Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๙. มหาอสฺสปุรสุตฺตวณฺณนา

    9. Mahāassapurasuttavaṇṇanā

    ๔๑๕. เอวํ เม สุตนฺติ มหาอสฺสปุรสุตฺตํฯ ตตฺถ อเงฺคสูติ องฺคา นาม ชานปทิโน ราชกุมารา, เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รุฬฺหีสเทฺทน ‘‘องฺคา’’ติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ อเงฺคสุ ชนปเทฯ อสฺสปุรํ นาม องฺคานํ นิคโมติ อสฺสปุรนฺติ นครนาเมน ลทฺธโวหาโร องฺคานํ ชนปทสฺส เอโก นิคโม, ตํ โคจรคามํ กตฺวา วิหรตีติ อโตฺถฯ ภควา เอตทโวจาติ เอตํ ‘‘สมณา สมณาติ โว, ภิกฺขเว, ชโน สญฺชานาตี’’ติอาทิวจนมโวจฯ

    415.Evaṃme sutanti mahāassapurasuttaṃ. Tattha aṅgesūti aṅgā nāma jānapadino rājakumārā, tesaṃ nivāso ekopi janapado ruḷhīsaddena ‘‘aṅgā’’ti vuccati, tasmiṃ aṅgesu janapade. Assapuraṃ nāma aṅgānaṃ nigamoti assapuranti nagaranāmena laddhavohāro aṅgānaṃ janapadassa eko nigamo, taṃ gocaragāmaṃ katvā viharatīti attho. Bhagavā etadavocāti etaṃ ‘‘samaṇā samaṇāti vo, bhikkhave, jano sañjānātī’’tiādivacanamavoca.

    กสฺมา ปน เอวํ อโวจาติฯ ตสฺมิํ กิร นิคเม มนุสฺสา สทฺธา ปสนฺนา พุทฺธมามกา ธมฺมมามกา สงฺฆมามกา, ตทหุปพฺพชิตสามเณรมฺปิ วสฺสสติกเตฺถรสทิสํ กตฺวา ปสํสนฺติ; ปุพฺพณฺหสมยํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตํ ทิสฺวา พีชนงฺคลาทีนิ คเหตฺวา เขตฺตํ คจฺฉนฺตาปิ, ผรสุอาทีนิ คเหตฺวา อรญฺญํ ปวิสนฺตาปิ ตานิ อุปกรณานิ นิกฺขิปิตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส นิสีทนฎฺฐานํ อาสนสาลํ วา มณฺฑปํ วา รุกฺขมูลํ วา สมฺมชฺชิตฺวา อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา อรชปานียํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ นิสีทาเปตฺวา ยาคุขชฺชกาทีนิ ทตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ ภิกฺขุสงฺฆํ อุโยฺยเชตฺวา ตโต ตานิ อุปกรณานิ อาทาย เขตฺตํ วา อรญฺญํ วา คนฺตฺวา อตฺตโน กมฺมานิ กโรนฺติ, กมฺมนฺตฎฺฐาเนปิ เนสํ อญฺญา กถา นาม นตฺถิฯ จตฺตาโร มคฺคฎฺฐา จตฺตาโร ผลฎฺฐาติ อฎฺฐ ปุคฺคลา อริยสโงฺฆ นาม; เต ‘‘เอวรูเปน สีเลน, เอวรูเปน อาจาเรน, เอวรูปาย ปฎิปตฺติยา สมนฺนาคตา ลชฺชิโน เปสลา อุฬารคุณา’’ติ ภิกฺขุสงฺฆเสฺสว วณฺณํ กเถนฺติฯ กมฺมนฺตฎฺฐานโต อาคนฺตฺวา ภุตฺตสายมาสา ฆรทฺวาเร นิสินฺนาปิ, สยนิฆรํ ปวิสิตฺวา นิสินฺนาปิ ภิกฺขุสงฺฆเสฺสว วณฺณํ กเถนฺติฯ ภควา เตสํ มนุสฺสานํ นิปจฺจการํ ทิสฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ ปิณฺฑปาตาปจายเน นิโยเชตฺวา เอตทโวจฯ

    Kasmā pana evaṃ avocāti. Tasmiṃ kira nigame manussā saddhā pasannā buddhamāmakā dhammamāmakā saṅghamāmakā, tadahupabbajitasāmaṇerampi vassasatikattherasadisaṃ katvā pasaṃsanti; pubbaṇhasamayaṃ bhikkhusaṅghaṃ piṇḍāya pavisantaṃ disvā bījanaṅgalādīni gahetvā khettaṃ gacchantāpi, pharasuādīni gahetvā araññaṃ pavisantāpi tāni upakaraṇāni nikkhipitvā bhikkhusaṅghassa nisīdanaṭṭhānaṃ āsanasālaṃ vā maṇḍapaṃ vā rukkhamūlaṃ vā sammajjitvā āsanāni paññapetvā arajapānīyaṃ paccupaṭṭhāpetvā bhikkhusaṅghaṃ nisīdāpetvā yāgukhajjakādīni datvā katabhattakiccaṃ bhikkhusaṅghaṃ uyyojetvā tato tāni upakaraṇāni ādāya khettaṃ vā araññaṃ vā gantvā attano kammāni karonti, kammantaṭṭhānepi nesaṃ aññā kathā nāma natthi. Cattāro maggaṭṭhā cattāro phalaṭṭhāti aṭṭha puggalā ariyasaṅgho nāma; te ‘‘evarūpena sīlena, evarūpena ācārena, evarūpāya paṭipattiyā samannāgatā lajjino pesalā uḷāraguṇā’’ti bhikkhusaṅghasseva vaṇṇaṃ kathenti. Kammantaṭṭhānato āgantvā bhuttasāyamāsā gharadvāre nisinnāpi, sayanigharaṃ pavisitvā nisinnāpi bhikkhusaṅghasseva vaṇṇaṃ kathenti. Bhagavā tesaṃ manussānaṃ nipaccakāraṃ disvā bhikkhusaṅghaṃ piṇḍapātāpacāyane niyojetvā etadavoca.

    เย ธมฺมา สมณกรณา จ พฺราหฺมณกรณา จาติ เย ธมฺมา สมาทาย ปริปูริตา สมิตปาปสมณญฺจ พาหิตปาปพฺราหฺมณญฺจ กโรนฺตีติ อโตฺถฯ ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, สมณสฺส สมณิยานิ สมณกรณียานิ ฯ กตมานิ ตีณิ? อธิสีลสิกฺขาสมาทานํ, อธิจิตฺตสิกฺขาสมาทานํ , อธิปญฺญาสิกฺขาสมาทาน’’นฺติ (อ. นิ. ๓.๘๒) เอตฺถ ปน สมเณน กตฺตพฺพธมฺมา วุตฺตาฯ เตปิ จ สมณกรณา โหนฺติเยวฯ อิธ ปน หิโรตฺตปฺปาทิวเสน เทสนา วิตฺถาริตาฯ เอวํ โน อยํ อมฺหากนฺติ เอตฺถ โนติ นิปาตมตฺตํฯ เอวํ อยํ อมฺหากนฺติ อโตฺถฯ มหปฺผลา มหานิสํสาติ อุภยมฺปิ อตฺถโต เอกเมวฯ อวญฺฌาติ อโมฆาฯ สผลาติ อยํ ตเสฺสว อโตฺถฯ ยสฺสา หิ ผลํ นตฺถิ, สา วญฺฌา นาม โหติฯ สอุทฺรยาติ สวฑฺฒิ, อิทํ สผลตาย เววจนํฯ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพนฺติ, ภิกฺขเว, เอวํ ตุเมฺหหิ สิกฺขิตพฺพํฯ อิติ ภควา อิมินา เอตฺตเกน ฐาเนน หิโรตฺตปฺปาทีนํ ธมฺมานํ วณฺณํ กเถสิฯ กสฺมา? วจนปถปจฺฉินฺทนตฺถํฯ สเจ หิ โกจิ อจิรปพฺพชิโต พาลภิกฺขุ เอวํ วเทยฺย – ‘‘ภควา หิโรตฺตปฺปาทิธเมฺม สมาทาย วตฺตถาติ วทติ, โก นุ โข เตสํ สมาทาย วตฺตเน อานิสํโส’’ติ? ตสฺส วจนปถปจฺฉินฺทนตฺถํฯ อยญฺจ อานิสํโส, อิเม หิ ธมฺมา สมาทาย ปริปูริตา สมิตปาปสมณํ นาม พาหิตปาปพฺราหฺมณํ นาม กโรนฺติ, จตุปจฺจยลาภํ อุปฺปาเทนฺติ, ปจฺจยทายกานํ มหปฺผลตํ สมฺปาเทนฺติ, ปพฺพชฺชํ อวญฺฌํ สผลํ สอุทฺรยํ กโรนฺตีติ วณฺณํ อภาสิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถารโต ปน วณฺณกถา สติปฎฺฐาเน (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๗๓; ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๗๓) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ

    Ye dhammā samaṇakaraṇā ca brāhmaṇakaraṇā cāti ye dhammā samādāya paripūritā samitapāpasamaṇañca bāhitapāpabrāhmaṇañca karontīti attho. ‘‘Tīṇimāni, bhikkhave, samaṇassa samaṇiyāni samaṇakaraṇīyāni . Katamāni tīṇi? Adhisīlasikkhāsamādānaṃ, adhicittasikkhāsamādānaṃ , adhipaññāsikkhāsamādāna’’nti (a. ni. 3.82) ettha pana samaṇena kattabbadhammā vuttā. Tepi ca samaṇakaraṇā hontiyeva. Idha pana hirottappādivasena desanā vitthāritā. Evaṃ no ayaṃ amhākanti ettha noti nipātamattaṃ. Evaṃ ayaṃ amhākanti attho. Mahapphalā mahānisaṃsāti ubhayampi atthato ekameva. Avañjhāti amoghā. Saphalāti ayaṃ tasseva attho. Yassā hi phalaṃ natthi, sā vañjhā nāma hoti. Saudrayāti savaḍḍhi, idaṃ saphalatāya vevacanaṃ. Evañhi vo, bhikkhave, sikkhitabbanti, bhikkhave, evaṃ tumhehi sikkhitabbaṃ. Iti bhagavā iminā ettakena ṭhānena hirottappādīnaṃ dhammānaṃ vaṇṇaṃ kathesi. Kasmā? Vacanapathapacchindanatthaṃ. Sace hi koci acirapabbajito bālabhikkhu evaṃ vadeyya – ‘‘bhagavā hirottappādidhamme samādāya vattathāti vadati, ko nu kho tesaṃ samādāya vattane ānisaṃso’’ti? Tassa vacanapathapacchindanatthaṃ. Ayañca ānisaṃso, ime hi dhammā samādāya paripūritā samitapāpasamaṇaṃ nāma bāhitapāpabrāhmaṇaṃ nāma karonti, catupaccayalābhaṃ uppādenti, paccayadāyakānaṃ mahapphalataṃ sampādenti, pabbajjaṃ avañjhaṃ saphalaṃ saudrayaṃ karontīti vaṇṇaṃ abhāsi. Ayamettha saṅkhepo. Vitthārato pana vaṇṇakathā satipaṭṭhāne (dī. ni. aṭṭha. 2.373; ma. ni. aṭṭha. 2.373) vuttanayeneva veditabbā.

    ๔๑๖. หิโรตฺตเปฺปนาติ ‘‘ยํ หิรียติ หิรียิตเพฺพน, โอตฺตปฺปติ โอตฺตปฺปิตเพฺพนา’’ติ (ธ. ส. ๑๓๓๑) เอวํ วิตฺถาริตาย หิริยา เจว โอตฺตเปฺปน จฯ อปิเจตฺถ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานา หิรี, พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ โอตฺตปฺปํฯ อตฺตาธิปเตยฺยา หิรี, โลกาธิปเตยฺยํ โอตฺตปฺปํฯ ลชฺชาสภาวสณฺฐิตา หิรี, ภยสภาวสณฺฐิตํ โอตฺตปฺปํ, วิตฺถารกถา ปเนตฺถ สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตาฯ อปิจ อิเม เทฺว ธมฺมา โลกํ ปาลนโต โลกปาลธมฺมา นามาติ กถิตาฯ ยถาห – ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, สุกฺกา ธมฺมา โลกํ ปาเลนฺติฯ กตเม เทฺว? หิรี จ โอตฺตปฺปญฺจ ฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, เทฺว สุกฺกา ธมฺมา โลกํ ปาเลนฺติฯ อิเม จ โข, ภิกฺขเว, เทฺว สุกฺกา ธมฺมา โลกํ น ปาเลยฺยุํ, นยิธ ปญฺญาเยถ, ‘มาตา’ติ วา, ‘มาตุจฺฉา’ติ วา, ‘มาตุลานี’ติ วา, ‘อาจริยภริยา’ติ วา, ‘ครูนํ ทารา’ติ วา, สเมฺภทํ โลโก อคมิสฺส, ยถา อเชฬกา กุกฺกุฎสูกรา โสณสิงฺคาลา’’ติ (อ. นิ. ๒.๙)ฯ อิเมเยว ชาตเก ‘‘เทวธมฺมา’’ติ กถิตาฯ ยถาห –

    416.Hirottappenāti ‘‘yaṃ hirīyati hirīyitabbena, ottappati ottappitabbenā’’ti (dha. sa. 1331) evaṃ vitthāritāya hiriyā ceva ottappena ca. Apicettha ajjhattasamuṭṭhānā hirī, bahiddhāsamuṭṭhānaṃ ottappaṃ. Attādhipateyyā hirī, lokādhipateyyaṃ ottappaṃ. Lajjāsabhāvasaṇṭhitā hirī, bhayasabhāvasaṇṭhitaṃ ottappaṃ, vitthārakathā panettha sabbākārena visuddhimagge vuttā. Apica ime dve dhammā lokaṃ pālanato lokapāladhammā nāmāti kathitā. Yathāha – ‘‘dveme, bhikkhave, sukkā dhammā lokaṃ pālenti. Katame dve? Hirī ca ottappañca . Ime kho, bhikkhave, dve sukkā dhammā lokaṃ pālenti. Ime ca kho, bhikkhave, dve sukkā dhammā lokaṃ na pāleyyuṃ, nayidha paññāyetha, ‘mātā’ti vā, ‘mātucchā’ti vā, ‘mātulānī’ti vā, ‘ācariyabhariyā’ti vā, ‘garūnaṃ dārā’ti vā, sambhedaṃ loko agamissa, yathā ajeḷakā kukkuṭasūkarā soṇasiṅgālā’’ti (a. ni. 2.9). Imeyeva jātake ‘‘devadhammā’’ti kathitā. Yathāha –

    ‘‘หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา , สุกฺกธมฺมสมาหิตา;

    ‘‘Hiriottappasampannā , sukkadhammasamāhitā;

    สโนฺต สปฺปุริสา โลเก, เทวธมฺมาติ วุจฺจเร’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๖);

    Santo sappurisā loke, devadhammāti vuccare’’ti. (jā. 1.1.6);

    มหาจุนฺทเตฺถรสฺส ปน กิเลสสเลฺลขนปฎิปทาติ กตฺวา ทสฺสิตาฯ ยถาห – ‘‘ปเร อหิริกา ภวิสฺสนฺติ, มยเมตฺถ หิริมนา ภวิสฺสามาติ สเลฺลโข กรณีโยฯ ปเร อโนตฺตาปี ภวิสฺสนฺติ, มยเมตฺถ โอตฺตาปี ภวิสฺสามาติ สเลฺลโข กรณีโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๘๓)ฯ อิเมว มหากสฺสปเตฺถรสฺส โอวาทูปสมฺปทาติ กตฺวา ทสฺสิตาฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ตสฺมา ติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ, ติพฺพํ เม หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสติ เถเรสุ นเวสุ มชฺฌิเมสูติฯ เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔)ฯ อิธ ปเนเต สมณธมฺมา นามาติ ทสฺสิตาฯ

    Mahācundattherassa pana kilesasallekhanapaṭipadāti katvā dassitā. Yathāha – ‘‘pare ahirikā bhavissanti, mayamettha hirimanā bhavissāmāti sallekho karaṇīyo. Pare anottāpī bhavissanti, mayamettha ottāpī bhavissāmāti sallekho karaṇīyo’’ti (ma. ni. 1.83). Imeva mahākassapattherassa ovādūpasampadāti katvā dassitā. Vuttañhetaṃ – ‘‘tasmā tiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ, tibbaṃ me hirottappaṃ paccupaṭṭhitaṃ bhavissati theresu navesu majjhimesūti. Evañhi te, kassapa, sikkhitabba’’nti (saṃ. ni. 2.154). Idha panete samaṇadhammā nāmāti dassitā.

    ยสฺมา ปน เอตฺตาวตา สามญฺญโตฺถ มตฺถกํ ปโตฺต นาม โหติ, ตสฺมา อปเรปิ สมณกรณธเมฺม ทเสฺสตุํ สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, ตุมฺหากนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ สามญฺญโตฺถติ สํยุตฺตเก ตาว, ‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, สามญฺญํ? อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺคฯ เสยฺยถิทํ, สมฺมาทิฎฺฐิ…เป.… สมฺมาสมาธิ, อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, สามญฺญํฯ กตโม จ, ภิกฺขเว, สามญฺญโตฺถ? โย, ภิกฺขเว, ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย, อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, สามญฺญโตฺถ’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๖) มโคฺค ‘‘สามญฺญ’’นฺติ, ผลนิพฺพานานิ ‘‘สามญฺญโตฺถ’’ติ วุตฺตานิฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน มคฺคมฺปิ ผลมฺปิ เอกโต กตฺวา สามญฺญโตฺถ กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ อาโรจยามีติ กเถมิฯ ปฎิเวทยามีติ ชานาเปมิฯ

    Yasmā pana ettāvatā sāmaññattho matthakaṃ patto nāma hoti, tasmā aparepi samaṇakaraṇadhamme dassetuṃ siyā kho pana, bhikkhave, tumhākantiādimāha. Tattha sāmaññatthoti saṃyuttake tāva, ‘‘katamañca, bhikkhave, sāmaññaṃ? Ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo. Seyyathidaṃ, sammādiṭṭhi…pe… sammāsamādhi, idaṃ vuccati, bhikkhave, sāmaññaṃ. Katamo ca, bhikkhave, sāmaññattho? Yo, bhikkhave, rāgakkhayo dosakkhayo mohakkhayo, ayaṃ vuccati, bhikkhave, sāmaññattho’’ti (saṃ. ni. 5.36) maggo ‘‘sāmañña’’nti, phalanibbānāni ‘‘sāmaññattho’’ti vuttāni. Imasmiṃ pana ṭhāne maggampi phalampi ekato katvā sāmaññattho kathitoti veditabbo. Ārocayāmīti kathemi. Paṭivedayāmīti jānāpemi.

    ๔๑๗. ปริสุโทฺธ โน กายสมาจาโรติ เอตฺถ กายสมาจาโร ปริสุโทฺธ อปริสุโทฺธติ ทุวิโธฯ โย หิ ภิกฺขุ ปาณํ หนติ อทินฺนํ อาทิยติ, กาเมสุ มิจฺฉา จรติ, ตสฺส กายสมาจาโร อปริสุโทฺธ นาม, อยํ ปน กมฺมปถวเสเนว วาริโตฯ โย ปน ปาณินา วา เลฑฺฑุนา วา ทเณฺฑน วา สเตฺถน วา ปรํ โปเถติ วิเหเฐติ, ตสฺส กายสมาจาโร อปริสุโทฺธ นาม, อยมฺปิ สิกฺขาปทพเทฺธเนว ปฎิกฺขิโตฺตฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต อุภยเมฺปตํ อกเถตฺวา ปรมสเลฺลโข นาม กถิโตฯ โย หิ ภิกฺขุ ปานียฆเฎ วา ปานียํ ปิวนฺตานํ, ปเตฺต วา ภตฺตํ ภุญฺชนฺตานํ กากานํ นิวารณวเสน หตฺถํ วา ทณฺฑํ วา เลฑฺฑุํ วา อุคฺคิรติ, ตสฺส กายสมาจาโร อปริสุโทฺธฯ วิปรีโต ปริสุโทฺธ นามฯ อุตฺตาโนติ อุคฺคโต ปากโฎฯ วิวโฎติ อนาวโฎ อสญฺฉโนฺนฯ อุภเยนาปิ ปริสุทฺธตํเยว ทีเปติฯ น จ ฉิทฺทวาติ สทา เอกสทิโส อนฺตรนฺตเร ฉิทฺทรหิโตฯ สํวุโตติ กิเลสานํ ทฺวาร ปิทหเนน ปิทหิโต, น วชฺชปฎิจฺฉาทนตฺถายฯ

    417.Parisuddho no kāyasamācāroti ettha kāyasamācāro parisuddho aparisuddhoti duvidho. Yo hi bhikkhu pāṇaṃ hanati adinnaṃ ādiyati, kāmesu micchā carati, tassa kāyasamācāro aparisuddho nāma, ayaṃ pana kammapathavaseneva vārito. Yo pana pāṇinā vā leḍḍunā vā daṇḍena vā satthena vā paraṃ potheti viheṭheti, tassa kāyasamācāro aparisuddho nāma, ayampi sikkhāpadabaddheneva paṭikkhitto. Imasmiṃ sutte ubhayampetaṃ akathetvā paramasallekho nāma kathito. Yo hi bhikkhu pānīyaghaṭe vā pānīyaṃ pivantānaṃ, patte vā bhattaṃ bhuñjantānaṃ kākānaṃ nivāraṇavasena hatthaṃ vā daṇḍaṃ vā leḍḍuṃ vā uggirati, tassa kāyasamācāro aparisuddho. Viparīto parisuddho nāma. Uttānoti uggato pākaṭo. Vivaṭoti anāvaṭo asañchanno. Ubhayenāpi parisuddhataṃyeva dīpeti. Na ca chiddavāti sadā ekasadiso antarantare chiddarahito. Saṃvutoti kilesānaṃ dvāra pidahanena pidahito, na vajjapaṭicchādanatthāya.

    ๔๑๘. วจีสมาจาเรปิ โย ภิกฺขุ มุสา วทติ, ปิสุณํ กเถติ, ผรุสํ ภาสติ, สมฺผํ ปลปติ, ตสฺส วจีสมาจาโร อปริสุโทฺธ นามฯ อยํ ปน กมฺมปถวเสน วาริโตฯ โย ปน คหปติกาติ วา ทาสาติ วา เปสฺสาติ วา อาทีหิ ขุํเสโนฺต วทติ, ตสฺส วจีสมาจาโร อปริสุโทฺธ นามฯ อยํ ปน สิกฺขาปทพเทฺธเนว ปฎิกฺขิโตฺตฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต อุภยเมฺปตํ อกเถตฺวา ปรมสเลฺลโข นาม กถิโตฯ โย หิ ภิกฺขุ ทหเรน วา สามเณเรน วา, ‘‘กจฺจิ, ภเนฺต, อมฺหากํ อุปชฺฌายํ ปสฺสถา’’ติ วุเตฺต, สมฺพหุลา, อาวุโส, ภิกฺขุภิกฺขุนิโย เอกสฺมิํ ปเทเส วิจทิํสุ, อุปชฺฌาโย เต วิกฺกายิกสากภณฺฑิกํ อุกฺขิปิตฺวา คโต ภวิสฺสตี’’ติอาทินา นเยน หสาธิปฺปาโยปิ เอวรูปํ กถํ กเถติ, ตสฺส วจีสมาจาโร อปริสุโทฺธฯ วิปรีโต ปริสุโทฺธ นามฯ

    418.Vacīsamācārepi yo bhikkhu musā vadati, pisuṇaṃ katheti, pharusaṃ bhāsati, samphaṃ palapati, tassa vacīsamācāro aparisuddho nāma. Ayaṃ pana kammapathavasena vārito. Yo pana gahapatikāti vā dāsāti vā pessāti vā ādīhi khuṃsento vadati, tassa vacīsamācāro aparisuddho nāma. Ayaṃ pana sikkhāpadabaddheneva paṭikkhitto. Imasmiṃ sutte ubhayampetaṃ akathetvā paramasallekho nāma kathito. Yo hi bhikkhu daharena vā sāmaṇerena vā, ‘‘kacci, bhante, amhākaṃ upajjhāyaṃ passathā’’ti vutte, sambahulā, āvuso, bhikkhubhikkhuniyo ekasmiṃ padese vicadiṃsu, upajjhāyo te vikkāyikasākabhaṇḍikaṃ ukkhipitvā gato bhavissatī’’tiādinā nayena hasādhippāyopi evarūpaṃ kathaṃ katheti, tassa vacīsamācāro aparisuddho. Viparīto parisuddho nāma.

    ๔๑๙. มโนสมาจาเร โย ภิกฺขุ อภิชฺฌาลุ พฺยาปนฺนจิโตฺต มิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, ตสฺส มโนสมาจาโร อปริสุโทฺธ นามฯ อยํ ปน กมฺมปถวเสเนว วาริโตฯ โย ปน อุปนิกฺขิตฺตํ ชาตรูปรชตํ สาทิยติ, ตสฺส มโนสมาจาโร อปริสุโทฺธ นามฯ อยมฺปิ สิกฺขาปทพเทฺธเนว ปฎิกฺขิโตฺตฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต อุภยเมฺปตํ อกเถตฺวา ปรมสเลฺลโข นาม กถิโตฯ โย ปน ภิกฺขุ กามวิตกฺกํ วา พฺยาปาทวิตกฺกํ วา วิหิํสาวิตกฺกํ วา วิตเกฺกติ, ตสฺส มโนสมาจาโร อปริสุโทฺธฯ วิปรีโต ปริสุโทฺธ นามฯ

    419.Manosamācāre yo bhikkhu abhijjhālu byāpannacitto micchādiṭṭhiko hoti, tassa manosamācāro aparisuddho nāma. Ayaṃ pana kammapathavaseneva vārito. Yo pana upanikkhittaṃ jātarūparajataṃ sādiyati, tassa manosamācāro aparisuddho nāma. Ayampi sikkhāpadabaddheneva paṭikkhitto. Imasmiṃ sutte ubhayampetaṃ akathetvā paramasallekho nāma kathito. Yo pana bhikkhu kāmavitakkaṃ vā byāpādavitakkaṃ vā vihiṃsāvitakkaṃ vā vitakketi, tassa manosamācāro aparisuddho. Viparīto parisuddho nāma.

    ๔๒๐. อาชีวสฺมิํ โย ภิกฺขุ อาชีวเหตุ เวชฺชกมฺมํ ปหิณคมนํ คณฺฑผาลนํ กโรติ, อรุมกฺขนํ เทติ, เตลํ ปจตีติ เอกวีสติอเนสนาวเสน ชีวิกํ กเปฺปติฯ โย วา ปน วิญฺญาเปตฺวา ภุญฺชติ, ตสฺส อาชีโว อปริสุโทฺธ นามฯ อยํ ปน สิกฺขาปทพเทฺธเนว ปฎิกฺขิโตฺตฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต อุภยเมฺปตํ อกเถตฺวา ปรมสเลฺลโข นาม กถิโตฯ โย หิ ภิกฺขุ สปฺปินวนีตเตลมธุผาณิตาทีนิ ลภิตฺวา, ‘‘เสฺว วา ปุนทิวเส วา ภวิสฺสตี’’ติ สนฺนิธิการกํ ปริภุญฺชติ, โย วา ปน นิมฺพงฺกุราทีนิ ทิสฺวา สามเณเร วทติ – ‘‘อํงฺกุเร ขาทถา’’ติ, สามเณรา เถโร ขาทิตุกาโมติ กปฺปิยํ กตฺวา เทนฺติ, ทหเร ปน สามเณเร วา ปานียํ ปิวถ, อาวุโสติ วทติ, เต เถโร ปานียํ ปิวิตุกาโมติ ปานียสงฺขํ โธวิตฺวา เทนฺติ, ตมฺปิ ปริภุญฺชนฺตสฺส อาชีโว อปริสุโทฺธ นาม โหติฯ วิปรีโต ปริสุโทฺธ นามฯ

    420. Ājīvasmiṃ yo bhikkhu ājīvahetu vejjakammaṃ pahiṇagamanaṃ gaṇḍaphālanaṃ karoti, arumakkhanaṃ deti, telaṃ pacatīti ekavīsatianesanāvasena jīvikaṃ kappeti. Yo vā pana viññāpetvā bhuñjati, tassa ājīvo aparisuddho nāma. Ayaṃ pana sikkhāpadabaddheneva paṭikkhitto. Imasmiṃ sutte ubhayampetaṃ akathetvā paramasallekho nāma kathito. Yo hi bhikkhu sappinavanītatelamadhuphāṇitādīni labhitvā, ‘‘sve vā punadivase vā bhavissatī’’ti sannidhikārakaṃ paribhuñjati, yo vā pana nimbaṅkurādīni disvā sāmaṇere vadati – ‘‘aṃṅkure khādathā’’ti, sāmaṇerā thero khāditukāmoti kappiyaṃ katvā denti, dahare pana sāmaṇere vā pānīyaṃ pivatha, āvusoti vadati, te thero pānīyaṃ pivitukāmoti pānīyasaṅkhaṃ dhovitvā denti, tampi paribhuñjantassa ājīvo aparisuddho nāma hoti. Viparīto parisuddho nāma.

    ๔๒๒. มตฺตญฺญูติ ปริเยสนปฎิคฺคหณปริโภเคสุ มตฺตญฺญู, ยุตฺตญฺญู, ปมาณญฺญูฯ

    422.Mattaññūti pariyesanapaṭiggahaṇaparibhogesu mattaññū, yuttaññū, pamāṇaññū.

    ๔๒๓. ชาคริยมนุยุตฺตาติ รตฺตินฺทิวํ ฉ โกฎฺฐาเส กตฺวา เอกสฺมิํ โกฎฺฐาเส นิทฺทาย โอกาสํ ทตฺวา ปญฺจ โกฎฺฐาเส ชาคริยมฺหิ ยุตฺตา ปยุตฺตาฯ สีหเสยฺยนฺติ เอตฺถ กามโภคิเสยฺยา, เปตเสยฺยา, สีหเสยฺยา, ตถาคตเสยฺยาติ จตโสฺส เสยฺยาฯ ตตฺถ ‘‘เยภุเยฺยน, ภิกฺขเว, กามโภคี สตฺตา วาเมน ปเสฺสน เสนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ กามโภคิเสยฺยา, เตสุ หิ เยภุเยฺยน ทกฺขิณปเสฺสน สยาโน นาม นตฺถิฯ

    423.Jāgariyamanuyuttāti rattindivaṃ cha koṭṭhāse katvā ekasmiṃ koṭṭhāse niddāya okāsaṃ datvā pañca koṭṭhāse jāgariyamhi yuttā payuttā. Sīhaseyyanti ettha kāmabhogiseyyā, petaseyyā, sīhaseyyā, tathāgataseyyāti catasso seyyā. Tattha ‘‘yebhuyyena, bhikkhave, kāmabhogī sattā vāmena passena sentī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ kāmabhogiseyyā, tesu hi yebhuyyena dakkhiṇapassena sayāno nāma natthi.

    ‘‘เยภุเยฺยน, ภิกฺขเว, เปตา อุตฺตานา เสนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ เปตเสยฺยา, เปตา หิ อปฺปมํสโลหิตตฺตา อฎฺฐิสงฺฆาตชฎิตา เอเกน ปเสฺสน สยิตุํ น สโกฺกนฺติ, อุตฺตานาว เสนฺติฯ

    ‘‘Yebhuyyena, bhikkhave, petā uttānā sentī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ petaseyyā, petā hi appamaṃsalohitattā aṭṭhisaṅghātajaṭitā ekena passena sayituṃ na sakkonti, uttānāva senti.

    ‘‘เยภุเยฺยน , ภิกฺขเว, สีโห มิคราชา นงฺคุฎฺฐํ อนฺตรสตฺถิมฺหิ อนุปกฺขิปิตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน เสตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ สีหเสยฺยาฯ เตชุสฺสทตฺตา หิ สีโห มิคราชา เทฺว ปุริมปาเท เอกสฺมิํ ฐาเน ปจฺฉิมปาเท เอกสฺมิํ ฐเปตฺวา นงฺคุฎฺฐํ อนฺตรสตฺถิมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา ปุริมปาทปจฺฉิมปาทนงฺคุฎฺฐานํ ฐิโตกาสํ สลฺลเกฺขตฺวา ทฺวินฺนํ ปุริมปาทานํ มตฺถเก สีสํ ฐเปตฺวา สยติ ฯ ทิวสมฺปิ สยิตฺวา ปพุชฺฌมาโน น อุตฺราสโนฺต ปพุชฺฌติฯ สีสํ ปน อุกฺขิปิตฺวา ปุริมปาทานํ ฐิโตกาสํ สลฺลเกฺขติฯ สเจ กิญฺจิ ฐานํ วิชหิตฺวา ฐิตํ โหติ, ‘‘นยิทํ ตุยฺหํ ชาติยา, น สูรภาวสฺส จ อนุรูป’’นฺติ อนตฺตมโน หุตฺวา ตเตฺถว สยติ, น โคจราย ปกฺกมติฯ อวิชหิตฺวา ฐิเต ปน ‘‘ตุยฺหํ ชาติยา สูรภาวสฺส จ อนุรูปมิท’’นฺติ หฎฺฐตุโฎฺฐ อุฎฺฐาย สีหวิชมฺภิตํ วิชมฺภิตฺวา เกสรภารํ วิธุนิตฺวา ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิตฺวา โคจราย ปกฺกมติฯ จตุตฺถชฺฌานเสยฺยา ปน ตถาคตเสยฺยาติ วุจฺจติฯ ตาสุ อิธ สีหเสยฺยา อาคตาฯ อยญฺหิ เตชุสฺสทอิริยาปถตฺตา อุตฺตมเสยฺยา นามฯ ปาเท ปาทนฺติ ทกฺขิณปาเท วามปาทํฯ อจฺจาธายาติ อติอาธาย อีสกํ อติกฺกมฺม ฐเปตฺวา, โคปฺผเกน หิ โคปฺผเก, ชาณุนา วา ชาณุมฺหิ สงฺฆฎฺฎิยมาเน อภิณฺหํ เวทนา อุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ น โหติ, เสยฺยา อผาสุกา โหติฯ ยถา ปน น สงฺฆเฎฺฎติ, เอวํ อติกฺกมฺม ฐปิเต เวทนา นุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, เสยฺยา ผาสุกา โหติ, ตสฺมา เอวมาหฯ

    ‘‘Yebhuyyena , bhikkhave, sīho migarājā naṅguṭṭhaṃ antarasatthimhi anupakkhipitvā dakkhiṇena passena setī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ sīhaseyyā. Tejussadattā hi sīho migarājā dve purimapāde ekasmiṃ ṭhāne pacchimapāde ekasmiṃ ṭhapetvā naṅguṭṭhaṃ antarasatthimhi pakkhipitvā purimapādapacchimapādanaṅguṭṭhānaṃ ṭhitokāsaṃ sallakkhetvā dvinnaṃ purimapādānaṃ matthake sīsaṃ ṭhapetvā sayati . Divasampi sayitvā pabujjhamāno na utrāsanto pabujjhati. Sīsaṃ pana ukkhipitvā purimapādānaṃ ṭhitokāsaṃ sallakkheti. Sace kiñci ṭhānaṃ vijahitvā ṭhitaṃ hoti, ‘‘nayidaṃ tuyhaṃ jātiyā, na sūrabhāvassa ca anurūpa’’nti anattamano hutvā tattheva sayati, na gocarāya pakkamati. Avijahitvā ṭhite pana ‘‘tuyhaṃ jātiyā sūrabhāvassa ca anurūpamida’’nti haṭṭhatuṭṭho uṭṭhāya sīhavijambhitaṃ vijambhitvā kesarabhāraṃ vidhunitvā tikkhattuṃ sīhanādaṃ naditvā gocarāya pakkamati. Catutthajjhānaseyyā pana tathāgataseyyāti vuccati. Tāsu idha sīhaseyyā āgatā. Ayañhi tejussadairiyāpathattā uttamaseyyā nāma. Pāde pādanti dakkhiṇapāde vāmapādaṃ. Accādhāyāti atiādhāya īsakaṃ atikkamma ṭhapetvā, gopphakena hi gopphake, jāṇunā vā jāṇumhi saṅghaṭṭiyamāne abhiṇhaṃ vedanā uppajjati, cittaṃ ekaggaṃ na hoti, seyyā aphāsukā hoti. Yathā pana na saṅghaṭṭeti, evaṃ atikkamma ṭhapite vedanā nuppajjati, cittaṃ ekaggaṃ hoti, seyyā phāsukā hoti, tasmā evamāha.

    ๔๒๕. อภิชฺฌํ โลเกติอาทิ จูฬหตฺถิปเท วิตฺถาริตํฯ

    425.Abhijjhaṃ loketiādi cūḷahatthipade vitthāritaṃ.

    ๔๒๖. ยา ปนายํ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเวติ อุปมา วุตฺตาฯ ตตฺถ อิณํ อาทายาติ วฑฺฒิยา ธนํ คเหตฺวาฯ พฺยนฺตี กเรยฺยาติ วิคตนฺตานิ กเรยฺยฯ ยถา เตสํ กากณิกมโตฺตปิ ปริยโนฺต นาม นาวสิสฺสติ, เอวํ กเรยฺย, สพฺพโส ปฎินิยฺยาเตยฺยาติ อโตฺถฯ ตโตนิทานนฺติ อาณณฺยนิทานํฯ โส หิ อณโณมฺหีติ อาวชฺชโนฺต พลวปาโมชฺชํ ลภติ, พลวโสมนสฺสมธิคจฺฉติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺส’’นฺติฯ

    426. Yā panāyaṃ seyyathāpi, bhikkhaveti upamā vuttā. Tattha iṇaṃ ādāyāti vaḍḍhiyā dhanaṃ gahetvā. Byantī kareyyāti vigatantāni kareyya. Yathā tesaṃ kākaṇikamattopi pariyanto nāma nāvasissati, evaṃ kareyya, sabbaso paṭiniyyāteyyāti attho. Tatonidānanti āṇaṇyanidānaṃ. So hi aṇaṇomhīti āvajjanto balavapāmojjaṃ labhati, balavasomanassamadhigacchati. Tena vuttaṃ – ‘‘labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassa’’nti.

    วิสภาคเวทนุปฺปตฺติยา กกเจเนว จตุอิริยาปถํ ฉินฺทโนฺต อาพาธตีติ อาพาโธ, สฺวาสฺส อตฺถีติ อาพาธิโกฯ ตํสมุฎฺฐาเนน ทุเกฺขน ทุกฺขิโตฯ อธิมตฺตคิลาโนติ พาฬฺหคิลาโนฯ นจฺฉาเทยฺยาติ อธิมตฺตพฺยาธิปเรตตาย น รุเจฺจยฺยฯ พลมตฺตาติ พลเมว, พลญฺจสฺส กาเย น ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ ตโตนิทานนฺติ อาโรคฺยนิทานํ, ตสฺส หิ อโรโคมฺหีติ อาวชฺชยโต ตทุภยํ โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ลเภถ ปาโมชฺชํ, อธิคเจฺฉยฺย โสมนสฺส’’นฺติฯ จสฺส กิญฺจิ โภคานํ วโยติ กากณิกมตฺตมฺปิ โภคานํ วโย น ภเวยฺยฯ ตโตนิทานนฺติ พนฺธนาโมกฺขนิทานํ, เสสํ วุตฺตนเยเนว สพฺพปเทสุ โยเชตพฺพํฯ อนตฺตาธีโนติ น อตฺตนิ อธีโน, อตฺตโน รุจิยา กิญฺจิ กาตุํ น ลภติฯ ปราธีโนติ ปเรสุ อธีโน, ปรเสฺสว รุจิยา ปวตฺตติฯ น เยน กามํ คโมติ เยน ทิสาภาเคนสฺส กาโม โหติฯ อิจฺฉา อุปฺปชฺชติ คมนาย, เตน คนฺตุํ น ลภติฯ ทาสพฺยาติ ทาสภาวาฯ ภุชิโสฺสติ อตฺตโน สนฺตโก ฯ ตโตนิทานนฺติ ภุชิสฺสนิทานํฯ กนฺตารทฺธานมคฺคนฺติ กนฺตารํ อทฺธานมคฺคํ, นิรุทกํ ทีฆมคฺคนฺติ อโตฺถฯ ตโตนิทานนฺติ เขมนฺตภูมินิทานํฯ

    Visabhāgavedanuppattiyā kakaceneva catuiriyāpathaṃ chindanto ābādhatīti ābādho, svāssa atthīti ābādhiko. Taṃsamuṭṭhānena dukkhena dukkhito. Adhimattagilānoti bāḷhagilāno. Nacchādeyyāti adhimattabyādhiparetatāya na rucceyya. Balamattāti balameva, balañcassa kāye na bhaveyyāti attho. Tatonidānanti ārogyanidānaṃ, tassa hi arogomhīti āvajjayato tadubhayaṃ hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘labhetha pāmojjaṃ, adhigaccheyya somanassa’’nti. Nacassa kiñci bhogānaṃ vayoti kākaṇikamattampi bhogānaṃ vayo na bhaveyya. Tatonidānanti bandhanāmokkhanidānaṃ, sesaṃ vuttanayeneva sabbapadesu yojetabbaṃ. Anattādhīnoti na attani adhīno, attano ruciyā kiñci kātuṃ na labhati. Parādhīnoti paresu adhīno, parasseva ruciyā pavattati. Na yena kāmaṃ gamoti yena disābhāgenassa kāmo hoti. Icchā uppajjati gamanāya, tena gantuṃ na labhati. Dāsabyāti dāsabhāvā. Bhujissoti attano santako . Tatonidānanti bhujissanidānaṃ. Kantāraddhānamagganti kantāraṃ addhānamaggaṃ, nirudakaṃ dīghamagganti attho. Tatonidānanti khemantabhūminidānaṃ.

    อิเม ปญฺจ นีวรเณ อปฺปหีเนติ เอตฺถ ภควา อปฺปหีนํ กามจฺฉนฺทนีวรณํ อิณสทิสํ, เสสานิ โรคาทิสทิสานิ กตฺวา ทเสฺสติฯ ตตฺรายํ สทิสตา – โย หิ ปเรสํ อิณํ คเหตฺวา วินาเสติฯ โส เตหิ อิณํ เทหีติ วุจฺจมาโนปิ ผรุสํ วุจฺจมาโนปิ พชฺฌมาโนปิ ปหริยมาโนปิ กิญฺจิ ปฎิพาหิตุํ น สโกฺกติ, สพฺพํ ติติกฺขติ, ติติกฺขการณญฺหิสฺส ตํ อิณํ โหติฯ เอวเมวํ โย ยมฺหิ กามจฺฉเนฺทน รชฺชติ, ตณฺหาคเณน ตํ วตฺถุํ คณฺหาติ, โส เตน ผรุสํ วุจฺจมาโนปิ พชฺฌมาโนปิ ปหริยมาโนปิ สพฺพํ ติติกฺขติฯ ติติกฺขการณญฺหิสฺส โส กามจฺฉโนฺท โหติ ฆรสามิเกหิ วธียมานานํ อิตฺถีนํ วิยาติฯ เอวํ อิณํ วิย กามจฺฉโนฺท ทฎฺฐโพฺพฯ

    Ime pañca nīvaraṇe appahīneti ettha bhagavā appahīnaṃ kāmacchandanīvaraṇaṃ iṇasadisaṃ, sesāni rogādisadisāni katvā dasseti. Tatrāyaṃ sadisatā – yo hi paresaṃ iṇaṃ gahetvā vināseti. So tehi iṇaṃ dehīti vuccamānopi pharusaṃ vuccamānopi bajjhamānopi pahariyamānopi kiñci paṭibāhituṃ na sakkoti, sabbaṃ titikkhati, titikkhakāraṇañhissa taṃ iṇaṃ hoti. Evamevaṃ yo yamhi kāmacchandena rajjati, taṇhāgaṇena taṃ vatthuṃ gaṇhāti, so tena pharusaṃ vuccamānopi bajjhamānopi pahariyamānopi sabbaṃ titikkhati. Titikkhakāraṇañhissa so kāmacchando hoti gharasāmikehi vadhīyamānānaṃ itthīnaṃ viyāti. Evaṃ iṇaṃ viya kāmacchando daṭṭhabbo.

    ยถา ปน ปิตฺตโรคาตุโร มธุสกฺกราทีสุปิ ทิเนฺนสุ ปิตฺตโรคาตุรตาย เตสํ รสํ น วินฺทติ, ติตฺตกํ ติตฺตกนฺติ อุคฺคิรติเยวฯ เอวเมวํ พฺยาปนฺนจิโตฺต หิตกาเมหิ อาจริยุปชฺฌาเยหิ อปฺปมตฺตกมฺปิ โอวทียมาโน โอวาทํ น คณฺหาติ, ‘‘อติ วิย เม ตุเมฺห อุปทฺทเวถา’’ติอาทีนิ วตฺวา วิพฺภมติฯ ปิตฺตโรคาตุรตาย โส ปุริโส มธุสกฺกราทิรสํ วิย, โกธาตุรตาย ฌานสุขาทิเภทํ สาสนรสํ น วินฺทตีติฯ เอวํ โรโค วิย พฺยาปาโท ทฎฺฐโพฺพฯ

    Yathā pana pittarogāturo madhusakkarādīsupi dinnesu pittarogāturatāya tesaṃ rasaṃ na vindati, tittakaṃ tittakanti uggiratiyeva. Evamevaṃ byāpannacitto hitakāmehi ācariyupajjhāyehi appamattakampi ovadīyamāno ovādaṃ na gaṇhāti, ‘‘ati viya me tumhe upaddavethā’’tiādīni vatvā vibbhamati. Pittarogāturatāya so puriso madhusakkarādirasaṃ viya, kodhāturatāya jhānasukhādibhedaṃ sāsanarasaṃ na vindatīti. Evaṃ rogo viya byāpādo daṭṭhabbo.

    ยถา ปน นกฺขตฺตทิวเส พนฺธนาคาเร พโทฺธ ปุริโส นกฺขตฺตสฺส เนว อาทิํ, น มชฺฌํ, น ปริโยสานํ ปสฺสติฯ โส ทุติยทิวเส มุโตฺต, ‘‘อโห หิโยฺย นกฺขตฺตํ มนาปํ, อโห นจฺจํ, อโห คีต’’นฺติอาทีนิ สุตฺวาปิ ปฎิวจนํ น เทติฯ กิํ การณา? นกฺขตฺตสฺส อนนุภูตตฺตาฯ เอวเมวํ ถินมิทฺธาภิภูโต ภิกฺขุ วิจิตฺตนเยปิ ธมฺมสฺสวเน ปวตฺตมาเน เนว ตสฺส อาทิํ, น มชฺฌํ, น ปริโยสานํ ชานาติฯ โส อุฎฺฐิเต ธมฺมสฺสวเน, ‘‘อโห ธมฺมสฺสวนํ, อโห การณํ, อโห อุปมา’’ติ ธมฺมสฺสวนสฺส วณฺณํ ภณมานานํ สุตฺวาปิ ปฎิวจนํ น เทติฯ กิํ การณา? ถินมิทฺธวเสน ธมฺมกถาย อนนุภูตตฺตาติฯ เอวํ พนฺธนาคารํ วิย ถินมิทฺธํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Yathā pana nakkhattadivase bandhanāgāre baddho puriso nakkhattassa neva ādiṃ, na majjhaṃ, na pariyosānaṃ passati. So dutiyadivase mutto, ‘‘aho hiyyo nakkhattaṃ manāpaṃ, aho naccaṃ, aho gīta’’ntiādīni sutvāpi paṭivacanaṃ na deti. Kiṃ kāraṇā? Nakkhattassa ananubhūtattā. Evamevaṃ thinamiddhābhibhūto bhikkhu vicittanayepi dhammassavane pavattamāne neva tassa ādiṃ, na majjhaṃ, na pariyosānaṃ jānāti. So uṭṭhite dhammassavane, ‘‘aho dhammassavanaṃ, aho kāraṇaṃ, aho upamā’’ti dhammassavanassa vaṇṇaṃ bhaṇamānānaṃ sutvāpi paṭivacanaṃ na deti. Kiṃ kāraṇā? Thinamiddhavasena dhammakathāya ananubhūtattāti. Evaṃ bandhanāgāraṃ viya thinamiddhaṃ daṭṭhabbaṃ.

    ยถา ปน นกฺขตฺตํ กีฬโนฺตปิ ทาโส, ‘‘อิทํ นาม อจฺจายิกํ กรณียํ อตฺถิ, สีฆํ, ตตฺถ คจฺฉ, โน เจ คจฺฉสิ, หตฺถปาทํ วา เต ฉินฺทามิ กณฺณนาสํ วา’’ติ วุโตฺต สีฆํ คจฺฉติเยว, นกฺขตฺตสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ อนุภวิตุํ น ลภติฯ กสฺมา? ปราธีนตายฯ เอวเมวํ วินเย อปฺปกตญฺญุนา วิเวกตฺถาย อรญฺญํ ปวิเฎฺฐนาปิ กิสฺมิญฺจิเทว อนฺตมโส กปฺปิยมํเสปิ อกปฺปิยมํสสญฺญาย อุปฺปนฺนาย วิเวกํ ปหาย สีลวิโสธนตฺถํ วินยธรสฺส สนฺติเก คนฺตพฺพํ โหติฯ วิเวกสุขํ อนุภวิตุํ น ลภติฯ กสฺมา? อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจาภิภูตตายาติ, เอวํ ทาสพฺยํ วิย อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ทฎฺฎพฺพํฯ

    Yathā pana nakkhattaṃ kīḷantopi dāso, ‘‘idaṃ nāma accāyikaṃ karaṇīyaṃ atthi, sīghaṃ, tattha gaccha, no ce gacchasi, hatthapādaṃ vā te chindāmi kaṇṇanāsaṃ vā’’ti vutto sīghaṃ gacchatiyeva, nakkhattassa ādimajjhapariyosānaṃ anubhavituṃ na labhati. Kasmā? Parādhīnatāya. Evamevaṃ vinaye appakataññunā vivekatthāya araññaṃ paviṭṭhenāpi kismiñcideva antamaso kappiyamaṃsepi akappiyamaṃsasaññāya uppannāya vivekaṃ pahāya sīlavisodhanatthaṃ vinayadharassa santike gantabbaṃ hoti. Vivekasukhaṃ anubhavituṃ na labhati. Kasmā? Uddhaccakukkuccābhibhūtatāyāti, evaṃ dāsabyaṃ viya uddhaccakukkuccaṃ daṭṭabbaṃ.

    ยถา ปน กนฺตารทฺธานมคฺคปฎิปโนฺน ปุริโส โจเรหิ มนุสฺสานํ วิลุโตฺตกาสํ ปหโตกาสญฺจ ทิสฺวา ทณฺฑกสเทฺทนปิ สกุณสเทฺทนปิ โจรา อาคตาติ อุสฺสงฺกิตปริสงฺกิโต โหติ, คจฺฉติปิ, ติฎฺฐติปิ, นิวตฺตติปิ, คตฎฺฐานโต อาคตฎฺฐานเมว พหุตรํ โหติฯ โส กิเจฺฉน กสิเรน เขมนฺตภูมิํ ปาปุณาติ วา, น วา ปาปุณาติฯ เอวเมวํ ยสฺส อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วิจิกิจฺฉา อุปฺปนฺนา โหติฯ โส ‘‘พุโทฺธ นุ โข, น นุ โข พุโทฺธ’’ติอาทินา นเยน วิจิกิจฺฉโนฺต อธิมุจฺจิตฺวา สทฺธาย คณฺหิตุํ น สโกฺกติฯ อสโกฺกโนฺต มคฺคํ วา ผลํ วา น ปาปุณาตีติ ยถา กนฺตารทฺธานมเคฺค ‘‘โจรา อตฺถิ นตฺถี’’ติ ปุนปฺปุนํ อาสปฺปนปริสปฺปนํ อปริโยคาหนํ ฉมฺภิตตฺต จิตฺตสฺส อุปฺปาเทโนฺต เขมนฺตปตฺติยา อนฺตรายํ กโรติ, เอวํ วิจิกิจฺฉาปิ ‘‘พุโทฺธ นุ โข น พุโทฺธ’’ติอาทินา นเยน ปุนปฺปุนํ อาสปฺปนปริสปฺปนํ อปริโยคาหนํ ฉมฺภิตตฺตํ จิตฺตสฺส อุปฺปาทยมานา อริยภูมิปฺปตฺติยา อนฺตรายํ กโรตีติ กนฺตารทฺธานมโคฺค วิย ทฎฺฐพฺพาฯ

    Yathā pana kantāraddhānamaggapaṭipanno puriso corehi manussānaṃ viluttokāsaṃ pahatokāsañca disvā daṇḍakasaddenapi sakuṇasaddenapi corā āgatāti ussaṅkitaparisaṅkito hoti, gacchatipi, tiṭṭhatipi, nivattatipi, gataṭṭhānato āgataṭṭhānameva bahutaraṃ hoti. So kicchena kasirena khemantabhūmiṃ pāpuṇāti vā, na vā pāpuṇāti. Evamevaṃ yassa aṭṭhasu ṭhānesu vicikicchā uppannā hoti. So ‘‘buddho nu kho, na nu kho buddho’’tiādinā nayena vicikicchanto adhimuccitvā saddhāya gaṇhituṃ na sakkoti. Asakkonto maggaṃ vā phalaṃ vā na pāpuṇātīti yathā kantāraddhānamagge ‘‘corā atthi natthī’’ti punappunaṃ āsappanaparisappanaṃ apariyogāhanaṃ chambhitatta cittassa uppādento khemantapattiyā antarāyaṃ karoti, evaṃ vicikicchāpi ‘‘buddho nu kho na buddho’’tiādinā nayena punappunaṃ āsappanaparisappanaṃ apariyogāhanaṃ chambhitattaṃ cittassa uppādayamānā ariyabhūmippattiyā antarāyaṃ karotīti kantāraddhānamaggo viya daṭṭhabbā.

    อิทานิ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อาณณฺยนฺติ เอตฺถ ภควา ปหีนกามจฺฉนฺทนีวรณํ อาณณฺยสทิสํ, เสสานิ อาโรคฺยาทิสทิสานิ กตฺวา ทเสฺสติฯ ตตฺรายํ สทิสตา – ยถา หิ ปุริโส อิณํ อาทาย กมฺมเนฺต ปโยเชตฺวา สมิทฺธกมฺมโนฺต, ‘‘อิทํ อิณํ นาม ปลิโพธมูล’’นฺติ จิเนฺตตฺวา สวฑฺฒิกํ อิณํ นิยฺยาเตตฺวา ปณฺณํ ผาลาเปยฺยฯ อถสฺส ตโต ปฎฺฐาย เนว โกจิ ทูตํ เปเสติ, น ปณฺณํ, โส อิณสามิเก ทิสฺวาปิ สเจ อิจฺฉติ, อาสนา อุฎฺฐหติ, โน เจ, น อุฎฺฐหติฯ กสฺมา? เตหิ สทฺธิํ นิเลฺลปตาย อลคฺคตายฯ เอวเมว ภิกฺขุ, ‘‘อยํ กามจฺฉโนฺท นาม ปลิโพธมูล’’นฺติ สติปฎฺฐาเน วุตฺตนเยเนว ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา กามจฺฉนฺทนีวรณํ ปชหติฯ ตเสฺสวํ ปหีนกามจฺฉนฺทสฺส ยถา อิณมุตฺตสฺส ปุริสสฺส อิณสามิเก ทิสฺวา เนว ภยํ น ฉมฺภิตตฺตํ โหติฯ เอวเมว ปรวตฺถุมฺหิ เนว สโงฺค น พโนฺธ โหติฯ ทิพฺพานิปิ รูปานิ ปสฺสโต กิเลโส น สมุทาจรติฯ ตสฺมา ภควา อาณณฺยมิว กามจฺฉนฺทปฺปหานมาหฯ

    Idāni seyyathāpi, bhikkhave, āṇaṇyanti ettha bhagavā pahīnakāmacchandanīvaraṇaṃ āṇaṇyasadisaṃ, sesāni ārogyādisadisāni katvā dasseti. Tatrāyaṃ sadisatā – yathā hi puriso iṇaṃ ādāya kammante payojetvā samiddhakammanto, ‘‘idaṃ iṇaṃ nāma palibodhamūla’’nti cintetvā savaḍḍhikaṃ iṇaṃ niyyātetvā paṇṇaṃ phālāpeyya. Athassa tato paṭṭhāya neva koci dūtaṃ peseti, na paṇṇaṃ, so iṇasāmike disvāpi sace icchati, āsanā uṭṭhahati, no ce, na uṭṭhahati. Kasmā? Tehi saddhiṃ nillepatāya alaggatāya. Evameva bhikkhu, ‘‘ayaṃ kāmacchando nāma palibodhamūla’’nti satipaṭṭhāne vuttanayeneva cha dhamme bhāvetvā kāmacchandanīvaraṇaṃ pajahati. Tassevaṃ pahīnakāmacchandassa yathā iṇamuttassa purisassa iṇasāmike disvā neva bhayaṃ na chambhitattaṃ hoti. Evameva paravatthumhi neva saṅgo na bandho hoti. Dibbānipi rūpāni passato kileso na samudācarati. Tasmā bhagavā āṇaṇyamiva kāmacchandappahānamāha.

    ยถา ปน โส ปิตฺตโรคาตุโร ปุริโส เภสชฺชกิริยาย ตํ โรคํ วูปสเมตฺวา ตโต ปฎฺฐาย มธุสกฺกราทีนํ รสํ วินฺทติฯ เอวเมวํ ภิกฺขุ, ‘‘อยํ พฺยาปาโท นาม อนตฺถการโก’’ติ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา พฺยาปาทนีวรณํ ปชหติฯ โส เอวํ ปหีนพฺยาปาโท ยถา ปิตฺตโรควิมุโตฺต ปุริโส มธุสกฺกราทีนิ มธุรานิ สมฺปิยายมาโน ปฎิเสวติฯ เอวเมวํ อาจารปณฺณตฺติอาทีนิ สิกฺขาปิยมาโน สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สมฺปิยายมาโน สิกฺขติฯ ตสฺมา ภควา อาโรคฺยมิว พฺยาปาทปฺปหานมาหฯ

    Yathā pana so pittarogāturo puriso bhesajjakiriyāya taṃ rogaṃ vūpasametvā tato paṭṭhāya madhusakkarādīnaṃ rasaṃ vindati. Evamevaṃ bhikkhu, ‘‘ayaṃ byāpādo nāma anatthakārako’’ti cha dhamme bhāvetvā byāpādanīvaraṇaṃ pajahati. So evaṃ pahīnabyāpādo yathā pittarogavimutto puriso madhusakkarādīni madhurāni sampiyāyamāno paṭisevati. Evamevaṃ ācārapaṇṇattiādīni sikkhāpiyamāno sirasā sampaṭicchitvā sampiyāyamāno sikkhati. Tasmā bhagavā ārogyamiva byāpādappahānamāha.

    ยถา โส นกฺขตฺตทิวเส พนฺธนาคารํ ปเวสิโต ปุริโส อปรสฺมิํ นกฺขตฺตทิวเส, ‘‘ปุเพฺพปิ อหํ ปมาทโทเสน พโทฺธ ตํ นกฺขตฺตํ นานุภวามิ, อิทานิ อปฺปมโตฺต ภวิสฺสามี’’ติ ยถาสฺส ปจฺจตฺถิกา โอกาสํ น ลภนฺติฯ เอวํ อปฺปมโตฺต หุตฺวา นกฺขตฺตํ อนุภวิตฺวา – ‘‘อโห นกฺขตฺตํ อโห นกฺขตฺต’’นฺติ อุทานํ อุทาเนสิฯ เอวเมว ภิกฺขุ, ‘‘อิทํ ถินมิทฺธํ นาม มหาอนตฺถกร’’นฺติ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา ถินมิทฺธนีวรณํ ปชหติฯ โส เอวํ ปหีนถินมิโทฺธ ยถา พนฺธนา มุโตฺต ปุริโส สตฺตาหมฺปิ นกฺขตฺตสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ อนุภวติฯ เอวเมวํ ภิกฺขุ ธมฺมนกฺขตฺตสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ อนุภวโนฺต สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา ภควา พนฺธนา โมกฺขมิว ถินมิทฺธปฺปหานมาหฯ

    Yathā so nakkhattadivase bandhanāgāraṃ pavesito puriso aparasmiṃ nakkhattadivase, ‘‘pubbepi ahaṃ pamādadosena baddho taṃ nakkhattaṃ nānubhavāmi, idāni appamatto bhavissāmī’’ti yathāssa paccatthikā okāsaṃ na labhanti. Evaṃ appamatto hutvā nakkhattaṃ anubhavitvā – ‘‘aho nakkhattaṃ aho nakkhatta’’nti udānaṃ udānesi. Evameva bhikkhu, ‘‘idaṃ thinamiddhaṃ nāma mahāanatthakara’’nti cha dhamme bhāvetvā thinamiddhanīvaraṇaṃ pajahati. So evaṃ pahīnathinamiddho yathā bandhanā mutto puriso sattāhampi nakkhattassa ādimajjhapariyosānaṃ anubhavati. Evamevaṃ bhikkhu dhammanakkhattassa ādimajjhapariyosānaṃ anubhavanto saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇāti. Tasmā bhagavā bandhanā mokkhamiva thinamiddhappahānamāha.

    ยถา ปน ทาโส กญฺจิเทว มิตฺตํ อุปนิสฺสาย สามิกานํ ธนํ ทตฺวา อตฺตานํ ภุชิสฺสํ กตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ยํ อิจฺฉติ, ตํ กเรยฺยฯ เอวเมว ภิกฺขุ, ‘‘อิทํ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ นาม มหาอนตฺถกร’’นฺติ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปชหติฯ โส เอวํ ปหีนุทฺธจฺจกุกฺกุโจฺจ ยถา ภุชิโสฺส ปุริโส ยํ อิจฺฉติ, ตํ กโรติฯ น ตํ โกจิ พลกฺกาเรน ตโต นิวเตฺตติฯ เอวเมวํ ภิกฺขุ ยถาสุขํ เนกฺขมฺมปฎิปทํ ปฎิปชฺชติ, น นํ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ พลกฺกาเรน ตโต นิวเตฺตติฯ ตสฺมา ภควา ภุชิสฺสํ วิย อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจปฺปหานมาหฯ

    Yathā pana dāso kañcideva mittaṃ upanissāya sāmikānaṃ dhanaṃ datvā attānaṃ bhujissaṃ katvā tato paṭṭhāya yaṃ icchati, taṃ kareyya. Evameva bhikkhu, ‘‘idaṃ uddhaccakukkuccaṃ nāma mahāanatthakara’’nti cha dhamme bhāvetvā uddhaccakukkuccaṃ pajahati. So evaṃ pahīnuddhaccakukkucco yathā bhujisso puriso yaṃ icchati, taṃ karoti. Na taṃ koci balakkārena tato nivatteti. Evamevaṃ bhikkhu yathāsukhaṃ nekkhammapaṭipadaṃ paṭipajjati, na naṃ uddhaccakukkuccaṃ balakkārena tato nivatteti. Tasmā bhagavā bhujissaṃ viya uddhaccakukkuccappahānamāha.

    ยถา พลวา ปุริโส หตฺถสารํ คเหตฺวา สชฺชาวุโธ สปริวาโร กนฺตารํ ปฎิปเชฺชยฺยฯ ตํ โจรา ทูรโตว ทิสฺวา ปลาเยยฺยุํฯ โส โสตฺถินา ตํ กนฺตารํ นิตฺถริตฺวา เขมนฺตํ ปโตฺต หฎฺฐตุโฎฺฐ อสฺสฯ เอวเมวํ ภิกฺขุ, ‘‘อยํ วิจิกิจฺฉา นาม อนตฺถการิกา’’ติ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวา วิจิกิจฺฉํ ปชหติฯ โส เอวํ ปหีนวิจิกิโจฺฉ ยถา พลวา สชฺชาวุโธ สปริวาโร ปุริโส นิพฺภโย โจเร ติณํ วิย อคเณตฺวา โสตฺถินา นิกฺขมิตฺวา เขมนฺตภูมิํ ปาปุณาติฯ เอวเมวํ ทุจฺจริตกนฺตารํ นิตฺถริตฺวา ปรมเขมนฺตภูมิํ อมตํ นิพฺพานํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา ภควา เขมนฺตภูมิํ วิย วิจิกิจฺฉาปหานมาหฯ

    Yathā balavā puriso hatthasāraṃ gahetvā sajjāvudho saparivāro kantāraṃ paṭipajjeyya. Taṃ corā dūratova disvā palāyeyyuṃ. So sotthinā taṃ kantāraṃ nittharitvā khemantaṃ patto haṭṭhatuṭṭho assa. Evamevaṃ bhikkhu, ‘‘ayaṃ vicikicchā nāma anatthakārikā’’ti cha dhamme bhāvetvā vicikicchaṃ pajahati. So evaṃ pahīnavicikiccho yathā balavā sajjāvudho saparivāro puriso nibbhayo core tiṇaṃ viya agaṇetvā sotthinā nikkhamitvā khemantabhūmiṃ pāpuṇāti. Evamevaṃ duccaritakantāraṃ nittharitvā paramakhemantabhūmiṃ amataṃ nibbānaṃ pāpuṇāti. Tasmā bhagavā khemantabhūmiṃ viya vicikicchāpahānamāha.

    ๔๒๗. อิมเมว กายนฺติ อิมํ กรชกายํฯ อภิสเนฺทตีติ เตเมติ เสฺนเหติ, สพฺพตฺถ ปวตฺตปีติสุขํ กโรติฯ ปริสเนฺทตีติ สมนฺตโต สเนฺทติฯ ปริปูเรตีติ วายุนา ภสฺตํ วิย ปูเรติฯ ปริปฺผรตีติ สมนฺตโต ผุสติ ฯ สพฺพาวโต กายสฺสาติ อสฺส ภิกฺขุโน สพฺพโกฎฺฐาสวโต กายสฺสฯ กิญฺจิ อุปาทินฺนกสนฺตติปวตฺติฎฺฐาเน ฉวิมํสโลหิตานุคตํ อณุมตฺตมฺปิ ฐานํ ปฐมชฺฌานสุเขน อผุฎฺฐํ นาม น โหติฯ ทโกฺขติ เฉโก ปฎิพโล นฺหานียจุณฺณานิ กาตุเญฺจว โยเชตุญฺจ สเนฺนตุญฺจฯ กํสถาเลติ เยน เกนจิ โลเหน กตภาชเนฯ มตฺติกภาชนํ ปน ถิรํ น โหติ, สเนฺนนฺตสฺส ภิชฺชติ, ตสฺมา ตํ น ทเสฺสติฯ ปริโปฺผสกํ ปริโปฺผสกนฺติ สิญฺจิตฺวา สิญฺจิตฺวาฯ สเนฺนยฺยาติ วามหเตฺถน กํสถาลํ คเหตฺวา ทกฺขิเณน หเตฺถน ปมาณยุตฺตํ อุทกํ สิญฺจิตฺวา สิญฺจิตฺวา ปริมทฺทโนฺต ปิณฺฑํ กเรยฺยฯ เสฺนหานุคตาติ อุทกสิเนเหน อนุคตาฯ เสฺนหปเรตาติ อุทกสิเนเหน ปริคตาฯ สนฺตรพาหิราติ สทฺธิํ อโนฺตปเทเสน เจว พหิปเทเสน จ, สพฺพตฺถกเมว อุทกสิเนเหน ผุฎาติ อโตฺถฯ น จ ปคฺฆริณีติ น พินฺทุ พินฺทุ อุทกํ ปคฺฆรติ, สกฺกา โหติ หเตฺถนปิ ทฺวีหิปิ ตีหิปิ องฺคุลีหิ คเหตุํ โอวฎฺฎิกมฺปิ กาตุนฺติ อโตฺถฯ

    427.Imameva kāyanti imaṃ karajakāyaṃ. Abhisandetīti temeti sneheti, sabbattha pavattapītisukhaṃ karoti. Parisandetīti samantato sandeti. Paripūretīti vāyunā bhastaṃ viya pūreti. Parippharatīti samantato phusati . Sabbāvato kāyassāti assa bhikkhuno sabbakoṭṭhāsavato kāyassa. Kiñci upādinnakasantatipavattiṭṭhāne chavimaṃsalohitānugataṃ aṇumattampi ṭhānaṃ paṭhamajjhānasukhena aphuṭṭhaṃ nāma na hoti. Dakkhoti cheko paṭibalo nhānīyacuṇṇāni kātuñceva yojetuñca sannetuñca. Kaṃsathāleti yena kenaci lohena katabhājane. Mattikabhājanaṃ pana thiraṃ na hoti, sannentassa bhijjati, tasmā taṃ na dasseti. Paripphosakaṃ paripphosakanti siñcitvā siñcitvā. Sanneyyāti vāmahatthena kaṃsathālaṃ gahetvā dakkhiṇena hatthena pamāṇayuttaṃ udakaṃ siñcitvā siñcitvā parimaddanto piṇḍaṃ kareyya. Snehānugatāti udakasinehena anugatā. Snehaparetāti udakasinehena parigatā. Santarabāhirāti saddhiṃ antopadesena ceva bahipadesena ca, sabbatthakameva udakasinehena phuṭāti attho. Na ca pagghariṇīti na bindu bindu udakaṃ paggharati, sakkā hoti hatthenapi dvīhipi tīhipi aṅgulīhi gahetuṃ ovaṭṭikampi kātunti attho.

    ๔๒๘. ทุติยชฺฌานสุขอุปมายํ อุพฺภิโตทโกติ อุพฺภินฺนอุทโก, น เหฎฺฐา อุพฺภิชฺชิตฺวา อุคฺคจฺฉนอุทโก, อโนฺตเยว ปน อุพฺภิชฺชนอุทโกติ อโตฺถฯ อายมุขนฺติ อาคมนมโคฺคฯ เทโวติ เมโฆฯ กาเลนกาลนฺติ กาเล กาเล, อนฺวทฺธมาสํ วา อนุทสาหํ วาติ อโตฺถฯ ธารนฺติ วุฎฺฐิํฯ นานุปฺปเวเจฺฉยฺยาติ น ปเวเสยฺย, น วเสฺสยฺยาติ อโตฺถฯ สีตา วาริธารา อุพฺภิชฺชิตฺวาติ สีตํ วาริ ตํ อุทกรหทํ ปูรยมานํ อุพฺภิชฺชิตฺวาฯ เหฎฺฐา อุคฺคจฺฉนอุทกญฺหิ อุคฺคนฺตฺวา อุคฺคนฺตฺวา ภิชฺชนฺตํ อุทกํ โขเภติฯ จตูหิ ทิสาหิ ปวิสนอุทกํ ปุราณปณฺณติณกฎฺฐทณฺฑกาทีหิ อุทกํ โขเภติฯ วุฎฺฐิอุทกํ ธารานิปาตปุปฺผุฬเกหิ อุทกํ โขเภติฯ สนฺนิสินฺนเมว ปน หุตฺวา อิทฺธินิมฺมิตมิว อุปฺปชฺชมานํ อุทกํ อิมํ ปเทสํ ผรติ, อิมํ ปเทสํ น ผรตีติ นตฺถิฯ เตน อผุโฎกาโส นาม น โหตีติฯ ตตฺถ รหโท วิย กรชกาโย, อุทกํ วิย ทุติยชฺฌานสุขํฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    428. Dutiyajjhānasukhaupamāyaṃ ubbhitodakoti ubbhinnaudako, na heṭṭhā ubbhijjitvā uggacchanaudako, antoyeva pana ubbhijjanaudakoti attho. Āyamukhanti āgamanamaggo. Devoti megho. Kālenakālanti kāle kāle, anvaddhamāsaṃ vā anudasāhaṃ vāti attho. Dhāranti vuṭṭhiṃ. Nānuppaveccheyyāti na paveseyya, na vasseyyāti attho. Sītā vāridhārā ubbhijjitvāti sītaṃ vāri taṃ udakarahadaṃ pūrayamānaṃ ubbhijjitvā. Heṭṭhā uggacchanaudakañhi uggantvā uggantvā bhijjantaṃ udakaṃ khobheti. Catūhi disāhi pavisanaudakaṃ purāṇapaṇṇatiṇakaṭṭhadaṇḍakādīhi udakaṃ khobheti. Vuṭṭhiudakaṃ dhārānipātapupphuḷakehi udakaṃ khobheti. Sannisinnameva pana hutvā iddhinimmitamiva uppajjamānaṃ udakaṃ imaṃ padesaṃ pharati, imaṃ padesaṃ na pharatīti natthi. Tena aphuṭokāso nāma na hotīti. Tattha rahado viya karajakāyo, udakaṃ viya dutiyajjhānasukhaṃ. Sesaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.

    ๔๒๙. ตติยชฺฌานสุขอุปมายํ อุปฺปลานิ เอตฺถ สนฺตีติ อุปฺปลินีฯ เสสปททฺวเยสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ เสตรตฺตนีเลสุ ยํกิญฺจิ อุปฺปลํ อุปฺปลเมว, อูนกสตปตฺตํ ปุณฺฑรีกํ, สตปตฺตํ ปทุมํฯ ปตฺตนิยมํ วา วินาปิ เสตํ ปทุมํ, รตฺตํ ปุณฺฑรีกนฺติ อยเมตฺถ วินิจฺฉโยฯ อุทกานุคฺคตานีติ อุทกโต น อุคฺคตานิฯ อโนฺตนิมุคฺคโปสีนีติ อุทกตลสฺส อโนฺต นิมุคฺคานิเยว หุตฺวา โปสีนิ, วฑฺฒีนีติ อโตฺถฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    429. Tatiyajjhānasukhaupamāyaṃ uppalāni ettha santīti uppalinī. Sesapadadvayesupi eseva nayo. Ettha ca setarattanīlesu yaṃkiñci uppalaṃ uppalameva, ūnakasatapattaṃ puṇḍarīkaṃ, satapattaṃ padumaṃ. Pattaniyamaṃ vā vināpi setaṃ padumaṃ, rattaṃ puṇḍarīkanti ayamettha vinicchayo. Udakānuggatānīti udakato na uggatāni. Antonimuggaposīnīti udakatalassa anto nimuggāniyeva hutvā posīni, vaḍḍhīnīti attho. Sesaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.

    ๔๓๐. จตุตฺถชฺฌานสุขอุปมายํ ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตนาติ เอตฺถ นิรุปกฺกิเลสเฎฺฐน ปริสุทฺธํฯ ปภสฺสรเฎฺฐน ปริโยทาตํ เวทิตพฺพํฯ โอทาเตน วเตฺถนาติ อิทํ อุตุผรณตฺถํ วุตฺตํฯ กิลิฎฺฐวเตฺถน หิ อุตุผรณํ น โหติ, ตงฺขณโธตปริสุเทฺธน อุตุผรณํ พลวํ โหติฯ อิมิสฺสา หิ อุปมาย วตฺถํ วิย กรชกาโยฯ อุตุผรณํ วิย จตุตฺถชฺฌานสุขํฯ ตสฺมา ยถา สุนฺหาตสฺส ปุริสสฺส ปริสุทฺธํ วตฺถํ สสีสํ ปารุปิตฺวา นิสินฺนสฺส สรีรโต อุตุ สพฺพเมว วตฺถํ ผรติ, น โกจิ วตฺถสฺส อผุโฎกาโส โหติฯ เอวํ จตุตฺถชฺฌานสุเขน ภิกฺขุโน กรชกายสฺส น โกจิ โอกาโส อผุโฎ โหตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ จตุตฺถชฺฌานจิตฺตเมว วา วตฺถํ วิย, ตํสมุฎฺฐานรูปํ อุตุผรณํ วิยฯ ยถา หิ กตฺถจิ โอทาตวเตฺถ กายํ อปฺผุสเนฺตปิ ตํสมุฎฺฐาเนน อุตุนา สพฺพตฺถกเมว กาโย ผุโฎฺฐ โหติฯ เอวํ จตุตฺถชฺฌานสมุฎฺฐิเตน สุขุมรูเปน สพฺพตฺถกเมว ภิกฺขุโน กรชกาโย ผุโฎ โหตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    430. Catutthajjhānasukhaupamāyaṃ parisuddhena cetasā pariyodātenāti ettha nirupakkilesaṭṭhena parisuddhaṃ. Pabhassaraṭṭhena pariyodātaṃ veditabbaṃ. Odātena vatthenāti idaṃ utupharaṇatthaṃ vuttaṃ. Kiliṭṭhavatthena hi utupharaṇaṃ na hoti, taṅkhaṇadhotaparisuddhena utupharaṇaṃ balavaṃ hoti. Imissā hi upamāya vatthaṃ viya karajakāyo. Utupharaṇaṃ viya catutthajjhānasukhaṃ. Tasmā yathā sunhātassa purisassa parisuddhaṃ vatthaṃ sasīsaṃ pārupitvā nisinnassa sarīrato utu sabbameva vatthaṃ pharati, na koci vatthassa aphuṭokāso hoti. Evaṃ catutthajjhānasukhena bhikkhuno karajakāyassa na koci okāso aphuṭo hotīti evamettha attho daṭṭhabbo. Catutthajjhānacittameva vā vatthaṃ viya, taṃsamuṭṭhānarūpaṃ utupharaṇaṃ viya. Yathā hi katthaci odātavatthe kāyaṃ apphusantepi taṃsamuṭṭhānena utunā sabbatthakameva kāyo phuṭṭho hoti. Evaṃ catutthajjhānasamuṭṭhitena sukhumarūpena sabbatthakameva bhikkhuno karajakāyo phuṭo hotīti evamettha attho daṭṭhabbo.

    ๔๓๑. ปุเพฺพนิวาสญาณอุปมายํ ตํทิวสํ กตกิริยา ปากฎา โหตีติ ตํทิวสํ คตคามตฺตยเมว คหิตํฯ ตตฺถ คามตฺตยํ คตปุริโส วิย ปุเพฺพนิวาสญาณลาภี ทฎฺฐโพฺพฯ ตโย คามา วิย ตโย ภวา ทฎฺฐพฺพาฯ ตสฺส ปุริสสฺส ตีสุ คาเมสุ ตํทิวสํ กตกิริยาย อาวิภาโว วิย ปุเพฺพนิวาสาย จิตฺตํ อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน ตีสุ ภเวสุ กตกิริยาย อาวิภาโว ทฎฺฐโพฺพฯ

    431. Pubbenivāsañāṇaupamāyaṃ taṃdivasaṃ katakiriyā pākaṭā hotīti taṃdivasaṃ gatagāmattayameva gahitaṃ. Tattha gāmattayaṃ gatapuriso viya pubbenivāsañāṇalābhī daṭṭhabbo. Tayo gāmā viya tayo bhavā daṭṭhabbā. Tassa purisassa tīsu gāmesu taṃdivasaṃ katakiriyāya āvibhāvo viya pubbenivāsāya cittaṃ abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno tīsu bhavesu katakiriyāya āvibhāvo daṭṭhabbo.

    ๔๓๒. ทิพฺพจกฺขุอุปมายํ เทฺว อคาราติ เทฺว ฆราฯ สทฺวาราติ สมฺมุขทฺวาราฯ อนุจงฺกมเนฺตติ อปราปรํ สญฺจรเนฺตฯ อนุวิจรเนฺตติ อิโต จิโต จ วิจรเนฺต, อิโต ปน เคหา นิกฺขมิตฺวา เอตํ เคหํ, เอตสฺมา วา นิกฺขมิตฺวา อิมํ เคหํ ปวิสนวเสนปิ ทฎฺฐพฺพาฯ ตตฺถ เทฺว อคารา สทฺวารา วิย จุติปฎิสนฺธิโย, จกฺขุมา ปุริโส วิย ทิพฺพจกฺขุญาณลาภี, จกฺขุมโต ปุริสสฺส ทฺวินฺนํ เคหานํ อนฺตเร ฐตฺวา ปสฺสโต เทฺว อคาเร ปวิสนกนิกฺขมนกปุริสานํ ปากฎกาโล วิย ทิพฺพจกฺขุลาภิโน อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา โอโลเกนฺตสฺส จวนกอุปปชฺชนกสตฺตานํ ปากฎกาโลฯ กิํ ปน เต ญาณสฺส ปากฎา, ปุคฺคลสฺสาติ? ญาณสฺสฯ ตสฺส ปากฎตฺตา ปน ปุคฺคลสฺส ปากฎาเยวาติฯ

    432. Dibbacakkhuupamāyaṃ dve agārāti dve gharā. Sadvārāti sammukhadvārā. Anucaṅkamanteti aparāparaṃ sañcarante. Anuvicaranteti ito cito ca vicarante, ito pana gehā nikkhamitvā etaṃ gehaṃ, etasmā vā nikkhamitvā imaṃ gehaṃ pavisanavasenapi daṭṭhabbā. Tattha dve agārā sadvārā viya cutipaṭisandhiyo, cakkhumā puriso viya dibbacakkhuñāṇalābhī, cakkhumato purisassa dvinnaṃ gehānaṃ antare ṭhatvā passato dve agāre pavisanakanikkhamanakapurisānaṃ pākaṭakālo viya dibbacakkhulābhino ālokaṃ vaḍḍhetvā olokentassa cavanakaupapajjanakasattānaṃ pākaṭakālo. Kiṃ pana te ñāṇassa pākaṭā, puggalassāti? Ñāṇassa. Tassa pākaṭattā pana puggalassa pākaṭāyevāti.

    ๔๓๓. อาสวกฺขยญาณอุปมายํ ปพฺพตสเงฺขเปติ ปพฺพตมตฺถเกฯ อนาวิโลติ นิกฺกทฺทโมฯ สิปฺปิโย จ สมฺพุกา จ สิปฺปิสมฺพุกํฯ สกฺขรา จ กถลา จ สกฺขรกถลํฯ มจฺฉานํ คุมฺพา ฆฎาติ มจฺฉคุมฺพํฯ ติฎฺฐนฺตมฺปิ จรนฺตมฺปีติ เอตฺถ สกฺขรกถลํ ติฎฺฐติเยว, อิตรานิ จรนฺติปิ ติฎฺฐนฺติปิฯ ยถา ปน อนฺตรนฺตรา ฐิตาสุปิ นิสินฺนาสุปิ วิชฺชมานาสุปิ, ‘‘เอตา คาโว จรนฺตี’’ติ จรนฺติโย อุปาทาย อิตราปิ จรนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ เอวํ ติฎฺฐนฺตเมว สกฺขรกถลํ อุปาทาย อิตรมฺปิ ทฺวยํ ติฎฺฐนฺตนฺติ วุตฺตํฯ อิตรญฺจ ทฺวยํ จรนฺตํ อุปาทาย สกฺขรกถลมฺปิ จรนฺตนฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ จกฺขุมโต ปุริสสฺส ตีเร ฐตฺวา ปสฺสโต สิปฺปิสมฺพุกาทีนํ วิภูตกาโล วิย อาสวานํ ขยาย จิตฺตํ นีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน จตุนฺนํ สจฺจานํ วิภูตกาโล ทฎฺฐโพฺพฯ

    433. Āsavakkhayañāṇaupamāyaṃ pabbatasaṅkhepeti pabbatamatthake. Anāviloti nikkaddamo. Sippiyo ca sambukā ca sippisambukaṃ. Sakkharā ca kathalā ca sakkharakathalaṃ. Macchānaṃ gumbā ghaṭāti macchagumbaṃ. Tiṭṭhantampi carantampīti ettha sakkharakathalaṃ tiṭṭhatiyeva, itarāni carantipi tiṭṭhantipi. Yathā pana antarantarā ṭhitāsupi nisinnāsupi vijjamānāsupi, ‘‘etā gāvo carantī’’ti carantiyo upādāya itarāpi carantīti vuccanti. Evaṃ tiṭṭhantameva sakkharakathalaṃ upādāya itarampi dvayaṃ tiṭṭhantanti vuttaṃ. Itarañca dvayaṃ carantaṃ upādāya sakkharakathalampi carantanti vuttaṃ. Tattha cakkhumato purisassa tīre ṭhatvā passato sippisambukādīnaṃ vibhūtakālo viya āsavānaṃ khayāya cittaṃ nīharitvā nisinnassa bhikkhuno catunnaṃ saccānaṃ vibhūtakālo daṭṭhabbo.

    ๔๓๔. อิทานิ สตฺตหากาเรหิ สลิงฺคโต สคุณโต ขีณาสวสฺส นามํ คณฺหโนฺต, อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมโณ อิติปีติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมโณ โหตีติอาทีสุ, ภิกฺขเว, เอวํ ภิกฺขุ สมิตปาปตฺตา สมโณ โหติฯ พาหิตปาปตฺตา พฺราหฺมโณ โหติฯ นฺหาตกิเลสตฺตา นฺหาตโก โหติ, โธตกิเลสตฺตาติ อโตฺถฯ จตุมคฺคญาณสงฺขาเตหิ เวเทหิ อกุสลธมฺมานํ คตตฺตา เวทคู โหติ, วิทิตตฺตาติ อโตฺถฯ เตเนว วิทิตาสฺส โหนฺตีติอาทิมาหฯ กิเลสานํ สุตตฺตา โสตฺติโย โหติ, นิสฺสุตตฺตา อปหตตฺตาติ อโตฺถฯ กิเลสานํ อารกตฺตา อริโย โหติ, หตตฺตาติ อโตฺถฯ เตหิ อารกตฺตา อรหํ โหติ, ทูรีภูตตฺตาติ อโตฺถฯ เสสํ สพตฺถ ปากฎเมวาติฯ

    434. Idāni sattahākārehi saliṅgato saguṇato khīṇāsavassa nāmaṃ gaṇhanto, ayaṃ vuccati, bhikkhave, bhikkhu samaṇo itipītiādimāha. Tattha evaṃ kho, bhikkhave, bhikkhu samaṇohotītiādīsu, bhikkhave, evaṃ bhikkhu samitapāpattā samaṇo hoti. Bāhitapāpattā brāhmaṇo hoti. Nhātakilesattā nhātako hoti, dhotakilesattāti attho. Catumaggañāṇasaṅkhātehi vedehi akusaladhammānaṃ gatattā vedagū hoti, viditattāti attho. Teneva viditāssa hontītiādimāha. Kilesānaṃ sutattā sottiyo hoti, nissutattā apahatattāti attho. Kilesānaṃ ārakattā ariyo hoti, hatattāti attho. Tehi ārakattā arahaṃ hoti, dūrībhūtattāti attho. Sesaṃ sabattha pākaṭamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    มหาอสฺสปุรสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahāassapurasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๙. มหาอสฺสปุรสุตฺตํ • 9. Mahāassapurasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๙. มหาอสฺสปุรสุตฺตวณฺณนา • 9. Mahāassapurasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact