Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๐๒] ๒. มหาอสฺสาโรหชาตกวณฺณนา

    [302] 2. Mahāassārohajātakavaṇṇanā

    อเทเยฺยสุํ ททํ ทานนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อานนฺทเตฺถรํ อารพฺภ กเถสิฯ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ เหฎฺฐา กถิตเมวฯ สตฺถา ‘‘โปราณกปณฺฑิตาปิ อตฺตโน อุปการวเสเนว กิริํสู’’ติ วตฺวา อิธาปิ อตีตํ อาหริฯ

    Adeyyesuṃ dadaṃ dānanti idaṃ satthā jetavane viharanto ānandattheraṃ ārabbha kathesi. Paccuppannavatthu heṭṭhā kathitameva. Satthā ‘‘porāṇakapaṇḍitāpi attano upakāravaseneva kiriṃsū’’ti vatvā idhāpi atītaṃ āhari.

    อตีเต โพธิสโตฺต พาราณสิราชา หุตฺวา ธเมฺมน สเมน รชฺชํ กาเรติ, ทานํ เทติ, สีลํ รกฺขติฯ โส ‘‘ปจฺจนฺตํ กุปิตํ วูปสเมสฺสามี’’ติ พลวาหนปริวุโต คนฺตฺวา ปราชิโต อสฺสํ อภิรุหิตฺวา ปลายมาโน เอกํ ปจฺจนฺตคามํ ปาปุณิฯ ตตฺถ ติํส ชนา ราชเสวกา วสนฺติฯ เต ปาโตว คามมเชฺฌ สนฺนิปติตฺวา คามกิจฺจํ กโรนฺติฯ ตสฺมิํ ขเณ ราชา วมฺมิตํ อสฺสํ อภิรุหิตฺวา อลงฺกตปฎิยโตฺต คามทฺวาเรน อโนฺตคามํ ปาวิสิฯ เต ‘‘กิํ นุ โข อิท’’นฺติ ภีตา ปลายิตฺวา สกสกเคหานิ ปวิสิํสุฯ เอโก ปเนตฺถ อตฺตโน เคหํ อคนฺตฺวา รโญฺญ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ‘‘ราชา กิร ปจฺจนฺตํ คโต’’ติ สุยฺยติ, โกสิ ตฺวํ ราชปุริโส โจรปุริโสติ? ‘‘ราชปุริโส, สมฺมา’’ติฯ ‘‘เตน หิ เอถา’’ติ ราชานํ เคหํ เนตฺวา อตฺตโน ปีฐเก นิสีทาเปตฺวา ‘‘เอหิ, ภเทฺท, สหายกสฺส ปาเท โธวา’’ติ ภริยํ ตสฺส ปาเท โธวาเปตฺวา อตฺตโน พลานุรูเปน อาหารํ ทตฺวา ‘‘มุหุตฺตํ วิสฺสมถา’’ติ สยนํ ปญฺญาเปสิ, ราชา นิปชฺชิฯ อิตโร อสฺสสฺส สนฺนาหํ โมเจตฺวา จงฺกมาเปตฺวา อุทกํ ปาเยตฺวา ปิฎฺฐิํ เตเลน มเกฺขตฺวา ติณํ อทาสิฯ เอวํ ตโย จตฺตาโร ทิวเส ราชานํ ปฎิชคฺคิตฺวา ‘‘คจฺฉามหํ, สมฺมา’’ติ วุเตฺต ปุน รโญฺญ จ อสฺสสฺส จ กตฺตพฺพยุตฺตกํ สพฺพมกาสิฯ ราชา ตุสฺสิตฺวา คจฺฉโนฺต ‘‘อหํ, สมฺม, มหาอสฺสาโรโห นาม, นครมเชฺฌ อมฺหากํ เคหํ, สเจ เกนจิ กิเจฺจน นครํ อาคจฺฉสิ, ทกฺขิณทฺวาเร ฐตฺวา โทวาริกํ ‘มหาอสฺสาโรโห กตรเคเห วสตี’ติ ปุจฺฉิตฺวา โทวาริกํ คเหตฺวา อมฺหากํ เคหํ อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ

    Atīte bodhisatto bārāṇasirājā hutvā dhammena samena rajjaṃ kāreti, dānaṃ deti, sīlaṃ rakkhati. So ‘‘paccantaṃ kupitaṃ vūpasamessāmī’’ti balavāhanaparivuto gantvā parājito assaṃ abhiruhitvā palāyamāno ekaṃ paccantagāmaṃ pāpuṇi. Tattha tiṃsa janā rājasevakā vasanti. Te pātova gāmamajjhe sannipatitvā gāmakiccaṃ karonti. Tasmiṃ khaṇe rājā vammitaṃ assaṃ abhiruhitvā alaṅkatapaṭiyatto gāmadvārena antogāmaṃ pāvisi. Te ‘‘kiṃ nu kho ida’’nti bhītā palāyitvā sakasakagehāni pavisiṃsu. Eko panettha attano gehaṃ agantvā rañño paccuggamanaṃ katvā ‘‘rājā kira paccantaṃ gato’’ti suyyati, kosi tvaṃ rājapuriso corapurisoti? ‘‘Rājapuriso, sammā’’ti. ‘‘Tena hi ethā’’ti rājānaṃ gehaṃ netvā attano pīṭhake nisīdāpetvā ‘‘ehi, bhadde, sahāyakassa pāde dhovā’’ti bhariyaṃ tassa pāde dhovāpetvā attano balānurūpena āhāraṃ datvā ‘‘muhuttaṃ vissamathā’’ti sayanaṃ paññāpesi, rājā nipajji. Itaro assassa sannāhaṃ mocetvā caṅkamāpetvā udakaṃ pāyetvā piṭṭhiṃ telena makkhetvā tiṇaṃ adāsi. Evaṃ tayo cattāro divase rājānaṃ paṭijaggitvā ‘‘gacchāmahaṃ, sammā’’ti vutte puna rañño ca assassa ca kattabbayuttakaṃ sabbamakāsi. Rājā tussitvā gacchanto ‘‘ahaṃ, samma, mahāassāroho nāma, nagaramajjhe amhākaṃ gehaṃ, sace kenaci kiccena nagaraṃ āgacchasi, dakkhiṇadvāre ṭhatvā dovārikaṃ ‘mahāassāroho kataragehe vasatī’ti pucchitvā dovārikaṃ gahetvā amhākaṃ gehaṃ āgaccheyyāsī’’ti vatvā pakkāmi.

    พลกาโยปิ ราชานํ อทิสฺวา พหินคเร ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา ฐิโต ราชานํ ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปริวาเรสิฯ ราชา นครํ ปวิสโนฺต ทฺวารนฺตเร ฐตฺวา โทวาริกํ ปโกฺกสาเปตฺวา มหาชนํ ปฎิกฺกมาเปตฺวา ‘‘ตาต, เอโก ปจฺจนฺตคามวาสี มํ ทฎฺฐุกาโม อาคนฺตฺวา ‘มหาอสฺสาโรหสฺส เคหํ กห’นฺติ ตํ ปุจฺฉิสฺสติ, ตํ ตฺวํ หเตฺถ คเหตฺวา อาเนตฺวา มํ ทเสฺสยฺยาสิ, ตทา ตฺวํ สหสฺสํ ลภิสฺสสี’’ติ อาหฯ โส นาคจฺฉติ, ตสฺมิํ อนาคจฺฉเนฺต ราชา ตสฺส วสนคาเม พลิํ วฑฺฒาเปสิ, พลิมฺหิ วฑฺฒิเต นาคจฺฉติฯ เอวํ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ พลิํ วฑฺฒาเปสิ, เนว อาคจฺฉติฯ อถ นํ คามวาสิโน สนฺนิปติตฺวา อาหํสุ ‘‘อยฺย, ตว สหายสฺส มหาอสฺสาโรหสฺส อาคตกาลโต ปฎฺฐาย มยํ พลินา ปีฬิยมานา สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สโกฺกม, คจฺฉ ตว สหายสฺส มหาอสฺสาโรหสฺส วตฺวา อมฺหากํ พลิํ วิสฺสชฺชาเปหี’’ติฯ สาธุ คจฺฉิสฺสามิ, น ปน สกฺกา ตุจฺฉหเตฺถน คนฺตุํ, มยฺหํ สหายสฺส เทฺว ทารกา อตฺถิ, เตสญฺจ ภริยาย จสฺส สหายกสฺส จ เม นิวาสนปารุปนปิฬนฺธนาทีนิ สเชฺชถาติฯ ‘‘สาธุ สชฺชิสฺสามา’’ติ เต สพฺพํ ปณฺณาการํ สชฺชยิํสุฯ

    Balakāyopi rājānaṃ adisvā bahinagare khandhāvāraṃ bandhitvā ṭhito rājānaṃ disvā paccuggantvā parivāresi. Rājā nagaraṃ pavisanto dvārantare ṭhatvā dovārikaṃ pakkosāpetvā mahājanaṃ paṭikkamāpetvā ‘‘tāta, eko paccantagāmavāsī maṃ daṭṭhukāmo āgantvā ‘mahāassārohassa gehaṃ kaha’nti taṃ pucchissati, taṃ tvaṃ hatthe gahetvā ānetvā maṃ dasseyyāsi, tadā tvaṃ sahassaṃ labhissasī’’ti āha. So nāgacchati, tasmiṃ anāgacchante rājā tassa vasanagāme baliṃ vaḍḍhāpesi, balimhi vaḍḍhite nāgacchati. Evaṃ dutiyampi tatiyampi baliṃ vaḍḍhāpesi, neva āgacchati. Atha naṃ gāmavāsino sannipatitvā āhaṃsu ‘‘ayya, tava sahāyassa mahāassārohassa āgatakālato paṭṭhāya mayaṃ balinā pīḷiyamānā sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkoma, gaccha tava sahāyassa mahāassārohassa vatvā amhākaṃ baliṃ vissajjāpehī’’ti. Sādhu gacchissāmi, na pana sakkā tucchahatthena gantuṃ, mayhaṃ sahāyassa dve dārakā atthi, tesañca bhariyāya cassa sahāyakassa ca me nivāsanapārupanapiḷandhanādīni sajjethāti. ‘‘Sādhu sajjissāmā’’ti te sabbaṃ paṇṇākāraṃ sajjayiṃsu.

    โส ตญฺจ อตฺตโน ฆเร ปกฺกปูวญฺจ อาทาย คนฺตฺวา ทกฺขิณทฺวารํ ปตฺวา โทวาริกํ ปุจฺฉิ ‘‘กหํ, สมฺม, มหาอสฺสาโรหสฺส เคห’’นฺติฯ โส ‘‘เอหิ ทเสฺสมิ เต’’ติ ตํ หเตฺถ คเหตฺวา ราชทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘โทวาริโก เอกํ ปจฺจนฺตคามวาสิํ คเหตฺวา อาคโต’’ติ ปฎิเวเทสิฯ ราชา ตํ สุตฺวา อาสนา อุฎฺฐาย ‘‘มยฺหํ สหาโย จ เตน สทฺธิํ อาคตา จ ปวิสนฺตู’’ติ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ทิสฺวาว นํ ปริสฺสชิตฺวา ‘‘มยฺหํ สหายิกา จ ทารกา จ อโรคา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา หเตฺถ คเหตฺวา มหาตลํ อภิรุหิตฺวา เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา ราชาสเน นิสีทาเปตฺวา อคฺคมเหสิํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ภเทฺท, สหายสฺส เม ปาเท โธวา’’ติ อาหฯ สา ตสฺสฺส ปาเท โธวิ, ราชา สุวณฺณภิงฺกาเรน อุทกํ อาสิญฺจิฯ เทวีปิ ปาเท โธวิตฺวา คนฺธเตเลน มเกฺขสิฯ ราชา ‘‘กิํ, สมฺม, อตฺถิ, กิญฺจิ อมฺหากํ ขาทนีย’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘อตฺถี’’ติ ปสิพฺพกโต ปูเว นีหราเปสิฯ ราชา สุวณฺณตฎฺฎเกน คเหตฺวา ตสฺส สงฺคหํ กโรโนฺต ‘‘มม สหาเยน อานีตํ ขาทถา’’ติ เทวิยา จ อมจฺจานญฺจ ขาทาเปตฺวา สยมฺปิ ขาทิฯ อิตโร อิตรมฺปิ ปณฺณาการํ ทเสฺสสิฯ ราชา ตสฺส สงฺคหตฺถํ กาสิกวตฺถานิ อปเนตฺวา เตน อาภตวตฺถยุคํ นิวาเสสิํ ฯ เทวีปิ กาสิกวตฺถเญฺจว อาภรณานิ จ อปเนตฺวา เตน อาภตวตฺถํ นิวาเสตฺวา อาภรณานิ ปิฬนฺธิฯ

    So tañca attano ghare pakkapūvañca ādāya gantvā dakkhiṇadvāraṃ patvā dovārikaṃ pucchi ‘‘kahaṃ, samma, mahāassārohassa geha’’nti. So ‘‘ehi dassemi te’’ti taṃ hatthe gahetvā rājadvāraṃ gantvā ‘‘dovāriko ekaṃ paccantagāmavāsiṃ gahetvā āgato’’ti paṭivedesi. Rājā taṃ sutvā āsanā uṭṭhāya ‘‘mayhaṃ sahāyo ca tena saddhiṃ āgatā ca pavisantū’’ti paccuggamanaṃ katvā disvāva naṃ parissajitvā ‘‘mayhaṃ sahāyikā ca dārakā ca arogā’’ti pucchitvā hatthe gahetvā mahātalaṃ abhiruhitvā setacchattassa heṭṭhā rājāsane nisīdāpetvā aggamahesiṃ pakkosāpetvā ‘‘bhadde, sahāyassa me pāde dhovā’’ti āha. Sā tasssa pāde dhovi, rājā suvaṇṇabhiṅkārena udakaṃ āsiñci. Devīpi pāde dhovitvā gandhatelena makkhesi. Rājā ‘‘kiṃ, samma, atthi, kiñci amhākaṃ khādanīya’’nti pucchi. So ‘‘atthī’’ti pasibbakato pūve nīharāpesi. Rājā suvaṇṇataṭṭakena gahetvā tassa saṅgahaṃ karonto ‘‘mama sahāyena ānītaṃ khādathā’’ti deviyā ca amaccānañca khādāpetvā sayampi khādi. Itaro itarampi paṇṇākāraṃ dassesi. Rājā tassa saṅgahatthaṃ kāsikavatthāni apanetvā tena ābhatavatthayugaṃ nivāsesiṃ . Devīpi kāsikavatthañceva ābharaṇāni ca apanetvā tena ābhatavatthaṃ nivāsetvā ābharaṇāni piḷandhi.

    อถ นํ ราชา ราชารหํ โภชนํ โภชาเปตฺวา เอกํ อมจฺจํ อาณาเปสิ ‘‘คจฺฉ อิมสฺส มม กรณนิยาเมเนว มสฺสุกมฺมํ กาเรตฺวา คโนฺธทเกน นฺหาเปตฺวา สตสหสฺสคฺฆนิกํ กาสิกวตฺถํ นิวาสาเปตฺวา ราชาลงฺกาเรน อลงฺการาเปตฺวา อาเนหี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ ราชา นคเร เภริํ จราเปตฺวา อมเจฺจ สนฺนิปาตาเปตฺวา เสตจฺฉตฺตสฺส มเชฺฌ ชาติหิงฺคุลกสุตฺตํ ปาเตตฺวา อุปฑฺฒรชฺชํ อทาสิฯ เต ตโต ปฎฺฐาย เอกโต ภุญฺชนฺติ ปิวนฺติ สยนฺติ, วิสฺสาโส ถิโร อโหสิ เกนจิ อเภโชฺชฯ อถสฺส ราชา ปุตฺตทาเรปิ ปโกฺกสาเปตฺวา อโนฺตนคเร นิเวสนํ มาเปตฺวา อทาสิฯ เต สมคฺคา สโมฺมทมานา รชฺชํ กาเรนฺติฯ

    Atha naṃ rājā rājārahaṃ bhojanaṃ bhojāpetvā ekaṃ amaccaṃ āṇāpesi ‘‘gaccha imassa mama karaṇaniyāmeneva massukammaṃ kāretvā gandhodakena nhāpetvā satasahassagghanikaṃ kāsikavatthaṃ nivāsāpetvā rājālaṅkārena alaṅkārāpetvā ānehī’’ti. So tathā akāsi. Rājā nagare bheriṃ carāpetvā amacce sannipātāpetvā setacchattassa majjhe jātihiṅgulakasuttaṃ pātetvā upaḍḍharajjaṃ adāsi. Te tato paṭṭhāya ekato bhuñjanti pivanti sayanti, vissāso thiro ahosi kenaci abhejjo. Athassa rājā puttadārepi pakkosāpetvā antonagare nivesanaṃ māpetvā adāsi. Te samaggā sammodamānā rajjaṃ kārenti.

    อถ อมจฺจา กุชฺฌิตฺวา ราชปุตฺตํ อาหํสุ ‘‘กุมาร, ราชา เอกสฺส คหปติกสฺส อุปฑฺฒรชฺชํ ทตฺวา เตน สทฺธิํ เอกโต ภุญฺชติ ปิวติ สยติ, ทารเก จ วนฺทาเปติ, อิมินา รญฺญา กตกมฺมํ น ชานาม, กิํ กโรติ ราชา, มยํ ลชฺชาม, ตฺวํ รโญฺญ กเถหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สพฺพํ ตํ กถํ รโญฺญ อาโรเจตฺวา ‘‘มา เอวํ กโรหิ, มหาราชา’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, อหํ ยุทฺธปราชิโต กหํ วสิํ, อปิ นุ ชานาถา’’ติฯ ‘‘น ชานาม, เทวา’’ติฯ ‘‘อหํ เอตสฺส ฆเร วสโนฺต อโรโค หุตฺวา อาคนฺตฺวา รชฺชํ กาเรสิํ, เอวํ มม อุปการิโน กสฺมา สมฺปตฺติํ น ทสฺสามี’’ติ เอวํ วตฺวา จ ปน โพธิสโตฺต ‘‘ตาต, โย หิ อทาตพฺพยุตฺตกสฺส เทติ, ทาตพฺพยุตฺตกสฺส น เทติ, โส อาปทํ ปตฺวา กิญฺจิ อุปการํ น ลภตี’’ติ ทเสฺสโนฺต อิมา คาถา อาห –

    Atha amaccā kujjhitvā rājaputtaṃ āhaṃsu ‘‘kumāra, rājā ekassa gahapatikassa upaḍḍharajjaṃ datvā tena saddhiṃ ekato bhuñjati pivati sayati, dārake ca vandāpeti, iminā raññā katakammaṃ na jānāma, kiṃ karoti rājā, mayaṃ lajjāma, tvaṃ rañño kathehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā sabbaṃ taṃ kathaṃ rañño ārocetvā ‘‘mā evaṃ karohi, mahārājā’’ti āha. ‘‘Tāta, ahaṃ yuddhaparājito kahaṃ vasiṃ, api nu jānāthā’’ti. ‘‘Na jānāma, devā’’ti. ‘‘Ahaṃ etassa ghare vasanto arogo hutvā āgantvā rajjaṃ kāresiṃ, evaṃ mama upakārino kasmā sampattiṃ na dassāmī’’ti evaṃ vatvā ca pana bodhisatto ‘‘tāta, yo hi adātabbayuttakassa deti, dātabbayuttakassa na deti, so āpadaṃ patvā kiñci upakāraṃ na labhatī’’ti dassento imā gāthā āha –

    .

    5.

    ‘‘อเทเยฺยสุ ททํ ทานํ, เทเยฺยสุ นปฺปเวจฺฉติ;

    ‘‘Adeyyesu dadaṃ dānaṃ, deyyesu nappavecchati;

    อาปาสุ พฺยสนํ ปโตฺต, สหายํ นาธิคจฺฉติฯ

    Āpāsu byasanaṃ patto, sahāyaṃ nādhigacchati.

    .

    6.

    ‘‘นาเทเยฺยสุ ททํ ทานํ, เทเยฺยสุ โย ปเวจฺฉติ;

    ‘‘Nādeyyesu dadaṃ dānaṃ, deyyesu yo pavecchati;

    อาปาสุ พฺยสนํ ปโตฺต, สหายมธิคจฺฉติฯ

    Āpāsu byasanaṃ patto, sahāyamadhigacchati.

    .

    7.

    ‘‘สโญฺญคสโมฺภควิเสสทสฺสนํ , อนริยธเมฺมสุ สเฐสุ นสฺสติ;

    ‘‘Saññogasambhogavisesadassanaṃ , anariyadhammesu saṭhesu nassati;

    กตญฺจ อริเยสุ จ อชฺชเวสุ, มหปฺผลํ โหติ อณุมฺปิ ตาทิสุฯ

    Katañca ariyesu ca ajjavesu, mahapphalaṃ hoti aṇumpi tādisu.

    .

    8.

    ‘‘โย ปุเพฺพ กตกลฺยาโณ, อกา โลเก สุทุกฺกรํ;

    ‘‘Yo pubbe katakalyāṇo, akā loke sudukkaraṃ;

    ปจฺฉา กยิรา น วา กยิรา, อจฺจนฺตํ ปูชนารโห’’ติฯ

    Pacchā kayirā na vā kayirā, accantaṃ pūjanāraho’’ti.

    ตตฺถ อเทเยฺยสูติ ปุเพฺพ อกตูปกาเรสุฯ เทเยฺยสูติ ปุเพฺพ กตูปกาเรสุฯ นปฺปเวจฺฉตีติ น ปเวเสติ น เทติฯ อาปาสูติ อาปทาสุฯ พฺยสนนฺติ ทุกฺขํฯ สโญฺญคสโมฺภควิเสสทสฺสนนฺติ โย มิเตฺตน กโต สโญฺญโค เจว สโมฺภโค จ, ตสฺส วิเสสทสฺสนํ คุณทสฺสนํ สุกตํ มยฺหํ อิมินาติ เอตํ สพฺพํ อสุทฺธธมฺมตฺตา อนริยธเมฺมสุ เกราฎิกตฺตา สเฐสุ นสฺสติฯ อริเยสูติ อตฺตโน กตคุณชานเนน อริเยสุ ปริสุเทฺธสุฯ อชฺชเวสูติ เตเนว การเณน อุชุเกสุ อกุฎิเลสุฯ อณุมฺปีติ อปฺปมตฺตกมฺปิฯ ตาทิสูติ เย ตาทิสา ปุคฺคลา โหนฺติ อริยา อุชุภูตา, เตสุ อปฺปมฺปิ กตํ มหปฺผลํ โหติ มหาชุติกํ มหาวิปฺผารํ, สุเขเตฺต วุตฺตพีชมิว น นสฺสติ , อิตรสฺมิํ ปน ปาเป พหุมฺปิ กตํ อคฺคิมฺหิ ขิตฺตพีชมิว นสฺสตีติ อโตฺถฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Tattha adeyyesūti pubbe akatūpakāresu. Deyyesūti pubbe katūpakāresu. Nappavecchatīti na paveseti na deti. Āpāsūti āpadāsu. Byasananti dukkhaṃ. Saññogasambhogavisesadassananti yo mittena kato saññogo ceva sambhogo ca, tassa visesadassanaṃ guṇadassanaṃ sukataṃ mayhaṃ imināti etaṃ sabbaṃ asuddhadhammattā anariyadhammesu kerāṭikattā saṭhesu nassati. Ariyesūti attano kataguṇajānanena ariyesu parisuddhesu. Ajjavesūti teneva kāraṇena ujukesu akuṭilesu. Aṇumpīti appamattakampi. Tādisūti ye tādisā puggalā honti ariyā ujubhūtā, tesu appampi kataṃ mahapphalaṃ hoti mahājutikaṃ mahāvipphāraṃ, sukhette vuttabījamiva na nassati , itarasmiṃ pana pāpe bahumpi kataṃ aggimhi khittabījamiva nassatīti attho. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ยถาปิ พีชมคฺคิมฺหิ, ฑยฺหติ น วิรูหติ;

    ‘‘Yathāpi bījamaggimhi, ḍayhati na virūhati;

    เอวํ กตํ อสปฺปุริเส, นสฺสติ น วิรูหติฯ

    Evaṃ kataṃ asappurise, nassati na virūhati.

    ‘‘กตญฺญุมฺหิ จ โปสมฺหิ, สีลวเนฺต อริยวุตฺติเน;

    ‘‘Kataññumhi ca posamhi, sīlavante ariyavuttine;

    สุเขเตฺต วิย พีชานิ, กตํ ตมฺหิ น นสฺสตี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๗๗-๗๘);

    Sukhette viya bījāni, kataṃ tamhi na nassatī’’ti. (jā. 1.10.77-78);

    ปุเพฺพ กตกลฺยาโณติ ปฐมตรํ อุปการํ กตฺวา ฐิโตฯ อกาติ อกริ, อยํ โลเก สุทุกฺกรํ นาม อกาสีติ อโตฺถฯ ปจฺฉา กยิราติ โส ปจฺฉา อญฺญํ กิญฺจิ คุณํ กโรตุ วา มา วา, เตเนว ปฐมกเตน คุเณน อจฺจนฺตํ ปูชนารโห โหติ, สพฺพํ สกฺการสมฺมานํ อรหตีติฯ

    Pubbe katakalyāṇoti paṭhamataraṃ upakāraṃ katvā ṭhito. Akāti akari, ayaṃ loke sudukkaraṃ nāma akāsīti attho. Pacchā kayirāti so pacchā aññaṃ kiñci guṇaṃ karotu vā mā vā, teneva paṭhamakatena guṇena accantaṃ pūjanāraho hoti, sabbaṃ sakkārasammānaṃ arahatīti.

    อิทํ ปน สุตฺวา เนว อมจฺจา, น ราชปุโตฺต ปุน กิญฺจิ กเถสีติฯ

    Idaṃ pana sutvā neva amaccā, na rājaputto puna kiñci kathesīti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปจฺจนฺตคามวาสี อานโนฺท อโหสิ, พาราณสิราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā paccantagāmavāsī ānando ahosi, bārāṇasirājā pana ahameva ahosi’’nti.

    มหาอสฺสาโรหชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Mahāassārohajātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๐๒. มหาอสฺสาโรหชาตกํ • 302. Mahāassārohajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact