Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๓. มฆเทวสุตฺตํ
3. Maghadevasuttaṃ
๓๐๘. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา มิถิลายํ วิหรติ มฆเทวอมฺพวเน 1ฯ อถ โข ภควา อญฺญตรสฺมิํ ปเทเส สิตํ ปาตฺวากาสิฯ อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตทโหสิ – ‘‘โก นุ โข เหตุ, โก ปจฺจโย ภควโต สิตสฺส ปาตุกมฺมาย? น อการเณน ตถาคตา สิตํ ปาตุกโรนฺตี’’ติฯ อถ โข อายสฺมา อานโนฺท เอกํสํ จีวรํ กตฺวา เยน ภควา เตนญฺชลิํ ปณาเมตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย ภควโต สิตสฺส ปาตุกมฺมาย? น อการเณน ตถาคตา สิตํ ปาตุกโรนฺตี’’ติฯ ‘‘ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, อิมิสฺสาเยว มิถิลายํ ราชา อโหสิ มฆเทโว นาม ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธเมฺม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ อฎฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสฯ อถ โข, อานนฺท, ราชา มฆเทโว พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน กปฺปกํ อามเนฺตสิ – ‘ยทา เม, สมฺม กปฺปก, ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ เม อาโรเจยฺยาสี’ติฯ ‘เอวํ, เทวา’ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก รโญฺญ มฆเทวสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อทฺทสา โข, อานนฺท, กปฺปโก พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน รโญฺญ มฆเทวสฺส สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิฯ ทิสฺวาน ราชานํ มฆเทวํ เอตทโวจ – ‘ปาตุภูตา โข เทวสฺส เทวทูตา, ทิสฺสนฺติ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานี’ติฯ ‘เตน หิ, สมฺม กปฺปก, ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา มม อญฺชลิสฺมิํ ปติฎฺฐาเปหี’ติฯ ‘เอวํ, เทวา’ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก รโญฺญ มฆเทวสฺส ปฎิสฺสุตฺวา ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา รโญฺญ มฆเทวสฺส อญฺชลิสฺมิํ ปติฎฺฐาเปสิฯ
308. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā mithilāyaṃ viharati maghadevaambavane 2. Atha kho bhagavā aññatarasmiṃ padese sitaṃ pātvākāsi. Atha kho āyasmato ānandassa etadahosi – ‘‘ko nu kho hetu, ko paccayo bhagavato sitassa pātukammāya? Na akāraṇena tathāgatā sitaṃ pātukarontī’’ti. Atha kho āyasmā ānando ekaṃsaṃ cīvaraṃ katvā yena bhagavā tenañjaliṃ paṇāmetvā bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ko nu kho, bhante, hetu, ko paccayo bhagavato sitassa pātukammāya? Na akāraṇena tathāgatā sitaṃ pātukarontī’’ti. ‘‘Bhūtapubbaṃ, ānanda, imissāyeva mithilāyaṃ rājā ahosi maghadevo nāma dhammiko dhammarājā dhamme ṭhito mahārājā; dhammaṃ carati brāhmaṇagahapatikesu negamesu ceva jānapadesu ca; uposathañca upavasati cātuddasiṃ pañcadasiṃ aṭṭhamiñca pakkhassa. Atha kho, ānanda, rājā maghadevo bahūnaṃ vassānaṃ bahūnaṃ vassasatānaṃ bahūnaṃ vassasahassānaṃ accayena kappakaṃ āmantesi – ‘yadā me, samma kappaka, passeyyāsi sirasmiṃ palitāni jātāni, atha me āroceyyāsī’ti. ‘Evaṃ, devā’ti kho, ānanda, kappako rañño maghadevassa paccassosi. Addasā kho, ānanda, kappako bahūnaṃ vassānaṃ bahūnaṃ vassasatānaṃ bahūnaṃ vassasahassānaṃ accayena rañño maghadevassa sirasmiṃ palitāni jātāni. Disvāna rājānaṃ maghadevaṃ etadavoca – ‘pātubhūtā kho devassa devadūtā, dissanti sirasmiṃ palitāni jātānī’ti. ‘Tena hi, samma kappaka, tāni palitāni sādhukaṃ saṇḍāsena uddharitvā mama añjalismiṃ patiṭṭhāpehī’ti. ‘Evaṃ, devā’ti kho, ānanda, kappako rañño maghadevassa paṭissutvā tāni palitāni sādhukaṃ saṇḍāsena uddharitvā rañño maghadevassa añjalismiṃ patiṭṭhāpesi.
๓๐๙. ‘‘อถ โข, อานนฺท, ราชา มฆเทโว กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ กุมารํ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ – ‘ปาตุภูตา โข เม, ตาต กุมาร, เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิ; ภุตฺตา โข ปน เม มานุสกา กามา; สมโย ทิเพฺพ กาเม ปริเยสิตุํฯ เอหิ ตฺวํ, ตาต กุมาร, อิมํ รชฺชํ ปฎิปชฺชฯ อหํ ปน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามิฯ เตน หิ, ตาต กุมาร, ยทา ตฺวมฺปิ ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รเชฺช สมนุสาสิตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยาสิฯ เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวเตฺตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสิฯ ยสฺมิํ โข, ตาต กุมาร, ปุริสยุเค วตฺตมาเน เอวรูปสฺส กลฺยาณสฺส วตฺตสฺส สมุเจฺฉโท โหติ โส เตสํ อนฺติมปุริโส โหติฯ ตํ ตาหํ, ตาต กุมาร, เอวํ วทามิ – เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวเตฺตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสี’ติฯ อถ โข, อานนฺท, ราชา มฆเทโว กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รเชฺช สมนุสาสิตฺวา อิมสฺมิํเยว มฆเทวอมฺพวเน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน 3 ผริตฺวา วิหาสิฯ กรุณาสหคเตน เจตสา… มุทิตาสหคเตน เจตสา… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ
309. ‘‘Atha kho, ānanda, rājā maghadevo kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ kumāraṃ āmantāpetvā etadavoca – ‘pātubhūtā kho me, tāta kumāra, devadūtā; dissanti sirasmiṃ palitāni jātāni; bhuttā kho pana me mānusakā kāmā; samayo dibbe kāme pariyesituṃ. Ehi tvaṃ, tāta kumāra, imaṃ rajjaṃ paṭipajja. Ahaṃ pana kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmi. Tena hi, tāta kumāra, yadā tvampi passeyyāsi sirasmiṃ palitāni jātāni, atha kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ kumāraṃ sādhukaṃ rajje samanusāsitvā kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyyāsi. Yena me idaṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ anuppavatteyyāsi, mā kho me tvaṃ antimapuriso ahosi. Yasmiṃ kho, tāta kumāra, purisayuge vattamāne evarūpassa kalyāṇassa vattassa samucchedo hoti so tesaṃ antimapuriso hoti. Taṃ tāhaṃ, tāta kumāra, evaṃ vadāmi – yena me idaṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ anuppavatteyyāsi, mā kho me tvaṃ antimapuriso ahosī’ti. Atha kho, ānanda, rājā maghadevo kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ kumāraṃ sādhukaṃ rajje samanusāsitvā imasmiṃyeva maghadevaambavane kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbaji. So mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihāsi, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena 4 pharitvā vihāsi. Karuṇāsahagatena cetasā… muditāsahagatena cetasā… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihāsi, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā vihāsi.
‘‘ราชา โข ปนานนฺท, มฆเทโว จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬิตํ กีฬิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อิมสฺมิํเยว มฆเทวอมฺพวเน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต พฺรหฺมจริยมจริฯ โส จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
‘‘Rājā kho panānanda, maghadevo caturāsītivassasahassāni kumārakīḷitaṃ kīḷi, caturāsītivassasahassāni oparajjaṃ kāresi, caturāsītivassasahassāni rajjaṃ kāresi, caturāsītivassasahassāni imasmiṃyeva maghadevaambavane agārasmā anagāriyaṃ pabbajito brahmacariyamacari. So cattāro brahmavihāre bhāvetvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā brahmalokūpago ahosi.
๓๑๐. ‘‘อถ โข รโญฺญ, อานนฺท, มฆเทวสฺส ปุโตฺต พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน กปฺปกํ อามเนฺตสิ – ‘ยทา เม, สมฺม กปฺปก, ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ โข อาโรเจยฺยาสี’ติฯ ‘เอวํ, เทวา’ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก รโญฺญ มฆเทวสฺส ปุตฺตสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อทฺทสา โข, อานนฺท, กปฺปโก พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน รโญฺญ มฆเทวสฺส ปุตฺตสฺส สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิฯ ทิสฺวาน รโญฺญ มฆเทวสฺส ปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘ปาตุภูตา โข เทวสฺส เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานี’ติฯ ‘เตน หิ, สมฺม กปฺปก, ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา มม อญฺชลิสฺมิํ ปติฎฺฐาเปหี’ติฯ ‘เอวํ, เทวา’ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก รโญฺญ มฆเทวสฺส ปุตฺตสฺส ปฎิสฺสุตฺวา ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา รโญฺญ มฆเทวสฺส ปุตฺตสฺส อญฺชลิสฺมิํ ปติฎฺฐาเปสิฯ
310. ‘‘Atha kho rañño, ānanda, maghadevassa putto bahūnaṃ vassānaṃ bahūnaṃ vassasatānaṃ bahūnaṃ vassasahassānaṃ accayena kappakaṃ āmantesi – ‘yadā me, samma kappaka, passeyyāsi sirasmiṃ palitāni jātāni, atha kho āroceyyāsī’ti. ‘Evaṃ, devā’ti kho, ānanda, kappako rañño maghadevassa puttassa paccassosi. Addasā kho, ānanda, kappako bahūnaṃ vassānaṃ bahūnaṃ vassasatānaṃ bahūnaṃ vassasahassānaṃ accayena rañño maghadevassa puttassa sirasmiṃ palitāni jātāni. Disvāna rañño maghadevassa puttaṃ etadavoca – ‘pātubhūtā kho devassa devadūtā; dissanti sirasmiṃ palitāni jātānī’ti. ‘Tena hi, samma kappaka, tāni palitāni sādhukaṃ saṇḍāsena uddharitvā mama añjalismiṃ patiṭṭhāpehī’ti. ‘Evaṃ, devā’ti kho, ānanda, kappako rañño maghadevassa puttassa paṭissutvā tāni palitāni sādhukaṃ saṇḍāsena uddharitvā rañño maghadevassa puttassa añjalismiṃ patiṭṭhāpesi.
‘‘อถ โข, อานนฺท, รโญฺญ มฆเทวสฺส ปุโตฺต กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ กุมารํ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ – ‘ปาตุภูตา โข, เม, ตาต กุมาร, เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิ; ภุตฺตา โข ปน เม มานุสกา กามา; สมโย ทิเพฺพ กาเม ปริเยสิตุํฯ เอหิ ตฺวํ, ตาต กุมาร, อิมํ รชฺชํ ปฎิปชฺชฯ อหํ ปน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามิฯ เตน หิ, ตาต กุมาร, ยทา ตฺวมฺปิ ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รเชฺช สมนุสาสิตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยาสิฯ เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวเตฺตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสิฯ ยสฺมิํ โข, ตาต กุมาร, ปุริสยุเค วตฺตมาเน เอวรูปสฺส กลฺยาณสฺส วตฺตสฺส สมุเจฺฉโท โหติ โส เตสํ อนฺติมปุริโส โหติฯ ตํ ตาหํ, ตาต กุมาร, เอวํ วทามิ – เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวเตฺตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสี’ติฯ อถ โข, อานนฺท, รโญฺญ มฆเทวสฺส ปุโตฺต กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รเชฺช สมนุสาสิตฺวา อิมสฺมิํเยว มฆเทวอมฺพวเน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ กรุณาสหคเตน เจตสา… มุทิตาสหคเตน เจตสา… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ รโญฺญ โข ปนานนฺท, มฆเทวสฺส ปุโตฺต จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬิตํ กีฬิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อิมสฺมิํเยว มฆเทวอมฺพวเน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต พฺรหฺมจริยมจริฯ โส จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ
‘‘Atha kho, ānanda, rañño maghadevassa putto kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ kumāraṃ āmantāpetvā etadavoca – ‘pātubhūtā kho, me, tāta kumāra, devadūtā; dissanti sirasmiṃ palitāni jātāni; bhuttā kho pana me mānusakā kāmā; samayo dibbe kāme pariyesituṃ. Ehi tvaṃ, tāta kumāra, imaṃ rajjaṃ paṭipajja. Ahaṃ pana kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmi. Tena hi, tāta kumāra, yadā tvampi passeyyāsi sirasmiṃ palitāni jātāni, atha kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ kumāraṃ sādhukaṃ rajje samanusāsitvā kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyyāsi. Yena me idaṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ anuppavatteyyāsi, mā kho me tvaṃ antimapuriso ahosi. Yasmiṃ kho, tāta kumāra, purisayuge vattamāne evarūpassa kalyāṇassa vattassa samucchedo hoti so tesaṃ antimapuriso hoti. Taṃ tāhaṃ, tāta kumāra, evaṃ vadāmi – yena me idaṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ anuppavatteyyāsi, mā kho me tvaṃ antimapuriso ahosī’ti. Atha kho, ānanda, rañño maghadevassa putto kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ kumāraṃ sādhukaṃ rajje samanusāsitvā imasmiṃyeva maghadevaambavane kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbaji. So mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihāsi, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā vihāsi. Karuṇāsahagatena cetasā… muditāsahagatena cetasā… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihāsi, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā vihāsi. Rañño kho panānanda, maghadevassa putto caturāsītivassasahassāni kumārakīḷitaṃ kīḷi, caturāsītivassasahassāni oparajjaṃ kāresi, caturāsītivassasahassāni rajjaṃ kāresi, caturāsītivassasahassāni imasmiṃyeva maghadevaambavane agārasmā anagāriyaṃ pabbajito brahmacariyamacari. So cattāro brahmavihāre bhāvetvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā brahmalokūpago ahosi.
๓๑๑. ‘‘รโญฺญ โข ปนานนฺท, มฆเทวสฺส ปุตฺตปปุตฺตกา ตสฺส ปรมฺปรา จตุราสีติราชสหสฺสานิ 5 อิมสฺมิํเยว มฆเทวอมฺพวเน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิํสุฯ เต เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหริํสุ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหริํสุฯ กรุณาสหคเตน เจตสา… มุทิตาสหคเตน เจตสา… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหริํสุ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหริํสุฯ จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬิตํ กีฬิํสุ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสุํ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสุํ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อิมสฺมิํเยว มฆเทวอมฺพวเน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา พฺรหฺมจริยมจริํสุฯ เต จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมโลกูปคา อเหสุํฯ นิมิ เตสํ ราชา 6 ปจฺฉิมโก อโหสิ ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธเมฺม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ อฎฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสฯ
311. ‘‘Rañño kho panānanda, maghadevassa puttapaputtakā tassa paramparā caturāsītirājasahassāni 7 imasmiṃyeva maghadevaambavane kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajiṃsu. Te mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihariṃsu, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā vihariṃsu. Karuṇāsahagatena cetasā… muditāsahagatena cetasā… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihariṃsu, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā vihariṃsu. Caturāsītivassasahassāni kumārakīḷitaṃ kīḷiṃsu, caturāsītivassasahassāni oparajjaṃ kāresuṃ, caturāsītivassasahassāni rajjaṃ kāresuṃ, caturāsītivassasahassāni imasmiṃyeva maghadevaambavane agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā brahmacariyamacariṃsu. Te cattāro brahmavihāre bhāvetvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā brahmalokūpagā ahesuṃ. Nimi tesaṃ rājā 8 pacchimako ahosi dhammiko dhammarājā dhamme ṭhito mahārājā; dhammaṃ carati brāhmaṇagahapatikesu negamesu ceva jānapadesu ca; uposathañca upavasati cātuddasiṃ pañcadasiṃ aṭṭhamiñca pakkhassa.
๓๑๒. ‘‘ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, เทวานํ ตาวติํสานํ สุธมฺมายํ สภายํ สนฺนิสินฺนานํ สนฺนิปติตานํ อยมนฺตรากถา อุทปาทิ – ‘ลาภา วต, โภ, วิเทหานํ, สุลทฺธํ วต, โภ, วิเทหานํ, เยสํ นิมิ ราชา ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธเมฺม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ อฎฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสา’ติฯ อถ โข, อานนฺท, สโกฺก เทวานมิโนฺท เทเว ตาวติํเส อามเนฺตสิ – ‘อิเจฺฉยฺยาถ โน ตุเมฺห, มาริสา, นิมิํ ราชานํ ทฎฺฐุ’นฺติ? ‘อิจฺฉาม มยํ, มาริส, นิมิํ ราชานํ ทฎฺฐุ’นฺติฯ เตน โข ปน, อานนฺท, สมเยน นิมิ ราชา ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาโต 9 อุโปสถิโก อุปริปาสาทวรคโต นิสิโนฺน โหติฯ อถ โข, อานนฺท, สโกฺก เทวานมิโนฺท – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมว – เทเวสุ ตาวติํเสสุ อนฺตรหิโต นิมิสฺส รโญฺญ ปมุเข ปาตุรโหสิฯ อถ โข, อานนฺท, สโกฺก เทวานมิโนฺท นิมิํ ราชานํ เอตทโวจ – ‘ลาภา เต, มหาราช, สุลทฺธํ เต, มหาราชฯ เทวา, มหาราช, ตาวติํสา สุธมฺมายํ สภายํ กิตฺตยมานรูปา สนฺนิสินฺนา – ‘‘ลาภา วต, โภ, วิเทหานํ, สุลทฺธํ วต, โภ, วิเทหานํ, เยสํ นิมิ ราชา ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธเมฺม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ อฎฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสา’’ติฯ เทวา เต, มหาราช, ตาวติํสา ทสฺสนกามาฯ ตสฺส เต อหํ, มหาราช, สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ ปหิณิสฺสามิ; อภิรุเหยฺยาสิ, มหาราช, ทิพฺพํ ยานํ อวิกมฺปมาโน’ติฯ อธิวาเสสิ โข, อานนฺท, นิมิ ราชา ตุณฺหีภาเวนฯ
312. ‘‘Bhūtapubbaṃ, ānanda, devānaṃ tāvatiṃsānaṃ sudhammāyaṃ sabhāyaṃ sannisinnānaṃ sannipatitānaṃ ayamantarākathā udapādi – ‘lābhā vata, bho, videhānaṃ, suladdhaṃ vata, bho, videhānaṃ, yesaṃ nimi rājā dhammiko dhammarājā dhamme ṭhito mahārājā; dhammaṃ carati brāhmaṇagahapatikesu negamesu ceva jānapadesu ca; uposathañca upavasati cātuddasiṃ pañcadasiṃ aṭṭhamiñca pakkhassā’ti. Atha kho, ānanda, sakko devānamindo deve tāvatiṃse āmantesi – ‘iccheyyātha no tumhe, mārisā, nimiṃ rājānaṃ daṭṭhu’nti? ‘Icchāma mayaṃ, mārisa, nimiṃ rājānaṃ daṭṭhu’nti. Tena kho pana, ānanda, samayena nimi rājā tadahuposathe pannarase sīsaṃnhāto 10 uposathiko uparipāsādavaragato nisinno hoti. Atha kho, ānanda, sakko devānamindo – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evameva – devesu tāvatiṃsesu antarahito nimissa rañño pamukhe pāturahosi. Atha kho, ānanda, sakko devānamindo nimiṃ rājānaṃ etadavoca – ‘lābhā te, mahārāja, suladdhaṃ te, mahārāja. Devā, mahārāja, tāvatiṃsā sudhammāyaṃ sabhāyaṃ kittayamānarūpā sannisinnā – ‘‘lābhā vata, bho, videhānaṃ, suladdhaṃ vata, bho, videhānaṃ, yesaṃ nimi rājā dhammiko dhammarājā dhamme ṭhito mahārājā; dhammaṃ carati brāhmaṇagahapatikesu negamesu ceva jānapadesu ca; uposathañca upavasati cātuddasiṃ pañcadasiṃ aṭṭhamiñca pakkhassā’’ti. Devā te, mahārāja, tāvatiṃsā dassanakāmā. Tassa te ahaṃ, mahārāja, sahassayuttaṃ ājaññarathaṃ pahiṇissāmi; abhiruheyyāsi, mahārāja, dibbaṃ yānaṃ avikampamāno’ti. Adhivāsesi kho, ānanda, nimi rājā tuṇhībhāvena.
๓๑๓. ‘‘อถ โข, อานนฺท, สโกฺก เทวานมิโนฺท นิมิสฺส รโญฺญ อธิวาสนํ วิทิตฺวา – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมว – นิมิสฺส รโญฺญ ปมุเข อนฺตรหิโต เทเวสุ ตาวติํเสสุ ปาตุรโหสิฯ อถ โข, อานนฺท, สโกฺก เทวานมิโนฺท มาตลิํ สงฺคาหกํ อามเนฺตสิ – ‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม มาตลิ, สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ โยเชตฺวา นิมิํ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทหิ – อยํ เต, มหาราช, สหสฺสยุโตฺต อาชญฺญรโถ สเกฺกน เทวานมิเนฺทน เปสิโต; อภิรุเหยฺยาสิ, มหาราช, ทิพฺพํ ยานํ อวิกมฺปมาโน’ติฯ ‘เอวํ, ภทฺทนฺตวา’ติ โข, อานนฺท, มาตลิ สงฺคาหโก สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปฎิสฺสุตฺวา สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ โยเชตฺวา นิมิํ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘อยํ เต, มหาราช, สหสฺสยุโตฺต อาชญฺญรโถ สเกฺกน เทวานมิเนฺทน เปสิโต; อภิรุห, มหาราช, ทิพฺพํ ยานํ อวิกมฺปมาโนฯ อปิ จ, มหาราช, กตเมน ตํ เนมิ, เยน วา ปาปกมฺมา ปาปกานํ กมฺมานํ วิปากํ ปฎิสํเวเทนฺติ, เยน วา กลฺยาณกมฺมา กลฺยาณกมฺมานํ วิปากํ ปฎิสํเวเทนฺตี’ติ? ‘อุภเยเนว มํ, มาตลิ, เนหี’ติฯ สมฺปเวเสสิ 11 โข, อานนฺท, มาตลิ, สงฺคาหโก นิมิํ ราชานํ สุธมฺมํ สภํฯ อทฺทสา โข, อานนฺท, สโกฺก เทวานมิโนฺท นิมิํ ราชานํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน นิมิํ ราชานํ เอตทโวจ – ‘เอหิ โข, มหาราชฯ สฺวาคตํ, มหาราชฯ เทวา เต ทสฺสนกามา, มหาราช, ตาวติํสา สุธมฺมายํ สภายํ กิตฺตยมานรูปา สนฺนิสินฺนา – ‘‘ลาภา วต, โภ, วิเทหานํ, สุลทฺธํ วต, โภ, วิเทหานํ, เยสํ นิมิ ราชา ธมฺมิโก ธมฺมราชา ธเมฺม ฐิโต มหาราชา; ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ อฎฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสา’’ติฯ เทวา เต, มหาราช, ตาวติํสา ทสฺสนกามา ฯ อภิรม, มหาราช, เทเวสุ เทวานุภาเวนา’ติฯ ‘อลํ, มาริส, ตเตฺถว มํ มิถิลํ ปฎิเนตุฯ ตถาหํ ธมฺมํ จริสฺสามิ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ; อุโปสถญฺจ อุปวสามิ จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ อฎฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสา’ติฯ
313. ‘‘Atha kho, ānanda, sakko devānamindo nimissa rañño adhivāsanaṃ viditvā – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evameva – nimissa rañño pamukhe antarahito devesu tāvatiṃsesu pāturahosi. Atha kho, ānanda, sakko devānamindo mātaliṃ saṅgāhakaṃ āmantesi – ‘ehi tvaṃ, samma mātali, sahassayuttaṃ ājaññarathaṃ yojetvā nimiṃ rājānaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadehi – ayaṃ te, mahārāja, sahassayutto ājaññaratho sakkena devānamindena pesito; abhiruheyyāsi, mahārāja, dibbaṃ yānaṃ avikampamāno’ti. ‘Evaṃ, bhaddantavā’ti kho, ānanda, mātali saṅgāhako sakkassa devānamindassa paṭissutvā sahassayuttaṃ ājaññarathaṃ yojetvā nimiṃ rājānaṃ upasaṅkamitvā etadavoca – ‘ayaṃ te, mahārāja, sahassayutto ājaññaratho sakkena devānamindena pesito; abhiruha, mahārāja, dibbaṃ yānaṃ avikampamāno. Api ca, mahārāja, katamena taṃ nemi, yena vā pāpakammā pāpakānaṃ kammānaṃ vipākaṃ paṭisaṃvedenti, yena vā kalyāṇakammā kalyāṇakammānaṃ vipākaṃ paṭisaṃvedentī’ti? ‘Ubhayeneva maṃ, mātali, nehī’ti. Sampavesesi 12 kho, ānanda, mātali, saṅgāhako nimiṃ rājānaṃ sudhammaṃ sabhaṃ. Addasā kho, ānanda, sakko devānamindo nimiṃ rājānaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna nimiṃ rājānaṃ etadavoca – ‘ehi kho, mahārāja. Svāgataṃ, mahārāja. Devā te dassanakāmā, mahārāja, tāvatiṃsā sudhammāyaṃ sabhāyaṃ kittayamānarūpā sannisinnā – ‘‘lābhā vata, bho, videhānaṃ, suladdhaṃ vata, bho, videhānaṃ, yesaṃ nimi rājā dhammiko dhammarājā dhamme ṭhito mahārājā; dhammaṃ carati brāhmaṇagahapatikesu negamesu ceva jānapadesu ca; uposathañca upavasati cātuddasiṃ pañcadasiṃ aṭṭhamiñca pakkhassā’’ti. Devā te, mahārāja, tāvatiṃsā dassanakāmā . Abhirama, mahārāja, devesu devānubhāvenā’ti. ‘Alaṃ, mārisa, tattheva maṃ mithilaṃ paṭinetu. Tathāhaṃ dhammaṃ carissāmi brāhmaṇagahapatikesu negamesu ceva jānapadesu ca; uposathañca upavasāmi cātuddasiṃ pañcadasiṃ aṭṭhamiñca pakkhassā’ti.
๓๑๔. ‘‘อถ โข, อานนฺท, สโกฺก เทวานมิโนฺท มาตลิํ สงฺคาหกํ อามเนฺตสิ – ‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม มาตลิ, สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ โยเชตฺวา นิมิํ ราชานํ ตเตฺถว มิถิลํ ปฎิเนหี’ติฯ ‘เอวํ, ภทฺทนฺตวา’ติ โข, อานนฺท, มาตลิ สงฺคาหโก สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปฎิสฺสุตฺวา สหสฺสยุตฺตํ อาชญฺญรถํ โยเชตฺวา นิมิํ ราชานํ ตเตฺถว มิถิลํ ปฎิเนสิฯ ตตฺร สุทํ, อานนฺท, นิมิ ราชา ธมฺมํ จรติ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เนคเมสุ เจว ชานปเทสุ จ, อุโปสถญฺจ อุปวสติ จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ อฎฺฐมิญฺจ ปกฺขสฺสาติฯ อถ โข, อานนฺท, นิมิ ราชา พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน กปฺปกํ อามเนฺตสิ – ‘ยทา เม, สมฺม กปฺปก, ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ เม อาโรเจยฺยาสี’ติฯ ‘เอวํ, เทวา’ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก นิมิสฺส รโญฺญ ปจฺจโสฺสสิฯ อทฺทสา โข, อานนฺท, กปฺปโก พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน นิมิสฺส รโญฺญ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิฯ ทิสฺวาน นิมิํ ราชานํ เอตทโวจ – ‘ปาตุภูตา โข เทวสฺส เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานี’ติฯ ‘เตน หิ, สมฺม กปฺปก, ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา มม อญฺชลิสฺมิํ ปติฎฺฐาเปหี’ติฯ ‘เอวํ, เทวา’ติ โข, อานนฺท, กปฺปโก นิมิสฺส รโญฺญ ปฎิสฺสุตฺวา ตานิ ปลิตานิ สาธุกํ สณฺฑาเสน อุทฺธริตฺวา นิมิสฺส รโญฺญ อญฺชลิสฺมิํ ปติฎฺฐาเปสิฯ อถ โข, อานนฺท, นิมิ ราชา กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ กุมารํ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ – ‘ปาตุภูตา โข เม, ตาต กุมาร, เทวทูตา; ทิสฺสนฺติ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิ; ภุตฺตา โข ปน เม มานุสกา กามา; สมโย ทิเพฺพ กาเม ปริเยสิตุํฯ เอหิ ตฺวํ, ตาต กุมาร, อิมํ รชฺชํ ปฎิปชฺชฯ อหํ ปน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามิฯ เตน หิ, ตาต กุมาร, ยทา ตฺวมฺปิ ปเสฺสยฺยาสิ สิรสฺมิํ ปลิตานิ ชาตานิ, อถ กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รเชฺช สมนุสาสิตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยาสิฯ เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวเตฺตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสิฯ ยสฺมิํ โข, ตาต กุมาร, ปุริสยุเค วตฺตมาเน เอวรูปสฺส กลฺยาณสฺส วตฺตสฺส สมุเจฺฉโท โหติ โส เตสํ อนฺติมปุริโส โหติฯ ตํ ตาหํ, ตาต กุมาร, เอวํ วทามิ – ‘เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวเตฺตยฺยาสิ, มา โข เม ตฺวํ อนฺติมปุริโส อโหสี’ติฯ
314. ‘‘Atha kho, ānanda, sakko devānamindo mātaliṃ saṅgāhakaṃ āmantesi – ‘ehi tvaṃ, samma mātali, sahassayuttaṃ ājaññarathaṃ yojetvā nimiṃ rājānaṃ tattheva mithilaṃ paṭinehī’ti. ‘Evaṃ, bhaddantavā’ti kho, ānanda, mātali saṅgāhako sakkassa devānamindassa paṭissutvā sahassayuttaṃ ājaññarathaṃ yojetvā nimiṃ rājānaṃ tattheva mithilaṃ paṭinesi. Tatra sudaṃ, ānanda, nimi rājā dhammaṃ carati brāhmaṇagahapatikesu negamesu ceva jānapadesu ca, uposathañca upavasati cātuddasiṃ pañcadasiṃ aṭṭhamiñca pakkhassāti. Atha kho, ānanda, nimi rājā bahūnaṃ vassānaṃ bahūnaṃ vassasatānaṃ bahūnaṃ vassasahassānaṃ accayena kappakaṃ āmantesi – ‘yadā me, samma kappaka, passeyyāsi sirasmiṃ palitāni jātāni, atha me āroceyyāsī’ti. ‘Evaṃ, devā’ti kho, ānanda, kappako nimissa rañño paccassosi. Addasā kho, ānanda, kappako bahūnaṃ vassānaṃ bahūnaṃ vassasatānaṃ bahūnaṃ vassasahassānaṃ accayena nimissa rañño sirasmiṃ palitāni jātāni. Disvāna nimiṃ rājānaṃ etadavoca – ‘pātubhūtā kho devassa devadūtā; dissanti sirasmiṃ palitāni jātānī’ti. ‘Tena hi, samma kappaka, tāni palitāni sādhukaṃ saṇḍāsena uddharitvā mama añjalismiṃ patiṭṭhāpehī’ti. ‘Evaṃ, devā’ti kho, ānanda, kappako nimissa rañño paṭissutvā tāni palitāni sādhukaṃ saṇḍāsena uddharitvā nimissa rañño añjalismiṃ patiṭṭhāpesi. Atha kho, ānanda, nimi rājā kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ kumāraṃ āmantāpetvā etadavoca – ‘pātubhūtā kho me, tāta kumāra, devadūtā; dissanti sirasmiṃ palitāni jātāni; bhuttā kho pana me mānusakā kāmā; samayo dibbe kāme pariyesituṃ. Ehi tvaṃ, tāta kumāra, imaṃ rajjaṃ paṭipajja. Ahaṃ pana kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajissāmi. Tena hi, tāta kumāra, yadā tvampi passeyyāsi sirasmiṃ palitāni jātāni, atha kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ kumāraṃ sādhukaṃ rajje samanusāsitvā kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyyāsi. Yena me idaṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ anuppavatteyyāsi, mā kho me tvaṃ antimapuriso ahosi. Yasmiṃ kho, tāta kumāra, purisayuge vattamāne evarūpassa kalyāṇassa vattassa samucchedo hoti so tesaṃ antimapuriso hoti. Taṃ tāhaṃ, tāta kumāra, evaṃ vadāmi – ‘yena me idaṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ anuppavatteyyāsi, mā kho me tvaṃ antimapuriso ahosī’ti.
๓๑๕. ‘‘อถ โข, อานนฺท, นิมิ ราชา กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ กุมารํ สาธุกํ รเชฺช สมนุสาสิตฺวา อิมสฺมิํเยว มฆเทวอมฺพวเน เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ , ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ กรุณาสหคเตน เจตสา… มุทิตาสหคเตน เจตสา… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหาสิฯ นิมิ โข, ปนานนฺท, ราชา จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬิตํ กีฬิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อิมสฺมิํเยว มฆเทวอมฺพวเน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต พฺรหฺมจริยมจริฯ โส จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ นิมิสฺส โข ปนานนนฺท , รโญฺญ กฬารชนโก นาม ปุโตฺต อโหสิฯ น โส อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ โส ตํ กลฺยาณํ วตฺตํ สมุจฺฉินฺทิฯ โส เตสํ อนฺติมปุริโส อโหสิฯ
315. ‘‘Atha kho, ānanda, nimi rājā kappakassa gāmavaraṃ datvā jeṭṭhaputtaṃ kumāraṃ sādhukaṃ rajje samanusāsitvā imasmiṃyeva maghadevaambavane kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbaji. So mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihāsi, tathā dutiyaṃ , tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā vihāsi. Karuṇāsahagatena cetasā… muditāsahagatena cetasā… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihāsi, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā vihāsi. Nimi kho, panānanda, rājā caturāsītivassasahassāni kumārakīḷitaṃ kīḷi, caturāsītivassasahassāni oparajjaṃ kāresi, caturāsītivassasahassāni rajjaṃ kāresi, caturāsītivassasahassāni imasmiṃyeva maghadevaambavane agārasmā anagāriyaṃ pabbajito brahmacariyamacari. So cattāro brahmavihāre bhāvetvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā brahmalokūpago ahosi. Nimissa kho panānananda , rañño kaḷārajanako nāma putto ahosi. Na so agārasmā anagāriyaṃ pabbaji. So taṃ kalyāṇaṃ vattaṃ samucchindi. So tesaṃ antimapuriso ahosi.
๓๑๖. ‘‘สิยา โข ปน เต, อานนฺท, เอวมสฺส – ‘อโญฺญ นูน เตน สมเยน ราชา มฆเทโว อโหสิ, เยน ตํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิต’นฺติ 13ฯ น โข ปเนตํ, อานนฺท, เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ อหํ เตน สมเยน ราชา มฆเทโว อโหสิํฯ (อหํ ตํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหินิํ,) 14 มยา ตํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ; ปจฺฉิมา ชนตา อนุปฺปวเตฺตสิฯ ตํ โข ปนานนฺท, กลฺยาณํ วตฺตํ น นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สโมฺพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ยาวเทว พฺรหฺมโลกูปปตฺติยาฯ อิทํ โข ปนานนฺท, เอตรหิ มยา กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สโมฺพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติฯ กตมญฺจานนฺท, เอตรหิ มยา กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สโมฺพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ? อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, เสยฺยถิทํ – สมฺมาทิฎฺฐิ, สมฺมาสงฺกโปฺป, สมฺมาวาจา, สมฺมากมฺมโนฺต, สมฺมาอาชีโว, สมฺมาวายาโม , สมฺมาสติ, สมฺมาสมาธิฯ อิทํ โข, อานนฺท, เอตรหิ มยา กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สโมฺพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติฯ ตํ โว อหํ, อานนฺท, เอวํ วทามิ – ‘เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวเตฺตยฺยาถ, มา โข เม ตุเมฺห อนฺติมปุริสา อหุวตฺถ’ฯ ยสฺมิํ โข, อานนฺท, ปุริสยุเค วตฺตมาเน เอวรูปสฺส กลฺยาณสฺส วตฺตสฺส สมุเจฺฉโท โหติ โส เตสํ อนฺติมปุริโส โหติฯ ตํ โว อหํ, อานนฺท, เอวํ วทามิ – ‘เยน เม อิทํ กลฺยาณํ วตฺตํ นิหิตํ อนุปฺปวเตฺตยฺยาถ, มา โข เม ตุเมฺห อนฺติมปุริสา อหุวตฺถา’’’ติฯ
316. ‘‘Siyā kho pana te, ānanda, evamassa – ‘añño nūna tena samayena rājā maghadevo ahosi, yena taṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihita’nti 15. Na kho panetaṃ, ānanda, evaṃ daṭṭhabbaṃ. Ahaṃ tena samayena rājā maghadevo ahosiṃ. (Ahaṃ taṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihiniṃ,) 16 mayā taṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ; pacchimā janatā anuppavattesi. Taṃ kho panānanda, kalyāṇaṃ vattaṃ na nibbidāya na virāgāya na nirodhāya na upasamāya na abhiññāya na sambodhāya na nibbānāya saṃvattati, yāvadeva brahmalokūpapattiyā. Idaṃ kho panānanda, etarahi mayā kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ ekantanibbidāya virāgāya nirodhāya upasamāya abhiññāya sambodhāya nibbānāya saṃvattati. Katamañcānanda, etarahi mayā kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ ekantanibbidāya virāgāya nirodhāya upasamāya abhiññāya sambodhāya nibbānāya saṃvattati? Ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, seyyathidaṃ – sammādiṭṭhi, sammāsaṅkappo, sammāvācā, sammākammanto, sammāājīvo, sammāvāyāmo , sammāsati, sammāsamādhi. Idaṃ kho, ānanda, etarahi mayā kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ ekantanibbidāya virāgāya nirodhāya upasamāya abhiññāya sambodhāya nibbānāya saṃvattati. Taṃ vo ahaṃ, ānanda, evaṃ vadāmi – ‘yena me idaṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ anuppavatteyyātha, mā kho me tumhe antimapurisā ahuvattha’. Yasmiṃ kho, ānanda, purisayuge vattamāne evarūpassa kalyāṇassa vattassa samucchedo hoti so tesaṃ antimapuriso hoti. Taṃ vo ahaṃ, ānanda, evaṃ vadāmi – ‘yena me idaṃ kalyāṇaṃ vattaṃ nihitaṃ anuppavatteyyātha, mā kho me tumhe antimapurisā ahuvatthā’’’ti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อานโนฺท ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamano āyasmā ānando bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.
มฆเทวสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ตติยํฯ
Maghadevasuttaṃ niṭṭhitaṃ tatiyaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๓. มฆเทวสุตฺตวณฺณนา • 3. Maghadevasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๓. มฆเทวสุตฺตวณฺณนา • 3. Maghadevasuttavaṇṇanā