvoti attho. Bhavasattoti kāmādibhavesu bhavataṇhāya satto laggo gadhito. Bhavamevābhinandatīti aniccādisabhāvaṃ bhavameva niccādivasena parāmasitvā, tattha vā adhimuttisaññaṃ taṇhādiṭṭhābhinandanāhi abhinandati, na tattha nibbindati . Yadabhinandati taṃ bhayanti yaṃ vaḍḍhisaṅkhātaṃ bhavaṃ kāmādibhavaṃ vā abhinandati, taṃ aniccādivipariṇāmasabhāvattā anekabyasanānubandhattā ca bhavahetubhāvato ativiya bhayānakaṭṭhena bhayaṃ. Yassa bhāyatīti yato jarāmaraṇādito bhāyati, taṃ jarāmaraṇādi dukkhādhiṭṭhānabhāvato dukkhadukkhabhāvato ca dukkhaṃ. Atha vā yassa bhāyatīti bhavābhinandanena yassa vibhavassa bhāyati , so ucchedasaṅkhāto vibhavo, tato bhāyanañca dukkhavatthubhāvato jātiādidukkhassa anativattanato ca dukkhaṃ dukkhasabhāvamevāti attho. Atha vā yassa bhāyati taṃ dukkhanti yassa aniccādikassa bhāyati taṃ nissaraṇaṃ ajānanto, taṃ bhayaṃ tassa dukkhaṃ hoti, dukkhaṃ āvahatīti attho.

    เอตฺตเกน วฎฺฎํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิวฎฺฎํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ภววิปฺปหานาย โข ปนิทํ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ อาหฯ ตตฺถ ภววิปฺปหานายาติ กามาทิภวสฺส ปชหนตฺถายฯ โขติ อวธารเณ, ปนาติ ปทปูรเณ นิปาโตฯ อิทนฺติ อาสนฺนปจฺจกฺขวจนํฯ พฺรหฺมจริยนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ วุสฺสตีติ ปูเรสฺสติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เอกเนฺตเนว กามาทิภวสฺส สมุทยปฺปหาเนน อนวเสสปชหนตฺถาย อิทํ มยา สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ อติทุกฺกรานิ อาจริตฺวา ปารมิโย ปูเรตฺวา โพธิมเณฺฑ ติณฺณํ มารานํ มตฺถกํ มทฺทิตฺวา อธิคตํ สีลาทิกฺขนฺธตฺตยสงฺคหํ อฎฺฐงฺคิกมคฺคพฺรหฺมจริยํ จริยติ ภาวิยตีติฯ

    Ettakena vaṭṭaṃ dassetvā idāni vivaṭṭaṃ dassetuṃ, ‘‘bhavavippahānāya kho panidaṃ brahmacariyaṃ vussatī’’ti āha. Tattha bhavavippahānāyāti kāmādibhavassa pajahanatthāya. Khoti avadhāraṇe, panāti padapūraṇe nipāto. Idanti āsannapaccakkhavacanaṃ. Brahmacariyanti maggabrahmacariyaṃ. Vussatīti pūressati. Idaṃ vuttaṃ hoti – ekanteneva kāmādibhavassa samudayappahānena anavasesapajahanatthāya idaṃ mayā satasahassakappādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni atidukkarāni ācaritvā pāramiyo pūretvā bodhimaṇḍe tiṇṇaṃ mārānaṃ matthakaṃ madditvā adhigataṃ sīlādikkhandhattayasaṅgahaṃ aṭṭhaṅgikamaggabrahmacariyaṃ cariyati bhāviyatīti.

    เอวํ อริยมคฺคสฺส เอกํเสเนว นิยฺยานิกภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อญฺญมคฺคสฺส ตทภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เย หิ เกจี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เยติ อนิยมนิเทฺทโสฯ หีติ นิปาตมตฺตํฯ เกจีติ เอกเจฺจฯ ปททฺวเยนาปิ ตถาวาทิโน ทิฎฺฐิคติเก อนิยมโต ปริยาทิยติฯ สมณาติ ปพฺพชฺชูปคมนมเตฺตน สมณา, น สมิตปาปาฯ พฺราหฺมณาติ ชาติมเตฺตน พฺราหฺมณา, น พาหิตปาปาฯ วาสโทฺท วิกปฺปโตฺถฯ ภเวน ภวสฺส วิปฺปโมกฺขมาหํสูติ เอกเจฺจ กามภเวน รูปภเวน วา สพฺพภวโต วิมุตฺติํ สํสารสุทฺธิํ กถยิํสุฯ

    Evaṃ ariyamaggassa ekaṃseneva niyyānikabhāvaṃ dassetvā idāni aññamaggassa tadabhāvaṃ dassento ‘‘ye hi kecī’’tiādimāha. Tattha yeti aniyamaniddeso. ti nipātamattaṃ. Kecīti ekacce. Padadvayenāpi tathāvādino diṭṭhigatike aniyamato pariyādiyati. Samaṇāti pabbajjūpagamanamattena samaṇā, na samitapāpā. Brāhmaṇāti jātimattena brāhmaṇā, na bāhitapāpā. saddo vikappattho. Bhavena bhavassa vippamokkhamāhaṃsūti ekacce kāmabhavena rūpabhavena vā sabbabhavato vimuttiṃ saṃsārasuddhiṃ kathayiṃsu.

    เก ปเนวํ วทนฺตีติ? ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทิโน เตสุ หิ เกจิ ‘‘อุฬาเรหิ ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต อตฺตา ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปรมํ นิพฺพุติํ ปโตฺต โหตี’’ติ วทนฺติฯ เกจิ ‘‘รูปาวจรชฺฌาเนสุ ปฐมชฺฌานสมงฺคี…เป.… เกจิ ‘‘ทุติยตติยจตุตฺถชฺฌานสมงฺคี อตฺตา ทิเฎฺฐว ธเมฺม ปรมํ นิพฺพุติํ ปโตฺต โหตี’’ติ วทนฺติฯ ยถาห –

    Ke panevaṃ vadantīti? Diṭṭhadhammanibbānavādino tesu hi keci ‘‘uḷārehi pañcahi kāmaguṇehi samappito attā diṭṭheva dhamme paramaṃ nibbutiṃ patto hotī’’ti vadanti. Keci ‘‘rūpāvacarajjhānesu paṭhamajjhānasamaṅgī…pe… keci ‘‘dutiyatatiyacatutthajjhānasamaṅgī attā diṭṭheva dhamme paramaṃ nibbutiṃ patto hotī’’ti vadanti. Yathāha –

    ‘‘อิธ , ภิกฺขเว, เอกโจฺจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวํวาที โหติ เอวํทิฎฺฐิ ‘ยโต โข โภ อยํ อตฺตา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต’’’ติ (ที. นิ. ๑.๙๔) วิตฺถาโรฯ

    ‘‘Idha , bhikkhave, ekacco samaṇo vā brāhmaṇo vā evaṃvādī hoti evaṃdiṭṭhi ‘yato kho bho ayaṃ attā pañcahi kāmaguṇehi samappito’’’ti (dī. ni. 1.94) vitthāro.

    เต ปน ยสฺมา ยาวทตฺถํ ปีตตฺตา สุหิตาย ชลูกาย วิย รุหิรปิปาสา กามาทิสุเขหิ สมปฺปิตสฺส ตสฺส อตฺตโน กาเมสนาทโย น ภวิสฺสนฺติ, ตทภาเว จ ภวสฺส อภาโวเยว, ยสฺมิํ ยสฺมิญฺจ ภเว ฐิตสฺส อยํ นโย ลพฺภติ, เตน เตน ภเวน สพฺพภวโต วิมุตฺติ โหตีติ วทนฺติ, ตสฺมา ‘‘ภเวน ภวสฺส วิปฺปโมกฺขมาหํสู’’ติ วุตฺตาฯ เยสญฺจ ‘‘เอตฺตกํ นาม กาลํ สํสริตฺวา พาลา จ ปณฺฑิตา จ ปริโยสานภเว ฐตฺวา สํสารโต วิมุจฺจนฺตี’’ติ ลทฺธิ, เตปิ ภเวน ภวสฺส วิปฺปโมกฺขํ วทนฺติ นามฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Te pana yasmā yāvadatthaṃ pītattā suhitāya jalūkāya viya ruhirapipāsā kāmādisukhehi samappitassa tassa attano kāmesanādayo na bhavissanti, tadabhāve ca bhavassa abhāvoyeva, yasmiṃ yasmiñca bhave ṭhitassa ayaṃ nayo labbhati, tena tena bhavena sabbabhavato vimutti hotīti vadanti, tasmā ‘‘bhavena bhavassa vippamokkhamāhaṃsū’’ti vuttā. Yesañca ‘‘ettakaṃ nāma kālaṃ saṃsaritvā bālā ca paṇḍitā ca pariyosānabhave ṭhatvā saṃsārato vimuccantī’’ti laddhi, tepi bhavena bhavassa vippamokkhaṃ vadanti nāma. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘จุลฺลาสีติ มหากปฺปิโน สตสหสฺสานิ ยานิ พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๖๘)ฯ

    ‘‘Cullāsīti mahākappino satasahassāni yāni bāle ca paṇḍite ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karissantī’’ti (dī. ni. 1.168).

    อถ วา ภเวนาติ ภวทิฎฺฐิยาฯ ภวติ สสฺสตํ ติฎฺฐตีติ ปวตฺตนโต สสฺสตทิฎฺฐิ ภวทิฎฺฐีติ วุจฺจติ, ภวทิฎฺฐิ เอเวตฺถ อุตฺตรปทโลเปน ภวตณฺหาติอาทีสุ วิย ภโวติ วุโตฺตฯ ภวทิฎฺฐิวเสน จ เอกเจฺจ ภววิเสสํเยว กิเลสานํ วูปสนฺตวุตฺติยา อายุโน จ ทีฆาวาสตาย นิจฺจาทิสภาวํ ภววิโมกฺขํ มญฺญนฺติ, เสยฺยถาปิ พโก พฺรหฺมา ‘‘อิทํ นิจฺจํ, อิทํ ธุวํ, อิทํ สสฺสตํ, อิทํ อวิปริณามธมฺม’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๕๐๑) อโวจฯ เตสเมวํ วิปรีตคาหีนํ อนิสฺสรเณ นิสฺสรณทิฎฺฐีนํ กุโต ภววิโมโกฺขฯ เตนาห ภควา – ‘‘สเพฺพ เต ‘อวิปฺปมุตฺตา ภวสฺมา’ติ วทามี’’ติฯ

    Atha vā bhavenāti bhavadiṭṭhiyā. Bhavati sassataṃ tiṭṭhatīti pavattanato sassatadiṭṭhi bhavadiṭṭhīti vuccati, bhavadiṭṭhi evettha uttarapadalopena bhavataṇhātiādīsu viya bhavoti vutto. Bhavadiṭṭhivasena ca ekacce bhavavisesaṃyeva kilesānaṃ vūpasantavuttiyā āyuno ca dīghāvāsatāya niccādisabhāvaṃ bhavavimokkhaṃ maññanti, seyyathāpi bako brahmā ‘‘idaṃ niccaṃ, idaṃ dhuvaṃ, idaṃ sassataṃ, idaṃ avipariṇāmadhamma’’nti (ma. ni. 1.501) avoca. Tesamevaṃ viparītagāhīnaṃ anissaraṇe nissaraṇadiṭṭhīnaṃ kuto bhavavimokkho. Tenāha bhagavā – ‘‘sabbe te ‘avippamuttā bhavasmā’ti vadāmī’’ti.

    วิภเวนาติ อุเจฺฉเทนฯ ภวสฺส นิสฺสรณมาหํสูติ สพฺพภวโต นิคฺคมนํ นิกฺขนฺติํ สํสารสุทฺธิํ วทิํสุฯ เต หิ ‘‘ภเวน ภวสฺส วิปฺปโมโกฺข’’ติ วทนฺตานํ วาทํ อนนุชานนฺตา ภวูปเจฺฉเทน นิสฺสรณํ ปฎิชานิํสุฯ วิภเวนาติ วา อุเจฺฉททิฎฺฐิยาฯ วิภวติ วินสฺสติ อุจฺฉิชฺชติ อตฺตา จ โลโก จาติ ปวตฺตนโต อุเจฺฉททิฎฺฐิ วุตฺตนเยน ‘‘วิภโว’’ติ วุจฺจติฯ อุเจฺฉททิฎฺฐิวเสน หิ สตฺตา อธิมุจฺจิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ อุปฺปนฺนา อุจฺฉิชฺชนฺติ, สา เอว สํสารสุทฺธีติ อุเจฺฉทวาทิโนฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Vibhavenāti ucchedena. Bhavassa nissaraṇamāhaṃsūti sabbabhavato niggamanaṃ nikkhantiṃ saṃsārasuddhiṃ vadiṃsu. Te hi ‘‘bhavena bhavassa vippamokkho’’ti vadantānaṃ vādaṃ ananujānantā bhavūpacchedena nissaraṇaṃ paṭijāniṃsu. Vibhavenāti vā ucchedadiṭṭhiyā. Vibhavati vinassati ucchijjati attā ca loko cāti pavattanato ucchedadiṭṭhi vuttanayena ‘‘vibhavo’’ti vuccati. Ucchedadiṭṭhivasena hi sattā adhimuccitvā tattha tattha uppannā ucchijjanti, sā eva saṃsārasuddhīti ucchedavādino. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ยโต โข โภ อยํ อตฺตา รูปี จาตุมหาภูติโก…เป.… เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, เอตฺตาวตา โข โภ อยํ อตฺตา สมฺมา สมุจฺฉิโนฺน โหตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๘๕)ฯ

    ‘‘Yato kho bho ayaṃ attā rūpī cātumahābhūtiko…pe… nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharati, ettāvatā kho bho ayaṃ attā sammā samucchinno hotī’’ti (dī. ni. 1.85).

    ตถา –

    Tathā –

    ‘‘นตฺถิ, มหาราช, ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฎฺฐํ นตฺถิ หุตํ…เป.… พาเล จ ปณฺฑิเต จ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วินสฺสนฺติ น โหนฺติ ปรํ มรณา’’ติ จ (ที. นิ. ๑.๑๗๑)ฯ

    ‘‘Natthi, mahārāja, dinnaṃ, natthi yiṭṭhaṃ natthi hutaṃ…pe… bāle ca paṇḍite ca kāyassa bhedā ucchijjanti vinassanti na honti paraṃ maraṇā’’ti ca (dī. ni. 1.171).

    เตสมฺปิ เอวํ วิปรีตคาหีนํ กุโต ภวนิสฺสรณํฯ เตนาห ภควา – ‘‘สเพฺพ เต ‘อนิสฺสฎา ภวสฺมา’ติ วทามี’’ติฯ น หิ อริยมคฺคภาวนาย อนวเสสกิเลสํ อสมุคฺฆาเตตฺวา กทาจิปิ ภวโต นิสฺสรณวิมุตฺติ สมฺภวติฯ ตถา หิ เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ ยถาภูตาวโพธาภาวโต ‘‘อตฺถิ นตฺถี’’ติ อนฺตทฺวยนิปติตานํ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน สมฺปริตสิตวิปฺผนฺทิตมตฺตํ, ยโต เต ทิฎฺฐิคติกา ปวตฺติเหตูสุปิ สมฺมูฬฺหา สกฺกายภูมิยํ สุนิขาเต วิปรีตทสฺสนถเมฺภ ตณฺหาพนฺธเนน พทฺธา คทฺทูลพนฺธนา วิย สา น วิชหนฺติ พนฺธนฎฺฐานํ, กุโต เนสํ วิโมโกฺข?

    Tesampi evaṃ viparītagāhīnaṃ kuto bhavanissaraṇaṃ. Tenāha bhagavā – ‘‘sabbe te ‘anissaṭā bhavasmā’ti vadāmī’’ti. Na hi ariyamaggabhāvanāya anavasesakilesaṃ asamugghātetvā kadācipi bhavato nissaraṇavimutti sambhavati. Tathā hi tesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ yathābhūtāvabodhābhāvato ‘‘atthi natthī’’ti antadvayanipatitānaṃ taṇhādiṭṭhivasena samparitasitavipphanditamattaṃ, yato te diṭṭhigatikā pavattihetūsupi sammūḷhā sakkāyabhūmiyaṃ sunikhāte viparītadassanathambhe taṇhābandhanena baddhā gaddūlabandhanā viya sā na vijahanti bandhanaṭṭhānaṃ, kuto nesaṃ vimokkho?

    เย ปน จตุสจฺจวิภาวเนน ปวตฺติอาทีสุ อสโมฺมหโต ตํ อนฺตทฺวยํ อนุปคมฺม มชฺฌิมํ ปฎิปทํ สมารุฬฺหา, เตสํเยว ภววิปฺปโมโกฺข นิสฺสรณญฺจาติ ทเสฺสโนฺต สตฺถา ‘‘อุปธิํ หี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุปธินฺติ ขนฺธาทิอุปธิํฯ หีติ นิปาตมตฺตํฯ ปฎิจฺจาติ นิสฺสาย, ปจฺจยํ กตฺวาฯ ทุกฺขนฺติ ชาติอาทิ ทุกฺขํฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยตฺถิเม ทิฎฺฐิคติกา วิโมกฺขสญฺญิโน, ตตฺถ ขนฺธกิเลสาภิสงฺขารูปธโย อธิคตา, กุโต ตตฺถ ทุกฺขนิสฺสรณํ? ยตฺร หิ กิเลสา, ตตฺราภิสงฺขารสมฺภวโต ภวปพนฺธสฺส อวิเจฺฉโทเยวาติ วฎฺฎทุกฺขสฺส อนิวตฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อุปธิญฺหิ ปฎิจฺจ ทุกฺขมิทํ สโมฺภตี’’ติฯ

    Ye pana catusaccavibhāvanena pavattiādīsu asammohato taṃ antadvayaṃ anupagamma majjhimaṃ paṭipadaṃ samāruḷhā, tesaṃyeva bhavavippamokkho nissaraṇañcāti dassento satthā ‘‘upadhiṃ hī’’tiādimāha. Tattha upadhinti khandhādiupadhiṃ. ti nipātamattaṃ. Paṭiccāti nissāya, paccayaṃ katvā. Dukkhanti jātiādi dukkhaṃ. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yatthime diṭṭhigatikā vimokkhasaññino, tattha khandhakilesābhisaṅkhārūpadhayo adhigatā, kuto tattha dukkhanissaraṇaṃ? Yatra hi kilesā, tatrābhisaṅkhārasambhavato bhavapabandhassa avicchedoyevāti vaṭṭadukkhassa anivatti. Tena vuttaṃ – ‘‘upadhiñhi paṭicca dukkhamidaṃ sambhotī’’ti.

    อิทานิ ยํ ปรมตฺถโต ทุกฺขสฺส นิสฺสรณํ, ตํ ทเสฺสตุํ, ‘‘สพฺพุปาทานกฺขยา นตฺถิ ทุกฺขสฺส สมฺภโว’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ สพฺพุปาทานกฺขยาติ กามุปาทานํ ทิฎฺฐุปาทานํ สีลพฺพตุปาทานํ อตฺตวาทุปาทานนฺติ สเพฺพสํ อิเมสํ จตุนฺนมฺปิ อุปาทานานํ อริยมคฺคาธิคเมน อนวเสสปฺปหานโตฯ ตตฺถ ทิฎฺฐุปาทานํ สีลพฺพตุปาทานํ อตฺตวาทุปาทานนฺติ อิมานิ ตีณิ อุปาทานานิ โสตาปตฺติมเคฺคน ขียนฺติ, อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปชฺชนฺติฯ กามุปาทานํ อปายคมนียํ ปฐเมน, กามราคภูตํ พหลํ ทุติเยน, สุขุมํ ตติเยน, รูปราคารูปราคปฺปหานํ จตุเตฺถนาติ จตูหิปิ มเคฺคหิ ขียติ, อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปชฺชตีติ เวทิตพฺพํฯ นตฺถิ ทุกฺขสฺส สมฺภโวติ เอวํ สพฺพโส อุปาทานกฺขยา ตเทกฎฺฐตาย สพฺพสฺสปิ กิเลสคณสฺส อนุปฺปาทนโต อปฺปมตฺตกสฺสปิ วฎฺฎทุกฺขสฺส สมฺภโว ปาตุภาโว นตฺถิฯ

    Idāni yaṃ paramatthato dukkhassa nissaraṇaṃ, taṃ dassetuṃ, ‘‘sabbupādānakkhayā natthi dukkhassa sambhavo’’ti vuttaṃ. Tattha sabbupādānakkhayāti kāmupādānaṃ diṭṭhupādānaṃ sīlabbatupādānaṃ attavādupādānanti sabbesaṃ imesaṃ catunnampi upādānānaṃ ariyamaggādhigamena anavasesappahānato. Tattha diṭṭhupādānaṃ sīlabbatupādānaṃ attavādupādānanti imāni tīṇi upādānāni sotāpattimaggena khīyanti, anuppattidhammataṃ āpajjanti. Kāmupādānaṃ apāyagamanīyaṃ paṭhamena, kāmarāgabhūtaṃ bahalaṃ dutiyena, sukhumaṃ tatiyena, rūparāgārūparāgappahānaṃ catutthenāti catūhipi maggehi khīyati, anuppattidhammataṃ āpajjatīti veditabbaṃ. Natthi dukkhassa sambhavoti evaṃ sabbaso upādānakkhayā tadekaṭṭhatāya sabbassapi kilesagaṇassa anuppādanato appamattakassapi vaṭṭadukkhassa sambhavo pātubhāvo natthi.

    เอวํ ภควา เหตุนา สทฺธิํ ปวตฺติํ นิวตฺติญฺจ ทเสฺสตฺวา ‘‘อิมํ นยํ อชานโนฺต อยํ สตฺตโลโก วฎฺฎโตปิ สีสํ น อุกฺขิปตี’’ติ ทเสฺสโนฺต ‘‘โลกมิมํ ปสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ โลกมิมํ ปสฺสาติ อตฺตโน พุทฺธจกฺขุนา ปจฺจกฺขโต วิสยภาวสฺส อุปคตตฺตา ‘‘โลกมิมํ ปสฺสา’’ติ ภควาทสฺสนกิริยาย นิโยเชโนฺต อตฺตานเมวาลปติฯ ปุถูติ พหู, วิสุํ วิสุํ วาฯ อวิชฺชาย ปเรตาติ ‘‘ทุเกฺข อญฺญาณ’’นฺติอาทินา (ธ. ส. ๑๑๐๖; วิภ. ๒๒๖) นเยน วุตฺตาย จตุสจฺจปฎิจฺฉาทิกาย อวิชฺชาย อภิภูตาฯ ภูตาติ กมฺมกิเลเสหิ ชาตา นิพฺพตฺตาฯ ภูตรตาติ ภูเตสุ มาตาปิตุปุตฺตทาราทิสญฺญาย อญฺญสเตฺตสุ ตณฺหาย รตา, ภูเต วา ขนฺธปญฺจเก อนิจฺจาสุภทุกฺขานตฺตสภาเว ตํสภาวานวโพธโต อิตฺถิปุริสาทิปริกปฺปวเสน นิจฺจาทิวเสน อตฺตตฺตนิยคาหวเสน จ อภิรตาฯ ภวา อปริมุตฺตาติ ยถาวุเตฺตน ตณฺหาทิฎฺฐิคาเหน ภวโต สํสารโต น ปริมุตฺตาฯ

    Evaṃ bhagavā hetunā saddhiṃ pavattiṃ nivattiñca dassetvā ‘‘imaṃ nayaṃ ajānanto ayaṃ sattaloko vaṭṭatopi sīsaṃ na ukkhipatī’’ti dassento ‘‘lokamimaṃ passā’’tiādimāha. Tattha lokamimaṃ passāti attano buddhacakkhunā paccakkhato visayabhāvassa upagatattā ‘‘lokamimaṃ passā’’ti bhagavādassanakiriyāya niyojento attānamevālapati. Puthūti bahū, visuṃ visuṃ vā. Avijjāya paretāti ‘‘dukkhe aññāṇa’’ntiādinā (dha. sa. 1106; vibha. 226) nayena vuttāya catusaccapaṭicchādikāya avijjāya abhibhūtā. Bhūtāti kammakilesehi jātā nibbattā. Bhūtaratāti bhūtesu mātāpituputtadārādisaññāya aññasattesu taṇhāya ratā, bhūte vā khandhapañcake aniccāsubhadukkhānattasabhāve taṃsabhāvānavabodhato itthipurisādiparikappavasena niccādivasena attattaniyagāhavasena ca abhiratā. Bhavā aparimuttāti yathāvuttena taṇhādiṭṭhigāhena bhavato saṃsārato na parimuttā.

    เอตฺถ จ ‘‘โลกมิม’’นฺติ ปฐมํ ตาว สกลมฺปิ สตฺตนิกายํ สามญฺญโต เอกตฺตํ อุปเนโนฺต เอกวจเนน อโนธิโส คหณํ ทีเปตฺวา ‘‘สฺวายํ โลโก ภวโยนิคติฐิติสตฺตาวาสาทิวเสน เจว ตตฺถาปิ ตํตํสตฺตนิกายาทิวเสน จ อเนกเภทภิโนฺน ปเจฺจกํ มยา โวโลกิโต’’ติ อตฺตโน พุทฺธจกฺขุญาณานุภาวํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ปุน วจนเภทํ กตฺวา พหุวจเนน โอธิโส คหณํ ทีเปติ ‘‘ปุถู อวิชฺชาย ปเรตา ภูตา’’ติอาทินาฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘โลกมิม’’นฺติ อุปโยควจนํ กตฺวา ‘‘อวิชฺชาย ปเรตา’’ติอาทินา ปจฺจตฺตพหุวจนนิเทฺทโสปิ อวิรุโทฺธ โหติ ภินฺนวากฺยตฺตาฯ เกจิ ปน เอกวากฺยตาธิปฺปาเยน ‘‘อวิชฺชาย ปเรตํ ภูตํ ภูตรตํ ภวา อปริมุตฺต’’นฺติ ปฐนฺติ, วิภตฺติเภทวเสเนว ปน ปุราณปาโฐฯ

    Ettha ca ‘‘lokamima’’nti paṭhamaṃ tāva sakalampi sattanikāyaṃ sāmaññato ekattaṃ upanento ekavacanena anodhiso gahaṇaṃ dīpetvā ‘‘svāyaṃ loko bhavayonigatiṭhitisattāvāsādivasena ceva tatthāpi taṃtaṃsattanikāyādivasena ca anekabhedabhinno paccekaṃ mayā volokito’’ti attano buddhacakkhuñāṇānubhāvaṃ pakāsento satthā puna vacanabhedaṃ katvā bahuvacanena odhiso gahaṇaṃ dīpeti ‘‘puthū avijjāya paretā bhūtā’’tiādinā. Evañca katvā ‘‘lokamima’’nti upayogavacanaṃ katvā ‘‘avijjāya paretā’’tiādinā paccattabahuvacananiddesopi aviruddho hoti bhinnavākyattā. Keci pana ekavākyatādhippāyena ‘‘avijjāya paretaṃ bhūtaṃ bhūtarataṃ bhavā aparimutta’’nti paṭhanti, vibhattibhedavaseneva pana purāṇapāṭho.

    อิทานิ เยน อุปาเยน ภววิปฺปโมโกฺข โหติ, ตํ สพฺพํ ติตฺถิยานํ อวิสยภูตํ พุทฺธโคจรํ วิปสฺสนาวีถิํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เย หิ เกจี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เย หิ เกจิ ภวาติ กามภวาทิ สญฺญีภวาทิ เอกโวการภวาทิวิภาเคน นานาเภทภินฺนา สาตวโนฺต วา อสาตวโนฺต วา ทีฆายุกา วา อิตฺตรกฺขณา วา เย หิ เกจิ ภวาฯ สพฺพธีติ อุทฺธํ อโธ ติริยนฺติ อาทิวิภาเคน สพฺพตฺถฯ สพฺพตฺถตายาติ สคฺคาปายมนุสฺสาทิวิภาเคนฯ สเพฺพ เตติอาทีสุ สเพฺพปิ เต ภวา รูปเวทนาทิธมฺมา หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจา, อุทยพฺพยปฎิปีฬิตตฺตา ทุกฺขา, ชราย มรเณน จาติ ทฺวิธา วิปริณาเมตพฺพตาย วิปริณามธมฺมาฯ อิติสโทฺท อาทิอโตฺถ ปการโตฺถ วา, เตน อนตฺตลกฺขณมฺปิ สงฺคเหตฺวา อวสวตฺตนเฎฺฐน อนตฺตา, วิปริณามธมฺมตาย วา อวสวตฺตนเฎฺฐน อนตฺตาติ วุตฺตาฯ

    Idāni yena upāyena bhavavippamokkho hoti, taṃ sabbaṃ titthiyānaṃ avisayabhūtaṃ buddhagocaraṃ vipassanāvīthiṃ dassento ‘‘ye hi kecī’’tiādimāha. Tattha ye hi keci bhavāti kāmabhavādi saññībhavādi ekavokārabhavādivibhāgena nānābhedabhinnā sātavanto vā asātavanto vā dīghāyukā vā ittarakkhaṇā vā ye hi keci bhavā. Sabbadhīti uddhaṃ adho tiriyanti ādivibhāgena sabbattha. Sabbatthatāyāti saggāpāyamanussādivibhāgena. Sabbe tetiādīsu sabbepi te bhavā rūpavedanādidhammā hutvā abhāvaṭṭhena aniccā, udayabbayapaṭipīḷitattā dukkhā, jarāya maraṇena cāti dvidhā vipariṇāmetabbatāya vipariṇāmadhammā. Itisaddo ādiattho pakārattho vā, tena anattalakkhaṇampi saṅgahetvā avasavattanaṭṭhena anattā, vipariṇāmadhammatāya vā avasavattanaṭṭhena anattāti vuttā.

    เอวํ ลกฺขณตฺตยปฎิวิชฺฌนากาเรน เอตํ ภวสงฺขาตํ ขนฺธปญฺจกํ ยถาภูตํ อวิปรีตํ สมฺมปฺปญฺญาย สมฺมา ญาเยน วิปสฺสนาสหิตาย มคฺคปญฺญาย ปสฺสโต ปริญฺญาภิสมยาทิวเสน ปฎิวิชฺฌโต ‘‘ภโว นิโจฺจ’’ติ อาทินยปฺปวตฺตา ภเวสุ ตณฺหา ปหียติ, อคฺคมคฺคปฺปตฺติสมกาลเมว อนวเสสํ นิรุชฺฌติ, อุเจฺฉททิฎฺฐิยา สพฺพโส ปหีนตฺตา วิภวํ วิเจฺฉทํ นาภินนฺทติ น ปเตฺถติฯ เอวํภูตสฺส ตสฺส ยา กามตณฺหาทิวเสน อฎฺฐสตเภทา อวตฺถาทิวิภาเคน อนนฺตเภทา จ, ตาสํ สพฺพโส สพฺพปฺปกาเรน ตณฺหานํ ขยา ปหานา, ตเทกฎฺฐตาย สพฺพสฺสปิ สํกิเลสปกฺขสฺส อเสสํ นิเสฺสสํ วิราเคน อริยมเคฺคน โย อนุปฺปาทนิโรโธ, ตํ นิพฺพานนฺติฯ

    Evaṃ lakkhaṇattayapaṭivijjhanākārena etaṃ bhavasaṅkhātaṃ khandhapañcakaṃ yathābhūtaṃ aviparītaṃ sammappaññāya sammā ñāyena vipassanāsahitāya maggapaññāya passato pariññābhisamayādivasena paṭivijjhato ‘‘bhavo nicco’’ti ādinayappavattā bhavesu taṇhā pahīyati, aggamaggappattisamakālameva anavasesaṃ nirujjhati, ucchedadiṭṭhiyā sabbaso pahīnattā vibhavaṃ vicchedaṃ nābhinandati na pattheti. Evaṃbhūtassa tassa yā kāmataṇhādivasena aṭṭhasatabhedā avatthādivibhāgena anantabhedā ca, tāsaṃ sabbaso sabbappakārena taṇhānaṃ khayā pahānā, tadekaṭṭhatāya sabbassapi saṃkilesapakkhassa asesaṃ nissesaṃ virāgena ariyamaggena yo anuppādanirodho, taṃ nibbānanti.

    เอวํ ตณฺหาย ปหานมุเขน สอุปาทิเสสนิพฺพานํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อนุปาทิเสสนิพฺพานํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตสฺส นิพฺพุตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – โย โส สพฺพโส ตณฺหานํ ขยา กิเลสปรินิพฺพาเนน นิพฺพุโต วุตฺตนเยน ภินฺนกิเลโส ขีณาสวภิกฺขุ, ตสฺส นิพฺพุตสฺส ภิกฺขุโน อนุปาทา อุปาทานาภาวโต กิเลสาภิสงฺขารมารานํ วา อคฺคหณโต ปุนพฺภโว น โหติ, อายติํ ปฎิสนฺธิวเสน อุปปตฺติภโว นตฺถิฯ เอวํภูเตน จ เตน อภิภูโต มาโร, อริยมคฺคกฺขเณ กิเลสมาโร อภิสงฺขารมาโร เทวปุตฺตมาโร จ จริมกจิตฺตกฺขเณ ขนฺธมาโร มจฺจุมาโร จาติ ปญฺจวิโธ มาโร อภิภูโต ปราชิโต, ปุน สีสํ อุกฺขิปิตุํ อปฺปทาเนน นิพฺพิเสวโน กโต, ยโต เตน วิชิโต สงฺคาโม มาเรหิ ตตฺถ ตตฺถ ปวตฺติโตฯ เอวํ วิชิตสงฺคาโม ปน อิฎฺฐาทีสุ สเพฺพสุ วิการาภาเวน ตาทิลกฺขณปฺปตฺติยา ตาที อรหา สพฺพภวานิ ยถาวุตฺตเภเท สเพฺพปิ ภเว อุปจฺจคา สมติกฺกโนฺต, น ยตฺถ กตฺถจิ สงฺขํ อุเปติ, อญฺญทตฺถุ อนุปาทาโน วิย ชาตเวโท ปรินิพฺพานโต อุทฺธํ อปญฺญตฺติโกว โหตีติฯ อิติ ภควา อิมํ มหาอุทานํ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา กูฎํ คเหตฺวา นิฎฺฐเปสิฯ

    Evaṃ taṇhāya pahānamukhena saupādisesanibbānaṃ dassetvā idāni anupādisesanibbānaṃ dassento ‘‘tassa nibbutassā’’tiādimāha. Tassattho – yo so sabbaso taṇhānaṃ khayā kilesaparinibbānena nibbuto vuttanayena bhinnakileso khīṇāsavabhikkhu, tassa nibbutassa bhikkhuno anupādā upādānābhāvato kilesābhisaṅkhāramārānaṃ vā aggahaṇato punabbhavo na hoti, āyatiṃ paṭisandhivasena upapattibhavo natthi. Evaṃbhūtena ca tena abhibhūto māro, ariyamaggakkhaṇe kilesamāro abhisaṅkhāramāro devaputtamāro ca carimakacittakkhaṇe khandhamāro maccumāro cāti pañcavidho māro abhibhūto parājito, puna sīsaṃ ukkhipituṃ appadānena nibbisevano kato, yato tena vijito saṅgāmo mārehi tattha tattha pavattito. Evaṃ vijitasaṅgāmo pana iṭṭhādīsu sabbesu vikārābhāvena tādilakkhaṇappattiyā tādī arahā sabbabhavāni yathāvuttabhede sabbepi bhave upaccagā samatikkanto, na yattha katthaci saṅkhaṃ upeti, aññadatthu anupādāno viya jātavedo parinibbānato uddhaṃ apaññattikova hotīti. Iti bhagavā imaṃ mahāudānaṃ anupādisesāya nibbānadhātuyā kūṭaṃ gahetvā niṭṭhapesi.

    ทสมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิตา จ นนฺทวคฺควณฺณนาฯ

    Niṭṭhitā ca nandavaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๑๐. โลกสุตฺตํ • 10. Lokasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact