Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๒๘] ๓. มหาโพธิชาตกวณฺณนา

    [528] 3. Mahābodhijātakavaṇṇanā

    กิํ นุ ทณฺฑํ กิมชินนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปญฺญาปารมิํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ มหาอุมงฺคชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๕๙๐ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ ตทา ปน สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต ปญฺญวา ปรปฺปวาทปฺปมทฺทโนเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Kiṃ nu daṇḍaṃ kimajinanti idaṃ satthā jetavane viharanto paññāpāramiṃ ārabbha kathesi. Vatthu mahāumaṅgajātake (jā. 2.22.590 ādayo) āvi bhavissati. Tadā pana satthā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato paññavā parappavādappamaddanoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กาสิรเฎฺฐ อสีติโกฎิวิภวสฺส อุทิจฺจพฺราหฺมณมหาสาลสฺส กุเล นิพฺพตฺติ, ‘‘โพธิกุมาโร’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ อุคฺคหิตสิโปฺป ปจฺจาคนฺตฺวา อคารมเชฺฌ วสโนฺต อปรภาเค กาเม ปหาย หิมวนฺตปเทสํ ปวิสิตฺวา ปริพฺพาชกปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ตเตฺถว วนมูลผลาหาโร จิรํ วสิตฺวา วสฺสารตฺตสมเย หิมวนฺตา โอรุยฺห จาริกํ จรโนฺต อนุปุเพฺพน พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิตฺวา ปุนทิวเส ปริพฺพาชกสารุเปฺปน นคเร ภิกฺขาย จรโนฺต ราชทฺวารํ ปาปุณิ ตเมนํ สีหปญฺชเร ฐิโต ราชา ทิสฺวา ตสฺส อุปสเม ปสีทิตฺวา ตํ อตฺตโน ภวนํ ปเวเสตฺวา ราชปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา กตปฎิสนฺถาโร โถกํ ธมฺมกถํ สุตฺวา นานคฺครสโภชนํ ทาเปสิฯ มหาสโตฺต ภตฺตํ คเหตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิทํ ราชกุลํ นาม พหุโทสํ พหุปจฺจามิตฺตํ โหติ, โก นุ โข มม อุปฺปนฺนํ ภยํ นิตฺถริสฺสตี’’ติฯ โส อวิทูเร ฐิตํ ราชวลฺลภํ เอกํ ปิงฺคลสุนขํ ทิสฺวา มหนฺตํ ภตฺตปิณฺฑํ คเหตฺวา ตสฺส ทาตุกามตาการํ ทเสฺสสิฯ ราชา ญตฺวา สุนขสฺส ภาชนํ อาหราเปตฺวา ภตฺตํ คาหาเปตฺวา ทาเปสิฯ มหาสโตฺตปิ ตสฺส ทตฺวา ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐเปสิฯ ราชาปิสฺส ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อโนฺตนคเร ราชุยฺยาเน ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร ทตฺวา ตํ ตตฺถ วาสาเปสิ, เทวสิกญฺจสฺส เทฺว ตโย วาเร อุปฎฺฐานํ อคมาสิฯ โภชนกาเล ปน มหาสโตฺต นิจฺจํ ราชปลฺลเงฺกเยว นิสีทิตฺวา ราชโภชนเมว ภุญฺชติฯ เอวํ ทฺวาทส สํวจฺฉรานิ อตีตานิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kāsiraṭṭhe asītikoṭivibhavassa udiccabrāhmaṇamahāsālassa kule nibbatti, ‘‘bodhikumāro’’tissa nāmaṃ kariṃsu. So vayappatto takkasilāyaṃ uggahitasippo paccāgantvā agāramajjhe vasanto aparabhāge kāme pahāya himavantapadesaṃ pavisitvā paribbājakapabbajjaṃ pabbajitvā tattheva vanamūlaphalāhāro ciraṃ vasitvā vassārattasamaye himavantā oruyha cārikaṃ caranto anupubbena bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasitvā punadivase paribbājakasāruppena nagare bhikkhāya caranto rājadvāraṃ pāpuṇi tamenaṃ sīhapañjare ṭhito rājā disvā tassa upasame pasīditvā taṃ attano bhavanaṃ pavesetvā rājapallaṅke nisīdāpetvā katapaṭisanthāro thokaṃ dhammakathaṃ sutvā nānaggarasabhojanaṃ dāpesi. Mahāsatto bhattaṃ gahetvā cintesi – ‘‘idaṃ rājakulaṃ nāma bahudosaṃ bahupaccāmittaṃ hoti, ko nu kho mama uppannaṃ bhayaṃ nittharissatī’’ti. So avidūre ṭhitaṃ rājavallabhaṃ ekaṃ piṅgalasunakhaṃ disvā mahantaṃ bhattapiṇḍaṃ gahetvā tassa dātukāmatākāraṃ dassesi. Rājā ñatvā sunakhassa bhājanaṃ āharāpetvā bhattaṃ gāhāpetvā dāpesi. Mahāsattopi tassa datvā bhattakiccaṃ niṭṭhapesi. Rājāpissa paṭiññaṃ gahetvā antonagare rājuyyāne paṇṇasālaṃ kāretvā pabbajitaparikkhāre datvā taṃ tattha vāsāpesi, devasikañcassa dve tayo vāre upaṭṭhānaṃ agamāsi. Bhojanakāle pana mahāsatto niccaṃ rājapallaṅkeyeva nisīditvā rājabhojanameva bhuñjati. Evaṃ dvādasa saṃvaccharāni atītāni.

    ตสฺส ปน รโญฺญ ปญฺจ อมจฺจา อตฺถญฺจ ธมฺมญฺจ อนุสาสนฺติฯ เตสุ เอโก อเหตุกวาที, เอโก อิสฺสรกตวาที, เอโก ปุเพฺพกตวาที, เอโก อุเจฺฉทวาที, เอโก ขตฺตวิชฺชวาทีฯ เตสุ อเหตุกวาที ‘‘อิเม สตฺตา สํสารสุทฺธิกา’’ติ มหาชนํ อุคฺคณฺหาเปสิฯ อิสฺสรกตวาที ‘‘อยํ โลโก อิสฺสรนิมฺมิโต’’ติ มหาชนํ อุคฺคณฺหาเปสิฯ ปุเพฺพกตวาที ‘‘อิเมสํ สตฺตานํ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อุปฺปชฺชมานํ ปุเพฺพกเตเนว อุปฺปชฺชตี’’ติ มหาชนํ อุคฺคณฺหาเปสิฯ อุเจฺฉทวาที ‘‘อิโต ปรโลกํ คโต นาม นตฺถิ, อยํ โลโก อุจฺฉิชฺชตี’’ติ มหาชนํ อุคฺคณฺหาเปสิฯ ขตฺตวิชฺชวาที ‘‘มาตาปิตโรปิ มาเรตฺวา อตฺตโนว อโตฺถ กาตโพฺพ’’ติ มหาชนํ อุคฺคณฺหาเปสิฯ เต รโญฺญ วินิจฺฉเย นิยุตฺตา ลญฺชขาทกา หุตฺวา อสฺสามิกํ สามิกํ, สามิกํ อสฺสามิกํ กโรนฺติฯ

    Tassa pana rañño pañca amaccā atthañca dhammañca anusāsanti. Tesu eko ahetukavādī, eko issarakatavādī, eko pubbekatavādī, eko ucchedavādī, eko khattavijjavādī. Tesu ahetukavādī ‘‘ime sattā saṃsārasuddhikā’’ti mahājanaṃ uggaṇhāpesi. Issarakatavādī ‘‘ayaṃ loko issaranimmito’’ti mahājanaṃ uggaṇhāpesi. Pubbekatavādī ‘‘imesaṃ sattānaṃ sukhaṃ vā dukkhaṃ vā uppajjamānaṃ pubbekateneva uppajjatī’’ti mahājanaṃ uggaṇhāpesi. Ucchedavādī ‘‘ito paralokaṃ gato nāma natthi, ayaṃ loko ucchijjatī’’ti mahājanaṃ uggaṇhāpesi. Khattavijjavādī ‘‘mātāpitaropi māretvā attanova attho kātabbo’’ti mahājanaṃ uggaṇhāpesi. Te rañño vinicchaye niyuttā lañjakhādakā hutvā assāmikaṃ sāmikaṃ, sāmikaṃ assāmikaṃ karonti.

    อเถกทิวสํ เอโก ปุริโส กูฎฎฺฎปราชิโต มหาสตฺตํ ภิกฺขาย จรนฺตํ ราชเคหํ ปวิสนฺตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห ราชเคเห ภุญฺชมานา วินิจฺฉยามเจฺจ ลญฺชํ คเหตฺวา โลกํ วินาเสเนฺต กสฺมา อชฺฌุเปกฺขถ, อิทานิ ปญฺจหิ อมเจฺจหิ กูฎฎฺฎการกสฺส หตฺถโต ลญฺชํ คเหตฺวา สามิโกว สมาโน อสฺสามิโก กโต’’ติ ปริเทวิฯ โส ตสฺมิํ การุญฺญวเสน วินิจฺฉยํ คนฺตฺวา ธเมฺมน วินิจฺฉินิตฺวา สามิกเญฺญว สามิกํ อกาสิฯ มหาชโน เอกปฺปหาเรเนว มหาสเทฺทน สาธุการํ อทาสิฯ ราชา ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิํสโทฺท นามาย’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ มหาสตฺตํ อุปนิสีทิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, อชฺช กิร โว อโฎฺฎ วินิจฺฉิโต’’ติฯ ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหสุ วินิจฺฉินเนฺตสุ มหาชนสฺส วุฑฺฒิ ภวิสฺสติ, อิโต ปฎฺฐาย ตุเมฺหว วินิจฺฉินถา’’ติฯ ‘‘มหาราช, มยํ ปพฺพชิตา นาม, เนตํ กมฺมํ อมฺหากํ กมฺม’’นฺติฯ ‘‘ภเนฺต, มหาชเน การุเญฺญน กาตุํ วฎฺฎติ, ตุเมฺห สกลทิวสํ มา วินิจฺฉินถ, อุยฺยานโต ปน อิธาคจฺฉนฺตา วินิจฺฉยฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปาโตว จตฺตาโร อเฎฺฎ วินิจฺฉินถ, ภุตฺวา อุยฺยานํ คจฺฉนฺตา จตฺตาโร, เอวํ มหาชนสฺส วุฑฺฒิ ภวิสฺสตี’’ติฯ โส เตน ปุนปฺปุนํ ยาจิยมาโน ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ตถา อกาสิฯ

    Athekadivasaṃ eko puriso kūṭaṭṭaparājito mahāsattaṃ bhikkhāya carantaṃ rājagehaṃ pavisantaṃ disvā vanditvā, ‘‘bhante, tumhe rājagehe bhuñjamānā vinicchayāmacce lañjaṃ gahetvā lokaṃ vināsente kasmā ajjhupekkhatha, idāni pañcahi amaccehi kūṭaṭṭakārakassa hatthato lañjaṃ gahetvā sāmikova samāno assāmiko kato’’ti paridevi. So tasmiṃ kāruññavasena vinicchayaṃ gantvā dhammena vinicchinitvā sāmikaññeva sāmikaṃ akāsi. Mahājano ekappahāreneva mahāsaddena sādhukāraṃ adāsi. Rājā taṃ saddaṃ sutvā ‘‘kiṃsaddo nāmāya’’nti pucchitvā tamatthaṃ sutvā katabhattakiccaṃ mahāsattaṃ upanisīditvā pucchi – ‘‘bhante, ajja kira vo aṭṭo vinicchito’’ti. ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Bhante, tumhesu vinicchinantesu mahājanassa vuḍḍhi bhavissati, ito paṭṭhāya tumheva vinicchinathā’’ti. ‘‘Mahārāja, mayaṃ pabbajitā nāma, netaṃ kammaṃ amhākaṃ kamma’’nti. ‘‘Bhante, mahājane kāruññena kātuṃ vaṭṭati, tumhe sakaladivasaṃ mā vinicchinatha, uyyānato pana idhāgacchantā vinicchayaṭṭhānaṃ gantvā pātova cattāro aṭṭe vinicchinatha, bhutvā uyyānaṃ gacchantā cattāro, evaṃ mahājanassa vuḍḍhi bhavissatī’’ti. So tena punappunaṃ yāciyamāno ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tato paṭṭhāya tathā akāsi.

    กูฎฎฺฎการกา โอกาสํ น ลภิํสุฯ เตปิ อมจฺจา ลญฺชํ อลภนฺตา ทุคฺคตา หุตฺวา จินฺตยิํสุ – ‘‘โพธิปริพฺพาชกสฺส วินิจฺฉินนกาลโต ปฎฺฐาย มยํ กิญฺจิ น ลภาม, หนฺท นํ ‘ราชเวริโก’ติ วตฺวา รโญฺญ อนฺตเร ปริภินฺทิตฺวา มาราเปสฺสามา’’ติฯ เต ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘มหาราช, โพธิปริพฺพาชโก ตุมฺหากํ อนตฺถกาโม’’ติ วตฺวา อสทฺทหเนฺตน รญฺญา ‘‘สีลวา เอส ญาณสมฺปโนฺน, น เอวํ กริสฺสตี’’ติ วุเตฺต, ‘‘มหาราช, เตน สกลนครวาสิโน อตฺตโน หเตฺถ กตฺวา เกวลํ อเมฺหเยว ปญฺจ ชเน กาตุํ น สกฺกา, สเจ อมฺหากํ วจนํ น สทฺทหถ, ตสฺส อิธาคมนกาเล ปริสํ โอโลเกถา’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สีหปญฺชเร ฐิโต ตํ อาคจฺฉนฺตํ โอโลเกโนฺต ปริวารํ ทิสฺวา อตฺตโน อญฺญาเณน อฎฺฎการกมนุเสฺส ‘‘ตสฺส ปริวารา’’ติ มญฺญมาโน ภิชฺชิตฺวา เต อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กินฺติ กโรมา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘คณฺหาเปถ นํ, เทวา’’ติฯ ‘‘โอฬาริกํ อปราธํ อปสฺสนฺตา กถํ คณฺหามา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, มหาราช, ปกติปริหารมสฺส หาเปถ, ตํ ปริหายนฺตํ ทิสฺวา ปณฺฑิโต ปริพฺพาชโก กสฺสจิ อนาโรเจตฺวา สยเมว ปลายิสฺสตี’’ติฯ

    Kūṭaṭṭakārakā okāsaṃ na labhiṃsu. Tepi amaccā lañjaṃ alabhantā duggatā hutvā cintayiṃsu – ‘‘bodhiparibbājakassa vinicchinanakālato paṭṭhāya mayaṃ kiñci na labhāma, handa naṃ ‘rājaveriko’ti vatvā rañño antare paribhinditvā mārāpessāmā’’ti. Te rājānaṃ upasaṅkamitvā, ‘‘mahārāja, bodhiparibbājako tumhākaṃ anatthakāmo’’ti vatvā asaddahantena raññā ‘‘sīlavā esa ñāṇasampanno, na evaṃ karissatī’’ti vutte, ‘‘mahārāja, tena sakalanagaravāsino attano hatthe katvā kevalaṃ amheyeva pañca jane kātuṃ na sakkā, sace amhākaṃ vacanaṃ na saddahatha, tassa idhāgamanakāle parisaṃ olokethā’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘sādhū’’ti sīhapañjare ṭhito taṃ āgacchantaṃ olokento parivāraṃ disvā attano aññāṇena aṭṭakārakamanusse ‘‘tassa parivārā’’ti maññamāno bhijjitvā te amacce pakkosāpetvā ‘‘kinti karomā’’ti pucchi. ‘‘Gaṇhāpetha naṃ, devā’’ti. ‘‘Oḷārikaṃ aparādhaṃ apassantā kathaṃ gaṇhāmā’’ti. ‘‘Tena hi, mahārāja, pakatiparihāramassa hāpetha, taṃ parihāyantaṃ disvā paṇḍito paribbājako kassaci anārocetvā sayameva palāyissatī’’ti.

    ราชา ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา อนุปุเพฺพน ตสฺส ปริหารํ ปริหาเปสิฯ ปฐมทิวสํ ตาว นํ ตุจฺฉปลฺลเงฺกเยว นิสีทาเปสุํฯ โส ตุจฺฉปลฺลงฺกํ ทิสฺวาว รโญฺญ ปริภินฺนภาวํ ญตฺวา สยเมว อุยฺยานํ คนฺตฺวา ตํ ทิวสเมว ปกฺกมิตุกาโม หุตฺวาปิ ‘‘เอกเนฺตน ญตฺวา ปกฺกมิสฺสามี’’ติ น ปกฺกามิฯ อถสฺส ปุนทิวเส ตุจฺฉปลฺลเงฺก นิสินฺนสฺส รโญฺญปกติภตฺตญฺจ อญฺญญฺจ คเหตฺวา มิสฺสกภตฺตํ อทํสุฯ ตติยทิวเส มหาตลํ ปวิสิตุํ อทตฺวา โสปานสีเสเยว ฐเปตฺวา มิสฺสกภตฺตํ อทํสุฯ โส ตมฺปิ อาทาย อุยฺยานํ คนฺตฺวา ภตฺตกิจฺจํ อกาสิฯ จตุตฺถทิวเส เหฎฺฐาปาสาเท ฐเปตฺวา กณาชกภตฺตํ อทํสุฯ โส ตมฺปิ คเหตฺวา อุยฺยานํ คนฺตฺวา ภตฺตกิจฺจํ อกาสิฯ ราชา อมเจฺจ ปุจฺฉิ – ‘‘โพธิปริพฺพาชโก สกฺกาเร ปริหาปิเตปิ น ปกฺกมติ, กินฺติ นํ กโรมา’’ติ? ‘‘เทว, น โส ภตฺตตฺถาย จรติ, ฉตฺตตฺถาย ปน จรติฯ สเจ ภตฺตตฺถาย จเรยฺย, ปฐมทิวสํเยว ปลาเยยฺยา’’ติฯ ‘‘อิทานิ กิํ กโรมา’’ติ? ‘‘เสฺว ฆาตาเปถ นํ, มหาราชา’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ เตสเญฺญว หเตฺถ ขเคฺค ฐเปตฺวา ‘‘เสฺว อนฺตรทฺวาเร ฐตฺวา ปวิสนฺตเสฺสวสฺส สีสํ ฉินฺทิตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ กตฺวา กญฺจิ อชานาเปตฺวา วจฺจกุฎิยํ ปกฺขิปิตฺวา นฺหตฺวา อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘เสฺว อาคนฺตฺวา เอวํ กริสฺสามา’’ติ อญฺญมญฺญํ วิจาเรตฺวา เอวํ อตฺตโน นิเวสนํ อคมํสุฯ

    Rājā ‘‘sādhū’’ti vatvā anupubbena tassa parihāraṃ parihāpesi. Paṭhamadivasaṃ tāva naṃ tucchapallaṅkeyeva nisīdāpesuṃ. So tucchapallaṅkaṃ disvāva rañño paribhinnabhāvaṃ ñatvā sayameva uyyānaṃ gantvā taṃ divasameva pakkamitukāmo hutvāpi ‘‘ekantena ñatvā pakkamissāmī’’ti na pakkāmi. Athassa punadivase tucchapallaṅke nisinnassa raññopakatibhattañca aññañca gahetvā missakabhattaṃ adaṃsu. Tatiyadivase mahātalaṃ pavisituṃ adatvā sopānasīseyeva ṭhapetvā missakabhattaṃ adaṃsu. So tampi ādāya uyyānaṃ gantvā bhattakiccaṃ akāsi. Catutthadivase heṭṭhāpāsāde ṭhapetvā kaṇājakabhattaṃ adaṃsu. So tampi gahetvā uyyānaṃ gantvā bhattakiccaṃ akāsi. Rājā amacce pucchi – ‘‘bodhiparibbājako sakkāre parihāpitepi na pakkamati, kinti naṃ karomā’’ti? ‘‘Deva, na so bhattatthāya carati, chattatthāya pana carati. Sace bhattatthāya careyya, paṭhamadivasaṃyeva palāyeyyā’’ti. ‘‘Idāni kiṃ karomā’’ti? ‘‘Sve ghātāpetha naṃ, mahārājā’’ti. So ‘‘sādhū’’ti tesaññeva hatthe khagge ṭhapetvā ‘‘sve antaradvāre ṭhatvā pavisantassevassa sīsaṃ chinditvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ katvā kañci ajānāpetvā vaccakuṭiyaṃ pakkhipitvā nhatvā āgaccheyyāthā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ‘‘sve āgantvā evaṃ karissāmā’’ti aññamaññaṃ vicāretvā evaṃ attano nivesanaṃ agamaṃsu.

    ราชาปิ สายํ ภุตฺตโภชโน สิริสยเน นิปชฺชิตฺวา มหาสตฺตสฺส คุเณ อนุสฺสริฯ อถสฺส ตาวเทว โสโก อุปฺปชฺชิ, สรีรโต เสทา มุจฺจิํสุ, สยเน อสฺสาสํ อลภโนฺต อปราปรํ ปริวตฺติฯ อถสฺส อคฺคมเหสี อุปนิปชฺชิ, โส ตาย สทฺธิํ สลฺลาปมตฺตมฺปิ น กริฯ อถ นํ สา ‘‘กิํ นุ โข, มหาราช, สลฺลาปมตฺตมฺปิ น กโรถ, อปิ นุ โข เม โกจิ อปราโธ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘นตฺถิ เทวิ, อปิจ โข โพธิปริพฺพาชโก กิร อมฺหากํ ปจฺจตฺถิโก ชาโตติ ตสฺส เสฺว ฆาตนตฺถาย ปญฺจ อมเจฺจ อาณาเปสิํ, เต ปน นํ มาเรตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ กตฺวา วจฺจกูเป ปกฺขิปิสฺสนฺติ, โส ปน อมฺหากํ ทฺวาทส สํวจฺฉรานิ พหุํ ธมฺมํ เทเสสิ, เอกาปราโธปิสฺส มยา ปจฺจกฺขโต น ทิฎฺฐปุโพฺพ, ปรปตฺติเยน หุตฺวา ตสฺส มยา วโธ อาณโตฺต, เตน การเณน โสจามี’’ติฯ อถ นํ สา ‘‘สเจ เต เทว โส ปจฺจตฺถิโก ชาโต, ตํ ฆาเตโนฺต กิํ โสจสิ, ปจฺจตฺถิกํ นาม ปุตฺตมฺปิ ฆาเตตฺวา อตฺตโน โสตฺถิภาโว กาตโพฺพว, มา โสจิตฺถา’’ติ อสฺสาเสสิฯ โส ตสฺสา วจเนน ปฎิลทฺธสฺสาโส นิทฺทํ โอกฺกมิฯ

    Rājāpi sāyaṃ bhuttabhojano sirisayane nipajjitvā mahāsattassa guṇe anussari. Athassa tāvadeva soko uppajji, sarīrato sedā mucciṃsu, sayane assāsaṃ alabhanto aparāparaṃ parivatti. Athassa aggamahesī upanipajji, so tāya saddhiṃ sallāpamattampi na kari. Atha naṃ sā ‘‘kiṃ nu kho, mahārāja, sallāpamattampi na karotha, api nu kho me koci aparādho atthī’’ti pucchi. ‘‘Natthi devi, apica kho bodhiparibbājako kira amhākaṃ paccatthiko jātoti tassa sve ghātanatthāya pañca amacce āṇāpesiṃ, te pana naṃ māretvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ katvā vaccakūpe pakkhipissanti, so pana amhākaṃ dvādasa saṃvaccharāni bahuṃ dhammaṃ desesi, ekāparādhopissa mayā paccakkhato na diṭṭhapubbo, parapattiyena hutvā tassa mayā vadho āṇatto, tena kāraṇena socāmī’’ti. Atha naṃ sā ‘‘sace te deva so paccatthiko jāto, taṃ ghātento kiṃ socasi, paccatthikaṃ nāma puttampi ghātetvā attano sotthibhāvo kātabbova, mā socitthā’’ti assāsesi. So tassā vacanena paṭiladdhassāso niddaṃ okkami.

    ตสฺมิํ ขเณ โกเลยฺยโก ปิงฺคลสุนโข ตํ กถํ สุตฺวา ‘‘เสฺว มยา อตฺตโน พเลนสฺส ชีวิตํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปุนทิวเส ปาโตว ปาสาทา โอรุยฺห มหาทฺวารํ อาคนฺตฺวา อุมฺมาเร สีสํ กตฺวา มหาสตฺตสฺส อาคมนมคฺคํ โอโลเกโนฺตว นิปชฺชิฯ เตปิ อมจฺจา ปาโตว ขคฺคหตฺถา อาคนฺตฺวา ทฺวารนฺตเร อฎฺฐํสุฯ โพธิสโตฺตปิ เวลํ สลฺลเกฺขตฺวา อุยฺยานา นิกฺขมฺม ราชทฺวารํ อาคญฺฉิฯ อถ นํ สุนโข ทิสฺวา มุขํ วิวริตฺวา จตโสฺส ทาฐา ทเสฺสตฺวา ‘‘กิํ ตฺวํ, ภเนฺต, ชมฺพุทีปตเล อญฺญตฺถ ภิกฺขํ น ลภสิ, อมฺหากํ ราชา ตว มารณตฺถาย ปญฺจ อมเจฺจ ขคฺคหเตฺถ ทฺวารนฺตเร ฐเปสิ, มา ตฺวํ นลาเฎน มจฺจุํ คเหตฺวา อาคมิ, สีฆํ ปกฺกมา’’ติ มหาสเทฺทน วิรวิฯ โส สพฺพรุตญฺญุตาย ตมตฺถํ ญตฺวา ตโตว นิวตฺติตฺวา อุยฺยานํ คนฺตฺวา ปกฺกมนตฺถาย ปริกฺขาเร อาทิยิฯ ราชา สีหปญฺชเร ฐิโต ตํ อาคจฺฉนฺตํ คจฺฉนฺตญฺจ ทิสฺวา ‘‘สเจ อยํ มม ปจฺจตฺถิโก ภเวยฺย, อุยฺยานํ คนฺตฺวา พลํ สนฺนิปาตาเปตฺวา กมฺมสโชฺช ภวิสฺสติฯ โน เจ, อตฺตโน ปริกฺขาเร คเหตฺวา คมนสโชฺช ภวิสฺสติ, ชานิสฺสามิ ตาวสฺส กิริย’’นฺติ อุยฺยานํ คนฺตฺวา มหาสตฺตํ อตฺตโน ปริกฺขาเร อาทาย ‘‘คมิสฺสามี’’ติ ปณฺณสาลโต นิกฺขนฺตํ จงฺกมนโกฎิยํ ทิสฺวาว วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต ปฐมํ คาถมาห –

    Tasmiṃ khaṇe koleyyako piṅgalasunakho taṃ kathaṃ sutvā ‘‘sve mayā attano balenassa jīvitaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā punadivase pātova pāsādā oruyha mahādvāraṃ āgantvā ummāre sīsaṃ katvā mahāsattassa āgamanamaggaṃ olokentova nipajji. Tepi amaccā pātova khaggahatthā āgantvā dvārantare aṭṭhaṃsu. Bodhisattopi velaṃ sallakkhetvā uyyānā nikkhamma rājadvāraṃ āgañchi. Atha naṃ sunakho disvā mukhaṃ vivaritvā catasso dāṭhā dassetvā ‘‘kiṃ tvaṃ, bhante, jambudīpatale aññattha bhikkhaṃ na labhasi, amhākaṃ rājā tava māraṇatthāya pañca amacce khaggahatthe dvārantare ṭhapesi, mā tvaṃ nalāṭena maccuṃ gahetvā āgami, sīghaṃ pakkamā’’ti mahāsaddena viravi. So sabbarutaññutāya tamatthaṃ ñatvā tatova nivattitvā uyyānaṃ gantvā pakkamanatthāya parikkhāre ādiyi. Rājā sīhapañjare ṭhito taṃ āgacchantaṃ gacchantañca disvā ‘‘sace ayaṃ mama paccatthiko bhaveyya, uyyānaṃ gantvā balaṃ sannipātāpetvā kammasajjo bhavissati. No ce, attano parikkhāre gahetvā gamanasajjo bhavissati, jānissāmi tāvassa kiriya’’nti uyyānaṃ gantvā mahāsattaṃ attano parikkhāre ādāya ‘‘gamissāmī’’ti paṇṇasālato nikkhantaṃ caṅkamanakoṭiyaṃ disvāva vanditvā ekamantaṃ ṭhito paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๒๔.

    124.

    ‘‘กิํ นุ ทณฺฑํ กิมชินํ, กิํ ฉตฺตํ กิมุปาหนํ;

    ‘‘Kiṃ nu daṇḍaṃ kimajinaṃ, kiṃ chattaṃ kimupāhanaṃ;

    กิมงฺกุสญฺจ ปตฺตญฺจ, สงฺฆาฎิญฺจาปิ พฺราหฺมณ;

    Kimaṅkusañca pattañca, saṅghāṭiñcāpi brāhmaṇa;

    ตรมานรูโปหาสิ, กิํ นุ ปตฺถยเส ทิส’’นฺติฯ

    Taramānarūpohāsi, kiṃ nu patthayase disa’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – ภเนฺต, ปุเพฺพ ตฺวํ อมฺหากํ ฆรํ อาคจฺฉโนฺต ทณฺฑาทีนิ น คณฺหาสิ, อชฺช ปน เกน การเณน ทณฺฑญฺจ อชินญฺจ ฉตฺตูปาหนญฺจ มตฺติกปสิพฺพโกลมฺพนองฺกุสญฺจ มตฺติกปตฺตญฺจ สงฺฆาฎิญฺจาติ สเพฺพปิเม ปริกฺขาเร ตรมานรูโป คณฺหาสิ, กตรํ นุ ทิสํ ปเตฺถสิ, กตฺถ คนฺตุกาโมสีติ ปุจฺฉิฯ

    Tassattho – bhante, pubbe tvaṃ amhākaṃ gharaṃ āgacchanto daṇḍādīni na gaṇhāsi, ajja pana kena kāraṇena daṇḍañca ajinañca chattūpāhanañca mattikapasibbakolambanaaṅkusañca mattikapattañca saṅghāṭiñcāti sabbepime parikkhāre taramānarūpo gaṇhāsi, kataraṃ nu disaṃ patthesi, kattha gantukāmosīti pucchi.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘อยํ อตฺตนา กตกมฺมํ น ชานาตีติ มญฺญติ, ชานาเปสฺสามิ น’’นฺติ เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘ayaṃ attanā katakammaṃ na jānātīti maññati, jānāpessāmi na’’nti dve gāthā abhāsi –

    ๑๒๕.

    125.

    ‘‘ทฺวาทเสตานิ วสฺสานิ, วุสิตานิ ตวนฺติเก;

    ‘‘Dvādasetāni vassāni, vusitāni tavantike;

    นาภิชานามิ โสเณน, ปิงฺคเลนาภิกูชิตํฯ

    Nābhijānāmi soṇena, piṅgalenābhikūjitaṃ.

    ๑๒๖.

    126.

    ‘‘สฺวายํ ทิโตฺตว นทติ, สุกฺกทาฐํ วิทํสยํ;

    ‘‘Svāyaṃ dittova nadati, sukkadāṭhaṃ vidaṃsayaṃ;

    ตว สุตฺวา สภริยสฺส, วีตสทฺธสฺส มํ ปตี’’ติฯ

    Tava sutvā sabhariyassa, vītasaddhassa maṃ patī’’ti.

    ตตฺถ อภิกูชิตนฺติ เอเตน ตว สุนเขน เอวํ มหาวิรเวน วิรวิตํ น ชานามิฯ ทิโตฺต วาติ ทปฺปิโต วิยฯ สภริยสฺสาติ ตว สภริยสฺส มม มารณตฺถาย ปญฺจนฺนํ อมจฺจานํ อาณตฺตภาวํ กเถนฺตสฺส สุตฺวา ‘‘กิํ ตฺวํ อญฺญตฺถ ภิกฺขํ น ลภสิ, รญฺญา เต วโธ อาณโตฺต, อิธ มาคจฺฉี’’ติ ทิโตฺตว นทติฯ วีตสทฺธสฺส มํ ปตีติ มมนฺตเร วิคตสทฺธสฺส ตว วจนํ สุตฺวา เอว นทตีติ อาหฯ

    Tattha abhikūjitanti etena tava sunakhena evaṃ mahāviravena viravitaṃ na jānāmi. Ditto vāti dappito viya. Sabhariyassāti tava sabhariyassa mama māraṇatthāya pañcannaṃ amaccānaṃ āṇattabhāvaṃ kathentassa sutvā ‘‘kiṃ tvaṃ aññattha bhikkhaṃ na labhasi, raññā te vadho āṇatto, idha māgacchī’’ti dittova nadati. Vītasaddhassa maṃ patīti mamantare vigatasaddhassa tava vacanaṃ sutvā eva nadatīti āha.

    ตโต ราชา อตฺตโน โทสํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตํ ขมาเปโนฺต จตุตฺถํ คาถมาห –

    Tato rājā attano dosaṃ sampaṭicchitvā taṃ khamāpento catutthaṃ gāthamāha –

    ๑๒๗.

    127.

    ‘‘อหุ เอส กโต โทโส, ยถา ภาสสิ พฺราหฺมณ;

    ‘‘Ahu esa kato doso, yathā bhāsasi brāhmaṇa;

    เอส ภิโยฺย ปสีทามิ, วส พฺราหฺมณ มาคมา’’ติฯ

    Esa bhiyyo pasīdāmi, vasa brāhmaṇa māgamā’’ti.

    ตตฺถ ภิโยฺยติ สจฺจํ มยา เอวํ อาณตฺตํ, อยํ เม โทโส, เอส ปนาหํ อิทานิ อธิกตรํ ตยิ ปสีทามิ, อิเธว วส, มา อญฺญตฺถ คมีติฯ

    Tattha bhiyyoti saccaṃ mayā evaṃ āṇattaṃ, ayaṃ me doso, esa panāhaṃ idāni adhikataraṃ tayi pasīdāmi, idheva vasa, mā aññattha gamīti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต, ‘‘มหาราช, ปณฺฑิตา นาม ตาทิเสน ปรปตฺติเยน อปจฺจกฺขการินา สทฺธิํ น วสนฺตี’’ติ วตฺวา ตสฺส อนาจารํ ปกาเสโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto, ‘‘mahārāja, paṇḍitā nāma tādisena parapattiyena apaccakkhakārinā saddhiṃ na vasantī’’ti vatvā tassa anācāraṃ pakāsento āha –

    ๑๒๘.

    128.

    ‘‘สพฺพเสโต ปุเร อาสิ, ตโตปิ สพโล อหุ;

    ‘‘Sabbaseto pure āsi, tatopi sabalo ahu;

    สพฺพโลหิตโก ทานิ, กาโล ปกฺกมิตุํ มมฯ

    Sabbalohitako dāni, kālo pakkamituṃ mama.

    ๑๒๙.

    129.

    ‘‘อพฺภนฺตรํ ปุเร อาสิ, ตโต มเชฺฌ ตโต พหิ;

    ‘‘Abbhantaraṃ pure āsi, tato majjhe tato bahi;

    ปุรา นิทฺธมนา โหติ, สยเมว วชามหํฯ

    Purā niddhamanā hoti, sayameva vajāmahaṃ.

    ๑๓๐.

    130.

    ‘‘วีตสทฺธํ น เสเวยฺย, อุปทานํวโนทกํ;

    ‘‘Vītasaddhaṃ na seveyya, upadānaṃvanodakaṃ;

    สเจปิ นํ อนุขเณ, วาริ กทฺทมคนฺธิกํฯ

    Sacepi naṃ anukhaṇe, vāri kaddamagandhikaṃ.

    ๑๓๑.

    131.

    ‘‘ปสนฺนเมว เสเวยฺย, อปฺปสนฺนํ วิวชฺชเย;

    ‘‘Pasannameva seveyya, appasannaṃ vivajjaye;

    ปสนฺนํ ปยิรุปาเสยฺย, รหทํวุทกตฺถิโกฯ

    Pasannaṃ payirupāseyya, rahadaṃvudakatthiko.

    ๑๓๒.

    132.

    ‘‘ภเช ภชนฺตํ ปุริสํ, อภชนฺตํ น ภชฺชเย;

    ‘‘Bhaje bhajantaṃ purisaṃ, abhajantaṃ na bhajjaye;

    อสปฺปุริสธโมฺม โส, โย ภชนฺตํ น ภชฺชติฯ

    Asappurisadhammo so, yo bhajantaṃ na bhajjati.

    ๑๓๓.

    133.

    ‘‘โย ภชนฺตํ น ภชติ, เสวมานํ น เสวติ;

    ‘‘Yo bhajantaṃ na bhajati, sevamānaṃ na sevati;

    ส เว มนุสฺสปาปิโฎฺฐ, มิโค สาขสฺสิโต ยถาฯ

    Sa ve manussapāpiṭṭho, migo sākhassito yathā.

    ๑๓๔.

    134.

    ‘‘อจฺจาภิกฺขณสํสคฺคา, อสโมสรเณน จ;

    ‘‘Accābhikkhaṇasaṃsaggā, asamosaraṇena ca;

    เอเตน มิตฺตา ชีรนฺติ, อกาเล ยาจนาย จฯ

    Etena mittā jīranti, akāle yācanāya ca.

    ๑๓๕.

    135.

    ‘‘ตสฺมา นาภิกฺขณํ คเจฺฉ, น จ คเจฺฉ จิราจิรํ;

    ‘‘Tasmā nābhikkhaṇaṃ gacche, na ca gacche cirāciraṃ;

    กาเลน ยาจํ ยาเจยฺย, เอวํ มิตฺตา น ชียเรฯ

    Kālena yācaṃ yāceyya, evaṃ mittā na jīyare.

    ๑๓๖.

    136.

    ‘‘อติจิรํ นิวาเสน, ปิโย ภวติ อปฺปิโย;

    ‘‘Aticiraṃ nivāsena, piyo bhavati appiyo;

    อามนฺต โข ตํ คจฺฉาม, ปุรา เต โหม อปฺปิยา’’ติฯ

    Āmanta kho taṃ gacchāma, purā te homa appiyā’’ti.

    ตตฺถ สพฺพเสโตติ, มหาราช, ปฐมเมว ตว นิเวสเน มม โอทโน สพฺพเสโต อโหสิ, ยํ ตฺวํ ภุญฺชสิ, ตเมว ทาเปสีติ อโตฺถฯ ตโตติ ตโต ปจฺฉา ปริเภทกานํ วจนํ คเหตฺวา ตว มยิ วิรตฺตกาเล สพโล มิสฺสโกทโน ชาโตฯ ทานีติ อิทานิ สพฺพโลหิตโก ชาโตฯ กาโลติ อคุณญฺญุสฺส ตว สนฺติกา อิทานิ มม ปกฺกมิตุํ กาโลฯ อพฺภนฺตรนฺติ ปฐมํ มม อพฺภนฺตรํ อาสนํ อาสิ, อลงฺกตมหาตลมฺหิ อุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต ราชปลฺลเงฺกเยว มํ นิสีทาเปสุํฯ มเชฺฌติ โสปานมตฺถเกฯ ปุรา นิทฺธมนา โหตีติ ยาว คีวายํ คเหตฺวา นิกฺกฑฺฒนา น โหติฯ

    Tattha sabbasetoti, mahārāja, paṭhamameva tava nivesane mama odano sabbaseto ahosi, yaṃ tvaṃ bhuñjasi, tameva dāpesīti attho. Tatoti tato pacchā paribhedakānaṃ vacanaṃ gahetvā tava mayi virattakāle sabalo missakodano jāto. Dānīti idāni sabbalohitako jāto. Kāloti aguṇaññussa tava santikā idāni mama pakkamituṃ kālo. Abbhantaranti paṭhamaṃ mama abbhantaraṃ āsanaṃ āsi, alaṅkatamahātalamhi ussitasetacchatte rājapallaṅkeyeva maṃ nisīdāpesuṃ. Majjheti sopānamatthake. Purā niddhamanā hotīti yāva gīvāyaṃ gahetvā nikkaḍḍhanā na hoti.

    อนุขเณติ สเจปิ อนุทกํ อุทปานํ ปโตฺต ปุริโส อุทกํ อปสฺสโนฺต กลลํ วิยูหิตฺวา อนุขเณยฺย, ตถาปิ ตํ วาริ กทฺทมคนฺธิกํ ภเวยฺย, อมนุญฺญตาย น ปิเวยฺย, ตเถว วีตสทฺธํ ปยิรุปาสเนฺตน ลทฺธปจฺจยาปิ ปริตฺตา เจว ลูขา จ, อมนุญฺญา อปริโภคารหาติ อโตฺถฯ ปสนฺนนฺติ ปติฎฺฐิตสทฺธํฯ รหทนฺติ คมฺภีรํ มหารหทํฯ ภชนฺตนฺติ อตฺตานํ ภชนฺตเมว ภเชยฺยฯ อภชนฺตนฺติ ปจฺจตฺถิกํฯ น ภชฺชเยติ น ภเชยฺยฯ น ภชฺชตีติ โย ปุริโส อตฺตานํ ภชนฺตํ หิตจิตฺตํ ปุคฺคลํ น ภชติ, โส อสปฺปุริสธโมฺม นามาติฯ มนุสฺสปาปิโฎฺฐติ มนุสฺสลามโก ปติกุโฎฺฐ สพฺพปจฺฉิมโกฯ สาขสฺสิโตติ มกฺกโฎฯ

    Anukhaṇeti sacepi anudakaṃ udapānaṃ patto puriso udakaṃ apassanto kalalaṃ viyūhitvā anukhaṇeyya, tathāpi taṃ vāri kaddamagandhikaṃ bhaveyya, amanuññatāya na piveyya, tatheva vītasaddhaṃ payirupāsantena laddhapaccayāpi parittā ceva lūkhā ca, amanuññā aparibhogārahāti attho. Pasannanti patiṭṭhitasaddhaṃ. Rahadanti gambhīraṃ mahārahadaṃ. Bhajantanti attānaṃ bhajantameva bhajeyya. Abhajantanti paccatthikaṃ. Na bhajjayeti na bhajeyya. Na bhajjatīti yo puriso attānaṃ bhajantaṃ hitacittaṃ puggalaṃ na bhajati, so asappurisadhammo nāmāti. Manussapāpiṭṭhoti manussalāmako patikuṭṭho sabbapacchimako. Sākhassitoti makkaṭo.

    อจฺจาภิกฺขณสํสคฺคาติ อติวิย อภิณฺหสํสเคฺคนฯ อกาเลติ อยุตฺตปฺปตฺตกาเล ปรสฺส ปิยภณฺฑํ ยาจนาย มิตฺตา ชีรนฺติ นาม, ตฺวมฺปิ อติจิรํ นิวาเสน มยิ มิตฺติํ ภินฺทิฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อจฺจาภิกฺขณสํสเคฺคน อสโมสรเณน จ มิตฺตา ชีรนฺติ, ตสฺมาฯ จิราจิรนฺติ จิรกาลํ วีตินาเมตฺวา จิรํ น คเจฺฉ น อุปสงฺกเมยฺยฯ ยาจนฺติ ยาจิตพฺพํ ภณฺฑกํ ยุตฺตกาเล ยาเจยฺยฯ น ชียเรติ เอวํ มิตฺตา น ชีรนฺติฯ ปุรา เต โหม อปฺปิยาติ ยาว ตว อปฺปิยา น โหม, ตาว อามเนฺตตฺวาว ตํ คจฺฉามาติฯ

    Accābhikkhaṇasaṃsaggāti ativiya abhiṇhasaṃsaggena. Akāleti ayuttappattakāle parassa piyabhaṇḍaṃ yācanāya mittā jīranti nāma, tvampi aticiraṃ nivāsena mayi mittiṃ bhindi. Tasmāti yasmā accābhikkhaṇasaṃsaggena asamosaraṇena ca mittā jīranti, tasmā. Cirāciranti cirakālaṃ vītināmetvā ciraṃ na gacche na upasaṅkameyya. Yācanti yācitabbaṃ bhaṇḍakaṃ yuttakāle yāceyya. Na jīyareti evaṃ mittā na jīranti. Purā te homa appiyāti yāva tava appiyā na homa, tāva āmantetvāva taṃ gacchāmāti.

    ราชา อาห –

    Rājā āha –

    ๑๓๗.

    137.

    ‘‘เอวํ เจ ยาจมานานํ, อญฺชลิํ นาวพุชฺฌสิ;

    ‘‘Evaṃ ce yācamānānaṃ, añjaliṃ nāvabujjhasi;

    ปริจารกานํ สตํ, วจนํ น กโรสิ โน;

    Paricārakānaṃ sataṃ, vacanaṃ na karosi no;

    เอวํ ตํ อภิยาจาม, ปุน กยิราสิ ปริยาย’’นฺติฯ

    Evaṃ taṃ abhiyācāma, puna kayirāsi pariyāya’’nti.

    ตตฺถ นาวพุชฺฌสีติ สเจ, ภเนฺต, เอวํ ยาจเนฺตน มยา กตํ อญฺชลิํ น ชานาสิ, น ปฎิคฺคณฺหสีติ อโตฺถฯ ปริยายนฺติ ปุน อิธาคมนาย เอกวารํ กเรยฺยาสีติ ยาจติฯ

    Tattha nāvabujjhasīti sace, bhante, evaṃ yācantena mayā kataṃ añjaliṃ na jānāsi, na paṭiggaṇhasīti attho. Pariyāyanti puna idhāgamanāya ekavāraṃ kareyyāsīti yācati.

    โพธิสโตฺต อาห –

    Bodhisatto āha –

    ๑๓๘.

    138.

    ‘‘เอวํ เจ โน วิหรตํ, อนฺตราโย น เหสฺสติ;

    ‘‘Evaṃ ce no viharataṃ, antarāyo na hessati;

    ตุยฺหํ วาปิ มหาราช, มยฺหํ วา รฎฺฐวทฺธน;

    Tuyhaṃ vāpi mahārāja, mayhaṃ vā raṭṭhavaddhana;

    อเปฺปว นาม ปเสฺสม, อโหรตฺตานมจฺจเย’’ติฯ

    Appeva nāma passema, ahorattānamaccaye’’ti.

    ตตฺถ เอวํ เจ โนติ สเจ, มหาราช, เอวํ นานา หุตฺวา วิหรนฺตานํ อมฺหากํ อนฺตราโย น เหสฺสติ, ตุยฺหํ วา มยฺหํ วา ชีวิตํ ปวตฺติสฺสตีติ ทีเปติฯ ปเสฺสมาติ อปิ นาม ปเสฺสยฺยามฯ

    Tattha evaṃ ce noti sace, mahārāja, evaṃ nānā hutvā viharantānaṃ amhākaṃ antarāyo na hessati, tuyhaṃ vā mayhaṃ vā jīvitaṃ pavattissatīti dīpeti. Passemāti api nāma passeyyāma.

    เอวํ วตฺวา มหาสโตฺต รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘อปฺปมโตฺต โหหิ, มหาราชา’’ติ วตฺวา อุยฺยานา นิกฺขมิตฺวา เอกสฺมิํ สภาคฎฺฐาเน ภิกฺขาย จริตฺวา พาราณสิโต นิกฺขมฺม อนุปุเพฺพน หิมวโนฺตกาสเมว คนฺตฺวา กิญฺจิ กาลํ วสิตฺวา ปุน โอตริตฺวา เอกํ ปจฺจนฺตคามํ นิสฺสาย อรเญฺญ วสิฯ ตสฺส ปน คตกาลโต ปฎฺฐาย เต อมจฺจา ปุน วินิจฺฉเย นิสีทิตฺวา วิโลปํ กโรนฺตา จินฺตยิํสุ – ‘‘สเจ มหาโพธิปริพฺพาชโก ปุนาคมิสฺสติ, ชีวิตํ โน นตฺถิ, กิํ นุ ขฺวสฺส อนาคมนการณํ กเรยฺยามา’’ติฯ อถ เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘อิเม สตฺตา ปฎิพทฺธฎฺฐานํ นาม ชหิตุํ น สโกฺกนฺติ, กิํ นุ ขฺวสฺส อิธ ปฎิพทฺธฎฺฐาน’’นฺติฯ ตโต ‘‘รโญฺญ อคฺคมเหสี’’ติ ญตฺวา ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โส อิมํ นิสฺสาย อาคเจฺฉยฺย, ปฎิกเจฺจว นํ มาราเปสฺสามา’’ติ เต ราชานํ เอตทโวจุํ – ‘‘เทว, อิมสฺมิํ ทิวเส นคเร เอกา กถา สูยตี’’ติฯ ‘‘กิํ กถา นามา’’ติ? ‘‘มหาโพธิปริพฺพาชโก จ กิร เทวี จ อญฺญมญฺญํ สาสนปฎิสาสนํ เปเสนฺตี’’ติฯ ‘‘กินฺติ กตฺวา’’ติ? เตน กิร เทวิยา เปสิตํ ‘‘สกฺกา นุ โข อตฺตโน พเลน ราชานํ มาราเปตฺวา มม เสตจฺฉตฺตํ ทาตุ’’นฺติฯ ตายปิสฺส เปสิตํ ‘‘รโญฺญ มารณํ นาม มม ภาโร, มหาโพธิปริพฺพาชโก ขิปฺปํ อาคจฺฉตู’’ติ ราชา เตสํ ปุนปฺปุนํ กเถนฺตานํ สทฺทหิตฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กตฺตพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เทวิํ มาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต อนุปปริกฺขิตฺวาว ‘‘เตน หิ นํ ตุเมฺหว มาเรตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺทิตฺวา วจฺจกูเป ขิปถา’’ติ อาหฯ เต ตถา กริํสุฯ ตสฺสา มาริตภาโว สกลนคเร ปากโฎ อโหสิฯ

    Evaṃ vatvā mahāsatto rañño dhammaṃ desetvā ‘‘appamatto hohi, mahārājā’’ti vatvā uyyānā nikkhamitvā ekasmiṃ sabhāgaṭṭhāne bhikkhāya caritvā bārāṇasito nikkhamma anupubbena himavantokāsameva gantvā kiñci kālaṃ vasitvā puna otaritvā ekaṃ paccantagāmaṃ nissāya araññe vasi. Tassa pana gatakālato paṭṭhāya te amaccā puna vinicchaye nisīditvā vilopaṃ karontā cintayiṃsu – ‘‘sace mahābodhiparibbājako punāgamissati, jīvitaṃ no natthi, kiṃ nu khvassa anāgamanakāraṇaṃ kareyyāmā’’ti. Atha nesaṃ etadahosi – ‘‘ime sattā paṭibaddhaṭṭhānaṃ nāma jahituṃ na sakkonti, kiṃ nu khvassa idha paṭibaddhaṭṭhāna’’nti. Tato ‘‘rañño aggamahesī’’ti ñatvā ‘‘ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati, yaṃ so imaṃ nissāya āgaccheyya, paṭikacceva naṃ mārāpessāmā’’ti te rājānaṃ etadavocuṃ – ‘‘deva, imasmiṃ divase nagare ekā kathā sūyatī’’ti. ‘‘Kiṃ kathā nāmā’’ti? ‘‘Mahābodhiparibbājako ca kira devī ca aññamaññaṃ sāsanapaṭisāsanaṃ pesentī’’ti. ‘‘Kinti katvā’’ti? Tena kira deviyā pesitaṃ ‘‘sakkā nu kho attano balena rājānaṃ mārāpetvā mama setacchattaṃ dātu’’nti. Tāyapissa pesitaṃ ‘‘rañño māraṇaṃ nāma mama bhāro, mahābodhiparibbājako khippaṃ āgacchatū’’ti rājā tesaṃ punappunaṃ kathentānaṃ saddahitvā ‘‘idāni kiṃ kattabba’’nti pucchitvā ‘‘deviṃ māretuṃ vaṭṭatī’’ti vutte anupaparikkhitvāva ‘‘tena hi naṃ tumheva māretvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinditvā vaccakūpe khipathā’’ti āha. Te tathā kariṃsu. Tassā māritabhāvo sakalanagare pākaṭo ahosi.

    อถสฺสา จตฺตาโร ปุตฺตา ‘‘อิมินา โน นิรปราธา มาตา มาริตา’’ติ รโญฺญ ปจฺจตฺถิกา อเหสุํฯ ราชา มหาภยปฺปโตฺต อโหสิฯ มหาสโตฺต ปรมฺปราย ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘ฐเปตฺวา มํ อโญฺญ เต กุมาเร สญฺญาเปตฺวา ปิตรํ ขมาเปตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, รโญฺญ จ ชีวิตํ ทสฺสามิ, กุมาเร จ ปาปโต โมเจสฺสามี’’ติฯ โส ปุนทิวเส ปจฺจนฺตคามํ ปวิสิตฺวา มนุเสฺสหิ ทินฺนํ มกฺกฎมํสํ ขาทิตฺวา ตสฺส จมฺมํ ยาจิตฺวา คเหตฺวา อสฺสมปเท สุกฺขาเปตฺวา นิคฺคนฺธํ กตฺวา นิวาเสสิปิ ปารุเปสิปิ อํเสปิ ฐเปสิฯ กิํการณา? ‘‘พหูปกาโร เม’’ติ วจนตฺถายฯ โส ตํ จมฺมํ อาทาย อนุปุเพฺพน พาราณสิํ คนฺตฺวา กุมาเร อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ปิตุฆาตกกมฺมํ นาม ทารุณํ, ตํ โว น กาตพฺพํ, อชรามโร สโตฺต นาม นตฺถิ, อหํ ตุเมฺห อญฺญมญฺญํ สมเคฺค กริสฺสามิเจฺจว อาคโต, ตุเมฺห มยา ปหิเต สาสเน อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ กุมาเร โอวทิตฺวา อโนฺตนคเร อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา มกฺกฎจมฺมํ อตฺถริตฺวา สิลาปเฎฺฎ นิสีทิฯ

    Athassā cattāro puttā ‘‘iminā no niraparādhā mātā māritā’’ti rañño paccatthikā ahesuṃ. Rājā mahābhayappatto ahosi. Mahāsatto paramparāya taṃ pavattiṃ sutvā cintesi – ‘‘ṭhapetvā maṃ añño te kumāre saññāpetvā pitaraṃ khamāpetuṃ samattho nāma natthi, rañño ca jīvitaṃ dassāmi, kumāre ca pāpato mocessāmī’’ti. So punadivase paccantagāmaṃ pavisitvā manussehi dinnaṃ makkaṭamaṃsaṃ khāditvā tassa cammaṃ yācitvā gahetvā assamapade sukkhāpetvā niggandhaṃ katvā nivāsesipi pārupesipi aṃsepi ṭhapesi. Kiṃkāraṇā? ‘‘Bahūpakāro me’’ti vacanatthāya. So taṃ cammaṃ ādāya anupubbena bārāṇasiṃ gantvā kumāre upasaṅkamitvā ‘‘pitughātakakammaṃ nāma dāruṇaṃ, taṃ vo na kātabbaṃ, ajarāmaro satto nāma natthi, ahaṃ tumhe aññamaññaṃ samagge karissāmicceva āgato, tumhe mayā pahite sāsane āgaccheyyāthā’’ti kumāre ovaditvā antonagare uyyānaṃ pavisitvā makkaṭacammaṃ attharitvā silāpaṭṭe nisīdi.

    อถ นํ อุยฺยานปาลโก ทิสฺวา เวเคน คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา สุตฺวาว สญฺชาตโสมนโสฺส หุตฺวา เต อมเจฺจ อาทาย ตตฺถ คนฺตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กาตุํ อารภิฯ มหาสโตฺต เตน สทฺธิํ อสโมฺมทิตฺวา มกฺกฎจมฺมเมว ปริมชฺชิฯ อถ นํ เอวมาห – ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห มํ อกเถตฺวา มกฺกฎจมฺมเมว ปริมชฺชถ, กิํ โว อิทํ มยา พหูปการตร’’นฺติ? ‘‘อาม มหาราช, พหูปกาโร เม เอส วานโร, อหมสฺส ปิเฎฺฐ นิสีทิตฺวา วิจริํ, อยํ เม ปานียฆฎํ อาหริ, วสนฎฺฐานํ สมฺมชฺชิ, อาภิสมาจาริกวตฺตปฎิวตฺตํ มม อกาสิ, อหํ ปน อตฺตโน ทุพฺพลจิตฺตตาย อสฺส มํสํ ขาทิตฺวา จมฺมํ สุกฺขาเปตฺวา อตฺถริตฺวา นิสีทามิ เจว นิปชฺชามิ จ, เอวํ พหูปกาโร เอส มยฺห’’นฺติฯ อิติ โส เตสํ วาเท ภินฺทนตฺถาย วานรจเมฺม วานรโวหารํ อาโรเปตฺวา ตํ ตํ ปริยายํ สนฺธาย อิมํ กถํ กเถสิฯ โส หิ ตสฺส นิวุตฺถปุพฺพตฺตา ‘‘ปิเฎฺฐ นิสีทิตฺวา วิจริ’’นฺติ อาห; ตํ อํเส กตฺวา ปานียฆฎสฺส อาหฎปุพฺพตฺตา ‘‘ปานียฆฎํ อาหรี’’ติ อาห; เตน จเมฺมน ภูมิยํ สมฺมฎฺฐปุพฺพตฺตา ‘‘วสนฎฺฐานํ สมฺมชฺชี’’ติ อาห; นิปนฺนกาเล เตน จเมฺมน ปิฎฺฐิยา, อกฺกนฺตกาเล ปาทานํ ผุฎฺฐปุพฺพตฺตา ‘‘วตฺตปฎิวตฺตํ เม อกาสี’’ติ อาหฯ ฉาตกาเล ปน ตสฺส มํสํ ลภิตฺวา ขาทิตตฺตา ‘‘อหํ ปน อตฺตโน ทุพฺพลจิตฺตตาย ตสฺส มํสํ ขาทิ’’นฺติ อาหฯ

    Atha naṃ uyyānapālako disvā vegena gantvā rañño ārocesi. Rājā sutvāva sañjātasomanasso hutvā te amacce ādāya tattha gantvā mahāsattaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīditvā paṭisanthāraṃ kātuṃ ārabhi. Mahāsatto tena saddhiṃ asammoditvā makkaṭacammameva parimajji. Atha naṃ evamāha – ‘‘bhante, tumhe maṃ akathetvā makkaṭacammameva parimajjatha, kiṃ vo idaṃ mayā bahūpakāratara’’nti? ‘‘Āma mahārāja, bahūpakāro me esa vānaro, ahamassa piṭṭhe nisīditvā vicariṃ, ayaṃ me pānīyaghaṭaṃ āhari, vasanaṭṭhānaṃ sammajji, ābhisamācārikavattapaṭivattaṃ mama akāsi, ahaṃ pana attano dubbalacittatāya assa maṃsaṃ khāditvā cammaṃ sukkhāpetvā attharitvā nisīdāmi ceva nipajjāmi ca, evaṃ bahūpakāro esa mayha’’nti. Iti so tesaṃ vāde bhindanatthāya vānaracamme vānaravohāraṃ āropetvā taṃ taṃ pariyāyaṃ sandhāya imaṃ kathaṃ kathesi. So hi tassa nivutthapubbattā ‘‘piṭṭhe nisīditvā vicari’’nti āha; taṃ aṃse katvā pānīyaghaṭassa āhaṭapubbattā ‘‘pānīyaghaṭaṃ āharī’’ti āha; tena cammena bhūmiyaṃ sammaṭṭhapubbattā ‘‘vasanaṭṭhānaṃ sammajjī’’ti āha; nipannakāle tena cammena piṭṭhiyā, akkantakāle pādānaṃ phuṭṭhapubbattā ‘‘vattapaṭivattaṃ me akāsī’’ti āha. Chātakāle pana tassa maṃsaṃ labhitvā khāditattā ‘‘ahaṃ pana attano dubbalacittatāya tassa maṃsaṃ khādi’’nti āha.

    ตํ สุตฺวา เต อมจฺจา ‘‘ปาณาติปาโต เตน กโต’’ติ สญฺญาย ‘‘ปสฺสถ, โภ, ปพฺพชิตสฺส กมฺมํ, มกฺกฎํ กิร มาเรตฺวา มํสํ ขาทิตฺวา จมฺมํ คเหตฺวา วิจรตี’’ติ ปาณิํ ปหริตฺวา ปริหาสมกํสุฯ มหาสโตฺต เต ตถา กโรเนฺต ทิสฺวา ‘‘อิเม อตฺตโน วาทเภทนตฺถาย มม จมฺมํ อาทาย อาคตภาวํ น ชานนฺติ, ชานาเปสฺสามิ เน’’ติ อเหตุกวาทิํ ตาว อามเนฺตตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘อาวุโส, ตฺวํ กสฺมา มํ ปริหสสี’’ติ? ‘‘มิตฺตทุพฺภิกมฺมสฺส เจว ปาณาติปาตสฺส จ กตตฺตา’’ติฯ ตโต มหาสโตฺต ‘‘โย ปน คติยา เจว ทิฎฺฐิยา จ เต สทฺทหิตฺวา เอวํ กเรยฺย, เตน กิํ ทุกฺกฎ’’นฺติ ตสฺส วาทํ ภินฺทโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā te amaccā ‘‘pāṇātipāto tena kato’’ti saññāya ‘‘passatha, bho, pabbajitassa kammaṃ, makkaṭaṃ kira māretvā maṃsaṃ khāditvā cammaṃ gahetvā vicaratī’’ti pāṇiṃ paharitvā parihāsamakaṃsu. Mahāsatto te tathā karonte disvā ‘‘ime attano vādabhedanatthāya mama cammaṃ ādāya āgatabhāvaṃ na jānanti, jānāpessāmi ne’’ti ahetukavādiṃ tāva āmantetvā pucchi – ‘‘āvuso, tvaṃ kasmā maṃ parihasasī’’ti? ‘‘Mittadubbhikammassa ceva pāṇātipātassa ca katattā’’ti. Tato mahāsatto ‘‘yo pana gatiyā ceva diṭṭhiyā ca te saddahitvā evaṃ kareyya, tena kiṃ dukkaṭa’’nti tassa vādaṃ bhindanto āha –

    ๑๓๙.

    139.

    ‘‘อุทีรณา เจ สํคตฺยา, ภาวายมนุวตฺตติ;

    ‘‘Udīraṇā ce saṃgatyā, bhāvāyamanuvattati;

    อกามา อกรณียํ วา, กรณียํ วาปิ กุพฺพติ;

    Akāmā akaraṇīyaṃ vā, karaṇīyaṃ vāpi kubbati;

    อกามกรณียมฺหิ, กฺวิธ ปาเปน ลิปฺปติฯ

    Akāmakaraṇīyamhi, kvidha pāpena lippati.

    ๑๔๐.

    140.

    ‘‘โส เจ อโตฺถ จ ธโมฺม จ, กลฺยาโณ น จ ปาปโก;

    ‘‘So ce attho ca dhammo ca, kalyāṇo na ca pāpako;

    โภโต เจ วจนํ สจฺจํ, สุหโต วานโร มยาฯ

    Bhoto ce vacanaṃ saccaṃ, suhato vānaro mayā.

    ๑๔๑.

    141.

    ‘‘อตฺตโน เจ หิ วาทสฺส, อปราธํ วิชานิยา;

    ‘‘Attano ce hi vādassa, aparādhaṃ vijāniyā;

    น มํ ตฺวํ ครเหยฺยาสิ, โภโต วาโท หิ ตาทิโส’’ติฯ

    Na maṃ tvaṃ garaheyyāsi, bhoto vādo hi tādiso’’ti.

    ตตฺถ อุทีรณาติ กถาฯ สํคตฺยาติ สํคติยา ฉนฺนํ อภิชาตีนํ ตํ ตํ อภิชาติํ อุปคมเนนฯ ภาวายมนุวตฺตตีติ ภาเวน อนุวตฺตติ, กรณเตฺถ สมฺปทานํฯ อกามาติ อกาเมน อนิจฺฉายฯ อกรณียํ วา กรณียํ วาปีติ อกตฺตพฺพํ ปาปํ วา กตฺตพฺพํ กุสลํ วาฯ กุพฺพตีติ กโรติฯ กฺวิธาติ โก อิธฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตฺวํ อเหตุกวาที ‘‘นตฺถิ เหตุ นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสายา’’ติอาทิทิฎฺฐิโก, อยํ โลโก สํคติยา เจว สภาเวน จ อนุวตฺตติ ปริณมติ, ตตฺถ ตตฺถ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทติฯ อกามโกว ปาปํ วา ปุญฺญํ วา กโรตีติ วทสิ, อยํ ตว อุทีรณา สเจ ตถา, เอวํ สเนฺต อกามกรณียสฺมิํ อตฺตโน ธมฺมตาย ปวตฺตมาเน ปาเป โก อิธ สโตฺต ปาเปน ลิปฺปติ, สเจ หิ อตฺตนา อกเตน ปาเปน ลิปฺปติ, น โกจิ น ลิเปฺปยฺยาติฯ

    Tattha udīraṇāti kathā. Saṃgatyāti saṃgatiyā channaṃ abhijātīnaṃ taṃ taṃ abhijātiṃ upagamanena. Bhāvāyamanuvattatīti bhāvena anuvattati, karaṇatthe sampadānaṃ. Akāmāti akāmena anicchāya. Akaraṇīyaṃ vā karaṇīyaṃ vāpīti akattabbaṃ pāpaṃ vā kattabbaṃ kusalaṃ vā. Kubbatīti karoti. Kvidhāti ko idha. Idaṃ vuttaṃ hoti – tvaṃ ahetukavādī ‘‘natthi hetu natthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāyā’’tiādidiṭṭhiko, ayaṃ loko saṃgatiyā ceva sabhāvena ca anuvattati pariṇamati, tattha tattha sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedeti. Akāmakova pāpaṃ vā puññaṃ vā karotīti vadasi, ayaṃ tava udīraṇā sace tathā, evaṃ sante akāmakaraṇīyasmiṃ attano dhammatāya pavattamāne pāpe ko idha satto pāpena lippati, sace hi attanā akatena pāpena lippati, na koci na lippeyyāti.

    โส เจติ โส อเหตุกวาทสงฺขาโต ตว ภาสิตโตฺถ จ อตฺถโชตโก ธโมฺม จ กลฺยาโณ น จ ปาปโกฯ ‘‘อเหตู อปฺปจฺจยา สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ, สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวทิยนฺตี’’ติ อิทํ โภโต วจนํ สจฺจํ เจ, สุหโต วานโร มยา, โก เอตฺถ มม โทโสติ อโตฺถฯ วิชานิยาติ, สมฺม, สเจ หิ ตฺวํ อตฺตโน วาทสฺส อปราธํ ชาเนยฺยาสิ, น มํ ครเหยฺยาสิฯ กิํการณา? โภโต วาโท หิ ตาทิโส, ตสฺมา อยํ มม วาทํ กโรตีติ มํ ปสํเสยฺยาสิ, อตฺตโน ปน วาทํ อชานโนฺต มํ ครหสีติฯ

    So ceti so ahetukavādasaṅkhāto tava bhāsitattho ca atthajotako dhammo ca kalyāṇo na ca pāpako. ‘‘Ahetū appaccayā sattā saṃkilissanti, sukhadukkhaṃ paṭisaṃvediyantī’’ti idaṃ bhoto vacanaṃ saccaṃ ce, suhato vānaro mayā, ko ettha mama dosoti attho. Vijāniyāti, samma, sace hi tvaṃ attano vādassa aparādhaṃ jāneyyāsi, na maṃ garaheyyāsi. Kiṃkāraṇā? Bhoto vādo hi tādiso, tasmā ayaṃ mama vādaṃ karotīti maṃ pasaṃseyyāsi, attano pana vādaṃ ajānanto maṃ garahasīti.

    เอวํ มหาสโตฺต ตํ นิคฺคณฺหิตฺวา อปฺปฎิภาณํ อกาสิฯ โสปิ ราชปริสติ มงฺกุภูโต ปตฺตกฺขโนฺธ นิสีทิฯ มหาสโตฺตปิ ตสฺส วาทํ ภินฺทิตฺวา อิสฺสรกตวาทิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตฺวํ, อาวุโส, มํ กสฺมา ปริหสสิ, ยทิ อิสฺสรนิมฺมิตวาทํ สารโต ปเจฺจสี’’ติ วตฺวา อาห –

    Evaṃ mahāsatto taṃ niggaṇhitvā appaṭibhāṇaṃ akāsi. Sopi rājaparisati maṅkubhūto pattakkhandho nisīdi. Mahāsattopi tassa vādaṃ bhinditvā issarakatavādiṃ āmantetvā ‘‘tvaṃ, āvuso, maṃ kasmā parihasasi, yadi issaranimmitavādaṃ sārato paccesī’’ti vatvā āha –

    ๑๔๒.

    142.

    ‘‘อิสฺสโร สพฺพโลกสฺส, สเจ กเปฺปติ ชีวิตํ;

    ‘‘Issaro sabbalokassa, sace kappeti jīvitaṃ;

    อิทฺธิํ พฺยสนภาวญฺจ, กมฺมํ กลฺยาณปาปกํ;

    Iddhiṃ byasanabhāvañca, kammaṃ kalyāṇapāpakaṃ;

    นิเทฺทสการี ปุริโส, อิสฺสโร เตน ลิปฺปติฯ

    Niddesakārī puriso, issaro tena lippati.

    ๑๔๓.

    143.

    ‘‘โส เจ อโตฺถ จ ธโมฺม จ, กลฺยาโณ น จ ปาปโก;

    ‘‘So ce attho ca dhammo ca, kalyāṇo na ca pāpako;

    โภโต เจ วจนํ สจฺจํ, สุหโต วานโร มยาฯ

    Bhoto ce vacanaṃ saccaṃ, suhato vānaro mayā.

    ๑๔๔.

    144.

    ‘‘อตฺตโน เจ หิ วาทสฺส, อปราธํ วิชานิยา;

    ‘‘Attano ce hi vādassa, aparādhaṃ vijāniyā;

    น มํ ตฺวํ ครเหยฺยาสิ, โภโต วาโท หิ ตาทิโส’’ติฯ

    Na maṃ tvaṃ garaheyyāsi, bhoto vādo hi tādiso’’ti.

    ตตฺถ กเปฺปติ ชีวิตนฺติ สเจ พฺรหฺมา วา อโญฺญ วา โกจิ อิสฺสโร ‘‘ตฺวํ กสิยา ชีว, ตฺวํ โครเกฺขนา’’ติ เอวํ สพฺพโลกสฺส ชีวิตํ สํวิทหติ วิจาเรติฯ อิทฺธิํ พฺยสนภาวญฺจาติ อิสฺสริยาทิเภทา อิทฺธิโย จ ญาติวินาสาทิกํ พฺยสนภาวญฺจ เสสญฺจ กลฺยาณปาปกํ กมฺมํ สพฺพํ ยทิ อิสฺสโรว กเปฺปติ กโรติฯ นิเทฺทสการีติ ยทิ ตสฺส นิเทฺทสํ อาณตฺติเมว เสโส โย โกจิ ปุริโส กโรติ, เอวํ สเนฺต โย โกจิ ปุริโส ปาปํ กโรติ, ตสฺส อิสฺสเรน กตตฺตา อิสฺสโรว เตน ปาเปน ลิปฺปติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ยถา จ อิธ, เอวํ สพฺพตฺถฯ

    Tattha kappeti jīvitanti sace brahmā vā añño vā koci issaro ‘‘tvaṃ kasiyā jīva, tvaṃ gorakkhenā’’ti evaṃ sabbalokassa jīvitaṃ saṃvidahati vicāreti. Iddhiṃ byasanabhāvañcāti issariyādibhedā iddhiyo ca ñātivināsādikaṃ byasanabhāvañca sesañca kalyāṇapāpakaṃ kammaṃ sabbaṃ yadi issarova kappeti karoti. Niddesakārīti yadi tassa niddesaṃ āṇattimeva seso yo koci puriso karoti, evaṃ sante yo koci puriso pāpaṃ karoti, tassa issarena katattā issarova tena pāpena lippati. Sesaṃ purimanayeneva veditabbaṃ. Yathā ca idha, evaṃ sabbattha.

    อิติ โส อมฺพโตว มุคฺครํ คเหตฺวา อมฺพํ ปาเตโนฺต วิย อิสฺสรกรเณเนว อิสฺสรกตวาทํ ภินฺทิตฺวา ปุเพฺพกตวาทิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตฺวํ, อาวุโส, มํ กิํ ปริหสสิ, ยทิ ปุเพฺพกตวาทํ สจฺจํ มญฺญสี’’ติ วตฺวา อาห –

    Iti so ambatova muggaraṃ gahetvā ambaṃ pātento viya issarakaraṇeneva issarakatavādaṃ bhinditvā pubbekatavādiṃ āmantetvā ‘‘tvaṃ, āvuso, maṃ kiṃ parihasasi, yadi pubbekatavādaṃ saccaṃ maññasī’’ti vatvā āha –

    ๑๔๕.

    145.

    ‘‘สเจ ปุเพฺพกตเหตุ, สุขทุกฺขํ นิคจฺฉติ;

    ‘‘Sace pubbekatahetu, sukhadukkhaṃ nigacchati;

    โปราณกํ กตํ ปาปํ, ตเมโส มุจฺจเต อิณํ;

    Porāṇakaṃ kataṃ pāpaṃ, tameso muccate iṇaṃ;

    โปราณก อิณโมโกฺข, กฺวิธ ปาเปน ลิปฺปติฯ

    Porāṇaka iṇamokkho, kvidha pāpena lippati.

    ๑๔๖.

    146.

    ‘‘โส เจ อโตฺถ จ ธโมฺม จ, กลฺยาโณ น จ ปาปโก;

    ‘‘So ce attho ca dhammo ca, kalyāṇo na ca pāpako;

    โภโต เจ วจนํ สจฺจํ, สุหโต วานโร มยาฯ

    Bhoto ce vacanaṃ saccaṃ, suhato vānaro mayā.

    ๑๔๗.

    147.

    ‘‘อตฺตโน เจ หิ วาทสฺส, อปราธํ วิชานิยา;

    ‘‘Attano ce hi vādassa, aparādhaṃ vijāniyā;

    น มํ ตฺวํ ครเหยฺยาสิ, โภโต วาโท หิ ตาทิโส’’ติฯ

    Na maṃ tvaṃ garaheyyāsi, bhoto vādo hi tādiso’’ti.

    ตตฺถ ปุเพฺพกตเหตูติ ปุพฺพกตเหตุ ปุริมภเว กตกมฺมการเณเนวฯ ตเมโส มุจฺจเต อิณนฺติ โย วธพนฺธาทีหิ ทุกฺขํ ปาปุณาติ, ยทิ โส ยํ เตน โปราณกํ กตํ ปาปํ, ตํ อิทานิ อิณํ มุจฺจติ, เอวํ สเนฺต มมปิ เอส โปราณกอิณโต โมโกฺข, อเนน หิ มกฺกเฎน ปุเพฺพ ปริพฺพาชเกน หุตฺวา อหํ มกฺกโฎ สมาโน มาเรตฺวา ขาทิโต ภวิสฺสามิ, สฺวายํ อิธ มกฺกฎตฺตํ ปโตฺต มยา ปริพฺพาชกตฺตํ ปเตฺตน มาเรตฺวา ขาทิโต ภวิสฺสติ, โก อิธ ปาเปน ลิปฺปตีติฯ

    Tattha pubbekatahetūti pubbakatahetu purimabhave katakammakāraṇeneva. Tameso muccate iṇanti yo vadhabandhādīhi dukkhaṃ pāpuṇāti, yadi so yaṃ tena porāṇakaṃ kataṃ pāpaṃ, taṃ idāni iṇaṃ muccati, evaṃ sante mamapi esa porāṇakaiṇato mokkho, anena hi makkaṭena pubbe paribbājakena hutvā ahaṃ makkaṭo samāno māretvā khādito bhavissāmi, svāyaṃ idha makkaṭattaṃ patto mayā paribbājakattaṃ pattena māretvā khādito bhavissati, ko idha pāpena lippatīti.

    อิติ โส ตสฺสปิ วาทํ ภินฺทิตฺวา อุเจฺฉทวาทิํ อภิมุขํ กตฺวา ‘‘ตฺวํ, อาวุโส, ‘อิตฺถิ ทินฺน’นฺติอาทีนิ วตฺวา ‘อิเธว สตฺตา อุจฺฉิชฺชนฺติ, ปรโลกํ คตา นาม นตฺถี’ติ มญฺญมาโน กสฺมา มํ ปริหสสี’’ติ สนฺตเชฺชตฺวา อาห –

    Iti so tassapi vādaṃ bhinditvā ucchedavādiṃ abhimukhaṃ katvā ‘‘tvaṃ, āvuso, ‘itthi dinna’ntiādīni vatvā ‘idheva sattā ucchijjanti, paralokaṃ gatā nāma natthī’ti maññamāno kasmā maṃ parihasasī’’ti santajjetvā āha –

    ๑๔๘.

    148.

    ‘‘จตุนฺนํเยวุปาทาย, รูปํ สโมฺภติ ปาณินํ;

    ‘‘Catunnaṃyevupādāya, rūpaṃ sambhoti pāṇinaṃ;

    ยโต จ รูปํ สโมฺภติ, ตเตฺถวานุปคจฺฉติ;

    Yato ca rūpaṃ sambhoti, tatthevānupagacchati;

    อิเธว ชีวติ ชีโว, เปจฺจ เปจฺจ วินสฺสติฯ

    Idheva jīvati jīvo, pecca pecca vinassati.

    ๑๔๙.

    149.

    ‘‘อุจฺฉิชฺชติ อยํ โลโก, เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา;

    ‘‘Ucchijjati ayaṃ loko, ye bālā ye ca paṇḍitā;

    อุจฺฉิชฺชมาเน โลกมฺหิ, กฺวิธ ปาเปน ลิปฺปติฯ

    Ucchijjamāne lokamhi, kvidha pāpena lippati.

    ๑๕๐.

    150.

    ‘‘โส เจ อโตฺถ จ ธโมฺม จ, กลฺยาโณ น จ ปาปโก;

    ‘‘So ce attho ca dhammo ca, kalyāṇo na ca pāpako;

    โภโต เจ วจนํ สจฺจํ, สุหโต วานโร มยาฯ

    Bhoto ce vacanaṃ saccaṃ, suhato vānaro mayā.

    ๑๕๑.

    151.

    ‘‘อตฺตโน เจ หิ วาทสฺส, อปราธํ วิชานิยา;

    ‘‘Attano ce hi vādassa, aparādhaṃ vijāniyā;

    น มํ ตฺวํ ครเหยฺยาสิ, โภโต วาโท หิ ตาทิโส’’ติฯ

    Na maṃ tvaṃ garaheyyāsi, bhoto vādo hi tādiso’’ti.

    ตตฺถ จตุนฺนนฺติ ปถวีอาทีนํ ภูตานํฯ รูปนฺติ รูปกฺขโนฺธฯ ตเตฺถวาติ ยโต ตํ รูปํ สโมฺภติ, นิรุชฺฌนกาเลปิ ตเตฺถว อนุปคจฺฉติฯ อิมินา ตสฺส ‘‘จาตุมหาภูติโก อยํ ปุริโส ยทา กาลํ กโรติ, ตทา ปถวี ปถวีกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อาโป… เตโช… วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ, อากาสํ อินฺทฺริยานิ สงฺกมนฺติ, อาสนฺธิปญฺจมา ปุริสา มตํ อาทาย คจฺฉนฺติ, ยาว อาฬาหนา ปทานิ ปญฺญายนฺติ, กาโปตกานิ อฎฺฐีนิ ภวนฺติ, ภสฺมนฺตา อาหุติโย , ทตฺตุปญฺญตฺตํ ยทิทํ ทานํ, เตสํ ตุจฺฉา มุสา วิลาโป, เย เกจิ อตฺถิกวาทํ วทนฺติ, พาเล จ ปณฺฑิเต จ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วินสฺสนฺติ, น โหนฺติ ปรํ มรณา’’ติ อิมํ ทิฎฺฐิํ ปติฎฺฐาเปสิฯ อิเธวาติ อิมสฺมิํเยว โลเก ชีโว ชีวติฯ เปจฺจ เปจฺจ วินสฺสตีติ ปรโลเก นิพฺพโตฺต สโตฺต คติวเสน อิธ อนาคนฺตฺวา ตเตฺถว ปรโลเก วินสฺสติ อุจฺฉิชฺชติฯ เอวํ อุจฺฉิชฺชมาเน โลกสฺมิํ โก อิธ ปาเปน ลิปฺปตีติฯ

    Tattha catunnanti pathavīādīnaṃ bhūtānaṃ. Rūpanti rūpakkhandho. Tatthevāti yato taṃ rūpaṃ sambhoti, nirujjhanakālepi tattheva anupagacchati. Iminā tassa ‘‘cātumahābhūtiko ayaṃ puriso yadā kālaṃ karoti, tadā pathavī pathavīkāyaṃ anupeti anupagacchati, āpo… tejo… vāyo vāyokāyaṃ anupeti anupagacchati, ākāsaṃ indriyāni saṅkamanti, āsandhipañcamā purisā mataṃ ādāya gacchanti, yāva āḷāhanā padāni paññāyanti, kāpotakāni aṭṭhīni bhavanti, bhasmantā āhutiyo , dattupaññattaṃ yadidaṃ dānaṃ, tesaṃ tucchā musā vilāpo, ye keci atthikavādaṃ vadanti, bāle ca paṇḍite ca kāyassa bhedā ucchijjanti vinassanti, na honti paraṃ maraṇā’’ti imaṃ diṭṭhiṃ patiṭṭhāpesi. Idhevāti imasmiṃyeva loke jīvo jīvati. Pecca pecca vinassatīti paraloke nibbatto satto gativasena idha anāgantvā tattheva paraloke vinassati ucchijjati. Evaṃ ucchijjamāne lokasmiṃ ko idha pāpena lippatīti.

    อิติ โส ตสฺสปิ วาทํ ภินฺทิตฺวา ขตฺตวิชฺชวาทิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตฺวํ, อาวุโส, ‘มาตาปิตโรปิ มาเรตฺวา อตฺตโน อโตฺถ กาตโพฺพ’ติ อิมํ ลทฺธิํ อุกฺขิปิตฺวา วิจรโนฺต กสฺมา มํ ปริหสสี’’ติ วตฺวา อาห –

    Iti so tassapi vādaṃ bhinditvā khattavijjavādiṃ āmantetvā ‘‘tvaṃ, āvuso, ‘mātāpitaropi māretvā attano attho kātabbo’ti imaṃ laddhiṃ ukkhipitvā vicaranto kasmā maṃ parihasasī’’ti vatvā āha –

    ๑๕๒.

    152.

    ‘‘อาหุ ขตฺตวิทา โลเก, พาลา ปณฺฑิตมานิโน;

    ‘‘Āhu khattavidā loke, bālā paṇḍitamānino;

    มาตรํ ปิตรํ หเญฺญ, อโถ เชฎฺฐมฺปิ ภาตรํ;

    Mātaraṃ pitaraṃ haññe, atho jeṭṭhampi bhātaraṃ;

    หเนยฺย ปุตฺตทาเร จ, อโตฺถ เจ ตาทิโส สิยา’’ติฯ

    Haneyya puttadāre ca, attho ce tādiso siyā’’ti.

    ตตฺถ ขตฺตวิทาติ ขตฺตวิชฺชา, อยเมว วา ปาโฐฯ ขตฺตวิชฺชาจริยานํ เอตํ นามํฯ พาลา ปณฺฑิตมานิโนติ พาลา สมานาปิ ‘‘ปณฺฑิตา มยํ อตฺตโน ปณฺฑิตภาวํ ปกาเสมา’’ติ มญฺญมานา ปณฺฑิตมานิโน หุตฺวา เอวมาหุฯ อโตฺถ เจติ สเจ อตฺตโน ยถารูโป โกจิ อโตฺถ สิยา, น กิญฺจิ ปริวเชฺชยฺย, สพฺพํ หเนเยฺยวาติ วทนฺติ, ตฺวมฺปิ เนสํ อญฺญตโรติฯ

    Tattha khattavidāti khattavijjā, ayameva vā pāṭho. Khattavijjācariyānaṃ etaṃ nāmaṃ. Bālā paṇḍitamāninoti bālā samānāpi ‘‘paṇḍitā mayaṃ attano paṇḍitabhāvaṃ pakāsemā’’ti maññamānā paṇḍitamānino hutvā evamāhu. Attho ceti sace attano yathārūpo koci attho siyā, na kiñci parivajjeyya, sabbaṃ haneyyevāti vadanti, tvampi nesaṃ aññataroti.

    เอวํ ตสฺส ลทฺธิํ ปติฎฺฐเปตฺวา อตฺตโน ลทฺธิํ ปกาเสโนฺต อาห –

    Evaṃ tassa laddhiṃ patiṭṭhapetvā attano laddhiṃ pakāsento āha –

    ๑๕๓.

    153.

    ‘‘ยสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย, นิสีเทยฺย สเยยฺย วา;

    ‘‘Yassa rukkhassa chāyāya, nisīdeyya sayeyya vā;

    น ตสฺส สาขํ ภเญฺชยฺย, มิตฺตทุโพฺภ หิ ปาปโกฯ

    Na tassa sākhaṃ bhañjeyya, mittadubbho hi pāpako.

    ๑๕๔.

    154.

    ‘‘อถ อเตฺถ สมุปฺปเนฺน, สมูลมปิ อพฺพเห;

    ‘‘Atha atthe samuppanne, samūlamapi abbahe;

    อโตฺถ เม สมฺพเลนาปิ, สุหโต วานโร มยาฯ

    Attho me sambalenāpi, suhato vānaro mayā.

    ๑๕๕.

    155.

    ‘‘โส เจ อโตฺถ จ ธโมฺม จ, กลฺยาโณ น จ ปาปโก;

    ‘‘So ce attho ca dhammo ca, kalyāṇo na ca pāpako;

    โภโต เจ วจนํ สจฺจํ, สุหโต วานโร มยาฯ

    Bhoto ce vacanaṃ saccaṃ, suhato vānaro mayā.

    ๑๕๖.

    156.

    ‘‘อตฺตโน เจ หิ วาทสฺส, อปราธํ วิชานิยา;

    ‘‘Attano ce hi vādassa, aparādhaṃ vijāniyā;

    น มํ ตฺวํ ครเหยฺยาสิ, โภโต วาโท หิ ตาทิโส’’ติฯ

    Na maṃ tvaṃ garaheyyāsi, bhoto vādo hi tādiso’’ti.

    ตตฺถ อโมฺภ ขตฺตวิท อมฺหากํ ปน อาจริยา เอวํ วณฺณยนฺติฯ อตฺตนา ปริภุตฺตจฺฉายสฺส รุกฺขสฺสปิ สาขํ วา ปณฺณํ วา น ภเญฺชยฺยฯ กิํการณา ? มิตฺตทุโพฺภ หิ ปาปโกฯ ตฺวํ ปน เอวํ วเทสิ – ‘‘อถ อเตฺถ สมุปฺปเนฺน สมูลมปิ อพฺพเห’’ติ, มม จ ปาเถเยฺยน อโตฺถ อโหสิ, ตสฺมา สเจเปส มยา หโต, ตถาปิ อโตฺถ เม สมฺพเลนาปิ, สุหโต วานโร มยาฯ

    Tattha ambho khattavida amhākaṃ pana ācariyā evaṃ vaṇṇayanti. Attanā paribhuttacchāyassa rukkhassapi sākhaṃ vā paṇṇaṃ vā na bhañjeyya. Kiṃkāraṇā ? Mittadubbho hi pāpako. Tvaṃ pana evaṃ vadesi – ‘‘atha atthe samuppanne samūlamapi abbahe’’ti, mama ca pātheyyena attho ahosi, tasmā sacepesa mayā hato, tathāpi attho me sambalenāpi, suhato vānaro mayā.

    เอวํ โส ตสฺสปิ วาทํ ภินฺทิตฺวา ปญฺจสุ เตสุ อปฎิภาเนสุ นิสิเนฺนสุ ราชานํ อามเนฺตตฺวา, ‘‘มหาราช, ตฺวํ อิเม ปญฺจ รฎฺฐวิโลปเก มหาโจเร คเหตฺวา วิจรสิ, อโห พาโล, เอวรูปานญฺหิ สํสเคฺคน ปุริโส ทิฎฺฐธมฺมิกมฺปิ สมฺปรายิกมฺปิ มหาทุกฺขํ ปาปุเณยฺยา’’ติ วตฺวา รโญฺญ ธมฺมํ เทเสโนฺต อาห –

    Evaṃ so tassapi vādaṃ bhinditvā pañcasu tesu apaṭibhānesu nisinnesu rājānaṃ āmantetvā, ‘‘mahārāja, tvaṃ ime pañca raṭṭhavilopake mahācore gahetvā vicarasi, aho bālo, evarūpānañhi saṃsaggena puriso diṭṭhadhammikampi samparāyikampi mahādukkhaṃ pāpuṇeyyā’’ti vatvā rañño dhammaṃ desento āha –

    ๑๕๗.

    157.

    ‘‘อเหตุวาโท ปุริโส, โย จ อิสฺสรกุตฺติโก;

    ‘‘Ahetuvādo puriso, yo ca issarakuttiko;

    ปุเพฺพกตี จ อุเจฺฉที, โย จ ขตฺตวิโท นโรฯ

    Pubbekatī ca ucchedī, yo ca khattavido naro.

    ๑๕๘.

    158.

    ‘‘เอเต อสปฺปุริสา โลเก, พาลา ปณฺฑิตมานิโน;

    ‘‘Ete asappurisā loke, bālā paṇḍitamānino;

    กเรยฺย ตาทิโส ปาปํ, อโถ อญฺญมฺปิ การเย;

    Kareyya tādiso pāpaṃ, atho aññampi kāraye;

    อสปฺปุริสสํสโคฺค, ทุกฺขโนฺต กฎุกุทฺรโย’’ติฯ

    Asappurisasaṃsaggo, dukkhanto kaṭukudrayo’’ti.

    ตตฺถ ตาทิโสติ, มหาราช, ยาทิสา เอเต ปญฺจ ทิฎฺฐิคติกา, ตาทิโส ปุริโส สยมฺปิ ปาปํ กเรยฺยฯ ยฺวาสฺส วจนํ สุณาติ, ตํ อญฺญมฺปิ การเยฯ ทุกฺขโนฺตติ เอวรูเปหิ อสปฺปุริเสหิ สทฺธิํ สํสโคฺค อิธโลเกปิ ปรโลเกปิ ทุกฺขโนฺต กฎุกุทฺรโยว โหติฯ อิมสฺส ปนตฺถสฺส ปกาสนตฺถํ ‘‘ยานิ กานิจิ, ภิกฺขเว, ภยานิ อุปฺปชฺชนฺติ, สพฺพานิ ตานิ พาลโต’’ติ สุตฺตํ (อ. นิ. ๓.๑) อาหริตพฺพํฯ โคธชาตก- (ชา. ๑.๑.๑๓๘) สญฺชีวชาตก- (ชา. ๑.๑.๑๕๐) อกิตฺติชาตกาทีหิ (ชา. ๑.๑๓.๘๓ อาทโย) จายมโตฺถ ทีเปตโพฺพฯ

    Tattha tādisoti, mahārāja, yādisā ete pañca diṭṭhigatikā, tādiso puriso sayampi pāpaṃ kareyya. Yvāssa vacanaṃ suṇāti, taṃ aññampi kāraye. Dukkhantoti evarūpehi asappurisehi saddhiṃ saṃsaggo idhalokepi paralokepi dukkhanto kaṭukudrayova hoti. Imassa panatthassa pakāsanatthaṃ ‘‘yāni kānici, bhikkhave, bhayāni uppajjanti, sabbāni tāni bālato’’ti suttaṃ (a. ni. 3.1) āharitabbaṃ. Godhajātaka- (jā. 1.1.138) sañjīvajātaka- (jā. 1.1.150) akittijātakādīhi (jā. 1.13.83 ādayo) cāyamattho dīpetabbo.

    อิทานี โอปมฺมทสฺสนวเสน ธมฺมเทสนํ วเฑฺฒโนฺต อาห –

    Idānī opammadassanavasena dhammadesanaṃ vaḍḍhento āha –

    ๑๕๙.

    159.

    ‘‘อุรพฺภรูเปน วกสฺสุ ปุเพฺพ, อสํกิโต อชยูถํ อุเปติ;

    ‘‘Urabbharūpena vakassu pubbe, asaṃkito ajayūthaṃ upeti;

    หนฺตฺวา อุรณิํ อชิกํ อชญฺจ, อุตฺราสยิตฺวา เยนกามํ ปเลติฯ

    Hantvā uraṇiṃ ajikaṃ ajañca, utrāsayitvā yenakāmaṃ paleti.

    ๑๖๐.

    160.

    ‘‘ตถาวิเธเก สมณพฺราหฺมณาเส, ฉทนํ กตฺวา วญฺจยนฺติ มนุเสฺส;

    ‘‘Tathāvidheke samaṇabrāhmaṇāse, chadanaṃ katvā vañcayanti manusse;

    อนาสกา ถณฺฑิลเสยฺยกา จ, รโชชลฺลํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ;

    Anāsakā thaṇḍilaseyyakā ca, rajojallaṃ ukkuṭikappadhānaṃ;

    ปริยายภตฺตญฺจ อปานกตฺตา, ปาปาจารา อรหโนฺต วทานาฯ

    Pariyāyabhattañca apānakattā, pāpācārā arahanto vadānā.

    ๑๖๑.

    161.

    ‘‘เอเต อสปฺปุริสา โลเก, พาลา ปณฺฑิตมานิโน;

    ‘‘Ete asappurisā loke, bālā paṇḍitamānino;

    กเรยฺย ตาทิโส ปาปํ, อโถ อญฺญมฺปิ การเย;

    Kareyya tādiso pāpaṃ, atho aññampi kāraye;

    อสปฺปุริสสํสโคฺค, ทุกฺขโนฺต กฎุกุทฺรโยฯ

    Asappurisasaṃsaggo, dukkhanto kaṭukudrayo.

    ๑๖๒.

    162.

    ‘‘ยมาหุ นตฺถิ วีริยนฺติ, อเหตุญฺจ ปวทนฺติ เย;

    ‘‘Yamāhu natthi vīriyanti, ahetuñca pavadanti ye;

    ปรการํ อตฺตการญฺจ, เย ตุจฺฉํ สมวณฺณยุํฯ

    Parakāraṃ attakārañca, ye tucchaṃ samavaṇṇayuṃ.

    ๑๖๓.

    163.

    ‘‘เอเต อสปฺปุริสา โลเก, พาลา ปณฺฑิตมานิโน;

    ‘‘Ete asappurisā loke, bālā paṇḍitamānino;

    กเรยฺย ตาทิโส ปาปํ, อโถ อญฺญมฺปิ การเย;

    Kareyya tādiso pāpaṃ, atho aññampi kāraye;

    อสปฺปุริสสํสโคฺค, ทุกฺขโนฺต กฎุกุทฺรโยฯ

    Asappurisasaṃsaggo, dukkhanto kaṭukudrayo.

    ๑๖๔.

    164.

    ‘‘สเจ หิ วีริยํ นาสฺส, กมฺมํ กลฺยาณปาปกํ;

    ‘‘Sace hi vīriyaṃ nāssa, kammaṃ kalyāṇapāpakaṃ;

    น ภเร วฑฺฒกิํ ราชา, นปิ ยนฺตานิ การเยฯ

    Na bhare vaḍḍhakiṃ rājā, napi yantāni kāraye.

    ๑๖๕.

    165.

    ‘‘ยสฺมา จ วีริยํ อตฺถิ, กมฺมํ กลฺยาณปาปกํ;

    ‘‘Yasmā ca vīriyaṃ atthi, kammaṃ kalyāṇapāpakaṃ;

    ตสฺมา ยนฺตานิ กาเรติ, ราชา ภรติ วฑฺฒกิํฯ

    Tasmā yantāni kāreti, rājā bharati vaḍḍhakiṃ.

    ๑๖๖.

    166.

    ‘‘ยทิ วสฺสสตํ เทโว, น วเสฺส น หิมํ ปเต;

    ‘‘Yadi vassasataṃ devo, na vasse na himaṃ pate;

    อุจฺฉิเชฺชยฺย อยํ โลโก, วินเสฺสยฺย อยํ ปชาฯ

    Ucchijjeyya ayaṃ loko, vinasseyya ayaṃ pajā.

    ๑๖๗.

    167.

    ‘‘ยสฺมา จ วสฺสตี เทโว, หิมญฺจานุผุสายติ;

    ‘‘Yasmā ca vassatī devo, himañcānuphusāyati;

    ตสฺมา สสฺสานิ ปจฺจนฺติ, รฎฺฐญฺจ ปาลิเต จิรํฯ

    Tasmā sassāni paccanti, raṭṭhañca pālite ciraṃ.

    ๑๖๘.

    168.

    ‘‘ควํ เจ ตรมานานํ, ชิมฺหํ คจฺฉติ ปุงฺคโว;

    ‘‘Gavaṃ ce taramānānaṃ, jimhaṃ gacchati puṅgavo;

    สพฺพา ตา ชิมฺหํ คจฺฉนฺติ, เนเตฺต ชิมฺหํ คเต สติฯ

    Sabbā tā jimhaṃ gacchanti, nette jimhaṃ gate sati.

    ๑๖๙.

    169.

    ‘‘เอวเมว มนุเสฺสสุ, โย โหติ เสฎฺฐสมฺมโต;

    ‘‘Evameva manussesu, yo hoti seṭṭhasammato;

    โส เจ อธมฺมํ จรติ, ปเคว อิตรา ปชา;

    So ce adhammaṃ carati, pageva itarā pajā;

    สพฺพํ รฎฺฐํ ทุขํ เสติ, ราชา เจ โหติ อธมฺมิโกฯ

    Sabbaṃ raṭṭhaṃ dukhaṃ seti, rājā ce hoti adhammiko.

    ๑๗๐.

    170.

    ‘‘ควํ เจ ตรมานานํ, อุชุํ คจฺฉติ ปุงฺคโว;

    ‘‘Gavaṃ ce taramānānaṃ, ujuṃ gacchati puṅgavo;

    สพฺพา คาวี อุชุํ ยนฺติ, เนเตฺต อุชุํ คเต สติฯ

    Sabbā gāvī ujuṃ yanti, nette ujuṃ gate sati.

    ๑๗๑.

    171.

    ‘‘เอวเมว มนุเสฺสสุ, โย โหติ เสฎฺฐสมฺมโต;

    ‘‘Evameva manussesu, yo hoti seṭṭhasammato;

    โส สเจ ธมฺมํ จรติ, ปเคว อิตรา ปชา;

    So sace dhammaṃ carati, pageva itarā pajā;

    สพฺพํ รฎฺฐํ สุขํ เสติ, ราชา เจ โหติ ธมฺมิโกฯ

    Sabbaṃ raṭṭhaṃ sukhaṃ seti, rājā ce hoti dhammiko.

    ๑๗๒.

    172.

    ‘‘มหารุกฺขสฺส ผลิโน, อามํ ฉินฺทติ โย ผลํ;

    ‘‘Mahārukkhassa phalino, āmaṃ chindati yo phalaṃ;

    รสญฺจสฺส น ชานาติ, พีชญฺจสฺส วินสฺสติฯ

    Rasañcassa na jānāti, bījañcassa vinassati.

    ๑๗๓.

    173.

    ‘‘มหารุกฺขูปมํ รฎฺฐํ, อธเมฺมน ปสาสติ;

    ‘‘Mahārukkhūpamaṃ raṭṭhaṃ, adhammena pasāsati;

    รสญฺจสฺส น ชานาติ, รฎฺฐญฺจสฺส วินสฺสติฯ

    Rasañcassa na jānāti, raṭṭhañcassa vinassati.

    ๑๗๔.

    174.

    ‘‘มหารุกฺขสฺส ผลิโน, ปกฺกํ ฉินฺทติ โย ผลํ;

    ‘‘Mahārukkhassa phalino, pakkaṃ chindati yo phalaṃ;

    รสญฺจสฺส วิชานาติ, พีชญฺจสฺส น นสฺสติฯ

    Rasañcassa vijānāti, bījañcassa na nassati.

    ๑๗๕.

    175.

    ‘‘มหารุกฺขูปมํ รฎฺฐํ, ธเมฺมน โย ปสาสติ;

    ‘‘Mahārukkhūpamaṃ raṭṭhaṃ, dhammena yo pasāsati;

    รสญฺจสฺส วิชานาติ, รฎฺฐญฺชสฺส น นสฺสติฯ

    Rasañcassa vijānāti, raṭṭhañjassa na nassati.

    ๑๗๖.

    176.

    ‘‘โย จ ราชา ชนปทํ, อธเมฺมน ปสาสติ;

    ‘‘Yo ca rājā janapadaṃ, adhammena pasāsati;

    สโพฺพสธีหิ โส ราชา, วิรุโทฺธ โหติ ขตฺติโยฯ

    Sabbosadhīhi so rājā, viruddho hoti khattiyo.

    ๑๗๗.

    177.

    ‘‘ตเถว เนคเม หิํสํ, เย ยุตฺตา กยวิกฺกเย;

    ‘‘Tatheva negame hiṃsaṃ, ye yuttā kayavikkaye;

    โอชทานพลีกาเร, ส โกเสน วิรุชฺฌติฯ

    Ojadānabalīkāre, sa kosena virujjhati.

    ๑๗๘.

    178.

    ‘‘ปหารวรเขตฺตญฺญู, สงฺคาเม กตนิสฺสเม;

    ‘‘Pahāravarakhettaññū, saṅgāme katanissame;

    อุสฺสิเต หิํสยํ ราชา, ส พเลน วิรุชฺฌติฯ

    Ussite hiṃsayaṃ rājā, sa balena virujjhati.

    ๑๗๙.

    179.

    ‘‘ตเถว อิสโย หิํสํ, สญฺญเต พฺรหฺมจาริโน;

    ‘‘Tatheva isayo hiṃsaṃ, saññate brahmacārino;

    อธมฺมจารี ขตฺติโย, โส สเคฺคน วิรุชฺฌติฯ

    Adhammacārī khattiyo, so saggena virujjhati.

    ๑๘๐.

    180.

    ‘‘โย จ ราชา อธมฺมโฎฺฐ, ภริยํ หนฺติ อทูสิกํ;

    ‘‘Yo ca rājā adhammaṭṭho, bhariyaṃ hanti adūsikaṃ;

    ลุทฺธํ ปสวเต ฐานํ, ปุเตฺตหิ จ วิรุชฺฌติฯ

    Luddhaṃ pasavate ṭhānaṃ, puttehi ca virujjhati.

    ๑๘๑.

    181.

    ‘‘ธมฺมํ จเร ชานปเท, เนคเมสุ พเลสุ จ;

    ‘‘Dhammaṃ care jānapade, negamesu balesu ca;

    อิสโย จ น หิํเสยฺย, ปุตฺตทาเร สมํ จเรฯ

    Isayo ca na hiṃseyya, puttadāre samaṃ care.

    ๑๘๒.

    182.

    ‘‘ส ตาทิโส ภูมิปติ, รฎฺฐปาโล อโกธโน;

    ‘‘Sa tādiso bhūmipati, raṭṭhapālo akodhano;

    สปเตฺต สมฺปกเมฺปติ, อิโนฺทว อสุราธิโป’’ติฯ

    Sapatte sampakampeti, indova asurādhipo’’ti.

    ตตฺถ วกสฺสูติ วโก อสฺสุ, อสฺสูติ นิปาตมตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มหาราช, ปุเพฺพ เอโก อุรพฺภรูโป วโก อโหสิ, ตสฺส นงฺคุฎฺฐมตฺตเมว ทีฆํ, ตํ ปน โส อนฺตรสตฺติมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา อุรพฺภรูเปน อสํกิโต อชยูถํ อุเปติฯ ตตฺถ อุรณิกญฺจ อชิกญฺจ อชญฺจ หนฺตฺวา เยนกามํ ปเลติฯ ตถาวิเธเกติ ตถาวิธา เอเก สมณพฺราหฺมณา ปพฺพชฺชาลิเงฺคน ฉทนํ กตฺวา อตฺตานํ ฉาเทตฺวา มธุรวจนาทีหิ หิตกามา วิย หุตฺวา โลกํ วเญฺจนฺติฯ ‘‘อนาสกา’’ติอาทิ เตสํ ฉทนสฺส ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ เอกเจฺจ หิ ‘‘มยํ อนาสกา น กิญฺจิ อาหาเรมา’’ติ มนุเสฺส วเญฺจนฺติ, อปเร ‘‘มยํ ถณฺฑิลเสยฺยกา’’ติฯ อเญฺญสํ ปน รโชชลฺลํ ฉทนํ, อเญฺญสํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ, เต คจฺฉนฺตาปิ อุปฺปติตฺวา อุกฺกุฎิกาว คจฺฉนฺติฯ อเญฺญสํ สตฺตาหทสาหาทิวารโภชนสงฺขาตํ ปริยายภตฺตฉทนํ, อปเร อปานกตฺตา โหนฺติ, ‘‘มยํ ปานียํ น ปิวามา’’ติ วทนฺติฯ อรหโนฺต วทานาติ ปาปาจารา หุตฺวาปิ ‘‘มยํ อรหโนฺต’’ติ วทนฺตา วิจรนฺติฯ เอเตติ, มหาราช, อิเม วา ปญฺจ ชนา โหนฺตุ อเญฺญ วา, ยาวโนฺต ทิฎฺฐิคติกา นาม, สเพฺพปิ เอเต อสปฺปุริสาฯ ยมาหูติ เย อาหุ, เย วทนฺติฯ

    Tattha vakassūti vako assu, assūti nipātamattaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – mahārāja, pubbe eko urabbharūpo vako ahosi, tassa naṅguṭṭhamattameva dīghaṃ, taṃ pana so antarasattimhi pakkhipitvā urabbharūpena asaṃkito ajayūthaṃ upeti. Tattha uraṇikañca ajikañca ajañca hantvā yenakāmaṃ paleti. Tathāvidheketi tathāvidhā eke samaṇabrāhmaṇā pabbajjāliṅgena chadanaṃ katvā attānaṃ chādetvā madhuravacanādīhi hitakāmā viya hutvā lokaṃ vañcenti. ‘‘Anāsakā’’tiādi tesaṃ chadanassa dassanatthaṃ vuttaṃ. Ekacce hi ‘‘mayaṃ anāsakā na kiñci āhāremā’’ti manusse vañcenti, apare ‘‘mayaṃ thaṇḍilaseyyakā’’ti. Aññesaṃ pana rajojallaṃ chadanaṃ, aññesaṃ ukkuṭikappadhānaṃ, te gacchantāpi uppatitvā ukkuṭikāva gacchanti. Aññesaṃ sattāhadasāhādivārabhojanasaṅkhātaṃ pariyāyabhattachadanaṃ, apare apānakattā honti, ‘‘mayaṃ pānīyaṃ na pivāmā’’ti vadanti. Arahanto vadānāti pāpācārā hutvāpi ‘‘mayaṃ arahanto’’ti vadantā vicaranti. Eteti, mahārāja, ime vā pañca janā hontu aññe vā, yāvanto diṭṭhigatikā nāma, sabbepi ete asappurisā. Yamāhūti ye āhu, ye vadanti.

    สเจ หิ วีริยํ นาสฺสาติ, มหาราช, สเจ ญาณสมฺปยุตฺตํ กายิกเจตสิกวีริยํ น ภเวยฺยฯ กมฺมนฺติ กลฺยาณปาปกํ กมฺมมฺปิ ยทิ น ภเวยฺยฯ น ภเรติ เอวํ สเนฺต วฑฺฒกิํ วา อเญฺญ วา การเก ราชา น โปเสยฺย, นปิ ยนฺตานีติ นปิ เตหิ สตฺตภูมิกปาสาทาทีนิ ยนฺตานิ กาเรยฺยฯ กิํการณา? วีริยสฺส เจว กมฺมสฺส จ อภาวาฯ อุจฺฉิเชฺชยฺยาติ, มหาราช, ยทิ เอตฺตกํ กาลํ เนว เทโว วเสฺสยฺย, น หิมํ ปเตยฺย , อถ กปฺปุฎฺฐานกาโล วิย อยํ โลโก อุจฺฉิเชฺชยฺยฯ อุเจฺฉทวาทินา กถิตนิยาเมน ปน อุเจฺฉโท นาม นตฺถิฯ ปาลิเตติ ปาลยติฯ

    Sace hi vīriyaṃ nāssāti, mahārāja, sace ñāṇasampayuttaṃ kāyikacetasikavīriyaṃ na bhaveyya. Kammanti kalyāṇapāpakaṃ kammampi yadi na bhaveyya. Na bhareti evaṃ sante vaḍḍhakiṃ vā aññe vā kārake rājā na poseyya, napi yantānīti napi tehi sattabhūmikapāsādādīni yantāni kāreyya. Kiṃkāraṇā? Vīriyassa ceva kammassa ca abhāvā. Ucchijjeyyāti, mahārāja, yadi ettakaṃ kālaṃ neva devo vasseyya, na himaṃ pateyya , atha kappuṭṭhānakālo viya ayaṃ loko ucchijjeyya. Ucchedavādinā kathitaniyāmena pana ucchedo nāma natthi. Pāliteti pālayati.

    ‘‘ควํ เจ’’ติ จตโสฺส คาถา รโญฺญ ธมฺมเทสนายเมว วุตฺตา, ตถา ‘‘มหารุกฺขสฺสา’’ติอาทิกาฯ ตตฺถ มหารุกฺขสฺสาติ มธุรอมฺพรุกฺขสฺสฯ อธเมฺมนาติ อคติคมเนนฯ รสญฺจสฺส น ชานาตีติ อธมฺมิโก ราชา รฎฺฐสฺส รสํ โอชํ น ชานาติ, อายสมฺปตฺติํ น ลภติฯ วินสฺสตีติ สุญฺญํ โหติ, มนุสฺสา คามนิคเม ฉเฑฺฑตฺวา ปจฺจนฺตํ ปพฺพตวิสมํ ภชนฺติ, สพฺพานิ อายมุขานิ ปจฺฉิชฺชนฺติฯ สโพฺพสธีหีติ สเพฺพหิ มูลตจปตฺตปุปฺผผลาทีหิ เจว สปฺปินวนีตาทีหิ จ โอสเธหิ วิรุชฺฌติ, ตานิ น สมฺปชฺชนฺติฯ อธมฺมิกรโญฺญ หิ ปถวี นิโรชา โหติ, ตสฺสา นิโรชตาย โอสธานํ โอชา น โหติ, ตานิ โรคญฺจ วูปสเมตุํ น สโกฺกนฺติฯ อิติ โส เตหิ วิรุโทฺธ นาม โหติฯ

    ‘‘Gavaṃ ce’’ti catasso gāthā rañño dhammadesanāyameva vuttā, tathā ‘‘mahārukkhassā’’tiādikā. Tattha mahārukkhassāti madhuraambarukkhassa. Adhammenāti agatigamanena. Rasañcassa na jānātīti adhammiko rājā raṭṭhassa rasaṃ ojaṃ na jānāti, āyasampattiṃ na labhati. Vinassatīti suññaṃ hoti, manussā gāmanigame chaḍḍetvā paccantaṃ pabbatavisamaṃ bhajanti, sabbāni āyamukhāni pacchijjanti. Sabbosadhīhīti sabbehi mūlatacapattapupphaphalādīhi ceva sappinavanītādīhi ca osadhehi virujjhati, tāni na sampajjanti. Adhammikarañño hi pathavī nirojā hoti, tassā nirojatāya osadhānaṃ ojā na hoti, tāni rogañca vūpasametuṃ na sakkonti. Iti so tehi viruddho nāma hoti.

    เนคเมติ นิคมวาสิกุฎุมฺพิเกฯ หิํสนฺติ หิํสโนฺต ปีเฬโนฺตฯ เย ยุตฺตาติ เย กยวิกฺกเย ยุตฺตา อายานํ มุขา ถลชลปถวาณิชา, เต จ หิํสโนฺตฯ โอชทานพลีกาเรติ ตโต ตโต ภณฺฑาหรณสุงฺกทานวเสน โอชทานเญฺจว ฉภาคทสภาคาทิเภทํ พลิญฺจ กโรเนฺตฯ ส โกเสนาติ โส เอเต หิํสโนฺต อธมฺมิกราชา ธนธเญฺญหิ ปริหายโนฺต โกเสน วิรุชฺฌติ นามฯ ปหารวรเขตฺตญฺญูติ ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน วิชฺฌิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เอวํ ปหารวรานํ เขตฺตํ ชานเนฺต ธนุคฺคเหฯ สงฺคาเม กตนิสฺสเมติ ยุเทฺธ สุกตกเมฺม มหาโยเธฯ อุสฺสิเตติ อุคฺคเต ปญฺญาเต มหามเตฺต ฯ หิ สยนฺติ เอวรูเป สยํ วา หิํสโนฺต ปเรหิ วา หิํสาเปโนฺตฯ พเลนาติ พลกาเยนฯ ตถาวิธญฺหิ ราชานํ ‘‘อยํ พหุกาเร อตฺตโน รชฺชทายเกปิ หิํสติ, กิมงฺคํ ปน อเมฺห’’ติ อวเสสาปิ โยธา วิชหนฺติเยวฯ อิติ โส พเลน วิรุโทฺธ นาม โหติฯ

    Negameti nigamavāsikuṭumbike. Hiṃsanti hiṃsanto pīḷento. Ye yuttāti ye kayavikkaye yuttā āyānaṃ mukhā thalajalapathavāṇijā, te ca hiṃsanto. Ojadānabalīkāreti tato tato bhaṇḍāharaṇasuṅkadānavasena ojadānañceva chabhāgadasabhāgādibhedaṃ baliñca karonte. Sa kosenāti so ete hiṃsanto adhammikarājā dhanadhaññehi parihāyanto kosena virujjhati nāma. Pahāravarakhettaññūti ‘‘imasmiṃ ṭhāne vijjhituṃ vaṭṭatī’’ti evaṃ pahāravarānaṃ khettaṃ jānante dhanuggahe. Saṅgāme katanissameti yuddhe sukatakamme mahāyodhe. Ussiteti uggate paññāte mahāmatte . Hi sayanti evarūpe sayaṃ vā hiṃsanto parehi vā hiṃsāpento. Balenāti balakāyena. Tathāvidhañhi rājānaṃ ‘‘ayaṃ bahukāre attano rajjadāyakepi hiṃsati, kimaṅgaṃ pana amhe’’ti avasesāpi yodhā vijahantiyeva. Iti so balena viruddho nāma hoti.

    ตเถว อิสโย หิํสนฺติ ยถา จ เนคมาทโย, ตเถว เอสิตคุเณ ปพฺพชิเต อโกฺกสนปหรณาทีหิ หิํสโนฺต อธมฺมจารี ราชา กายสฺส เภทา อปายเมว อุเปติ, สเคฺค นิพฺพตฺติตุํ น สโกฺกตีติ สเคฺคน วิรุโทฺธ นาม โหติฯ ภริยํ หนฺติ อทูสิกนฺติ อตฺตโน พาหุจฺฉายาย วฑฺฒิตํ ปุตฺตธีตาหิ สํวฑฺฒํ สีลวติํ ภริยํ มิตฺตปติรูปกานํ โจรานํ วจนํ คเหตฺวา มาเรติฯ ลุทฺธํ ปสวเต ฐานนฺติ โส อตฺตโน นิรยูปปตฺติํ ปสวติ นิปฺผาเทติฯ ปุเตฺตหิ จาติ อิมสฺมิเญฺญว อตฺตภาเว อตฺตโน ปุเตฺตหิ สทฺธิํ วิรุชฺฌตีติฯ

    Tatheva isayo hiṃsanti yathā ca negamādayo, tatheva esitaguṇe pabbajite akkosanapaharaṇādīhi hiṃsanto adhammacārī rājā kāyassa bhedā apāyameva upeti, sagge nibbattituṃ na sakkotīti saggena viruddho nāma hoti. Bhariyaṃ hanti adūsikanti attano bāhucchāyāya vaḍḍhitaṃ puttadhītāhi saṃvaḍḍhaṃ sīlavatiṃ bhariyaṃ mittapatirūpakānaṃ corānaṃ vacanaṃ gahetvā māreti. Luddhaṃ pasavate ṭhānanti so attano nirayūpapattiṃ pasavati nipphādeti. Puttehi cāti imasmiññeva attabhāve attano puttehi saddhiṃ virujjhatīti.

    เอวมสฺส โส เตสํ ปญฺจนฺนํ ชนานํ กถํ คเหตฺวา เทวิยา มาริตภาวญฺจ ปุตฺตานํ วิรุทฺธภาวญฺจ สนฺธิมุเข โจรํ จูฬายํ คณฺหโนฺต วิย กเถสิฯ มหาสโตฺต หิ เตสํ อมจฺจานํ นิคฺคณฺหนญฺจ ธมฺมเทสนญฺจ เทวิยา เตหิ มาริตภาวสฺส อาวิกรณตฺถญฺจ ตตฺถ อนุปุเพฺพน กถํ อาหริตฺวา โอกาสํ กตฺวา เอตมตฺถํ กเถสิฯ ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา อตฺตโน อปราธํ ชานิฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘อิโต ปฎฺฐาย, มหาราช, เอวรูปานํ ปาปานํ กถํ คเหตฺวา มา ปุน เอวมกาสี’’ติ วตฺวา โอวทโนฺต ‘‘ธมฺมํ จเร’’ติอาทิมาหฯ

    Evamassa so tesaṃ pañcannaṃ janānaṃ kathaṃ gahetvā deviyā māritabhāvañca puttānaṃ viruddhabhāvañca sandhimukhe coraṃ cūḷāyaṃ gaṇhanto viya kathesi. Mahāsatto hi tesaṃ amaccānaṃ niggaṇhanañca dhammadesanañca deviyā tehi māritabhāvassa āvikaraṇatthañca tattha anupubbena kathaṃ āharitvā okāsaṃ katvā etamatthaṃ kathesi. Rājā tassa vacanaṃ sutvā attano aparādhaṃ jāni. Atha naṃ mahāsatto ‘‘ito paṭṭhāya, mahārāja, evarūpānaṃ pāpānaṃ kathaṃ gahetvā mā puna evamakāsī’’ti vatvā ovadanto ‘‘dhammaṃ care’’tiādimāha.

    ตตฺถ ธมฺมํ จเรติ, มหาราช, ราชา นาม ชนปทํ อธมฺมิเกน พลินา อปีเฬโนฺต ชนปเท ธมฺมํ จเรยฺย, สามิเก อสามิเก อกโรโนฺต เนคเมสุ ธมฺมํ จเรยฺย, อฎฺฐาเน อกิลเมโนฺต พเลสุ ธมฺมํ จเรยฺยฯ วธพนฺธอโกฺกสปริภาเส ปริหรโนฺต ปจฺจเย จ เนสํ ททโนฺต อิสโย น วิหิํเสยฺย, ธีตโร ยุตฺตฎฺฐาเน ปติฎฺฐาเปโนฺต ปุเตฺต จ สิปฺปานิ สิกฺขาเปตฺวา สมฺมา ปริหรโนฺต ภริยํ อิสฺสริยโวสฺสคฺคอลงฺการทานสมฺมานนาทีหิ อนุคฺคณฺหโนฺต ปุตฺตทาเร สมํ จเรยฺยฯ ส ตาทิโสติ โส ตาทิโส ราชา ปเวณิํ อภินฺทิตฺวา ธเมฺมน สเมน รชฺชํ กาเรโนฺต ราชาณาย ราชเตเชน สปเตฺต สมฺปกเมฺปติ ตาเสติ จาเลติฯ ‘‘อิโนฺทวา’’ติ อิทํ อุปมตฺถํ วุตฺตํฯ ยถา อสุเร เชตฺวา อภิภวิตฺวา ฐิตกาลโต ปฎฺฐาย อสุราธิโปติ สงฺขฺยํ คโต อิโนฺท อตฺตโน สปตฺตภูเต อสุเร กเมฺปสิ, ตถา กเมฺปตีติฯ

    Tattha dhammaṃ careti, mahārāja, rājā nāma janapadaṃ adhammikena balinā apīḷento janapade dhammaṃ careyya, sāmike asāmike akaronto negamesu dhammaṃ careyya, aṭṭhāne akilamento balesu dhammaṃ careyya. Vadhabandhaakkosaparibhāse pariharanto paccaye ca nesaṃ dadanto isayo na vihiṃseyya, dhītaro yuttaṭṭhāne patiṭṭhāpento putte ca sippāni sikkhāpetvā sammā pariharanto bhariyaṃ issariyavossaggaalaṅkāradānasammānanādīhi anuggaṇhanto puttadāre samaṃ careyya. Sa tādisoti so tādiso rājā paveṇiṃ abhinditvā dhammena samena rajjaṃ kārento rājāṇāya rājatejena sapatte sampakampeti tāseti cāleti. ‘‘Indovā’’ti idaṃ upamatthaṃ vuttaṃ. Yathā asure jetvā abhibhavitvā ṭhitakālato paṭṭhāya asurādhipoti saṅkhyaṃ gato indo attano sapattabhūte asure kampesi, tathā kampetīti.

    เอวํ มหาสโตฺต รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา จตฺตาโรปิ กุมาเร ปโกฺกสาเปตฺวา โอวทิตฺวา รโญฺญ กตกมฺมํ ปกาเสตฺวา ราชานํ ขมาเปตฺวา ‘‘มหาราช, อิโต ปฎฺฐาย อตุเลตฺวา ปริเภทกานํ กถํ คเหตฺวา มา เอวรูปํ สาหสิกกมฺมํ อกาสิ, ตุเมฺหปิ กุมารา มา รโญฺญ ทุพฺภิตฺถา’’ติ สเพฺพสํ โอวาทํ อทาสิฯ อถ นํ ราชา อาห – ‘‘อหํ, ภเนฺต, ตุเมฺหสุ จ เทวิยา จ อปรชฺฌโนฺต อิเม นิสฺสาย เอเตสํ กถํ คเหตฺวา เอตํ ปาปกมฺมํ กริํ, อิเม ปญฺจปิ มาเรมี’’ติ ฯ น ลพฺภา, มหาราช, เอวํ กาตุนฺติฯ เตน หิ เตสํ หตฺถปาเท เฉทาเปมีติฯ อิทมฺปิ น ลพฺภา กาตุนฺติฯ ราชา ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เต สพฺพสํหรเณ กตฺวา ปญฺจจูฬากรณคทฺทูลพนฺธนโคมยาสิญฺจเนหิ อวมาเนตฺวา รฎฺฐา ปพฺพาเชสิฯ โพธิสโตฺต ตตฺถ กติปาหํ วสิตฺวา ‘‘อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ ราชานํ โอวทิตฺวา หิมวนฺตํเยว คนฺตฺวา ฌานาภิญฺญา นิพฺพเตฺตตฺวา ยาวชีวํ พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    Evaṃ mahāsatto rañño dhammaṃ desetvā cattāropi kumāre pakkosāpetvā ovaditvā rañño katakammaṃ pakāsetvā rājānaṃ khamāpetvā ‘‘mahārāja, ito paṭṭhāya atuletvā paribhedakānaṃ kathaṃ gahetvā mā evarūpaṃ sāhasikakammaṃ akāsi, tumhepi kumārā mā rañño dubbhitthā’’ti sabbesaṃ ovādaṃ adāsi. Atha naṃ rājā āha – ‘‘ahaṃ, bhante, tumhesu ca deviyā ca aparajjhanto ime nissāya etesaṃ kathaṃ gahetvā etaṃ pāpakammaṃ kariṃ, ime pañcapi māremī’’ti . Na labbhā, mahārāja, evaṃ kātunti. Tena hi tesaṃ hatthapāde chedāpemīti. Idampi na labbhā kātunti. Rājā ‘‘sādhu, bhante’’ti sampaṭicchitvā te sabbasaṃharaṇe katvā pañcacūḷākaraṇagaddūlabandhanagomayāsiñcanehi avamānetvā raṭṭhā pabbājesi. Bodhisatto tattha katipāhaṃ vasitvā ‘‘appamatto hohī’’ti rājānaṃ ovaditvā himavantaṃyeva gantvā jhānābhiññā nibbattetvā yāvajīvaṃ brahmavihāre bhāvetvā brahmalokūpago ahosi.

    สตฺถา อิมํ เทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต ปญฺญวาเยว ปรปฺปวาทปฺปมทฺทโนเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา ปญฺจ ทิฎฺฐิคติกา ปูรณกสฺสปมกฺขลิโคสาลปกุธกจฺจานอชิตเกสกมฺพลนิคณฺฐนาฎปุตฺตา อเหสุํ, ปิงฺคลสุนโข อานโนฺท, มหาโพธิปริพฺพาชโก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ desanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato paññavāyeva parappavādappamaddanoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā pañca diṭṭhigatikā pūraṇakassapamakkhaligosālapakudhakaccānaajitakesakambalanigaṇṭhanāṭaputtā ahesuṃ, piṅgalasunakho ānando, mahābodhiparibbājako pana ahameva ahosi’’nti.

    มหาโพธิชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Mahābodhijātakavaṇṇanā tatiyā.

    ชาตกุทฺทานํ –

    Jātakuddānaṃ –

    สนิฬีนิกมวฺหยโน ปฐโม, ทุติโย ปน สอุมฺมทนฺติวโร;

    Saniḷīnikamavhayano paṭhamo, dutiyo pana saummadantivaro;

    ตติโย ปน โพธิสิรีวฺหยโน, กถิตา ปน ตีณิ ชิเนน สุภาติฯ

    Tatiyo pana bodhisirīvhayano, kathitā pana tīṇi jinena subhāti.

    ปณฺณาสนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṇṇāsanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๒๘. มหาโพธิชาตกํ • 528. Mahābodhijātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact