Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๓. มฆเทวสุตฺตวณฺณนา

    3. Maghadevasuttavaṇṇanā

    ๓๐๘. เอวํ เม สุตนฺติ มฆเทวสุตฺตํฯ ตตฺถ มฆเทวอมฺพวเนติ ปุเพฺพ มฆเทโว นาม ราชา ตํ อมฺพวนํ โรเปสิฯ เตสุ รุเกฺขสุ ปลุชฺชมาเนสุ อปรภาเค อเญฺญปิ ราชาโน โรเปสุํเยวฯ ตํ ปน ปฐมโวหารวเสน มฆเทวมฺพวนเนฺตว สงฺขํ คตํฯ สิตํ ปาตฺวากาสีติ สายนฺหสมเย วิหารจาริกํ จรมาโน รมณียํ ภูมิภาคํ ทิสฺวา – ‘‘วสิตปุพฺพํ นุ โข เม อิมสฺมิํ โอกาเส’’ติ อาวชฺชโนฺต – ‘‘ปุเพฺพ อหํ มฆเทโว นาม ราชา หุตฺวา อิมํ อมฺพวนํ โรเปสิํ, เอเตฺถว ปพฺพชิตฺวา จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติํฯ ตํ โข ปเนตํ การณํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อปากฎํ, ปากฎํ กริสฺสามี’’ติ อคฺคคฺคทเนฺต ทเสฺสโนฺต สิตํ ปาตุ อกาสิฯ

    308.Evaṃme sutanti maghadevasuttaṃ. Tattha maghadevaambavaneti pubbe maghadevo nāma rājā taṃ ambavanaṃ ropesi. Tesu rukkhesu palujjamānesu aparabhāge aññepi rājāno ropesuṃyeva. Taṃ pana paṭhamavohāravasena maghadevambavananteva saṅkhaṃ gataṃ. Sitaṃ pātvākāsīti sāyanhasamaye vihāracārikaṃ caramāno ramaṇīyaṃ bhūmibhāgaṃ disvā – ‘‘vasitapubbaṃ nu kho me imasmiṃ okāse’’ti āvajjanto – ‘‘pubbe ahaṃ maghadevo nāma rājā hutvā imaṃ ambavanaṃ ropesiṃ, ettheva pabbajitvā cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmaloke nibbattiṃ. Taṃ kho panetaṃ kāraṇaṃ bhikkhusaṅghassa apākaṭaṃ, pākaṭaṃ karissāmī’’ti aggaggadante dassento sitaṃ pātu akāsi.

    ธโมฺม อสฺส อตฺถีติ ธมฺมิโกฯ ธเมฺมน ราชา ชาโตติ ธมฺมราชาฯ ธเมฺม ฐิโตติ ทสกุสลกมฺมปถธเมฺม ฐิโตฯ ธมฺมํ จรตีติ สมํ จรติ ฯ ตตฺร พฺราหฺมณคหปติเกสูติ โยปิ โส ปุพฺพราชูหิ พฺราหฺมณานํ ทินฺนปริหาโร, ตํ อหาเปตฺวา ปกตินิยาเมเนว อทาสิ, ตถา คหปติกานํฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ปกฺขสฺสาติ อิมินา ปาฎิหาริกปโกฺขปิ สงฺคหิโตฯ อฎฺฐมีอุโปสถสฺส หิ ปจฺจุคฺคมนานุคฺคมนวเสน สตฺตมิยญฺจ นวมิยญฺจ, จาตุทฺทสปนฺนรสานํ ปจฺจุคฺคมนานุคฺคมนวเสน เตรสิยญฺจ ปาฎิปเท จาติ อิเม ทิวสา ปาฎิหาริกปกฺขาติ เวทิตพฺพาฯ เตสุปิ อุโปสถํ อุปวสิฯ

    Dhammo assa atthīti dhammiko. Dhammena rājā jātoti dhammarājā. Dhamme ṭhitoti dasakusalakammapathadhamme ṭhito. Dhammaṃ caratīti samaṃ carati . Tatra brāhmaṇagahapatikesūti yopi so pubbarājūhi brāhmaṇānaṃ dinnaparihāro, taṃ ahāpetvā pakatiniyāmeneva adāsi, tathā gahapatikānaṃ. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Pakkhassāti iminā pāṭihārikapakkhopi saṅgahito. Aṭṭhamīuposathassa hi paccuggamanānuggamanavasena sattamiyañca navamiyañca, cātuddasapannarasānaṃ paccuggamanānuggamanavasena terasiyañca pāṭipade cāti ime divasā pāṭihārikapakkhāti veditabbā. Tesupi uposathaṃ upavasi.

    ๓๐๙. เทวทูตาติ เทโวติ มจฺจุ, ตสฺส ทูตาติ เทวทูตาฯ สิรสฺมิญฺหิ ปลิเตสุ ปาตุภูเตสุ มจฺจุราชสฺส สนฺติเก ฐิโต วิย โหติ, ตสฺมา ปลิตานิ มจฺจุเทวสฺส ทูตาติ วุจฺจนฺติฯ เทวา วิย ทูตาติปิ เทวทูตาฯ ยถา หิ อลงฺกตปฎิยตฺตาย เทวตาย อากาเส ฐตฺวา ‘‘อสุกทิวเส มริสฺสตี’’ติ วุเตฺต ตํ ตเถว โหติ, เอวํ สิรสฺมิํ ปลิเตสุ ปาตุภูเตสุ เทวตาพฺยากรณสทิสเมว โหติฯ ตสฺมา ปลิตานิ เทวสทิสา ทูตาติ วุจฺจนฺติฯ วิสุทฺธิเทวานํ ทูตาติปิ เทวทูตาฯ สพฺพโพธิสตฺตา หิ ชิณฺณพฺยาธิตมตปพฺพชิเต ทิสฺวาว สํเวคมาปชฺชิตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชนฺติฯ ยถาห –

    309.Devadūtāti devoti maccu, tassa dūtāti devadūtā. Sirasmiñhi palitesu pātubhūtesu maccurājassa santike ṭhito viya hoti, tasmā palitāni maccudevassa dūtāti vuccanti. Devā viya dūtātipi devadūtā. Yathā hi alaṅkatapaṭiyattāya devatāya ākāse ṭhatvā ‘‘asukadivase marissatī’’ti vutte taṃ tatheva hoti, evaṃ sirasmiṃ palitesu pātubhūtesu devatābyākaraṇasadisameva hoti. Tasmā palitāni devasadisā dūtāti vuccanti. Visuddhidevānaṃ dūtātipi devadūtā. Sabbabodhisattā hi jiṇṇabyādhitamatapabbajite disvāva saṃvegamāpajjitvā nikkhamma pabbajanti. Yathāha –

    ‘‘ชิณฺณญฺจ ทิสฺวา ทุขิตญฺจ พฺยาธิตํ,

    ‘‘Jiṇṇañca disvā dukhitañca byādhitaṃ,

    มตญฺจ ทิสฺวา คตมายุสงฺขยํ;

    Matañca disvā gatamāyusaṅkhayaṃ;

    กาสายวตฺถํ ปพฺพชิตญฺจ ทิสฺวา,

    Kāsāyavatthaṃ pabbajitañca disvā,

    ตสฺมา อหํ ปพฺพชิโตมฺหิ ราชา’’ติฯ

    Tasmā ahaṃ pabbajitomhi rājā’’ti.

    อิมินา ปริยาเยน ปลิตานิ วิสุทฺธิเทวานํ ทูตตฺตา เทวทูตาติ วุจฺจนฺติฯ

    Iminā pariyāyena palitāni visuddhidevānaṃ dūtattā devadūtāti vuccanti.

    กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวาติ สตสหสฺสุฎฺฐานกํ เชฎฺฐกคามํ ทตฺวาฯ กสฺมา อทาสิ? สํวิคฺคมานสตฺตาฯ ตสฺส หิ อญฺชลิสฺมิํ ฐปิตานิ ปลิตานิ ทิสฺวาว สํเวโค อุปฺปชฺชติฯ อญฺญานิ จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ อายุ อตฺถิ, เอวํ สเนฺตปิ มจฺจุราชสฺส สนฺติเก ฐิตํ วิย อตฺตานํ มญฺญมาโน สํวิโคฺค ปพฺพชฺชํ โรเจติฯ เตน วุตฺตํ –

    Kappakassa gāmavaraṃ datvāti satasahassuṭṭhānakaṃ jeṭṭhakagāmaṃ datvā. Kasmā adāsi? Saṃviggamānasattā. Tassa hi añjalismiṃ ṭhapitāni palitāni disvāva saṃvego uppajjati. Aññāni caturāsītivassasahassāni āyu atthi, evaṃ santepi maccurājassa santike ṭhitaṃ viya attānaṃ maññamāno saṃviggo pabbajjaṃ roceti. Tena vuttaṃ –

    ‘‘สิเร ทิสฺวาน ปลิตํ, มฆเทโว ทิสมฺปติ;

    ‘‘Sire disvāna palitaṃ, maghadevo disampati;

    สํเวคํ อลภี ธีโร, ปพฺพชฺชํ สมโรจยี’’ติฯ

    Saṃvegaṃ alabhī dhīro, pabbajjaṃ samarocayī’’ti.

    อปรมฺปิ วุตฺตํ –

    Aparampi vuttaṃ –

    ‘‘อุตฺตมงฺครุหา มยฺหํ, อิเม ชาตา วโยหรา;

    ‘‘Uttamaṅgaruhā mayhaṃ, ime jātā vayoharā;

    ปาตุภูตา เทวทูตา, ปพฺพชฺชาสมโย มมา’’ติฯ

    Pātubhūtā devadūtā, pabbajjāsamayo mamā’’ti.

    ปุริสยุเคติ วํสสมฺภเว ปุริเสฯ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวาติ ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชนฺตาปิ หิ ปฐมํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา ปพฺพชนฺติ, ตโต ปฎฺฐาย วฑฺฒิเต เกเส พนฺธิตฺวา ชฎากลาปธรา หุตฺวา วิจรนฺติฯ โพธิสโตฺตปิ ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ ปพฺพชิโต ปน อเนสนํ อนนุยุญฺชิตฺวา ราชเคหโต อาหฎภิกฺขาย ยาเปโนฺต พฺรหฺมวิหารํ ภาเวสิฯ ตสฺมา โส เมตฺตาสหคเตนาติอาทิ วุตฺตํฯ

    Purisayugeti vaṃsasambhave purise. Kesamassuṃ ohāretvāti tāpasapabbajjaṃ pabbajantāpi hi paṭhamaṃ kesamassuṃ ohāretvā pabbajanti, tato paṭṭhāya vaḍḍhite kese bandhitvā jaṭākalāpadharā hutvā vicaranti. Bodhisattopi tāpasapabbajjaṃ pabbaji. Pabbajito pana anesanaṃ ananuyuñjitvā rājagehato āhaṭabhikkhāya yāpento brahmavihāraṃ bhāvesi. Tasmā so mettāsahagatenātiādi vuttaṃ.

    กุมารกีฬิตํ กีฬีติ อเงฺกน องฺกํ ปริหริยมาโน กีฬิฯ มาลากลาปํ วิย หิ นํ อุกฺขิปิตฺวาว วิจริํสุฯ รโญฺญ มฆเทวสฺส ปุโตฺต…เป.… ปพฺพชีติ อิมสฺส ปพฺพชิตทิวเส ปญฺจ มงฺคลานิ อเหสุํฯ มฆเทวรโญฺญ มตกภตฺตํ, ตสฺส รโญฺญ ปพฺพชิตมงฺคลํ, ตสฺส ปุตฺตสฺส ฉตฺตุสฺสาปนมงฺคลํ, ตสฺส ปุตฺตสฺส อุปรชฺชมงฺคลํ, ตสฺส ปุตฺตสฺส นามกรณมงฺคลนฺติ เอกสฺมิํเยว สมเย ปญฺจ มงฺคลานิ อเหสุํ, สกลชมฺพุทีปตเล อุนฺนงฺคลมโหสิฯ

    Kumārakīḷitaṃ kīḷīti aṅkena aṅkaṃ parihariyamāno kīḷi. Mālākalāpaṃ viya hi naṃ ukkhipitvāva vicariṃsu. Rañño maghadevassa putto…pe… pabbajīti imassa pabbajitadivase pañca maṅgalāni ahesuṃ. Maghadevarañño matakabhattaṃ, tassa rañño pabbajitamaṅgalaṃ, tassa puttassa chattussāpanamaṅgalaṃ, tassa puttassa uparajjamaṅgalaṃ, tassa puttassa nāmakaraṇamaṅgalanti ekasmiṃyeva samaye pañca maṅgalāni ahesuṃ, sakalajambudīpatale unnaṅgalamahosi.

    ๓๑๑. ปุตฺตปปุตฺตกาติ ปุตฺตา จ ปุตฺตปุตฺตา จาติ เอวํ ปวตฺตา ตสฺส ปรมฺปราฯ ปจฺฉิมโก อโหสีติ ปพฺพชฺชาปจฺฉิมโก อโหสิฯ โพธิสโตฺต กิร พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺต – ‘‘ปวตฺตติ นุ โข ตํ มยา มนุสฺสโลเก นิหตํ กลฺยาณวตฺต’’นฺติ อาวชฺชโนฺต อทฺทส – ‘‘เอตฺตกํ อทฺธานํ ปวตฺตติ, อิทานิ น ปวตฺติสฺสตี’’ติฯ น โข ปนาหํ มยฺหํ ปเวณิยา อุจฺฉิชฺชิตุํ ทสฺสามีติ อตฺตโน วํเส ชาตรโญฺญเยว อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อตฺตโน วํสสฺส เนมิํ ฆเฎโนฺต วิย นิพฺพโตฺต, เตเนวสฺส นิมีติ นามํ อโหสิฯ อิติ โส ปพฺพชิตราชูนํ สพฺพปจฺฉิมโก หุตฺวา ปพฺพชิโตติ ปพฺพชฺชาปจฺฉิมโก อโหสิฯ คุเณหิ ปน อติเรกตโรฯ ตสฺส หิ สพฺพราชูหิ อติเรกตรา เทฺว คุณา อเหสุํ ฯ จตูสุ ทฺวาเรสุ สตสหสฺสํ สตสหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา เทวสิกํ ทานํ อทาสิ, อนุโปสถิกสฺส จ ทสฺสนํ นิวาเรสิฯ อนุโปสถิเกสุ หิ ราชานํ ปสฺสิสฺสามาติ คเตสุ โทวาริโก ปุจฺฉติ ‘‘ตุเมฺห อุโปสถิกา โน วา’’ติฯ เย อนุโปสถิกา โหนฺติ, เต นิวาเรติ ‘‘อนุโปสถิกานํ ราชา ทสฺสนํ น เทตี’’ติฯ ‘‘มยํ ชนปทวาสิโน กาเล โภชนํ กุหิํ ลภิสฺสามา’’ติปิ ตตฺถ วจโนกาโส นตฺถิฯ จตูสุ หิ ทฺวาเรสุ ราชงฺคเณ จ อเนกานิ ภตฺตจาฎิสหสฺสานิ ปฎิยตฺตาเนว โหนฺติฯ ตสฺมา มหาชโน อิจฺฉิติจฺฉิตฎฺฐาเน มสฺสุํ กาเรตฺวา นฺหายิตฺวา วตฺถานิ ปริวเตฺตตฺวา ยถารุจิตํ โภชนํ ภุญฺชิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย รโญฺญ เคหทฺวารํ คจฺฉติฯ โทวาริเกน ‘‘อุโปสถิกา ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิตปุจฺฉิตา ‘‘อาม อามา’’ติ วทนฺติฯ เตน หิ อาคจฺฉถาติ ปเวเสตฺวา รโญฺญ ทเสฺสติฯ อิติ อิเมหิ ทฺวีหิ คุเณหิ อติเรกตโร อโหสิฯ

    311.Puttapaputtakāti puttā ca puttaputtā cāti evaṃ pavattā tassa paramparā. Pacchimako ahosīti pabbajjāpacchimako ahosi. Bodhisatto kira brahmaloke nibbatto – ‘‘pavattati nu kho taṃ mayā manussaloke nihataṃ kalyāṇavatta’’nti āvajjanto addasa – ‘‘ettakaṃ addhānaṃ pavattati, idāni na pavattissatī’’ti. Na kho panāhaṃ mayhaṃ paveṇiyā ucchijjituṃ dassāmīti attano vaṃse jātaraññoyeva aggamahesiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gahetvā attano vaṃsassa nemiṃ ghaṭento viya nibbatto, tenevassa nimīti nāmaṃ ahosi. Iti so pabbajitarājūnaṃ sabbapacchimako hutvā pabbajitoti pabbajjāpacchimako ahosi. Guṇehi pana atirekataro. Tassa hi sabbarājūhi atirekatarā dve guṇā ahesuṃ . Catūsu dvāresu satasahassaṃ satasahassaṃ vissajjetvā devasikaṃ dānaṃ adāsi, anuposathikassa ca dassanaṃ nivāresi. Anuposathikesu hi rājānaṃ passissāmāti gatesu dovāriko pucchati ‘‘tumhe uposathikā no vā’’ti. Ye anuposathikā honti, te nivāreti ‘‘anuposathikānaṃ rājā dassanaṃ na detī’’ti. ‘‘Mayaṃ janapadavāsino kāle bhojanaṃ kuhiṃ labhissāmā’’tipi tattha vacanokāso natthi. Catūsu hi dvāresu rājaṅgaṇe ca anekāni bhattacāṭisahassāni paṭiyattāneva honti. Tasmā mahājano icchiticchitaṭṭhāne massuṃ kāretvā nhāyitvā vatthāni parivattetvā yathārucitaṃ bhojanaṃ bhuñjitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya rañño gehadvāraṃ gacchati. Dovārikena ‘‘uposathikā tumhe’’ti pucchitapucchitā ‘‘āma āmā’’ti vadanti. Tena hi āgacchathāti pavesetvā rañño dasseti. Iti imehi dvīhi guṇehi atirekataro ahosi.

    ๓๑๒. เทวานํ ตาวติํสานนฺติ ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺตเทวานํฯ เต กิร เทวา วิเทหรเฎฺฐ มิถิลนครวาสิโน รโญฺญ โอวาเท ฐตฺวา ปญฺจ สีลานิ รกฺขิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา ตตฺถ นิพฺพตฺตา รโญฺญ คุณกถํ กเถนฺติฯ เต สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘เทวานํ ตาวติํสาน’’นฺติฯ

    312.Devānaṃ tāvatiṃsānanti tāvatiṃsabhavane nibbattadevānaṃ. Te kira devā videharaṭṭhe mithilanagaravāsino rañño ovāde ṭhatvā pañca sīlāni rakkhitvā uposathakammaṃ katvā tattha nibbattā rañño guṇakathaṃ kathenti. Te sandhāya vuttaṃ ‘‘devānaṃ tāvatiṃsāna’’nti.

    นิสิโนฺน โหตีติ ปาสาทวรสฺส อุปริคโต ทานญฺจ สีลญฺจ อุปปริกฺขมาโน นิสิโนฺน โหติฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘ทานํ นุ โข มหนฺตํ อุทาหุ สีลํ, ยทิ ทานํ มหนฺตํ, อโชฺฌตฺถริตฺวา ทานเมว ทสฺสามิฯ อถ สีลํ, สีลเมว ปูริสฺสามี’’ติฯ ตสฺส ‘‘อิทํ มหนฺตํ อิทํ มหนฺต’’นฺติ นิจฺฉิตุํ อสโกฺกนฺตเสฺสว สโกฺก คนฺตฺวา ปุรโต ปาตุรโหสิฯ เตน วุตฺตํ อถ โข, อานนฺท,…เป.… สมฺมุเข ปาตุรโหสีติฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘รโญฺญ กงฺขา อุปฺปนฺนา, ตสฺส กงฺขเจฺฉทนตฺถํ ปญฺหญฺจ กเถสฺสามิ, อิธาคมนตฺถาย ปฎิญฺญญฺจ คณฺหิสฺสามี’’ติ ฯ ตสฺมา คนฺตฺวา สมฺมุเข ปาตุรโหสิฯ ราชา อทิฎฺฐปุพฺพํ รูปํ ทิสฺวา ภีโต อโหสิ โลมหฎฺฐชาโตฯ อถ นํ สโกฺก – ‘‘มา ภายิ, มหาราช, วิสฺสโตฺถ ปญฺหํ ปุจฺฉ, กงฺขํ เต ปฎิวิโนเทสฺสามี’’ติ อาหฯ

    Nisinnohotīti pāsādavarassa uparigato dānañca sīlañca upaparikkhamāno nisinno hoti. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘dānaṃ nu kho mahantaṃ udāhu sīlaṃ, yadi dānaṃ mahantaṃ, ajjhottharitvā dānameva dassāmi. Atha sīlaṃ, sīlameva pūrissāmī’’ti. Tassa ‘‘idaṃ mahantaṃ idaṃ mahanta’’nti nicchituṃ asakkontasseva sakko gantvā purato pāturahosi. Tena vuttaṃ atha kho, ānanda,…pe… sammukhe pāturahosīti. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘rañño kaṅkhā uppannā, tassa kaṅkhacchedanatthaṃ pañhañca kathessāmi, idhāgamanatthāya paṭiññañca gaṇhissāmī’’ti . Tasmā gantvā sammukhe pāturahosi. Rājā adiṭṭhapubbaṃ rūpaṃ disvā bhīto ahosi lomahaṭṭhajāto. Atha naṃ sakko – ‘‘mā bhāyi, mahārāja, vissattho pañhaṃ puccha, kaṅkhaṃ te paṭivinodessāmī’’ti āha.

    ราชา –

    Rājā –

    ‘‘ปุจฺฉามิ ตํ มหาราช, สพฺพภูตานมิสฺสร;

    ‘‘Pucchāmi taṃ mahārāja, sabbabhūtānamissara;

    ทานํ วา พฺรหฺมจริยํ วา, กตมํ สุ มหปฺผล’’นฺติฯ –

    Dānaṃ vā brahmacariyaṃ vā, katamaṃ su mahapphala’’nti. –

    ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ สโกฺก – ‘‘ทานํ นาม กิํ, สีลเมว คุณวิสิฎฺฐตาย มหนฺตํฯ อหญฺหิ ปุเพฺพ, มหาราช, ทสวสฺสสหสฺสานิ ทสนฺนํ ชฎิลสหสฺสานํ ทานํ ทตฺวา เปตฺติวิสยโต น มุโตฺต, สีลวนฺตา ปน มยฺหํ ทานํ ภุญฺชิตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตา’’ติ วตฺวา อิมา คาถา อโวจ –

    Pañhaṃ pucchi. Sakko – ‘‘dānaṃ nāma kiṃ, sīlameva guṇavisiṭṭhatāya mahantaṃ. Ahañhi pubbe, mahārāja, dasavassasahassāni dasannaṃ jaṭilasahassānaṃ dānaṃ datvā pettivisayato na mutto, sīlavantā pana mayhaṃ dānaṃ bhuñjitvā brahmaloke nibbattā’’ti vatvā imā gāthā avoca –

    ‘‘หีเนน พฺรหฺมจริเยน, ขตฺติเย อุปปชฺชติ;

    ‘‘Hīnena brahmacariyena, khattiye upapajjati;

    มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ, อุตฺตเมน วิสุชฺฌติฯ

    Majjhimena ca devattaṃ, uttamena visujjhati.

    น เหเต สุลภา กายา, ยาจโยเคน เกนจิ;

    Na hete sulabhā kāyā, yācayogena kenaci;

    เย กาเย อุปปชฺชนฺติ, อนาคารา ตปสฺสิโน’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔๒๙-๔๓๐);

    Ye kāye upapajjanti, anāgārā tapassino’’ti. (jā. 2.22.429-430);

    เอวํ รโญฺญ กงฺขํ วิโนเทตฺวา เทวโลกคมนาย ปฎิญฺญาคหณตฺถํ ลาภา เต มหาราชาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อวิกมฺปมาโนติ อภายมาโนฯ อธิวาเสสีติ อหํ มหาชนํ กุสลํ สมาทเปมิ, ปุญฺญวนฺตานํ ปน วสนฎฺฐานํ ทิสฺวา อาคเตน มนุสฺสปเถ สุขํ กเถตุํ โหตีติ อธิวาเสสิฯ

    Evaṃ rañño kaṅkhaṃ vinodetvā devalokagamanāya paṭiññāgahaṇatthaṃ lābhā te mahārājātiādimāha. Tattha avikampamānoti abhāyamāno. Adhivāsesīti ahaṃ mahājanaṃ kusalaṃ samādapemi, puññavantānaṃ pana vasanaṭṭhānaṃ disvā āgatena manussapathe sukhaṃ kathetuṃ hotīti adhivāsesi.

    ๓๑๓. เอวํ ภทฺทนฺตวาติ เอวํ โหตุ ภทฺทกํ ตว วจนนฺติ วตฺวาฯ โยเชตฺวาติ เอกสฺมิํเยว ยุเค สหสฺสอสฺสาชานีเย โยเชตฺวาฯ เตสํ ปน ปาฎิเยกฺกํ โยชนกิจฺจํ นตฺถิ, มนํ อาคมฺม ยุตฺตาเยว โหนฺติฯ โส ปน ทิพฺพรโถ ทิยฑฺฒโยชนสติโก โหติ, นทฺธิโต ปฎฺฐาย รถสีสํ ปญฺญาสโยชนานิ, อกฺขพโนฺธ ปณฺณาสโยชนานิ, อกฺขพนฺธโต ปฎฺฐาย ปจฺฉาภาโค ปณฺณาสโยชนานิ, สโพฺพ สตฺตวณฺณรตนมโยฯ เทวโลโก นาม อุทฺธํ, มนุสฺสโลโก อโธ, ตสฺมา เหฎฺฐามุขํ รถํ เปเสสีติ น สลฺลเกฺขตพฺพํฯ ยถา ปน ปกติมคฺคํ เปเสติ, เอวเมว มนุสฺสานํ สายมาสภเตฺต นิฎฺฐิเต จเนฺทน สทฺธิํ ยุคนทฺธํ กตฺวา เปเสสิ, ยมกจนฺทา อุฎฺฐิตา วิย อเหสุํฯ มหาชโน ทิสฺวา ‘‘ยมกจนฺทา อุคฺคตา’’ติ อาหฯ อาคจฺฉเนฺต อาคจฺฉเนฺต น ยมกจนฺทา, เอกํ วิมานํ, น วิมานํ, เอโก รโถติฯ รโถปิ อาคจฺฉโนฺต อาคจฺฉโนฺต ปกติรถปฺปมาโณว, อสฺสาปิ ปกติอสฺสปฺปมาณาว อเหสุํฯ เอวํ รถํ อาหริตฺวา รโญฺญ ปาสาทํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปาจีนสีหปญฺชรฎฺฐาเน รถํ นิวเตฺตตฺวา อาคตมคฺคาภิมุขํ กตฺวา สีหปญฺชเร ฐตฺวาว อาโรหนสชฺชํ ฐเปสิฯ

    313.Evaṃ bhaddantavāti evaṃ hotu bhaddakaṃ tava vacananti vatvā. Yojetvāti ekasmiṃyeva yuge sahassaassājānīye yojetvā. Tesaṃ pana pāṭiyekkaṃ yojanakiccaṃ natthi, manaṃ āgamma yuttāyeva honti. So pana dibbaratho diyaḍḍhayojanasatiko hoti, naddhito paṭṭhāya rathasīsaṃ paññāsayojanāni, akkhabandho paṇṇāsayojanāni, akkhabandhato paṭṭhāya pacchābhāgo paṇṇāsayojanāni, sabbo sattavaṇṇaratanamayo. Devaloko nāma uddhaṃ, manussaloko adho, tasmā heṭṭhāmukhaṃ rathaṃ pesesīti na sallakkhetabbaṃ. Yathā pana pakatimaggaṃ peseti, evameva manussānaṃ sāyamāsabhatte niṭṭhite candena saddhiṃ yuganaddhaṃ katvā pesesi, yamakacandā uṭṭhitā viya ahesuṃ. Mahājano disvā ‘‘yamakacandā uggatā’’ti āha. Āgacchante āgacchante na yamakacandā, ekaṃ vimānaṃ, na vimānaṃ, eko rathoti. Rathopi āgacchanto āgacchanto pakatirathappamāṇova, assāpi pakatiassappamāṇāva ahesuṃ. Evaṃ rathaṃ āharitvā rañño pāsādaṃ padakkhiṇaṃ katvā pācīnasīhapañjaraṭṭhāne rathaṃ nivattetvā āgatamaggābhimukhaṃ katvā sīhapañjare ṭhatvāva ārohanasajjaṃ ṭhapesi.

    อภิรุห มหาราชาติ ราชา – ‘‘ทิพฺพยานํ เม ลทฺธ’’นฺติ น ตาวเทว อภิรุหิ, นาครานํ ปน โอวาทํ อทาสิ ‘‘ปสฺสถ ตาตา, ยํ เม สเกฺกน เทวรญฺญา ทิพฺพรโถ เปสิโต, โส จ โข น ชาติโคตฺตํ วา กุลปฺปเทสํ วา ปฎิจฺจ เปสิโต, มยฺหํ ปน สีลาจารคุเณ ปสีทิตฺวา เปสิโตฯ สเจ ตุเมฺหปิ สีลํ รกฺขิสฺสถ, ตุมฺหากมฺปิ เปเสสฺสติ, เอวํ รกฺขิตุํ ยุตฺตํ นาเมตํ สีลํฯ นาหํ เทวโลกํ คนฺตฺวา จิรายิสฺสามิ, อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ มหาชนํ โอวทิตฺวา ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา รถํ อภิรุหิฯ ตโต มาตลิ สงฺคาหโก ‘‘อหมฺปิ มหาราชสฺส มมานุจฺฉวิกํ กริสฺสามี’’ติ อากาสมฺหิ เทฺว มเคฺค ทเสฺสตฺวา อปิจ มหาราชาติอาทิมาหฯ

    Abhiruha mahārājāti rājā – ‘‘dibbayānaṃ me laddha’’nti na tāvadeva abhiruhi, nāgarānaṃ pana ovādaṃ adāsi ‘‘passatha tātā, yaṃ me sakkena devaraññā dibbaratho pesito, so ca kho na jātigottaṃ vā kulappadesaṃ vā paṭicca pesito, mayhaṃ pana sīlācāraguṇe pasīditvā pesito. Sace tumhepi sīlaṃ rakkhissatha, tumhākampi pesessati, evaṃ rakkhituṃ yuttaṃ nāmetaṃ sīlaṃ. Nāhaṃ devalokaṃ gantvā cirāyissāmi, appamattā hothā’’ti mahājanaṃ ovaditvā pañcasu sīlesu patiṭṭhāpetvā rathaṃ abhiruhi. Tato mātali saṅgāhako ‘‘ahampi mahārājassa mamānucchavikaṃ karissāmī’’ti ākāsamhi dve magge dassetvā apica mahārājātiādimāha.

    ตตฺถ กตเมนาติ, มหาราช, อิเมสุ มเคฺคสุ เอโก นิรยํ คจฺฉติ, เอโก เทวโลกํ, เตสุ ตํ กตเมน เนมิฯ เยนาติ เยน มเคฺคน คนฺตฺวา ยตฺถ ปาปกมฺมนฺตา ปาปกานํ กมฺมานํ วิปากํ ปฎิสํเวทิยนฺติ, ตํ ฐานํ สกฺกา โหติ ปสฺสิตุนฺติ อโตฺถฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ ชาตเกปิ –

    Tattha katamenāti, mahārāja, imesu maggesu eko nirayaṃ gacchati, eko devalokaṃ, tesu taṃ katamena nemi. Yenāti yena maggena gantvā yattha pāpakammantā pāpakānaṃ kammānaṃ vipākaṃ paṭisaṃvediyanti, taṃ ṭhānaṃ sakkā hoti passitunti attho. Dutiyapadepi eseva nayo. Jātakepi –

    ‘‘เกน ตํ เนมิ มเคฺคน, ราชเสฎฺฐ ทิสมฺปติ;

    ‘‘Kena taṃ nemi maggena, rājaseṭṭha disampati;

    เยน วา ปาปกมฺมนฺตา, ปุญฺญกมฺมา จ เย นรา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔๕๐) –

    Yena vā pāpakammantā, puññakammā ca ye narā’’ti. (jā. 2.22.450) –

    คาถาย อยเมวโตฺถฯ เตเนวาห –

    Gāthāya ayamevattho. Tenevāha –

    ‘‘นิรเย ตาว ปสฺสามิ, อาวาเส ปาปกมฺมินํ;

    ‘‘Niraye tāva passāmi, āvāse pāpakamminaṃ;

    ฐานานิ ลุทฺทกมฺมานํ, ทุสฺสีลานญฺจ ยา คตี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔๕๑);

    Ṭhānāni luddakammānaṃ, dussīlānañca yā gatī’’ti. (jā. 2.22.451);

    อุภเยเนว มํ มาตลิ เนหีติ มาตลิ ทฺวีหิ มเคฺคหิ มํ เนหิ, อหํ นิรยํ ปสฺสิตุกาโม เทวโลกมฺปีติฯ ปฐมํ กตเมน เนมีติฯ ปฐมํ นิรยมเคฺคน เนหีติฯ ตโต มาตลิ อตฺตโน อานุภาเวน ราชานํ ปญฺจทส มหานิรเย ทเสฺสสิฯ วิตฺถารกถา ปเนตฺถ –

    Ubhayeneva maṃ mātali nehīti mātali dvīhi maggehi maṃ nehi, ahaṃ nirayaṃ passitukāmo devalokampīti. Paṭhamaṃ katamena nemīti. Paṭhamaṃ nirayamaggena nehīti. Tato mātali attano ānubhāvena rājānaṃ pañcadasa mahāniraye dassesi. Vitthārakathā panettha –

    ‘‘ทเสฺสสิ มาตลิ รโญฺญ, ทุคฺคํ เวตรณิํ นทิํ;

    ‘‘Dassesi mātali rañño, duggaṃ vetaraṇiṃ nadiṃ;

    กุถิตํ ขารสํยุตฺตํ, ตตฺตํ อคฺคิสิขูปม’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔๕๒) –

    Kuthitaṃ khārasaṃyuttaṃ, tattaṃ aggisikhūpama’’nti. (jā. 2.22.452) –

    ชาตเก วุตฺตนเยน เวทิตพฺพาฯ นิรยํ ทเสฺสตฺวา รถํ นิวเตฺตตฺวา เทวโลกาภิมุขํ คนฺตฺวา พีรณีเทวธีตาย โสณทินฺนเทวปุตฺตสฺส คณเทวปุตฺตานญฺจ วิมานานิ ทเสฺสโนฺต เทวโลกํ เนสิฯ ตตฺราปิ วิตฺถารกถา –

    Jātake vuttanayena veditabbā. Nirayaṃ dassetvā rathaṃ nivattetvā devalokābhimukhaṃ gantvā bīraṇīdevadhītāya soṇadinnadevaputtassa gaṇadevaputtānañca vimānāni dassento devalokaṃ nesi. Tatrāpi vitthārakathā –

    ‘‘ยทิ เต สุตา พีรณี ชีวโลเก,

    ‘‘Yadi te sutā bīraṇī jīvaloke,

    อามายทาสี อหุ พฺราหฺมณสฺส;

    Āmāyadāsī ahu brāhmaṇassa;

    สา ปตฺตกาเล อติถิํ วิทิตฺวา,

    Sā pattakāle atithiṃ viditvā,

    มาตาว ปุตฺตํ สกิมาภินนฺที;

    Mātāva puttaṃ sakimābhinandī;

    สํยมา สํวิภาคา จ,

    Saṃyamā saṃvibhāgā ca,

    สา วิมานสฺมิ โมทตี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๕๐๗) –

    Sā vimānasmi modatī’’ti. (jā. 2.22.507) –

    ชาตเก วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ

    Jātake vuttanayeneva veditabbā.

    เอวํ คจฺฉโต ปน ตสฺส รถเนมิ วฎฺฎิยา จิตฺตกูฎทฺวารโกฎฺฐกสฺส อุมฺมาเร ปหตมเตฺตว เทวนคเร โกลาหลํ อโหสิฯ สกฺกํ เทวราชานํ เอกกํเยว โอหาย เทวสโงฺฆ มหาสตฺตํ ปจฺจุคฺคมนมกาสิ, ตํ เทวตานํ อาทรํ ทิสฺวา สโกฺก จิตฺตํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต – ‘‘อภิรม, มหาราช, เทเวสุ เทวานุภาเวนา’’ติ อาหฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อยํ ราชา อชฺช อาคนฺตฺวา เอกทิวเสเนว เทวคณํ อตฺตโน อภิมุขมกาสิฯ สเจ เอกํ เทฺว ทิวเส วสิสฺสติ, น มํ เทวา โอโลเกสฺสนฺตี’’ติฯ โส อุสูยมาโน, ‘‘มหาราช, ตุยฺหํ อิมสฺมิํ เทวโลเก วสิตุํ ปุญฺญํ นตฺถิ, อเญฺญสํ ปุเญฺญน วสาหี’’ติ อิมินา อธิปฺปาเยน เอวมาหฯ โพธิสโตฺต – ‘‘นาสกฺขิ ชรสโกฺก มนํ สนฺธาเรตุํ, ปรํ นิสฺสาย ลทฺธํ โข ปน ยาจิตฺวา ลทฺธภณฺฑกํ วิย โหตี’’ติ ปฎิกฺขิปโนฺต อลํ มาริสาติอาทิมาหฯ ชาตเกปิ วุตฺตํ –

    Evaṃ gacchato pana tassa rathanemi vaṭṭiyā cittakūṭadvārakoṭṭhakassa ummāre pahatamatteva devanagare kolāhalaṃ ahosi. Sakkaṃ devarājānaṃ ekakaṃyeva ohāya devasaṅgho mahāsattaṃ paccuggamanamakāsi, taṃ devatānaṃ ādaraṃ disvā sakko cittaṃ sandhāretuṃ asakkonto – ‘‘abhirama, mahārāja, devesu devānubhāvenā’’ti āha. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ayaṃ rājā ajja āgantvā ekadivaseneva devagaṇaṃ attano abhimukhamakāsi. Sace ekaṃ dve divase vasissati, na maṃ devā olokessantī’’ti. So usūyamāno, ‘‘mahārāja, tuyhaṃ imasmiṃ devaloke vasituṃ puññaṃ natthi, aññesaṃ puññena vasāhī’’ti iminā adhippāyena evamāha. Bodhisatto – ‘‘nāsakkhi jarasakko manaṃ sandhāretuṃ, paraṃ nissāya laddhaṃ kho pana yācitvā laddhabhaṇḍakaṃ viya hotī’’ti paṭikkhipanto alaṃ mārisātiādimāha. Jātakepi vuttaṃ –

    ‘‘ยถา ยาจิตกํ ยานํ, ยถา ยาจิตกํ ธนํ;

    ‘‘Yathā yācitakaṃ yānaṃ, yathā yācitakaṃ dhanaṃ;

    เอวํสมฺปทเมเว ตํ, ยํ ปรโต ทานปจฺจยา;

    Evaṃsampadameve taṃ, yaṃ parato dānapaccayā;

    น จาหเมตมิจฺฉามิ, ยํ ปรโต ทานปจฺจยา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๕๘๕-๕๘๖) –

    Na cāhametamicchāmi, yaṃ parato dānapaccayā’’ti. (jā. 2.22.585-586) –

    สพฺพํ วตฺตพฺพํฯ โพธิสโตฺต ปน มนุสฺสตฺตภาเวน กติวาเร เทวโลกํ คโตติฯ จตฺตาโร – มนฺธาตุราชกาเล สาธินราชกาเล คุตฺติลวีณาวาทกกาเล นิมิมหาราชกาเลติฯ โส มนฺธาตุกาเล เทวโลเก อสเงฺขฺยยฺยํ กาลํ วสิ, ตสฺมิญฺหิ วสมาเนเยว ฉตฺติํส สกฺกา จวิํสุฯ สาธินราชกาเล สตฺตาหํ วสิ, มนุสฺสคณนาย สตฺต วสฺสสตานิ โหนฺติฯ คุตฺติลวีณาวาทกกาเล จ นิมิราชกาเล จ มุหุตฺตมตฺตํ วสิ, มนุสฺสคณนาย สตฺต ทิวสานิ โหนฺติฯ

    Sabbaṃ vattabbaṃ. Bodhisatto pana manussattabhāvena kativāre devalokaṃ gatoti. Cattāro – mandhāturājakāle sādhinarājakāle guttilavīṇāvādakakāle nimimahārājakāleti. So mandhātukāle devaloke asaṅkhyeyyaṃ kālaṃ vasi, tasmiñhi vasamāneyeva chattiṃsa sakkā caviṃsu. Sādhinarājakāle sattāhaṃ vasi, manussagaṇanāya satta vassasatāni honti. Guttilavīṇāvādakakāle ca nimirājakāle ca muhuttamattaṃ vasi, manussagaṇanāya satta divasāni honti.

    ๓๑๔. ตเตฺถว มิถิลํ ปฎิเนสีติ ปฎิเนตฺวา ปกติสิริคเพฺภเยว ปติฎฺฐาเปสิฯ

    314.Tatthevamithilaṃ paṭinesīti paṭinetvā pakatisirigabbheyeva patiṭṭhāpesi.

    ๓๑๕. กฬารชนโกติ ตสฺส นามํฯ กฬารทนฺตตาย ปน กฬารชนโกติ วุโตฺตฯ น โส อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชีติ เอตฺตกมตฺตเมว น อกาสิ, เสสํ สพฺพํ ปากติกเมว อโหสิฯ

    315.Kaḷārajanakoti tassa nāmaṃ. Kaḷāradantatāya pana kaḷārajanakoti vutto. Na so agārasmā anagāriyaṃ pabbajīti ettakamattameva na akāsi, sesaṃ sabbaṃ pākatikameva ahosi.

    ๓๑๖. สมุเจฺฉโท โหตีติ เอตฺถ กลฺยาณวตฺตํ โก สมุจฺฉินฺทติ, เกน สมุจฺฉินฺนํ, โก ปวเตฺตติ, เกน ปวตฺติตํ นาม โหตีติ อยํ วิภาโค เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ สีลวา ภิกฺขุ ‘‘น สกฺกา มยา อรหตฺตํ ลทฺธุ’’นฺติ วีริยํ อกโรโนฺต สมุจฺฉินฺทติฯ ทุสฺสีเลน สมุจฺฉินฺนํ นาม โหติฯ สตฺต เสขา ปวเตฺตนฺติฯ ขีณาสเวน ปวตฺติตํ นาม โหติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    316.Samucchedo hotīti ettha kalyāṇavattaṃ ko samucchindati, kena samucchinnaṃ, ko pavatteti, kena pavattitaṃ nāma hotīti ayaṃ vibhāgo veditabbo. Tattha sīlavā bhikkhu ‘‘na sakkā mayā arahattaṃ laddhu’’nti vīriyaṃ akaronto samucchindati. Dussīlena samucchinnaṃ nāma hoti. Satta sekhā pavattenti. Khīṇāsavena pavattitaṃ nāma hoti. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    มฆเทวสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Maghadevasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๓. มฆเทวสุตฺตํ • 3. Maghadevasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๓. มฆเทวสุตฺตวณฺณนา • 3. Maghadevasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact