Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๔๗] ๙. มหาธมฺมปาลชาตกวณฺณนา
[447] 9. Mahādhammapālajātakavaṇṇanā
กิํ เต วตนฺติ อิทํ สตฺถา ปฐมคมเนน กปิลปุรํ คนฺตฺวา นิโคฺรธาราเม วิหรโนฺต ปิตุ นิเวสเน รโญฺญ อสทฺทหนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา หิ สุโทฺธทนมหาราชา วีสติสหสฺสภิกฺขุปริวารสฺส ภควโต อตฺตโน นิเวสเน ยาคุขชฺชกํ ทตฺวา อนฺตราภเตฺต สโมฺมทนียํ กถํ กเถโนฺต ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปธานกาเล เทวตา อาคนฺตฺวา อากาเส ฐตฺวา ‘ปุโตฺต เต สิทฺธตฺถกุมาโร อปฺปาหารตาย มโต’ติ มยฺหํ อาโรเจสุ’’นฺติ อาหฯ สตฺถารา จ ‘‘สทฺทหิ, มหาราชา’’ติ วุเตฺต ‘‘น สทฺทหิํ, ภเนฺต, อากาเส ฐตฺวา กเถนฺติโยปิ เทวตา, ‘มม ปุตฺตสฺส โพธิตเล พุทฺธตฺตํ อปฺปตฺวา ปรินิพฺพานํ นาม นตฺถี’ติ ปฎิกฺขิปิ’’นฺติ อาหฯ ‘‘มหาราช, ปุเพฺพปิ ตฺวํ มหาธมฺมปาลกาเลปิ ‘ปุโตฺต เต มโต อิมานิสฺส อฎฺฐีนี’ติ ทเสฺสตฺวา วทนฺตสฺสปิ ทิสาปาโมกฺขาจริยสฺส ‘อมฺหากํ กุเล ตรุณกาเล กาลกิริยา นาม นตฺถี’ติ น สทฺทหิ, อิทานิ ปน กสฺมา สทฺทหิสฺสสี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Kiṃte vatanti idaṃ satthā paṭhamagamanena kapilapuraṃ gantvā nigrodhārāme viharanto pitu nivesane rañño asaddahanaṃ ārabbha kathesi. Tadā hi suddhodanamahārājā vīsatisahassabhikkhuparivārassa bhagavato attano nivesane yāgukhajjakaṃ datvā antarābhatte sammodanīyaṃ kathaṃ kathento ‘‘bhante, tumhākaṃ padhānakāle devatā āgantvā ākāse ṭhatvā ‘putto te siddhatthakumāro appāhāratāya mato’ti mayhaṃ ārocesu’’nti āha. Satthārā ca ‘‘saddahi, mahārājā’’ti vutte ‘‘na saddahiṃ, bhante, ākāse ṭhatvā kathentiyopi devatā, ‘mama puttassa bodhitale buddhattaṃ appatvā parinibbānaṃ nāma natthī’ti paṭikkhipi’’nti āha. ‘‘Mahārāja, pubbepi tvaṃ mahādhammapālakālepi ‘putto te mato imānissa aṭṭhīnī’ti dassetvā vadantassapi disāpāmokkhācariyassa ‘amhākaṃ kule taruṇakāle kālakiriyā nāma natthī’ti na saddahi, idāni pana kasmā saddahissasī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต กาสิรเฎฺฐ ธมฺมปาลคาโม นาม อโหสิฯ โส ธมฺมปาลกุลสฺส วสนตาย เอตํ นามํ ลภิฯ ตตฺถ ทสนฺนํ กุสลกมฺมปถานํ ปาลนโต ‘‘ธมฺมปาโล’’เตฺวว ปญฺญาโต พฺราหฺมโณ ปฎิวสติ, ตสฺส กุเล อนฺตมโส ทาสกมฺมกราปิ ทานํ เทนฺติ, สีลํ รกฺขนฺติ, อุโปสถกมฺมํ กโรนฺติฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺมิํ กุเล นิพฺพตฺติ, ‘‘ธมฺมปาลกุมาโร’’เตฺววสฺส นามํ กริํสุฯ อถ นํ วยปฺปตฺตํ ปิตา สหสฺสํ ทตฺวา สิปฺปุคฺคหณตฺถาย ตกฺกสิลํ เปเสสิฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา ทิสาปาโมกฺขาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหิ, ปญฺจนฺนํ มาณวกสตานํ เชฎฺฐเนฺตวาสิโก อโหสิฯ ตทา อาจริยสฺส เชฎฺฐปุโตฺต กาลมกาสิฯ อาจริโย มาณวกปริวุโต ญาติคเณน สทฺธิํ โรทโนฺต กนฺทโนฺต สุสาเน ตสฺส สรีรกิจฺจํ กาเรติฯ ตตฺถ อาจริโย จ ญาติวโคฺค จสฺส อเนฺตวาสิกา จ โรทนฺติ ปริเทวนฺติ, ธมฺมปาโลเยเวโก น โรทติ น ปริเทวติฯ อปิจ โข ปน เตสุ ปญฺจสเตสุ มาณเวสุ สุสานา อาคมฺม อาจริยสฺส สนฺติเก นิสีทิตฺวา ‘‘อโห เอวรูโป นาม อาจารสมฺปโนฺน ตรุณมาณโว ตรุณกาเลเยว มาตาปิตูหิ วิปฺปยุโตฺต มรณปฺปโตฺต’’ติ วทเนฺตสุ ‘‘สมฺมา, ตุเมฺห ‘ตรุโณ’ติ ภณถ, อถ กสฺมา ตรุณกาเลเยว มรติ, นนุ อยุตฺตํ ตรุณกาเล มริตุ’’นฺติ อาหฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente kāsiraṭṭhe dhammapālagāmo nāma ahosi. So dhammapālakulassa vasanatāya etaṃ nāmaṃ labhi. Tattha dasannaṃ kusalakammapathānaṃ pālanato ‘‘dhammapālo’’tveva paññāto brāhmaṇo paṭivasati, tassa kule antamaso dāsakammakarāpi dānaṃ denti, sīlaṃ rakkhanti, uposathakammaṃ karonti. Tadā bodhisatto tasmiṃ kule nibbatti, ‘‘dhammapālakumāro’’tvevassa nāmaṃ kariṃsu. Atha naṃ vayappattaṃ pitā sahassaṃ datvā sippuggahaṇatthāya takkasilaṃ pesesi. So tattha gantvā disāpāmokkhācariyassa santike sippaṃ uggaṇhi, pañcannaṃ māṇavakasatānaṃ jeṭṭhantevāsiko ahosi. Tadā ācariyassa jeṭṭhaputto kālamakāsi. Ācariyo māṇavakaparivuto ñātigaṇena saddhiṃ rodanto kandanto susāne tassa sarīrakiccaṃ kāreti. Tattha ācariyo ca ñātivaggo cassa antevāsikā ca rodanti paridevanti, dhammapāloyeveko na rodati na paridevati. Apica kho pana tesu pañcasatesu māṇavesu susānā āgamma ācariyassa santike nisīditvā ‘‘aho evarūpo nāma ācārasampanno taruṇamāṇavo taruṇakāleyeva mātāpitūhi vippayutto maraṇappatto’’ti vadantesu ‘‘sammā, tumhe ‘taruṇo’ti bhaṇatha, atha kasmā taruṇakāleyeva marati, nanu ayuttaṃ taruṇakāle maritu’’nti āha.
อถ นํ เต อาหํสุ ‘‘กิํ ปน สมฺม, ตฺวํ อิเมสํ สตฺตานํ มรณภาวํ น ชานาสี’’ติ? ชานามิ, ตรุณกาเล ปน น มรนฺติ, มหลฺลกกาเลเยว มรนฺตีติฯ นนุ อนิจฺจา สเพฺพ สงฺขารา หุตฺวา อภาวิโนติ? ‘‘สจฺจํ อนิจฺจา, ทหรกาเล ปน สตฺตา น มรนฺติ, มหลฺลกกาเล มรนฺติ, อนิจฺจตํ ปาปุณนฺตี’’ติฯ ‘‘กิํ สมฺม, ธมฺมปาล, ตุมฺหากํ เคเห น เกจิ มรนฺตี’’ติ? ‘‘ทหรกาเล ปน น มรนฺติ, มหลฺลกกาเลเยว มรนฺตี’’ติฯ ‘‘กิํ ปเนสา ตุมฺหากํ กุลปเวณี’’ติ? ‘‘อาม กุลปเวณี’’ติฯ มาณวา ตํ ตสฺส กถํ อาจริยสฺส อาโรเจสุํฯ อถ นํ โส ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘สจฺจํ กิร ตาต ธมฺมปาล, ตุมฺหากํ กุเล ทหรกาเล น มียนฺตี’’ติ? ‘‘สจฺจํ อาจริยา’’ติฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ อติวิย อจฺฉริยํ วทติ, อิมสฺส ปิตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุจฺฉิตฺวา สเจ เอตํ สจฺจํ, อหมฺปิ ตเมว ธมฺมํ ปูเรสฺสามี’’ติฯ โส ปุตฺตสฺส กตฺตพฺพกิจฺจํ กตฺวา สตฺตฎฺฐทิวสจฺจเยน ธมฺมปาลํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, อหํ ขิปฺปํ อาคมิสฺสามิ, ยาว มมาคมนา อิเม มาณเว สิปฺปํ วาเจหี’’ติ วตฺวา เอกสฺส เอฬกสฺส อฎฺฐีนิ คเหตฺวา โธวิตฺวา ปสิพฺพเก กตฺวา เอกํ จูฬุปฎฺฐากํ อาทาย ตกฺกสิลโต นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน ตํ คามํ ปตฺวา ‘‘กตรํ มหาธมฺมปาลสฺส เคห’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา คนฺตฺวา ทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ พฺราหฺมณสฺส ทาสมนุเสฺสสุ โย โย ปฐมํ อทฺทส, โส โส อาจริยสฺส หตฺถโต ฉตฺตํ คณฺหิ, อุปาหนํ คณฺหิ, อุปฎฺฐากสฺสปิ หตฺถโต ปสิพฺพกํ คณฺหิฯ ‘‘ปุตฺตสฺส โว ธมฺมปาลกุมารสฺส อาจริโย ทฺวาเร ฐิโตติ กุมารสฺส ปิตุ อาโรเจถา’’ติ จ วุตฺตา ‘‘สาธู’’ติ คนฺตฺวา อาโรจยิํสุฯ โส เวเคน ทฺวารมูลํ คนฺตฺวา ‘‘อิโต เอถา’’ติ ตํ ฆรํ อภิเนตฺวา ปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา สพฺพํ ปาทโธวนาทิกิจฺจํ อกาสิฯ
Atha naṃ te āhaṃsu ‘‘kiṃ pana samma, tvaṃ imesaṃ sattānaṃ maraṇabhāvaṃ na jānāsī’’ti? Jānāmi, taruṇakāle pana na maranti, mahallakakāleyeva marantīti. Nanu aniccā sabbe saṅkhārā hutvā abhāvinoti? ‘‘Saccaṃ aniccā, daharakāle pana sattā na maranti, mahallakakāle maranti, aniccataṃ pāpuṇantī’’ti. ‘‘Kiṃ samma, dhammapāla, tumhākaṃ gehe na keci marantī’’ti? ‘‘Daharakāle pana na maranti, mahallakakāleyeva marantī’’ti. ‘‘Kiṃ panesā tumhākaṃ kulapaveṇī’’ti? ‘‘Āma kulapaveṇī’’ti. Māṇavā taṃ tassa kathaṃ ācariyassa ārocesuṃ. Atha naṃ so pakkosāpetvā pucchi ‘‘saccaṃ kira tāta dhammapāla, tumhākaṃ kule daharakāle na mīyantī’’ti? ‘‘Saccaṃ ācariyā’’ti. So tassa vacanaṃ sutvā cintesi ‘‘ayaṃ ativiya acchariyaṃ vadati, imassa pitu santikaṃ gantvā pucchitvā sace etaṃ saccaṃ, ahampi tameva dhammaṃ pūressāmī’’ti. So puttassa kattabbakiccaṃ katvā sattaṭṭhadivasaccayena dhammapālaṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, ahaṃ khippaṃ āgamissāmi, yāva mamāgamanā ime māṇave sippaṃ vācehī’’ti vatvā ekassa eḷakassa aṭṭhīni gahetvā dhovitvā pasibbake katvā ekaṃ cūḷupaṭṭhākaṃ ādāya takkasilato nikkhamitvā anupubbena taṃ gāmaṃ patvā ‘‘kataraṃ mahādhammapālassa geha’’nti pucchitvā gantvā dvāre aṭṭhāsi. Brāhmaṇassa dāsamanussesu yo yo paṭhamaṃ addasa, so so ācariyassa hatthato chattaṃ gaṇhi, upāhanaṃ gaṇhi, upaṭṭhākassapi hatthato pasibbakaṃ gaṇhi. ‘‘Puttassa vo dhammapālakumārassa ācariyo dvāre ṭhitoti kumārassa pitu ārocethā’’ti ca vuttā ‘‘sādhū’’ti gantvā ārocayiṃsu. So vegena dvāramūlaṃ gantvā ‘‘ito ethā’’ti taṃ gharaṃ abhinetvā pallaṅke nisīdāpetvā sabbaṃ pādadhovanādikiccaṃ akāsi.
อาจริโย ภุตฺตโภชโน สุขกถาย นิสินฺนกาเล ‘‘พฺราหฺมณ, ปุโตฺต เต ธมฺมปาลกุมาโร ปญฺญวา ติณฺณํ เวทานํ อฎฺฐารสนฺนญฺจ สิปฺปานํ นิปฺผตฺติํ ปโตฺต, อปิจ โข ปเนเกน อผาสุเกน ชีวิตกฺขยํ ปโตฺต, สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา, มา โสจิตฺถา’’ติ อาหฯ พฺราหฺมโณ ปาณิํ ปหริตฺวา มหาหสิตํ หสิฯ ‘‘กิํ นุ พฺราหฺมณ, หสสี’’ติ จ วุเตฺต ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต น มรติ, อโญฺญ โกจิ มโต ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ ‘‘พฺราหฺมณ, ปุโตฺตเยว เต มโต, ปุตฺตเสฺสว เต อฎฺฐีนิ ทิสฺวา สทฺทหา’’ติ อฎฺฐีนิ นีหริตฺวา ‘‘อิมานิ เต ปุตฺตสฺส อฎฺฐีนี’’ติ อาหฯ เอตานิ เอฬกสฺส วา สุนขสฺส วา ภวิสฺสนฺติ, มยฺหํ ปน ปุโตฺต น มรติ, อมฺหากาญฺหิ กุเล ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา ตรุณกาเล มตปุพฺพา นาม นตฺถิ, ตฺวํ มุสา ภณสีติฯ ตสฺมิํ ขเณ สเพฺพปิ ปาณิํ ปหริตฺวา มหาหสิตํ หสิํสุฯ อาจริโย ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, ตุมฺหากํ กุลปเวณิยํ ทหรานํ อมรเณน น สกฺกา อเหตุเกน ภวิตุํ, เกน โว การเณน ทหรา น มียนฺตี’’ติ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Ācariyo bhuttabhojano sukhakathāya nisinnakāle ‘‘brāhmaṇa, putto te dhammapālakumāro paññavā tiṇṇaṃ vedānaṃ aṭṭhārasannañca sippānaṃ nipphattiṃ patto, apica kho panekena aphāsukena jīvitakkhayaṃ patto, sabbe saṅkhārā aniccā, mā socitthā’’ti āha. Brāhmaṇo pāṇiṃ paharitvā mahāhasitaṃ hasi. ‘‘Kiṃ nu brāhmaṇa, hasasī’’ti ca vutte ‘‘mayhaṃ putto na marati, añño koci mato bhavissatī’’ti āha. ‘‘Brāhmaṇa, puttoyeva te mato, puttasseva te aṭṭhīni disvā saddahā’’ti aṭṭhīni nīharitvā ‘‘imāni te puttassa aṭṭhīnī’’ti āha. Etāni eḷakassa vā sunakhassa vā bhavissanti, mayhaṃ pana putto na marati, amhākāñhi kule yāva sattamā kulaparivaṭṭā taruṇakāle matapubbā nāma natthi, tvaṃ musā bhaṇasīti. Tasmiṃ khaṇe sabbepi pāṇiṃ paharitvā mahāhasitaṃ hasiṃsu. Ācariyo taṃ acchariyaṃ disvā somanassappatto hutvā ‘‘brāhmaṇa, tumhākaṃ kulapaveṇiyaṃ daharānaṃ amaraṇena na sakkā ahetukena bhavituṃ, kena vo kāraṇena daharā na mīyantī’’ti pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๙๒.
92.
‘‘กิํ เต วตํ กิํ ปน พฺรหฺมจริยํ, กิสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;
‘‘Kiṃ te vataṃ kiṃ pana brahmacariyaṃ, kissa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;
อกฺขาหิ เม พฺราหฺมณ เอตมตฺถํ, กสฺมา นุ ตุมฺหํ ทหรา น มียเร’’ติฯ
Akkhāhi me brāhmaṇa etamatthaṃ, kasmā nu tumhaṃ daharā na mīyare’’ti.
ตตฺถ วตนฺติ วตสมาทานํฯ พฺรหฺมจริยนฺติ เสฎฺฐจริยํฯ กิสฺส สุจิณฺณสฺสาติ ตุมฺหากํ กุเล ทหรานํ อมรณํ นาม กตรสุจริตสฺส วิปาโกติฯ
Tattha vatanti vatasamādānaṃ. Brahmacariyanti seṭṭhacariyaṃ. Kissa suciṇṇassāti tumhākaṃ kule daharānaṃ amaraṇaṃ nāma katarasucaritassa vipākoti.
ตํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ เยสํ คุณานํ อานุภาเวน ตสฺมิํ กุเล ทหรา น มียนฺติ, เต วณฺณยโนฺต –
Taṃ sutvā brāhmaṇo yesaṃ guṇānaṃ ānubhāvena tasmiṃ kule daharā na mīyanti, te vaṇṇayanto –
๙๓.
93.
‘‘ธมฺมํ จราม น มุสา ภณาม, ปาปานิ กมฺมานิ ปริวชฺชยาม;
‘‘Dhammaṃ carāma na musā bhaṇāma, pāpāni kammāni parivajjayāma;
อนริยํ ปริวเชฺชมุ สพฺพํ, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเรฯ
Anariyaṃ parivajjemu sabbaṃ, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare.
๙๔.
94.
‘‘สุโณม ธมฺมํ อสตํ สตญฺจ, น จาปิ ธมฺมํ อสตํ โรจยาม;
‘‘Suṇoma dhammaṃ asataṃ satañca, na cāpi dhammaṃ asataṃ rocayāma;
หิตฺวา อสเนฺต น ชหาม สเนฺต, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเรฯ
Hitvā asante na jahāma sante, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare.
๙๕.
95.
‘‘ปุเพฺพว ทานา สุมนา ภวาม, ททมฺปิ เว อตฺตมนา ภวาม;
‘‘Pubbeva dānā sumanā bhavāma, dadampi ve attamanā bhavāma;
ทตฺวาปิ เว นานุตปฺปาม ปจฺฉา, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเรฯ
Datvāpi ve nānutappāma pacchā, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare.
๙๖.
96.
‘‘สมเณ มยํ พฺราหฺมเณ อทฺธิเก จ, วนิพฺพเก ยาจนเก ทลิเทฺท;
‘‘Samaṇe mayaṃ brāhmaṇe addhike ca, vanibbake yācanake dalidde;
อเนฺนน ปาเนน อภิตปฺปยาม, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเรฯ
Annena pānena abhitappayāma, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare.
๙๗.
97.
‘‘มยญฺจ ภริยํ นาติกฺกมาม, อเมฺห จ ภริยา นาติกฺกมนฺติ;
‘‘Mayañca bhariyaṃ nātikkamāma, amhe ca bhariyā nātikkamanti;
อญฺญตฺร ตาหิ พฺรหฺมจริยํ จราม, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเรฯ
Aññatra tāhi brahmacariyaṃ carāma, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare.
๙๘.
98.
‘‘ปาณาติปาตา วิรมาม สเพฺพ, โลเก อทินฺนํ ปริวชฺชยาม;
‘‘Pāṇātipātā viramāma sabbe, loke adinnaṃ parivajjayāma;
อมชฺชปา โนปิ มุสา ภณาม, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเรฯ
Amajjapā nopi musā bhaṇāma, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare.
๙๙.
99.
‘‘เอตาสุ เว ชายเร สุตฺตมาสุ, เมธาวิโน โหนฺติ ปหูตปญฺญา;
‘‘Etāsu ve jāyare suttamāsu, medhāvino honti pahūtapaññā;
พหุสฺสุตา เวทคุโน จ โหนฺติ, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเรฯ
Bahussutā vedaguno ca honti, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare.
๑๐๐.
100.
‘‘มาตา ปิตา จ ภคินี ภาตโร จ, ปุตฺตา จ ทารา จ มยญฺจ สเพฺพ;
‘‘Mātā pitā ca bhaginī bhātaro ca, puttā ca dārā ca mayañca sabbe;
ธมฺมํ จราม ปรโลกเหตุ, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเรฯ
Dhammaṃ carāma paralokahetu, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare.
๑๐๑.
101.
‘‘ทาสา จ ทาโสฺย อนุชีวิโน จ, ปริจารกา กมฺมกรา จ สเพฺพ;
‘‘Dāsā ca dāsyo anujīvino ca, paricārakā kammakarā ca sabbe;
ธมฺมํ จรนฺติ ปรโลกเหตุ, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเร’’ติฯ –
Dhammaṃ caranti paralokahetu, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare’’ti. –
อิมา คาถา อาหฯ
Imā gāthā āha.
ตตฺถ ธมฺมํ จรามาติ ทสกุสลกมฺมปถธมฺมํ จราม, อตฺตโน ชีวิตเหตุ อนฺตมโส กุนฺถกิปิลฺลิกมฺปิ ชีวิตา น โวโรเปม, ปรภณฺฑํ โลภจิเตฺตน น โอโลเกมาติ สพฺพํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ มุสาวาโท เจตฺถ มุสาวาทิสฺส อกรณปาปํ นาม นตฺถีติ อุสฺสนฺนวเสน ปุน วุโตฺตฯ เต กิร หสาธิปฺปาเยนปิ มุสา น ภณนฺติฯ ปาปานีติ สพฺพานิ นิรยคามิกมฺมานิฯ อนริยนฺติ อริยครหิตํ สพฺพํ อสุนฺทรํ อปริสุทฺธํ กมฺมํ ปริวชฺชยามฯ ตสฺมา หิ อมฺหนฺติ เอตฺถ หิ-กาโร นิปาตมโตฺต, เตน การเณน อมฺหากํ ทหรา น มียนฺติ, อนฺตรา อกาลมรณํ นาม โน นตฺถีติ อโตฺถฯ ‘‘ตสฺมา อมฺห’’นฺติปิ ปาโฐฯ สุโณมาติ มยํ กิริยวาทานํ สปฺปุริสานํ กุสลทีปนมฺปิ อสปฺปุริสานํ อกุสลทีปนมฺปิ ธมฺมํ สุโณม , โส ปน โน สุตมตฺตโกว โหติ, ตํ น โรจยามฯ เตหิ ปน โน สทฺธิํ วิคฺคโห วา วิวาโท วา มา โหตูติ ธมฺมํ สุณาม, สุตฺวาปิ หิตฺวา อสเนฺต สเนฺต วตฺตาม, เอกมฺปิ ขณํ น ชหาม สเนฺต, ปาปมิเตฺต ปหาย กลฺยาณมิตฺตเสวิโนว โหมาติฯ
Tattha dhammaṃ carāmāti dasakusalakammapathadhammaṃ carāma, attano jīvitahetu antamaso kunthakipillikampi jīvitā na voropema, parabhaṇḍaṃ lobhacittena na olokemāti sabbaṃ vitthāretabbaṃ. Musāvādo cettha musāvādissa akaraṇapāpaṃ nāma natthīti ussannavasena puna vutto. Te kira hasādhippāyenapi musā na bhaṇanti. Pāpānīti sabbāni nirayagāmikammāni. Anariyanti ariyagarahitaṃ sabbaṃ asundaraṃ aparisuddhaṃ kammaṃ parivajjayāma. Tasmā hi amhanti ettha hi-kāro nipātamatto, tena kāraṇena amhākaṃ daharā na mīyanti, antarā akālamaraṇaṃ nāma no natthīti attho. ‘‘Tasmā amha’’ntipi pāṭho. Suṇomāti mayaṃ kiriyavādānaṃ sappurisānaṃ kusaladīpanampi asappurisānaṃ akusaladīpanampi dhammaṃ suṇoma , so pana no sutamattakova hoti, taṃ na rocayāma. Tehi pana no saddhiṃ viggaho vā vivādo vā mā hotūti dhammaṃ suṇāma, sutvāpi hitvā asante sante vattāma, ekampi khaṇaṃ na jahāma sante, pāpamitte pahāya kalyāṇamittasevinova homāti.
สมเณ มยํ พฺราหฺมเณติ มยํ สมิตปาเป พาหิตปาเป ปเจฺจกพุทฺธสมณพฺราหฺมเณปิ อวเสสธมฺมิกสมณพฺราหฺมเณปิ อทฺธิกยาจเก เสสชเนปิ อนฺนปาเนน อภิตเปฺปมาติ อโตฺถฯ ปาฬิยํ ปน อยํ คาถา ‘‘ปุเพฺพว ทานา’’ติ คาถาย ปจฺฉโต อาคตาฯ นาติกฺกมามาติ อตฺตโน ภริยํ อติกฺกมิตฺวา พหิ อญฺญํ มิจฺฉาจารํ น กโรมฯ อญฺญตฺร ตาหีติ ตา อตฺตโน ภริยา ฐเปตฺวา เสสอิตฺถีสุ พฺรหฺมจริยํ จราม, อมฺหากํ ภริยาปิ เสสปุริเสสุ เอวเมว วตฺตนฺติฯ ชายเรติ ชายนฺติฯ สุตฺตมาสูติ สุสีลาสุ อุตฺตมิตฺถีสุฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เย เอตาสุ สมฺปนฺนสีลาสุ อุตฺตมิตฺถีสุ อมฺหากํ ปุตฺตา ชายนฺติ, เต เมธาวิโนติ เอวํปการา โหนฺติ, กุโต เตสํ อนฺตรา มรณํ, ตสฺมาปิ อมฺหากํ กุเล ทหรา น มรนฺตีติฯ ธมฺมํ จรามาติ ปรโลกตฺถาย ติวิธสุจริตธมฺมํ จรามฯ ทาโสฺยติ ทาสิโยฯ
Samaṇe mayaṃ brāhmaṇeti mayaṃ samitapāpe bāhitapāpe paccekabuddhasamaṇabrāhmaṇepi avasesadhammikasamaṇabrāhmaṇepi addhikayācake sesajanepi annapānena abhitappemāti attho. Pāḷiyaṃ pana ayaṃ gāthā ‘‘pubbeva dānā’’ti gāthāya pacchato āgatā. Nātikkamāmāti attano bhariyaṃ atikkamitvā bahi aññaṃ micchācāraṃ na karoma. Aññatra tāhīti tā attano bhariyā ṭhapetvā sesaitthīsu brahmacariyaṃ carāma, amhākaṃ bhariyāpi sesapurisesu evameva vattanti. Jāyareti jāyanti. Suttamāsūti susīlāsu uttamitthīsu. Idaṃ vuttaṃ hoti – ye etāsu sampannasīlāsu uttamitthīsu amhākaṃ puttā jāyanti, te medhāvinoti evaṃpakārā honti, kuto tesaṃ antarā maraṇaṃ, tasmāpi amhākaṃ kule daharā na marantīti. Dhammaṃ carāmāti paralokatthāya tividhasucaritadhammaṃ carāma. Dāsyoti dāsiyo.
อวสาเน –
Avasāne –
๑๐๒.
102.
‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ, ธโมฺม สุจิโณฺณ สุขมาวหติ;
‘‘Dhammo have rakkhati dhammacāriṃ, dhammo suciṇṇo sukhamāvahati;
เอสานิสํโส ธเมฺม สุจิเณฺณ, น ทุคฺคติํ คจฺฉติ ธมฺมจารีฯ
Esānisaṃso dhamme suciṇṇe, na duggatiṃ gacchati dhammacārī.
๑๐๓.
103.
‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ, ฉตฺตํ มหนฺตํ วิย วสฺสกาเล;
‘‘Dhammo have rakkhati dhammacāriṃ, chattaṃ mahantaṃ viya vassakāle;
ธเมฺมน คุโตฺต มม ธมฺมปาโล, อญฺญสฺส อฎฺฐีนิ สุขี กุมาโร’’ติฯ –
Dhammena gutto mama dhammapālo, aññassa aṭṭhīni sukhī kumāro’’ti. –
อิมาหิ ทฺวีหิ คาถาหิ ธมฺมจารีนํ คุณํ กเถสิฯ
Imāhi dvīhi gāthāhi dhammacārīnaṃ guṇaṃ kathesi.
ตตฺถ รกฺขตีติ ธโมฺม นาเมโส รกฺขิโต อตฺตโน รกฺขิตํ ปฎิรกฺขติฯ สุขมาวหตีติ เทวมนุสฺสสุขเญฺจว นิพฺพานสุขญฺจ อาวหติฯ น ทุคฺคตินฺติ นิรยาทิเภทํ ทุคฺคติํ น คจฺฉติฯ เอวํ พฺราหฺมณ, มยํ ธมฺมํ รกฺขาม, ธโมฺมปิ อเมฺห รกฺขตีติ ทเสฺสติฯ ธเมฺมน คุโตฺตติ มหาฉตฺตสทิเสน อตฺตนา โคปิตธเมฺมน คุโตฺตฯ อญฺญสฺส อฎฺฐีนีติ ตยา อานีตานิ อฎฺฐีนิ อญฺญสฺส เอฬกสฺส วา สุนขสฺส วา อฎฺฐีนิ ภวิสฺสนฺติ, ฉเฑฺฑเถตานิ, มม ปุโตฺต สุขี กุมาโรติฯ
Tattha rakkhatīti dhammo nāmeso rakkhito attano rakkhitaṃ paṭirakkhati. Sukhamāvahatīti devamanussasukhañceva nibbānasukhañca āvahati. Naduggatinti nirayādibhedaṃ duggatiṃ na gacchati. Evaṃ brāhmaṇa, mayaṃ dhammaṃ rakkhāma, dhammopi amhe rakkhatīti dasseti. Dhammena guttoti mahāchattasadisena attanā gopitadhammena gutto. Aññassa aṭṭhīnīti tayā ānītāni aṭṭhīni aññassa eḷakassa vā sunakhassa vā aṭṭhīni bhavissanti, chaḍḍethetāni, mama putto sukhī kumāroti.
ตํ สุตฺวา อาจริโย ‘‘มยฺหํ อาคมนํ สุอาคมนํ, สผลํ, โน นิปฺผล’’นฺติ สญฺชาตโสมนโสฺส ธมฺมปาลสฺส ปิตรํ ขมาเปตฺวา ‘‘มยา อาคจฺฉเนฺตน ตุมฺหากํ วีมํสนตฺถาย อิมานิ เอฬกอฎฺฐีนิ อาภตานิ, ปุโตฺต เต อโรโคเยว, ตุมฺหากํ รกฺขิตธมฺมํ มยฺหมฺปิ เทถา’’ติ ปเณฺณ ลิขิตฺวา กติปาหํ ตตฺถ วสิตฺวา ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา ธมฺมปาลํ สพฺพสิปฺปานิ สิกฺขาเปตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน เปเสสิฯ
Taṃ sutvā ācariyo ‘‘mayhaṃ āgamanaṃ suāgamanaṃ, saphalaṃ, no nipphala’’nti sañjātasomanasso dhammapālassa pitaraṃ khamāpetvā ‘‘mayā āgacchantena tumhākaṃ vīmaṃsanatthāya imāni eḷakaaṭṭhīni ābhatāni, putto te arogoyeva, tumhākaṃ rakkhitadhammaṃ mayhampi dethā’’ti paṇṇe likhitvā katipāhaṃ tattha vasitvā takkasilaṃ gantvā dhammapālaṃ sabbasippāni sikkhāpetvā mahantena parivārena pesesi.
สตฺถา สุโทฺธทนมหาราชสฺส อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน ราชา อนาคามิผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ อเหสุํ, อาจริโย สาริปุโตฺต, ปริสา พุทฺธปริสา, ธมฺมปาลกุมาโร ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā suddhodanamahārājassa imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne rājā anāgāmiphale patiṭṭhahi. Tadā mātāpitaro mahārājakulāni ahesuṃ, ācariyo sāriputto, parisā buddhaparisā, dhammapālakumāro pana ahameva ahosinti.
มหาธมฺมปาลชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Mahādhammapālajātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๔๗. มหาธมฺมปาลชาตกํ • 447. Mahādhammapālajātakaṃ