Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๓. มฆเทวสุตฺตวณฺณนา
3. Maghadevasuttavaṇṇanā
๓๐๘. ปุเพฺพ มฆเทโว นาม ราชาติ อตีตกาเล อิมสฺมิํเยว กเปฺป อเนกวสฺสสหสฺสายุเกสุ มนุเสฺสสุ ปฎิปาฎิยา อุปฺปนฺนานํ จตุราสีติสหสฺสานํ จกฺกวตฺติราชูนํ อาทิปุริโส มฆเทโวติ เอวํนาโม ราชาฯ
308.Pubbemaghadevo nāma rājāti atītakāle imasmiṃyeva kappe anekavassasahassāyukesu manussesu paṭipāṭiyā uppannānaṃ caturāsītisahassānaṃ cakkavattirājūnaṃ ādipuriso maghadevoti evaṃnāmo rājā.
ธโมฺมติ ราชธโมฺมติ โลกิกา วทนฺติฯ มหาโพธินิธานปารมิตาสงฺขาโต ปน ธโมฺม อตฺถีติ ธมฺมิโกฯ ธเมฺมนาติ ญาเยนฯ ตทา พฺรหฺมวิหาราทิภาวนาธมฺมสฺส รโญฺญ อนธิคตตฺตา ตสฺสปิ วา อนภิชฺฌาทีหิ สมานโยคกฺขมตฺตา วุตฺตํ ‘‘ทสกุสลกมฺมปเถ ฐิโต’’ติฯ ธมฺมนฺติ ธมฺมโต อนเปตํฯ ตถา หิ จ โส ปกฺขปาตาภาวโต ‘‘สโม’’ติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘สมํ จรตี’’ติฯ ปกตินิยาเมเนวาติ ปเวณิยา อาคตนิยาเมเนวฯ ยสฺมา นิคมชนปเทสุ เยภุเยฺยน คหปตีนํ สงฺคโห, ตสฺมา อฎฺฐกถายํ ‘‘คหปติกาน’’เนฺตฺวว วุตฺตํฯ ปาฬิยํ ปน อญฺญเมว นาครจาริตฺตํ, อญฺญํ เนคมชนปทจาริตฺตนฺติ เต วิสุํ คหิตา ‘‘เนคเมสุ เจว ชนปเทสุ จา’’ติฯ ปจฺจุคฺคมนนิคฺคมนวเสน อุโปสถสฺส ปฎิหรณํ ปาฎิหาริโย, โส เอว ปาฎิหาริโก, ปโกฺขฯ อิเม ทิวสาติ อิเม จตฺตาโร ทิวสาฯ
Dhammoti rājadhammoti lokikā vadanti. Mahābodhinidhānapāramitāsaṅkhāto pana dhammo atthīti dhammiko. Dhammenāti ñāyena. Tadā brahmavihārādibhāvanādhammassa rañño anadhigatattā tassapi vā anabhijjhādīhi samānayogakkhamattā vuttaṃ ‘‘dasakusalakammapathe ṭhito’’ti. Dhammanti dhammato anapetaṃ. Tathā hi ca so pakkhapātābhāvato ‘‘samo’’ti vuccatīti āha ‘‘samaṃ caratī’’ti. Pakatiniyāmenevāti paveṇiyā āgataniyāmeneva. Yasmā nigamajanapadesu yebhuyyena gahapatīnaṃ saṅgaho, tasmā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘gahapatikāna’’ntveva vuttaṃ. Pāḷiyaṃ pana aññameva nāgaracārittaṃ, aññaṃ negamajanapadacārittanti te visuṃ gahitā ‘‘negamesu ceva janapadesu cā’’ti. Paccuggamananiggamanavasena uposathassa paṭiharaṇaṃ pāṭihāriyo, so eva pāṭihāriko, pakkho. Ime divasāti ime cattāro divasā.
๓๐๙. เทโวติ มจฺจุ อภิภวนเฎฺฐนฯ ยถา หิ เทโว ปกติสเตฺต อภิภวติ, เอวํ มจฺจุ สเตฺต อภิภวติฯ ‘‘อหํ อสุกํ มทฺทิตุํ อาคมิสฺสามิ, ตฺวํ ตสฺส เกเส คเหตฺวา มา วิสฺสเชฺชหี’’ติ มจฺจุเทวสฺส อาณากรา ทูตา วิยาติ ทูตาติ วุจฺจนฺติฯ อลงฺกตปฎิยตฺตายาติ อิทํ อตฺตโน ทิพฺพานุภาวํ อาวิกตฺวา ฐิตายาติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ เทวตาพฺยากรณสทิสเมว โหติ น จิเรเนว มรณสมฺภวโตฯ วิสุทฺธิเทวานนฺติ ขีณาสวพฺรหฺมานํฯ เต หิ จริมภเว โพธิสตฺตานํ ชิณฺณาทิเก ทเสฺสนฺติฯ
309.Devoti maccu abhibhavanaṭṭhena. Yathā hi devo pakatisatte abhibhavati, evaṃ maccu satte abhibhavati. ‘‘Ahaṃ asukaṃ maddituṃ āgamissāmi, tvaṃ tassa kese gahetvā mā vissajjehī’’ti maccudevassa āṇākarā dūtā viyāti dūtāti vuccanti. Alaṅkatapaṭiyattāyāti idaṃ attano dibbānubhāvaṃ āvikatvā ṭhitāyāti dassetuṃ vuttaṃ. Devatābyākaraṇasadisameva hoti na cireneva maraṇasambhavato. Visuddhidevānanti khīṇāsavabrahmānaṃ. Te hi carimabhave bodhisattānaṃ jiṇṇādike dassenti.
ทุขิตญฺจ พฺยาธิตนฺติ พฺยาธิภาเวน สญฺชาตทุกฺขนฺติ อโตฺถฯ อนฺติมภวิกโพธิสตฺตานํ วิสุทฺธิเทเวหิ อุปฎฺฐาปิตภาวํ อุปาทาย ตทเญฺญสํ เตหิ อนุปฎฺฐาปิตานมฺปิ ปณฺฑิตานํ ตถา โวหริตพฺพตา ปริยายสิทฺธาติ อาห ‘‘อิมินา ปริยาเยนา’’ติฯ
Dukhitañca byādhitanti byādhibhāvena sañjātadukkhanti attho. Antimabhavikabodhisattānaṃ visuddhidevehi upaṭṭhāpitabhāvaṃ upādāya tadaññesaṃ tehi anupaṭṭhāpitānampi paṇḍitānaṃ tathā voharitabbatā pariyāyasiddhāti āha ‘‘iminā pariyāyenā’’ti.
ทิสมฺปตีติ วิภตฺติอโลเปน นิเทฺทโส, ทิสาสีเสน เทสา วุตฺตาติ เทสานํ อธิปติราชาติ อโตฺถฯ อุตฺตมเงฺค สิรสิ รุหนฺตีติ อุตฺตมงฺครุหา, เกสาฯ เต ปเนตฺถ ยสฺมา ปลิตตฺตา อวิเสสโต สพฺพปจฺฉิมวยสนฺทสฺสกา โหนฺติ, ตสฺมา ‘‘วโยหรา’’ติ วุตฺตาฯ
Disampatīti vibhattialopena niddeso, disāsīsena desā vuttāti desānaṃ adhipatirājāti attho. Uttamaṅge sirasi ruhantīti uttamaṅgaruhā, kesā. Te panettha yasmā palitattā avisesato sabbapacchimavayasandassakā honti, tasmā ‘‘vayoharā’’ti vuttā.
ปุริสยุโค ยสฺมา ตสฺมิํ วํเส สญฺชาตปุริสฎฺฐิติยา ปริจฺฉิโนฺน, ตสฺมา อาห ‘‘วํสสมฺภเว ปุริเส’’ติฯ ราชเคหโต อาหฎภิกฺขาย ยาเปโนฺตติ อิมินา กุมารกปพฺพชฺชาย อุปคตภาวํ ทเสฺสติฯ
Purisayugo yasmā tasmiṃ vaṃse sañjātapurisaṭṭhitiyā paricchinno, tasmā āha ‘‘vaṃsasambhave purise’’ti. Rājagehato āhaṭabhikkhāya yāpentoti iminā kumārakapabbajjāya upagatabhāvaṃ dasseti.
ปริหริยมาโนวาติ อเญฺญน อเญฺญน ปริหริยมาโน วิย เวลาย เวลาย เตน มหตา ปริชเนน อุปฎฺฐิยมาโน กุมารกีฬํ กีฬีติ อโตฺถฯ เกจิ ปน ‘‘ปริหริยมาโน เอวา’’ติ อวธารณวเสน อตฺถํ วทนฺติ, ตถา สติ จตุราสีติวสฺสสหสฺสานิ ถญฺญปายี ตรุณทารโก อโหสีติ อาปชฺชตีติ ตทยุตฺตํฯ กุมารกาลํ วตฺวา ตทนนฺตรํ โอปรชฺชวจนโต วิรุทฺธเญฺจตํฯ (ปญฺจมงฺคลวจเนน อุนฺนงฺคลมงฺคลอุกฺกนฺตนมงฺคลกมฺมหายมงฺคลทุสฺสมงฺคลานิ สมุปคตานิ เอว อเหสุนฺติ ทฎฺฐพฺพํ)ฯ
Parihariyamānovāti aññena aññena parihariyamāno viya velāya velāya tena mahatā parijanena upaṭṭhiyamāno kumārakīḷaṃ kīḷīti attho. Keci pana ‘‘parihariyamāno evā’’ti avadhāraṇavasena atthaṃ vadanti, tathā sati caturāsītivassasahassāni thaññapāyī taruṇadārako ahosīti āpajjatīti tadayuttaṃ. Kumārakālaṃ vatvā tadanantaraṃ oparajjavacanato viruddhañcetaṃ. (Pañcamaṅgalavacanena unnaṅgalamaṅgalaukkantanamaṅgalakammahāyamaṅgaladussamaṅgalāni samupagatāni eva ahesunti daṭṭhabbaṃ).
๓๑๑. สวํสวเสน อาคตา ปุตฺตนตฺตุอาทโย ปุตฺตา จ ปปุตฺตา จ เอติสฺสาติ ปุตฺตปปุตฺตกา ปรมฺปราฯ นิหตนฺติ นิหิตํ ฐปิตํ, ปวตฺติตนฺติ อโตฺถฯ นิหตนฺติ วา สตตํ ปติฎฺฐิตภาเวน วฬญฺชิตนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘กลฺยาณวตฺต’’นฺติฯ อติเรกตรา เทฺว คุณาติ มหาสตฺตสฺส มฆเทวกาลโต อติเรกตรา เทฺว คุณา อิตรราชูหิ ปน อติเรกตรา อเนกสตสหสฺสปฺปเภทา เอว คุณา อเหสุนฺติฯ
311. Savaṃsavasena āgatā puttanattuādayo puttā ca paputtā ca etissāti puttapaputtakā paramparā. Nihatanti nihitaṃ ṭhapitaṃ, pavattitanti attho. Nihatanti vā satataṃ patiṭṭhitabhāvena vaḷañjitanti attho. Tenāha ‘‘kalyāṇavatta’’nti. Atirekatarā dve guṇāti mahāsattassa maghadevakālato atirekatarā dve guṇā itararājūhi pana atirekatarā anekasatasahassappabhedā eva guṇā ahesunti.
๓๑๒. เตตฺติํส สหปุญฺญการิโน เอตฺถ นิพฺพตฺตาติ ตํสหจริตฎฺฐานํ เตตฺติํสํ, ตเทว ตาวติํสํ, ตํนิวาโส เอเตสนฺติ ตาวติํสาฯ นิวาสภาโว จ เตสํ ตตฺถ นิพฺพตฺตนปุพฺพโกติ อาห – ‘‘เทวานํ ตาวติํสานนฺติ ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺตเทวาน’’นฺติฯ รโญฺญติ นิมิมหาราชสฺสฯ โอวาเท ฐตฺวาติ ‘‘สีลํ อรกฺขโนฺต มม สนฺติกํ มา อาคจฺฉตู’’ติ นิคฺคณฺหนวเสนปิ, ‘‘เอกนฺตโต มม วิชิเต วสเนฺตน สีลํ รกฺขิตพฺพ’’นฺติ เอวํ ปวตฺติตโอวาทวเสนปิ โอวาเท ฐตฺวาฯ
312. Tettiṃsa sahapuññakārino ettha nibbattāti taṃsahacaritaṭṭhānaṃ tettiṃsaṃ, tadeva tāvatiṃsaṃ, taṃnivāso etesanti tāvatiṃsā. Nivāsabhāvo ca tesaṃ tattha nibbattanapubbakoti āha – ‘‘devānaṃ tāvatiṃsānanti tāvatiṃsabhavane nibbattadevāna’’nti. Raññoti nimimahārājassa. Ovāde ṭhatvāti ‘‘sīlaṃ arakkhanto mama santikaṃ mā āgacchatū’’ti niggaṇhanavasenapi, ‘‘ekantato mama vijite vasantena sīlaṃ rakkhitabba’’nti evaṃ pavattitaovādavasenapi ovāde ṭhatvā.
อถ นนฺติ มหาชุติกํ มหาวิปฺผารํ มหานุภาวํ นิมิราชานํฯ ‘‘สโกฺกหมสฺมิ เทวิโนฺท, ตว สนฺติกมาคโต’’ติ อตฺตโน สกฺกภาวํ ปเวเทตฺวา ‘‘กงฺขํ เต ปฎิวิโนเทสฺสามี’’ติ อาหฯ เตนาห ‘‘สพฺพภูตานมิสฺสรา’’ติอาทิฯ
Athananti mahājutikaṃ mahāvipphāraṃ mahānubhāvaṃ nimirājānaṃ. ‘‘Sakkohamasmi devindo, tava santikamāgato’’ti attano sakkabhāvaṃ pavedetvā ‘‘kaṅkhaṃ te paṭivinodessāmī’’ti āha. Tenāha ‘‘sabbabhūtānamissarā’’tiādi.
สีลํ อุปาทาย โอมกตาย ‘‘กิ’’นฺติ หีเฬโนฺต วทติฯ คุณวิสิฎฺฐตายาติ ลาภยสาทีนเญฺจว ปิยมนาปตาทีนญฺจ อาสวกฺขยปริโยสานานํ นิมิตฺตภาเวน อุตฺตมคุณตายฯ ตทา สโกฺก อนุรุทฺธเตฺถโร, โส อตฺตโน ปุริมชาติยํ ปจฺจกฺขสิทฺธํว ทานโต สีลํ มหนฺตํ วิภาเวโนฺต ‘‘อหญฺหี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อตฺตนา วสิยมานํ กามาวจรเทวโลกํ สนฺธาย ‘‘เปตฺติวิสยโต’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺส หิ กปฺปสตสหสฺสํ วิวฎฺฎชฺฌาสยสฺส ปูริตปารมิสฺส เทวโลโก เปตโลโก วิย อุปฎฺฐาสิฯ เตเนวาห ‘‘อจฺฉราคณสงฺฆุฎฺฐํ, ปิสาจคณเสวิต’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๔๖)ฯ
Sīlaṃ upādāya omakatāya ‘‘ki’’nti hīḷento vadati. Guṇavisiṭṭhatāyāti lābhayasādīnañceva piyamanāpatādīnañca āsavakkhayapariyosānānaṃ nimittabhāvena uttamaguṇatāya. Tadā sakko anuruddhatthero, so attano purimajātiyaṃ paccakkhasiddhaṃva dānato sīlaṃ mahantaṃ vibhāvento ‘‘ahañhī’’tiādimāha. Tattha attanā vasiyamānaṃ kāmāvacaradevalokaṃ sandhāya ‘‘pettivisayato’’ti vuttaṃ. Tassa hi kappasatasahassaṃ vivaṭṭajjhāsayassa pūritapāramissa devaloko petaloko viya upaṭṭhāsi. Tenevāha ‘‘accharāgaṇasaṅghuṭṭhaṃ, pisācagaṇasevita’’nti (saṃ. ni. 1.46).
ขตฺติเยติ ขตฺติยชาติยํฯ วิสุชฺฌตีติ พฺรหฺมโลกูปปตฺติํ สนฺธาย วทติ กามสํกิเลสวิสุชฺฌนโตฯ กายาติ จ พฺรหฺมกายมาหฯ
Khattiyeti khattiyajātiyaṃ. Visujjhatīti brahmalokūpapattiṃ sandhāya vadati kāmasaṃkilesavisujjhanato. Kāyāti ca brahmakāyamāha.
อิมสฺส มม อทิฎฺฐปุพฺพรูปํ ทิสฺวา ‘‘อหุเทว ภย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาห ‘‘อวิกมฺปมาโน’’ติฯ ภายโนฺต หิ จิตฺตสฺส อญฺญถเตฺตน กายสฺส จ ฉมฺภิตเตฺตน วิกมฺปติ นามฯ เตนาห ‘‘อภายมาโน’’ติฯ สุขํ กเถตุํ โหตีติ ปุญฺญผลํ กเถตุํ สุขํ โหติฯ
Imassa mama adiṭṭhapubbarūpaṃ disvā ‘‘ahudeva bhaya’’nti cintetvā āha ‘‘avikampamāno’’ti. Bhāyanto hi cittassa aññathattena kāyassa ca chambhitattena vikampati nāma. Tenāha ‘‘abhāyamāno’’ti. Sukhaṃ kathetuṃ hotīti puññaphalaṃ kathetuṃ sukhaṃ hoti.
๓๑๓. มนํ อาคมฺม ยุตฺตาเยว โหนฺตีติ มาตลิสฺส สกฺกเสฺสว จิตฺตํ ชานิตฺวา ยุตฺตา วิย โหนฺติ, รเถ ยุตฺตอาชานียกิจฺจํ กโรนฺติ เทวปุตฺตาฯ เอวํ ตาทิเส กาเล ตถา ปฎิปชฺชนฺติ, ยถา เอราวโณ เทวปุโตฺต หตฺถิกิจฺจํฯ นทฺธิโต ปฎฺฐายาติ รถปญฺชรปริยเนฺตน อกฺขสฺส สมฺพนฺธฎฺฐานํ นทฺธี, ตโต ปฎฺฐายฯ อโกฺข พชฺฌติ เอตฺถาติ อกฺขพโทฺธ, อเกฺขน รถสฺส พทฺธฎฺฐานํฯ ยถา เทวโลกโต ยาว จนฺทมณฺฑลสฺส คมนวีถิ, ตาว อตฺตโน อานุภาเวน เหฎฺฐามุขเมว รถํ เปเสสิ, เอวํ จนฺทมณฺฑลสฺส คมนวีถิโต ยาว รโญฺญ ปาสาโท, ตาว ตเถว เปเสสิฯ เทฺว มเคฺค ทเสฺสตฺวาติ ปโตทลฎฺฐิยา อากาสํ วิลิขโนฺต วิย อตฺตโน อานุภาเวน นิรยคามี เทวโลกคามี จาติ เทฺว มเคฺค ทเสฺสตฺวาฯ กตเมนาติอาทิ เทสนามตฺตํ, ยถา เตน รเถน คจฺฉนฺตสฺส นิรโย เทวโลโก จ ปากฎา โหนฺติ, ตถา กรณํ อธิเปฺปตํฯ
313.Manaṃ āgamma yuttāyeva hontīti mātalissa sakkasseva cittaṃ jānitvā yuttā viya honti, rathe yuttaājānīyakiccaṃ karonti devaputtā. Evaṃ tādise kāle tathā paṭipajjanti, yathā erāvaṇo devaputto hatthikiccaṃ. Naddhito paṭṭhāyāti rathapañjarapariyantena akkhassa sambandhaṭṭhānaṃ naddhī, tato paṭṭhāya. Akkho bajjhati etthāti akkhabaddho, akkhena rathassa baddhaṭṭhānaṃ. Yathā devalokato yāva candamaṇḍalassa gamanavīthi, tāva attano ānubhāvena heṭṭhāmukhameva rathaṃ pesesi, evaṃ candamaṇḍalassa gamanavīthito yāva rañño pāsādo, tāva tatheva pesesi. Dve magge dassetvāti patodalaṭṭhiyā ākāsaṃ vilikhanto viya attano ānubhāvena nirayagāmī devalokagāmī cāti dve magge dassetvā. Katamenātiādi desanāmattaṃ, yathā tena rathena gacchantassa nirayo devaloko ca pākaṭā honti, tathā karaṇaṃ adhippetaṃ.
วุตฺตการณเมว สนฺธายาห มหาสโตฺต ‘‘อุภเยเนว มํ มาตลิ เนหี’’ติฯ ทุคฺคนฺติ ทุคฺคมํฯ เวตฺตรณินฺติ เอวํนามกํ นิรยํฯ กุถิตนฺติ ปกฺกุถิตํ นิปกฺกเตลสทิสชาลํฯ ขารสํยุตฺตนฺติ ขาโรทกสทิสํฯ
Vuttakāraṇameva sandhāyāha mahāsatto ‘‘ubhayeneva maṃ mātali nehī’’ti. Dugganti duggamaṃ. Vettaraṇinti evaṃnāmakaṃ nirayaṃ. Kuthitanti pakkuthitaṃ nipakkatelasadisajālaṃ. Khārasaṃyuttanti khārodakasadisaṃ.
รถํ นิวเตฺตตฺวาติ นิรยาภิมุขโต นิวเตฺตตฺวาฯ พีรณีเทวธีตายาติ ‘‘พีรณี’’ติ เอวํนามิกาย อจฺฉรายฯ โสณทินฺนเทวปุตฺตสฺสาติ ‘‘โสณทิโนฺน’’ติ เอวํนามกสฺส เทวปุตฺตสฺสฯ คณเทวปุตฺตานนฺติ คณวเสน ปุญฺญํ กตฺวา คณวเสเนว นิพฺพตฺตเทวปุตฺตานํฯ
Rathaṃ nivattetvāti nirayābhimukhato nivattetvā. Bīraṇīdevadhītāyāti ‘‘bīraṇī’’ti evaṃnāmikāya accharāya. Soṇadinnadevaputtassāti ‘‘soṇadinno’’ti evaṃnāmakassa devaputtassa. Gaṇadevaputtānanti gaṇavasena puññaṃ katvā gaṇavaseneva nibbattadevaputtānaṃ.
ปตฺตกาเลติ อุปกฎฺฐาย เวลายฯ อติถินฺติ ปเจฺจกสมฺพุทฺธํฯ กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน เอกํ ขีณาสวเตฺถรนฺติปิ วทนฺติฯ มาตาว ปุตฺตํ สกิมาภินนฺทีติ ยถา ปวาสโต อาคตํ ปุตฺตํ มาตา สกิํ เอกวารํ อาคตกาเล อภินนฺทติ, ตถา นิจฺจกาเล อภินนฺทิ สกฺกจฺจํ ปริวิสิฯ สํยมา สํวิภาคาติ สีลสํยมา สํวิภาคสีลาฯ ชาตเกติ นิมิชาตเกฯ
Pattakāleti upakaṭṭhāya velāya. Atithinti paccekasambuddhaṃ. Kassapassa bhagavato sāsane ekaṃ khīṇāsavattherantipi vadanti. Mātāva puttaṃ sakimābhinandīti yathā pavāsato āgataṃ puttaṃ mātā sakiṃ ekavāraṃ āgatakāle abhinandati, tathā niccakāle abhinandi sakkaccaṃ parivisi. Saṃyamā saṃvibhāgāti sīlasaṃyamā saṃvibhāgasīlā. Jātaketi nimijātake.
จิตฺตกูฎนฺติ เทวนครสฺส ทกฺขิณทิสาย ทฺวารโกฎฺฐกํฯ สโกฺก จิตฺตํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺตติ มหาสเตฺต ปวตฺตํ เทวตานํ สกฺการสมฺมานํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนํ อตฺตโน อุสูยจิตฺตํ พหิ อนาวิกตฺวา อพฺภนฺตเรเยว จ นํ ฐเปตุํ อสโกฺกโนฺตฯ อเญฺญสํ ปุเญฺญน วสาหีติ สกฺกสฺส มหาสตฺตํ โรเสตุกามตาย อาราธนํ นิทเสฺสติฯ ปุราณสโกฺก ทีฆายุโก, ตํ อุปาทาย ชราชิณฺณํ วิย กตฺวา ‘‘ชรสโกฺก’’ติ วุตฺตํฯ
Cittakūṭanti devanagarassa dakkhiṇadisāya dvārakoṭṭhakaṃ. Sakko cittaṃ sandhāretuṃ asakkontoti mahāsatte pavattaṃ devatānaṃ sakkārasammānaṃ paṭicca uppannaṃ attano usūyacittaṃ bahi anāvikatvā abbhantareyeva ca naṃ ṭhapetuṃ asakkonto. Aññesaṃ puññena vasāhīti sakkassa mahāsattaṃ rosetukāmatāya ārādhanaṃ nidasseti. Purāṇasakko dīghāyuko, taṃ upādāya jarājiṇṇaṃ viya katvā ‘‘jarasakko’’ti vuttaṃ.
๓๑๕. เสสํ สพฺพนฺติ ปพฺพชฺชุปคมนา เสสํ อตฺตโน วํเส โปราณราชูนํ ราชจาริตฺตํฯ ปากติกนฺติ ปุน สภาวตฺตเมว คโต อโหสิ, อปพฺพชิตภาววจเนเนวสฺส พฺรหฺมวิหารภาวนาทีนํ ปพฺพชฺชาคุณานํ อภาโว ทีปิโต โหติฯ
315.Sesaṃ sabbanti pabbajjupagamanā sesaṃ attano vaṃse porāṇarājūnaṃ rājacārittaṃ. Pākatikanti puna sabhāvattameva gato ahosi, apabbajitabhāvavacanenevassa brahmavihārabhāvanādīnaṃ pabbajjāguṇānaṃ abhāvo dīpito hoti.
๓๑๖. วีริยํ อกโรโนฺต สมุจฺฉินฺทติ, น ตาว สมุจฺฉินฺนํ, กลฺยาณมิตฺตสํสคฺคาทิปจฺจยสมวาเย สติ สีลวตํ กลฺยาณวตฺตํ ปวเตฺตตุํ สโกฺกติ ฯ ทุสฺสีเลน สมุจฺฉินฺนํ นาม โหติ ตสฺส ตตฺถ นิราสภาเวน ปฎิปตฺติยา เอว อสมฺภวโตฯ สตฺต เสขา ปวเตฺตนฺติ กลฺยาณวตฺตสฺส อปรินิฎฺฐิตกิจฺจตฺตาฯ ขีณาสเวน ปวตฺติตํ นาม ปรินิฎฺฐิตกิจฺจตฺตาฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
316.Vīriyaṃ akaronto samucchindati, na tāva samucchinnaṃ, kalyāṇamittasaṃsaggādipaccayasamavāye sati sīlavataṃ kalyāṇavattaṃ pavattetuṃ sakkoti . Dussīlena samucchinnaṃ nāma hoti tassa tattha nirāsabhāvena paṭipattiyā eva asambhavato. Satta sekhā pavattenti kalyāṇavattassa apariniṭṭhitakiccattā. Khīṇāsavena pavattitaṃ nāma pariniṭṭhitakiccattā. Sesaṃ suviññeyyameva.
มฆเทวสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Maghadevasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๓. มฆเทวสุตฺตํ • 3. Maghadevasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๓. มฆเทวสุตฺตวณฺณนา • 3. Maghadevasuttavaṇṇanā