Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๙. มหาอสฺสปุรสุตฺตวณฺณนา

    9. Mahāassapurasuttavaṇṇanā

    ๔๑๕. ชานปทิโนติ ชนปทวโนฺต, ชนปทสฺส วา อิสฺสรา ราชกุมารา โคตฺตวเสน องฺคา นามฯ เตสํ นิวาโส ยทิ เอโก ชนปโท , กถํ พหุวจนนฺติ อาห ‘‘รุฬฺหีสเทฺทนา’’ติฯ อกฺขรจินฺตกา หิ อีทิเสสุ ฐาเนสุ ยุเตฺต วิย สลิงฺควจนานิ (ปาณินิ ๑.๒.๕๑) อิจฺฉนฺติฯ อยเมตฺถ รุฬฺหี ยถา ‘‘กุรูสุ วิหรติ, มเลฺลสุ วิหรตี’’ติ จฯ ตพฺพิเสสเน ปน ชนปทสเทฺท ชาติสเทฺท เอกวจนเมวฯ เตนาห ‘‘อเงฺคสุ ชนปเท’’ติฯ อสฺสา วุจฺจนฺติ ปาสาณานิ, ตานิ สุนฺทรานิ ตตฺถ สนฺตีติ ‘‘อสฺสปุร’’นฺติ โส นิคโม วุโตฺตติ เกจีฯ อปเร ปน อาชานีโย อโสฺส รโญฺญ ตตฺถ คหณํ อุปคโตติ ‘‘อสฺสปุร’’นฺติ วุโตฺตติ วทนฺติฯ กิํ เตหิ, นามเมตํ ตสฺส นิคมสฺสฯ ยสฺมา ปน ตตฺถ ภควโต นิพทฺธวสนฎฺฐานํ กิญฺจิ นาโหสิ, ตสฺมา ‘‘ตํ โคจรคามํ กตฺวา วิหรติ’’เจฺจว วุตฺตํฯ ตถา หิ ปาฬิยํ ‘‘อสฺสปุรํ นาม องฺคานํ นิคโม’’ติ โคจรคามกิตฺตนเมว กตํฯ

    415.Jānapadinoti janapadavanto, janapadassa vā issarā rājakumārā gottavasena aṅgā nāma. Tesaṃ nivāso yadi eko janapado , kathaṃ bahuvacananti āha ‘‘ruḷhīsaddenā’’ti. Akkharacintakā hi īdisesu ṭhānesu yutte viya saliṅgavacanāni (pāṇini 1.2.51) icchanti. Ayamettha ruḷhī yathā ‘‘kurūsu viharati, mallesu viharatī’’ti ca. Tabbisesane pana janapadasadde jātisadde ekavacanameva. Tenāha ‘‘aṅgesu janapade’’ti. Assā vuccanti pāsāṇāni, tāni sundarāni tattha santīti ‘‘assapura’’nti so nigamo vuttoti kecī. Apare pana ājānīyo asso rañño tattha gahaṇaṃ upagatoti ‘‘assapura’’nti vuttoti vadanti. Kiṃ tehi, nāmametaṃ tassa nigamassa. Yasmā pana tattha bhagavato nibaddhavasanaṭṭhānaṃ kiñci nāhosi, tasmā ‘‘taṃ gocaragāmaṃ katvā viharati’’cceva vuttaṃ. Tathā hi pāḷiyaṃ ‘‘assapuraṃ nāma aṅgānaṃ nigamo’’ti gocaragāmakittanameva kataṃ.

    เอวรูเปน สีเลนาติอาทีสุ สีลคฺคหเณน วาริตฺตสีลมาหฯ เตน สมฺมาวาจากมฺมนฺตาชีเว ทเสฺสติฯ อาจารคฺคหเณน จาริตฺตสีลํฯ เตน ปริสุทฺธํ กายวจีสมาจารํฯ ปฎิปตฺติคฺคหเณน สมถวิปสฺสนามคฺคผลสงฺคหํ สมฺมาปฎิปตฺติํฯ ลชฺชิโนติ อิมินา ยถาวุตฺตสีลาจารมูลการณํฯ เปสลาติ อิมินา ปาริสุทฺธิํฯ อุฬารคุณาติ อิมินา ปฎิปตฺติยา ปาริปูริํฯ ภิกฺขุสงฺฆเสฺสว วณฺณํ กเถนฺตีติ อิทํ เตสํ อุปาสกานํ เยภุเยฺยน ภิกฺขูนํ คุณกิตฺตนปสุตตาย วุตฺตํฯ เต ปน สทฺธเมฺมปิ สมฺมาสมฺพุเทฺธปิ อภิปฺปสนฺนา เอวฯ เตนาห ‘‘พุทฺธมามกา ธมฺมมามกา’’ติฯ วตฺถุตฺตเย หิ เอกสฺมิํ อภิปฺปสนฺนา อิตรทฺวเย อภิปฺปสนฺนา เอว ตทวินาภาวโตฯ ปิณฺฑปาตาปจายเนติ ลกฺขณวจนเมตํ ยถา ‘‘กาเกหิ สปฺปิ รกฺขิตพฺพ’’นฺติ, ตสฺมา ปจฺจยปฎิปูชเนติ วุตฺตํ โหติฯ ปจฺจยทายกานญฺหิ การสฺส อตฺตโน สมฺมาปฎิปตฺติยา มหปฺผลภาวสฺส กรณํ อิธ ‘‘ปิณฺฑปาตาปจายน’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ

    Evarūpena sīlenātiādīsu sīlaggahaṇena vārittasīlamāha. Tena sammāvācākammantājīve dasseti. Ācāraggahaṇena cārittasīlaṃ. Tena parisuddhaṃ kāyavacīsamācāraṃ. Paṭipattiggahaṇena samathavipassanāmaggaphalasaṅgahaṃ sammāpaṭipattiṃ. Lajjinoti iminā yathāvuttasīlācāramūlakāraṇaṃ. Pesalāti iminā pārisuddhiṃ. Uḷāraguṇāti iminā paṭipattiyā pāripūriṃ. Bhikkhusaṅghasseva vaṇṇaṃ kathentīti idaṃ tesaṃ upāsakānaṃ yebhuyyena bhikkhūnaṃ guṇakittanapasutatāya vuttaṃ. Te pana saddhammepi sammāsambuddhepi abhippasannā eva. Tenāha ‘‘buddhamāmakā dhammamāmakā’’ti. Vatthuttaye hi ekasmiṃ abhippasannā itaradvaye abhippasannā eva tadavinābhāvato. Piṇḍapātāpacāyaneti lakkhaṇavacanametaṃ yathā ‘‘kākehi sappi rakkhitabba’’nti, tasmā paccayapaṭipūjaneti vuttaṃ hoti. Paccayadāyakānañhi kārassa attano sammāpaṭipattiyā mahapphalabhāvassa karaṇaṃ idha ‘‘piṇḍapātāpacāyana’’nti adhippetaṃ.

    สมณกรณาติ สมณภาวกรา, สมณภาวสฺส การกาติ อโตฺถฯ เต ปน เอกนฺตโต อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปาทิตา วฑฺฒิตา จ โหนฺตีติ อาห ‘‘สมาทาย ปริปูริตา’’ติฯ สมณคฺคหณเญฺจตฺถ สมณวเสน, น สามญฺญมเตฺตนาติ อาห ‘‘สมิตปาปสมณ’’นฺติฯ พฺราหฺมณกรณาติ เอตฺถาปิ วุตฺตนเยเนวโตฺถ เวทิตโพฺพฯ พฺยญฺชนโต เอว จายํ เภโท, ยทิทํ สมณพฺราหฺมณาติ , น อตฺถโตฯ สมเณน กตฺตพฺพธมฺมาติ สมณธเมฺม ฐิเตน สมฺปาเทตพฺพธมฺมาฯ โย หิ เหฎฺฐิมสิกฺขาสงฺขาตสมณภาเว สุปฺปติฎฺฐิโต, เตน เย อุปริสิกฺขาสงฺขาตสมณภาวา สมฺปาเทตพฺพา, เตสํ วเสเนว วุตฺตสมเณน กตฺตพฺพธมฺมา วุตฺตาติฯ ตถา หิ เตสํ สมณภาวาวหตํ สนฺธายาห ‘‘เตปิ จ สมณกรณา โหนฺติเยวา’’ติฯ อิธ ปนาติ มหาอสฺสปุเรฯ หิโรตฺตปฺปาทิวเสน เทสนา วิตฺถาริตาติ หิโรตฺตปฺป-ปริสุทฺธกายวจีมโนสมาจาราชีวอินฺทฺริยสํวร-โภชเนมตฺตญฺญุต- ชาคริยานุโยคสติสมฺปชญฺญ-ฌานวิชฺชาวเสน สมณกรณธมฺมเทสนา วิตฺถารโต เทสิตา, น ติกนิปาเต วิย สเงฺขปโตฯ ผลคฺคหเณเนว วิปากผลํ คหิตํ, ตํ ปน อุกฺกฎฺฐนิเทฺทเสน จตุพฺพิธํ สามญฺญผลํ ทฎฺฐพฺพํฯ อานิสํสคฺคหเณน ปิยมนาปตาทิอุทฺรโยฯ ตเสฺสว อโตฺถติ ตเสฺสว อวญฺจาปทเสฺสว อตฺถนิเทฺทโสฯ ‘‘ยสฺสา หี’’ติอาทินา พฺยติเรกวเสน อตฺถํ วทติฯ เอตฺตเกน ฐาเนนาติ เอตฺตเกน ปาฬิปเทเสนฯ หิโรตฺตปฺปาทีนํ อุปริ ปาฬิยํ วุจฺจมานานํ สมณกรณธมฺมานํฯ วณฺณํ กเถสีติ คุณํ อานิสํสํ อภาสิฯ สติปฎฺฐาเน วุตฺตนเยนาติ ‘‘อปิจ วณฺณภณนเมต’’นฺติอาทินา สติปฎฺฐานวณฺณนายํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๗๓; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๐๖) วุตฺตนเยนฯ

    Samaṇakaraṇāti samaṇabhāvakarā, samaṇabhāvassa kārakāti attho. Te pana ekantato attano santāne uppāditā vaḍḍhitā ca hontīti āha ‘‘samādāya paripūritā’’ti. Samaṇaggahaṇañcettha samaṇavasena, na sāmaññamattenāti āha ‘‘samitapāpasamaṇa’’nti. Brāhmaṇakaraṇāti etthāpi vuttanayenevattho veditabbo. Byañjanato eva cāyaṃ bhedo, yadidaṃ samaṇabrāhmaṇāti , na atthato. Samaṇenakattabbadhammāti samaṇadhamme ṭhitena sampādetabbadhammā. Yo hi heṭṭhimasikkhāsaṅkhātasamaṇabhāve suppatiṭṭhito, tena ye uparisikkhāsaṅkhātasamaṇabhāvā sampādetabbā, tesaṃ vaseneva vuttasamaṇena kattabbadhammā vuttāti. Tathā hi tesaṃ samaṇabhāvāvahataṃ sandhāyāha ‘‘tepi ca samaṇakaraṇā hontiyevā’’ti. Idha panāti mahāassapure. Hirottappādivasena desanā vitthāritāti hirottappa-parisuddhakāyavacīmanosamācārājīvaindriyasaṃvara-bhojanemattaññuta- jāgariyānuyogasatisampajañña-jhānavijjāvasena samaṇakaraṇadhammadesanā vitthārato desitā, na tikanipāte viya saṅkhepato. Phalaggahaṇeneva vipākaphalaṃ gahitaṃ, taṃ pana ukkaṭṭhaniddesena catubbidhaṃ sāmaññaphalaṃ daṭṭhabbaṃ. Ānisaṃsaggahaṇena piyamanāpatādiudrayo. Tasseva atthoti tasseva avañcāpadasseva atthaniddeso. ‘‘Yassā hī’’tiādinā byatirekavasena atthaṃ vadati. Ettakena ṭhānenāti ettakena pāḷipadesena. Hirottappādīnaṃ upari pāḷiyaṃ vuccamānānaṃ samaṇakaraṇadhammānaṃ. Vaṇṇaṃ kathesīti guṇaṃ ānisaṃsaṃ abhāsi. Satipaṭṭhāne vuttanayenāti ‘‘apica vaṇṇabhaṇanameta’’ntiādinā satipaṭṭhānavaṇṇanāyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 2.373; ma. ni. aṭṭha. 1.106) vuttanayena.

    ๔๑๖. ยํ หิรียตีติ เยน ธเมฺมน เหตุภูเตน วา ชิคุจฺฉติฯ กรเณ เหตํ ปจฺจตฺตวจนํฯ นฺติ วา ลิงฺควิปลฺลาเสน วุโตฺต, ธโมฺมติ อโตฺถฯ หิรียิตเพฺพนาติ อุปโยคเตฺถ กรณวจนํ, หิรียิตพฺพยุตฺตกํ กายทุจฺจริตาทินฺติ อโตฺถฯ โอตฺตปฺปิตเพฺพนาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อชฺฌตฺตํ นิยกชฺฌตฺตํ ชาติอาทิ สมุฎฺฐานํ เอติสฺสาติ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานา หิรี, พหิทฺธา อตฺตโต พหิภูโต ปรสโตฺต สมุฎฺฐานํ เอติสฺสาติ พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ โอตฺตปฺปํฯ อตฺตาธิปติโต อาคตา อตฺตาธิปเตยฺยา, อตฺตานํ อธิปติํ กตฺวา ปวตฺตาฯ ลชฺชาสภาวสณฺฐิตาติ ปาปชิคุจฺฉนสภาวฎฺฐายินีฯ สปฺปติสฺสวลกฺขณตฺตา ครุนา กิสฺมิญฺจิ วุเตฺต คารววเสน ปติสฺสวนํ ปติสฺสโว, สห ปติสฺสเวนาติ สปฺปติสฺสวํ, ปติสฺสวภูตํ ตํสภาวญฺจ ยํ กิญฺจิ คารวํฯ ชาติอาทิมหตฺตตาปจฺจเวกฺขเณน อุปฺปชฺชมานา จ หิรี ตตฺถ คารววเสน ปวตฺตตีติ สปฺปติสฺสวลกฺขณาติ วุจฺจติฯ ภยสภาวสณฺฐิตนฺติ ปาปโต ภายนสภาวฎฺฐายี, วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณตฺตา วชฺชํ ภายติ ตํ ภยโต ปสฺสตีติ วชฺชภีรุกภยทสฺสาวี, เอวํสภาวํ โอตฺตปฺปํฯ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานาทิตา จ หิโรตฺตปฺปานํ ตตฺถ ตตฺถ ปากฎภาเวเนว วุจฺจติ, น ปเรสํ กทาจิ อญฺญมญฺญวิปฺปโยคาฯ น หิ ลชฺชนํ นิพฺภยํ, ปาปภยํ วา อลชฺชนํ โหตีติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน อฎฺฐสาลินิยํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑.พลราสิวณฺณนา) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ โลกมริยาทสฺส ปาลนโต โลกปาลธมฺมา นามฯ สุกฺกาติ โอทาตา ปภสฺสรภาวการกา, สุกฺกาภิชาติเหตุตาย วา สุกฺกาฯ สเมฺภทนฺติ อาจารมริยาทาสงฺกรํฯ เทวภาวาวหา ธมฺมาติ เทวธมฺมา

    416.Yaṃ hirīyatīti yena dhammena hetubhūtena vā jigucchati. Karaṇe hetaṃ paccattavacanaṃ. Yanti vā liṅgavipallāsena vutto, dhammoti attho. Hirīyitabbenāti upayogatthe karaṇavacanaṃ, hirīyitabbayuttakaṃ kāyaduccaritādinti attho. Ottappitabbenāti etthāpi eseva nayo. Ajjhattaṃ niyakajjhattaṃ jātiādi samuṭṭhānaṃ etissāti ajjhattasamuṭṭhānā hirī, bahiddhā attato bahibhūto parasatto samuṭṭhānaṃ etissāti bahiddhāsamuṭṭhānaṃ ottappaṃ. Attādhipatito āgatā attādhipateyyā, attānaṃ adhipatiṃ katvā pavattā. Lajjāsabhāvasaṇṭhitāti pāpajigucchanasabhāvaṭṭhāyinī. Sappatissavalakkhaṇattā garunā kismiñci vutte gāravavasena patissavanaṃ patissavo, saha patissavenāti sappatissavaṃ, patissavabhūtaṃ taṃsabhāvañca yaṃ kiñci gāravaṃ. Jātiādimahattatāpaccavekkhaṇena uppajjamānā ca hirī tattha gāravavasena pavattatīti sappatissavalakkhaṇāti vuccati. Bhayasabhāvasaṇṭhitanti pāpato bhāyanasabhāvaṭṭhāyī, vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇattā vajjaṃ bhāyati taṃ bhayato passatīti vajjabhīrukabhayadassāvī, evaṃsabhāvaṃ ottappaṃ. Ajjhattasamuṭṭhānāditā ca hirottappānaṃ tattha tattha pākaṭabhāveneva vuccati, na paresaṃ kadāci aññamaññavippayogā. Na hi lajjanaṃ nibbhayaṃ, pāpabhayaṃ vā alajjanaṃ hotīti. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana aṭṭhasāliniyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 1.balarāsivaṇṇanā) vuttanayeneva veditabbo. Lokamariyādassa pālanato lokapāladhammā nāma. Sukkāti odātā pabhassarabhāvakārakā, sukkābhijātihetutāya vā sukkā. Sambhedanti ācāramariyādāsaṅkaraṃ. Devabhāvāvahā dhammāti devadhammā.

    สุกฺกธมฺมสมาหิตาติ ยถาวุตฺตสุกฺกธมฺมสมงฺคิโนฯ สโนฺตติ วูปสนฺตโทสาฯ สปฺปุริสาติ สนฺตชนาฯ สปรหิตสาธกา หิ สาธโวฯ

    Sukkadhammasamāhitāti yathāvuttasukkadhammasamaṅgino. Santoti vūpasantadosā. Sappurisāti santajanā. Saparahitasādhakā hi sādhavo.

    อวยววินิมุตฺตสฺส สมุทายสฺส อภาวโต, อวยเวน จ สมุทายสฺส อปทิสิตพฺพโต โอวาทูปสมฺปทาวหโอวาเทกเทโส โอวาทูปสมฺปทาติฯ อิธาติ อิมสฺมิํ อสฺสปุเรฯ เอเต หิโรตฺตปฺปธมฺมาฯ สมณธมฺมา นามาติ ทสฺสิตา มูลภูตสมณภาวกรา ธมฺมาติ กตฺวาฯ ตถา หิ เตสํ อาทิโต คหณํฯ

    Avayavavinimuttassa samudāyassa abhāvato, avayavena ca samudāyassa apadisitabbato ovādūpasampadāvahaovādekadeso ovādūpasampadāti. Idhāti imasmiṃ assapure. Ete hirottappadhammā. Samaṇadhammā nāmāti dassitā mūlabhūtasamaṇabhāvakarā dhammāti katvā. Tathā hi tesaṃ ādito gahaṇaṃ.

    ยสฺส อธิคเมน นิปฺปริยายโต สมณา นาม โหนฺติ, โส อริยมโคฺค ‘‘สมณสฺส กมฺมํ ปฎิปทา’’ติ กตฺวา สามญฺญํ, ตสฺส ปน ผลภาวโต, อารมฺมณกรณวเสน อรณียโต ผลนิพฺพานานิ สามญฺญโตฺถฯ ราคํ เขเปตีติ ราคกฺขโย, อริยมโคฺคฯ ราโค ขียติ เอตฺถาติ ราคกฺขโย, นิพฺพานํฯ ผลํ ปน การณูปจาเรน ราคกฺขโย ทฎฺฐโพฺพฯ โทสกฺขโย โมหกฺขโยติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สามญฺญภูโต อโตฺถ สามญฺญโตฺถ, มโคฺค, สามญฺญสฺส อโตฺถติ สามญฺญโตฺถ, ผลนฺติ อาห ‘‘มคฺคมฺปิ ผลมฺปิ เอกโต กตฺวา สามญฺญโตฺถ กถิโต’’ติฯ ตยิทํ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทเสน วุตฺตํฯ สีลาทิปุพฺพภาคปฎิปทาปิ หิ อิธ ‘‘สามญฺญโตฺถ’’ติ คหิตาฯ เตเนวาห ‘‘สติ อุตฺตริกรณีเย’’ติฯ ปฎิเวทยามีติ ปุนปฺปุนํ ญาเปมิฯ

    Yassa adhigamena nippariyāyato samaṇā nāma honti, so ariyamaggo ‘‘samaṇassa kammaṃ paṭipadā’’ti katvā sāmaññaṃ, tassa pana phalabhāvato, ārammaṇakaraṇavasena araṇīyato phalanibbānāni sāmaññattho. Rāgaṃ khepetīti rāgakkhayo, ariyamaggo. Rāgo khīyati etthāti rāgakkhayo, nibbānaṃ. Phalaṃ pana kāraṇūpacārena rāgakkhayo daṭṭhabbo. Dosakkhayo mohakkhayoti etthāpi eseva nayo. Sāmaññabhūto attho sāmaññattho, maggo, sāmaññassa atthoti sāmaññattho, phalanti āha ‘‘maggampi phalampi ekato katvā sāmaññattho kathito’’ti. Tayidaṃ ukkaṭṭhaniddesena vuttaṃ. Sīlādipubbabhāgapaṭipadāpi hi idha ‘‘sāmaññattho’’ti gahitā. Tenevāha ‘‘sati uttarikaraṇīye’’ti. Paṭivedayāmīti punappunaṃ ñāpemi.

    ๔๑๗. กมฺมปถวเสเนวาติ อกุสลกมฺมปถภาเวเนว, ตโต ตาทิสมฺปิ อกุสลกมฺมํ ภิกฺขุสฺส กาตุํ น ยุตฺตนฺติ ทุฎฺฐุลฺลภาเวเนว ตโต โอรมตีติ อธิปฺปาโยฯ สิกฺขาปทพเทฺธนาติ สิกฺขาปทปญฺญาปเนนฯ ปานียฆเฎ วา ปเตฺต วา กากานํ หตฺถํ วา ทณฺฑํ วา เลฑฺฑุํ วาติ สพฺพมิทํ นิทสฺสนมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ ยตฺถ กตฺถจิ หิ ฐิตานํ อเญฺญสมฺปิ ปาณีนํ อุฎฺฐาปนาทิ สพฺพํ อนิฎฺฐกรณํ อิธ อปริสุทฺธกายสมาจารภาเวเนว สงฺคหิตนฺติฯ อุตฺตาโนติ อุทฺธมุทฺธํ ตโนตีติ อุตฺตาโนฯ เอวํภูโต จ เกนจิ อนุปฺปาทภูมิยํ สญฺชาตสาลกลฺยาณีขโนฺธ วิย อุปรูปริ อุคฺคตุคฺคโต ปากโฎ จ โหตีติ อาห ‘‘อุคฺคโต ปากโฎ’’ติฯ อนาวโฎติ อนิวุโตฯ เตนาห ‘‘อสญฺฉโนฺน’’ติ, นจฺฉาเทตโพฺพติ อโตฺถฯ เอกสทิโส วิสุทฺธภาเวนฯ อนฺตรนฺตเร ฉิทฺทรหิโต ปุเพฺพนาปรํ สมฺมาปฎิปตฺติยา สนฺธาเนนฯ สํวุโต กายิกสฺส สํวรสฺส อนุปกฺกิเลสโตฯ เตนาห ‘‘กิเลสานํ ทฺวารํ ปิทหเนนา’’ติฯ

    417.Kammapathavasenevāti akusalakammapathabhāveneva, tato tādisampi akusalakammaṃ bhikkhussa kātuṃ na yuttanti duṭṭhullabhāveneva tato oramatīti adhippāyo. Sikkhāpadabaddhenāti sikkhāpadapaññāpanena. Pānīyaghaṭe vā patte vā kākānaṃ hatthaṃ vā daṇḍaṃ vā leḍḍuṃ vāti sabbamidaṃ nidassanamattaṃ daṭṭhabbaṃ. Yattha katthaci hi ṭhitānaṃ aññesampi pāṇīnaṃ uṭṭhāpanādi sabbaṃ aniṭṭhakaraṇaṃ idha aparisuddhakāyasamācārabhāveneva saṅgahitanti. Uttānoti uddhamuddhaṃ tanotīti uttāno. Evaṃbhūto ca kenaci anuppādabhūmiyaṃ sañjātasālakalyāṇīkhandho viya uparūpari uggatuggato pākaṭo ca hotīti āha ‘‘uggato pākaṭo’’ti. Anāvaṭoti anivuto. Tenāha ‘‘asañchanno’’ti, nacchādetabboti attho. Ekasadiso visuddhabhāvena. Antarantare chiddarahito pubbenāparaṃ sammāpaṭipattiyā sandhānena. Saṃvuto kāyikassa saṃvarassa anupakkilesato. Tenāha ‘‘kilesānaṃ dvāraṃ pidahanenā’’ti.

    ๔๑๘. เอตฺถ ยถา ลหุกตรํ กากุฎฺฐาปนาทิกายกมฺมํ กายสมาจารสฺส อปริสุทฺธภาวาวหํ สเลฺลขวิโกปนโต, มิจฺฉาวิตกฺกนมตฺตญฺจ มโนสมาจารสฺส, เอวํ ยํ กิญฺจิ อนิยฺยานกถากถนมตฺตํ วจีสมาจารสฺส อปริสุทฺธภาวาวหํ สเลฺลขวิโกปนโต, น หสาธิปฺปาเยน มุสากถนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ หสาธิปฺปาเยน หิ มุสากถนํ สิกฺขาปทพเทฺธเนว ปฎิกฺขิตฺตนฺติฯ

    418. Ettha yathā lahukataraṃ kākuṭṭhāpanādikāyakammaṃ kāyasamācārassa aparisuddhabhāvāvahaṃ sallekhavikopanato, micchāvitakkanamattañca manosamācārassa, evaṃ yaṃ kiñci aniyyānakathākathanamattaṃ vacīsamācārassa aparisuddhabhāvāvahaṃ sallekhavikopanato, na hasādhippāyena musākathananti daṭṭhabbaṃ. Hasādhippāyena hi musākathanaṃ sikkhāpadabaddheneva paṭikkhittanti.

    ๔๒๐. อาชีโวปิ เอกโจฺจ กมฺมปถวเสน วาริโต ลพฺภติฯ โส ปน อติโอฬาริโก กายวจีสมาจารวาเรสุ วุตฺตนโย เอวาติ น คหิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ เย ปน ‘‘ตาทิโส ภิกฺขูนํ อโยคฺยโต น คหิโต’’ติ วทนฺติ, ตํ มิจฺฉา ตถา สติ กายวจีสมาจารวาเรปิ ตสฺส อคฺคเหตพฺพภาวาปตฺติโตฯ ‘‘ขาทถ ปิวถา’’ติ ปุจฺฉา อตฺตโน ขาทิตุกามตาทีปเนน, ปริยายกถาภาวโต ปเนสา สเลฺลขวิโกปนา ชาตาฯ

    420. Ājīvopi ekacco kammapathavasena vārito labbhati. So pana atioḷāriko kāyavacīsamācāravāresu vuttanayo evāti na gahitoti daṭṭhabbaṃ. Ye pana ‘‘tādiso bhikkhūnaṃ ayogyato na gahito’’ti vadanti, taṃ micchā tathā sati kāyavacīsamācāravārepi tassa aggahetabbabhāvāpattito. ‘‘Khādatha pivathā’’ti pucchā attano khāditukāmatādīpanena, pariyāyakathābhāvato panesā sallekhavikopanā jātā.

    ๔๒๒. อเนสนํ ปหาย ธเมฺมน สเมน ปจฺจเย ปริเยสโนฺต ปริเยสนมตฺตญฺญู นามฯ ทายกสฺส เทยฺยธมฺมสฺส อตฺตโน จ ปมาณญฺญุตาปฎิคฺคณฺหโนฺต ปฎิคฺคหณมตฺตญฺญู นามฯ โยนิโส ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชโนฺต ปริโภคมตฺตญฺญู นามฯ

    422. Anesanaṃ pahāya dhammena samena paccaye pariyesanto pariyesanamattaññū nāma. Dāyakassa deyyadhammassa attano ca pamāṇaññutāpaṭiggaṇhanto paṭiggahaṇamattaññū nāma. Yoniso paccavekkhitvā paribhuñjanto paribhogamattaññū nāma.

    ๔๒๓. เอกสฺมิํ โกฎฺฐาเสติ มชฺฌิมยามสญฺญิเต เอกสฺมิํ โกฎฺฐาเสฯ ‘‘วาเมน ปเสฺสน เสนฺตี’’ติ เอวํ วุตฺตาฯ ทกฺขิณปเสฺสน สยาโน นาม นตฺถิ ทกฺขิณหตฺถสฺส สรีรคฺคหณาทิปโยคกฺขมโตฯ ปุริสวเสน เจตํ วุตฺตํฯ

    423.Ekasmiṃkoṭṭhāseti majjhimayāmasaññite ekasmiṃ koṭṭhāse. ‘‘Vāmena passena sentī’’ti evaṃ vuttā. Dakkhiṇapassena sayāno nāma natthi dakkhiṇahatthassa sarīraggahaṇādipayogakkhamato. Purisavasena cetaṃ vuttaṃ.

    เตชุสฺสทตฺตาติ อิมินา สีหสฺส อภีรุกภาวํ ทเสฺสติฯ ภีรุกา หิ เสสมิคา อตฺตโน อาสยํ ปวิสิตฺวา สนฺตาสปุพฺพกํ ยถา ตถา สยนฺติ, สีโห ปน อภีรุกภาวโต สโตการี ภิกฺขุ วิย สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาว สยติฯ เตนาห ‘‘เทฺว ปุริมปาเท’’ติอาทิฯ เสติ อพฺยาวฎภาเวน ปวตฺตติ เอตฺถาติ เสยฺยา, จตุตฺถชฺฌานเมว เสยฺยาฯ กิํ ปน ตํ จตุตฺถชฺฌานนฺติ? อานาปานจตุตฺถชฺฌานํฯ ตตฺถ หิ ฐตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ภควา อนุกฺกเมน อคฺคมคฺคํ อธิคโต ตถาคโต ชาโตติ เกจิ, ตยิทํ ปทฎฺฐานํ นาม น เสยฺยาฯ อปเร ปน ‘‘จตุตฺถชฺฌานสมนนฺตรา ภควา ปรินิพฺพายี’’ติ วุตฺตปทํ คเหตฺวา ‘‘โลกิยจตุตฺถชฺฌานสมาปตฺติ ตถาคตเสยฺยา’’ติ วทนฺติ, ตถา สติ ปรินิพฺพานกาลิกา ตถาคตเสยฺยาติ อาปชฺชติ, น จ ภควา จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชนพหุโล วิหาสิ, อคฺคผลฌานํ ปเนตฺถ ‘‘จตุตฺถชฺฌาน’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ ตตฺถ ยถา สตฺตานํ นิทฺทุปคมนลกฺขณา เสยฺยา ภวงฺคจิตฺตวารวเสน โหติ, ตญฺจ เตสํ ปฐมชาติสมนฺวยํ เยภุยฺยวุตฺติกํ, เอวํ ภควโต อริยชาติสมนฺวยํ เยภุยฺยวุตฺติกํ อคฺคผลภูตํ จตุตฺถชฺฌานํ ‘‘ตถาคตเสยฺยา’’ติ เวทิตพฺพํฯ สีหเสยฺยาติ เสฎฺฐเสยฺยาติ อาห ‘‘อุตฺตมเสยฺยา’’ติฯ

    Tejussadattāti iminā sīhassa abhīrukabhāvaṃ dasseti. Bhīrukā hi sesamigā attano āsayaṃ pavisitvā santāsapubbakaṃ yathā tathā sayanti, sīho pana abhīrukabhāvato satokārī bhikkhu viya satiṃ upaṭṭhapetvāva sayati. Tenāha ‘‘dve purimapāde’’tiādi. Seti abyāvaṭabhāvena pavattati etthāti seyyā, catutthajjhānameva seyyā. Kiṃ pana taṃ catutthajjhānanti? Ānāpānacatutthajjhānaṃ. Tattha hi ṭhatvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā bhagavā anukkamena aggamaggaṃ adhigato tathāgato jātoti keci, tayidaṃ padaṭṭhānaṃ nāma na seyyā. Apare pana ‘‘catutthajjhānasamanantarā bhagavā parinibbāyī’’ti vuttapadaṃ gahetvā ‘‘lokiyacatutthajjhānasamāpatti tathāgataseyyā’’ti vadanti, tathā sati parinibbānakālikā tathāgataseyyāti āpajjati, na ca bhagavā catutthajjhānaṃ samāpajjanabahulo vihāsi, aggaphalajhānaṃ panettha ‘‘catutthajjhāna’’nti adhippetaṃ. Tattha yathā sattānaṃ niddupagamanalakkhaṇā seyyā bhavaṅgacittavāravasena hoti, tañca tesaṃ paṭhamajātisamanvayaṃ yebhuyyavuttikaṃ, evaṃ bhagavato ariyajātisamanvayaṃ yebhuyyavuttikaṃ aggaphalabhūtaṃ catutthajjhānaṃ ‘‘tathāgataseyyā’’ti veditabbaṃ. Sīhaseyyāti seṭṭhaseyyāti āha ‘‘uttamaseyyā’’ti.

    ๔๒๖. วิคตนฺตานีติ อิณมูลานิฯ เตสนฺติ อิณมูลานํฯ ปริยโนฺตติ อวเสโสฯ

    426.Vigatantānīti iṇamūlāni. Tesanti iṇamūlānaṃ. Pariyantoti avaseso.

    ปวตฺตินิวารเณน จตุอิริยาปถํ ฉินฺทโนฺตฯ อาพาธตีติ ปีเฬติฯ ทุกฺขิโตติ สญฺชาตทุโกฺขฯ อปฺปํ พลํ พลมตฺตาฯ อปฺปโตฺถ หิ อยํ มตฺตา-สโทฺท ‘‘มตฺตาสุขปริจฺจาคา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๒๙๐) วิย, พลวโตฺถ ปน มตฺตา-สโทฺท อนตฺถนฺตโรฯ เสสนฺติ ‘‘ตสฺส หิ พนฺธนา มุโตฺตมฺหีติ อาวชฺชยโต ตทุภยํ โหตี’’ติอาทินา วตฺตพฺพํ สนฺธายาหฯ สพฺพปเทสูติ วุตฺตาวสิเฎฺฐสุ สพฺพปเทสุฯ เยนกามํ ยถารุจิ คจฺฉตีติ เยนกามํคโมติ อนุนาสิกโลปํ อกตฺวา นิเทฺทโสฯ ภุโช อตฺตโน ยถาสุขวินิโยโค อิโสฺส อิจฺฉิตโพฺพ เอตฺถาติ ภุชิโสฺส, สามิโกฯ โส ปน อปรสนฺตกตาย ‘‘อตฺตโน สนฺตโก’’ติ วุโตฺตฯ ทุลฺลภอาปตาย กํ ตาเรนฺติ เอตฺถาติ กนฺตาโรติ อาห ‘‘นิรุทกํ ทีฆมคฺค’’นฺติฯ

    Pavattinivāraṇena catuiriyāpathaṃ chindanto. Ābādhatīti pīḷeti. Dukkhitoti sañjātadukkho. Appaṃ balaṃ balamattā. Appattho hi ayaṃ mattā-saddo ‘‘mattāsukhapariccāgā’’tiādīsu (dha. pa. 290) viya, balavattho pana mattā-saddo anatthantaro. Sesanti ‘‘tassa hi bandhanā muttomhīti āvajjayato tadubhayaṃ hotī’’tiādinā vattabbaṃ sandhāyāha. Sabbapadesūti vuttāvasiṭṭhesu sabbapadesu. Yenakāmaṃ yathāruci gacchatīti yenakāmaṃgamoti anunāsikalopaṃ akatvā niddeso. Bhujo attano yathāsukhaviniyogo isso icchitabbo etthāti bhujisso, sāmiko. So pana aparasantakatāya ‘‘attano santako’’ti vutto. Dullabhaāpatāya kaṃ tārenti etthāti kantāroti āha ‘‘nirudakaṃ dīghamagga’’nti.

    วินาเสตีติ ขาทนทุพฺพินิโยชนาทีหิ ยถา อิณมูลํ กิญฺจิ น โหติ, ตถา กโรติฯ ยมฺหิ ราควตฺถุมฺหิฯ โส ปุคฺคโลฯ เตน ราควตฺถุนา, ปุริโส เจ อิตฺถิยา, อิตฺถี เจ ปุริเสนฯ อิณํ วิย กามจฺฉโนฺท ทฎฺฐโพฺพ ปีฬาสมานโตฯ

    Vināsetīti khādanadubbiniyojanādīhi yathā iṇamūlaṃ kiñci na hoti, tathā karoti. Yamhi rāgavatthumhi. So puggalo. Tena rāgavatthunā, puriso ce itthiyā, itthī ce purisena. Iṇaṃ viya kāmacchando daṭṭhabbo pīḷāsamānato.

    น วินฺทตีติ น ชานาติฯ อุปทฺทเวถาติ สุขวิหารสฺส อุปทฺทวํ กโรถ, วิพาเธถาติ อโตฺถฯ โรโค วิย พฺยาปาโท ทฎฺฐโพฺพ สุขภญฺชนสมานโตฯ

    Na vindatīti na jānāti. Upaddavethāti sukhavihārassa upaddavaṃ karotha, vibādhethāti attho. Rogo viya byāpādo daṭṭhabbo sukhabhañjanasamānato.

    นานาวิธเหตูปายาลงฺกตตาย ขนฺธายตนธาตุปฎิจฺจสมุปฺปาทาทิธมฺมนีติวิจิตฺตตาย จ วิจิตฺตนเยฯ ธมฺมสฺสวเนติ ธมฺมกถายํฯ กถา หิ โสตพฺพเฎฺฐน ‘‘สวน’’นฺติ วุตฺตาฯ เอวเมตฺถ สีลํ วิภตฺตํ, เอวํ ฌานาภิญฺญา, เอวํ วิปสฺสนามคฺคผลานีติ เนว ตสฺส ธมฺมสฺสวนสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ ชานาติฯ อุฎฺฐิเตติ นิฎฺฐิเตฯ อโห การณนฺติ ตตฺถ ตตฺถ ปฎิญฺญานุรูเปน นิกฺขิตฺตสาธนวเสน คหิตการณํฯ อโห อุปมาติ ตเสฺสว การณสฺส ปติฎฺฐาปนวเสน อนฺวยโต พฺยติเรกโต จ ปติฎฺฐํ อุทาหรณาทิฯ พนฺธนาคารํ วิย ถินมิทฺธํ ทฎฺฐพฺพํ ทุกฺขโต นิยฺยานสฺส วิพนฺธนโตฯ

    Nānāvidhahetūpāyālaṅkatatāya khandhāyatanadhātupaṭiccasamuppādādidhammanītivicittatāya ca vicittanaye. Dhammassavaneti dhammakathāyaṃ. Kathā hi sotabbaṭṭhena ‘‘savana’’nti vuttā. Evamettha sīlaṃ vibhattaṃ, evaṃ jhānābhiññā, evaṃ vipassanāmaggaphalānīti neva tassa dhammassavanassa ādimajjhapariyosānaṃ jānāti. Uṭṭhiteti niṭṭhite. Aho kāraṇanti tattha tattha paṭiññānurūpena nikkhittasādhanavasena gahitakāraṇaṃ. Aho upamāti tasseva kāraṇassa patiṭṭhāpanavasena anvayato byatirekato ca patiṭṭhaṃ udāharaṇādi. Bandhanāgāraṃ viya thinamiddhaṃ daṭṭhabbaṃ dukkhato niyyānassa vibandhanato.

    ยสฺมา กุกฺกุจฺจนีวรณํ อุทฺธจฺจรหิตํ นตฺถิ, ยสฺมา วา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ สมานกิจฺจาหารปฎิปกฺขํ, ตสฺมา กุกฺกุจฺจสฺส วิสยํ ทเสฺสโนฺต ‘‘วินเย อปกตญฺญุนา’’ติอาทิมาหฯ ยถา หิ อุทฺธจฺจํ สตฺตสฺส อวูปสมกรํ, ตถา กุกฺกุจฺจมฺปิฯ ยถาปิ อุทฺธจฺจสฺส ญาติวิตกฺกาทิ อาหาโร, ตถา กุกฺกุจฺจสฺสปิฯ ยถา จ อุทฺธจฺจสฺส สมโถ ปฎิปโกฺข, ตถา กุกฺกุจฺจสฺสปีติฯ ทาสพฺยํ วิย อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ทฎฺฐพฺพํ อเสริภาวาปาทนโตฯ

    Yasmā kukkuccanīvaraṇaṃ uddhaccarahitaṃ natthi, yasmā vā uddhaccakukkuccaṃ samānakiccāhārapaṭipakkhaṃ, tasmā kukkuccassa visayaṃ dassento ‘‘vinaye apakataññunā’’tiādimāha. Yathā hi uddhaccaṃ sattassa avūpasamakaraṃ, tathā kukkuccampi. Yathāpi uddhaccassa ñātivitakkādi āhāro, tathā kukkuccassapi. Yathā ca uddhaccassa samatho paṭipakkho, tathā kukkuccassapīti. Dāsabyaṃ viya uddhaccakukkuccaṃ daṭṭhabbaṃ aseribhāvāpādanato.

    โสฬสวตฺถุกา วิจิกิจฺฉา อฎฺฐวตฺถุกํ วิจิกิจฺฉํ อนุปวิฎฺฐาติ อาห ‘‘อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วิจิกิจฺฉา’’ติฯ วิจิกิจฺฉโนฺตติ สํสยโนฺตฯ อธิมุจฺจิตฺวาติ ปตฺติยาเยตฺวาฯ คณฺหิตุนฺติ สเทฺธยฺยวตฺถุํ ปริคฺคเหตุํฯ อภิมุขํ สปฺปนํ อาสปฺปนํ, ปริโต สปฺปนํ ปริสปฺปนํฯ ปททฺวเยนปิ จิตฺตสฺส อนิจฺฉนาการเมว วทติฯ เขมนฺตคามิมคฺคํ น ปริโยคาหติ เอเตนาติ อปริโยคาหนํ, อุสฺสงฺกิตปริสงฺกิตภาเวน ฉมฺภิตํ โหติ จิตฺตํ ยสฺส ธมฺมสฺส วเสน, โส ธโมฺม ฉมฺภิตตฺตนฺติ วิจิกิจฺฉนาการมาหฯ เตนาห ‘‘จิตฺตสฺส อุปฺปาทยมานา’’ติฯ กนฺตารทฺธานมโคฺค วิยาติ สาสงฺกกนฺตารทฺธานมโคฺค วิย ทฎฺฐพฺพา อปฺปฎิปตฺติเหตุภาวโตฯ

    Soḷasavatthukā vicikicchā aṭṭhavatthukaṃ vicikicchaṃ anupaviṭṭhāti āha ‘‘aṭṭhasu ṭhānesu vicikicchā’’ti. Vicikicchantoti saṃsayanto. Adhimuccitvāti pattiyāyetvā. Gaṇhitunti saddheyyavatthuṃ pariggahetuṃ. Abhimukhaṃ sappanaṃ āsappanaṃ, parito sappanaṃ parisappanaṃ. Padadvayenapi cittassa anicchanākārameva vadati. Khemantagāmimaggaṃ na pariyogāhati etenāti apariyogāhanaṃ, ussaṅkitaparisaṅkitabhāvena chambhitaṃ hoti cittaṃ yassa dhammassa vasena, so dhammo chambhitattanti vicikicchanākāramāha. Tenāha ‘‘cittassa uppādayamānā’’ti. Kantāraddhānamaggo viyāti sāsaṅkakantāraddhānamaggo viya daṭṭhabbā appaṭipattihetubhāvato.

    นตฺถิ เอตฺถ อิณนฺติ อณโณ, ตสฺส ภาโว อาณณฺยํ, กสฺสจิ อิณสฺส อธารณํฯ สมิทฺธกมฺมโนฺตติ นิปฺผนฺนชีวิกปฺปโยโคฯ ปริพุนฺธติ อุปโรเธตีติ ร-การสฺส ล-การํ กตฺวา ปลิโพโธ, อเสริวิหาโร, ตสฺส มูลํ การณนฺติ ปลิโพธมูลํฯ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวาติ อสุภนิมิตฺตคฺคาหาทิเก ฉ ธเมฺม อุปฺปาเทตฺวา วเฑฺฒตฺวาฯ ฉ ธเมฺม ภาเวตฺวาติ จ เมตฺตานิมิตฺตคฺคาหาทโย จ ตตฺถ ตตฺถ ฉ ธมฺมาติ วุตฺตาติ เวทิตโพฺพฯ ปชหตีติ วิกฺขมฺภนวเสน ปชหติฯ เตนาห ‘‘อาจารปณฺณตฺติอาทีนิ สิกฺขาปิยมาโน’’ติอาทิฯ ปรวตฺถุมฺหีติ วิสภาควตฺถุสฺมิํ, ปรวิสเย วาฯ ปรวิสยา เหเต ภิกฺขุโน, ยทิทํ ปญฺจ กามคุณาฯ อาณณฺยมิว กามจฺฉนฺทปฺปหานํ อาห ปิยวตฺถุอภาวาวหโตฯ

    Natthi ettha iṇanti aṇaṇo, tassa bhāvo āṇaṇyaṃ, kassaci iṇassa adhāraṇaṃ. Samiddhakammantoti nipphannajīvikappayogo. Paribundhati uparodhetīti ra-kārassa la-kāraṃ katvā palibodho, aserivihāro, tassa mūlaṃ kāraṇanti palibodhamūlaṃ. Cha dhamme bhāvetvāti asubhanimittaggāhādike cha dhamme uppādetvā vaḍḍhetvā. Cha dhamme bhāvetvāti ca mettānimittaggāhādayo ca tattha tattha cha dhammāti vuttāti veditabbo. Pajahatīti vikkhambhanavasena pajahati. Tenāha ‘‘ācārapaṇṇattiādīni sikkhāpiyamāno’’tiādi. Paravatthumhīti visabhāgavatthusmiṃ, paravisaye vā. Paravisayā hete bhikkhuno, yadidaṃ pañca kāmaguṇā. Āṇaṇyamiva kāmacchandappahānaṃ āha piyavatthuabhāvāvahato.

    อาจารวิปตฺติปฎิพาหกานิ สิกฺขาปทานิ อาจารปณฺณตฺติอาทีนิฯ อาโรคฺยมิว พฺยาปาทปฺปหานํ อาห กายจิตฺตานํ ผาสุภาวาวหโตฯ

    Ācāravipattipaṭibāhakāni sikkhāpadāni ācārapaṇṇattiādīni. Ārogyamiva byāpādappahānaṃ āha kāyacittānaṃ phāsubhāvāvahato.

    พนฺธนา โมกฺขมิว ถินมิทฺธปฺปหานํ อาห จิตฺตสฺส นิคฺคหิตภาวาวหโตฯ

    Bandhanā mokkhamiva thinamiddhappahānaṃ āha cittassa niggahitabhāvāvahato.

    ภุชิสฺสํ วิย อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจปฺปหานํ อาห จิตฺตสฺส เสริภาวาวหโตฯ

    Bhujissaṃ viya uddhaccakukkuccappahānaṃ āha cittassa seribhāvāvahato.

    ติณํ วิยาติ ติณมิว กตฺวาฯ อคเณตฺวาติ อจิเนฺตตฺวาฯ เขมนฺตภูมิํ วิย วิจิกิจฺฉาปหานํ อาห อนุสฺสงฺกิตาปริสงฺกิตภาเวน สมฺมาปฎิปตฺติเหตุภาวโตฯ

    Tiṇaṃviyāti tiṇamiva katvā. Agaṇetvāti acintetvā. Khemantabhūmiṃ viya vicikicchāpahānaṃ āha anussaṅkitāparisaṅkitabhāvena sammāpaṭipattihetubhāvato.

    ๔๒๗. กิรียติ (อ. นิ. ฎี. ๓.๕.๒๘-๒๙) คพฺภาสเย ขิปียตีติ กโร, สมฺภโว, กรโต ชาโตติ กรโช, มาตาเปตฺติกสมฺภโวติ อโตฺถฯ มาตุยา หิ สรีรสณฺฐาปนวเสน กรโต ชาโตติ กรโชติ อปเรฯ อุภยถาปิ กรชกายนฺติ จตุสนฺตติรูปมาหฯ เตเมตีติ ตินฺตํ กโรติฯ โก ปเนตฺถ ตินฺตภาโวติ อาห ‘‘เสฺนเหตี’’ติ, ปีติเสฺนเหน ปีณนํ กโรตีติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘สพฺพตฺถ ปวตฺตปีติสุขํ กโรตี’’ติฯ ปีติสมุฎฺฐานปณีตรูเปหิ สกลสฺส กรชกายสฺส ปริผุฎตาย เจตฺถ ตํสมุฎฺฐาปกปีติสุขานํ สพฺพตฺถ ปวตฺติ โชติตาฯ ปริสเนฺทตีติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถาปิ หิ ‘‘สมนฺตโต สเนฺทติ เตเมติ เสฺนเหติ, สพฺพตฺถ ปวตฺตปีติสุขํ กโรตี’’ติอาทินา ยถารหํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปริปูเรตีติ วายุนา ภสฺตํ วิย อิมํ กรชกายํ ปีติสุเขน ปูเรติฯ สมนฺตโต ผุสตีติ อิมํ กรชกายํ ปีติสุเขน ผุสติฯ สพฺพาวโตติ อ-การสฺส อา-กาโร กโต, สพฺพาวยววโตติ อโตฺถติ อาห ‘‘สพฺพโกฎฺฐาสวโต’’ติ, มํสาทิสพฺพาภาควโตติ อโตฺถฯ อผุฎํ นาม น โหติ ปีติสุขสมุฎฺฐาเนหิ รูเปหิ สพฺพตฺถกเมว พฺยาปิตตฺตาฯ กาตุเญฺจว โยเชตุญฺจ เฉโก สเนฺนตุํ ปฎิพโลติ โยชนาฯ นฺหานียจุณฺณานํ ปริมทฺทนวเสน ปิณฺฑํ กโรเนฺตน หเตฺถน ภาชนํ นิปฺปีเฬตพฺพํ โหตีติ อาห ‘‘สเนฺนนฺตสฺส ภิชฺชตี’’ติฯ อนุคตาติ อนุปวิฎฺฐาฯ ปริคตาติ ปริโต สมนฺตโต ตินฺตาฯ ตินฺตภาเวเนว สมํ อนฺตรํ พาหิรญฺจ เอติสฺสาติ สนฺตรพาหิราฯ สพฺพตฺถกเมวาติ สพฺพเตฺถวฯ น จ ปคฺฆริณี ปมาณยุตฺตเสฺสว อุทกสฺส สิตฺตตฺตาฯ เอตฺถ จ นฺหานียปิณฺฑํ วิย กรชกาโย, ตํ เตเมตฺวา สมฺปิณฺฑิตปมาณยุตฺตอุทกํ วิย ปฐมชฺฌานสุขํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    427. Kirīyati (a. ni. ṭī. 3.5.28-29) gabbhāsaye khipīyatīti karo, sambhavo, karato jātoti karajo, mātāpettikasambhavoti attho. Mātuyā hi sarīrasaṇṭhāpanavasena karato jātoti karajoti apare. Ubhayathāpi karajakāyanti catusantatirūpamāha. Temetīti tintaṃ karoti. Ko panettha tintabhāvoti āha ‘‘snehetī’’ti, pītisnehena pīṇanaṃ karotīti attho. Tenāha ‘‘sabbattha pavattapītisukhaṃ karotī’’ti. Pītisamuṭṭhānapaṇītarūpehi sakalassa karajakāyassa pariphuṭatāya cettha taṃsamuṭṭhāpakapītisukhānaṃ sabbattha pavatti jotitā. Parisandetītiādīsupi eseva nayo. Tatthāpi hi ‘‘samantato sandeti temeti sneheti, sabbattha pavattapītisukhaṃ karotī’’tiādinā yathārahaṃ attho veditabbo. Paripūretīti vāyunā bhastaṃ viya imaṃ karajakāyaṃ pītisukhena pūreti. Samantato phusatīti imaṃ karajakāyaṃ pītisukhena phusati. Sabbāvatoti a-kārassa ā-kāro kato, sabbāvayavavatoti atthoti āha ‘‘sabbakoṭṭhāsavato’’ti, maṃsādisabbābhāgavatoti attho. Aphuṭaṃ nāma na hoti pītisukhasamuṭṭhānehi rūpehi sabbatthakameva byāpitattā. Kātuñceva yojetuñca cheko sannetuṃ paṭibaloti yojanā. Nhānīyacuṇṇānaṃ parimaddanavasena piṇḍaṃ karontena hatthena bhājanaṃ nippīḷetabbaṃ hotīti āha ‘‘sannentassa bhijjatī’’ti. Anugatāti anupaviṭṭhā. Parigatāti parito samantato tintā. Tintabhāveneva samaṃ antaraṃ bāhirañca etissāti santarabāhirā. Sabbatthakamevāti sabbattheva. Na ca pagghariṇī pamāṇayuttasseva udakassa sittattā. Ettha ca nhānīyapiṇḍaṃ viya karajakāyo, taṃ temetvā sampiṇḍitapamāṇayuttaudakaṃ viya paṭhamajjhānasukhaṃ daṭṭhabbaṃ.

    ๔๒๘. เหฎฺฐา อุพฺภิชฺชิตฺวา อุคฺคจฺฉนอุทโกติ รหทสฺส อโธถูลธาราวเสน อุพฺภิชฺช อุฎฺฐหนอุทโกฯ อโนฺตเยว อุพฺภิชฺชนอุทโกติ รหทสฺส อพฺภนฺตเรเยว ถูลธารา อหุตฺวา อุฎฺฐิตอุทกสิรามุเขหิ อุพฺภิชฺชนโกฯ อาคมนมโคฺคติ นทีตฬากกนฺทรสรอาทิโต อาคมนมโคฺคฯ

    428.Heṭṭhā ubbhijjitvā uggacchanaudakoti rahadassa adhothūladhārāvasena ubbhijja uṭṭhahanaudako. Antoyeva ubbhijjanaudakoti rahadassa abbhantareyeva thūladhārā ahutvā uṭṭhitaudakasirāmukhehi ubbhijjanako. Āgamanamaggoti nadītaḷākakandarasaraādito āgamanamaggo.

    ๔๒๙. อุปฺปลคจฺฉานิ เอตฺถ สนฺตีติ อุปฺปลินี (อ. นิ. ฎี. ๓.๕.๒๘-๒๙), วาริฯ อยเมตฺถ วินิจฺฉโย, ตถา หิ โลเก รตฺตกฺขิโก ‘‘ปุณฺฑรีกโกฺข’’ติ วุจฺจติฯ เกจิ ปน ‘‘รตฺตํ ปทุมํ, เสตํ ปุณฺฑรีก’’นฺติ วทนฺติฯ อุปฺปลาทีนิ วิย กรชกาโย, อุทกํ วิย ตติยชฺฌานสุขนฺติ อยมฺปิ อโตฺถ ‘‘ปุริมนเยนา’’ติ อติเทเสเนว วิภาวิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    429. Uppalagacchāni ettha santīti uppalinī (a. ni. ṭī. 3.5.28-29), vāri. Ayamettha vinicchayo, tathā hi loke rattakkhiko ‘‘puṇḍarīkakkho’’ti vuccati. Keci pana ‘‘rattaṃ padumaṃ, setaṃ puṇḍarīka’’nti vadanti. Uppalādīni viya karajakāyo, udakaṃ viya tatiyajjhānasukhanti ayampi attho ‘‘purimanayenā’’ti atideseneva vibhāvitoti daṭṭhabbaṃ.

    ๔๓๐. นิรุปกฺกิเลสเฎฺฐนาติ รโชชลฺลาทินา อนุปกฺกิลิฎฺฐตาย อมลีนภาเวนฯ อมลีนมฺปิ กิญฺจิ วตฺถุ ปภสฺสรสภาวํ โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ปภสฺสรเฎฺฐนา’’ติฯ อุตุผรณนฺติ อุณฺหอุตุผรณํฯ สพฺพตฺถกเมว ฌานสุเขน ผุโฎฺฐ กรชกาโย ยถา อุตุนา ผุฎฺฐวตฺถสทิโสติ อาห ‘‘วตฺถํ วิย กรชกาโย’’ติฯ ตสฺมาติ ‘‘วตฺถํ วิยา’’ติอาทินา วุตฺตเมวตฺถํ เหตุภาเวน ปจฺจามสติ, กรชกายสฺส วตฺถสทิสตฺตา จตุตฺถชฺฌานสุขสฺส จ อุตุผรณสทิสตฺตาติ อโตฺถฯ สนฺตสภาวตฺตา ญาณุตฺตรตฺตา เจตฺถ อุเปกฺขาปิ สุเข สงฺคหิตาติ จตุตฺถชฺฌาเนปิ สุขคฺคหณํ กตํฯ ‘‘ปริสุเทฺธน ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสิโนฺน โหตี’’ติ วจนโต จตุตฺถชฺฌานจิตฺตสฺส วตฺถสทิสตา วุตฺตาฯ จตุตฺถชฺฌานสมุฎฺฐานรูเปหิ ภิกฺขุโน กายสฺส ผุฎภาวํ สนฺธาย ‘‘ตํสมุฎฺฐานรูปํ อุตุผรณํ วิยา’’ติ วุตฺตํฯ ปุริสสฺส กาโย วิย ภิกฺขุโน กรชกาโยติ อยํ ปนโตฺถ ปากโฎติ น คหิโต, คหิโต เอว วา ‘‘ยถา หิ กตฺถจิ…เป.… กาโย ผุโฎ โหตี’’ติ วุตฺตตฺตาฯ

    430.Nirupakkilesaṭṭhenāti rajojallādinā anupakkiliṭṭhatāya amalīnabhāvena. Amalīnampi kiñci vatthu pabhassarasabhāvaṃ hotīti vuttaṃ ‘‘pabhassaraṭṭhenā’’ti. Utupharaṇanti uṇhautupharaṇaṃ. Sabbatthakameva jhānasukhena phuṭṭho karajakāyo yathā utunā phuṭṭhavatthasadisoti āha ‘‘vatthaṃ viya karajakāyo’’ti. Tasmāti ‘‘vatthaṃ viyā’’tiādinā vuttamevatthaṃ hetubhāvena paccāmasati, karajakāyassa vatthasadisattā catutthajjhānasukhassa ca utupharaṇasadisattāti attho. Santasabhāvattā ñāṇuttarattā cettha upekkhāpi sukhe saṅgahitāti catutthajjhānepi sukhaggahaṇaṃ kataṃ. ‘‘Parisuddhena pariyodātena pharitvā nisinno hotī’’ti vacanato catutthajjhānacittassa vatthasadisatā vuttā. Catutthajjhānasamuṭṭhānarūpehi bhikkhuno kāyassa phuṭabhāvaṃ sandhāya ‘‘taṃsamuṭṭhānarūpaṃ utupharaṇaṃ viyā’’ti vuttaṃ. Purisassa kāyo viya bhikkhuno karajakāyoti ayaṃ panattho pākaṭoti na gahito, gahito eva vā ‘‘yathā hi katthaci…pe… kāyo phuṭo hotī’’ti vuttattā.

    ๔๓๑. ปุเพฺพนิวาสญาณอุปมายนฺติ ปุเพฺพนิวาสญาณสฺส ทสฺสิตอุปมายํฯ ตํทิวสํกตกิริยาคหณํ ปากติกสตฺตสฺสปิ เยภุเยฺยน ปากฎา โหตีติ ทสฺสนตฺถํฯ ตํทิวสคตคามตฺตยคฺคหเณเนว มหาภินีหาเรหิ อเญฺญสมฺปิ ปุเพฺพนิวาสญาณลาภีนํ ตีสุ ภเวสุ กตา กิริยา เยภุเยฺยน ปากฎา โหตีติ ทีปิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    431.Pubbenivāsañāṇaupamāyanti pubbenivāsañāṇassa dassitaupamāyaṃ. Taṃdivasaṃkatakiriyāgahaṇaṃ pākatikasattassapi yebhuyyena pākaṭā hotīti dassanatthaṃ. Taṃdivasagatagāmattayaggahaṇeneva mahābhinīhārehi aññesampi pubbenivāsañāṇalābhīnaṃ tīsu bhavesu katā kiriyā yebhuyyena pākaṭā hotīti dīpitanti daṭṭhabbaṃ.

    ๔๓๒. สมฺมุขทฺวาราติ อญฺญมญฺญสฺส อภิมุขทฺวาราฯ อปราปรํ สญฺจรเนฺตติ ตํตํกิจฺจวเสน อิโต จิโต จ สญฺจรเนฺตฯ อิโต ปน เคหา…เป.… ปวิสนวเสนปีติ อิทํ จุตูปปาตญาณสฺส วิสยทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ ทฺวินฺนํ เคหานํ อนฺตเร ฐตฺวาติ ทฺวินฺนํ เคหทฺวารานํ สมฺมุขฎฺฐานภูเต อนฺตรวีถิยํ เวมเชฺฌ ฐตฺวาฯ เตสุ หิ เอกสฺส เจ ปาจีนมุขทฺวารํ อิตรสฺส ปจฺฉิมมุขํ, ตสฺส สมฺมุขํ อุภินฺนํ อนฺตรวีถิยํ ฐิตสฺส ทกฺขิณามุขสฺส, อุตฺตรามุขสฺส วา จกฺขุมโต ปุริสสฺส ตตฺถ ปวิสนกนิกฺขมนกปุริสา ยถา สุเขเนว ปากฎา โหนฺติ, เอวํ ทิพฺพจกฺขุญาณสมงฺคิโน จวนกอุปปชฺชนกปุริสาฯ ยถา ปน ตสฺส ปุริสสฺส อเญฺญเนว ขเณน ปวิสนฺตสฺส ทสฺสนํ, อเญฺญน นิกฺขมนฺตสฺส ทสฺสนํ, เอวํ อิมสฺสปิ อเญฺญเนว ขเณน จวมานสฺส ทสฺสนํ, อเญฺญน อุปปชฺชมานสฺส ทสฺสนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ญาณสฺส ปากฎาติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ ตสฺสาติ ญาณสฺสฯ

    432.Sammukhadvārāti aññamaññassa abhimukhadvārā. Aparāparaṃ sañcaranteti taṃtaṃkiccavasena ito cito ca sañcarante. Ito pana gehā…pe… pavisanavasenapīti idaṃ cutūpapātañāṇassa visayadassanavasena vuttaṃ. Dvinnaṃ gehānaṃ antare ṭhatvāti dvinnaṃ gehadvārānaṃ sammukhaṭṭhānabhūte antaravīthiyaṃ vemajjhe ṭhatvā. Tesu hi ekassa ce pācīnamukhadvāraṃ itarassa pacchimamukhaṃ, tassa sammukhaṃ ubhinnaṃ antaravīthiyaṃ ṭhitassa dakkhiṇāmukhassa, uttarāmukhassa vā cakkhumato purisassa tattha pavisanakanikkhamanakapurisā yathā sukheneva pākaṭā honti, evaṃ dibbacakkhuñāṇasamaṅgino cavanakaupapajjanakapurisā. Yathā pana tassa purisassa aññeneva khaṇena pavisantassa dassanaṃ, aññena nikkhamantassa dassanaṃ, evaṃ imassapi aññeneva khaṇena cavamānassa dassanaṃ, aññena upapajjamānassa dassananti daṭṭhabbaṃ. Ñāṇassa pākaṭāti ānetvā sambandho. Tassāti ñāṇassa.

    ๔๓๓. ปพฺพตสิขรํ เยภุเยฺยน สํขิตฺตํ สงฺกุจิตํ โหตีติ อิธ ปพฺพตมตฺถกํ ‘‘ปพฺพตสเงฺขโป’’ติ วุตฺตํ, ปพฺพตปริยาปโนฺน วา ปเทโส ปพฺพตสเงฺขโปฯ อนาวิโลติ อกาลุโสฺสฯ สา จสฺส อนาวิลตา กทฺทมาภาเวน โหตีติ อาห ‘‘นิกฺกทฺทโม’’ติฯ ฐิตาสุปิ นิสินฺนาสุปิ คาวีสุฯ วิชฺชมานาสูติ ลพฺภมานาสุฯ อิตรา ฐิตาปิ นิสินฺนาปิ จรนฺตีติ วุจฺจนฺติ สหจรณญาเยนฯ ติฎฺฐนฺตเมว, น กทาจิปิ จรนฺตํฯ ทฺวยนฺติ สิปฺปิสมฺมุกํ มจฺฉคุมฺพนฺติ อิมํ อุภยํ ติฎฺฐนฺตนฺติ วุตฺตํ, จรนฺตมฺปีติ อธิปฺปาโยฯ กิํ วา อิมาย สหจริยาย, ยถาลาภคฺคหณํ ปเนตฺถ ทฎฺฐพฺพํฯ สกฺขรกถลสฺส หิ วเสน ‘‘ติฎฺฐนฺต’’นฺติ, สิปฺปิสมฺพุกสฺส มจฺฉคุมฺพสฺส จ วเสน ‘‘ติฎฺฐนฺตมฺปิ, จรนฺตมฺปี’’ติ โยชนา กาตพฺพาฯ

    433. Pabbatasikharaṃ yebhuyyena saṃkhittaṃ saṅkucitaṃ hotīti idha pabbatamatthakaṃ ‘‘pabbatasaṅkhepo’’ti vuttaṃ, pabbatapariyāpanno vā padeso pabbatasaṅkhepo. Anāviloti akālusso. Sā cassa anāvilatā kaddamābhāvena hotīti āha ‘‘nikkaddamo’’ti. Ṭhitāsupi nisinnāsupi gāvīsu. Vijjamānāsūti labbhamānāsu. Itarā ṭhitāpi nisinnāpi carantīti vuccanti sahacaraṇañāyena. Tiṭṭhantameva, na kadācipi carantaṃ. Dvayanti sippisammukaṃ macchagumbanti imaṃ ubhayaṃ tiṭṭhantanti vuttaṃ, carantampīti adhippāyo. Kiṃ vā imāya sahacariyāya, yathālābhaggahaṇaṃ panettha daṭṭhabbaṃ. Sakkharakathalassa hi vasena ‘‘tiṭṭhanta’’nti, sippisambukassa macchagumbassa ca vasena ‘‘tiṭṭhantampi, carantampī’’ti yojanā kātabbā.

    ๔๓๔. ภิกฺขูติ ภินฺนกิเลโสติ ภิกฺขุฯ โส หิ ปรมตฺถโต สมโณตินามโกฯ ตตฺถ อริยมเคฺคน สพฺพโส ปาปานํ สมิตาวีติ สมโณฯ เตนาห ‘‘สมิตปาปตฺตา’’ติฯ เสฎฺฐเฎฺฐน พฺรหฺมา วุจฺจติ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, ตโต อาคโตติ พฺรหฺมา, อริยมโคฺค, ตํ อสโมฺมหปฎิเวธวเสน อญฺญาสีติ พฺราหฺมโณฯ ตํสมงฺคิตาย หิสฺส ปาปานํ พาหิตภาโวฯ เตนาห ‘‘พาหิตปาปตฺตา พฺราหฺมโณ’’ติฯ อฎฺฐงฺคิเกน อริยมคฺคชเลน นฺหาตวา นิโทฺธตกิเลโสติ นฺหาตโกฯ คตตฺตาติ ปหานาภิสมยวเสน ปฎิวิทฺธตฺตาฯ เตนาห ‘‘วิทิตตฺตา’’ติฯ นิสฺสุตตฺตาติ สมุเจฺฉทปฺปหานวเสน สนฺตานโต สพฺพโส นิหตตฺตาฯ เตนาห ‘‘อปหตตฺตา’’ติ, มริยาทวเสน กิเลสานํ หิํสิตตฺตา อริยมเคฺคหิ โอธิโส สพฺพโส กิเลสานํ สมุจฺฉินฺนตฺตาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘หตตฺตา’’ติฯ อารกตฺตาติ สุปฺปหีนตาย วิปฺปกฎฺฐภาวโตฯ เตนาห ‘‘ทูรีภูตตฺตา’’ติฯ อุภยมฺปิ อุภยตฺถ โยเชตพฺพํ – กิเลสานํ อารกตฺตา หตตฺตา ทูรีภูตตฺตา จ อริโย, ตถา อรหนฺติฯ ยํ ปเนตฺถ อตฺถโต น วิภตฺตํ, ตํ อุตฺตานตฺถตฺตา สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    434.Bhikkhūti bhinnakilesoti bhikkhu. So hi paramatthato samaṇotināmako. Tattha ariyamaggena sabbaso pāpānaṃ samitāvīti samaṇo. Tenāha ‘‘samitapāpattā’’ti. Seṭṭhaṭṭhena brahmā vuccati sammāsambuddho, tato āgatoti brahmā, ariyamaggo, taṃ asammohapaṭivedhavasena aññāsīti brāhmaṇo. Taṃsamaṅgitāya hissa pāpānaṃ bāhitabhāvo. Tenāha ‘‘bāhitapāpattā brāhmaṇo’’ti. Aṭṭhaṅgikena ariyamaggajalena nhātavā niddhotakilesoti nhātako. Gatattāti pahānābhisamayavasena paṭividdhattā. Tenāha ‘‘viditattā’’ti. Nissutattāti samucchedappahānavasena santānato sabbaso nihatattā. Tenāha ‘‘apahatattā’’ti, mariyādavasena kilesānaṃ hiṃsitattā ariyamaggehi odhiso sabbaso kilesānaṃ samucchinnattāti attho. Tenāha ‘‘hatattā’’ti. Ārakattāti suppahīnatāya vippakaṭṭhabhāvato. Tenāha ‘‘dūrībhūtattā’’ti. Ubhayampi ubhayattha yojetabbaṃ – kilesānaṃ ārakattā hatattā dūrībhūtattā ca ariyo, tathā arahanti. Yaṃ panettha atthato na vibhattaṃ, taṃ uttānatthattā suviññeyyameva.

    มหาอสฺสปุรสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Mahāassapurasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๙. มหาอสฺสปุรสุตฺตํ • 9. Mahāassapurasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๙. มหาอสฺสปุรสุตฺตวณฺณนา • 9. Mahāassapurasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact