Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā |
โลกุตฺตรกุสลวณฺณนา
Lokuttarakusalavaṇṇanā
๒๗๗. โลกํ ตรตีติ เอเตน โลกสมติกฺกมปฎิปตฺติมาหฯ อุตฺตรตีติ เอเตน โลกสฺสนฺตคมนํ ผเล ปติฎฺฐานํ ผลํฯ สมติกฺกมฺมาติอาทินา นิพฺพานํฯ สมติกฺกมฺมาติ หิ นิสฺสริตฺวาฯ อภิภุยฺยาติ วิสํยุตฺตํ หุตฺวาติ อโตฺถฯ ติวิโธปิ จโตฺถ มคฺคาทีสุ เอเกกสฺมิํ โยเชตโพฺพ, มเคฺคเยว วา อิธ ตสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ เอกจิตฺตกฺขณิกนฺติ เอกมคฺคสฺส เทฺว วาเร อนุปฺปตฺติํ สนฺธายาหฯ อญฺญมญฺญํ ธมฺมานํ อนติวตฺตนาทิสาธิกาย ปญฺญาย วเฑฺฒติฯ ‘‘นิยฺยาตีติ นิยฺยานีย’’นฺติ วตฺตเพฺพ อี-การสฺส รสฺสตฺตํ ย-การสฺส จ ก-การํ กตฺวา ‘‘นิยฺยานิก’’นฺติ วุตฺตํฯ นิยฺยาติ เอเตนาติ นิยฺยานํ, นิยฺยานเมว นิยฺยานิกํ เวนยิโก วิยฯ เอตฺถ ‘‘เนยฺยานิก’’นฺติ วตฺตเพฺพ อิ-การสฺส เอ-การตฺตํ อกตฺวา วุตฺตํฯ
277. Lokaṃtaratīti etena lokasamatikkamapaṭipattimāha. Uttaratīti etena lokassantagamanaṃ phale patiṭṭhānaṃ phalaṃ. Samatikkammātiādinā nibbānaṃ. Samatikkammāti hi nissaritvā. Abhibhuyyāti visaṃyuttaṃ hutvāti attho. Tividhopi cattho maggādīsu ekekasmiṃ yojetabbo, maggeyeva vā idha tassa adhippetattā. Ekacittakkhaṇikanti ekamaggassa dve vāre anuppattiṃ sandhāyāha. Aññamaññaṃ dhammānaṃ anativattanādisādhikāya paññāya vaḍḍheti. ‘‘Niyyātīti niyyānīya’’nti vattabbe ī-kārassa rassattaṃ ya-kārassa ca ka-kāraṃ katvā ‘‘niyyānika’’nti vuttaṃ. Niyyāti etenāti niyyānaṃ, niyyānameva niyyānikaṃ venayiko viya. Ettha ‘‘neyyānika’’nti vattabbe i-kārassa e-kārattaṃ akatvā vuttaṃ.
ผลนฺติ จิตฺตเจตสิกราสิ วุจฺจติ, ตํ อญฺญมญฺญํ สมฺปยุตฺตานํ ธมฺมานํ อตฺตโน อวยวภูตานํ นิสฺสโย โหติฯ ผลญาณํ วา ผลํ, สมฺมาทิฎฺฐิอาทโย องฺคานิ วาฯ โลกุตฺตรภาเวติ โลกํ อุตฺติณฺณภาเวฯ เตน ผลนิพฺพานานิ สงฺคณฺหาติฯ เตสุ ยํ ภวติ ผลํ, ตํ ‘‘ภูมี’’ติ วุจฺจติฯ ยถา วา กมฺมนิพฺพตฺตา กามภวาทโย ตํสมงฺคิโน นิสฺสยภาเวน ‘‘ภูมี’’ติ วุจฺจนฺติ, เอวํ มเคฺคน นิพฺพตฺตํ ผลํ อริยสาวกสฺส กาเลน กาลํ สมาปชฺชิตพฺพตาย นิสฺสยภาวโต ‘‘ภูมี’’ติ วุจฺจติ, ตโตเยว อริยา จิรตรํ ติฎฺฐนฺติฯ สมุเจฺฉทวิเวกวเสนาติ เอตฺถ อปายคมนียานํ อจฺจนฺตสมุเจฺฉโท อิตเรสญฺจ วิชฺชุโตภาเสน วิย ตมสฺส สมุเจฺฉโท ทฎฺฐโพฺพฯ โลกิยชฺฌานมฺปิ ปุถุชฺชนสฺส อริยสฺส จ อกตาธิการสฺส น วินา ปฎิปทาย อิชฺฌติ, กตาธิการสฺส ปน อริยสฺส มเคฺคเนว สมิชฺฌนโต วิปากานํ วิย กุสเลน ตถา สมิทฺธสฺส อริยมเคฺคน สทิสตาย อภาวโต อตพฺพิปากตฺตา จ น มคฺคปฎิปทา ตสฺส ฌานสฺส ปฎิปทาติ สกฺกา วตฺตุนฺติ ตตฺถ ตถา ครุํ กตฺวา ปฎิปทาหิ เอว เทสนา น กตา, ยถาวุตฺตชฺฌานสงฺคหตฺถํ สุทฺธิกเทสนาปิ กตาฯ
Phalanti cittacetasikarāsi vuccati, taṃ aññamaññaṃ sampayuttānaṃ dhammānaṃ attano avayavabhūtānaṃ nissayo hoti. Phalañāṇaṃ vā phalaṃ, sammādiṭṭhiādayo aṅgāni vā. Lokuttarabhāveti lokaṃ uttiṇṇabhāve. Tena phalanibbānāni saṅgaṇhāti. Tesu yaṃ bhavati phalaṃ, taṃ ‘‘bhūmī’’ti vuccati. Yathā vā kammanibbattā kāmabhavādayo taṃsamaṅgino nissayabhāvena ‘‘bhūmī’’ti vuccanti, evaṃ maggena nibbattaṃ phalaṃ ariyasāvakassa kālena kālaṃ samāpajjitabbatāya nissayabhāvato ‘‘bhūmī’’ti vuccati, tatoyeva ariyā cirataraṃ tiṭṭhanti. Samucchedavivekavasenāti ettha apāyagamanīyānaṃ accantasamucchedo itaresañca vijjutobhāsena viya tamassa samucchedo daṭṭhabbo. Lokiyajjhānampi puthujjanassa ariyassa ca akatādhikārassa na vinā paṭipadāya ijjhati, katādhikārassa pana ariyassa maggeneva samijjhanato vipākānaṃ viya kusalena tathā samiddhassa ariyamaggena sadisatāya abhāvato atabbipākattā ca na maggapaṭipadā tassa jhānassa paṭipadāti sakkā vattunti tattha tathā garuṃ katvā paṭipadāhi eva desanā na katā, yathāvuttajjhānasaṅgahatthaṃ suddhikadesanāpi katā.
อิธ ปน กสฺสจิ วินา ปฎิปทาย อสิทฺธิโต ครุํ กตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ทุกฺขปฎิปท’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ โย โกจิ วาโรติ สกิํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ติกฺขตฺตุํ จตุกฺขตฺตุํ อเนกกฺขตฺตุนฺติ เอวมาทีสุ วิกฺขมฺภนวาเรสุ โย โกจิฯ สกิํ ทฺวิกฺขตฺตุญฺจ วิกฺขมฺภนวารา สุขา ปฎิปทา เอว, น จ ตโต อุทฺธํ สุขา ปฎิปทา โหตีติ ติกฺขตฺตุํ วิกฺขมฺภนวารํ ทุกฺขา ปฎิปทาติ โรเจสุํ อฎฺฐกถาจริยาฯ ตสฺมิํ ตถาโรจิเต ตโต ปเรสุ จตุกฺขตฺตุํ วิกฺขมฺภนวาราทีสุ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติฯ รูปารูปานํ ลกฺขณาทีหิ ปริจฺฉินฺทิตฺวา คหณํ รูปารูปปริคฺคโห, นามรูปมตฺตเมตํ, น อโญฺญ โกจิ สตฺตาทิโกติ ววตฺถาปนํ นามรูปววตฺถาปนํฯ ปริคฺคหิตรูปารูปสฺส มคฺคปาตุภาวทนฺธตา จ นามรูปววตฺถาปนาทีนํ กิจฺฉสิทฺธิโต สิยาติ น รูปารูปปริคฺคหกิจฺฉตาย เอว ทุกฺขปฎิปทตา วตฺตพฺพาติ เจ? ตํ น, นามรูปววตฺถาปนาทีนํ ปจฺจนีกกิเลสมนฺทตาย สุขสิทฺธิยมฺปิ ตถาสิทฺธวิปสฺสนาสหคตานํ อินฺทฺริยานํ มนฺทตาย มคฺคปาตุภาวทนฺธภาวโตฯ
Idha pana kassaci vinā paṭipadāya asiddhito garuṃ katvā dassetuṃ ‘‘dukkhapaṭipada’’ntiādi vuttaṃ. Yo koci vāroti sakiṃ dvikkhattuṃ tikkhattuṃ catukkhattuṃ anekakkhattunti evamādīsu vikkhambhanavāresu yo koci. Sakiṃ dvikkhattuñca vikkhambhanavārā sukhā paṭipadā eva, na ca tato uddhaṃ sukhā paṭipadā hotīti tikkhattuṃ vikkhambhanavāraṃ dukkhā paṭipadāti rocesuṃ aṭṭhakathācariyā. Tasmiṃ tathārocite tato paresu catukkhattuṃ vikkhambhanavārādīsu vattabbameva natthīti. Rūpārūpānaṃ lakkhaṇādīhi paricchinditvā gahaṇaṃ rūpārūpapariggaho, nāmarūpamattametaṃ, na añño koci sattādikoti vavatthāpanaṃ nāmarūpavavatthāpanaṃ. Pariggahitarūpārūpassa maggapātubhāvadandhatā ca nāmarūpavavatthāpanādīnaṃ kicchasiddhito siyāti na rūpārūpapariggahakicchatāya eva dukkhapaṭipadatā vattabbāti ce? Taṃ na, nāmarūpavavatthāpanādīnaṃ paccanīkakilesamandatāya sukhasiddhiyampi tathāsiddhavipassanāsahagatānaṃ indriyānaṃ mandatāya maggapātubhāvadandhabhāvato.
รูปารูปํ ปริคฺคเหตฺวาติ อกิเจฺฉนปิ ปริคฺคเหตฺวาฯ กิเจฺฉน ปริคฺคหิเต วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ เอวํ เสเสสุปิฯ อิมํ วารํ โรเจสุนฺติ กลาปสมฺมสนาวสาเน อุทยพฺพยานุปสฺสนาย วตฺตมานาย อุปฺปนฺนสฺส วิปสฺสนุปกฺกิเลสสฺส ติกฺขตฺตุํ วิกฺขมฺภเนน กิจฺฉตาวารํ ทุกฺขา ปฎิปทาติ โรเจสุํ เอตทนฺตตฺตา ปฎิปทายฯ เอตสฺส อกิจฺฉเตฺตปิ ปุริมานํ กิจฺฉเตฺต ทุกฺขปฎิปทตา วุตฺตนยาวาติ น ปฎิสิทฺธาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยถาวุตฺตํ วา สพฺพํ รูปารูปปริคฺคหาทิกิจฺฉตํ ติกฺขตฺตุํ วิกฺขมฺภนวารตาวเสน ‘‘อิมํ วาร’’นฺติ อาหฯ ยสฺส ปน สพฺพตฺถ อกิจฺฉตา, ตสฺส สุขา ปฎิปทา เวทิตพฺพาฯ
Rūpārūpaṃ pariggahetvāti akicchenapi pariggahetvā. Kicchena pariggahite vattabbameva natthi. Evaṃ sesesupi. Imaṃ vāraṃ rocesunti kalāpasammasanāvasāne udayabbayānupassanāya vattamānāya uppannassa vipassanupakkilesassa tikkhattuṃ vikkhambhanena kicchatāvāraṃ dukkhā paṭipadāti rocesuṃ etadantattā paṭipadāya. Etassa akicchattepi purimānaṃ kicchatte dukkhapaṭipadatā vuttanayāvāti na paṭisiddhāti daṭṭhabbaṃ. Yathāvuttaṃ vā sabbaṃ rūpārūpapariggahādikicchataṃ tikkhattuṃ vikkhambhanavāratāvasena ‘‘imaṃ vāra’’nti āha. Yassa pana sabbattha akicchatā, tassa sukhā paṭipadā veditabbā.
มุสาวาทาทีนํ วิสํวาทนาทิกิจฺจตาย ลูขานํ อปริคฺคาหกานํ ปฎิปกฺขภาวโต ปริคฺคาหกสภาวา สมฺมาวาจาฯ สา สินิทฺธภาวโต สมฺปยุตฺตธเมฺม ปริคฺคณฺหาติ สมฺมาวาจาปจฺจยสุภาสิตโสตารญฺจ ชนํฯ กายิกกิริยากิจฺจํ กตฺตพฺพํ สมุฎฺฐาเปติ, สยญฺจ สมุฎฺฐหนํ ฆฎนํ โหตีติ สมฺมากมฺมนฺตสงฺขาตา วิรติปิ สมุฎฺฐานสภาวาติ วุตฺตาฯ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา อุกฺขิปนํ สมุฎฺฐหนํ กายิกกิริยาย ภารุกฺขิปนํ วิย, ชีวมานสฺส สตฺตสฺส, สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา สุทฺธิ โวทานํ อาชีวเสฺสว วา ชีวิตินฺทฺริยวุตฺติยาฯ
Musāvādādīnaṃ visaṃvādanādikiccatāya lūkhānaṃ apariggāhakānaṃ paṭipakkhabhāvato pariggāhakasabhāvā sammāvācā. Sā siniddhabhāvato sampayuttadhamme pariggaṇhāti sammāvācāpaccayasubhāsitasotārañca janaṃ. Kāyikakiriyākiccaṃ kattabbaṃ samuṭṭhāpeti, sayañca samuṭṭhahanaṃ ghaṭanaṃ hotīti sammākammantasaṅkhātā viratipi samuṭṭhānasabhāvāti vuttā. Sampayuttadhammānaṃ vā ukkhipanaṃ samuṭṭhahanaṃ kāyikakiriyāya bhārukkhipanaṃ viya, jīvamānassa sattassa, sampayuttadhammānaṃ vā suddhi vodānaṃ ājīvasseva vā jīvitindriyavuttiyā.
๒๘๓. มคฺคสนฺนิสฺสิตนฺติ ปรมตฺถมคฺคสภาวตฺตา มคฺคาวยวภาเวน สมุทายสนฺนิสฺสิตนฺติ อโตฺถฯ
283. Maggasannissitanti paramatthamaggasabhāvattā maggāvayavabhāvena samudāyasannissitanti attho.
๒๘๕. ปติฎฺฐานํ กิเลสวเสน, อายูหนํ อภิสงฺขารวเสนฯ ตณฺหาวเสน วา ปติฎฺฐานํ, ทิฎฺฐิวเสน อายูหนํฯ โพธีติ ยา อยํ ธมฺมสามคฺคี วุจฺจตีติ โยเชตพฺพาฯ เสนงฺครถงฺคาทโย วิยาติ เอเตน ปุคฺคลปญฺญตฺติยา อวิชฺชมานปญฺญตฺติภาวํ ทเสฺสติฯ องฺค-สโทฺท การณโตฺถปิ โหตีติ จตุสจฺจโพธาย สํวตฺตนฺตีติ โพชฺฌงฺคาฯ พุชฺฌนฺตีติ โพธิโย, โพธิโย เอว องฺคาติ ‘‘อนุพุชฺฌนฺตีติ โพชฺฌงฺคา’’ติ วุตฺตํฯ วิปสฺสนาทีนํ การณานํ พุชฺฌิตพฺพานญฺจ สจฺจานํ อนุรูปํ ปจฺจกฺขภาเวน ปฎิมุขํ อวิปรีตตาย สมฺมา จ พุชฺฌนฺตีติ เอวมตฺถวิเสสทีปเกหิ อุปสเคฺคหิ ‘‘อนุพุชฺฌนฺตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ โพธิ-สโทฺท หิ สพฺพวิเสสยุตฺตํ พุชฺฌนํ สามเญฺญน สงฺคณฺหาตีติฯ
285. Patiṭṭhānaṃ kilesavasena, āyūhanaṃ abhisaṅkhāravasena. Taṇhāvasena vā patiṭṭhānaṃ, diṭṭhivasena āyūhanaṃ. Bodhīti yā ayaṃ dhammasāmaggī vuccatīti yojetabbā. Senaṅgarathaṅgādayo viyāti etena puggalapaññattiyā avijjamānapaññattibhāvaṃ dasseti. Aṅga-saddo kāraṇatthopi hotīti catusaccabodhāya saṃvattantīti bojjhaṅgā. Bujjhantīti bodhiyo, bodhiyo eva aṅgāti ‘‘anubujjhantīti bojjhaṅgā’’ti vuttaṃ. Vipassanādīnaṃ kāraṇānaṃ bujjhitabbānañca saccānaṃ anurūpaṃ paccakkhabhāvena paṭimukhaṃ aviparītatāya sammā ca bujjhantīti evamatthavisesadīpakehi upasaggehi ‘‘anubujjhantī’’tiādi vuttaṃ. Bodhi-saddo hi sabbavisesayuttaṃ bujjhanaṃ sāmaññena saṅgaṇhātīti.
๒๙๙. ติณฺณนฺติ ราคาทีนํฯ กโรติ นาม กิํ ทุจฺจริตานิ อนุวตฺตมานานิฯ
299. Tiṇṇanti rāgādīnaṃ. Karoti nāma kiṃ duccaritāni anuvattamānāni.
๓๐๑. ปาณาติปาตาทินิปฺผาทิตปจฺจยานํ นิจฺจเสวนํ ธุวปฎิเสวนํฯ สกิจฺจโกติ วิสุํ อตฺตโน กิจฺจวาฯ น โหตีติ อตฺถนฺตรภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ ปจฺจยปฎิเสวนสามนฺตชปฺปนอิริยาปถปฺปวตฺตนานิ ปาปิจฺฉตานิพฺพตฺตานิ ตีณิ กุหนวตฺถูนีติฯ
301. Pāṇātipātādinipphāditapaccayānaṃ niccasevanaṃ dhuvapaṭisevanaṃ. Sakiccakoti visuṃ attano kiccavā. Na hotīti atthantarabhāvaṃ paṭikkhipati. Paccayapaṭisevanasāmantajappanairiyāpathappavattanāni pāpicchatānibbattāni tīṇi kuhanavatthūnīti.
๓๔๓. วุฎฺฐานคามินีวิปสฺสนา สงฺขารุเปกฺขา สานุโลมา, สา สุญฺญโต ปสฺสนฺตี ‘‘สุญฺญตา’’ติ วุจฺจติ, ทุกฺขโต ปสฺสนฺตี ตณฺหาปณิธิโสสนโต ‘‘อปฺปณิหิต’’นฺติฯ สา อาคมนียฎฺฐาเน มคฺคาธิคมตฺถํ อาคมนปฎิปทาฐาเน ฐตฺวา สุญฺญตาปฺปณิหิตนฺติ นามํ เทติฯ อาคมนโต นาเม ลเทฺธ สคุณโต อารมฺมณโต จ นามํ สิทฺธเมว โหติ, น ปน สคุณารมฺมเณหิ นามลาเภ สพฺพตฺถ อาคมนโต นามํ สิทฺธํ โหตีติ ปริปุณฺณนามสิทฺธิเหตุตฺตา สคุณารมฺมเณหิ สเพฺพสมฺปิ นามตฺตยโยโค, น อาคมนโตติ ววตฺถานกรตฺตา จ นิปฺปริยายเทสนาย อาคมนโตว อิธ นามํ ลภติ, น อิตเรหีติ วุตฺตํฯ
343. Vuṭṭhānagāminīvipassanā saṅkhārupekkhā sānulomā, sā suññato passantī ‘‘suññatā’’ti vuccati, dukkhato passantī taṇhāpaṇidhisosanato ‘‘appaṇihita’’nti. Sā āgamanīyaṭṭhāne maggādhigamatthaṃ āgamanapaṭipadāṭhāne ṭhatvā suññatāppaṇihitanti nāmaṃ deti. Āgamanato nāme laddhe saguṇato ārammaṇato ca nāmaṃ siddhameva hoti, na pana saguṇārammaṇehi nāmalābhe sabbattha āgamanato nāmaṃ siddhaṃ hotīti paripuṇṇanāmasiddhihetuttā saguṇārammaṇehi sabbesampi nāmattayayogo, na āgamanatoti vavatthānakarattā ca nippariyāyadesanāya āgamanatova idha nāmaṃ labhati, na itarehīti vuttaṃ.
๓๕๐. อนิมิตฺตวิปสฺสนนฺติ อนิจฺจานุปสฺสนํฯ นิมิตฺตธเมฺมสูติ สมูหาทิฆนวเสน จ สกิจฺจปริเจฺฉทตาย จ สปริคฺคเหสุ ขเนฺธสุฯ อนิมิตฺตวิโมโกฺขติ อนิจฺจานุปสฺสนมาหฯ เอวํสมฺปทมิทนฺติ กถมิธ อุปมาสํสนฺทนํ โหติฯ น หิ ฉนฺทจิตฺตานํ มคฺคสงฺขาตอธิปติภาวาภาโว วิย สทฺธินฺทฺริยาธิกสฺส อนิมิตฺตวิโมกฺขสฺส อนิมิตฺตภาวาภาโว อตฺถิ, น จ อมคฺคาธิปตีนํ มคฺคาธิปตินามทานาภาโว วิย อนิมิตฺตสฺส อนิมิตฺตนามทานาภาโวติ สกฺกา วตฺตุํ อนิมิตฺตวิโมกฺขสฺส อนนิมิตฺตตาย อภาวโต ฯ มโคฺค อธิปติ เอเตสนฺติ จ มคฺคาธิปติโนติ ยุโตฺต ตตฺถ ฉนฺทจิเตฺตหิ ตํสมฺปยุตฺตานํ มคฺคาธิปติภาวาภาโวฯ อิธ ปน มโคฺค อนิมิตฺตํ เอตสฺสาติ มคฺคานิมิโตฺตติ อยมโตฺถ น สมฺภวตีติ น เตน อมเคฺคน มคฺคสฺส อนิมิตฺตภาโว น ยุชฺชติ, กิํ วา เอตฺถ สามญฺญํ อธิเปฺปตนฺติฯ อมคฺคงฺคมคฺคนามาภาโวฯ ยถา สติปิ อธิปติภาเว ฉนฺทจิตฺตานํ น มคฺคาธิปตีติ มคฺคนามํ, น จ เตหิ มคฺคสฺส เตสํ อมคฺคงฺคตฺตา, ตถา สติปิ สทฺธาย อาคมนภาเวน ตสฺสา อนิมิตฺตนฺติ มคฺคนามํ, น จ ตาย มคฺคสฺส ตสฺสา อมคฺคงฺคตฺตาฯ เอวํ อนิมิตฺตวิปสฺสนายปิ อนิมิตฺตภาโว นิปฺปริยาเยน นตฺถีติ ทีปิโต โหติฯ
350. Animittavipassananti aniccānupassanaṃ. Nimittadhammesūti samūhādighanavasena ca sakiccaparicchedatāya ca sapariggahesu khandhesu. Animittavimokkhoti aniccānupassanamāha. Evaṃsampadamidanti kathamidha upamāsaṃsandanaṃ hoti. Na hi chandacittānaṃ maggasaṅkhātaadhipatibhāvābhāvo viya saddhindriyādhikassa animittavimokkhassa animittabhāvābhāvo atthi, na ca amaggādhipatīnaṃ maggādhipatināmadānābhāvo viya animittassa animittanāmadānābhāvoti sakkā vattuṃ animittavimokkhassa ananimittatāya abhāvato . Maggo adhipati etesanti ca maggādhipatinoti yutto tattha chandacittehi taṃsampayuttānaṃ maggādhipatibhāvābhāvo. Idha pana maggo animittaṃ etassāti maggānimittoti ayamattho na sambhavatīti na tena amaggena maggassa animittabhāvo na yujjati, kiṃ vā ettha sāmaññaṃ adhippetanti. Amaggaṅgamagganāmābhāvo. Yathā satipi adhipatibhāve chandacittānaṃ na maggādhipatīti magganāmaṃ, na ca tehi maggassa tesaṃ amaggaṅgattā, tathā satipi saddhāya āgamanabhāvena tassā animittanti magganāmaṃ, na ca tāya maggassa tassā amaggaṅgattā. Evaṃ animittavipassanāyapi animittabhāvo nippariyāyena natthīti dīpito hoti.
นนุ จ อิธ ฌานํ สุญฺญตาทินาเมน วุตฺตํ, น มโคฺคติ เจ? น, มคฺคสมฺปโยคโต ฌานสฺส สุญฺญตาทินามกตฺตาฯ สุตฺตนฺตปริยาเยน สคุณารมฺมเณหิ อิธ อภิธเมฺมปิ นามํ ลภตีติ อาหํสุฯ ตสฺมา ปฎิกฺขิตฺตา ‘‘น ปน ลภนฺตี’’ติฯ กิํ การณา? อภิธเมฺม สรสํ อนามสิตฺวา ปจฺจนีกโตว นามลาภาติ อธิปฺปาโยฯ โย หิ สคุณารมฺมเณหิ นามลาโภ, โส สรสปฺปธาโน โหติฯ สรเสเนว จ นามลาเภ สพฺพมคฺคานํ สุญฺญตาทิภาโวติ ววตฺถานํ น สิยาฯ ตสฺมา อภิธเมฺม สติปิ ทฺวีหิ นามลาเภ ปจฺจนีกโต นามววตฺถานกรํ คหิตนฺติ สคุณารมฺมเณหิ สุญฺญตาปฺปณิหิตมคฺคา นามํ น ลภนฺตีติ อาหฯ อถ วา น ปน ลภนฺตีติ อญฺญนิรเปเกฺขหิ สคุณารมฺมเณหิ น ลภนฺติฯ กิํ การณา? อภิธเมฺม สรสปจฺจนีเกหิ สหิเตหิ นามลาภาติ อโตฺถฯ ปจฺจนีกญฺหิ ววตฺถานกรํ อนเปกฺขิตฺวา เกวลสฺส สรสสฺส นามเหตุภาโว อภิธเมฺม นตฺถิ อววตฺถานาปตฺติโตฯ ตสฺมา อตฺตาภินิเวสปณิธิปฎิปกฺขวิปสฺสนานุโลมา มคฺคา สติปิ สรสนฺตเร ปจฺจนีกสหิเตน สรเสน นามํ ลภนฺติฯ อนิมิตฺตมคฺคสฺส ปน วิปสฺสนา นิมิตฺตปฎิปกฺขา น โหติ สยํ นิมิตฺตคฺคหณโต นิมิตฺตคฺคหณานิวารณาติ ตทนุโลมมโคฺคปิ น นิมิตฺตสฺส ปฎิปโกฺขฯ ยทิ สิยา, นิมิตฺตคตวิปสฺสนายปิ ปฎิปโกฺข สิยาติฯ ตสฺมา วิชฺชมาโนปิ สรโส ววตฺถานกรปจฺจนีกาภาวา อภิธเมฺม อนิมิตฺตนฺติ นามทายโก น คหิโตฯ อนิจฺจานุปสฺสนานุโลโม ปน มโคฺค สุทฺธิกปฎิปทานเยเยว สงฺคหิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา เอว จ โส นโย วุโตฺตติฯ เอวนฺติ ยํ วกฺขติ ‘‘อนิจฺจโต วุฎฺฐหนฺตสฺส มโคฺค อนิมิโตฺต โหตี’’ติ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๓๕๐), เอวํ อาหริตฺวา อฎฺฐกถาจริเยหิ โส อนิมิตฺตมโคฺค ทีปิโตติ อโตฺถฯ
Nanu ca idha jhānaṃ suññatādināmena vuttaṃ, na maggoti ce? Na, maggasampayogato jhānassa suññatādināmakattā. Suttantapariyāyena saguṇārammaṇehi idha abhidhammepi nāmaṃ labhatīti āhaṃsu. Tasmā paṭikkhittā ‘‘na pana labhantī’’ti. Kiṃ kāraṇā? Abhidhamme sarasaṃ anāmasitvā paccanīkatova nāmalābhāti adhippāyo. Yo hi saguṇārammaṇehi nāmalābho, so sarasappadhāno hoti. Saraseneva ca nāmalābhe sabbamaggānaṃ suññatādibhāvoti vavatthānaṃ na siyā. Tasmā abhidhamme satipi dvīhi nāmalābhe paccanīkato nāmavavatthānakaraṃ gahitanti saguṇārammaṇehi suññatāppaṇihitamaggā nāmaṃ na labhantīti āha. Atha vā na pana labhantīti aññanirapekkhehi saguṇārammaṇehi na labhanti. Kiṃ kāraṇā? Abhidhamme sarasapaccanīkehi sahitehi nāmalābhāti attho. Paccanīkañhi vavatthānakaraṃ anapekkhitvā kevalassa sarasassa nāmahetubhāvo abhidhamme natthi avavatthānāpattito. Tasmā attābhinivesapaṇidhipaṭipakkhavipassanānulomā maggā satipi sarasantare paccanīkasahitena sarasena nāmaṃ labhanti. Animittamaggassa pana vipassanā nimittapaṭipakkhā na hoti sayaṃ nimittaggahaṇato nimittaggahaṇānivāraṇāti tadanulomamaggopi na nimittassa paṭipakkho. Yadi siyā, nimittagatavipassanāyapi paṭipakkho siyāti. Tasmā vijjamānopi saraso vavatthānakarapaccanīkābhāvā abhidhamme animittanti nāmadāyako na gahito. Aniccānupassanānulomo pana maggo suddhikapaṭipadānayeyeva saṅgahitoti daṭṭhabbo. Tasmā eva ca so nayo vuttoti. Evanti yaṃ vakkhati ‘‘aniccato vuṭṭhahantassa maggo animitto hotī’’ti (dha. sa. aṭṭha. 350), evaṃ āharitvā aṭṭhakathācariyehi so animittamaggo dīpitoti attho.
วุฎฺฐาน…เป.… กิมารมฺมณาติ อนิจฺจาทิโต วุฎฺฐหนฺตสฺส วุฎฺฐานคามินิยา ลกฺขณารมฺมณเตฺต สติ สงฺขาเรหิ วุฎฺฐานํ น สิยา, สงฺขารารมฺมณเตฺต จ ลกฺขณปฎิเวโธติ มญฺญมาโน ปุจฺฉติฯ ‘‘อนิจฺจ’’นฺติอาทินา สงฺขาเรสุ ปวตฺตมาเนน ญาเณน ลกฺขณานิปิ ปฎิวิทฺธานิ โหนฺติ ตทาการสงฺขารคหณโตติ อาห ‘‘ลกฺขณารมฺมณา’’ติฯ สงฺขารารมฺมณา เอว ยถาวุตฺตาธิปฺปาเยน ‘‘ลกฺขณารมฺมณา’’ติ วุตฺตาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ลกฺขณํ นามา’’ติอาทิมาหฯ อนิจฺจตา ทุกฺขตา อนตฺตตาติ หิ วิสุํ คยฺหมานํ ลกฺขณํ ปญฺญตฺติคติกํ ปรมตฺถโต อวิชฺชมานํ, อวิชฺชมานตฺตา เอว ปริตฺตาทิวเสน นวตฺตพฺพธมฺมภูตํฯ ตสฺมา วิสุํ คเหตพฺพสฺส ลกฺขณสฺส ปรมตฺถโต อภาวา ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตา’’ติ สงฺขาเร สภาวโต สลฺลเกฺขโนฺตว ลกฺขณานิ สลฺลเกฺขติ นามาติ อาห ‘‘โย ปน อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตาติ ตีณิ ลกฺขณานิ สลฺลเกฺขตี’’ติฯ ยสฺมา จ อนิจฺจนฺติอาทินา สงฺขาราว ทิสฺสมานา, ตสฺมา เต กเณฺฐ พทฺธกุณปํ วิย ปฎินิสฺสชฺชนียา โหนฺติฯ
Vuṭṭhāna…pe… kimārammaṇāti aniccādito vuṭṭhahantassa vuṭṭhānagāminiyā lakkhaṇārammaṇatte sati saṅkhārehi vuṭṭhānaṃ na siyā, saṅkhārārammaṇatte ca lakkhaṇapaṭivedhoti maññamāno pucchati. ‘‘Anicca’’ntiādinā saṅkhāresu pavattamānena ñāṇena lakkhaṇānipi paṭividdhāni honti tadākārasaṅkhāragahaṇatoti āha ‘‘lakkhaṇārammaṇā’’ti. Saṅkhārārammaṇā eva yathāvuttādhippāyena ‘‘lakkhaṇārammaṇā’’ti vuttāti dassento ‘‘lakkhaṇaṃ nāmā’’tiādimāha. Aniccatā dukkhatā anattatāti hi visuṃ gayhamānaṃ lakkhaṇaṃ paññattigatikaṃ paramatthato avijjamānaṃ, avijjamānattā eva parittādivasena navattabbadhammabhūtaṃ. Tasmā visuṃ gahetabbassa lakkhaṇassa paramatthato abhāvā ‘‘aniccaṃ dukkhamanattā’’ti saṅkhāre sabhāvato sallakkhentova lakkhaṇāni sallakkheti nāmāti āha ‘‘yo pana aniccaṃ dukkhamanattāti tīṇi lakkhaṇāni sallakkhetī’’ti. Yasmā ca aniccantiādinā saṅkhārāva dissamānā, tasmā te kaṇṭhe baddhakuṇapaṃ viya paṭinissajjanīyā honti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / โลกุตฺตรกุสลํ • Lokuttarakusalaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā / โลกุตฺตรกุสลวณฺณนา • Lokuttarakusalavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / โลกุตฺตรกุสลวณฺณนา • Lokuttarakusalavaṇṇanā