Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๓๓] ๗. โลมสกสฺสปชาตกวณฺณนา
[433] 7. Lomasakassapajātakavaṇṇanā
อสฺส อินฺทสโม ราชาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ ภิกฺขุํ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ สิเนรุกมฺปนวาโต กิํ ปุราณปณฺณานิ น กเมฺปสฺสติ, ยสสมงฺคิโนปิ สปฺปุริสา อายสกฺยํ ปาปุณนฺติ, กิเลสา นาเมเต ปริสุทฺธสเตฺตปิ สํกิลิเฎฺฐ กโรนฺติ, ปเคว ตาทิส’’นฺติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Assa indasamo rājāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tañhi bhikkhuṃ satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘sacca’’nti vutte ‘‘bhikkhu sinerukampanavāto kiṃ purāṇapaṇṇāni na kampessati, yasasamaṅginopi sappurisā āyasakyaṃ pāpuṇanti, kilesā nāmete parisuddhasattepi saṃkiliṭṭhe karonti, pageva tādisa’’nti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต พฺรหฺมทตฺตสฺส ปุโตฺต พฺรหฺมทตฺตกุมาโร นาม ปุโรหิตปุโตฺต จ กสฺสโป นาม เทฺว สหายกา หุตฺวา เอกาจริยกุเล สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิํสุฯ อปรภาเค พฺรหฺมทตฺตกุมาโร ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาสิฯ กสฺสโป จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ สหาโย ราชา ชาโต, อิทานิ เม มหนฺตํ อิสฺสริยํ ทสฺสติ, กิํ เม อิสฺสริเยน, อหํ มาตาปิตโร จ ราชานญฺจ อาปุจฺฉิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ โส ราชานญฺจ มาตาปิตโร จ อาปุจฺฉิตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา สตฺตเม ทิวเส อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อุญฺฉาจริยาย ยาเปโนฺต วิหาสิฯ ปพฺพชิตํ ปน นํ ‘‘โลมสกสฺสโป’’ติ สญฺชานิํสุฯ โส ปรมชิตินฺทฺริโย โฆรตโป ตาปโส อโหสิฯ ตสฺส เตเชน สกฺกสฺส ภวนํ กมฺปิฯ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ตาปโส อติวิย อุคฺคเตโช สกฺกภาวาปิ มํ จาเวยฺย, พาราณสิรญฺญา สทฺธิํ เอกโต หุตฺวา ตปมสฺส ภินฺทิสฺสามี’’ติฯ โส สกฺกานุภาเวน อฑฺฒรตฺตสมเย พาราณสิรโญฺญ สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา สกลคพฺภํ สรีรปฺปภาย โอภาเสตฺวา รโญฺญ สนฺติเก อากาเส ฐิโต ‘‘อุเฎฺฐหิ, มหาราชา’’ติ ราชานํ ปโพเธสิฯ ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ วุเตฺต ‘‘สโกฺกหมสฺมี’’ติ อาหฯ ‘‘กิมตฺถํ อาคโตสี’’ติ? ‘‘มหาราช, สกลชมฺพุทีเป เอกรชฺชํ อิจฺฉสิ, น อิจฺฉสี’’ติ? ‘‘กิสฺส น อิจฺฉามี’’ติ? อถ นํ สโกฺก ‘‘เตน หิ โลมสกสฺสปํ อาเนตฺวา ปสุฆาตยญฺญํ ยชาเปหิ, สกฺกสโม อชรามโร หุตฺวา สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ กาเรสฺสสี’’ติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente brahmadattassa putto brahmadattakumāro nāma purohitaputto ca kassapo nāma dve sahāyakā hutvā ekācariyakule sabbasippāni uggaṇhiṃsu. Aparabhāge brahmadattakumāro pitu accayena rajje patiṭṭhāsi. Kassapo cintesi ‘‘mayhaṃ sahāyo rājā jāto, idāni me mahantaṃ issariyaṃ dassati, kiṃ me issariyena, ahaṃ mātāpitaro ca rājānañca āpucchitvā pabbajissāmī’’ti. So rājānañca mātāpitaro ca āpucchitvā himavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā sattame divase abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā uñchācariyāya yāpento vihāsi. Pabbajitaṃ pana naṃ ‘‘lomasakassapo’’ti sañjāniṃsu. So paramajitindriyo ghoratapo tāpaso ahosi. Tassa tejena sakkassa bhavanaṃ kampi. Sakko āvajjento taṃ disvā cintesi ‘‘ayaṃ tāpaso ativiya uggatejo sakkabhāvāpi maṃ cāveyya, bārāṇasiraññā saddhiṃ ekato hutvā tapamassa bhindissāmī’’ti. So sakkānubhāvena aḍḍharattasamaye bārāṇasirañño sirigabbhaṃ pavisitvā sakalagabbhaṃ sarīrappabhāya obhāsetvā rañño santike ākāse ṭhito ‘‘uṭṭhehi, mahārājā’’ti rājānaṃ pabodhesi. ‘‘Kosi tva’’nti vutte ‘‘sakkohamasmī’’ti āha. ‘‘Kimatthaṃ āgatosī’’ti? ‘‘Mahārāja, sakalajambudīpe ekarajjaṃ icchasi, na icchasī’’ti? ‘‘Kissa na icchāmī’’ti? Atha naṃ sakko ‘‘tena hi lomasakassapaṃ ānetvā pasughātayaññaṃ yajāpehi, sakkasamo ajarāmaro hutvā sakalajambudīpe rajjaṃ kāressasī’’ti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๖๐.
60.
‘‘อสฺส อินฺทสโม ราช, อจฺจนฺตํ อชรามโร;
‘‘Assa indasamo rāja, accantaṃ ajarāmaro;
สเจ ตฺวํ ยญฺญํ ยาเชยฺย, อิสิํ โลมสกสฺสป’’นฺติฯ
Sace tvaṃ yaññaṃ yājeyya, isiṃ lomasakassapa’’nti.
ตตฺถ อสฺสาติ ภวิสฺสสิฯ ยาเชยฺยาติ สเจ ตฺวํ อรญฺญายตนโต อิสิํ โลมสกสฺสปํ อาเนตฺวา ยญฺญํ ยเชยฺยาสีติฯ
Tattha assāti bhavissasi. Yājeyyāti sace tvaṃ araññāyatanato isiṃ lomasakassapaṃ ānetvā yaññaṃ yajeyyāsīti.
ตสฺส วจนํ สุตฺวา ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ สโกฺก ‘‘เตน หิ มา ปปญฺจํ กรี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ ราชา ปุนทิวเส เสยฺยํ นาม อมจฺจํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สมฺม, มยฺหํ ปิยสหายกสฺส โลมสกสฺสปสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา มม วจเนน เอวํ วเทหิ ‘ราชา กิร ตุเมฺหหิ ปสุฆาตยญฺญํ ยชาเปตฺวา สกลชมฺพุทีเป เอกราชา ภวิสฺสติ, ตุมฺหากมฺปิ ยตฺตกํ ปเทสํ อิจฺฉถ, ตตฺตกํ ทสฺสติ, มยา สทฺธิํ ยญฺญํ ยชิตุํ อาคจฺฉถา’’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ ตาปสสฺส วสโนกาสชานนตฺถํ นคเร เภริํ จราเปตฺวา เอเกน วนจรเกน ‘‘อหํ ชานามี’’ติ วุเตฺต ตํ ปุรโต กตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ตตฺถ คนฺตฺวา อิสิํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ตํ สาสนํ อาโรเจสิฯ อถ นํ โส ‘‘เสยฺย กิํ นาเมตํ กเถสี’’ติ วตฺวา ปฎิกฺขิปโนฺต จตโสฺส คาถา อภาสิ –
Tassa vacanaṃ sutvā rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Sakko ‘‘tena hi mā papañcaṃ karī’’ti vatvā pakkāmi. Rājā punadivase seyyaṃ nāma amaccaṃ pakkosāpetvā ‘‘samma, mayhaṃ piyasahāyakassa lomasakassapassa santikaṃ gantvā mama vacanena evaṃ vadehi ‘rājā kira tumhehi pasughātayaññaṃ yajāpetvā sakalajambudīpe ekarājā bhavissati, tumhākampi yattakaṃ padesaṃ icchatha, tattakaṃ dassati, mayā saddhiṃ yaññaṃ yajituṃ āgacchathā’’’ti āha. So ‘‘sādhu, devā’’ti tāpasassa vasanokāsajānanatthaṃ nagare bheriṃ carāpetvā ekena vanacarakena ‘‘ahaṃ jānāmī’’ti vutte taṃ purato katvā mahantena parivārena tattha gantvā isiṃ vanditvā ekamantaṃ nisinno taṃ sāsanaṃ ārocesi. Atha naṃ so ‘‘seyya kiṃ nāmetaṃ kathesī’’ti vatvā paṭikkhipanto catasso gāthā abhāsi –
๖๑.
61.
‘‘สสมุทฺทปริยายํ, มหิํ สาครกุณฺฑลํ;
‘‘Sasamuddapariyāyaṃ, mahiṃ sāgarakuṇḍalaṃ;
น อิเจฺฉ สห นินฺทาย, เอวํ เสยฺย วิชานหิฯ
Na icche saha nindāya, evaṃ seyya vijānahi.
๖๒.
62.
‘‘ธิรตฺถุ ตํ ยสลาภํ, ธนลาภญฺจ พฺราหฺมณ;
‘‘Dhiratthu taṃ yasalābhaṃ, dhanalābhañca brāhmaṇa;
ยา วุตฺติ วินิปาเตน, อธมฺมจรเณน วาฯ
Yā vutti vinipātena, adhammacaraṇena vā.
๖๓.
63.
‘‘อปิ เจ ปตฺตมาทาย, อนคาโร ปริพฺพเช;
‘‘Api ce pattamādāya, anagāro paribbaje;
สาเยว ชีวิกา เสโยฺย, ยา จาธเมฺมน เอสนาฯ
Sāyeva jīvikā seyyo, yā cādhammena esanā.
๖๔.
64.
‘‘อปิ เจ ปตฺตมาทาย, อนคาโร ปริพฺพเช;
‘‘Api ce pattamādāya, anagāro paribbaje;
อญฺญํ อหิํสยํ โลเก, อปิ รเชฺชน ตํ วร’’นฺติฯ
Aññaṃ ahiṃsayaṃ loke, api rajjena taṃ vara’’nti.
ตตฺถ สสมุทฺทปริยายนฺติ สสมุทฺทปริเกฺขปํฯ สาครกุณฺฑลนฺติ จตฺตาโร ทีเป ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตสาคเรหิ กณฺณวลิยา ฐปิตกุณฺฑเลหิ วิย สมนฺนาคตํฯ สห นินฺทายาติ ‘‘อิมินา ปสุฆาตกมฺมํ กต’’นฺติ อิมาย นินฺทาย สห จกฺกวาฬปริยนฺตํ มหาปถวิํ น อิจฺฉามีติ วทติฯ ยา วุตฺติ วินิปาเตนาติ นรเก วินิปาตกเมฺมน ยา จ ชีวิตวุตฺติ โหติ, ตํ ธิรตฺถุ, ครหามิ ตํ วุตฺตินฺติ ทีเปติฯ สาเยว ชีวิกาติ ปพฺพชิตสฺส มตฺติกาปตฺตํ อาทาย ปรฆรานิ อุปสงฺกมิตฺวา อาหารปริเยสนชีวิกาว ยสธนลาภโต สตคุเณน สหสฺสคุเณน วรตราติ อโตฺถ อปิ รเชฺชน ตํ วรนฺติ ตํ อนคารสฺส สโต อญฺญํ อวิหิํสนฺตสฺส ปริพฺพชนํ สกลชมฺพุทีปรเชฺชนปิ วรนฺติ อโตฺถฯ
Tattha sasamuddapariyāyanti sasamuddaparikkhepaṃ. Sāgarakuṇḍalanti cattāro dīpe parikkhipitvā ṭhitasāgarehi kaṇṇavaliyā ṭhapitakuṇḍalehi viya samannāgataṃ. Saha nindāyāti ‘‘iminā pasughātakammaṃ kata’’nti imāya nindāya saha cakkavāḷapariyantaṃ mahāpathaviṃ na icchāmīti vadati. Yā vutti vinipātenāti narake vinipātakammena yā ca jīvitavutti hoti, taṃ dhiratthu, garahāmi taṃ vuttinti dīpeti. Sāyeva jīvikāti pabbajitassa mattikāpattaṃ ādāya paragharāni upasaṅkamitvā āhārapariyesanajīvikāva yasadhanalābhato sataguṇena sahassaguṇena varatarāti attho api rajjena taṃ varanti taṃ anagārassa sato aññaṃ avihiṃsantassa paribbajanaṃ sakalajambudīparajjenapi varanti attho.
อมโจฺจ ตสฺส กถํ สุตฺวา คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อนาคจฺฉเนฺต กิํ สกฺกา กาตุ’’นฺติ ตุณฺหี อโหสิฯ ปุน สโกฺก อฑฺฒรตฺตสมเย อาคนฺตฺวา อากาเส ฐตฺวา ‘‘กิํ, มหาราช, โลมสกสฺสปํ อาเนตฺวา ยญฺญํ น ยชาเปสี’’ติ อาหฯ ‘‘มยา เปสิโตปิ นาคจฺฉตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, มหาราช, อตฺตโน ธีตรํ จนฺทวติํ กุมาริกํ อลงฺกริตฺวา เสยฺยํ ตเถว เปเสตฺวา ‘สเจ กิร อาคนฺตฺวา ยญฺญํ ยชิสฺสสิ, ราชา เต อิมํ กุมาริกํ ทสฺสตี’ติ วทาเปหิ, อทฺธา โส กุมาริกาย ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา อาคจฺฉิสฺสตี’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปุนทิวเส เสยฺยสฺส หเตฺถ ธีตรํ อทาสิฯ โส ราชธีตรํ คเหตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา อิสิํ วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เทวจฺฉรปฎิภาคํ ราชธีตรํ ตสฺส ทเสฺสตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ อถ อิสิ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา ตํ โอโลเกสิ, สห โอโลกเนเนว ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ฌานา ปริหายิฯ อมโจฺจ ตสฺส ปฎิพทฺธจิตฺตภาวํ ญตฺวา ‘‘ภเนฺต, สเจ กิร ยญฺญํ ยชิสฺสถ, ราชา เต อิมํ ทาริกํ ปาทปริจาริกํ กตฺวา ทสฺสตี’’ติ อาหฯ โส กิเลสวเสน กมฺปโนฺต ‘‘อิมํ กิร เม ทสฺสตี’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, ยญฺญํ ยชนฺตสฺส เต ทสฺสตี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ อิมํ ลภโนฺต ยชิสฺสามี’’ติ วตฺวา ตํ คเหตฺวา สเหว ชฎาหิ อลงฺกตรถํ อภิรุยฺห พาราณสิํ อคมาสิฯ ราชาปิ ‘‘อาคจฺฉติ กิรา’’ติ สุตฺวา ยญฺญาวาเฎ กมฺมํ ปฎฺฐเปสิฯ อถ นํ อาคตํ ทิสฺวา ‘‘เสฺว ยญฺญํ ยชาหิ, อหํ อินฺทสโม ภวิสฺสามิ, ยญฺญปริโยสาเน เต ธีตรํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ กสฺสโป ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ อถ นํ ราชา ปุนทิวเส ตํ อาทาย จนฺทวติยา สทฺธิํเยว ยญฺญาวาฎํ คโตฯ ตตฺถ หตฺถิอสฺสอุสภาทิสพฺพจตุปฺปทา ปฎิปาฎิยา ฐปิตาว อเหสุํฯ กสฺสโป เต สเพฺพ หนิตฺวาว ฆาเตตฺวา ยญฺญํ ยชิตุํ อารภิฯ อถ นํ ตตฺถ สนฺนิปติโต มหาชโน ทิสฺวา ‘‘อิทํ เต โลมสกสฺสป อยุตฺตํ อปฺปติรูปํ, กิํ นาเมตํ กโรสี’’ติ วตฺวา ปริเทวโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Amacco tassa kathaṃ sutvā gantvā rañño ārocesi. Taṃ sutvā rājā ‘‘anāgacchante kiṃ sakkā kātu’’nti tuṇhī ahosi. Puna sakko aḍḍharattasamaye āgantvā ākāse ṭhatvā ‘‘kiṃ, mahārāja, lomasakassapaṃ ānetvā yaññaṃ na yajāpesī’’ti āha. ‘‘Mayā pesitopi nāgacchatī’’ti. ‘‘Tena hi, mahārāja, attano dhītaraṃ candavatiṃ kumārikaṃ alaṅkaritvā seyyaṃ tatheva pesetvā ‘sace kira āgantvā yaññaṃ yajissasi, rājā te imaṃ kumārikaṃ dassatī’ti vadāpehi, addhā so kumārikāya paṭibaddhacitto hutvā āgacchissatī’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā punadivase seyyassa hatthe dhītaraṃ adāsi. So rājadhītaraṃ gahetvā tattha gantvā isiṃ vanditvā paṭisanthāraṃ katvā devaccharapaṭibhāgaṃ rājadhītaraṃ tassa dassetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Atha isi indriyāni bhinditvā taṃ olokesi, saha olokaneneva paṭibaddhacitto hutvā jhānā parihāyi. Amacco tassa paṭibaddhacittabhāvaṃ ñatvā ‘‘bhante, sace kira yaññaṃ yajissatha, rājā te imaṃ dārikaṃ pādaparicārikaṃ katvā dassatī’’ti āha. So kilesavasena kampanto ‘‘imaṃ kira me dassatī’’ti āha. ‘‘Āma, yaññaṃ yajantassa te dassatī’’ti. So ‘‘sādhu imaṃ labhanto yajissāmī’’ti vatvā taṃ gahetvā saheva jaṭāhi alaṅkatarathaṃ abhiruyha bārāṇasiṃ agamāsi. Rājāpi ‘‘āgacchati kirā’’ti sutvā yaññāvāṭe kammaṃ paṭṭhapesi. Atha naṃ āgataṃ disvā ‘‘sve yaññaṃ yajāhi, ahaṃ indasamo bhavissāmi, yaññapariyosāne te dhītaraṃ dassāmī’’ti āha. Kassapo ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Atha naṃ rājā punadivase taṃ ādāya candavatiyā saddhiṃyeva yaññāvāṭaṃ gato. Tattha hatthiassausabhādisabbacatuppadā paṭipāṭiyā ṭhapitāva ahesuṃ. Kassapo te sabbe hanitvāva ghātetvā yaññaṃ yajituṃ ārabhi. Atha naṃ tattha sannipatito mahājano disvā ‘‘idaṃ te lomasakassapa ayuttaṃ appatirūpaṃ, kiṃ nāmetaṃ karosī’’ti vatvā paridevanto dve gāthā abhāsi –
๖๕.
65.
‘‘พลํ จโนฺท พลํ สุริโย, พลํ สมณพฺราหฺมณา;
‘‘Balaṃ cando balaṃ suriyo, balaṃ samaṇabrāhmaṇā;
พลํ เวลา สมุทฺทสฺส, พลาติพลมิตฺถิโยฯ
Balaṃ velā samuddassa, balātibalamitthiyo.
๖๖.
66.
‘‘ยถา อุคฺคตปํ สนฺตํ, อิสิํ โลมสกสฺสปํ;
‘‘Yathā uggatapaṃ santaṃ, isiṃ lomasakassapaṃ;
ปิตุ อตฺถา จนฺทวตี, วาชเปยฺยํ อยาชยี’’ติฯ
Pitu atthā candavatī, vājapeyyaṃ ayājayī’’ti.
ตตฺถ พลํ จโนฺท พลํ สุริโยติ มหนฺธการวิธมเน อญฺญํ พลํ นาม นตฺถิ, จนฺทิมสูริยาเวตฺถ พลวโนฺตติ อโตฺถฯ สมณพฺราหฺมณาติ อิฎฺฐานิฎฺฐวิสยเวคสหเน ขนฺติพลญาณพเลน สมนฺนาคตา สมิตปาปพาหิตปาปา สมณพฺราหฺมณาฯ พลํ เวลา สมุทฺทสฺสาติ มหาสมุทฺทสฺส อุตฺตริตุํ อทตฺวา อุทกํ อาวริตฺวา วินาเสตุํ สมตฺถตาย เวลา พลํ นามฯ พลาติพลมิตฺถิโยติ อิตฺถิโย ปน วิสทญาเณปิ อวีตราเค อตฺตโน วสํ อาเนตฺวา วินาเสตุํ สมตฺถตาย เตหิ สเพฺพหิ พเลหิปิ อติพลา นาม, สพฺพพเลหิ อิตฺถิพลเมว มหนฺตนฺติ อโตฺถฯ ยถาติ ยสฺมาฯ ปิตุ อตฺถาติ ปิตุ วุฑฺฒิอตฺถายฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยสฺมา อิมํ อุคฺคตปํ สมานํ สีลาทิคุณานํ เอสิตตฺตา อิสิํ อยํ จนฺทวตี นิสฺสีลํ กตฺวา ปิตุ วุฑฺฒิอตฺถาย วาชเปยฺยํ ยญฺญํ ยาเชติ, ตสฺมา ชานิตพฺพเมตํ ‘‘พลาติพลมิตฺถิโย’’ติฯ
Tattha balaṃ cando balaṃ suriyoti mahandhakāravidhamane aññaṃ balaṃ nāma natthi, candimasūriyāvettha balavantoti attho. Samaṇabrāhmaṇāti iṭṭhāniṭṭhavisayavegasahane khantibalañāṇabalena samannāgatā samitapāpabāhitapāpā samaṇabrāhmaṇā. Balaṃ velā samuddassāti mahāsamuddassa uttarituṃ adatvā udakaṃ āvaritvā vināsetuṃ samatthatāya velā balaṃ nāma. Balātibalamitthiyoti itthiyo pana visadañāṇepi avītarāge attano vasaṃ ānetvā vināsetuṃ samatthatāya tehi sabbehi balehipi atibalā nāma, sabbabalehi itthibalameva mahantanti attho. Yathāti yasmā. Pitu atthāti pitu vuḍḍhiatthāya. Idaṃ vuttaṃ hoti – yasmā imaṃ uggatapaṃ samānaṃ sīlādiguṇānaṃ esitattā isiṃ ayaṃ candavatī nissīlaṃ katvā pitu vuḍḍhiatthāya vājapeyyaṃ yaññaṃ yājeti, tasmā jānitabbametaṃ ‘‘balātibalamitthiyo’’ti.
ตสฺมิํ สมเย กสฺสโป ยญฺญํ ยชนตฺถาย ‘‘มงฺคลหตฺถิํ คีวายํ ปหริสฺสามี’’ติ ขคฺครตนํ อุกฺขิปิฯ หตฺถี ตํ ทิสฺวา มรณภยตชฺชิโต มหารวํ รวิฯ ตสฺส รวํ สุตฺวา เสสาปิ หตฺถิอสฺสอุสภาทโย มรณภยตชฺชิตา ภเยน วิรวิํสุฯ มหาชโนปิ วิรวิฯ กสฺสโป ตํ มหาวิรวํ สุตฺวา สํเวคปฺปโตฺต หุตฺวา อตฺตโน ชฎาทีนิ โอโลเกสิฯ อถสฺส ชฎามสฺสุกจฺฉโลมานิ ปากฎานิ อเหสุํฯ โส วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ‘‘อนนุรูปํ วต เม ปาปกมฺมํ กต’’นฺติ สํเวคํ ปกาเสโนฺต อฎฺฐมํ คาถมาห –
Tasmiṃ samaye kassapo yaññaṃ yajanatthāya ‘‘maṅgalahatthiṃ gīvāyaṃ paharissāmī’’ti khaggaratanaṃ ukkhipi. Hatthī taṃ disvā maraṇabhayatajjito mahāravaṃ ravi. Tassa ravaṃ sutvā sesāpi hatthiassausabhādayo maraṇabhayatajjitā bhayena viraviṃsu. Mahājanopi viravi. Kassapo taṃ mahāviravaṃ sutvā saṃvegappatto hutvā attano jaṭādīni olokesi. Athassa jaṭāmassukacchalomāni pākaṭāni ahesuṃ. So vippaṭisārī hutvā ‘‘ananurūpaṃ vata me pāpakammaṃ kata’’nti saṃvegaṃ pakāsento aṭṭhamaṃ gāthamāha –
๖๗.
67.
‘‘ตํ โลภปกตํ กมฺมํ, กฎุกํ กามเหตุกํ;
‘‘Taṃ lobhapakataṃ kammaṃ, kaṭukaṃ kāmahetukaṃ;
ตสฺส มูลํ คเวสิสฺสํ, เฉจฺฉํ ราคํ สพนฺธน’’นฺติฯ
Tassa mūlaṃ gavesissaṃ, checchaṃ rāgaṃ sabandhana’’nti.
ตสฺสโตฺถ – มหาราช, ยํ เอตํ มยา จนฺทวติยา โลภํ อุปฺปาเทตฺวา เตน โลเภน ปกตํ กามเหตุกํ ปาปกํ, ตํ กฎุกํ ติขิณวิปากํฯ ตสฺสาหํ อโยนิโสมนสิการสงฺขาตํ มูลํ คเวสิสฺสํ, อลํ เม อิมินา ขเคฺคน, ปญฺญาขคฺคํ นีหริตฺวา สุภนิมิตฺตพนฺธเนน สทฺธิํ สพนฺธนํ ราคํ ฉินฺทิสฺสามีติฯ
Tassattho – mahārāja, yaṃ etaṃ mayā candavatiyā lobhaṃ uppādetvā tena lobhena pakataṃ kāmahetukaṃ pāpakaṃ, taṃ kaṭukaṃ tikhiṇavipākaṃ. Tassāhaṃ ayonisomanasikārasaṅkhātaṃ mūlaṃ gavesissaṃ, alaṃ me iminā khaggena, paññākhaggaṃ nīharitvā subhanimittabandhanena saddhiṃ sabandhanaṃ rāgaṃ chindissāmīti.
อถ นํ ราชา ‘‘มา ภายิ สมฺม, อิทานิ เต จนฺทวติํ กุมาริญฺจ รฎฺฐญฺจ สตฺตรตนราสิญฺจ ทสฺสามิ, ยชาหิ ยญฺญ’’นฺติ อาหฯ ตํ สุตฺวา กสฺสโป ‘‘น เม, มหาราช, อิมินา กิเลเสน อโตฺถ’’ติ วตฺวา โอสานคาถมาห –
Atha naṃ rājā ‘‘mā bhāyi samma, idāni te candavatiṃ kumāriñca raṭṭhañca sattaratanarāsiñca dassāmi, yajāhi yañña’’nti āha. Taṃ sutvā kassapo ‘‘na me, mahārāja, iminā kilesena attho’’ti vatvā osānagāthamāha –
๖๘.
68.
‘‘ธิรตฺถุ กาเม สุพหูปิ โลเก, ตโปว เสโยฺย กามคุเณหิ ราช;
‘‘Dhiratthu kāme subahūpi loke, tapova seyyo kāmaguṇehi rāja;
ตโป กริสฺสามิ ปหาย กาเม, ตเวว รฎฺฐํ จนฺทวตี จ โหตู’’ติฯ
Tapo karissāmi pahāya kāme, taveva raṭṭhaṃ candavatī ca hotū’’ti.
ตตฺถ สุพหูปีติ อติพหุเกปิฯ ตโป กริสฺสามีติ สีลสํยมตปเมว กริสฺสามิฯ
Tattha subahūpīti atibahukepi. Tapo karissāmīti sīlasaṃyamatapameva karissāmi.
โส เอวํ วตฺวา กสิณํ สมนฺนาหริตฺวา นฎฺฐํ วิเสสํ อุปฺปาเทตฺวา อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ โอวทิตฺวา ยญฺญาวาฎํ วิทฺธํสาเปตฺวา มหาชนสฺส อภยทานํ ทาเปตฺวา รโญฺญ ยาจนฺตเสฺสว อุปฺปติตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คนฺตฺวา ยาวชีวํ ฐตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ
So evaṃ vatvā kasiṇaṃ samannāharitvā naṭṭhaṃ visesaṃ uppādetvā ākāse pallaṅkena nisīditvā rañño dhammaṃ desetvā ‘‘appamatto hohī’’ti ovaditvā yaññāvāṭaṃ viddhaṃsāpetvā mahājanassa abhayadānaṃ dāpetvā rañño yācantasseva uppatitvā attano vasanaṭṭhānameva gantvā yāvajīvaṃ ṭhatvā āyupariyosāne brahmalokaparāyaṇo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา เสโยฺย มหาอมโจฺจ สาริปุโตฺต อโหสิ, โลมสกสฺสโป ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā seyyo mahāamacco sāriputto ahosi, lomasakassapo pana ahameva ahosinti.
โลมสกสฺสปชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ
Lomasakassapajātakavaṇṇanā sattamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๓๓. โลมสกสฺสปชาตกํ • 433. Lomasakassapajātakaṃ