Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๘. มธุปิณฺฑิกสุตฺตวณฺณนา
8. Madhupiṇḍikasuttavaṇṇanā
๑๙๙. เอวํ เม สุตนฺติ มธุปิณฺฑิกสุตฺตํฯ ตตฺถ มหาวนนฺติ หิมวเนฺตน สทฺธิํ เอกาพทฺธํ อโรปิมํ ชาติวนํ, น ยถา เวสาลิยํ โรปิตาโรปิตมิสฺสกํฯ ทิวาวิหารายาติ ทิวา ปฎิสลฺลานตฺถายฯ เพลุวลฎฺฐิกายาติ ตรุณเพลุวรุกฺขสฺสฯ ทณฺฑปาณีติ น ชราทุพฺพลตาย ทณฺฑหโตฺถฯ อยญฺหิ ตรุโณ ปฐมวเย ฐิโต, ทณฺฑจิตฺตตาย ปน สุวณฺณทณฺฑํ คเหตฺวา วิจรติ, ตสฺมา ทณฺฑปาณีติ วุโตฺตฯ ชงฺฆาวิหารนฺติ ชงฺฆากิลมถวิโนทนตฺถํ ชงฺฆาจารํฯ อนุจงฺกมมาโน อนุวิจรมาโนติ อารามทสฺสน-วนทสฺสน-ปพฺพตทสฺสนาทีนํ อตฺถาย อิโต จิโต จ วิจรมาโนฯ อธิจฺจนิกฺขมโน กิเรส กทาจิ เทว นิกฺขมิตฺวา เอวํ วิจรติฯ ทณฺฑโมลุพฺภาติ ทณฺฑํ โอลุมฺภิตฺวา โคปาลกทารโก วิย ทณฺฑํ ปุรโต ฐเปตฺวา ทณฺฑมตฺถเก เทฺว หเตฺถ ปติฎฺฐาเปตฺวา ปิฎฺฐิปาณิํ หนุเกน อุปฺปีเฬตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ
199. Evaṃ me sutanti madhupiṇḍikasuttaṃ. Tattha mahāvananti himavantena saddhiṃ ekābaddhaṃ aropimaṃ jātivanaṃ, na yathā vesāliyaṃ ropitāropitamissakaṃ. Divāvihārāyāti divā paṭisallānatthāya. Beluvalaṭṭhikāyāti taruṇabeluvarukkhassa. Daṇḍapāṇīti na jarādubbalatāya daṇḍahattho. Ayañhi taruṇo paṭhamavaye ṭhito, daṇḍacittatāya pana suvaṇṇadaṇḍaṃ gahetvā vicarati, tasmā daṇḍapāṇīti vutto. Jaṅghāvihāranti jaṅghākilamathavinodanatthaṃ jaṅghācāraṃ. Anucaṅkamamāno anuvicaramānoti ārāmadassana-vanadassana-pabbatadassanādīnaṃ atthāya ito cito ca vicaramāno. Adhiccanikkhamano kiresa kadāci deva nikkhamitvā evaṃ vicarati. Daṇḍamolubbhāti daṇḍaṃ olumbhitvā gopālakadārako viya daṇḍaṃ purato ṭhapetvā daṇḍamatthake dve hatthe patiṭṭhāpetvā piṭṭhipāṇiṃ hanukena uppīḷetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi.
๒๐๐. กิํวาทีติ กิํทิฎฺฐิโกฯ กิมกฺขายีติ กิํ กเถติฯ อยํ ราชา ภควนฺตํ อวนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารมตฺตกเมว กตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ ตมฺปิ น อญฺญาตุกามตาย, อจิตฺตีกาเรน ปุจฺฉติฯ กสฺมา? เทวทตฺตสฺส ปกฺขิโก กิเรสฯ เทวทโตฺต อตฺตโน สนฺติกํ อาคจฺฉมาเน ตถาคเต ภินฺทติฯ โส กิร เอวํ วเทติ ‘‘สมโณ โคตโม อมฺหากํ กุเลน สทฺธิํ เวรี, น โน กุลสฺส วุทฺธิํ อิจฺฉติฯ ภคินีปิ เม จกฺกวตฺติปริโภคา, ตํ ปหาย ‘นสฺสเตสา’ติ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิฯ ภาคิเนโยฺยปิ เม จกฺกวตฺติพีชนฺติ ญตฺวา อมฺหากํ กุลสฺส วฑฺฒิยา อตุสฺสโนฺต ‘นสฺสเตต’นฺติ ตมฺปิ ทหรกาเลเยว ปพฺพาเชสิฯ อหํ ปน เตน วินา วตฺติตุํ อสโกฺกโนฺต อนุปพฺพชิโตฯ เอวํ ปพฺพชิตมฺปิ มํ ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย น อุชุเกหิ อกฺขีหิ โอโลเกติฯ ปริสมเชฺฌ ภาสโนฺตปิ มหาผรสุนา ปหรโนฺต วิย อาปายิโก เทวทโตฺตติอาทีนิ ภาสตี’’ติฯ เอวํ อยมฺปิ ราชา เทวทเตฺตน ภิโนฺน, ตสฺมา เอวมกาสิฯ
200.Kiṃvādīti kiṃdiṭṭhiko. Kimakkhāyīti kiṃ katheti. Ayaṃ rājā bhagavantaṃ avanditvā paṭisanthāramattakameva katvā pañhaṃ pucchati. Tampi na aññātukāmatāya, acittīkārena pucchati. Kasmā? Devadattassa pakkhiko kiresa. Devadatto attano santikaṃ āgacchamāne tathāgate bhindati. So kira evaṃ vadeti ‘‘samaṇo gotamo amhākaṃ kulena saddhiṃ verī, na no kulassa vuddhiṃ icchati. Bhaginīpi me cakkavattiparibhogā, taṃ pahāya ‘nassatesā’ti nikkhamitvā pabbaji. Bhāgineyyopi me cakkavattibījanti ñatvā amhākaṃ kulassa vaḍḍhiyā atussanto ‘nassateta’nti tampi daharakāleyeva pabbājesi. Ahaṃ pana tena vinā vattituṃ asakkonto anupabbajito. Evaṃ pabbajitampi maṃ pabbajitadivasato paṭṭhāya na ujukehi akkhīhi oloketi. Parisamajjhe bhāsantopi mahāpharasunā paharanto viya āpāyiko devadattotiādīni bhāsatī’’ti. Evaṃ ayampi rājā devadattena bhinno, tasmā evamakāsi.
อถ ภควา ยถา อยํ ราชา มยา ปเญฺห ปุจฺฉิเต น กเถตีติ วตฺตุํ น ลภติ, ยถา จ ภาสิตสฺส อตฺถํ น ชานาติ, เอวมสฺส กเถสฺสามีติ ตสฺสานุจฺฉวิกํ กเถโนฺต ยถาวาที โขติอาทิมาหฯ
Atha bhagavā yathā ayaṃ rājā mayā pañhe pucchite na kathetīti vattuṃ na labhati, yathā ca bhāsitassa atthaṃ na jānāti, evamassa kathessāmīti tassānucchavikaṃ kathento yathāvādī khotiādimāha.
ตตฺถ น เกนจิ โลเก วิคฺคยฺห ติฎฺฐตีติ โลเก เกนจิ สทฺธิํ วิคฺคาหิกกถํ น กโรติ น วิวทติฯ ตถาคโต หิ โลเกน สทฺธิํ น วิวทติ; โลโก ปน ตถาคเตน สทฺธิํ อนิจฺจนฺติ วุเตฺต นิจฺจนฺติ วทมาโน, ทุกฺขํ, อนตฺตา, อสุภนฺติ วุเตฺต สุภนฺติ วทมาโน วิวทติฯ เตเนวาห ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, โลเกน วิวทามิ, โลโกว โข, ภิกฺขเว, มยา วิวทติ, ตถา น, ภิกฺขเว, ธมฺมวาที เกนจิ โลกสฺมิํ วิวทติ, อธมฺมวาทีว โข, ภิกฺขเว, วิวทตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๙๔)ฯ ยถาติ เยน การเณนฯ กาเมหีติ วตฺถุกาเมหิปิ กิเลสกาเมหิปิฯ ตํ พฺราหฺมณนฺติ ตํ ขีณาสวํ พฺราหฺมณํฯ อกถํกถินฺติ นิพฺพิจิกิจฺฉํฯ ฉินฺนกุกฺกุจฺจนฺติ วิปฺปฎิสารกุกฺกุจฺจสฺส เจว หตฺถปาทกุกฺกุจฺจสฺส จ ฉินฺนตฺตา ฉินฺนกุกฺกุจฺจํฯ ภวาภเวติ ปุนปฺปุนพฺภเว, หีนปณีเต วา ภเว, ปณีโต หิ ภโว วุทฺธิปฺปโตฺต อภโวติ วุจฺจติฯ สญฺญาติ กิเลสสญฺญาฯ กิเลสาเยว วา อิธ สญฺญานาเมน วุตฺตา, ตสฺมา เยน การเณน กาเมหิ วิสํยุตฺตํ วิหรนฺตํ ตํ โลเก นินฺนาวาทิํ ขีณาสวพฺราหฺมณํ กิเลสสญฺญา นานุเสนฺติ, ตญฺจ การณํ อหํ วทามีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ อิติ ภควา อตฺตโน ขีณาสวภาวํ ทีเปติฯ นิลฺลาเฬตฺวาติ นีหริตฺวา กีฬาเปตฺวาฯ ติวิสาขนฺติ ติสาขํฯ นลาฎิกนฺติ วลิภงฺคํ นลาเฎ ติโสฺส ราชิโย ทเสฺสโนฺต วลิภงฺคํ วุฎฺฐาเปตฺวาติ อโตฺถฯ ทณฺฑโมลุพฺภาติ ทณฺฑํ อุปฺปีเฬตฺวาฯ ‘‘ทณฺฑมาลุพฺภา’’ติปิ ปาโฐ, คเหตฺวา ปกฺกามีติ อโตฺถฯ
Tattha na kenaci loke viggayha tiṭṭhatīti loke kenaci saddhiṃ viggāhikakathaṃ na karoti na vivadati. Tathāgato hi lokena saddhiṃ na vivadati; loko pana tathāgatena saddhiṃ aniccanti vutte niccanti vadamāno, dukkhaṃ, anattā, asubhanti vutte subhanti vadamāno vivadati. Tenevāha ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, lokena vivadāmi, lokova kho, bhikkhave, mayā vivadati, tathā na, bhikkhave, dhammavādī kenaci lokasmiṃ vivadati, adhammavādīva kho, bhikkhave, vivadatī’’ti (saṃ. ni. 3.94). Yathāti yena kāraṇena. Kāmehīti vatthukāmehipi kilesakāmehipi. Taṃ brāhmaṇanti taṃ khīṇāsavaṃ brāhmaṇaṃ. Akathaṃkathinti nibbicikicchaṃ. Chinnakukkuccanti vippaṭisārakukkuccassa ceva hatthapādakukkuccassa ca chinnattā chinnakukkuccaṃ. Bhavābhaveti punappunabbhave, hīnapaṇīte vā bhave, paṇīto hi bhavo vuddhippatto abhavoti vuccati. Saññāti kilesasaññā. Kilesāyeva vā idha saññānāmena vuttā, tasmā yena kāraṇena kāmehi visaṃyuttaṃ viharantaṃ taṃ loke ninnāvādiṃ khīṇāsavabrāhmaṇaṃ kilesasaññā nānusenti, tañca kāraṇaṃ ahaṃ vadāmīti ayamettha attho. Iti bhagavā attano khīṇāsavabhāvaṃ dīpeti. Nillāḷetvāti nīharitvā kīḷāpetvā. Tivisākhanti tisākhaṃ. Nalāṭikanti valibhaṅgaṃ nalāṭe tisso rājiyo dassento valibhaṅgaṃ vuṭṭhāpetvāti attho. Daṇḍamolubbhāti daṇḍaṃ uppīḷetvā. ‘‘Daṇḍamālubbhā’’tipi pāṭho, gahetvā pakkāmīti attho.
๒๐๑. อญฺญตโรติ นาเมน อปากโฎ เอโก ภิกฺขุฯ โส กิร อนุสนฺธิกุสโล, ภควตา ยถา ทณฺฑปาณี น ชานาติ, ตถา มยา กถิตนฺติ วุเตฺต กินฺติ นุ โข ภควตา อวิเญฺญยฺยํ กตฺวา ปโญฺห กถิโตติ อนุสนฺธิํ คเหตฺวา ทสพลํ ยาจิตฺวา อิมํ ปญฺหํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปากฎํ กริสฺสามีติ อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา ทสนขสมุชฺชลํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห กิํวาที ปน, ภเนฺต ภควาติอาทิมาหฯ
201.Aññataroti nāmena apākaṭo eko bhikkhu. So kira anusandhikusalo, bhagavatā yathā daṇḍapāṇī na jānāti, tathā mayā kathitanti vutte kinti nu kho bhagavatā aviññeyyaṃ katvā pañho kathitoti anusandhiṃ gahetvā dasabalaṃ yācitvā imaṃ pañhaṃ bhikkhusaṅghassa pākaṭaṃ karissāmīti uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā dasanakhasamujjalaṃ añjaliṃ paggayha kiṃvādī pana, bhante bhagavātiādimāha.
ยโตนิทานนฺติ ภาวนปุํสกํ เอตํ, เยน การเณน ยสฺมิํ การเณ สตีติ อโตฺถฯ ปปญฺจสญฺญาสงฺขาติ เอตฺถ สงฺขาติ โกฎฺฐาโสฯ ปปญฺจสญฺญาติ ตณฺหามานทิฎฺฐิปปญฺจสมฺปยุตฺตา สญฺญา , สญฺญานาเมน วา ปปญฺจาเยว วุตฺตาฯ ตสฺมา ปปญฺจโกฎฺฐาสาติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ สมุทาจรนฺตีติ ปวตฺตนฺติฯ เอตฺถ เจ นตฺถิ อภินนฺทิตพฺพนฺติ ยสฺมิํ ทฺวาทสายตนสงฺขาเต การเณ สติ ปปญฺจสญฺญาสงฺขา สมุทาจรนฺติ, เอตฺถ เอกายตนมฺปิ เจ อภินนฺทิตพฺพํ อภิวทิตพฺพํ อโชฺฌสิตพฺพํ นตฺถีติ อโตฺถฯ ตตฺถ อภินินฺทิตพฺพนฺติ อหํ มมนฺติ อภินนฺทิตพฺพํฯ อภิวทิตพฺพนฺติ อหํ มมาติ วตฺตพฺพํฯ อโชฺฌสิตพฺพนฺติ อโชฺฌสิตฺวา คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐเปตฺวา คเหตพฺพยุตฺตํฯ เอเตเนตฺถ ตณฺหาทีนํเยว อปฺปวตฺติํ กเถติฯ เอเสวโนฺตติ อยํ อภินนฺทนาทีนํ นตฺถิภาโวว ราคานุสยาทีนํ อโนฺตฯ เอเสว นโย สพฺพตฺถฯ
Yatonidānanti bhāvanapuṃsakaṃ etaṃ, yena kāraṇena yasmiṃ kāraṇe satīti attho. Papañcasaññāsaṅkhāti ettha saṅkhāti koṭṭhāso. Papañcasaññāti taṇhāmānadiṭṭhipapañcasampayuttā saññā , saññānāmena vā papañcāyeva vuttā. Tasmā papañcakoṭṭhāsāti ayamettha attho. Samudācarantīti pavattanti. Ettha ce natthi abhinanditabbanti yasmiṃ dvādasāyatanasaṅkhāte kāraṇe sati papañcasaññāsaṅkhā samudācaranti, ettha ekāyatanampi ce abhinanditabbaṃ abhivaditabbaṃ ajjhositabbaṃ natthīti attho. Tattha abhininditabbanti ahaṃ mamanti abhinanditabbaṃ. Abhivaditabbanti ahaṃ mamāti vattabbaṃ. Ajjhositabbanti ajjhositvā gilitvā pariniṭṭhapetvā gahetabbayuttaṃ. Etenettha taṇhādīnaṃyeva appavattiṃ katheti. Esevantoti ayaṃ abhinandanādīnaṃ natthibhāvova rāgānusayādīnaṃ anto. Eseva nayo sabbattha.
ทณฺฑาทานาทีสุ ปน ยาย เจตนาย ทณฺฑํ อาทิยติ, สา ทณฺฑาทานํฯ ยาย สตฺถํ อาทิยติ ปรามสติ, สา สตฺถาทานํฯ มตฺถกปฺปตฺตํ กลหํฯ นานาคาหมตฺตํ วิคฺคหํฯ นานาวาทมตฺตํ วิวาทํฯ ตุวํ ตุวนฺติ เอวํ ปวตฺตํ ตุวํ ตุวํฯ ปิยสุญฺญกรณํ เปสุญฺญํฯ อยถาสภาวํ มุสาวาทํ กโรติ, สา มุสาวาโทติ เวทิตพฺพาฯ เอเตฺถเตติ เอตฺถ ทฺวาทสสุ อายตเนสุ เอเต กิเลสาฯ กิเลสา หิ อุปฺปชฺชมานาปิ ทฺวาทสายตนานิ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนฺติ, นิรุชฺฌมานาปิ ทฺวาทสสุ อายตเนสุเยว นิรุชฺฌนฺติฯ เอวํ ยตฺถุปฺปนฺนา, ตเตฺถว นิรุทฺธา โหนฺติฯ สฺวายมโตฺถ สมุทยสจฺจปเญฺหน ทีเปตโพฺพ –
Daṇḍādānādīsu pana yāya cetanāya daṇḍaṃ ādiyati, sā daṇḍādānaṃ. Yāya satthaṃ ādiyati parāmasati, sā satthādānaṃ. Matthakappattaṃ kalahaṃ. Nānāgāhamattaṃ viggahaṃ. Nānāvādamattaṃ vivādaṃ. Tuvaṃ tuvanti evaṃ pavattaṃ tuvaṃ tuvaṃ. Piyasuññakaraṇaṃ pesuññaṃ. Ayathāsabhāvaṃ musāvādaṃ karoti, sā musāvādoti veditabbā. Ettheteti ettha dvādasasu āyatanesu ete kilesā. Kilesā hi uppajjamānāpi dvādasāyatanāni nissāya uppajjanti, nirujjhamānāpi dvādasasu āyatanesuyeva nirujjhanti. Evaṃ yatthuppannā, tattheva niruddhā honti. Svāyamattho samudayasaccapañhena dīpetabbo –
‘‘สา โข ปเนสา ตณฺหา กตฺถ อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, กตฺถ นิวิสมานา นิวิสตี’’ติ วตฺวา – ‘‘ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ, เอเตฺถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, เอตฺถ นิวิสมานา นิวิสติฯ กิญฺจ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ? จกฺขุ โลเก ปิยรูปํ สาตรูป’’นฺติอาทินา (วิภ. ๒๐๓) นเยน ทฺวาทสสุเยว อายตเนสุ ตสฺสา อุปฺปตฺติ จ นิโรโธ จ วุโตฺตฯ ยเถว จ ตณฺหา ทฺวาทสสุ อายตเนสุ อุปฺปชฺชิตฺวา นิพฺพานํ อาคมฺม นิรุทฺธาปิ อายตเนสุ ปุน สมุทาจารสฺส อภาวโต อายตเนสุเยว นิรุทฺธาติ วุตฺตา, เอวมิเมปิ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อายตเนสุ นิรุชฺฌนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ อถ วา ยฺวายํ อภินนฺทนาทีนํ อภาโวว ราคานุสยาทีนํ อโนฺตติ วุโตฺตฯ เอเตฺถเต ราคานุสยาทีนํ อโนฺตติ ลทฺธโวหาเร นิพฺพาเน ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ ยญฺหิ ยตฺถ นตฺถิ, ตํ ตตฺถ นิรุทฺธํ นาม โหติ, สฺวายมโตฺถ นิโรธปเญฺหน ทีเปตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ทุติยํ ฌานํ สมาปนฺนสฺส วิตกฺกวิจารา วจีสงฺขารา ปฎิปฺปสฺสทฺธา โหนฺตี’’ติอาทิ (ปฎิ. ม. ๑.๘๓)ฯ
‘‘Sā kho panesā taṇhā kattha uppajjamānā uppajjati, kattha nivisamānā nivisatī’’ti vatvā – ‘‘yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ, etthesā taṇhā uppajjamānā uppajjati, ettha nivisamānā nivisati. Kiñca loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ? Cakkhu loke piyarūpaṃ sātarūpa’’ntiādinā (vibha. 203) nayena dvādasasuyeva āyatanesu tassā uppatti ca nirodho ca vutto. Yatheva ca taṇhā dvādasasu āyatanesu uppajjitvā nibbānaṃ āgamma niruddhāpi āyatanesu puna samudācārassa abhāvato āyatanesuyeva niruddhāti vuttā, evamimepi pāpakā akusalā dhammā āyatanesu nirujjhantīti veditabbā. Atha vā yvāyaṃ abhinandanādīnaṃ abhāvova rāgānusayādīnaṃ antoti vutto. Etthete rāgānusayādīnaṃ antoti laddhavohāre nibbāne pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti. Yañhi yattha natthi, taṃ tattha niruddhaṃ nāma hoti, svāyamattho nirodhapañhena dīpetabbo. Vuttañhetaṃ ‘‘dutiyaṃ jhānaṃ samāpannassa vitakkavicārā vacīsaṅkhārā paṭippassaddhā hontī’’tiādi (paṭi. ma. 1.83).
๒๐๒. สตฺถุ เจว สํวณฺณิโตติ สตฺถารา จ ปสํสิโตฯ วิญฺญูนนฺติ อิทมฺปิ กรณเตฺถ สามิวจนํ, ปณฺฑิเตหิ สพฺรหฺมจารีหิ จ สมฺภาวิโตติ อโตฺถฯ ปโหตีติ สโกฺกติฯ
202.Satthu ceva saṃvaṇṇitoti satthārā ca pasaṃsito. Viññūnanti idampi karaṇatthe sāmivacanaṃ, paṇḍitehi sabrahmacārīhi ca sambhāvitoti attho. Pahotīti sakkoti.
๒๐๓. อติกฺกเมฺมว มูลํ อติกฺกมฺม ขนฺธนฺติ สาโร นาม มูเล วา ขเนฺธ วา ภเวยฺย, ตมฺปิ อติกฺกมิตฺวาติ อโตฺถฯ เอวํสมฺปทนฺติ เอวํสมฺปตฺติกํ, อีทิสนฺติ อโตฺถฯ อติสิตฺวาติ อติกฺกมิตฺวาฯ ชานํ ชานาตีติ ชานิตพฺพเมว ชานาติฯ ปสฺสํ ปสฺสตีติ ปสฺสิตพฺพเมว ปสฺสติฯ ยถา วา เอกโจฺจ วิปรีตํ คณฺหโนฺต ชานโนฺตปิ น ชานาติ, ปสฺสโนฺตปิ น ปสฺสติ, น เอวํ ภควาฯ ภควา ปน ชานโนฺต ชานาติเยว, ปสฺสโนฺต ปสฺสติเยวฯ สฺวายํ ทสฺสนปริณายกเฎฺฐน จกฺขุภูโตฯ วิทิตกรณเฎฺฐน ญาณภูโตฯ อวิปรีตสภาวเฎฺฐน ปริยตฺติธมฺมปฺปวตฺตนโต วา หทเยน จิเนฺตตฺวา วาจาย นิจฺฉาริตธมฺมมโยติ ธมฺมภูโตฯ เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมภูโตฯ อถ วา จกฺขุ วิย ภูโตติ จกฺขุภูโตติ เอวเมเตสุ ปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สฺวายํ ธมฺมสฺส วตฺตนโต วตฺตาฯ ปวตฺตาปนโต ปวตฺตาฯ อตฺถํ นีหริตฺวา ทสฺสนสมตฺถตาย อตฺถสฺส นิเนฺนตาฯ อมตาธิคมาย ปฎิปตฺติํ ททาตีติ อมตสฺส ทาตาฯ อครุํ กตฺวาติ ปุนปฺปุนํ อายาจาเปโนฺตปิ หิ ครุํ กโรติ นาม, อตฺตโน สาวกปารมีญาเณ ฐตฺวา สิเนรูปาทโต วาลุกํ อุทฺธรมาโน วิย ทุพฺพิเญฺญยฺยํ กตฺวา กเถโนฺตปิ ครุํ กโรติเยว นามฯ เอวํ อกตฺวา อเมฺห ปุนปฺปุนํ อยาจาเปตฺวา สุวิเญฺญยฺยมฺปิ โน กตฺวา กเถหีติ วุตฺตํ โหติฯ
203.Atikkammeva mūlaṃ atikkamma khandhanti sāro nāma mūle vā khandhe vā bhaveyya, tampi atikkamitvāti attho. Evaṃsampadanti evaṃsampattikaṃ, īdisanti attho. Atisitvāti atikkamitvā. Jānaṃ jānātīti jānitabbameva jānāti. Passaṃ passatīti passitabbameva passati. Yathā vā ekacco viparītaṃ gaṇhanto jānantopi na jānāti, passantopi na passati, na evaṃ bhagavā. Bhagavā pana jānanto jānātiyeva, passanto passatiyeva. Svāyaṃ dassanapariṇāyakaṭṭhena cakkhubhūto. Viditakaraṇaṭṭhena ñāṇabhūto. Aviparītasabhāvaṭṭhena pariyattidhammappavattanato vā hadayena cintetvā vācāya nicchāritadhammamayoti dhammabhūto. Seṭṭhaṭṭhena brahmabhūto. Atha vā cakkhu viya bhūtoti cakkhubhūtoti evametesu padesu attho veditabbo. Svāyaṃ dhammassa vattanato vattā. Pavattāpanato pavattā. Atthaṃ nīharitvā dassanasamatthatāya atthassa ninnetā. Amatādhigamāya paṭipattiṃ dadātīti amatassa dātā. Agaruṃ katvāti punappunaṃ āyācāpentopi hi garuṃ karoti nāma, attano sāvakapāramīñāṇe ṭhatvā sinerūpādato vālukaṃ uddharamāno viya dubbiññeyyaṃ katvā kathentopi garuṃ karotiyeva nāma. Evaṃ akatvā amhe punappunaṃ ayācāpetvā suviññeyyampi no katvā kathehīti vuttaṃ hoti.
๒๐๔. ยํ โข โน อาวุโสติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘ยํ โข โว’’ติ วตฺตพฺพํ สิยา, เต ปน ภิกฺขู อตฺตนา สทฺธิํ สงฺคณฺหโนฺต ‘‘ยํ โข โน’’ติ อาหฯ ยสฺมา วา อุเทฺทโสว เตสํ อุทฺทิโฎฺฐวฯ ภควา ปน เถรสฺสาปิ เตสมฺปิ ภควาวฯ ตสฺมา ภควาติ ปทํ สนฺธายปิ เอวมาห, ยํ โข อมฺหากํ ภควา ตุมฺหากํ สํขิเตฺตน อุเทฺทสํ อุทฺทิสิตฺวาติ อโตฺถฯ
204.Yaṃkho no āvusoti ettha kiñcāpi ‘‘yaṃ kho vo’’ti vattabbaṃ siyā, te pana bhikkhū attanā saddhiṃ saṅgaṇhanto ‘‘yaṃ kho no’’ti āha. Yasmā vā uddesova tesaṃ uddiṭṭhova. Bhagavā pana therassāpi tesampi bhagavāva. Tasmā bhagavāti padaṃ sandhāyapi evamāha, yaṃ kho amhākaṃ bhagavā tumhākaṃ saṃkhittena uddesaṃ uddisitvāti attho.
จกฺขุญฺจาวุโสติอาทีสุ อยมโตฺถ, อาวุโส, นิสฺสยภาเวน จกฺขุปสาทญฺจ อารมฺมณภาเวน จตุสมุฎฺฐานิกรูเป จ ปฎิจฺจ จกฺขุวิญฺญาณํ นาม อุปฺปชฺชติฯ ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺสติ เตสํ ติณฺณํ สงฺคติยา ผโสฺส นาม อุปฺปชฺชติฯ ตํ ผสฺสํ ปฎิจฺจ สหชาตาทิวเสน ผสฺสปจฺจยา เวทนา อุปฺปชฺชติฯ ตาย เวทนาย ยํ อารมฺมณํ เวเทติ, ตเทว สญฺญา สญฺชานาติ, ยํ สญฺญา สญฺชานาติ, ตเทว อารมฺมณํ วิตโกฺก วิตเกฺกติฯ ยํ วิตโกฺก วิตเกฺกติ, ตเทวารมฺมณํ ปปโญฺจ ปปเญฺจติฯ ตโตนิทานนฺติ เอเตหิ จกฺขุรูปาทีหิ การเณหิฯ ปุริสํ ปปญฺจสญฺญาสงฺขา สมุทาจรนฺตีติ ตํ อปริญฺญาตการณํ ปุริสํ ปปญฺจโกฎฺฐาสา อภิภวนฺติ, ตสฺส ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ ผสฺสเวทนาสญฺญา จกฺขุวิญฺญาเณน สหชาตา โหนฺติฯ วิตโกฺก จกฺขุวิญฺญาณานนฺตราทีสุ สวิตกฺกจิเตฺตสุ ทฎฺฐโพฺพฯ ปปญฺจสงฺขา ชวเนน สหชาตา โหนฺติฯ ยทิ เอวํ กสฺมา อตีตานาคตคฺคหณํ กตนฺติ? ตถา อุปฺปชฺชนโตฯ ยเถว หิ เอตรหิ จกฺขุทฺวาริโก ปปโญฺจ จกฺขุญฺจ รูเป จ ผสฺสเวทนาสญฺญาวิตเกฺก จ ปฎิจฺจ อุปฺปโนฺน, เอวเมวํ อตีตานาคเตสุปิ จกฺขุวิเญฺญเยฺยสุ รูเปสุ ตสฺสุปฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ
Cakkhuñcāvusotiādīsu ayamattho, āvuso, nissayabhāvena cakkhupasādañca ārammaṇabhāvena catusamuṭṭhānikarūpe ca paṭicca cakkhuviññāṇaṃ nāma uppajjati. Tiṇṇaṃ saṅgati phassoti tesaṃ tiṇṇaṃ saṅgatiyā phasso nāma uppajjati. Taṃ phassaṃ paṭicca sahajātādivasena phassapaccayā vedanā uppajjati. Tāya vedanāya yaṃ ārammaṇaṃ vedeti, tadeva saññā sañjānāti, yaṃ saññā sañjānāti, tadeva ārammaṇaṃ vitakko vitakketi. Yaṃ vitakko vitakketi, tadevārammaṇaṃ papañco papañceti. Tatonidānanti etehi cakkhurūpādīhi kāraṇehi. Purisaṃ papañcasaññāsaṅkhā samudācarantīti taṃ apariññātakāraṇaṃ purisaṃ papañcakoṭṭhāsā abhibhavanti, tassa pavattantīti attho. Tattha phassavedanāsaññā cakkhuviññāṇena sahajātā honti. Vitakko cakkhuviññāṇānantarādīsu savitakkacittesu daṭṭhabbo. Papañcasaṅkhā javanena sahajātā honti. Yadi evaṃ kasmā atītānāgataggahaṇaṃ katanti? Tathā uppajjanato. Yatheva hi etarahi cakkhudvāriko papañco cakkhuñca rūpe ca phassavedanāsaññāvitakke ca paṭicca uppanno, evamevaṃ atītānāgatesupi cakkhuviññeyyesu rūpesu tassuppattiṃ dassento evamāha.
โสตญฺจาวุโสติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ฉฎฺฐทฺวาเร ปน มนนฺติ ภวงฺคจิตฺตํฯ ธเมฺมติ เตภูมกธมฺมารมฺมณํฯ มโนวิญฺญาณนฺติ อาวชฺชนํ วา ชวนํ วาฯ อาวชฺชเน คหิเต ผสฺสเวทนาสญฺญาวิตกฺกา อาวชฺชนสหชาตา โหนฺติฯ ปปโญฺจ ชวนสหชาโตฯ ชวเน คหิเต สหาวชฺชนกํ ภวงฺค มโน นาม โหติ, ตโต ผสฺสาทโย สเพฺพปิ ชวเนน สหชาตาวฯ มโนทฺวาเร ปน ยสฺมา อตีตาทิเภทํ สพฺพมฺปิ อารมฺมณํ โหติ, ตสฺมา อตีตานาคตปจฺจุปฺปเนฺนสูติ อิทํ ยุตฺตเมวฯ
Sotañcāvusotiādīsupi eseva nayo. Chaṭṭhadvāre pana mananti bhavaṅgacittaṃ. Dhammeti tebhūmakadhammārammaṇaṃ. Manoviññāṇanti āvajjanaṃ vā javanaṃ vā. Āvajjane gahite phassavedanāsaññāvitakkā āvajjanasahajātā honti. Papañco javanasahajāto. Javane gahite sahāvajjanakaṃ bhavaṅga mano nāma hoti, tato phassādayo sabbepi javanena sahajātāva. Manodvāre pana yasmā atītādibhedaṃ sabbampi ārammaṇaṃ hoti, tasmā atītānāgatapaccuppannesūti idaṃ yuttameva.
อิทานิ วฎฺฎํ ทเสฺสโนฺต โส วตาวุโสติ เทสนํ อารภิฯ ผสฺสปญฺญตฺติํ ปญฺญเปสฺสตีติ ผโสฺส นาม เอโก ธโมฺม อุปฺปชฺชตีติ เอวํ ผสฺสปญฺญตฺติํ ปญฺญเปสฺสติ, ทเสฺสสฺสตีติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ เอวํ อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหตีติ ทฺวาทสายตนวเสน สกลํ วฎฺฎํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ทฺวาทสายตนปฎิเกฺขปวเสน วิวฎฺฎํ ทเสฺสโนฺต โส วตาวุโส จกฺขุสฺมิํ อสตีติ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Idāni vaṭṭaṃ dassento so vatāvusoti desanaṃ ārabhi. Phassapaññattiṃ paññapessatīti phasso nāma eko dhammo uppajjatīti evaṃ phassapaññattiṃ paññapessati, dassessatīti attho. Esa nayo sabbattha. Evaṃ imasmiṃ sati idaṃ hotīti dvādasāyatanavasena sakalaṃ vaṭṭaṃ dassetvā idāni dvādasāyatanapaṭikkhepavasena vivaṭṭaṃ dassento so vatāvuso cakkhusmiṃasatīti desanaṃ ārabhi. Tattha vuttanayeneva attho veditabbo.
เอวํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวา อิทานิ สาวเกน ปโญฺห กถิโตติ มา นิกฺกงฺขา อหุวตฺถ, อยํ ภควา สพฺพญฺญุตญาณตุลํ คเหตฺวา นิสิโนฺน, อิจฺฉมานา ตเมว อุปสงฺกมิตฺวา นิกฺกงฺขา โหถาติ อุโยฺยเชโนฺต อากงฺขมานา จ ปนาติอาทิมาหฯ
Evaṃ pañhaṃ vissajjetvā idāni sāvakena pañho kathitoti mā nikkaṅkhā ahuvattha, ayaṃ bhagavā sabbaññutañāṇatulaṃ gahetvā nisinno, icchamānā tameva upasaṅkamitvā nikkaṅkhā hothāti uyyojento ākaṅkhamānā ca panātiādimāha.
๒๐๕. อิเมหิ อากาเรหีติ อิเมหิ การเณหิ ปปญฺจุปฺปตฺติยา ปาฎิเยกฺกการเณหิ เจว วฎฺฎวิวฎฺฎการเณหิ จฯ อิเมหิ ปเทหีติ อิเมหิ อกฺขรสมฺปิณฺฑเนหิฯ พฺยญฺชเนหีติ ปาฎิเยกฺกอกฺขเรหิฯ ปณฺฑิโตติ ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคโตฯ จตูหิ วา การเณหิ ปณฺฑิโต ธาตุกุสโล อายตนกุสโล ปจฺจยาการกุสโล การณาการณกุสโลติฯ มหาปโญฺญติ มหเนฺต อเตฺถ มหเนฺต ธเมฺม มหนฺตา นิรุตฺติโย มหนฺตานิ ปฎิภานานิ ปริคฺคหณสมตฺถาย มหาปญฺญาย สมนฺนาคโตฯ ยถา ตํ มหากจฺจาเนนาติ ยถา มหากจฺจาเนน พฺยากตํ, ตํ สนฺธาย ตนฺติ วุตฺตํฯ ยถา มหากจฺจาเนน พฺยากตํ, อหมฺปิ ตํ เอวเมวํ พฺยากเรเยฺยนฺติ อโตฺถฯ
205.Imehi ākārehīti imehi kāraṇehi papañcuppattiyā pāṭiyekkakāraṇehi ceva vaṭṭavivaṭṭakāraṇehi ca. Imehi padehīti imehi akkharasampiṇḍanehi. Byañjanehīti pāṭiyekkaakkharehi. Paṇḍitoti paṇḍiccena samannāgato. Catūhi vā kāraṇehi paṇḍito dhātukusalo āyatanakusalo paccayākārakusalo kāraṇākāraṇakusaloti. Mahāpaññoti mahante atthe mahante dhamme mahantā niruttiyo mahantāni paṭibhānāni pariggahaṇasamatthāya mahāpaññāya samannāgato. Yathā taṃ mahākaccānenāti yathā mahākaccānena byākataṃ, taṃ sandhāya tanti vuttaṃ. Yathā mahākaccānena byākataṃ, ahampi taṃ evamevaṃ byākareyyenti attho.
มธุปิณฺฑิกนฺติ มหนฺตํ คุฬปูวํ พทฺธสตฺตุคุฬกํ วาฯ อเสจนกนฺติ อเสจิตพฺพกํฯ สปฺปิผาณิตมธุสกฺกราทีสุ อิทํ นาเมตฺถ มนฺทํ อิทํ พหุกนฺติ น วตฺตพฺพํ สมโยชิตรสํฯ เจตโสติ จินฺตกชาติโกฯ ทพฺพชาติโกติ ปณฺฑิตสภาโวฯ โก นาโม อยนฺติ อิทํ เถโร อติภทฺทโก อยํ ธมฺมปริยาโย, ทสพลสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาเณเนวสฺส นามํ คณฺหาเปสฺสามีติ จิเนฺตตฺวา อาหฯ ตสฺมาติ ยสฺมา มธุปิณฺฑิโก วิย มธุโร, ตสฺมา มธุปิณฺฑิกปริยาโยเตฺวว นํ ธาเรหีติ วทติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
Madhupiṇḍikanti mahantaṃ guḷapūvaṃ baddhasattuguḷakaṃ vā. Asecanakanti asecitabbakaṃ. Sappiphāṇitamadhusakkarādīsu idaṃ nāmettha mandaṃ idaṃ bahukanti na vattabbaṃ samayojitarasaṃ. Cetasoti cintakajātiko. Dabbajātikoti paṇḍitasabhāvo. Ko nāmo ayanti idaṃ thero atibhaddako ayaṃ dhammapariyāyo, dasabalassa sabbaññutaññāṇenevassa nāmaṃ gaṇhāpessāmīti cintetvā āha. Tasmāti yasmā madhupiṇḍiko viya madhuro, tasmā madhupiṇḍikapariyāyotveva naṃ dhārehīti vadati. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
มธุปิณฺฑิกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Madhupiṇḍikasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๘. มธุปิณฺฑิกสุตฺตํ • 8. Madhupiṇḍikasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. มธุปิณฺฑิกสุตฺตวณฺณนา • 8. Madhupiṇḍikasuttavaṇṇanā