Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๓๙

    The Middle-Length Suttas Collection 39

    มหาอสฺสปุรสุตฺต

    The Longer Discourse at Assapura

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา องฺเคสุ วิหรติ อสฺสปุรํ นาม องฺคานํ นิคโมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ภิกฺขโว”ติฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying in the land of the Aṅgas, near the Aṅgan town named Assapura. There the Buddha addressed the bhikkhus, “Bhikkhus!”

    “ภทนฺเต”ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    “Venerable sir,” they replied. The Buddha said this:

    “สมณา สมณาติ โว, ภิกฺขเว, ชโน สญฺชานาติฯ ตุเมฺห จ ปน ‘เก ตุเมฺห'ติ ปุฏฺฐา สมานา ‘สมณามฺหา'ติ ปฏิชานาถ;

    “Bhikkhus, people label you as ascetics. And when they ask you what you are, you claim to be ascetics.

    เตสํ โว, ภิกฺขเว, เอวํสมญฺญานํ สตํ เอวํปฏิญฺญานํ สตํ ‘เย ธมฺมา สมณกรณา จ พฺราหฺมณกรณา จ เต ธมฺเม สมาทาย วตฺติสฺสาม, เอวํ โน อยํ อมฺหากํ สมญฺญา จ สจฺจา ภวิสฺสติ ปฏิญฺญา จ ภูตาฯ เยสญฺจ มยํ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ ปริภุญฺชาม, เตสํ เต การา อเมฺหสุ มหปฺผลา ภวิสฺสนฺติ มหานิสํสา, อมฺหากญฺเจวายํ ปพฺพชฺชา อวญฺฌา ภวิสฺสติ สผลา เสาทฺรยา'ติฯ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ

    Given this label and this claim, you should train like this: ‘We will undertake and follow the things that make one an ascetic and a brahmin. That way our label will be accurate and our claim correct. Any robes, almsfood, lodgings, and medicines and supplies for the sick that we use will be very fruitful and beneficial for the donor. And our going forth will not be wasted, but will be fruitful and fertile.’

    กตเม จ, ภิกฺขเว, ธมฺมา สมณกรณา จ พฺราหฺมณกรณา จ? ‘หิโรตฺตปฺเปน สมนฺนาคตา ภวิสฺสามา'ติ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘หิโรตฺตปฺเปนมฺห สมนฺนาคตา, อลเมตฺตาวตา กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปตฺโต โน สามญฺญตฺโถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียนฺ'ติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐึ อาปชฺเชยฺยาถฯ อาโรจยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว: ‘มา โว สามญฺญตฺถิกานํ สตํ สามญฺญตฺโถ ปริหายิ, สติ อุตฺตรึ กรณีเย'ฯ

    And what are the things that make one an ascetic and a brahmin? You should train like this: ‘We will have conscience and prudence.’ Now, bhikkhus, you might think, ‘We have conscience and prudence. Just this much is enough. We have achieved the goal of life as an ascetic. There is nothing more to do.’ And you might rest content with just that much. I declare this to you, bhikkhus, I announce this to you: ‘You who seek to be true ascetics, do not lose sight of the goal of the ascetic life while there is still more to do.’

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, อุตฺตรึ กรณียํ? ‘ปริสุทฺโธ โน กายสมาจาโร ภวิสฺสติ อุตฺตาโน วิวโฏ น จ ฉิทฺทวา สํวุโต จฯ ตาย จ ปน ปริสุทฺธกายสมาจารตาย เนวตฺตานุกฺกํเสสฺสาม น ปรํ วมฺเภสฺสามา'ติ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘หิโรตฺตปฺเปนมฺห สมนฺนาคตา, ปริสุทฺโธ โน กายสมาจาโร; อลเมตฺตาวตา กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปตฺโต โน สามญฺญตฺโถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียนฺ'ติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐึ อาปชฺเชยฺยาถฯ อาโรจยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว: ‘มา โว สามญฺญตฺถิกานํ สตํ สามญฺญตฺโถ ปริหายิ, สติ อุตฺตรึ กรณีเย'ฯ

    What more is there to do? You should train like this: ‘Our bodily behavior will be pure, clear, open, neither inconsistent nor secretive. And we won’t glorify ourselves or put others down on account of our pure bodily behavior.’ Now, bhikkhus, you might think, ‘We have conscience and prudence, and our bodily behavior is pure. Just this much is enough …’ I declare this to you, bhikkhus, I announce this to you: ‘You who seek to be true ascetics, do not lose sight of the goal of the ascetic life while there is still more to do.’

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, อุตฺตรึ กรณียํ? ‘ปริสุทฺโธ โน วจีสมาจาโร ภวิสฺสติ อุตฺตาโน วิวโฏ น จ ฉิทฺทวา สํวุโต จฯ ตาย จ ปน ปริสุทฺธวจีสมาจารตาย เนวตฺตานุกฺกํเสสฺสาม น ปรํ วมฺเภสฺสามา'ติ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘หิโรตฺตปฺเปนมฺห สมนฺนาคตา, ปริสุทฺโธ โน กายสมาจาโร, ปริสุทฺโธ วจีสมาจาโร; อลเมตฺตาวตา กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปตฺโต โน สามญฺญตฺโถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียนฺ'ติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐึ อาปชฺเชยฺยาถฯ อาโรจยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว: ‘มา โว สามญฺญตฺถิกานํ สตํ สามญฺญตฺโถ ปริหายิ, สติ อุตฺตรึ กรณีเย'ฯ กิญฺจ, ภิกฺขเว, อุตฺตรึ กรณียํ? ‘ปริสุทฺโธ โน มโนสมาจาโร ภวิสฺสติ อุตฺตาโน วิวโฏ น จ ฉิทฺทวา สํวุโต จฯ ตาย จ ปน ปริสุทฺธมโนสมาจารตาย เนวตฺตานุกฺกํเสสฺสาม น ปรํ วมฺเภสฺสามา'ติ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘หิโรตฺตปฺเปนมฺห สมนฺนาคตา, ปริสุทฺโธ โน กายสมาจาโร, ปริสุทฺโธ วจีสมาจาโร, ปริสุทฺโธ มโนสมาจาโร; อลเมตฺตาวตา กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปตฺโต โน สามญฺญตฺโถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียนฺ'ติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐึ อาปชฺเชยฺยาถฯ อาโรจยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว: ‘มา โว สามญฺญตฺถิกานํ สตํ สามญฺญตฺโถ ปริหายิ, สติ อุตฺตรึ กรณีเย'ฯ กิญฺจ, ภิกฺขเว, อุตฺตรึ กรณียํ? ‘ปริสุทฺโธ โน อาชีโว ภวิสฺสติ อุตฺตาโน วิวโฏ น จ ฉิทฺทวา สํวุโต จฯ ตาย จ ปน ปริสุทฺธาชีวตาย เนวตฺตานุกฺกํเสสฺสาม น ปรํ วมฺเภสฺสามา'ติ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘หิโรตฺตปฺเปนมฺห สมนฺนาคตา, ปริสุทฺโธ โน กายสมาจาโร, ปริสุทฺโธ วจีสมาจาโร, ปริสุทฺโธ มโนสมาจาโร, ปริสุทฺโธ อาชีโว; อลเมตฺตาวตา กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปตฺโต โน สามญฺญตฺโถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียนฺ'ติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐึ อาปชฺเชยฺยาถฯ อาโรจยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว: ‘มา โว สามญฺญตฺถิกานํ สตํ สามญฺญตฺโถ ปริหายิ, สติ อุตฺตรึ กรณีเย'ฯ

    What more is there to do? You should train like this: ‘Our verbal behavior … mental behavior … livelihood will be pure, clear, open, neither inconsistent nor secretive. And we won’t glorify ourselves or put others down on account of our pure livelihood.’ Now, bhikkhus, you might think, ‘We have conscience and prudence, our bodily, verbal, and mental behavior is pure, and our livelihood is pure. Just this much is enough. We have achieved the goal of life as an ascetic. There is nothing more to do.’ And you might rest content with just that much. I declare this to you, bhikkhus, I announce this to you: ‘You who seek to be true ascetics, do not lose sight of the goal of the ascetic life while there is still more to do.’

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, อุตฺตรึ กรณียํ? ‘อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารา ภวิสฺสาม; จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ, ตสฺส สํวราย ปฏิปชฺชิสฺสาม, รกฺขิสฺสาม จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชิสฺสามฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา …เป… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา …เป… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา …เป… กาเยน โผฏฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา …เป… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย น นิมิตฺตคฺคาหี นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ มนินฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ, ตสฺส สํวราย ปฏิปชฺชิสฺสาม, รกฺขิสฺสาม มนินฺทฺริยํ, มนินฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชิสฺสามา'ติ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘หิโรตฺตปฺเปนมฺห สมนฺนาคตา, ปริสุทฺโธ โน กายสมาจาโร, ปริสุทฺโธ วจีสมาจาโร, ปริสุทฺโธ มโนสมาจาโร, ปริสุทฺโธ อาชีโว, อินฺทฺริเยสุมฺห คุตฺตทฺวารา; อลเมตฺตาวตา กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปตฺโต โน สามญฺญตฺโถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียนฺ'ติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐึ อาปชฺเชยฺยาถฯ อาโรจยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว: ‘มา โว สามญฺญตฺถิกานํ สตํ สามญฺญตฺโถ ปริหายิ, สติ อุตฺตรึ กรณีเย'ฯ

    What more is there to do? You should train yourselves like this: ‘We will restrain our sense doors. When we see a sight with our eyes, we won’t get caught up in the features and details. If the faculty of sight were left unrestrained, bad unskillful qualities of covetousness and displeasure would become overwhelming. For this reason, we will practice restraint, we will protect the faculty of sight, and we will achieve its restraint. When we hear a sound with our ears … When we smell an odor with our nose … When we taste a flavor with our tongue … When we feel a touch with our body … When we know a thought with our mind, we won’t get caught up in the features and details. If the faculty of mind were left unrestrained, bad unskillful qualities of covetousness and displeasure would become overwhelming. For this reason, we will practice restraint, we will protect the faculty of mind, and we will achieve its restraint.’ Now, bhikkhus, you might think, ‘We have conscience and prudence, our bodily, verbal, and mental behavior is pure, our livelihood is pure, and our sense doors are restrained. Just this much is enough …’

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, อุตฺตรึ กรณียํ? ‘โภชเน มตฺตญฺญุโน ภวิสฺสาม, ปฏิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหริสฺสาม, เนว ทวาย น มทาย น มณฺฑนาย น วิภูสนาย ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา ยาปนาย, วิหึสูปรติยา, พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย, อิติ ปุราณญฺจ เวทนํ ปฏิหงฺขาม นวญฺจ เวทนํ น อุปฺปาเทสฺสาม, ยาตฺรา จ โน ภวิสฺสติ, อนวชฺชตา จ, ผาสุ วิหาโร จา'ติ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘หิโรตฺตปฺเปนมฺห สมนฺนาคตา, ปริสุทฺโธ โน กายสมาจาโร, ปริสุทฺโธ วจีสมาจาโร, ปริสุทฺโธ มโนสมาจาโร, ปริสุทฺโธ อาชีโว, อินฺทฺริเยสุมฺห คุตฺตทฺวารา, โภชเน มตฺตญฺญุโน; อลเมตฺตาวตา กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปตฺโต โน สามญฺญตฺโถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียนฺ'ติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐึ อาปชฺเชยฺยาถฯ อาโรจยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว: ‘มา โว, สามญฺญตฺถิกานํ สตํ สามญฺญตฺโถ ปริหายิ สติ อุตฺตรึ กรณีเย'ฯ

    What more is there to do? You should train yourselves like this: ‘We will not eat too much. We will only eat after reflecting rationally on our food. We will eat not for fun, indulgence, adornment, or decoration, but only to sustain this body, to avoid harm, and to support spiritual practice. In this way, we shall put an end to old discomfort and not give rise to new discomfort, and we will live blamelessly and at ease.’ Now, bhikkhus, you might think, ‘We have conscience and prudence, our bodily, verbal, and mental behavior is pure, our livelihood is pure, our sense doors are restrained, and we don’t eat too much. Just this much is enough …’

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, อุตฺตรึ กรณียํ? ‘ชาคริยํ อนุยุตฺตา ภวิสฺสาม, ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปริโสเธสฺสามฯ รตฺติยา ปฐมํ ยามํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปริโสเธสฺสามฯ รตฺติยา มชฺฌิมํ ยามํ ทกฺขิเณน ปเสฺสน สีหเสยฺยํ กปฺเปสฺสาม ปาเท ปาทํ อจฺจาธาย, สโต สมฺปชาโน อุฏฺฐานสญฺญํ มนสิ กริตฺวาฯ รตฺติยา ปจฺฉิมํ ยามํ ปจฺจุฏฺฐาย จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปริโสเธสฺสามา'ติ, เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘หิโรตฺตปฺเปนมฺห สมนฺนาคตา, ปริสุทฺโธ โน กายสมาจาโร, ปริสุทฺโธ วจีสมาจาโร, ปริสุทฺโธ มโนสมาจาโร, ปริสุทฺโธ อาชีโว, อินฺทฺริเยสุมฺห คุตฺตทฺวารา, โภชเน มตฺตญฺญุโน, ชาคริยํ อนุยุตฺตา; อลเมตฺตาวตา กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปตฺโต โน สามญฺญตฺโถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียนฺ'ติ, ตาวตเกเนว ตุฏฺฐึ อาปชฺเชยฺยาถฯ อาโรจยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว: ‘มา โว, สามญฺญตฺถิกานํ สตํ สามญฺญตฺโถ ปริหายิ สติ อุตฺตรึ กรณีเย'ฯ

    What more is there to do? You should train yourselves like this: ‘We will be dedicated to wakefulness. When practicing walking and sitting meditation by day, we will purify our mind from obstacles. In the evening, we will continue to practice walking and sitting meditation. In the middle of the night, we will lie down in the lion’s posture—on the right side, placing one foot on top of the other—mindful and aware, and focused on the time of getting up. In the last part of the night, we will get up and continue to practice walking and sitting meditation, purifying our mind from obstacles.’ Now, bhikkhus, you might think, ‘We have conscience and prudence, our bodily, verbal, and mental behavior is pure, our livelihood is pure, our sense doors are restrained, we don’t eat too much, and we are dedicated to wakefulness. Just this much is enough …’

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, อุตฺตรึ กรณียํ? ‘สติสมฺปชญฺเญน สมนฺนาคตา ภวิสฺสาม, อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺปชานการี, อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี, สมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี, สงฺฆาฏิปตฺตจีวรธารเณ สมฺปชานการี, อสิเต ปีเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี, อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม สมฺปชานการี, คเต ฐิเต นิสินฺเน สุตฺเต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี'ติ, เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘หิโรตฺตปฺเปนมฺห สมนฺนาคตา, ปริสุทฺโธ โน กายสมาจาโร, ปริสุทฺโธ วจีสมาจาโร, ปริสุทฺโธ มโนสมาจาโร, ปริสุทฺโธ อาชีโว, อินฺทฺริเยสุมฺห คุตฺตทฺวารา, โภชเน มตฺตญฺญุโน, ชาคริยํ อนุยุตฺตา, สติสมฺปชญฺเญน สมนฺนาคตา; อลเมตฺตาวตา กตเมตฺตาวตา, อนุปฺปตฺโต โน สามญฺญตฺโถ, นตฺถิ โน กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียนฺ'ติ ตาวตเกเนว ตุฏฺฐึ อาปชฺเชยฺยาถฯ อาโรจยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว: ‘มา โว, สามญฺญตฺถิกานํ สตํ สามญฺญตฺโถ ปริหายิ สติ อุตฺตรึ กรณีเย'ฯ

    What more is there to do? You should train yourselves like this: ‘We will have situational awareness and mindfulness. We will act with situational awareness when going out and coming back; when looking ahead and aside; when bending and extending the limbs; when bearing the outer robe, bowl and robes; when eating, drinking, chewing, and tasting; when urinating and defecating; when walking, standing, sitting, sleeping, waking, speaking, and keeping silent.’ Now, bhikkhus, you might think, ‘We have conscience and prudence, our bodily, verbal, and mental behavior is pure, our livelihood is pure, our sense doors are restrained, we don’t eat too much, we are dedicated to wakefulness, and we have mindfulness and situational awareness. Just this much is enough …’

    กิญฺจ, ภิกฺขเว, อุตฺตรึ กรณียํ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ—อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปฺปตฺถํ อพฺโภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ

    What more is there to do? Take a bhikkhu who frequents a secluded lodging—a wilderness, the root of a tree, a hill, a ravine, a mountain cave, a charnel ground, a forest, the open air, a heap of straw.

    โส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา, อุชุํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวาฯ โส อภิชฺฌํ โลเก ปหาย วิคตาภิชฺเฌน เจตสา วิหรติ, อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธติ; พฺยาปาทปโทสํ ปหาย อพฺยาปนฺนจิตฺโต วิหรติ, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี, พฺยาปาทปโทสา จิตฺตํ ปริโสเธติ; ถินมิทฺธํ ปหาย วิคตถินมิทฺโธ วิหรติ, อาโลกสญฺญี สโต สมฺปชาโน, ถินมิทฺธา จิตฺตํ ปริโสเธติ; อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหาย อนุทฺธโต วิหรติ, อชฺฌตฺตํ วูปสนฺตจิตฺโต, อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจา จิตฺตํ ปริโสเธติ; วิจิกิจฺฉํ ปหาย ติณฺณวิจิกิจฺโฉ วิหรติ, อกถงฺกถี กุสเลสุ ธมฺเมสุ, วิจิกิจฺฉาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ

    After the meal, they return from almsround, sit down cross-legged, set their body straight, and establish mindfulness in front of them. Giving up covetousness for the world, they meditate with a heart rid of covetousness, cleansing the mind of covetousness. Giving up ill will and malevolence, they meditate with a mind rid of ill will, full of compassion for all living beings, cleansing the mind of ill will. Giving up dullness and drowsiness, they meditate with a mind rid of dullness and drowsiness, perceiving light, mindful and aware, cleansing the mind of dullness and drowsiness. Giving up restlessness and remorse, they meditate without restlessness, their mind peaceful inside, cleansing the mind of restlessness and remorse. Giving up doubt, they meditate having gone beyond doubt, not undecided about skillful qualities, cleansing the mind of doubt.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส อิณํ อาทาย กมฺมนฺเต ปโยเชยฺยฯ ตสฺส เต กมฺมนฺตา สมิชฺเฌยฺยุํฯ โส ยานิ จ โปราณานิ อิณมูลานิ ตานิ จ พฺยนฺตี กเรยฺย, สิยา จสฺส อุตฺตรึ อวสิฏฺฐํ ทารภรณายฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘อหํ โข ปุพฺเพ อิณํ อาทาย กมฺมนฺเต ปโยเชสึ, ตสฺส เม เต กมฺมนฺตา สมิชฺฌึสุฯ โสหํ ยานิ จ โปราณานิ อิณมูลานิ ตานิ จ พฺยนฺตี อกาสึ, อตฺถิ จ เม อุตฺตรึ อวสิฏฺฐํ ทารภรณายา'ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคจฺเฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    Suppose a man who has gotten into debt were to apply himself to work, and his efforts proved successful. He would pay off the original loan and have enough left over to support his partner. Thinking about this, he’d be filled with joy and happiness.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส อาพาธิโก อสฺส ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน, ภตฺตญฺจสฺส นจฺฉาเทยฺย, น จสฺส กาเย พลมตฺตาฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา อาพาธา มุจฺเจยฺย, ภตฺตญฺจสฺส ฉาเทยฺย, สิยา จสฺส กาเย พลมตฺตาฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘อหํ โข ปุพฺเพ อาพาธิโก อโหสึ ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน, ภตฺตญฺจ เม นจฺฉาเทสิ, น จ เม อาสิ กาเย พลมตฺตา, โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา อาพาธา มุตฺโต, ภตฺตญฺจ เม ฉาเทติ, อตฺถิ จ เม กาเย พลมตฺตา'ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคจฺเฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    Suppose a person was sick, suffering, and gravely ill. They’d lose their appetite and get physically weak. But after some time they’d recover from that illness, and regain their appetite and their strength. Thinking about this, they’d be filled with joy and happiness.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส พนฺธนาคาเร พทฺโธ อสฺสฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา พนฺธนา มุจฺเจยฺย โสตฺถินา อพฺภเยน, น จสฺส กิญฺจิ โภคานํ วโยฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘อหํ โข ปุพฺเพ พนฺธนาคาเร พทฺโธ อโหสึ, โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา พนฺธนา มุตฺโต, โสตฺถินา อพฺภเยน, นตฺถิ จ เม กิญฺจิ โภคานํ วโย'ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคจฺเฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    Suppose a person was imprisoned in a jail. But after some time they were released from jail, safe and sound, with no loss of wealth. Thinking about this, they’d be filled with joy and happiness.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส ทาโส อสฺส อนตฺตาธีโน ปราธีโน น เยนกามงฺคโมฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา ทาสพฺยา มุจฺเจยฺย อตฺตาธีโน อปราธีโน ภุชิโสฺส เยนกามงฺคโมฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘อหํ โข ปุพฺเพ ทาโส อโหสึ อนตฺตาธีโน ปราธีโน น เยนกามงฺคโม, โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา ทาสพฺยา มุตฺโต อตฺตาธีโน อปราธีโน ภุชิโสฺส เยนกามงฺคโม'ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคจฺเฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    Suppose a person was a bondservant. They would not be their own master, but indentured to another, unable to go where they wish. But after some time they’d be freed from servitude. They would be their own master, not indentured to another, an emancipated individual able to go where they wish. Thinking about this, they’d be filled with joy and happiness.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส สธโน สโภโค กนฺตารทฺธานมคฺคํ ปฏิปชฺเชยฺยฯ โส อปเรน สมเยน ตมฺหา กนฺตารา นิตฺถเรยฺย โสตฺถินา อพฺภเยน, น จสฺส กิญฺจิ โภคานํ วโยฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘อหํ โข ปุพฺเพ สธโน สโภโค กนฺตารทฺธานมคฺคํ ปฏิปชฺชึฯ โสมฺหิ เอตรหิ ตมฺหา กนฺตารา นิตฺถิณฺโณ โสตฺถินา อพฺภเยน, นตฺถิ จ เม กิญฺจิ โภคานํ วโย'ติฯ โส ตโตนิทานํ ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคจฺเฉยฺย โสมนสฺสํฯ

    Suppose there was a person with wealth and property who was traveling along a desert road. But after some time they crossed over the desert, safe and sound, with no loss of wealth. Thinking about this, they’d be filled with joy and happiness.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ยถา อิณํ ยถา โรคํ ยถา พนฺธนาคารํ ยถา ทาสพฺยํ ยถา กนฺตารทฺธานมคฺคํ, อิเม ปญฺจ นีวรเณ อปฺปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อาณณฺยํ ยถา อาโรคฺยํ ยถา พนฺธนาโมกฺขํ ยถา ภุชิสฺสํ ยถา เขมนฺตภูมึ; เอวเมว ภิกฺขุ อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสติฯ

    In the same way, as long as these five hindrances are not given up inside themselves, a bhikkhu regards them as a debt, a disease, a prison, slavery, and a desert crossing. But when these five hindrances are given up inside themselves, a bhikkhu regards this as freedom from debt, good health, release from prison, emancipation, and a place of sanctuary at last.

    โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ, วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ, สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทกฺโข นฺหาปโก วา นฺหาปกนฺเตวาสี วา กํสถาเล นฺหานียจุณฺณานิ อากิริตฺวา อุทเกน ปริปฺโผสกํ ปริปฺโผสกํ สนฺเนยฺยฯ สายํ นฺหานียปิณฺฑิ เสฺนหานุคตา เสฺนหปเรตา สนฺตรพาหิรา, ผุฏา เสฺนเหน น จ ปคฺฆริณีฯ

    They give up these five hindrances, corruptions of the heart that weaken wisdom. Then, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, they enter and remain in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. They drench, steep, fill, and spread their body with rapture and bliss born of seclusion. There’s no part of the body that’s not spread with rapture and bliss born of seclusion. It’s like when a deft bathroom attendant or their apprentice pours bath powder into a bronze dish, sprinkling it little by little with water. They knead it until the ball of bath powder is soaked and saturated with moisture, spread through inside and out; yet no moisture oozes out.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ

    In the same way, a bhikkhu drenches, steeps, fills, and spreads their body with rapture and bliss born of seclusion. There’s no part of the body that’s not spread with rapture and bliss born of seclusion.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อุทกรหโท อุพฺภิโททโกฯ ตสฺส เนวสฺส ปุรตฺถิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น ปจฺฉิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น อุตฺตราย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น ทกฺขิณาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, เทโว จ น กาเลน กาลํ สมฺมาธารํ อนุปฺปเวจฺเฉยฺยฯ อถ โข ตมฺหาว อุทกรหทา สีตา วาริธารา อุพฺภิชฺชิตฺวา ตเมว อุทกรหทํ สีเตน วารินา อภิสนฺเทยฺย ปริสนฺเทยฺย ปริปูเรยฺย ปริปฺผเรยฺย, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต อุทกรหทสฺส สีเตน วารินา อปฺผุฏํ อสฺสฯ

    Furthermore, as the placing of the mind and keeping it connected are stilled, a bhikkhu enters and remains in the second jhāna, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and mind at one, without placing the mind and keeping it connected. They drench, steep, fill, and spread their body with rapture and bliss born of immersion. There’s no part of the body that’s not spread with rapture and bliss born of immersion. It’s like a deep lake fed by spring water. There’s no inlet to the east, west, north, or south, and no rainfall to replenish it from time to time. But the stream of cool water welling up in the lake drenches, steeps, fills, and spreads throughout the lake. There’s no part of the lake that’s not spread through with cool water.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ

    In the same way, a bhikkhu drenches, steeps, fills, and spreads their body with rapture and bliss born of immersion. There’s no part of the body that’s not spread with rapture and bliss born of immersion.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ, สโต จ สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ: ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี'ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อนฺโตนิมุคฺคโปสีนิ, ตานิ ยาว จคฺคา ยาว จ มูลา สีเตน วารินา อภิสนฺนานิ ปริสนฺนานิ ปริปูรานิ ปริปฺผุฏานิ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวตํ อุปฺปลานํ วา ปทุมานํ วา ปุณฺฑรีกานํ วา สีเตน วารินา อปฺผุฏํ อสฺสฯ

    Furthermore, with the fading away of rapture, a bhikkhu enters and remains in the third jhāna, where they meditate with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss.’ They drench, steep, fill, and spread their body with bliss free of rapture. There’s no part of the body that’s not spread with bliss free of rapture. It’s like a pool with blue water lilies, or pink or white lotuses. Some of them sprout and grow in the water without rising above it, thriving underwater. From the tip to the root they’re drenched, steeped, filled, and soaked with cool water. There’s no part of them that’s not soaked with cool water.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ

    In the same way, a bhikkhu drenches, steeps, fills, and spreads their body with bliss free of rapture. There’s no part of the body that’s not spread with bliss free of rapture.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา, ปุพฺเพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา, อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ ปริสุทฺเธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสินฺโน โหติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุทฺเธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฏํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส โอทาเตน วตฺเถน สสีสํ ปารุเปตฺวา นิสินฺโน อสฺส, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส โอทาเตน วตฺเถน อปฺผุฏํ อสฺสฯ

    Furthermore, giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, a bhikkhu enters and remains in the fourth jhāna, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness. They sit spreading their body through with pure bright mind. There’s no part of the body that’s not spread with pure bright mind. It’s like someone sitting wrapped from head to foot with white cloth. There’s no part of the body that’s not spread over with white cloth.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ ปริสุทฺเธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสินฺโน โหติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุทฺเธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฏํ โหติฯ

    In the same way, they sit spreading their body through with pure bright mind. There’s no part of the body that’s not spread with pure bright mind.

    โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ, เทฺวปิ ชาติโย …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส สกมฺหา คามา อญฺญํ คามํ คจฺเฉยฺย, ตมฺหาปิ คามา อญฺญํ คามํ คจฺเฉยฺย, โส ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคจฺเฉยฺยฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘อหํ โข สกมฺหา คามา อมุํ คามํ อคจฺฉึ, ตตฺรปิ เอวํ อฏฺฐาสึ เอวํ นิสีทึ เอวํ อภาสึ เอวํ ตุณฺหี อโหสึ; ตมฺหาปิ คามา อมุํ คามํ อคจฺฉึ, ตตฺรปิ เอวํ อฏฺฐาสึ เอวํ นิสีทึ เอวํ อภาสึ เอวํ ตุณฺหี อโหสึ; โสมฺหิ ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคโต'ติฯ

    When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward recollection of past lives. They recollect many kinds of past lives, with features and details. Suppose a person was to leave their home village and go to another village. From that village they’d go to yet another village. And from that village they’d return to their home village. They’d think: ‘I went from my home village to another village. There I stood like this, sat like that, spoke like this, or kept silent like that. From that village I went to yet another village. There too I stood like this, sat like that, spoke like this, or kept silent like that. And from that village I returned to my home village.’

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ

    In the same way, a bhikkhu recollects their many kinds of past lives, with features and details.

    โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ, สุคเต ทุคฺคเต, ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติ …เป… เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, เทฺว อคารา สทฺวาราฯ ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส มชฺเฌ ฐิโต ปเสฺสยฺย มนุเสฺส เคหํ ปวิสนฺเตปิ นิกฺขมนฺเตปิ, อนุจงฺกมนฺเตปิ อนุวิจรนฺเตปิฯ

    When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward knowledge of the death and rebirth of sentient beings. With clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. They understand how sentient beings are reborn according to their deeds. Suppose there were two houses with doors. A person with clear eyes standing in between them would see people entering and leaving a house and wandering to and fro.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติ …เป…ฯ

    In the same way, with clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. They understand how sentient beings are reborn according to their deeds.

    โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปตฺเต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺขนฺ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขสมุทโย'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ‘อิเม อาสวา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวสมุทโย'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรโธ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฏิปทา'ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ: ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานาติฯ

    When their mind has become immersed in samādhi like this—purified, bright, flawless, rid of corruptions, pliable, workable, steady, and imperturbable—they extend it toward knowledge of the ending of defilements. They truly understand: ‘This is suffering’ … ‘This is the origin of suffering’ … ‘This is the cessation of suffering’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of suffering.’ They truly understand: ‘These are defilements’ … ‘This is the origin of defilements’ … ‘This is the cessation of defilements’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of defilements.’ Knowing and seeing like this, their mind is freed from the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance. When they’re freed, they know they’re freed. They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปพฺพตสงฺเขเป อุทกรหโท อจฺโฉ วิปฺปสนฺโน อนาวิโลฯ ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส ตีเร ฐิโต ปเสฺสยฺย สิปฺปิสมฺพุกมฺปิ สกฺขรกถลมฺปิ มจฺฉคุมฺพมฺปิ, จรนฺตมฺปิ ติฏฺฐนฺตมฺปิฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘อยํ โข อุทกรหโท อจฺโฉ วิปฺปสนฺโน อนาวิโลฯ ตตฺริเม สิปฺปิสมฺพุกาปิ สกฺขรกถลาปิ มจฺฉคุมฺพาปิ จรนฺติปิ ติฏฺฐนฺติปี'ติ'ฯ

    Suppose that in a mountain glen there was a lake that was transparent, clear, and unclouded. A person with clear eyes standing on the bank would see the clams and mussels, and pebbles and gravel, and schools of fish swimming about or staying still. They’d think: ‘This lake is transparent, clear, and unclouded. And here are the clams and mussels, and pebbles and gravel, and schools of fish swimming about or staying still.’

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ‘อิทํ ทุกฺขนฺ'ติ ยถาภูตํ ปชานาติ …เป… นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติฯ

    In the same way, a bhikkhu truly understands: ‘This is suffering’ … ‘This is the origin of suffering’ … ‘This is the cessation of suffering’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of suffering.’ They understand: ‘… there is no return to any state of existence.’

    อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ‘สมโณ' อิติปิ ‘พฺราหฺมโณ'อิติปิ ‘นฺหาตโก'อิติปิ ‘เวทคู'อิติปิ ‘โสตฺติโย'อิติปิ ‘อริโย'อิติปิ ‘อรหํ'อิติปิฯ

    This bhikkhu is called an ‘ascetic’, a ‘brahmin’, a ‘bathed initiate’, a ‘knowledge master’, a ‘scholar’, a ‘noble one’, and a ‘perfected one’.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมโณ โหติ? สมิตาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา, สงฺกิเลสิกา, โปโนพฺภวิกา, สทรา, ทุกฺขวิปากา, อายตึ, ชาติชรามรณิยาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมโณ โหติฯ

    And how is a bhikkhu an ascetic? They have quelled the bad, unskillful qualities that are corrupting, leading to future lives, hurtful, resulting in suffering and future rebirth, old age, and death. That’s how a bhikkhu is an ascetic.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ พฺราหฺมโณ โหติ? พาหิตาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา, สงฺกิเลสิกา, โปโนพฺภวิกา, สทรา, ทุกฺขวิปากา, อายตึ, ชาติชรามรณิยาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ พฺราหฺมโณ โหติฯ

    And how is a bhikkhu a brahmin? They have banished the bad, unskillful qualities. That’s how a bhikkhu is a brahmin.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ นฺหาตโก โหติ? นฺหาตาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา, สงฺกิเลสิกา, โปโนพฺภวิกา, สทรา, ทุกฺขวิปากา, อายตึ, ชาติชรามรณิยาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ นฺหาตโก โหติฯ

    And how is a bhikkhu a bathed initiate? They have bathed off the bad, unskillful qualities. That’s how a bhikkhu is a bathed initiate.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เวทคู โหติ? วิทิตาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา, สงฺกิเลสิกา, โปโนพฺภวิกา, สทรา, ทุกฺขวิปากา, อายตึ, ชาติชรามรณิยาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เวทคู โหติฯ

    And how is a bhikkhu a knowledge master? They have known the bad, unskillful qualities. That’s how a bhikkhu is a knowledge master.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ โสตฺติโย โหติ? นิสฺสุตาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา, สงฺกิเลสิกา, โปโนพฺภวิกา, สทรา, ทุกฺขวิปากา, อายตึ, ชาติชรามรณิยาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ โสตฺติโย โหติฯ

    And how is a bhikkhu a scholar? They have scoured off the bad, unskillful qualities. That’s how a bhikkhu is a scholar.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อริโย โหติ? อารกาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา, สงฺกิเลสิกา, โปโนพฺภวิกา, สทรา, ทุกฺขวิปากา, อายตึ, ชาติชรามรณิยาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อริโย โหติฯ

    And how is a bhikkhu a noble one? They are far away from the bad, unskillful qualities. That’s how a bhikkhu is a noble one.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรหํ โหติ? อารกาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา, สงฺกิเลสิกา, โปโนพฺภวิกา, สทรา, ทุกฺขวิปากา, อายตึ, ชาติชรามรณิยาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรหํ โหตี”ติฯ

    And how is a bhikkhu a perfected one? They are far away from the bad, unskillful qualities that are corrupting, leading to future lives, hurtful, resulting in suffering and future rebirth, old age, and death. That’s how a bhikkhu is a perfected one.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.

    มหาอสฺสปุรสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ นวมํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact