Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๓. มหาโคปาลกสุตฺตวณฺณนา
3. Mahāgopālakasuttavaṇṇanā
๓๔๖. ตตฺถาติ โคปาลกสุเตฺตฯ ติโสฺส กถาติ (อ. นิ. ฎี. ๓.๑๑.๑๗) ติโสฺส อฎฺฐกถา, ติวิธา สุตฺตสฺส อตฺถวณฺณนาติ อโตฺถฯ เอเกกํ ปทํ นาฬํ มูลํ เอติสฺสาติ เอวํสญฺญิตา เอกนาฬิกา, เอเกกํ วา ปทํ นาฬํ อตฺถนิคฺคมนมโคฺค เอติสฺสาติ เอกนาฬิกาฯ เตนาห ‘‘เอเกกปทสฺส อตฺถกถน’’นฺติฯ จตฺตาโร อํสา ภาคา อตฺถสลฺลกฺขณูปายา เอติสฺสาติ จตุรสฺสาฯ เตนาห ‘‘จตุกฺกํ พนฺธิตฺวา กถน’’นฺติฯ นิยมโต นิสินฺนสฺส อารทฺธสฺส วโตฺต สํวโตฺต เอติสฺสา อตฺถีติ นิสินฺนวตฺติกา, ยถารทฺธสฺส อตฺถสฺส วิสุํ วิสุํ ปริโยสาปิกาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ปณฺฑิตํ โคปาลกํ ทเสฺสตฺวา’’ติอาทิฯ เอเกกปทสฺสาติ ปิณฺฑตฺถทสฺสนวเสน พหุนฺนํ ปทานํ เอกชฺฌํ อตฺถํ อกเถตฺวา เอกเมกสฺส ปทสฺส อตฺถวณฺณนาฯ อยํ สพฺพเตฺถว ลพฺภติฯ จตุกฺกํ พนฺธิตฺวาติ กณฺหปเกฺข อุปมูปเมยฺยทฺวยํ, ตถา สุกฺกปเกฺขติ อิทํ จตุกฺกํ โยเชตฺวาฯ อยํ อีทิเสสุ เอว สุเตฺตสุ ลพฺภติฯ ปริโยสานคมนนฺติ เกจิ ตาว อาหุ – ‘‘กณฺหปเกฺข อุปมํ ทเสฺสตฺวา อุปมา จ นาม ยาวเทว อุปเมยฺยสมฺปฎิทานตฺถาติ อุปเมยฺยตฺถํ อาหริตฺวา สํกิเลสปกฺขนิเทฺทโส จ โวทานปกฺขวิภาวนตฺถายาติ สุกฺกปกฺขมฺปิ อุปมูปเมยฺยวิภาเคน อาหริตฺวา สุตฺตตฺถสฺส ปริโยสาปน’’นฺติฯ กณฺหปเกฺข อุปเมยฺยํ ทเสฺสตฺวา ปริโยสานคมนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อปเร ปน ‘‘กณฺหปเกฺข สุกฺกปเกฺข จ ตํตํอุปมูปเมยฺยตฺถานํ วิสุํ วิสุํ ปริโยสาเปตฺวาว กถนํ ปริโยสานคมน’’นฺติ วทนฺติฯ อยนฺติ นิสินฺนวตฺติกาฯ อิธาติ อิมสฺมิํ โคปาลกสุเตฺตฯ สพฺพาจริยานํ อาจิณฺณาติ สเพฺพหิปิ ปุพฺพาจริเยหิ อาจริตา สํวณฺณิตา, ตถา เจว ปาฬิ ปวตฺตาติฯ
346.Tatthāti gopālakasutte. Tisso kathāti (a. ni. ṭī. 3.11.17) tisso aṭṭhakathā, tividhā suttassa atthavaṇṇanāti attho. Ekekaṃ padaṃ nāḷaṃ mūlaṃ etissāti evaṃsaññitā ekanāḷikā, ekekaṃ vā padaṃ nāḷaṃ atthaniggamanamaggo etissāti ekanāḷikā. Tenāha ‘‘ekekapadassa atthakathana’’nti. Cattāro aṃsā bhāgā atthasallakkhaṇūpāyā etissāti caturassā. Tenāha ‘‘catukkaṃ bandhitvā kathana’’nti. Niyamato nisinnassa āraddhassa vatto saṃvatto etissā atthīti nisinnavattikā, yathāraddhassa atthassa visuṃ visuṃ pariyosāpikāti attho. Tenāha ‘‘paṇḍitaṃ gopālakaṃ dassetvā’’tiādi. Ekekapadassāti piṇḍatthadassanavasena bahunnaṃ padānaṃ ekajjhaṃ atthaṃ akathetvā ekamekassa padassa atthavaṇṇanā. Ayaṃ sabbattheva labbhati. Catukkaṃ bandhitvāti kaṇhapakkhe upamūpameyyadvayaṃ, tathā sukkapakkheti idaṃ catukkaṃ yojetvā. Ayaṃ īdisesu eva suttesu labbhati. Pariyosānagamananti keci tāva āhu – ‘‘kaṇhapakkhe upamaṃ dassetvā upamā ca nāma yāvadeva upameyyasampaṭidānatthāti upameyyatthaṃ āharitvā saṃkilesapakkhaniddeso ca vodānapakkhavibhāvanatthāyāti sukkapakkhampi upamūpameyyavibhāgena āharitvā suttatthassa pariyosāpana’’nti. Kaṇhapakkhe upameyyaṃ dassetvā pariyosānagamanādīsupi eseva nayo. Apare pana ‘‘kaṇhapakkhe sukkapakkhe ca taṃtaṃupamūpameyyatthānaṃ visuṃ visuṃ pariyosāpetvāva kathanaṃ pariyosānagamana’’nti vadanti. Ayanti nisinnavattikā. Idhāti imasmiṃ gopālakasutte. Sabbācariyānaṃ āciṇṇāti sabbehipi pubbācariyehi ācaritā saṃvaṇṇitā, tathā ceva pāḷi pavattāti.
องฺคียนฺติ อวยวภาเวน ญายนฺตีติ องฺคานิ, ภาคาฯ ตานิ ปเนตฺถ ยสฺมา สาวชฺชสภาวานิ, ตสฺมา อาห ‘‘อเงฺคหีติ อคุณโกฎฺฐาเสหี’’ติฯ โคมณฺฑลนฺติ โคสมูหํฯ ปริหริตุนฺติ รกฺขิตุํฯ ตํ ปน ปริหรณํ ปริคฺคเหตฺวา วิจรณนฺติ อาห ‘‘ปริคฺคเหตฺวา วิจริตุ’’นฺติฯ วฑฺฒินฺติ คุนฺนํ พหุภาวํ พหุโครสตาสงฺขาตํ ปริวุทฺธิํฯ ‘‘เอตฺตกมิท’’นฺติ รูปียตีติ รูปํ, ปริมานปริเจฺฉโทปิ สรีรรูปมฺปีติ อาห ‘‘คณนโต วา วณฺณโต วา’’ติฯ น ปริเยสติ วินฎฺฐภาวเสฺสว อชานนโตฯ นีลาติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถฯ เตน เสตสพลาทิวณฺณํ สงฺคณฺหาติฯ
Aṅgīyanti avayavabhāvena ñāyantīti aṅgāni, bhāgā. Tāni panettha yasmā sāvajjasabhāvāni, tasmā āha ‘‘aṅgehīti aguṇakoṭṭhāsehī’’ti. Gomaṇḍalanti gosamūhaṃ. Pariharitunti rakkhituṃ. Taṃ pana pariharaṇaṃ pariggahetvā vicaraṇanti āha ‘‘pariggahetvā vicaritu’’nti. Vaḍḍhinti gunnaṃ bahubhāvaṃ bahugorasatāsaṅkhātaṃ parivuddhiṃ. ‘‘Ettakamida’’nti rūpīyatīti rūpaṃ, parimānaparicchedopi sarīrarūpampīti āha ‘‘gaṇanato vā vaṇṇato vā’’ti. Na pariyesati vinaṭṭhabhāvasseva ajānanato. Nīlāti ettha iti-saddo ādiattho. Tena setasabalādivaṇṇaṃ saṅgaṇhāti.
ธนุสตฺติสูลาทีติ เอตฺถ อิสฺสาสาจริยานํ คาวีสุ กตํ ธนุลกฺขณํฯ กุมารภตฺติคณานํ คาวีสุ กตํ สตฺติลกฺขณํฯ อิสฺสรภตฺติคณานํ คาวีสุ กตํ สูลลกฺขณนฺติ โยชนาฯ อาทิ-สเทฺทน รามวาสุเทวคณาทีนํ คาวีสุ กตํ ผรสุจกฺกาทิลกฺขณํ สงฺคณฺหาติฯ
Dhanusattisūlādīti ettha issāsācariyānaṃ gāvīsu kataṃ dhanulakkhaṇaṃ. Kumārabhattigaṇānaṃ gāvīsu kataṃ sattilakkhaṇaṃ. Issarabhattigaṇānaṃ gāvīsu kataṃ sūlalakkhaṇanti yojanā. Ādi-saddena rāmavāsudevagaṇādīnaṃ gāvīsu kataṃ pharasucakkādilakkhaṇaṃ saṅgaṇhāti.
นีลมกฺขิกาติ ปิงฺคลมกฺขิกา, ขุทฺทมกฺขิกา เอว วาฯ สฎติ รุชติ เอตายาติ สาฎิกา, สํวทฺธา สาฎิกาติ อาสาฎิกาฯ เตนาห ‘‘วฑฺฒนฺตี’’ติอาทิฯ
Nīlamakkhikāti piṅgalamakkhikā, khuddamakkhikā eva vā. Saṭati rujati etāyāti sāṭikā, saṃvaddhā sāṭikāti āsāṭikā. Tenāha ‘‘vaḍḍhantī’’tiādi.
วาเกนาติ วากปเตฺตนฯ จีรเกนาติ ปิโลติเกนฯ อโนฺตวเสฺสติ วสฺสกาลสฺส อพฺภนฺตเรฯ นิคฺคาหนฺติ สุสุมาราทิคฺคาหรหิตํฯ ปีตนฺติ ปานียสฺส ปีตภาวํฯ สีหพฺยคฺฆาทิปริสฺสเยน สาสโงฺก สปฺปฎิภโยฯ
Vākenāti vākapattena. Cīrakenāti pilotikena. Antovasseti vassakālassa abbhantare. Niggāhanti susumārādiggāharahitaṃ. Pītanti pānīyassa pītabhāvaṃ. Sīhabyagghādiparissayena sāsaṅko sappaṭibhayo.
ปญฺจ อหานิ ภูตานิ เอตสฺสาติ ปญฺจาหิโต, โส เอว วาโรติ ปญฺจาหิกวาโรฯ เอวํ สตฺตาหิกวาโรติ เวทิตโพฺพฯ จิณฺณฎฺฐานนฺติ จริตฎฺฐานํ โคจรคฺคหิตฎฺฐานํฯ
Pañca ahāni bhūtāni etassāti pañcāhito, so eva vāroti pañcāhikavāro. Evaṃ sattāhikavāroti veditabbo. Ciṇṇaṭṭhānanti caritaṭṭhānaṃ gocaraggahitaṭṭhānaṃ.
ปิตุฎฺฐานนฺติ ปิตรา กาตพฺพฎฺฐานํ, ปิตรา กาตพฺพกรณนฺติ อโตฺถฯ ยถารุจิํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตีติ คุนฺนํ รุจิอนุรูปํ โคจรภูมิยํ วา นทิปารํ วา คเหตฺวา คจฺฉนฺติฯ โคภตฺตนฺติ กปฺปาสฎฺฐิกาทิมิสฺสํ โคภุญฺชิตพฺพํ ภตฺตํ, ภตฺตคฺคหเณเนว ยาคุปิ คหิตาฯ
Pituṭṭhānanti pitarā kātabbaṭṭhānaṃ, pitarā kātabbakaraṇanti attho. Yathāruciṃ gahetvā gacchantīti gunnaṃ rucianurūpaṃ gocarabhūmiyaṃ vā nadipāraṃ vā gahetvā gacchanti. Gobhattanti kappāsaṭṭhikādimissaṃ gobhuñjitabbaṃ bhattaṃ, bhattaggahaṇeneva yāgupi gahitā.
๓๔๗. ‘‘ทฺวีหากาเรหี’’ติ วุตฺตํ อาการทฺวยํ ทเสฺสตุํ ‘‘คณนโต วา สมุฎฺฐานโต วา’’ติ วุตฺตํฯ เอวํ ปาฬิยํ อาคตาติ ‘‘อุปจโย สนฺตตี’’ติ ชาติํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา หทยวตฺถุํ อคฺคเหตฺวา ‘‘ทส อายตนานิ ปญฺจทส สุขุมรูปานี’’ติ เอวํ รูปกณฺฑปาฬิยํ (ธ. ส. ๖๕๑-๖๕๕) อาคตาฯ ปญฺจวีสติ รูปโกฎฺฐาสาติ สลกฺขณโต อญฺญมญฺญสงฺกราภาวโต รูปภาคาฯ รูปโกฎฺฐาสาติ วา วิสุํ วิสุํ อปฺปวตฺติตฺวา กลาปภาเวเนว ปวตฺตนโต รูปกลาปาฯ โกฎฺฐาสาติ จ อํสา, อวยวาติ อโตฺถฯ โกฎฺฐนฺติ วา สรีรํ, ตสฺส อํสา เกสาทโย โกฎฺฐาสาติ อเญฺญปิ อวยวา โกฎฺฐาสา วิย โกฎฺฐาสาฯ เสยฺยถาปีติ อุปมาสํสนฺทนํฯ ตตฺถ รูปํ ปริคฺคเหตฺวาติ ยถาวุตฺตํ รูปํ สลกฺขณโต ญาเณน ปริคฺคณฺหิตฺวาฯ อรูปํ ววตฺถเปตฺวาติ ตํ รูปํ นิสฺสาย อารมฺมณญฺจ กตฺวา ปวตฺตมาเน เวทนาทิเก จตฺตาโร ขเนฺธ ‘‘อรูป’’นฺติ ววตฺถเปตฺวาฯ รูปารูปํ ปริคฺคเหตฺวาติ ปุน ตตฺถ ยํ รุปฺปนลกฺขณํ, ตํ รูปํ, ตทญฺญํ อรูปํ, อุภยวินิมุตฺตํ กิญฺจิ นตฺถิ อตฺตา วา อตฺตนิยํ วาติ เอวํ รูปารูปํ ปริคฺคเหตฺวาฯ ตทุภยญฺจ อวิชฺชาทินา ปจฺจเยน สปฺปจฺจยนฺติ ปจฺจยํ สลฺลเกฺขตฺวา อนิจฺจาทิลกฺขณํ อาโรเปตฺวา โย กลาปสมฺมสนาทิกฺกเมน กมฺมฎฺฐานํ มตฺถกํ ปาเปตุํ น สโกฺกติ, โส น วฑฺฒตีติ โยชนาฯ
347.‘‘Dvīhākārehī’’ti vuttaṃ ākāradvayaṃ dassetuṃ ‘‘gaṇanato vā samuṭṭhānato vā’’ti vuttaṃ. Evaṃ pāḷiyaṃ āgatāti ‘‘upacayo santatī’’ti jātiṃ dvidhā bhinditvā hadayavatthuṃ aggahetvā ‘‘dasa āyatanāni pañcadasa sukhumarūpānī’’ti evaṃ rūpakaṇḍapāḷiyaṃ (dha. sa. 651-655) āgatā. Pañcavīsati rūpakoṭṭhāsāti salakkhaṇato aññamaññasaṅkarābhāvato rūpabhāgā. Rūpakoṭṭhāsāti vā visuṃ visuṃ appavattitvā kalāpabhāveneva pavattanato rūpakalāpā. Koṭṭhāsāti ca aṃsā, avayavāti attho. Koṭṭhanti vā sarīraṃ, tassa aṃsā kesādayo koṭṭhāsāti aññepi avayavā koṭṭhāsā viya koṭṭhāsā. Seyyathāpīti upamāsaṃsandanaṃ. Tattha rūpaṃ pariggahetvāti yathāvuttaṃ rūpaṃ salakkhaṇato ñāṇena pariggaṇhitvā. Arūpaṃ vavatthapetvāti taṃ rūpaṃ nissāya ārammaṇañca katvā pavattamāne vedanādike cattāro khandhe ‘‘arūpa’’nti vavatthapetvā. Rūpārūpaṃ pariggahetvāti puna tattha yaṃ ruppanalakkhaṇaṃ, taṃ rūpaṃ, tadaññaṃ arūpaṃ, ubhayavinimuttaṃ kiñci natthi attā vā attaniyaṃ vāti evaṃ rūpārūpaṃ pariggahetvā. Tadubhayañca avijjādinā paccayena sappaccayanti paccayaṃ sallakkhetvā aniccādilakkhaṇaṃ āropetvā yo kalāpasammasanādikkamena kammaṭṭhānaṃ matthakaṃ pāpetuṃ na sakkoti, so na vaḍḍhatīti yojanā.
เอตฺตกํ รูปํ เอกสมุฎฺฐานนฺติ จกฺขายตนํ, โสตฆานชิวฺหากายายตนํ อิตฺถินฺทฺริยํ ปุริสินฺทฺริยํ ชีวิตินฺทฺริยนฺติ อฎฺฐวิธํ กมฺมวเสน, กายวิญฺญตฺติ วจีวิญฺญตฺตีติ อิทํ ทฺวยํ จิตฺตวเสนาติ เอตฺตกํ รูปํ เอกสมุฎฺฐานํฯ สทฺทายตนเมกํ อุตุจิตฺตวเสน ทฺวิสมุฎฺฐานํฯ รูปสฺส ลหุตา มุทุตา กมฺมญฺญตาติ เอตฺตกํ รูปํ อุตุจิตฺตาหารวเสน ติสมุฎฺฐานํฯ รูปคนฺธรสโผฎฺฐพฺพายตนํ อากาสธาตุ อาโปธาตุ กพฬีกาโร อาหาโรติ เอตฺตกํ รูปํ อุตุจิตฺตาหารกมฺมวเสน จตุสมุฎฺฐานํฯ อุปจโย สนฺตติ ชรตา รูปสฺส อนิจฺจตาติ เอตฺตกํ รูปํ น กุโตจิ สมุฎฺฐาตีติ น ชานาติฯ สมุฎฺฐานโต รูปํ อชานโนฺตติอาทีสุ วตฺตพฺพํ ‘‘คณนโต รูปํ อชานโนฺต’’ติอาเทสุ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
Ettakaṃrūpaṃ ekasamuṭṭhānanti cakkhāyatanaṃ, sotaghānajivhākāyāyatanaṃ itthindriyaṃ purisindriyaṃ jīvitindriyanti aṭṭhavidhaṃ kammavasena, kāyaviññatti vacīviññattīti idaṃ dvayaṃ cittavasenāti ettakaṃ rūpaṃ ekasamuṭṭhānaṃ. Saddāyatanamekaṃ utucittavasena dvisamuṭṭhānaṃ. Rūpassa lahutā mudutā kammaññatāti ettakaṃ rūpaṃ utucittāhāravasena tisamuṭṭhānaṃ. Rūpagandharasaphoṭṭhabbāyatanaṃ ākāsadhātu āpodhātu kabaḷīkāro āhāroti ettakaṃ rūpaṃ utucittāhārakammavasena catusamuṭṭhānaṃ. Upacayo santati jaratā rūpassa aniccatāti ettakaṃ rūpaṃ na kutoci samuṭṭhātīti na jānāti. Samuṭṭhānato rūpaṃ ajānantotiādīsu vattabbaṃ ‘‘gaṇanato rūpaṃ ajānanto’’tiādesu vuttanayeneva veditabbaṃ.
กมฺมลกฺขโณติ อตฺตนา กตํ ทุจฺจริตกมฺมํ ลกฺขณํ เอตสฺสาติ กมฺมลกฺขโณ, พาโลฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, พาลสฺส พาลลกฺขณานิฯ กตมานิ ตีณิ? ทุจฺจินฺติตจินฺตี โหติ, ทุพฺภาสิตภาสี, ทุกฺกฎกมฺมการีฯ อิมานิ โข…เป.… ลกฺขณานี’’ติ (อ. นิ. ๓.๒; เนตฺติ. ๑๑๖)ฯ อตฺตนา กตํ สุจริตกมฺมํ ลกฺขณํ เอตสฺสาติ กมฺมลกฺขโณ, ปณฺฑิโตฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตสฺส ปณฺฑิตลกฺขณานิฯ กตมานิ ตีณิ? สุจินฺติตจินฺตี โหติ, สุภาสิตภาสี, สุกตกมฺมการีฯ อิมานิ โข…เป.… ปณฺฑิตลกฺขณานี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๕๓; อ. นิ. ๓.๓; เนตฺติ. ๑๑๖)ฯ เตนาห ‘‘กุสลากุสลํ กมฺมํ ปณฺฑิตมาลลกฺขณ’’นฺติฯ พาเล วเชฺชตฺวา ปณฺฑิเต น เสวตีติ ยํ พาลปุคฺคเล วเชฺชตฺวา ปณฺฑิตเสวนํ อตฺถกาเมน กาตพฺพํ, ตํ น กโรติฯ ตถาภูตสฺส อยมาทีนโวติ ทเสฺสตุํ ปุน ‘‘พาเล วเชฺชตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยํ ภควตา ‘‘อิทํ โว กปฺปตี’’ติ อนุญฺญาตํ, ตทนุโลมเญฺจ, ตํ กปฺปิยํฯ ยํ ‘‘อิทํ โว น กปฺปตี’’ติ ปฎิกฺขิตฺตํ, ตทนุโลมเญฺจ, ตํ อกปฺปิยํฯ ยํ โกสลฺลสมฺภูตํ, ตํ กุสลํ, ตปฺปฎิปกฺขํ อกุสลํฯ ตเทว สาวชฺชํ, กุสลํ อนวชฺชํฯ อาปตฺติโต อาทิโต เทฺว อาปตฺติกฺขนฺธา ครุกํ, ตทญฺญํ ลหุกํฯ ธมฺมโต มหาสาวชฺชํ ครุกํ, อปฺปสาวชฺชํ ลหุกํฯ สปฺปฎิการํ สเตกิจฺจํ, อปฺปฎิการํ อเตกิจฺฉํฯ ธมฺมตานุคตํ การณํ, อิตรํ อการณํฯ ตํ อชานโนฺตติ กปฺปิยากปฺปิยํ ครุกลหุกํ สเตกิจฺฉาเตกิจฺฉํ อชานโนฺต สุวิสุทฺธํ กตฺวา สีลํ รกฺขิตุํ น สโกฺกติ, กุสลากุสลํ สาวชฺชานวชฺชํ การณาการณํ อชานโนฺต ขนฺธาทีสุ อกุสลตาย รูปารูปปริคฺคหมฺปิ กาตุํ น สโกฺกติ, กุโต ตสฺส กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วฑฺฒนาฯ เตนาห ‘‘กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วเฑฺฒตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ
Kammalakkhaṇoti attanā kataṃ duccaritakammaṃ lakkhaṇaṃ etassāti kammalakkhaṇo, bālo. Vuttañhetaṃ – ‘‘tīṇimāni, bhikkhave, bālassa bālalakkhaṇāni. Katamāni tīṇi? Duccintitacintī hoti, dubbhāsitabhāsī, dukkaṭakammakārī. Imāni kho…pe… lakkhaṇānī’’ti (a. ni. 3.2; netti. 116). Attanā kataṃ sucaritakammaṃ lakkhaṇaṃ etassāti kammalakkhaṇo, paṇḍito. Vuttampi cetaṃ – ‘‘tīṇimāni, bhikkhave, paṇḍitassa paṇḍitalakkhaṇāni. Katamāni tīṇi? Sucintitacintī hoti, subhāsitabhāsī, sukatakammakārī. Imāni kho…pe… paṇḍitalakkhaṇānī’’ti (ma. ni. 3.253; a. ni. 3.3; netti. 116). Tenāha ‘‘kusalākusalaṃ kammaṃ paṇḍitamālalakkhaṇa’’nti. Bāle vajjetvā paṇḍite na sevatīti yaṃ bālapuggale vajjetvā paṇḍitasevanaṃ atthakāmena kātabbaṃ, taṃ na karoti. Tathābhūtassa ayamādīnavoti dassetuṃ puna ‘‘bāle vajjetvā’’tiādi vuttaṃ. Tattha yaṃ bhagavatā ‘‘idaṃ vo kappatī’’ti anuññātaṃ, tadanulomañce, taṃ kappiyaṃ. Yaṃ ‘‘idaṃ vo na kappatī’’ti paṭikkhittaṃ, tadanulomañce, taṃ akappiyaṃ. Yaṃ kosallasambhūtaṃ, taṃ kusalaṃ, tappaṭipakkhaṃ akusalaṃ. Tadeva sāvajjaṃ, kusalaṃ anavajjaṃ. Āpattito ādito dve āpattikkhandhā garukaṃ, tadaññaṃ lahukaṃ. Dhammato mahāsāvajjaṃ garukaṃ, appasāvajjaṃ lahukaṃ. Sappaṭikāraṃ satekiccaṃ, appaṭikāraṃ atekicchaṃ. Dhammatānugataṃ kāraṇaṃ, itaraṃ akāraṇaṃ. Taṃ ajānantoti kappiyākappiyaṃ garukalahukaṃ satekicchātekicchaṃ ajānanto suvisuddhaṃ katvā sīlaṃ rakkhituṃ na sakkoti, kusalākusalaṃ sāvajjānavajjaṃ kāraṇākāraṇaṃ ajānanto khandhādīsu akusalatāya rūpārūpapariggahampi kātuṃ na sakkoti, kuto tassa kammaṭṭhānaṃ gahetvā vaḍḍhanā. Tenāha ‘‘kammaṭṭhānaṃ gahetvā vaḍḍhetuṃ na sakkotī’’ti.
โควณสทิเส อตฺตภาเว อุปฺปชฺชิตฺวา ตตฺถ ทุกฺขุปฺปตฺติเหตุโต มิจฺฉาวิตกฺกา อาสาฎิกา วิยาติ อาสาฎิกาติ อาห ‘‘อกุสลวิตกฺกํ อาสาฎิกํ อหาเรตฺวา’’ติฯ
Govaṇasadise attabhāve uppajjitvā tattha dukkhuppattihetuto micchāvitakkā āsāṭikā viyāti āsāṭikāti āha ‘‘akusalavitakkaṃ āsāṭikaṃ ahāretvā’’ti.
‘‘คโณฺฑติ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจเนฺนตํ อุปาทานกฺขนฺธานํ อธิวจน’’นฺติ วจนโต (อ. นิ. ๘.๕๖) ฉหิ วณมุเขหิ วิสฺสนฺทมานยูโส คโณฺฑ วิย ปิโลติกขเณฺฑน ฉหิ ทฺวาเรหิ วิสฺสนฺทมานกิเลสาสุจิ อตฺตภาววโณ สติสํวเรน ปิทหิตโพฺพ, อยํ ปน เอวํ น กโรตีติ อาห ‘‘ยถา โส โคปาลโก วณํ น ปฎิจฺฉาเทติ, เอวํ สํวรํ น สมฺปาเทตี’’ติฯ
‘‘Gaṇḍoti kho, bhikkhave, pañcannetaṃ upādānakkhandhānaṃ adhivacana’’nti vacanato (a. ni. 8.56) chahi vaṇamukhehi vissandamānayūso gaṇḍo viya pilotikakhaṇḍena chahi dvārehi vissandamānakilesāsuci attabhāvavaṇo satisaṃvarena pidahitabbo, ayaṃ pana evaṃ na karotīti āha ‘‘yathā so gopālako vaṇaṃ na paṭicchādeti, evaṃ saṃvaraṃ na sampādetī’’ti.
ยถา ธูโม อินฺธนํ นิสฺสาย อุปฺปชฺชมาโน สโณฺห สุขุโม ตํ ตํ วิวรํ อนุปวิสฺส พฺยาเปโนฺต สตฺตานํ ฑํสมกสาทิปริสฺสยํ วิโนเทติ, อคฺคิชาลสมุฎฺฐานสฺส ปุพฺพงฺคโม โหติ, เอวํ ธมฺมเทสนาญาณสฺส อินฺธนภูตํ รูปารูปธมฺมชาตํ นิสฺสาย อุปฺปชฺชมานา สณฺหา สุขุมา ตํ ตํ ขนฺธนฺตรํ อายตนนฺตรญฺจ อนุปวิสฺส พฺยาเปติ, สตฺตานํ มิจฺฉาวิตกฺกาทิปริสฺสยํ วิโนเทติ, ญาณคฺคิชาลสมุฎฺฐานสฺส ปุพฺพงฺคโมติ ธูโม วิยาติ ธูโมติ อาห ‘‘โคปาลโก ธูมํ วิย ธมฺมเทสนาธูมํ น กโรตี’’ติฯ อตฺตโน สนฺติกํ อุปคนฺตฺวา นิสินฺนสฺส กาตพฺพา ตทนุจฺฉวิกา ธมฺมกถา อุปนิสินฺนกถาฯ กตสฺส ทานาทิปุญฺญสฺส อนุโมทนกถา อนุโมทนาฯ ตโตติ ธมฺมกถาทีนํ อกรณโตฯ ‘‘พหุสฺสุโต คุณวา’’ติ น ชานนฺตีติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ อตฺตโน ชานาปนตฺถํ ธมฺมกถาทิ น กาตพฺพเมวาติ? สจฺจํ, น กาตพฺพเมว, สุทฺธาสเยน ปน ธเมฺม กถิเต ตสฺส คุณชานนตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ เตนาห ภควา –
Yathā dhūmo indhanaṃ nissāya uppajjamāno saṇho sukhumo taṃ taṃ vivaraṃ anupavissa byāpento sattānaṃ ḍaṃsamakasādiparissayaṃ vinodeti, aggijālasamuṭṭhānassa pubbaṅgamo hoti, evaṃ dhammadesanāñāṇassa indhanabhūtaṃ rūpārūpadhammajātaṃ nissāya uppajjamānā saṇhā sukhumā taṃ taṃ khandhantaraṃ āyatanantarañca anupavissa byāpeti, sattānaṃ micchāvitakkādiparissayaṃ vinodeti, ñāṇaggijālasamuṭṭhānassa pubbaṅgamoti dhūmo viyāti dhūmoti āha ‘‘gopālako dhūmaṃ viya dhammadesanādhūmaṃ na karotī’’ti. Attano santikaṃ upagantvā nisinnassa kātabbā tadanucchavikā dhammakathā upanisinnakathā. Katassa dānādipuññassa anumodanakathā anumodanā. Tatoti dhammakathādīnaṃ akaraṇato. ‘‘Bahussuto guṇavā’’ti na jānantīti kasmā vuttaṃ, nanu attano jānāpanatthaṃ dhammakathādi na kātabbamevāti? Saccaṃ, na kātabbameva, suddhāsayena pana dhamme kathite tassa guṇajānanataṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Tenāha bhagavā –
‘‘นาภาสมานํ ชานนฺติ, มิสฺสํ พาเลหิ ปณฺฑิตํ;
‘‘Nābhāsamānaṃ jānanti, missaṃ bālehi paṇḍitaṃ;
ภาสเย โชตเย ธมฺมํ, ปคฺคเณฺห อิสินํ ธช’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๒.๒๔๑);
Bhāsaye jotaye dhammaṃ, paggaṇhe isinaṃ dhaja’’nti. (saṃ. ni. 2.241);
ตรนฺติ เอตฺถาติ ติตฺถํ, นทีตฬากาทีนํ นหานาทิอตฺถํ โอตรณฎฺฐานํฯ ยถา ปน ตํ อุทเกน โอติณฺณสตฺตานํ สรีรมลํ ปวาเหติ, ปริสฺสมํ วิโนเทติ, วิสุทฺธิํ อุปฺปาเทติ, เอวํ พหุสฺสุตา อตฺตโน สมีปํ โอติณฺณสตฺตานํ ธมฺมูทเกน จิตฺตมลํ ปวาเหนฺติ, ปริสฺสมํ วิโนเทนฺติ, วิสุทฺธิํ อุปฺปาเทนฺติ, ตสฺมา เต ติตฺถํ วิยาติ ติตฺถํฯ เตนาห ‘‘ติตฺถภูเต พหุสฺสุตภิกฺขู’’ติฯ พฺยญฺชนํ กถํ โรเปตพฺพนฺติ, ภเนฺต, อิทํ พฺยญฺชนํ อยํ สโทฺท กถํ อิมสฺมิํ อเตฺถ โรเปตโพฺพ, เกน ปกาเรน อิมสฺส อตฺถสฺส วาจโก ชาโตฯ ‘‘นิรูเปตพฺพ’’นฺติ วา ปาโฐ, นิรูเปตพฺพํ อยํ สภาวนิรุตฺติ กถเมตฺถ นิรุฬฺหาติ อธิปฺปาโยฯ อิมสฺส ภาสิตสฺส โก อโตฺถติ สทฺทตฺถํ ปุจฺฉติฯ อิมสฺมิํ ฐาเนติ อิมสฺมิํ ปาฬิปเทเสฯ ปาฬิ กิํ วเทตีติ ภาวตฺถํ ปุจฺฉติฯ อโตฺถ กิํ ทีเปตีติ ภาวตฺถํ วา สเงฺกตตฺถํ วาฯ น ปริปุจฺฉตีติ วิมติเจฺฉทนปุจฺฉาวเสน สพฺพโส ปุจฺฉํ น กโรติฯ น ปริปญฺหตีติ ปริ ปริ อตฺตโน ญาตุํ อิจฺฉํ น อาจิกฺขติ น วิภาเวติฯ เตนาห ‘‘น ชานาเปตี’’ติฯ เตติ พหุสฺสุตภิกฺขูฯ วิวรณํ นาม อตฺถสฺส วิภชิตฺวา กถนนฺติ อาห ‘‘ภาเชตฺวา น ทเสฺสนฺตี’’ติฯ อนุตฺตานีกตนฺติ ญาเณน อปากฎีกตํ คุยฺหํ ปฎิจฺฉนฺนํฯ น อุตฺตานีกโรนฺตีติ สิเนรุมูลกํ วาลิกํ อุทฺธรโนฺต วิย ปถวีสนฺธาโรทกํ วิวริตฺวา ทเสฺสโนฺต วิย จ อุตฺตานํ น กโรนฺติฯ เอวํ ยสฺส ธมฺมสฺส วเสน พหุสฺสุตา ‘‘ติตฺถ’’นฺติ วุตฺตา ปริยายโต, อิทานิ ตเมว ธมฺมํ นิปฺปริยายโต ติตฺถนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยถา จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ธโมฺม หิ ตรนฺติ เอเตน นิพฺพานํ นาม ตฬากนฺติ ‘‘ติตฺถ’’นฺติ วุจฺจติฯ เตนาห ภควา สุเมธภูโต –
Taranti etthāti titthaṃ, nadītaḷākādīnaṃ nahānādiatthaṃ otaraṇaṭṭhānaṃ. Yathā pana taṃ udakena otiṇṇasattānaṃ sarīramalaṃ pavāheti, parissamaṃ vinodeti, visuddhiṃ uppādeti, evaṃ bahussutā attano samīpaṃ otiṇṇasattānaṃ dhammūdakena cittamalaṃ pavāhenti, parissamaṃ vinodenti, visuddhiṃ uppādenti, tasmā te titthaṃ viyāti titthaṃ. Tenāha ‘‘titthabhūte bahussutabhikkhū’’ti. Byañjanaṃ kathaṃ ropetabbanti, bhante, idaṃ byañjanaṃ ayaṃ saddo kathaṃ imasmiṃ atthe ropetabbo, kena pakārena imassa atthassa vācako jāto. ‘‘Nirūpetabba’’nti vā pāṭho, nirūpetabbaṃ ayaṃ sabhāvanirutti kathamettha niruḷhāti adhippāyo. Imassa bhāsitassa ko atthoti saddatthaṃ pucchati. Imasmiṃ ṭhāneti imasmiṃ pāḷipadese. Pāḷi kiṃ vadetīti bhāvatthaṃ pucchati. Attho kiṃ dīpetīti bhāvatthaṃ vā saṅketatthaṃ vā. Na paripucchatīti vimaticchedanapucchāvasena sabbaso pucchaṃ na karoti. Na paripañhatīti pari pari attano ñātuṃ icchaṃ na ācikkhati na vibhāveti. Tenāha ‘‘na jānāpetī’’ti. Teti bahussutabhikkhū. Vivaraṇaṃ nāma atthassa vibhajitvā kathananti āha ‘‘bhājetvā na dassentī’’ti. Anuttānīkatanti ñāṇena apākaṭīkataṃ guyhaṃ paṭicchannaṃ. Na uttānīkarontīti sinerumūlakaṃ vālikaṃ uddharanto viya pathavīsandhārodakaṃ vivaritvā dassento viya ca uttānaṃ na karonti. Evaṃ yassa dhammassa vasena bahussutā ‘‘tittha’’nti vuttā pariyāyato, idāni tameva dhammaṃ nippariyāyato titthanti dassetuṃ ‘‘yathā cā’’tiādi vuttaṃ. Dhammo hi taranti etena nibbānaṃ nāma taḷākanti ‘‘tittha’’nti vuccati. Tenāha bhagavā sumedhabhūto –
‘‘เอวํ กิเลสมลโธวํ, วิชฺชเนฺต อมตนฺตเฬ;
‘‘Evaṃ kilesamaladhovaṃ, vijjante amatantaḷe;
น คเวสติ ตํ ตฬากํ, น โทโส อมตนฺตเฬ’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๑๔);
Na gavesati taṃ taḷākaṃ, na doso amatantaḷe’’ti. (bu. vaṃ. 2.14);
ธมฺมเสฺสว นิพฺพานโสฺสตรณติตฺถภูตสฺส โอตรณปการํ อชานโนฺต ‘‘ธมฺมติตฺถํ น ชานาตี’’ติ วุโตฺตฯ
Dhammasseva nibbānassotaraṇatitthabhūtassa otaraṇapakāraṃ ajānanto ‘‘dhammatitthaṃ na jānātī’’ti vutto.
ปีตาปีตนฺติ โคคเณ ปีตํ อปีตญฺจ โครูปํ น ชานาติ น วินฺทติฯ อวินฺทโนฺต หิ น ลภตีติ วุโตฺตฯ ‘‘อานิสํสํ น วินฺทตี’’ติ วตฺวา ตสฺส อวินฺทนาการํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ธมฺมสฺสวนคฺคํ คนฺตฺวา’’ติอาทิมาหฯ
Pītāpītanti gogaṇe pītaṃ apītañca gorūpaṃ na jānāti na vindati. Avindanto hi na labhatīti vutto. ‘‘Ānisaṃsaṃ na vindatī’’ti vatvā tassa avindanākāraṃ dassento ‘‘dhammassavanaggaṃ gantvā’’tiādimāha.
อยํ โลกุตฺตโรติ ปทํ สนฺธายาห ‘‘อริย’’นฺติฯ ปจฺจาสตฺติญาเยน อนนฺตรวิธิปฺปฎิเสโธ วา, อริย-สโทฺท วา นิโทฺทสปริยาโย ทฎฺฐโพฺพฯ อฎฺฐงฺคิกนฺติ จ วิสุํ เอกชฺฌญฺจ อฎฺฐงฺคิกํ อุปาทาย คเหตพฺพํ, อฎฺฐงฺคตา พาหุลฺลโต จฯ เอวญฺจ กตฺวา สตฺตงฺคสฺสปิ อริยมคฺคสฺส สงฺคโห สิโทฺธ โหติฯ
Ayaṃ lokuttaroti padaṃ sandhāyāha ‘‘ariya’’nti. Paccāsattiñāyena anantaravidhippaṭisedho vā, ariya-saddo vā niddosapariyāyo daṭṭhabbo. Aṭṭhaṅgikanti ca visuṃ ekajjhañca aṭṭhaṅgikaṃ upādāya gahetabbaṃ, aṭṭhaṅgatā bāhullato ca. Evañca katvā sattaṅgassapi ariyamaggassa saṅgaho siddho hoti.
จตฺตาโร สติปฎฺฐาเนติอาทีสุ อวิเสเสน สติปฎฺฐานา วุตฺตาฯ ตตฺถ กายเวทนาจิตฺตธมฺมารมฺมณา สติปฎฺฐานา โลกิยา, ตตฺถ สโมฺมหวิทฺธํสนวเสน ปวตฺตา นิพฺพานารมฺมณา โลกุตฺตราติ เอวํ อิเม โลกิยา, อิเม โลกุตฺตราติ ยถาภูตํ น ปชานาติฯ
Cattāro satipaṭṭhānetiādīsu avisesena satipaṭṭhānā vuttā. Tattha kāyavedanācittadhammārammaṇā satipaṭṭhānā lokiyā, tattha sammohaviddhaṃsanavasena pavattā nibbānārammaṇā lokuttarāti evaṃ ime lokiyā, ime lokuttarāti yathābhūtaṃ na pajānāti.
อนวเสสํ ทุหตีติ ปฎิคฺคหเณ มตฺตํ อชานโนฺต กิสฺมิญฺจิ ทายเก สทฺธาหานิยา กิสฺมิญฺจิ ปจฺจยหานิยา อนวเสสํ ทุหติฯ วาจาย อภิหาโร วาจาภิหาโรฯ ปจฺจยานํ อภิหาโร ปจฺจยาภิหาโรฯ
Anavasesaṃ duhatīti paṭiggahaṇe mattaṃ ajānanto kismiñci dāyake saddhāhāniyā kismiñci paccayahāniyā anavasesaṃ duhati. Vācāya abhihāro vācābhihāro. Paccayānaṃ abhihāro paccayābhihāro.
อิเม อเมฺหสุ ครุจิตฺตีการํ น กโรนฺตีติ อิมินา นวกานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมสมฺปฎิปตฺติยา อภาวํ ทเสฺสติ อาจริยุปชฺฌาเยสุ ปิตุเปมสฺส อนุปฎฺฐาปนโตฯ เตน จ สิกฺขาคารวตาภาวทีปเนน สงฺคหสฺส อภาชนภาวํ, เตน เถรานํ เตสุ อนุคฺคหาภาวํฯ น หิ สีลาทิคุเณหิ สาสเน ถิรภาวปฺปตฺตา อนนุคฺคเหตเพฺพ สพฺรหฺมจารี อนุคฺคณฺหนฺติ, นิรตฺถกํ วา อนุคฺคหํ กโรนฺติฯ เตนาห ‘‘นวเก ภิกฺขู’’ติฯ ธมฺมกถาพนฺธนฺติ ปเวณิอาคตํ ปกิณฺณกธมฺมกถามคฺคํฯ สจฺจสตฺตปฎิสนฺธิปจฺจยาการปฎิสํยุตฺตํ สุญฺญตาทีปนํ คุยฺหคนฺถํฯ วุตฺตวิปลฺลาสวเสนาติ ‘‘น รูปญฺญู’’ติอาทีสุ วุตฺตสฺส ปฎิเสธสฺส ปฎิเกฺขปวเสน อคฺคหณวเสนฯ โยเชตฺวาติ ‘‘รูปญฺญู โหตีติ คณนาโต วา วณฺณโต วา รูปํ ชานาตี’’ติอาทินา, ‘‘ตสฺส โคคโณปิ น ปริหายติ, ปญฺจโครสปริโภคโตปิ น ปริพาหิโร โหตี’’ติอาทินา จ อตฺถํ โยเชตฺวาฯ เวทิตโพฺพติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปเทเส ยถารหํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Ime amhesu garucittīkāraṃ na karontīti iminā navakānaṃ bhikkhūnaṃ dhammasampaṭipattiyā abhāvaṃ dasseti ācariyupajjhāyesu pitupemassa anupaṭṭhāpanato. Tena ca sikkhāgāravatābhāvadīpanena saṅgahassa abhājanabhāvaṃ, tena therānaṃ tesu anuggahābhāvaṃ. Na hi sīlādiguṇehi sāsane thirabhāvappattā ananuggahetabbe sabrahmacārī anuggaṇhanti, niratthakaṃ vā anuggahaṃ karonti. Tenāha ‘‘navake bhikkhū’’ti. Dhammakathābandhanti paveṇiāgataṃ pakiṇṇakadhammakathāmaggaṃ. Saccasattapaṭisandhipaccayākārapaṭisaṃyuttaṃ suññatādīpanaṃ guyhaganthaṃ. Vuttavipallāsavasenāti ‘‘na rūpaññū’’tiādīsu vuttassa paṭisedhassa paṭikkhepavasena aggahaṇavasena. Yojetvāti ‘‘rūpaññū hotīti gaṇanāto vā vaṇṇato vā rūpaṃ jānātī’’tiādinā, ‘‘tassa gogaṇopi na parihāyati, pañcagorasaparibhogatopi na paribāhiro hotī’’tiādinā ca atthaṃ yojetvā. Veditabboti tasmiṃ tasmiṃ padese yathārahaṃ attho veditabbo.
มหาโคปาลกสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Mahāgopālakasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๓. มหาโคปาลกสุตฺตํ • 3. Mahāgopālakasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๓. มหาโคปาลกสุตฺตวณฺณนา • 3. Mahāgopālakasuttavaṇṇanā