Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๗๔] ๔. โลลชาตกวณฺณนา

    [274] 4. Lolajātakavaṇṇanā

    กายํ พลากา สิขินีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ โลลภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ ธมฺมสภํ อานีตํ สตฺถา ‘‘น ตฺวํ ภิกฺขุ อิทาเนว โลโล, ปุเพฺพปิ โลโลเยว, โลลตาเยว จ ชีวิตกฺขยํ ปโตฺต, ตํ นิสฺสาย โปราณกปณฺฑิตาปิ อตฺตโน วสนฎฺฐานา ปริพาหิรา อเหสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Kāyaṃ balākā sikhinīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ lolabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tañhi dhammasabhaṃ ānītaṃ satthā ‘‘na tvaṃ bhikkhu idāneva lolo, pubbepi loloyeva, lolatāyeva ca jīvitakkhayaṃ patto, taṃ nissāya porāṇakapaṇḍitāpi attano vasanaṭṭhānā paribāhirā ahesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต พาราณสิเสฎฺฐิโน มหานเส ภตฺตการโก ปุญฺญตฺถาย นีฬปจฺฉิํ ฐเปสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ปาราวตโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ วาสํ กเปฺปสิฯ อเถโก โลลกาโก มหานสมตฺถเกน คจฺฉโนฺต นานปฺปการํ มจฺฉมํสวิกติํ ทิสฺวา ปิปาสาภิภูโต ‘‘กํ นุ โข นิสฺสาย สกฺกา ภเวยฺยํ โอกาสํ ลทฺธุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา โพธิสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘อิมํ นิสฺสาย สกฺกา’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา ตสฺส โคจราย อรญฺญคมนกาเล ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธิฯ อถ นํ โพธิสโตฺต ‘‘มยํ โข, กาก, อญฺญโคจรา, ตฺวมฺปิ อญฺญโคจโร, กิํ นุ โข มํ อนุพนฺธสี’’ติ อาหฯ ‘‘ตุมฺหากํ, สามิ, กิริยา มยฺหํ รุจฺจติ, อหมฺปิ ตุเมฺหหิ สมานโคจโร หุตฺวา ตุเมฺห อุปฎฺฐาตุํ อิจฺฉามี’’ติฯ โพธิสโตฺต สมฺปฎิจฺฉิฯ โส เตน สทฺธิํ โคจรภูมิยํ เอกโคจรํ จรโนฺต วิย โอสกฺกิตฺวา โคมยราสิํ วิทฺธํเสตฺวา ปาณเก ขาทิตฺวา กุจฺฉิปูรํ กตฺวา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตุเมฺห เอตฺตกํ กาลํ จรเถว, นนุ โภชเน นาม ปมาณํ ญาตุํ วฎฺฎติ, เอถ นาติสายเมว คจฺฉามา’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ตํ อาทาย วสนฎฺฐานํ อคมาสิฯ ภตฺตการโก ‘‘อมฺหากํ ปาราวโต สหายํ คเหตฺวา อาคโต’’ติ กากสฺสาปิ เอกํ ถุสปจฺฉิํ ฐเปสิฯ กาโกปิ จตูหปญฺจาหํ เตเนว นีหาเรน วสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bārāṇasiseṭṭhino mahānase bhattakārako puññatthāya nīḷapacchiṃ ṭhapesi. Tadā bodhisatto pārāvatayoniyaṃ nibbattitvā tattha vāsaṃ kappesi. Atheko lolakāko mahānasamatthakena gacchanto nānappakāraṃ macchamaṃsavikatiṃ disvā pipāsābhibhūto ‘‘kaṃ nu kho nissāya sakkā bhaveyyaṃ okāsaṃ laddhu’’nti cintetvā bodhisattaṃ disvā ‘‘imaṃ nissāya sakkā’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā tassa gocarāya araññagamanakāle piṭṭhito piṭṭhito anubandhi. Atha naṃ bodhisatto ‘‘mayaṃ kho, kāka, aññagocarā, tvampi aññagocaro, kiṃ nu kho maṃ anubandhasī’’ti āha. ‘‘Tumhākaṃ, sāmi, kiriyā mayhaṃ ruccati, ahampi tumhehi samānagocaro hutvā tumhe upaṭṭhātuṃ icchāmī’’ti. Bodhisatto sampaṭicchi. So tena saddhiṃ gocarabhūmiyaṃ ekagocaraṃ caranto viya osakkitvā gomayarāsiṃ viddhaṃsetvā pāṇake khāditvā kucchipūraṃ katvā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘tumhe ettakaṃ kālaṃ caratheva, nanu bhojane nāma pamāṇaṃ ñātuṃ vaṭṭati, etha nātisāyameva gacchāmā’’ti āha. Bodhisatto taṃ ādāya vasanaṭṭhānaṃ agamāsi. Bhattakārako ‘‘amhākaṃ pārāvato sahāyaṃ gahetvā āgato’’ti kākassāpi ekaṃ thusapacchiṃ ṭhapesi. Kākopi catūhapañcāhaṃ teneva nīhārena vasi.

    อเถกทิวสํ เสฎฺฐิโน พหุมจฺฉมํสํ อาหริยิตฺถ, กาโก ตํ ทิสฺวา โลภาภิภูโต ปจฺจูสกาลโต ปฎฺฐาย นิตฺถุนโนฺต นิปชฺชิฯ อถ นํ ปุนทิวเส โพธิสโตฺต ‘‘เอหิ, สมฺม, โคจราย ปกฺกมิสฺสามา’’ติ อาหฯ ‘‘ตุเมฺห คจฺฉถ, มยฺหํ อชิณฺณาสงฺกา อตฺถี’’ติฯ ‘‘สมฺม, กากานํ อชีรโก นาม นตฺถิ, ทีปวฎฺฎิมตฺตเมว หิ ตุมฺหากํ กุจฺฉิยํ โถกํ ติฎฺฐติ, เสสํ อโชฺฌหฎมตฺตเมว ชีรติ, มม วจนํ กโรหิ, มา เอตํ มจฺฉมํสํ ทิสฺวา เอวมกาสี’’ติฯ ‘‘สามิ, กิํ นาเมตํ กเถถ, อชิณฺณาสงฺกาว มยฺห’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ ตํ โอวทิตฺวา โพธิสโตฺต ปกฺกามิฯ

    Athekadivasaṃ seṭṭhino bahumacchamaṃsaṃ āhariyittha, kāko taṃ disvā lobhābhibhūto paccūsakālato paṭṭhāya nitthunanto nipajji. Atha naṃ punadivase bodhisatto ‘‘ehi, samma, gocarāya pakkamissāmā’’ti āha. ‘‘Tumhe gacchatha, mayhaṃ ajiṇṇāsaṅkā atthī’’ti. ‘‘Samma, kākānaṃ ajīrako nāma natthi, dīpavaṭṭimattameva hi tumhākaṃ kucchiyaṃ thokaṃ tiṭṭhati, sesaṃ ajjhohaṭamattameva jīrati, mama vacanaṃ karohi, mā etaṃ macchamaṃsaṃ disvā evamakāsī’’ti. ‘‘Sāmi, kiṃ nāmetaṃ kathetha, ajiṇṇāsaṅkāva mayha’’nti. ‘‘Tena hi appamatto hohī’’ti taṃ ovaditvā bodhisatto pakkāmi.

    ภตฺตการโกปิ นานามจฺฉมํสวิกติโย สมฺปาเทตฺวา สรีรโต เสทํ อปเนโนฺต มหานสทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ กาโก ‘‘อยํ อิทานิ กาโล มํสํ ขาทิตุ’’นฺติ คนฺตฺวา รสกโรฎิมตฺถเก นิสีทิฯ ภตฺตการโก ‘‘กิรี’’ติ สทฺทํ สุตฺวา นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺต กากํ ทิสฺวา ปวิสิตฺวา ตํ คเหตฺวา สกลสรีรโลมํ ลุญฺจิตฺวา มตฺถเก จูฬํ ฐเปตฺวา สิงฺคีเวรมริจาทีนิ ปิสิตฺวา ตเกฺกน อาโลเฬตฺวา ‘‘ตฺวํ อมฺหากํ เสฎฺฐิโน มจฺฉมํสํ อุจฺฉิฎฺฐกํ กโรสี’’ติ สกลสรีรมสฺส มเกฺขตฺวา ขิปิตฺวา นีฬปจฺฉิยํ ปาเตสิ, พลวเวทนา อุปฺปชฺชิฯ โพธิสโตฺต โคจรภูมิโต อาคนฺตฺวา ตํ นิตฺถุนนฺตํ ทิสฺวา ทวํ กโรโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Bhattakārakopi nānāmacchamaṃsavikatiyo sampādetvā sarīrato sedaṃ apanento mahānasadvāre aṭṭhāsi. Kāko ‘‘ayaṃ idāni kālo maṃsaṃ khāditu’’nti gantvā rasakaroṭimatthake nisīdi. Bhattakārako ‘‘kirī’’ti saddaṃ sutvā nivattitvā olokento kākaṃ disvā pavisitvā taṃ gahetvā sakalasarīralomaṃ luñcitvā matthake cūḷaṃ ṭhapetvā siṅgīveramaricādīni pisitvā takkena āloḷetvā ‘‘tvaṃ amhākaṃ seṭṭhino macchamaṃsaṃ ucchiṭṭhakaṃ karosī’’ti sakalasarīramassa makkhetvā khipitvā nīḷapacchiyaṃ pātesi, balavavedanā uppajji. Bodhisatto gocarabhūmito āgantvā taṃ nitthunantaṃ disvā davaṃ karonto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๗๐.

    70.

    ‘‘กายํ พลากา สิขินี, โจรี ลงฺฆิปิตามหา;

    ‘‘Kāyaṃ balākā sikhinī, corī laṅghipitāmahā;

    โอรํ พลาเก อาคจฺฉ, จโณฺฑ เม วายโส สขา’’ติฯ

    Oraṃ balāke āgaccha, caṇḍo me vāyaso sakhā’’ti.

    ตตฺถ กายํ พลากา สิขินีติ ตํ กากํ ตสฺส พหลตเกฺกน มกฺขิตสรีรเสตวณฺณตฺตา มตฺถเก จ สิขาย ฐปิตตฺตา ‘‘กา เอสา พลากา สิขินี’’ติ ปุจฺฉโนฺต อาลปติฯ โจรีติ กุลสฺส อนนุญฺญาย กุลฆรํ, กากสฺส วา อรุจิยา ปจฺฉิํ ปวิฎฺฐตฺตา ‘‘โจรี’’ติ วทติฯ ลงฺฆิปิตามหาติ ลงฺฆี วุจฺจติ อากาเส ลงฺฆนโต เมโฆ, พลากา จ นาม เมฆสเทฺทน คพฺภํ คณฺหนฺตีติ เมฆสโทฺท พลากานํ ปิตา, เมโฆ ปิตามโห โหติฯ เตนาห ‘‘ลงฺฆิปิตามหา’’ติฯ โอรํ พลาเก อาคจฺฉาติ, อโมฺภ พลาเก, อิโต เอหิฯ จโณฺฑ เม วา ยโส สขาติ มยฺหํ สขา ปจฺฉิสามิโก วายโส จโณฺฑ ผรุโส , โส อาคโต ตํ ทิสฺวา กณยสทิเสน ตุเณฺฑน โกเฎฺฎตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปยฺย, ตสฺมา ยาว วายโส นาคจฺฉติ, ตาว ปจฺฉิโต โอตริตฺวา อิโต เอหิ, สีฆํ ปลายสฺสูติ วทติฯ

    Tattha kāyaṃ balākā sikhinīti taṃ kākaṃ tassa bahalatakkena makkhitasarīrasetavaṇṇattā matthake ca sikhāya ṭhapitattā ‘‘kā esā balākā sikhinī’’ti pucchanto ālapati. Corīti kulassa ananuññāya kulagharaṃ, kākassa vā aruciyā pacchiṃ paviṭṭhattā ‘‘corī’’ti vadati. Laṅghipitāmahāti laṅghī vuccati ākāse laṅghanato megho, balākā ca nāma meghasaddena gabbhaṃ gaṇhantīti meghasaddo balākānaṃ pitā, megho pitāmaho hoti. Tenāha ‘‘laṅghipitāmahā’’ti. Oraṃ balāke āgacchāti, ambho balāke, ito ehi. Caṇḍo me vā yaso sakhāti mayhaṃ sakhā pacchisāmiko vāyaso caṇḍo pharuso , so āgato taṃ disvā kaṇayasadisena tuṇḍena koṭṭetvā jīvitakkhayaṃ pāpeyya, tasmā yāva vāyaso nāgacchati, tāva pacchito otaritvā ito ehi, sīghaṃ palāyassūti vadati.

    ตํ สุตฺวา กาโก ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā kāko dutiyaṃ gāthamāha –

    ๗๑.

    71.

    ‘‘นาหํ พลากา สิขินี, อหํ โลโลสฺมิ วายโส;

    ‘‘Nāhaṃ balākā sikhinī, ahaṃ lolosmi vāyaso;

    อกตฺวา วจนํ ตุยฺหํ, ปสฺส ลูโนสฺมิ อาคโต’’ติฯ

    Akatvā vacanaṃ tuyhaṃ, passa lūnosmi āgato’’ti.

    ตตฺถ อาคโตติ ตฺวํ อิทานิ โคจรภูมิโต อาคโต, มํ ลูนํ ปสฺสาติ อโตฺถฯ

    Tattha āgatoti tvaṃ idāni gocarabhūmito āgato, maṃ lūnaṃ passāti attho.

    ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ตติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā bodhisatto tatiyaṃ gāthamāha –

    ๗๒.

    72.

    ‘‘ปุนปาปชฺชสี สมฺม, สีลญฺหิ ตว ตาทิสํ;

    ‘‘Punapāpajjasī samma, sīlañhi tava tādisaṃ;

    น หิ มานุสกา โภคา, สุภุญฺชา โหนฺติ ปกฺขินา’’ติฯ

    Na hi mānusakā bhogā, subhuñjā honti pakkhinā’’ti.

    ตตฺถ ปุนปาปชฺชสี สมฺมาติ สมฺม วายส, ปุนปิ ตฺวํ เอวรูปํ ทุกฺขํ ปฎิลภิสฺสเสว, นตฺถิ เต เอตฺตเกน โมโกฺขฯ กิํการณา? สีลญฺหิ ตว ตาทิสํ ปาปกํ, ยสฺมา ตว อาจารสีลํ ตาทิสํ ทุกฺขาธิคมเสฺสว อนุรูปํฯ น หิ มานุสกาติ มนุสฺสา นาม มหาปุญฺญา, ติรจฺฉานคตานํ ตถารูปํ ปุญฺญํ นตฺถิ, ตสฺมา มานุสกา โภคา ติรจฺฉานคเตน ปกฺขินา น ภุญฺชียนฺตีติฯ

    Tattha punapāpajjasī sammāti samma vāyasa, punapi tvaṃ evarūpaṃ dukkhaṃ paṭilabhissaseva, natthi te ettakena mokkho. Kiṃkāraṇā? Sīlañhi tava tādisaṃ pāpakaṃ, yasmā tava ācārasīlaṃ tādisaṃ dukkhādhigamasseva anurūpaṃ. Na hi mānusakāti manussā nāma mahāpuññā, tiracchānagatānaṃ tathārūpaṃ puññaṃ natthi, tasmā mānusakā bhogā tiracchānagatena pakkhinā na bhuñjīyantīti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา โพธิสโตฺต ‘‘อิโต ทานิ ปฎฺฐาย มยา เอตฺถ วสิตุํ น สกฺกา’’ติ อุปฺปติตฺวา อญฺญตฺถ อคมาสิฯ กาโกปิ นิตฺถุนโนฺต ตเตฺถว กาลมกาสิฯ

    Evañca pana vatvā bodhisatto ‘‘ito dāni paṭṭhāya mayā ettha vasituṃ na sakkā’’ti uppatitvā aññattha agamāsi. Kākopi nitthunanto tattheva kālamakāsi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โลลภิกฺขุ อนาคามิผเล ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา โลลกาโก โลลภิกฺขุ อโหสิ, ปาราวโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne lolabhikkhu anāgāmiphale patiṭṭhahi. ‘‘Tadā lolakāko lolabhikkhu ahosi, pārāvato pana ahameva ahosi’’nti.

    โลลชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ

    Lolajātakavaṇṇanā catutthā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๗๔. โลลชาตกํ • 274. Lolajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact