English Edition
    Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๘๓

    The Middle-Length Suttas Collection 83

    มฆเทวสุตฺต

    About King Makhādeva

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา มิถิลายํ วิหรติ มฆเทวอมฺพวเนฯ อถ โข ภควา อญฺญตรสฺมึ ปเทเส สิตํ ปาตฺวากาสิฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Mithilā in the Makhādeva Mango Grove. Then the Buddha smiled at a certain spot.

    อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตทโหสิ: “โก นุ โข เหตุ, โก ปจฺจโย ภควโต สิตสฺส ปาตุกมฺมาย? น อการเณน ตถาคตา สิตํ ปาตุกโรนฺตี”ติฯ

    Then Venerable Ānanda thought, “What is the cause, what is the reason why the Buddha smiled? Realized Ones do not smile for no reason.”

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เอกํสํ จีวรํ กตฺวา เยน ภควา เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ: “โก นุ โข, ภนฺเต, เหตุ, โก ปจฺจโย ภควโต สิตสฺส ปาตุกมฺมาย? น อการเณน ตถาคตา สิตํ ปาตุกโรนฺตี”ติฯ

    So Ānanda arranged his robe over one shoulder, raised his joined palms toward the Buddha, and said, “What is the cause, what is the reason why the Buddha smiled? Realized Ones do not smile for no reason.”

    “ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, อิมิสฺสาเยว มิถิลายํ ราชา อโหสิ มฆเทโว นาม ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธมฺเม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสึ ปญฺจทสึ อฏฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสฯ

    “Once upon a time, Ānanda, right here in Mithilā there was a just and principled king named Makhādeva, a great king who stood by his duty. He justly treated brahmins and householders, and people of town and country. And he observed the Uposatha day on the fourteenth, fifteenth, and eighth of the fortnight.

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มฆเทโว พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน กปฺปกํ อามนฺเตสิ: ‘ยทา เม, สมฺม กปฺปก, ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ เม อาโรเจยฺยาสี'ติฯ

    Then, after many years, many hundred years, many thousand years had passed, King Makhādeva addressed his barber, ‘My dear barber, when you see grey hairs growing on my head, please tell me.’

    ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก รญฺโญ มฆเทวสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ

    ‘Yes, Your Majesty,’ replied the barber.

    อทฺทสา โข, อานนฺท, กปฺปโก พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน รญฺโญ มฆเทวสฺส สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิฯ ทิสฺวาน ราชานํ มฆเทวํ เอตทโวจ: ‘ปาตุภูตา โข เทวสฺส เทวทูตา, ทิสฺสนฺติ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานี'ติฯ

    When many thousands of years had passed, the barber saw grey hairs growing on the king’s head. He said to the king, ‘The messengers of the gods have shown themselves to you. Grey hairs can be seen growing on your head.’

    ‘เตน หิ, สมฺม กปฺปก, ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา มม อญฺชลิสฺมึ ปติฏฺฐาเปหี'ติฯ

    ‘Well then, my dear barber, carefully pull them out with tweezers and place them in my cupped hands.’

    ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก รญฺโญ มฆเทวสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา รญฺโญ มฆเทวสฺส อญฺชลิสฺมึ ปติฏฺฐาเปสิฯ

    ‘Yes, Your Majesty,’ replied the barber, and he did as the king said.

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มฆเทโว กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: ‘ปาตุภูตา โข เม, ตาต กุมาร, เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิ; ภุตฺตา โข ปน เม มานุสกา กามา; สมโย ทิพฺเพ กาเม ปริเยสิตุํฯ เอหิ ตฺวํ, ตาต กุมาร, อิมํ รชฺชํ ปฏิปชฺชฯ อหํ ปน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามิฯ

    The king gave the barber a prize village, then summoned the crown prince and said, ‘Dear prince, the messengers of the gods have shown themselves to me. Grey hairs can be seen growing on my head. I have enjoyed human pleasures. Now it is time to seek heavenly pleasures. Come, dear prince, rule the realm. I shall shave off my hair and beard, dress in ocher robes, and go forth from the lay life to homelessness.

    เตน หิ, ตาต กุมาร, ยทา ตฺวมฺปิ ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รชฺเช สมนุสาสิตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยาสิฯ เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวตฺเตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสิฯ ยสฺมึ โข, ตาต กุมาร, ปุริสยุเค วตฺตมาเน เอวรูปสฺส กลฺยาณสฺส วตฺตสฺส สมุจฺเฉโท โหติ โส เตสํ อนฺติมปุริโส โหติฯ ตํ ตาหํ, ตาต กุมาร, เอวํ วทามิ—เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวตฺเตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสี'ติฯ

    For dear prince, you too will one day see grey hairs growing on your head. When this happens, after giving a prize village to the barber and carefully instructing the crown prince in kingship, you should shave off your hair and beard, dress in ocher robes, and go forth from the lay life to homelessness. Keep up this good practice that I have founded. Do not be my final man. Whatever generation is current when such good practice is broken, he is their final man. Therefore I say to you, “Keep up this good practice that I have founded. Do not be my final man.”’

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มฆเทโว กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รชฺเช สมนุสาสิตฺวา อิมสฺมึเยว มฆเทวอมฺพวเน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ กรุณาสหคเตน เจตสา … มุทิตาสหคเตน เจตสา … อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ

    And so, after giving a prize village to the barber and carefully instructing the crown prince in kingship, King Makhādeva shaved off his hair and beard, dressed in ocher robes, and went forth from the lay life to homelessness here in this mango grove. He meditated spreading a heart full of love to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, he spread a heart full of love to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will. He meditated spreading a heart full of compassion … rejoicing … equanimity to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, he spread a heart full of equanimity to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will.

    ราชา โข ปนานนฺท, มฆเทโว จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬิตํ กีฬิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อิมสฺมึเยว มฆเทวอมฺพวเน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต พฺรหฺมจริยมจริฯ โส จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    For 84,000 years King Makhādeva played games as a child, for 84,000 years he acted as viceroy, for 84,000 years he ruled the realm, and for 84,000 years he led the spiritual life after going forth here in this mango grove. And having developed the four divine meditations, when his body broke up, after death, he was reborn in a good place, a divine realm of Brahmā.

    อถ โข รญฺโญ, อานนฺท, มฆเทวสฺส ปุตฺโต พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน กปฺปกํ อามนฺเตสิ: ‘ยทา เม, สมฺม กปฺปก, ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ โข อาโรเจยฺยาสี'ติฯ ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก รญฺโญ มฆเทวสฺส ปุตฺตสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อทฺทสา โข, อานนฺท, กปฺปโก พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน รญฺโญ มฆเทวสฺส ปุตฺตสฺส สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิฯ ทิสฺวาน รญฺโญ มฆเทวสฺส ปุตฺตํ เอตทโวจ: ‘ปาตุภูตา โข เทวสฺส เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานี'ติฯ ‘เตน หิ, สมฺม กปฺปก, ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา มม อญฺชลิสฺมึ ปติฏฺฐาเปหี'ติฯ ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก รญฺโญ มฆเทวสฺส ปุตฺตสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา รญฺโญ มฆเทวสฺส ปุตฺตสฺส อญฺชลิสฺมึ ปติฏฺฐาเปสิฯ อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มฆเทวสฺส ปุตฺโต กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: ‘ปาตุภูตา โข เม, ตาต กุมาร, เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิ; ภุตฺตา โข ปน เม มานุสกา กามา; สมโย ทิพฺเพ กาเม ปริเยสิตุํฯ เอหิ ตฺวํ, ตาต กุมาร, อิมํ รชฺชํ ปฏิปชฺชฯ อหํ ปน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามิฯ เตน หิ, ตาต กุมาร, ยทา ตฺวมฺปิ ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รชฺเช สมนุสาสิตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยาสิฯ เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวตฺเตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสิฯ ยสฺมึ โข, ตาต กุมาร, ปุริสยุเค วตฺตมาเน เอวรูปสฺส กลฺยาณสฺส วตฺตสฺส สมุจฺเฉโท โหติ โส เตสํ อนฺติมปุริโส โหติฯ ตํ ตาหํ, ตาต กุมาร, เอวํ วทามิ—เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวตฺเตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสี'ติฯ อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มฆเทวสฺส ปุตฺโต กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รชฺเช สมนุสาสิตฺวา อิมสฺมึเยว มฆเทวอมฺพวเน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ กรุณาสหคเตน เจตสา … มุทิตาสหคเตน เจตสา … อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ รญฺโญ โข ปนานนฺท, มฆเทวสฺส ปุตฺโต จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬิตํ กีฬิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อิมสฺมึเยว มฆเทวอมฺพวเน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต พฺรหฺมจริยมจริฯ โส จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    Then, after many years, many hundred years, many thousand years had passed, King Makhādeva’s son addressed his barber, ‘My dear barber, when you see grey hairs growing on my head, please tell me.’ And all unfolded as in the case of his father. And having developed the four divine meditations, when his body broke up, after death, Makhādeva’s son was reborn in a good place, a divine realm of Brahmā.

    รญฺโญ โข ปนานนฺท, มฆเทวสฺส ปุตฺตปปุตฺตกา ตสฺส ปรมฺปรา จตุราสีติราชสหสฺสานิ อิมสฺมึเยว มฆเทวอมฺพวเน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชึสุฯ เต เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรึสุ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหรึสุฯ กรุณาสหคเตน เจตสา … มุทิตาสหคเตน เจตสา … อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรึสุ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหรึสุฯ จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬิตํ กีฬึสุ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสุํ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสุํ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อิมสฺมึเยว มฆเทวอมฺพวเน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา พฺรหฺมจริยมจรึสุฯ เต จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมโลกูปคา อเหสุํฯ

    And a lineage of 84,000 kings, sons of sons of King Makhādeva, shaved off their hair and beard, dressed in ocher robes, and went forth from the lay life to homelessness here in this mango grove. They meditated spreading a heart full of love … compassion … rejoicing … equanimity to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, they spread a heart full of equanimity to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will. For 84,000 years they played games as a child, for 84,000 years they acted as viceroy, for 84,000 years they ruled the realm, and for 84,000 years they led the spiritual life after going forth here in this mango grove. And having developed the four divine meditations, when their bodies broke up, after death, they were reborn in a good place, a divine realm of Brahmā.

    นิมิ เตสํ ราชา ปจฺฉิมโก อโหสิ ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธมฺเม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสึ ปญฺจทสึ อฏฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสฯ

    Nimi was the last of those kings, a just and principled king, a great king who stood by his duty. He justly treated brahmins and householders, and people of town and country. And he observed the Uposatha day on the fourteenth, fifteenth, and eighth of the fortnight.

    ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, เทวานํ ตาวตึสานํ สุธมฺมายํ สภายํ สนฺนิสินฺนานํ สนฺนิปติตานํ อยมนฺตรากถา อุทปาทิ: ‘ลาภา วต, โภ, วิเทหานํ, สุลทฺธํ วต, โภ, วิเทหานํ, เยสํ นิมิ ราชา ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธมฺเม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสึ ปญฺจทสึ อฏฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสา'ติฯ

    Once upon a time, Ānanda, while the gods of the Thirty-Three were sitting together in the Hall of Justice, this discussion came up among them: ‘The people of Videha are so fortunate, so very fortunate to have Nimi as their king. He is a just and principled king, a great king who stands by his duty. He justly treats brahmins and householders, and people of town and country. And he observes the Uposatha day on the fourteenth, fifteenth, and eighth of the fortnight.’

    อถ โข, อานนฺท, สกฺโก เทวานมินฺโท เทเว ตาวตึเส อามนฺเตสิ: ‘อิจฺเฉยฺยาถ โน ตุเมฺห, มาริสา, นิมึ ราชานํ ทฏฺฐุนฺ'ติ?

    Then Sakka, lord of gods, addressed the gods of the Thirty-Three, ‘Good sirs, would you like to see King Nimi?’

    ‘อิจฺฉาม มยํ, มาริส, นิมึ ราชานํ ทฏฺฐุนฺ'ติฯ

    ‘We would.’

    เตน โข ปน, อานนฺท, สมเยน นิมิ ราชา ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาโต อุโปสถิโก อุปริปาสาทวรคโต นิสินฺโน โหติฯ อถ โข, อานนฺท, สกฺโก เทวานมินฺโท—เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—เทเวสุ ตาวตึเสสุ อนฺตรหิโต นิมิสฺส รญฺโญ ปมุเข ปาตุรโหสิฯ อถ โข, อานนฺท, สกฺโก เทวานมินฺโท นิมึ ราชานํ เอตทโวจ: ‘ลาภา เต, มหาราช, สุลทฺธํ เต, มหาราชฯ เทวา, มหาราช, ตาวตึสา สุธมฺมายํ สภายํ กิตฺตยมานรูปา สนฺนิสินฺนา: “ลาภา วต, โภ, วิเทหานํ, สุลทฺธํ วต, โภ, วิเทหานํ, เยสํ นิมิ ราชา ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธมฺเม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสึ ปญฺจทสึ อฏฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสา”ติฯ เทวา เต, มหาราช, ตาวตึสา ทสฺสนกามาฯ ตสฺส เต อหํ, มหาราช, สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ ปหิณิสฺสามิ; อภิรุเหยฺยาสิ, มหาราช, ทิพฺพํ ยานํ อวิกมฺปมาโน'ติฯ อธิวาเสสิ โข, อานนฺท, นิมิ ราชา ตุณฺหีภาเวนฯ

    Now at that time it was the Uposatha day of the fifteenth, and King Nimi had bathed his head and was sitting upstairs in the royal longhouse to observe the Uposatha day. Then, as easily as a strong person would extend or contract their arm, Sakka vanished from the Thirty-Three gods and reappeared in front of King Nimi. He said to the king, ‘You’re fortunate, great king, so very fortunate. The gods of the Thirty-Three were sitting together in the Hall of Justice, where they spoke very highly of you. They would like to see you. I shall send a chariot harnessed with a thousand thoroughbreds for you, great king. Mount the heavenly chariot, great king! Do not waver.’ King Nimi consented with silence.

    อถ โข, อานนฺท, สกฺโก เทวานมินฺโท นิมิสฺส รญฺโญ อธิวาสนํ วิทิตฺวา—เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—นิมิสฺส รญฺโญ ปมุเข อนฺตรหิโต เทเวสุ ตาวตึเสสุ ปาตุรโหสิฯ

    Then, knowing that the king had consented, as easily as a strong person would extend or contract their arm, Sakka vanished from King Nimi and reappeared among the Thirty-Three gods.

    อถ โข, อานนฺท, สกฺโก เทวานมินฺโท มาตลึ สงฺคาหกํ อามนฺเตสิ: ‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม มาตลิ, สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ โยเชตฺวา นิมึ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทหิ—อยํ เต, มหาราช, สหสฺสยุตฺโต อาชญฺญรโถ สกฺเกน เทวานมินฺเทน เปสิโต; อภิรุเหยฺยาสิ, มหาราช, ทิพฺพํ ยานํ อวิกมฺปมาโน'ติฯ

    Then Sakka, lord of gods, addressed his charioteer Mātali, ‘Come, dear Mātali, harness the chariot with a thousand thoroughbreds. Then go to King Nimi and say, “Great king, this chariot has been sent for you by Sakka, lord of gods. Mount the heavenly chariot, great king! Do not waver.”’

    ‘เอวํ, ภทฺทนฺตวา'ติ โข, อานนฺท, มาตลิ สงฺคาหโก สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปฏิสฺสุตฺวา สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ โยเชตฺวา นิมึ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ: ‘อยํ เต, มหาราช, สหสฺสยุตฺโต อาชญฺญรโถ สกฺเกน เทวานมินฺเทน เปสิโต; อภิรุห, มหาราช, ทิพฺพํ ยานํ อวิกมฺปมาโนฯ อปิ จ, มหาราช, กตเมน ตํ เนมิ, เยน วา ปาปกมฺมา ปาปกานํ กมฺมานํ วิปากํ ปฏิสํเวเทนฺติ, เยน วา กลฺยาณกมฺมา กลฺยาณกมฺมานํ วิปากํ ปฏิสํเวเทนฺตี'ติ?

    ‘Yes, lord,’ replied Mātali. He did as Sakka asked, and said to the king, ‘Great king, this chariot has been sent for you by Sakka, lord of gods. Mount the heavenly chariot, great king! Do not waver. But which way should we go—the way of those who experience the result of bad deeds, or the way of those who experience the result of good deeds?’

    ‘อุภเยเนว มํ, มาตลิ, เนหี'ติฯ

    ‘Take me both ways, Mātali.’

    สมฺปเวเสสิ โข, อานนฺท, มาตลิ, สงฺคาหโก นิมึ ราชานํ สุธมฺมํ สภํฯ อทฺทสา โข, อานนฺท, สกฺโก เทวานมินฺโท นิมึ ราชานํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน นิมึ ราชานํ เอตทโวจ: ‘เอหิ โข, มหาราชฯ สฺวาคตํ, มหาราชฯ เทวา เต ทสฺสนกามา, มหาราช, ตาวตึสา สุธมฺมายํ สภายํ กิตฺตยมานรูปา สนฺนิสินฺนา: “ลาภา วต, โภ, วิเทหานํ, สุลทฺธํ วต, โภ, วิเทหานํ, เยสํ นิมิ ราชา ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธมฺเม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสึ ปญฺจทสึ อฏฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสา”ติฯ เทวา เต, มหาราช, ตาวตึสา ทสฺสนกามาฯ อภิรม, มหาราช, เทเวสุ เทวานุภาเวนา'ติฯ

    Mātali brought King Nimi to the Hall of Justice. Sakka saw King Nimi coming off in the distance, and said to him: ‘Come, great king! Welcome, great king! The gods of the Thirty-Three who wanted to see you were sitting together in the Hall of Justice, where they spoke very highly of you. The gods of the Thirty-Three would like to see you. Enjoy divine glory among the gods!’

    ‘อลํ, มาริส, ตตฺเถว มํ มิถิลํ ปฏิเนตุฯ ตถาหํ ธมฺมํ จริสฺสามิ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสามิ จาตุทฺทสึ ปญฺจทสึ อฏฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสา'ติฯ

    ‘Enough, good sir. Send me back to Mithilā right away. That way I shall justly treat brahmins and householders, and people of town and country. And I shall observe the Uposatha day on the fourteenth, fifteenth, and eighth of the fortnight.’

    อถ โข, อานนฺท, สกฺโก เทวานมินฺโท มาตลึ สงฺคาหกํ อามนฺเตสิ: ‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม มาตลิ, สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ โยเชตฺวา นิมึ ราชานํ ตตฺเถว มิถิลํ ปฏิเนหี'ติฯ

    Then Sakka, lord of gods, addressed his charioteer Mātali, ‘Come, dear Mātali, harness the chariot with a thousand thoroughbreds and send King Nimi back to Mithilā right away.’

    ‘เอวํ, ภทฺทนฺตวา'ติ โข, อานนฺท, มาตลิ สงฺคาหโก สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปฏิสฺสุตฺวา สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ โยเชตฺวา นิมึ ราชานํ ตตฺเถว มิถิลํ ปฏิเนสิฯ ตตฺร สุทํ, อานนฺท, นิมิ ราชา ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ, อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสึ ปญฺจทสึ อฏฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสาติฯ

    ‘Yes, lord,’ replied Mātali, and did as Sakka asked. And there King Nimi justly treated his people, and observed the Uposatha day.

    อถ โข, อานนฺท, นิมิ ราชา พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน กปฺปกํ อามนฺเตสิ: ‘ยทา เม, สมฺม กปฺปก, ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ เม อาโรเจยฺยาสี'ติฯ ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก นิมิสฺส รญฺโญ ปจฺจโสฺสสิฯ อทฺทสา โข, อานนฺท, กปฺปโก พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน นิมิสฺส รญฺโญ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิฯ ทิสฺวาน นิมึ ราชานํ เอตทโวจ: ‘ปาตุภูตา โข เทวสฺส เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานี'ติฯ ‘เตน หิ, สมฺม กปฺปก, ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา มม อญฺชลิสฺมึ ปติฏฺฐาเปหี'ติฯ ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก นิมิสฺส รญฺโญ ปฏิสฺสุตฺวา ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา นิมิสฺส รญฺโญ อญฺชลิสฺมึ ปติฏฺฐาเปสิฯ อถ โข, อานนฺท, นิมิ ราชา กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: ‘ปาตุภูตา โข เม, ตาต กุมาร, เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิ; ภุตฺตา โข ปน เม มานุสกา กามา; สมโย ทิพฺเพ กาเม ปริเยสิตุํฯ เอหิ ตฺวํ, ตาต กุมาร, อิมํ รชฺชํ ปฏิปชฺชฯ อหํ ปน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามิฯ เตน หิ, ตาต กุมาร, ยทา ตฺวมฺปิ ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมึ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รชฺเช สมนุสาสิตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยาสิฯ เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวตฺเตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสิฯ ยสฺมึ โข, ตาต กุมาร, ปุริสยุเค วตฺตมาเน เอวรูปสฺส กลฺยาณสฺส วตฺตสฺส สมุจฺเฉโท โหติ โส เตสํ อนฺติมปุริโส โหติฯ ตํ ตาหํ, ตาต กุมาร, เอวํ วทามิ: “เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวตฺเตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสี”'ติฯ

    Then, after many years, many hundred years, many thousand years had passed, King Nimi addressed his barber, ‘My dear barber, when you see grey hairs growing on my head, please tell me.’ And all unfolded as before.

    อถ โข, อานนฺท, นิมิ ราชา กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฏฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รชฺเช สมนุสาสิตฺวา อิมสฺมึเยว มฆเทวอมฺพวเน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ กรุณาสหคเตน เจตสา … มุทิตาสหคเตน เจตสา … อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ นิมิ โข ปนานนฺท, ราชา จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬิตํ กีฬิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อิมสฺมึเยว มฆเทวอมฺพวเน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต พฺรหฺมจริยมจริฯ โส จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    And having developed the four divine meditations, when his body broke up, after death, King Nimi was reborn in a good place, a divine realm of Brahmā.

    นิมิสฺส โข ปนานนฺท, รญฺโญ กฬารชนโก นาม ปุตฺโต อโหสิฯ น โส อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ โส ตํ กลฺยาณํ วตฺตํ สมุจฺฉินฺทิฯ โส เตสํ อนฺติมปุริโส อโหสิฯ

    But King Nimi had a son named Kaḷārajanaka. He didn’t go forth from the lay life to homelessness. He broke that good practice. He was their final man.

    สิยา โข ปน เต, อานนฺท, เอวมสฺส: ‘อญฺโญ นูน เตน สมเยน ราชา มฆเทโว อโหสิ, เยน ตํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตนฺ'ติฯ น โข ปเนตํ, อานนฺท, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ อหํ เตน สมเยน ราชา มฆเทโว อโหสึฯ อหํ ตํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหินึ, มยา ตํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ; ปจฺฉิมา ชนตา อนุปฺปวตฺเตสิฯ

    Ānanda, you might think, ‘Surely King Makhādeva, by whom that good practice was founded, must have been someone else at that time?’ But you should not see it like this. I myself was King Makhādeva at that time. I was the one who founded that good practice, which was kept up by those who came after.

    ตํ โข ปนานนฺท, กลฺยาณํ วตฺตํ น นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สมฺโพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว พฺรหฺมโลกูปปตฺติยาฯ อิทํ โข ปนานนฺท, เอตรหิ มยา กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติฯ

    But that good practice doesn’t lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana. It only leads as far as rebirth in the Brahmā realm. But now I have founded a good practice that does lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana.

    กตมญฺจานนฺท, เอตรหิ มยา กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ? อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค, เสยฺยถิทํ—สมฺมาทิฏฺฐิ, สมฺมาสงฺกปฺโป, สมฺมาวาจา, สมฺมากมฺมนฺโต, สมฺมาอาชีโว, สมฺมาวายาโม, สมฺมาสติ, สมฺมาสมาธิฯ อิทํ โข, อานนฺท, เอตรหิ มยา กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติฯ

    And what is that good practice? It is simply this noble eightfold path, that is: right view, right thought, right speech, right action, right livelihood, right effort, right mindfulness, and right immersion. This is the good practice I have now founded that leads to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana.

    ตํ โว อหํ, อานนฺท, เอวํ วทามิ: ‘เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวตฺเตยฺยาถ, มา โข เม ตุเมฺห อนฺติมปุริสา อหุวตฺถ'ฯ ยสฺมึ โข, อานนฺท, ปุริสยุเค วตฺตมาเน เอวรูปสฺส กลฺยาณสฺส วตฺตสฺส สมุจฺเฉโท โหติ โส เตสํ อนฺติมปุริโส โหติฯ ตํ โว อหํ, อานนฺท, เอวํ วทามิ: ‘เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวตฺเตยฺยาถ, มา โข เม ตุเมฺห อนฺติมปุริสา อหุวตฺถา'”ติฯ

    Ānanda, I say to you: ‘You all should keep up this good practice that I have founded. Do not be my final men.’ Whatever generation is current when such good practice is broken, he is their final man. Ānanda, I say to you: ‘You all should keep up this good practice that I have founded. Do not be my final men.’”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, Venerable Ānanda was happy with what the Buddha said.

    มฆเทวสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ตติยํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact