Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. มหาโคสิงฺคสุตฺตวณฺณนา

    2. Mahāgosiṅgasuttavaṇṇanā

    ๓๓๒. เอวํ เม สุตนฺติ มหาโคสิงฺคสุตฺตํฯ ตตฺถ โคสิงฺคสาลวนทาเยติ อิทํ วสนฎฺฐานทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ อเญฺญสุ หิ สุเตฺตสุ, ‘‘สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติ เอวํ ปฐมํ โคจรคามํ ทเสฺสตฺวา ปจฺฉา วสนฎฺฐานํ ทเสฺสติฯ อิมสฺมิํ ปน มหาโคสิงฺคสุเตฺต ภควโต โคจรคาโม อนิพโนฺธ, โกจิเทว โคจรคาโม ภวิสฺสติฯ ตสฺมา วสนฎฺฐานเมว ปริทีปิตํฯ อรญฺญนิทานกํ นาเมตํ สุตฺตนฺติฯ สมฺพหุเลหีติ พหุเกหิฯ อภิญฺญาเตหิ อภิญฺญาเตหีติ สพฺพตฺถ วิสฺสุเตหิ ปากเฎหิฯ เถเรหิ สาวเกหิ สทฺธินฺติ ปาติโมกฺขสํวราทีหิ ถิรการเกเหว ธเมฺมหิ สมนฺนาคตตฺตา เถเรหิ, สวนเนฺต ชาตตฺตา สาวเกหิ สทฺธิํ เอกโตฯ อิทานิ เต เถเร สรูปโต ทเสฺสโนฺต, อายสฺมตา จ สาริปุเตฺตนาติอาทิมาหฯ ตตฺถายสฺมา สาริปุโตฺต อตฺตโน สีลาทีหิ คุเณหิ พุทฺธสาสเน อภิญฺญาโตฯ จกฺขุมนฺตานํ คคนมเชฺฌ ฐิโต สูริโย วิย จโนฺท วิย, สมุทฺทตีเร ฐิตานํ สาคโร วิย จ ปากโฎ ปญฺญาโตฯ น เกวลญฺจสฺส อิมสฺมิํ สุเตฺต อาคตคุณวเสเนว มหนฺตตา เวทิตพฺพา, อิโต อเญฺญสํ ธมฺมทายาทสุตฺตํ อนงฺคณสุตฺตํ สมฺมาทิฎฺฐิสุตฺตํ สีหนาทสุตฺตํ รถวินีตํ มหาหตฺถิปโทปมํ มหาเวทลฺลํ จาตุมสุตฺตํ ทีฆนขํ อนุปทสุตฺตํ เสวิตพฺพาเสวิตพฺพสุตฺตํ สจฺจวิภงฺคสุตฺตํ ปิณฺฑปาตปาริสุทฺธิ สมฺปสาทนียํ สงฺคีติสุตฺตํ ทสุตฺตรสุตฺตํ ปวารณาสุตฺตํ (สํ. นิ. ๑.๒๑๕ อาทโย) สุสิมสุตฺตํ เถรปญฺหสุตฺตํ มหานิเทฺทโส ปฎิสมฺภิทามโคฺค เถรสีหนาทสุตฺตํ อภินิกฺขมนํ เอตทคฺคนฺติ อิเมสมฺปิ สุตฺตานํ วเสน เถรสฺส มหนฺตตา เวทิตพฺพาฯ เอตทคฺคสฺมิญฺหิ, ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ มหาปญฺญานํ ยทิทํ สาริปุโตฺต’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๘๘-๑๘๙) วุตฺตํฯ

    332.Evaṃme sutanti mahāgosiṅgasuttaṃ. Tattha gosiṅgasālavanadāyeti idaṃ vasanaṭṭhānadassanatthaṃ vuttaṃ. Aññesu hi suttesu, ‘‘sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti evaṃ paṭhamaṃ gocaragāmaṃ dassetvā pacchā vasanaṭṭhānaṃ dasseti. Imasmiṃ pana mahāgosiṅgasutte bhagavato gocaragāmo anibandho, kocideva gocaragāmo bhavissati. Tasmā vasanaṭṭhānameva paridīpitaṃ. Araññanidānakaṃ nāmetaṃ suttanti. Sambahulehīti bahukehi. Abhiññātehi abhiññātehīti sabbattha vissutehi pākaṭehi. Therehi sāvakehi saddhinti pātimokkhasaṃvarādīhi thirakārakeheva dhammehi samannāgatattā therehi, savanante jātattā sāvakehi saddhiṃ ekato. Idāni te there sarūpato dassento, āyasmatā ca sāriputtenātiādimāha. Tatthāyasmā sāriputto attano sīlādīhi guṇehi buddhasāsane abhiññāto. Cakkhumantānaṃ gaganamajjhe ṭhito sūriyo viya cando viya, samuddatīre ṭhitānaṃ sāgaro viya ca pākaṭo paññāto. Na kevalañcassa imasmiṃ sutte āgataguṇavaseneva mahantatā veditabbā, ito aññesaṃ dhammadāyādasuttaṃ anaṅgaṇasuttaṃ sammādiṭṭhisuttaṃ sīhanādasuttaṃ rathavinītaṃ mahāhatthipadopamaṃ mahāvedallaṃ cātumasuttaṃ dīghanakhaṃ anupadasuttaṃ sevitabbāsevitabbasuttaṃ saccavibhaṅgasuttaṃ piṇḍapātapārisuddhi sampasādanīyaṃ saṅgītisuttaṃ dasuttarasuttaṃ pavāraṇāsuttaṃ (saṃ. ni. 1.215 ādayo) susimasuttaṃ therapañhasuttaṃ mahāniddeso paṭisambhidāmaggo therasīhanādasuttaṃ abhinikkhamanaṃ etadagganti imesampi suttānaṃ vasena therassa mahantatā veditabbā. Etadaggasmiñhi, ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ mahāpaññānaṃ yadidaṃ sāriputto’’ti (a. ni. 1.188-189) vuttaṃ.

    มหาโมคฺคลฺลาโนปิ สีลาทิคุเณหิ เจว อิมสฺมิํ สุเตฺต อาคตคุเณหิ จ เถโร วิย อภิญฺญาโต ปากโฎ มหาฯ อปิจสฺส อนุมานสุตฺตํ, จูฬตณฺหาสงฺขยสุตฺตํ มารตชฺชนิยสุตฺตํ ปาสาทกมฺปนํ สกลํ อิทฺธิปาทสํยุตฺตํ นโนฺทปนนฺททมนํ ยมกปาฎิหาริยกาเล เทวโลกคมนํ วิมานวตฺถุ เปตวตฺถุ เถรสฺส อภินิกฺขมนํ เอตทคฺคนฺติ อิเมสมฺปิ วเสน มหนฺตภาโว เวทิตโพฺพ ฯ เอตทคฺคสฺมิญฺหิ, ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ อิทฺธิมนฺตานํ ยทิทํ มหาโมคฺคลฺลาโน’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๐) วุตฺตํฯ

    Mahāmoggallānopi sīlādiguṇehi ceva imasmiṃ sutte āgataguṇehi ca thero viya abhiññāto pākaṭo mahā. Apicassa anumānasuttaṃ, cūḷataṇhāsaṅkhayasuttaṃ māratajjaniyasuttaṃ pāsādakampanaṃ sakalaṃ iddhipādasaṃyuttaṃ nandopanandadamanaṃ yamakapāṭihāriyakāle devalokagamanaṃ vimānavatthu petavatthu therassa abhinikkhamanaṃ etadagganti imesampi vasena mahantabhāvo veditabbo . Etadaggasmiñhi, ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ iddhimantānaṃ yadidaṃ mahāmoggallāno’’ti (a. ni. 1.190) vuttaṃ.

    มหากสฺสโปปิ สีลาทิคุเณหิ เจว อิมสฺมิํ สุเตฺต อาคตคุเณหิ จ เถโร วิย อภิญฺญาโต ปากโฎ มหาฯ อปิจสฺส จีวรปริวตฺตนสุตฺตํ ชิณฺณจีวรสุตฺตํ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔ อาทโย) จโนฺทปมํ สกลํ กสฺสปสํยุตฺตํ มหาอริยวํสสุตฺตํ เถรสฺส อภินิกฺขมนํ เอตทคฺคนฺติ อิเมสมฺปิ วเสน มหนฺตภาโว เวทิตโพฺพฯ เอตทคฺคสฺมิญฺหิ, ‘‘เอตทคฺคํ , ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธุตวาทานํ ยทิทํ มหากสฺสโป’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๑) วุตฺตํฯ

    Mahākassapopi sīlādiguṇehi ceva imasmiṃ sutte āgataguṇehi ca thero viya abhiññāto pākaṭo mahā. Apicassa cīvaraparivattanasuttaṃ jiṇṇacīvarasuttaṃ (saṃ. ni. 2.154 ādayo) candopamaṃ sakalaṃ kassapasaṃyuttaṃ mahāariyavaṃsasuttaṃ therassa abhinikkhamanaṃ etadagganti imesampi vasena mahantabhāvo veditabbo. Etadaggasmiñhi, ‘‘etadaggaṃ , bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhutavādānaṃ yadidaṃ mahākassapo’’ti (a. ni. 1.191) vuttaṃ.

    อนุรุทฺธเตฺถโรปิ สีลาทิคุเณหิ เจว อิมสฺมิํ สุเตฺต อาคตคุเณหิ จ เถโร วิย อภิญฺญาโต ปากโฎ มหาฯ อปิจสฺส จูฬโคสิงฺคสุตฺตํ นฬกปานสุตฺตํ อนุตฺตริยสุตฺตํ อุปกฺกิเลสสุตฺตํ อนุรุทฺธสํยุตฺตํ มหาปุริสวิตกฺกสุตฺตํ เถรสฺส อภินิกฺขมนํ เอตทคฺคนฺติ อิเมสมฺปิ วเสน มหนฺตภาโว เวทิตโพฺพฯ เอตทคฺคสฺมิญฺหิ, ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ทิพฺพจกฺขุกานํ ยทิทํ อนุรุโทฺธ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๒) วุตฺตํฯ

    Anuruddhattheropi sīlādiguṇehi ceva imasmiṃ sutte āgataguṇehi ca thero viya abhiññāto pākaṭo mahā. Apicassa cūḷagosiṅgasuttaṃ naḷakapānasuttaṃ anuttariyasuttaṃ upakkilesasuttaṃ anuruddhasaṃyuttaṃ mahāpurisavitakkasuttaṃ therassa abhinikkhamanaṃ etadagganti imesampi vasena mahantabhāvo veditabbo. Etadaggasmiñhi, ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dibbacakkhukānaṃ yadidaṃ anuruddho’’ti (a. ni. 1.192) vuttaṃ.

    อายสฺมตา จ เรวเตนาติ เอตฺถ ปน เทฺว เรวตา ขทิรวนิยเรวโต จ กงฺขาเรวโต จฯ ตตฺถ ขทิรวนิยเรวโต ธมฺมเสนาปติเตฺถรสฺส กนิฎฺฐภาติโก, น โส อิธ อธิเปฺปโตฯ ‘‘อกปฺปิโย คุโฬ, อกปฺปิยา มุคฺคา’’ติ (มหาว. ๒๗๒) เอวํ กงฺขาพหุโล ปน เถโร อิธ เรวโตติ อธิเปฺปโตฯ โสปิ สีลาทิคุเณหิ เจว อิมสฺมิํ สุเตฺต อาคตคุเณหิ จ เถโร วิย อภิญฺญาโต ปากโฎ มหาฯ อปิจสฺส อภินิกฺขมเนนปิ เอตทเคฺคนปิ มหนฺตภาโว เวทิตโพฺพฯ เอตทคฺคสฺมิญฺหิ, ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ฌายีนํ ยทิทํ กงฺขาเรวโต’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๐๔) วุตฺตํฯ

    Āyasmatā ca revatenāti ettha pana dve revatā khadiravaniyarevato ca kaṅkhārevato ca. Tattha khadiravaniyarevato dhammasenāpatittherassa kaniṭṭhabhātiko, na so idha adhippeto. ‘‘Akappiyo guḷo, akappiyā muggā’’ti (mahāva. 272) evaṃ kaṅkhābahulo pana thero idha revatoti adhippeto. Sopi sīlādiguṇehi ceva imasmiṃ sutte āgataguṇehi ca thero viya abhiññāto pākaṭo mahā. Apicassa abhinikkhamanenapi etadaggenapi mahantabhāvo veditabbo. Etadaggasmiñhi, ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ jhāyīnaṃ yadidaṃ kaṅkhārevato’’ti (a. ni. 1.204) vuttaṃ.

    อานนฺทเตฺถโรปิ สีลาทิคุเณหิ เจว อิมสฺมิํ สุเตฺต อาคตคุเณหิ จ เถโร วิย อภิญฺญาโต ปากโฎ มหาฯ อปิจสฺส เสกฺขสุตฺตํ พาหิติกสุตฺตํ อาเนญฺชสปฺปายํ โคปกโมคฺคลฺลานํ พหุธาตุกํ จูฬสุญฺญตํ มหาสุญฺญตํ อจฺฉริยพฺภุตสุตฺตํ ภเทฺทกรตฺตํ มหานิทานํ มหาปรินิพฺพานํ สุภสุตฺตํ จูฬนิยโลกธาตุสุตฺตํ อภินิกฺขมนํ เอตทคฺคนฺติ อิเมสมฺปิ วเสน มหนฺตภาโว เวทิตโพฺพฯ เอตทคฺคสฺมิญฺหิ, ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙-๒๒๓) วุตฺตํฯ

    Ānandattheropi sīlādiguṇehi ceva imasmiṃ sutte āgataguṇehi ca thero viya abhiññāto pākaṭo mahā. Apicassa sekkhasuttaṃ bāhitikasuttaṃ āneñjasappāyaṃ gopakamoggallānaṃ bahudhātukaṃ cūḷasuññataṃ mahāsuññataṃ acchariyabbhutasuttaṃ bhaddekarattaṃ mahānidānaṃ mahāparinibbānaṃ subhasuttaṃ cūḷaniyalokadhātusuttaṃ abhinikkhamanaṃ etadagganti imesampi vasena mahantabhāvo veditabbo. Etadaggasmiñhi, ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ bahussutānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.219-223) vuttaṃ.

    อเญฺญหิ จ อภิญฺญาเตหิ อภิญฺญาเตหีติ น เกวลญฺจ เอเตเหว, อเญฺญหิ จ มหาคุณตาย ปากเฎหิ อภิญฺญาเตหิ พหูหิ เถเรหิ สาวเกหิ สทฺธิํ ภควา โคสิงฺคสาลวนทาเย วิหรตีติ อโตฺถฯ อายสฺมา หิ สาริปุโตฺต สยํ มหาปโญฺญ อเญฺญปิ พหู มหาปเญฺญ ภิกฺขู คเหตฺวา ตทา ทสพลํ ปริวาเรตฺวา วิหาสิฯ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน สยํ อิทฺธิมา, อายสฺมา มหากสฺสโป สยํ ธุตวาโท, อายสฺมา อนุรุโทฺธ สยํ ทิพฺพจกฺขุโก, อายสฺมา เรวโต สยํ ฌานาภิรโต, อายสฺมา อานโนฺท สยํ พหุสฺสุโต อเญฺญปิ พหู พหุสฺสุเต ภิกฺขู คเหตฺวา ตทา ทสพลํ ปริวาเรตฺวา วิหาสิ, เอวํ ตทา เอเต จ อเญฺญ จ อภิญฺญาตา มหาเถรา ติํสสหสฺสมตฺตา ภิกฺขู ทสพลํ ปริวาเรตฺวา วิหริํสูติ เวทิตพฺพาฯ

    Aññehi ca abhiññātehi abhiññātehīti na kevalañca eteheva, aññehi ca mahāguṇatāya pākaṭehi abhiññātehi bahūhi therehi sāvakehi saddhiṃ bhagavā gosiṅgasālavanadāye viharatīti attho. Āyasmā hi sāriputto sayaṃ mahāpañño aññepi bahū mahāpaññe bhikkhū gahetvā tadā dasabalaṃ parivāretvā vihāsi. Āyasmā mahāmoggallāno sayaṃ iddhimā, āyasmā mahākassapo sayaṃ dhutavādo, āyasmā anuruddho sayaṃ dibbacakkhuko, āyasmā revato sayaṃ jhānābhirato, āyasmā ānando sayaṃ bahussuto aññepi bahū bahussute bhikkhū gahetvā tadā dasabalaṃ parivāretvā vihāsi, evaṃ tadā ete ca aññe ca abhiññātā mahātherā tiṃsasahassamattā bhikkhū dasabalaṃ parivāretvā vihariṃsūti veditabbā.

    ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโตติ ผลสมาปตฺติวิเวกโต วุฎฺฐิโตฯ เยนายสฺมา มหากสฺสโป เตนุปสงฺกมีติ เถโร กิร ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต ปจฺฉิมโลกธาตุํ โอโลเกโนฺต วนเนฺต กีฬนฺตสฺส มตฺตขตฺติยสฺส กณฺณโต ปตมานํ กุณฺฑลํ วิย, สํหริตฺวา สมุเคฺค ปกฺขิปมานํ รตฺตกมฺพลํ วิย, มณินาคทนฺตโต ปตมานํ สตสหสฺสคฺฆนิกํ สุวณฺณปาติํ วิย จ อตฺถํ คจฺฉมานํ ปริปุณฺณปณฺณาสโยชนํ สูริยมณฺฑลํ อทฺทสฯ ตทนนฺตรํ ปาจีนโลกธาตุํ โอโลเกโนฺต เนมิยํ คเหตฺวา ปริวตฺตยมานํ รชตจกฺกํ วิย, รชตกูฎโต นิกฺขมนฺตํ ขีรธารามณฺฑํ วิย, สปเกฺข ปโปฺผเฎตฺวา คคนตเล ปกฺขนฺทมานํ เสตหํสํ วิย จ เมฆวณฺณาย สมุทฺทกุจฺฉิโต อุคฺคนฺตฺวา ปาจีนจกฺกวาฬปพฺพตมตฺถเก สสลกฺขณปฺปฎิมณฺฑิตํ เอกูนปณฺณาสโยชนํ จนฺทมณฺฑลํ อทฺทสฯ ตโต สาลวนํ โอโลเกสิฯ ตสฺมิญฺหิ สมเย สาลรุกฺขา มูลโต ปฎฺฐาย ยาว อคฺคา สพฺพปาลิผุลฺลา ทุกูลปารุตา วิย, มุตฺตากลาปวินทฺธา วิย จ วิโรจิํสุฯ ภูมิตลํ ปุปฺผสนฺถรปูชาย ปฎิมณฺฑิตํ วิย, ตตฺถ ตตฺถ นิปตเนฺตน ปุปฺผเรณุนา ลาขารเสน สิญฺจมานํ วิย จ อโหสิฯ ภมรมธุกรคณา กุสุมเรณุมทมตฺตา อุปคายมานา วิย วนนฺตเรสุ วิจรนฺติฯ ตทา จ อุโปสถทิวโสว โหติฯ อถ เถโร, ‘‘กาย นุ โข อชฺช รติยา วีตินาเมสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิ, อริยสาวกา จ นาม ปิยธมฺมสฺสวนา โหนฺติฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อชฺช มยฺหํ เชฎฺฐภาติกสฺส ธมฺมเสนาปติเตฺถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมรติยา วีตินาเมสฺสามี’’ติฯ คจฺฉโนฺต ปน เอกโกว อคนฺตฺวา ‘‘มยฺหํ ปิยสหายํ มหากสฺสปเตฺถรํ คเหตฺวา คมิสฺสามี’’ติ นิสินฺนฎฺฐานโต วุฎฺฐาย จมฺมขณฺฑํ ปโปฺผเฎตฺวา เยนายสฺมา มหากสฺสโป เตนุปสงฺกมิฯ

    Paṭisallānā vuṭṭhitoti phalasamāpattivivekato vuṭṭhito. Yenāyasmā mahākassapo tenupasaṅkamīti thero kira paṭisallānā vuṭṭhito pacchimalokadhātuṃ olokento vanante kīḷantassa mattakhattiyassa kaṇṇato patamānaṃ kuṇḍalaṃ viya, saṃharitvā samugge pakkhipamānaṃ rattakambalaṃ viya, maṇināgadantato patamānaṃ satasahassagghanikaṃ suvaṇṇapātiṃ viya ca atthaṃ gacchamānaṃ paripuṇṇapaṇṇāsayojanaṃ sūriyamaṇḍalaṃ addasa. Tadanantaraṃ pācīnalokadhātuṃ olokento nemiyaṃ gahetvā parivattayamānaṃ rajatacakkaṃ viya, rajatakūṭato nikkhamantaṃ khīradhārāmaṇḍaṃ viya, sapakkhe papphoṭetvā gaganatale pakkhandamānaṃ setahaṃsaṃ viya ca meghavaṇṇāya samuddakucchito uggantvā pācīnacakkavāḷapabbatamatthake sasalakkhaṇappaṭimaṇḍitaṃ ekūnapaṇṇāsayojanaṃ candamaṇḍalaṃ addasa. Tato sālavanaṃ olokesi. Tasmiñhi samaye sālarukkhā mūlato paṭṭhāya yāva aggā sabbapāliphullā dukūlapārutā viya, muttākalāpavinaddhā viya ca virociṃsu. Bhūmitalaṃ pupphasantharapūjāya paṭimaṇḍitaṃ viya, tattha tattha nipatantena pupphareṇunā lākhārasena siñcamānaṃ viya ca ahosi. Bhamaramadhukaragaṇā kusumareṇumadamattā upagāyamānā viya vanantaresu vicaranti. Tadā ca uposathadivasova hoti. Atha thero, ‘‘kāya nu kho ajja ratiyā vītināmessāmī’’ti cintesi, ariyasāvakā ca nāma piyadhammassavanā honti. Athassa etadahosi – ‘‘ajja mayhaṃ jeṭṭhabhātikassa dhammasenāpatittherassa santikaṃ gantvā dhammaratiyā vītināmessāmī’’ti. Gacchanto pana ekakova agantvā ‘‘mayhaṃ piyasahāyaṃ mahākassapattheraṃ gahetvā gamissāmī’’ti nisinnaṭṭhānato vuṭṭhāya cammakhaṇḍaṃ papphoṭetvā yenāyasmā mahākassapo tenupasaṅkami.

    เอวมาวุโสติ โข อายสฺมา มหากสฺสโปติ เถโรปิ ยสฺมา ปิยธมฺมสฺสวโนว อริยสาวโก, ตสฺมา ตสฺส วจนํ สุตฺวา คจฺฉาวุโส, ตฺวํ, มยฺหํ สีสํ วา รุชฺชติ ปิฎฺฐิ วาติ กิญฺจิ เลสาปเทสํ อกตฺวา ตุฎฺฐหทโยว, ‘‘เอวมาวุโส’’ติอาทิมาหฯ ปฎิสฺสุตฺวา จ นิสินฺนฎฺฐานโต วุฎฺฐาย จมฺมขณฺฑํ ปโปฺผเฎตฺวา มหาโมคฺคลฺลานํ อนุพนฺธิฯ ตสฺมิํ สมเย เทฺว มหาเถรา ปฎิปาฎิยา ฐิตานิ เทฺว จนฺทมณฺฑลานิ วิย, เทฺว สูริยมณฺฑลานิ วิย, เทฺว ฉทฺทนฺตนาคราชาโน วิย, เทฺว สีหา วิย, เทฺว พฺยคฺฆา วิย จ วิโรจิํสุฯ อนุรุทฺธเตฺถโรปิ ตสฺมิํ สมเย ทิวาฎฺฐาเน นิสิโนฺน เทฺว มหาเถเร สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สนฺติกํ คจฺฉเนฺต ทิสฺวา ปจฺฉิมโลกธาตุํ โอโลเกโนฺต สูริยํ วนนฺตํ ปวิสนฺตํ วิย, ปาจีนโลกธาตุํ โอโลเกโนฺต จนฺทํ วนนฺตโต อุคฺคจฺฉนฺตํ วิย, สาลวนํ โอโลเกโนฺต สพฺพปาลิผุลฺลเมว สาลวนญฺจ ทิสฺวา อชฺช อุโปสถทิวโส, อิเม จ เม เชฎฺฐภาติกา ธมฺมเสนาปติสฺส สนฺติกํ คจฺฉนฺติ, มหเนฺตน ธมฺมสฺสวเนน ภวิตพฺพํ, อหมฺปิ ธมฺมสฺสวนสฺส ภาคี ภวิสฺสามีติ นิสินฺนฎฺฐานโต วุฎฺฐาย จมฺมขณฺฑํ ปโปฺผเฎตฺวา มหาเถรานํ ปทานุปทิโก หุตฺวา นิกฺขมิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อายสฺมา จ มหาโมคฺคลฺลาโน อายสฺมา จ มหากสฺสโป อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ เยนายสฺมา สาริปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํสู’’ติฯ อุปสงฺกมิํสูติฯ ปฎิปาฎิยา ฐิตา ตโย จนฺทา วิย, สูริยา วิย, สีหา วิย จ วิโรจมานา อุปสงฺกมิํสุฯ

    Evamāvusotikho āyasmā mahākassapoti theropi yasmā piyadhammassavanova ariyasāvako, tasmā tassa vacanaṃ sutvā gacchāvuso, tvaṃ, mayhaṃ sīsaṃ vā rujjati piṭṭhi vāti kiñci lesāpadesaṃ akatvā tuṭṭhahadayova, ‘‘evamāvuso’’tiādimāha. Paṭissutvā ca nisinnaṭṭhānato vuṭṭhāya cammakhaṇḍaṃ papphoṭetvā mahāmoggallānaṃ anubandhi. Tasmiṃ samaye dve mahātherā paṭipāṭiyā ṭhitāni dve candamaṇḍalāni viya, dve sūriyamaṇḍalāni viya, dve chaddantanāgarājāno viya, dve sīhā viya, dve byagghā viya ca virociṃsu. Anuruddhattheropi tasmiṃ samaye divāṭṭhāne nisinno dve mahāthere sāriputtattherassa santikaṃ gacchante disvā pacchimalokadhātuṃ olokento sūriyaṃ vanantaṃ pavisantaṃ viya, pācīnalokadhātuṃ olokento candaṃ vanantato uggacchantaṃ viya, sālavanaṃ olokento sabbapāliphullameva sālavanañca disvā ajja uposathadivaso, ime ca me jeṭṭhabhātikā dhammasenāpatissa santikaṃ gacchanti, mahantena dhammassavanena bhavitabbaṃ, ahampi dhammassavanassa bhāgī bhavissāmīti nisinnaṭṭhānato vuṭṭhāya cammakhaṇḍaṃ papphoṭetvā mahātherānaṃ padānupadiko hutvā nikkhami. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho āyasmā ca mahāmoggallāno āyasmā ca mahākassapo āyasmā ca anuruddho yenāyasmā sāriputto tenupasaṅkamiṃsū’’ti. Upasaṅkamiṃsūti. Paṭipāṭiyā ṭhitā tayo candā viya, sūriyā viya, sīhā viya ca virocamānā upasaṅkamiṃsu.

    ๓๓๓. เอวํ อุปสงฺกมเนฺต ปน เต มหาเถเร อายสฺมา อานโนฺท อตฺตโน ทิวาฎฺฐาเน นิสิโนฺนเยว ทิสฺวา, ‘‘อชฺช มหนฺตํ ธมฺมสฺสวนํ ภวิสฺสติ, มยาปิ ตสฺส ภาคินา ภวิตพฺพํ, น โข ปน เอกโกว คมิสฺสามิ, มยฺหํ ปิยสหายมฺปิ เรวตเตฺถรํ คเหตฺวา คมิสฺสามี’’ติ สพฺพํ มหาโมคฺคลฺลานสฺส มหากสฺสปสฺส อนุรุทฺธสฺส อุปสงฺกมเน วุตฺตนเยเนว วิตฺถารโต เวทิตพฺพํฯ อิติ เต เทฺว ชนา ปฎิปาฎิยา ฐิตา เทฺว จนฺทา วิย, สูริยา วิย, สีหา วิย จ วิโรจมานา อุปสงฺกมิํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อทฺทสา โข อายสฺมา สาริปุโตฺต’’ติอาทิ ฯ ทิสฺวาน อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจาติ ทูรโตว ทิสฺวา อนุกฺกเมน กถาอุปจารํ สมฺปตฺตเมตํ, ‘‘เอตุ โข อายสฺมา’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ รมณียํ, อาวุโสติ เอตฺถ ทุวิธํ รามเณยฺยกํ วนรามเณยฺยกํ ปุคฺคลรามเณยฺยกญฺจฯ ตตฺถ วนํ นาม นาคสลฬสาลจมฺปกาทีหิ สญฺฉนฺนํ โหติ พหลจฺฉายํ ปุปฺผผลูปคํ วิวิธรุกฺขํ อุทกสมฺปนฺนํ คามโต นิสฺสฎํ, อิทํ วนรามเณยฺยกํ นามฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    333. Evaṃ upasaṅkamante pana te mahāthere āyasmā ānando attano divāṭṭhāne nisinnoyeva disvā, ‘‘ajja mahantaṃ dhammassavanaṃ bhavissati, mayāpi tassa bhāginā bhavitabbaṃ, na kho pana ekakova gamissāmi, mayhaṃ piyasahāyampi revatattheraṃ gahetvā gamissāmī’’ti sabbaṃ mahāmoggallānassa mahākassapassa anuruddhassa upasaṅkamane vuttanayeneva vitthārato veditabbaṃ. Iti te dve janā paṭipāṭiyā ṭhitā dve candā viya, sūriyā viya, sīhā viya ca virocamānā upasaṅkamiṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘addasā kho āyasmā sāriputto’’tiādi . Disvāna āyasmantaṃ ānandaṃ etadavocāti dūratova disvā anukkamena kathāupacāraṃ sampattametaṃ, ‘‘etu kho āyasmā’’tiādivacanaṃ avoca. Ramaṇīyaṃ, āvusoti ettha duvidhaṃ rāmaṇeyyakaṃ vanarāmaṇeyyakaṃ puggalarāmaṇeyyakañca. Tattha vanaṃ nāma nāgasalaḷasālacampakādīhi sañchannaṃ hoti bahalacchāyaṃ pupphaphalūpagaṃ vividharukkhaṃ udakasampannaṃ gāmato nissaṭaṃ, idaṃ vanarāmaṇeyyakaṃ nāma. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘รมณียานิ อรญฺญานิ, ยตฺถ น รมตี ชโน;

    ‘‘Ramaṇīyāni araññāni, yattha na ramatī jano;

    วีตราคา รมิสฺสนฺติ, น เต กามคเวสิโน’’ติฯ (ธ. ป. ๙๙);

    Vītarāgā ramissanti, na te kāmagavesino’’ti. (dha. pa. 99);

    วนํ ปน สเจปิ อุชฺชงฺคเล โหติ นิรุทกํ วิรลจฺฉายํ กณฺฎกสมากิณฺณํ, พุทฺธาทโยเปตฺถ อริยา วิหรนฺติ, อิทํ ปุคฺคลรามเณยฺยกํ นามฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    Vanaṃ pana sacepi ujjaṅgale hoti nirudakaṃ viralacchāyaṃ kaṇṭakasamākiṇṇaṃ, buddhādayopettha ariyā viharanti, idaṃ puggalarāmaṇeyyakaṃ nāma. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘คาเม วา ยทิ วารเญฺญ, นิเนฺน วา ยทิ วา ถเล;

    ‘‘Gāme vā yadi vāraññe, ninne vā yadi vā thale;

    ยตฺถ อรหโนฺต วิหรนฺติ, ตํ ภูมิรามเณยฺยก’’นฺติฯ (ธ. ป. ๙๘);

    Yattha arahanto viharanti, taṃ bhūmirāmaṇeyyaka’’nti. (dha. pa. 98);

    อิธ ปน ตํ ทุวิธมฺปิ ลพฺภติฯ ตทา หิ โคสิงฺคสาลวนํ สพฺพปาลิผุลฺลํ โหติ กุสุมคนฺธสุคนฺธํ, สเทวเก เจตฺถ โลเก อคฺคปุคฺคโล สมฺมาสมฺพุโทฺธ ติํสสหสฺสมเตฺตหิ อภิญฺญาตภิกฺขูหิ สทฺธิํ วิหรติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘รมณียํ, อาวุโส อานนฺท, โคสิงฺคสาลวน’’นฺติฯ

    Idha pana taṃ duvidhampi labbhati. Tadā hi gosiṅgasālavanaṃ sabbapāliphullaṃ hoti kusumagandhasugandhaṃ, sadevake cettha loke aggapuggalo sammāsambuddho tiṃsasahassamattehi abhiññātabhikkhūhi saddhiṃ viharati. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘ramaṇīyaṃ, āvuso ānanda, gosiṅgasālavana’’nti.

    โทสินาติ โทสาปคตา, อพฺภํ มหิกา ธูโม รโช ราหูติ อิเมหิ ปญฺจหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิรหิตาติ วุตฺตํ โหติฯ สพฺพปาลิผุลฺลาติ สพฺพตฺถ ปาลิผุลฺลา, มูลโต ปฎฺฐาย ยาว อคฺคา อปุปฺผิตฎฺฐานํ นาม นตฺถิฯ ทิพฺพา มเญฺญ คนฺธา สมฺปวนฺตีติ ทิพฺพา มนฺทารปุปฺผโกวิฬารปาริจฺฉตฺตกจนฺทนจุณฺณคนฺธา วิย สมนฺตา ปวายนฺติ, สกฺกสุยาสนฺตุสิตนิมฺมานรติปรนิมฺมิตมหาพฺรหฺมานํ โอติณฺณฎฺฐานํ วิย วายนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Dosināti dosāpagatā, abbhaṃ mahikā dhūmo rajo rāhūti imehi pañcahi upakkilesehi virahitāti vuttaṃ hoti. Sabbapāliphullāti sabbattha pāliphullā, mūlato paṭṭhāya yāva aggā apupphitaṭṭhānaṃ nāma natthi. Dibbā maññe gandhā sampavantīti dibbā mandārapupphakoviḷārapāricchattakacandanacuṇṇagandhā viya samantā pavāyanti, sakkasuyāsantusitanimmānaratiparanimmitamahābrahmānaṃ otiṇṇaṭṭhānaṃ viya vāyantīti vuttaṃ hoti.

    กถํรูเปน , อาวุโส อานนฺทาติ อานนฺทเตฺถโร เตสํ ปญฺจนฺนํ เถรานํ สงฺฆนวโกวฯ กสฺมา เถโร ตํเยว ปฐมํ ปุจฺฉตีติ? มมายิตตฺตาฯ เต หิ เทฺว เถรา อญฺญมญฺญํ มมายิํสุฯ สาริปุตฺตเตฺถโร, ‘‘มยา กตฺตพฺพํ สตฺถุ อุปฎฺฐานํ กโรตี’’ติ อานนฺทเตฺถรํ มมายิฯ อานนฺทเตฺถโร ภควโต สาวกานํ อโคฺคติ สาริปุตฺตเตฺถรํ มมายิ, กุลทารเก ปพฺพาเชตฺวา สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สนฺติเก อุปชฺฌํ คณฺหาเปสิฯ สาริปุตฺตเตฺถโรปิ ตเถว อกาสิฯ เอวํ เอกเมเกน อตฺตโน ปตฺตจีวรํ ทตฺวา ปพฺพาเชตฺวา อุปชฺฌํ คณฺหาปิตานิ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ อเหสุํฯ อายสฺมา อานโนฺท ปณีตานิ จีวราทีนิปิ ลภิตฺวา เถรเสฺสว เทติฯ

    Kathaṃrūpena, āvuso ānandāti ānandatthero tesaṃ pañcannaṃ therānaṃ saṅghanavakova. Kasmā thero taṃyeva paṭhamaṃ pucchatīti? Mamāyitattā. Te hi dve therā aññamaññaṃ mamāyiṃsu. Sāriputtatthero, ‘‘mayā kattabbaṃ satthu upaṭṭhānaṃ karotī’’ti ānandattheraṃ mamāyi. Ānandatthero bhagavato sāvakānaṃ aggoti sāriputtattheraṃ mamāyi, kuladārake pabbājetvā sāriputtattherassa santike upajjhaṃ gaṇhāpesi. Sāriputtattheropi tatheva akāsi. Evaṃ ekamekena attano pattacīvaraṃ datvā pabbājetvā upajjhaṃ gaṇhāpitāni pañca bhikkhusatāni ahesuṃ. Āyasmā ānando paṇītāni cīvarādīnipi labhitvā therasseva deti.

    เอโก กิร พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘พุทฺธรตนสฺส จ สงฺฆรตนสฺส จ ปูชา ปญฺญายติ, กถํ นุ โข ธมฺมรตนํ ปูชิตํ นาม โหตี’’ติ? โส ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ ภควา อาห – ‘‘สเจสิ, พฺราหฺมณ, ธมฺมรตนํ ปูชิตุกาโม, เอกํ พหุสฺสุตํ ปูเชหี’’ติ พหุสฺสุตํ, ภเนฺต, อาจิกฺขถาติ ภิกฺขุสงฺฆํ ปุจฺฉติฯ โส ภิกฺขุสงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา พหุสฺสุตํ, ภเนฺต, อาจิกฺขถาติ อาหฯ อานนฺทเตฺถโร พฺราหฺมณาติฯ พฺราหฺมโณ เถรํ สหสฺสคฺฆนิเกน จีวเรน ปูเชสิฯ เถโร ตํ คเหตฺวา ภควโต สนฺติกํ อคมาสิฯ ภควา ‘‘กุโต, อานนฺท, ลทฺธ’’นฺติ อาหฯ เอเกน, ภเนฺต, พฺราหฺมเณน ทินฺนํ, อิทํ ปนาหํ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ทาตุกาโมติฯ เทหิ, อานนฺทาติฯ จาริกํ ปกฺกโนฺต, ภเนฺตติฯ อาคตกาเล เทหีติฯ สิกฺขาปทํ, ภเนฺต, ปญฺญตฺตนฺติฯ กทา ปน สาริปุโตฺต อาคมิสฺสตีติ? ทสาหมเตฺตน, ภเนฺตติฯ ‘‘อนุชานามิ, อานนฺท, ทสาหปรมํ อติเรกจีวรํ นิกฺขิปิตุ’’นฺติ (ปารา. ๔๖๑; มหาว. ๓๔๗) สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิฯ สาริปุตฺตเตฺถโรปิ ตเถว ยํกิญฺจิ มนาปํ ลภติ, ตํ อานนฺทเตฺถรสฺส เทติฯ เอวํ เต เถรา อญฺญมญฺญํ มมายิํสุ, อิติ มมายิตตฺตา ปฐมํ ปุจฺฉิฯ

    Eko kira brāhmaṇo cintesi – ‘‘buddharatanassa ca saṅgharatanassa ca pūjā paññāyati, kathaṃ nu kho dhammaratanaṃ pūjitaṃ nāma hotī’’ti? So bhagavantaṃ upasaṅkamitvā etamatthaṃ pucchi. Bhagavā āha – ‘‘sacesi, brāhmaṇa, dhammaratanaṃ pūjitukāmo, ekaṃ bahussutaṃ pūjehī’’ti bahussutaṃ, bhante, ācikkhathāti bhikkhusaṅghaṃ pucchati. So bhikkhusaṅghaṃ upasaṅkamitvā bahussutaṃ, bhante, ācikkhathāti āha. Ānandatthero brāhmaṇāti. Brāhmaṇo theraṃ sahassagghanikena cīvarena pūjesi. Thero taṃ gahetvā bhagavato santikaṃ agamāsi. Bhagavā ‘‘kuto, ānanda, laddha’’nti āha. Ekena, bhante, brāhmaṇena dinnaṃ, idaṃ panāhaṃ āyasmato sāriputtassa dātukāmoti. Dehi, ānandāti. Cārikaṃ pakkanto, bhanteti. Āgatakāle dehīti. Sikkhāpadaṃ, bhante, paññattanti. Kadā pana sāriputto āgamissatīti? Dasāhamattena, bhanteti. ‘‘Anujānāmi, ānanda, dasāhaparamaṃ atirekacīvaraṃ nikkhipitu’’nti (pārā. 461; mahāva. 347) sikkhāpadaṃ paññapesi. Sāriputtattheropi tatheva yaṃkiñci manāpaṃ labhati, taṃ ānandattherassa deti. Evaṃ te therā aññamaññaṃ mamāyiṃsu, iti mamāyitattā paṭhamaṃ pucchi.

    อปิจ อนุมติปุจฺฉา นาเมสา ขุทฺทกโต ปฎฺฐาย ปุจฺฉิตพฺพา โหติฯ ตสฺมา เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ ปฐมํ อานนฺทํ ปุจฺฉิสฺสามิ, อานโนฺท อตฺตโน ปฎิภานํ พฺยากริสฺสติฯ ตโต เรวตํ, อนุรุทฺธํ, มหากสฺสปํ, มหาโมคฺคลฺลานํ ปุจฺฉิสฺสามิฯ มหาโมคฺคลฺลาโน อตฺตโน ปฎิภานํ พฺยากริสฺสติฯ ตโต ปญฺจปิ เถรา มํ ปุจฺฉิสฺสนฺติ, อหมฺปิ อตฺตโน ปฎิภานํ พฺยากริสฺสามี’’ติฯ เอตฺตาวตาปิ อยํ ธมฺมเทสนา สิขาปฺปตฺตา เวปุลฺลปฺปตฺตา น ภวิสฺสติ, อถ มยํ สเพฺพปิ ทสพลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิสฺสาม, สตฺถา สพฺพญฺญุตญฺญาเณน พฺยากริสฺสติฯ เอตฺตาวตา อยํ ธมฺมเทสนา สิขาปฺปตฺตา เวปุลฺลปฺปตฺตา ภวิสฺสติฯ ยถา หิ ชนปทมฺหิ อุปฺปโนฺน อโฎฺฎ คามโภชกํ ปาปุณาติ, ตสฺมิํ นิจฺฉิตุํ อสโกฺกเนฺต ชนปทโภชกํ ปาปุณาติ, ตสฺมิํ อสโกฺกเนฺต มหาวินิจฺฉยอมจฺจํ, ตสฺมิํ อสโกฺกเนฺต เสนาปติํ, ตสฺมิํ อสโกฺกเนฺต อุปราชํ, ตสฺมิํ วินิจฺฉิตุํ อสโกฺกเนฺต ราชานํ ปาปุณาติ, รญฺญา วินิจฺฉิตกาลโต ปฎฺฐาย อโฎฺฎ อปราปรํ น สญฺจรติ, ราชวจเนเนว ฉิชฺชติฯ เอวเมวํ อหญฺหิ ปฐมํ อานนฺทํ ปุจฺฉิสฺสามิ…เป.… อถ มยํ สเพฺพปิ ทสพลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิสฺสาม, สตฺถา สพฺพญฺญุตญฺญาเณน พฺยากริสฺสติฯ เอตฺตาวตา อยํ ธมฺมเทสนา สิขาปฺปตฺตา เวปุลฺลปฺปตฺตา ภวิสฺสติฯ เอวํ อนุมติปุจฺฉํ ปุจฺฉโนฺต เถโร ปฐมํ อานนฺทเตฺถรํ ปุจฺฉิฯ

    Apica anumatipucchā nāmesā khuddakato paṭṭhāya pucchitabbā hoti. Tasmā thero cintesi – ‘‘ahaṃ paṭhamaṃ ānandaṃ pucchissāmi, ānando attano paṭibhānaṃ byākarissati. Tato revataṃ, anuruddhaṃ, mahākassapaṃ, mahāmoggallānaṃ pucchissāmi. Mahāmoggallāno attano paṭibhānaṃ byākarissati. Tato pañcapi therā maṃ pucchissanti, ahampi attano paṭibhānaṃ byākarissāmī’’ti. Ettāvatāpi ayaṃ dhammadesanā sikhāppattā vepullappattā na bhavissati, atha mayaṃ sabbepi dasabalaṃ upasaṅkamitvā pucchissāma, satthā sabbaññutaññāṇena byākarissati. Ettāvatā ayaṃ dhammadesanā sikhāppattā vepullappattā bhavissati. Yathā hi janapadamhi uppanno aṭṭo gāmabhojakaṃ pāpuṇāti, tasmiṃ nicchituṃ asakkonte janapadabhojakaṃ pāpuṇāti, tasmiṃ asakkonte mahāvinicchayaamaccaṃ, tasmiṃ asakkonte senāpatiṃ, tasmiṃ asakkonte uparājaṃ, tasmiṃ vinicchituṃ asakkonte rājānaṃ pāpuṇāti, raññā vinicchitakālato paṭṭhāya aṭṭo aparāparaṃ na sañcarati, rājavacaneneva chijjati. Evamevaṃ ahañhi paṭhamaṃ ānandaṃ pucchissāmi…pe… atha mayaṃ sabbepi dasabalaṃ upasaṅkamitvā pucchissāma, satthā sabbaññutaññāṇena byākarissati. Ettāvatā ayaṃ dhammadesanā sikhāppattā vepullappattā bhavissati. Evaṃ anumatipucchaṃ pucchanto thero paṭhamaṃ ānandattheraṃ pucchi.

    พหุสฺสุโต โหตีติ พหุ อสฺส สุตํ โหติ, นวงฺคํ สตฺถุสาสนํ ปาฬิอนุสนฺธิปุพฺพาปรวเสน อุคฺคหิตํ โหตีติ อโตฺถฯ สุตธโรติ สุตสฺส อาธารภูโตฯ ยสฺส หิ อิโต คหิตํ อิโต ปลายติ, ฉิทฺทฆเฎ อุทกํ วิย น ติฎฺฐติ, ปริสมเชฺฌ เอกํ สุตฺตํ วา ชาตกํ วา กเถตุํ วา วาเจตุํ วา น สโกฺกติ, อยํ น สุตธโร นามฯ ยสฺส ปน อุคฺคหิตํ พุทฺธวจนํ อุคฺคหิตกาลสทิสเมว โหติ, ทสปิ วีสติปิ วสฺสานิ สชฺฌายํ อกโรนฺตสฺส น นสฺสติ, อยํ สุตธโร นามฯ สุตสนฺนิจโยติ สุตสฺส สนฺนิจยภูโตฯ ยถา หิ สุตํ หทยมญฺชูสาย สนฺนิจิตํ สิลายํ เลขา วิย, สุวณฺณฆเฎ ปกฺขิตฺตสีหวสา วิย จ อโชฺฌสาย ติฎฺฐติ, อยํ สุตสนฺนิจโย นามฯ ธาตาติ ฐิตา ปคุณาฯ เอกจฺจสฺส หิ อุคฺคหิตํ พุทฺธวจนํ ธาตํ ปคุณํ นิจฺจลิตํ น โหติ, อสุกสุตฺตํ วา ชาตกํ วา กเถหีติ วุเตฺต สชฺฌายิตฺวา สํสนฺทิตฺวา สมนุคฺคาหิตฺวา ชานิสฺสามีติ วทติฯ เอกจฺจสฺส ธาตํ ปคุณํ ภวงฺคโสตสทิสํ โหติ, อสุกสุตฺตํ วา ชาตกํ วา กเถหีติ วุเตฺต อุทฺธริตฺวา ตเมว กเถติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ธาตา’’ติฯ

    Bahussuto hotīti bahu assa sutaṃ hoti, navaṅgaṃ satthusāsanaṃ pāḷianusandhipubbāparavasena uggahitaṃ hotīti attho. Sutadharoti sutassa ādhārabhūto. Yassa hi ito gahitaṃ ito palāyati, chiddaghaṭe udakaṃ viya na tiṭṭhati, parisamajjhe ekaṃ suttaṃ vā jātakaṃ vā kathetuṃ vā vācetuṃ vā na sakkoti, ayaṃ na sutadharo nāma. Yassa pana uggahitaṃ buddhavacanaṃ uggahitakālasadisameva hoti, dasapi vīsatipi vassāni sajjhāyaṃ akarontassa na nassati, ayaṃ sutadharo nāma. Sutasannicayoti sutassa sannicayabhūto. Yathā hi sutaṃ hadayamañjūsāya sannicitaṃ silāyaṃ lekhā viya, suvaṇṇaghaṭe pakkhittasīhavasā viya ca ajjhosāya tiṭṭhati, ayaṃ sutasannicayo nāma. Dhātāti ṭhitā paguṇā. Ekaccassa hi uggahitaṃ buddhavacanaṃ dhātaṃ paguṇaṃ niccalitaṃ na hoti, asukasuttaṃ vā jātakaṃ vā kathehīti vutte sajjhāyitvā saṃsanditvā samanuggāhitvā jānissāmīti vadati. Ekaccassa dhātaṃ paguṇaṃ bhavaṅgasotasadisaṃ hoti, asukasuttaṃ vā jātakaṃ vā kathehīti vutte uddharitvā tameva katheti. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘dhātā’’ti.

    วจสา ปริจิตาติ สุตฺตทสก-วคฺคทสก-ปณฺณาสทสกานํ วเสน วาจาย สชฺฌายิตาฯ มนสานุเปกฺขิตาติ จิเตฺตน อนุเปกฺขิตา, ยสฺส วาจาย สชฺฌายิตํ พุทฺธวจนํ มนสา จิเนฺตนฺตสฺส ตตฺถ ตตฺถ ปากฎํ โหติฯ มหาทีปํ ชาเลตฺวา ฐิตสฺส รูปคตํ วิย ปญฺญายติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘วจสา ปริจิตา มนสานุเปกฺขิตา’’ติฯ ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธาติ อตฺถโต จ การณโต จ ปญฺญาย สุปฺปฎิวิทฺธาฯ ปริมณฺฑเลหิ ปทพฺยญฺชเนหีติ เอตฺถ ปทเมว อตฺถสฺส พฺยญฺชนโต ปทพฺยญฺชนํ, ตํ อกฺขรปาริปูริํ กตฺวา ทสวิธพฺยญฺชนพุทฺธิโย อปริหาเปตฺวา วุตฺตํ ปริมณฺฑลํ นาม โหติ, เอวรูเปหิ ปทพฺยญฺชเนหีติ อโตฺถฯ อปิจ โย ภิกฺขุ ปริสติ ธมฺมํ เทเสโนฺต สุตฺตํ วา ชาตกํ วา นิกฺขปิตฺวา อญฺญํ อุปารมฺภกรํ สุตฺตํ อาหรติ, ตสฺส อุปมํ กเถติ, ตทตฺถํ โอหาเรติ, เอวมิทํ คเหตฺวา เอตฺถ ขิปโนฺต เอกปเสฺสเนว ปริหรโนฺต กาลํ ญตฺวา วุฎฺฐหติฯ นิกฺขิตฺตสุตฺตํ ปน นิกฺขตฺตมตฺตเมว โหติ, ตสฺส กถา อปริมณฺฑลา นาม โหติฯ โย ปน สุตฺตํ วา ชาตกํ วา นิกฺขิปิตฺวา พหิ เอกปทมฺปิ อคนฺตฺวา ปาฬิยา อนุสนฺธิญฺจ ปุพฺพาปรญฺจ อมเกฺขโนฺต อาจริเยหิ ทินฺนนเย ฐตฺวา ตุลิกาย ปริจฺฉินฺทโนฺต วิย, คมฺภีรมาติกาย อุทกํ เปเสโนฺต วิย, ปทํ โกเฎฺฎโนฺต สินฺธวาชานีโย วิย คจฺฉติ, ตสฺส กถา ปริมณฺฑลา นาม โหติฯ เอวรูปิํ กถํ สนฺธาย – ‘‘ปริมณฺฑเลหิ ปทพฺยญฺชเนหี’’ติ วุตฺตํฯ

    Vacasā paricitāti suttadasaka-vaggadasaka-paṇṇāsadasakānaṃ vasena vācāya sajjhāyitā. Manasānupekkhitāti cittena anupekkhitā, yassa vācāya sajjhāyitaṃ buddhavacanaṃ manasā cintentassa tattha tattha pākaṭaṃ hoti. Mahādīpaṃ jāletvā ṭhitassa rūpagataṃ viya paññāyati. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘vacasā paricitā manasānupekkhitā’’ti. Diṭṭhiyā suppaṭividdhāti atthato ca kāraṇato ca paññāya suppaṭividdhā. Parimaṇḍalehipadabyañjanehīti ettha padameva atthassa byañjanato padabyañjanaṃ, taṃ akkharapāripūriṃ katvā dasavidhabyañjanabuddhiyo aparihāpetvā vuttaṃ parimaṇḍalaṃ nāma hoti, evarūpehi padabyañjanehīti attho. Apica yo bhikkhu parisati dhammaṃ desento suttaṃ vā jātakaṃ vā nikkhapitvā aññaṃ upārambhakaraṃ suttaṃ āharati, tassa upamaṃ katheti, tadatthaṃ ohāreti, evamidaṃ gahetvā ettha khipanto ekapasseneva pariharanto kālaṃ ñatvā vuṭṭhahati. Nikkhittasuttaṃ pana nikkhattamattameva hoti, tassa kathā aparimaṇḍalā nāma hoti. Yo pana suttaṃ vā jātakaṃ vā nikkhipitvā bahi ekapadampi agantvā pāḷiyā anusandhiñca pubbāparañca amakkhento ācariyehi dinnanaye ṭhatvā tulikāya paricchindanto viya, gambhīramātikāya udakaṃ pesento viya, padaṃ koṭṭento sindhavājānīyo viya gacchati, tassa kathā parimaṇḍalā nāma hoti. Evarūpiṃ kathaṃ sandhāya – ‘‘parimaṇḍalehi padabyañjanehī’’ti vuttaṃ.

    อนุปฺปพเนฺธหีติ เอตฺถ โย ภิกฺขุ ธมฺมํ กเถโนฺต สุตฺตํ วา ชาตกํ วา อารภิตฺวา อารทฺธกาลโต ปฎฺฐาย ตุริตตุริโต อรณิํ มเนฺถโนฺต วิย, อุณฺหขาทนียํ ขาทโนฺต วิย, ปาฬิยา อนุสนฺธิปุพฺพาปเรสุ คหิตํ คหิตเมว อคฺคหิตํ อคฺคหิตเมว จ กตฺวา ปุราณปณฺณนฺตเรสุ จรมานํ โคธํ อุฎฺฐเปโนฺต วิย ตตฺถ ตตฺถ ปหรโนฺต โอสาเปโนฺต โอหาย คจฺฉติฯ โยปิ ธมฺมํ กเถโนฺต กาเลน สีฆํ กาเลน ทนฺธํ กาเลน มหาสทฺทํ กาเลน ขุทฺทกสทฺทํ กโรติฯ ยถา เปตคฺคิ กาเลน ชลติ, กาเลน นิพฺพายติ, เอวเมว อิธ เปตคฺคิธมฺมกถิโก นาม โหติ, ปริสาย อุฎฺฐาตุกามาย ปุนปฺปุนํ อารภติฯ โยปิ กเถโนฺต ตตฺถ ตตฺถ วิตฺถายติ, นิตฺถุนโนฺต กนฺทโนฺต วิย กเถติ, อิเมสํ สเพฺพสมฺปิ กถา อปฺปพนฺธา นาม โหติฯ โย ปน สุตฺตํ อารภิตฺวา อาจริเยหิ ทินฺนนเย ฐิโต อจฺฉินฺนธารํ กตฺวา นทีโสตํ วิย ปวเตฺตติ, อากาสคงฺคโต ภสฺสมานํ อุทกํ วิย นิรนฺตรํ กถํ ปวเตฺตติ, ตสฺส กถา อนุปฺปพนฺธา โหติฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อนุปฺปพเนฺธหี’’ติฯ อนุสยสมุคฺฆาตายาติ สตฺตนฺนํ อนุสยานํ สมุคฺฆาตตฺถายฯ เอวรูเปนาติ เอวรูเปน พหุสฺสุเตน ภิกฺขุนา ตถารูเปเนว ภิกฺขุสเตน ภิกฺขุสหเสฺสน วา สงฺฆาฎิกเณฺณน วา สงฺฆาฎิกณฺณํ, ปลฺลเงฺกน วา ปลฺลงฺกํ อาหจฺจ นิสิเนฺนน โคสิงฺคสาลวนํ โสเภยฺยฯ อิมินา นเยน สพฺพวาเรสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Anuppabandhehīti ettha yo bhikkhu dhammaṃ kathento suttaṃ vā jātakaṃ vā ārabhitvā āraddhakālato paṭṭhāya turitaturito araṇiṃ manthento viya, uṇhakhādanīyaṃ khādanto viya, pāḷiyā anusandhipubbāparesu gahitaṃ gahitameva aggahitaṃ aggahitameva ca katvā purāṇapaṇṇantaresu caramānaṃ godhaṃ uṭṭhapento viya tattha tattha paharanto osāpento ohāya gacchati. Yopi dhammaṃ kathento kālena sīghaṃ kālena dandhaṃ kālena mahāsaddaṃ kālena khuddakasaddaṃ karoti. Yathā petaggi kālena jalati, kālena nibbāyati, evameva idha petaggidhammakathiko nāma hoti, parisāya uṭṭhātukāmāya punappunaṃ ārabhati. Yopi kathento tattha tattha vitthāyati, nitthunanto kandanto viya katheti, imesaṃ sabbesampi kathā appabandhā nāma hoti. Yo pana suttaṃ ārabhitvā ācariyehi dinnanaye ṭhito acchinnadhāraṃ katvā nadīsotaṃ viya pavatteti, ākāsagaṅgato bhassamānaṃ udakaṃ viya nirantaraṃ kathaṃ pavatteti, tassa kathā anuppabandhā hoti. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘anuppabandhehī’’ti. Anusayasamugghātāyāti sattannaṃ anusayānaṃ samugghātatthāya. Evarūpenāti evarūpena bahussutena bhikkhunā tathārūpeneva bhikkhusatena bhikkhusahassena vā saṅghāṭikaṇṇena vā saṅghāṭikaṇṇaṃ, pallaṅkena vā pallaṅkaṃ āhacca nisinnena gosiṅgasālavanaṃ sobheyya. Iminā nayena sabbavāresu attho veditabbo.

    ๓๓๔. ปฎิสลฺลานํ อสฺส อาราโมติ ปฎิสลฺลานาราโมฯ ปฎิสลฺลาเน รโตติ ปฎิสลฺลานรโต

    334. Paṭisallānaṃ assa ārāmoti paṭisallānārāmo. Paṭisallāne ratoti paṭisallānarato.

    ๓๓๕. สหสฺสํ โลกานนฺติ สหสฺสํ โลกธาตูนํฯ เอตฺตกญฺหิ เถรสฺส ธุวเสวนํ อาวชฺชนปฎิพทฺธํ, อากงฺขมาโน ปน เถโร อเนกานิปิ จกฺกวาฬสหสฺสานิ โวโลเกติเยวฯ อุปริปาสาทวรคโตติ สตฺตภูมกสฺส วา นวภูมกสฺส วา ปาสาทวรสฺส อุปริ คโตฯ สหสฺสํ เนมิมณฺฑลานํ โวโลเกยฺยาติ ปาสาทปริเวเณ นาภิยา ปติฎฺฐิตานํ เนมิวฎฺฎิยา เนมิวฎฺฎิํ อาหจฺจ ฐิตานํ เนมิมณฺฑลานํ สหสฺสํ วาตปานํ วิวริตฺวา โอโลเกยฺย, ตสฺส นาภิโยปิ ปากฎา โหนฺติ, อราปิ อรนฺตรานิปิ เนมิโยปิฯ เอวเมว โข, อาวุโสติ, อาวุโส, เอวํ อยมฺปิ ทิพฺพจกฺขุโก ภิกฺขุ ทิเพฺพน จกฺขุนา อติกฺกนฺตมานุสเกน สหสฺสํ โลกานํ โวโลเกติฯ ตสฺส ปาสาเท ฐิตปุริสสฺส จกฺกนาภิโย วิย จกฺกวาฬสหเสฺส สิเนรุสหสฺสํ ปากฎํ โหติฯ อรา วิย ทีปา ปากฎา โหนฺติฯ อรนฺตรานิ วิย ทีปฎฺฐิตมนุสฺสา ปากฎา โหนฺติฯ เนมิโย วิย จกฺกวาฬปพฺพตา ปากฎา โหนฺติฯ

    335.Sahassaṃlokānanti sahassaṃ lokadhātūnaṃ. Ettakañhi therassa dhuvasevanaṃ āvajjanapaṭibaddhaṃ, ākaṅkhamāno pana thero anekānipi cakkavāḷasahassāni voloketiyeva. Uparipāsādavaragatoti sattabhūmakassa vā navabhūmakassa vā pāsādavarassa upari gato. Sahassaṃ nemimaṇḍalānaṃ volokeyyāti pāsādapariveṇe nābhiyā patiṭṭhitānaṃ nemivaṭṭiyā nemivaṭṭiṃ āhacca ṭhitānaṃ nemimaṇḍalānaṃ sahassaṃ vātapānaṃ vivaritvā olokeyya, tassa nābhiyopi pākaṭā honti, arāpi arantarānipi nemiyopi. Evameva kho, āvusoti, āvuso, evaṃ ayampi dibbacakkhuko bhikkhu dibbena cakkhunā atikkantamānusakena sahassaṃ lokānaṃ voloketi. Tassa pāsāde ṭhitapurisassa cakkanābhiyo viya cakkavāḷasahasse sinerusahassaṃ pākaṭaṃ hoti. Arā viya dīpā pākaṭā honti. Arantarāni viya dīpaṭṭhitamanussā pākaṭā honti. Nemiyo viya cakkavāḷapabbatā pākaṭā honti.

    ๓๓๖. อารญฺญิโกติ สมาทิณฺณอรญฺญธุตโงฺคฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ

    336.Āraññikoti samādiṇṇaaraññadhutaṅgo. Sesapadesupi eseva nayo.

    ๓๓๗. โน จ สํสาเทนฺตีติ น โอสาเทนฺติฯ สเหตุกญฺหิ สการณํ กตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ วิสฺสชฺชิตุมฺปิ อสโกฺกโนฺต สํสาเทติ นามฯ เอวํ น กโรนฺตีติ อโตฺถฯ ปวตฺตินี โหตีติ นทีโสโตทกํ วิย ปวตฺตติฯ

    337.No ca saṃsādentīti na osādenti. Sahetukañhi sakāraṇaṃ katvā pañhaṃ pucchituṃ vissajjitumpi asakkonto saṃsādeti nāma. Evaṃ na karontīti attho. Pavattinī hotīti nadīsotodakaṃ viya pavattati.

    ๓๓๘. ยาย วิหารสมาปตฺติยาติ ยาย โลกิยาย วิหารสมาปตฺติยา, ยาย โลกุตฺตราย วิหารสมาปตฺติยาฯ

    338.Yāyavihārasamāpattiyāti yāya lokiyāya vihārasamāpattiyā, yāya lokuttarāya vihārasamāpattiyā.

    ๓๓๙. สาธุ สาธุ สาริปุตฺตาติ อยํ สาธุกาโร อานนฺทเตฺถรสฺส ทิโนฺนฯ สาริปุตฺตเตฺถเรน ปน สทฺธิํ ภควา อาลปติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ยถา ตํ อานโนฺทวาติ ยถา อานโนฺทว สมฺมา พฺยากรณมาโน พฺยากเรยฺย, เอวํ พฺยากตํ อานเนฺทน อตฺตโน อนุจฺฉวิกเมว, อชฺฌาสยานุรูปเมว พฺยากตนฺติ อโตฺถฯ อานนฺทเตฺถโร หิ อตฺตนาปิ พหุสฺสุโต, อชฺฌาสโยปิสฺส เอวํ โหติ – ‘‘อโห วต สาสเน สพฺรหฺมจารี พหุสฺสุตา ภเวยฺยุ’’นฺติฯ กสฺมา? พหุสฺสุตสฺส หิ กปฺปิยากปฺปิยํ สาวชฺชานวชฺชํ, ครุกลหุกํ สเตกิจฺฉาเตกิจฺฉํ ปากฎํ โหติฯ พหุสฺสุโต อุคฺคหิตพุทฺธวจนํ อาวชฺชิตฺวา อิมสฺมิํ ฐาเน สีลํ กถิตํ, อิมสฺมิํ สมาธิ, อิมสฺมิํ วิปสฺสนา, อิมสฺมิํ มคฺคผลนิพฺพานานีติ สีลสฺส อาคตฎฺฐาเน สีลํ ปูเรตฺวา, สมาธิสฺส อาคตฎฺฐาเน สมาธิํ ปูเรตฺวา วิปสฺสนาย อาคตฎฺฐาเน วิปสฺสนาคพฺภํ คณฺหาเปตฺวา มคฺคํ ภาเวตฺวา ผลํ สจฺฉิกโรติฯ ตสฺมา เถรสฺส เอวํ อชฺฌาสโย โหติ – ‘‘อโห วต สพฺรหฺมจารี เอกํ วา เทฺว วา ตโย วา จตฺตาโร วา ปญฺจ วา นิกาเย อุคฺคเหตฺวา อาวชฺชนฺตา สีลาทีนํ อาคตฎฺฐาเนสุ สีลาทีนิ ปริปูเรตฺวา อนุกฺกเมน มคฺคผลนิพฺพานานิ สจฺฉิกเรยฺยุ’’นฺติฯ เสสวาเรสุปิ เอเสว นโยฯ

    339.Sādhu sādhu sāriputtāti ayaṃ sādhukāro ānandattherassa dinno. Sāriputtattherena pana saddhiṃ bhagavā ālapati. Esa nayo sabbattha. Yathā taṃ ānandovāti yathā ānandova sammā byākaraṇamāno byākareyya, evaṃ byākataṃ ānandena attano anucchavikameva, ajjhāsayānurūpameva byākatanti attho. Ānandatthero hi attanāpi bahussuto, ajjhāsayopissa evaṃ hoti – ‘‘aho vata sāsane sabrahmacārī bahussutā bhaveyyu’’nti. Kasmā? Bahussutassa hi kappiyākappiyaṃ sāvajjānavajjaṃ, garukalahukaṃ satekicchātekicchaṃ pākaṭaṃ hoti. Bahussuto uggahitabuddhavacanaṃ āvajjitvā imasmiṃ ṭhāne sīlaṃ kathitaṃ, imasmiṃ samādhi, imasmiṃ vipassanā, imasmiṃ maggaphalanibbānānīti sīlassa āgataṭṭhāne sīlaṃ pūretvā, samādhissa āgataṭṭhāne samādhiṃ pūretvā vipassanāya āgataṭṭhāne vipassanāgabbhaṃ gaṇhāpetvā maggaṃ bhāvetvā phalaṃ sacchikaroti. Tasmā therassa evaṃ ajjhāsayo hoti – ‘‘aho vata sabrahmacārī ekaṃ vā dve vā tayo vā cattāro vā pañca vā nikāye uggahetvā āvajjantā sīlādīnaṃ āgataṭṭhānesu sīlādīni paripūretvā anukkamena maggaphalanibbānāni sacchikareyyu’’nti. Sesavāresupi eseva nayo.

    ๓๔๐. อายสฺมา หิ เรวโต ฌานชฺฌาสโย ฌานาภิรโต, ตสฺมาสฺส เอวํ โหติ – ‘‘อโห วต สพฺรหฺมจารี เอกิกา นิสีทิตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานปทฎฺฐานํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ สจฺฉิกเรยฺยุ’’นฺติฯ ตสฺมา เอวํ พฺยากาสิฯ

    340. Āyasmā hi revato jhānajjhāsayo jhānābhirato, tasmāssa evaṃ hoti – ‘‘aho vata sabrahmacārī ekikā nisīditvā kasiṇaparikammaṃ katvā aṭṭha samāpattiyo nibbattetvā jhānapadaṭṭhānaṃ vipassanaṃ vaḍḍhetvā lokuttaradhammaṃ sacchikareyyu’’nti. Tasmā evaṃ byākāsi.

    ๓๔๑. อายสฺมา อนุรุโทฺธ ทิพฺพจกฺขุโก, ตสฺส เอวํ โหติ – ‘‘อโห วต สพฺรหฺมจารี อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทิเพฺพน จกฺขุนา อเนเกสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ จวมาเน จ อุปปชฺชมาเน จ สเตฺต ทิสฺวา วฎฺฎภเยน จิตฺตํ สํเวเชตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ สจฺฉิกเรยฺยุ’’นฺติฯ ตสฺมา เอวํ พฺยากาสิฯ

    341. Āyasmā anuruddho dibbacakkhuko, tassa evaṃ hoti – ‘‘aho vata sabrahmacārī ālokaṃ vaḍḍhetvā dibbena cakkhunā anekesu cakkavāḷasahassesu cavamāne ca upapajjamāne ca satte disvā vaṭṭabhayena cittaṃ saṃvejetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā lokuttaradhammaṃ sacchikareyyu’’nti. Tasmā evaṃ byākāsi.

    ๓๔๒. อายสฺมา มหากสฺสโป ธุตวาโท, ตสฺส เอวํ โหติ – ‘‘อโห วต สพฺรหฺมจารี ธุตวาทา หุตฺวา ธุตงฺคานุภาเวน ปจฺจยตณฺหํ มิลาเปตฺวา อปเรปิ นานปฺปกาเร กิเลเส ธุนิตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ สจฺฉิกเรยฺยุ’’นฺติฯ ตสฺมา เอวํ พฺยากาสิฯ

    342. Āyasmā mahākassapo dhutavādo, tassa evaṃ hoti – ‘‘aho vata sabrahmacārī dhutavādā hutvā dhutaṅgānubhāvena paccayataṇhaṃ milāpetvā aparepi nānappakāre kilese dhunitvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā lokuttaradhammaṃ sacchikareyyu’’nti. Tasmā evaṃ byākāsi.

    ๓๔๓. อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน สมาธิปารมิยา มตฺถกํ ปโตฺต, สุขุมํ ปน จิตฺตนฺตรํ ขนฺธนฺตรํ ธาตฺวนฺตรํ อายตนนฺตรํ ฌาโนกฺกนฺติกํ อารมฺมโณกฺกนฺติกํ องฺคววตฺถานํ อารมฺมณววตฺถานํ องฺคสงฺกนฺติ อารมฺมณสงฺกนฺติ เอกโตวฑฺฒนํ อุภโตวฑฺฒนนฺติ อาภิธมฺมิกธมฺมกถิกเสฺสว ปากฎํฯ อนาภิธมฺมิโก หิ ธมฺมํ กเถโนฺต – ‘‘อยํ สกวาโท อยํ ปรวาโท’’ติ น ชานาติฯ สกวาทํ ทีเปสฺสามีติ ปรวาทํ ทีเปติ, ปรวาทํ ทีเปสฺสามีติ สกวาทํ ทีเปติ, ธมฺมนฺตรํ วิสํวาเทติฯ อาภิธมฺมิโก สกวาทํ สกวาทนิยาเมเนว , ปรวาทํ ปรวาทนิยาเมเนว ทีเปติ, ธมฺมนฺตรํ น วิสํวาเทติฯ ตสฺมา เถรสฺส เอวํ โหติ – ‘‘อโห วต สพฺรหฺมจารี อาภิธมฺมิกา หุตฺวา สุขุเมสุ ฐาเนสุ ญาณํ โอตาเรตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ สจฺฉิกเรยฺยุ’’นฺติฯ ตสฺมา เอวํ พฺยากาสิฯ

    343. Āyasmā mahāmoggallāno samādhipāramiyā matthakaṃ patto, sukhumaṃ pana cittantaraṃ khandhantaraṃ dhātvantaraṃ āyatanantaraṃ jhānokkantikaṃ ārammaṇokkantikaṃ aṅgavavatthānaṃ ārammaṇavavatthānaṃ aṅgasaṅkanti ārammaṇasaṅkanti ekatovaḍḍhanaṃ ubhatovaḍḍhananti ābhidhammikadhammakathikasseva pākaṭaṃ. Anābhidhammiko hi dhammaṃ kathento – ‘‘ayaṃ sakavādo ayaṃ paravādo’’ti na jānāti. Sakavādaṃ dīpessāmīti paravādaṃ dīpeti, paravādaṃ dīpessāmīti sakavādaṃ dīpeti, dhammantaraṃ visaṃvādeti. Ābhidhammiko sakavādaṃ sakavādaniyāmeneva , paravādaṃ paravādaniyāmeneva dīpeti, dhammantaraṃ na visaṃvādeti. Tasmā therassa evaṃ hoti – ‘‘aho vata sabrahmacārī ābhidhammikā hutvā sukhumesu ṭhānesu ñāṇaṃ otāretvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā lokuttaradhammaṃ sacchikareyyu’’nti. Tasmā evaṃ byākāsi.

    ๓๔๔. อายสฺมา สาริปุโตฺต ปญฺญาปารมิยา มตฺถกํ ปโตฺต, ปญฺญวาเยว จ จิตฺตํ อตฺตโน วเส วเตฺตตุํ สโกฺกติ, น ทุปฺปโญฺญฯ ทุปฺปโญฺญ หิ อุปฺปนฺนสฺส จิตฺตสฺส วเส วเตฺตตฺวา อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทิตฺวาปิ กติปาเหเนว คิหิภาวํ ปตฺวา อนยพฺยสนํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา เถรสฺส เอวํ โหติ – ‘‘อโห วต สพฺรหฺมจารี อจิตฺตวสิกา หุตฺวา จิตฺตํ อตฺตโน วเส วเตฺตตฺวา สพฺพานสฺส วิเสวิตวิปฺผนฺทิตานิ ภญฺชิตฺวา อีสกมฺปิ พหิ นิกฺขมิตุํ อเทนฺตา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ สจฺฉิกเรยฺยุ’’นฺติฯ ตสฺมา เอวํ พฺยากาสิฯ

    344. Āyasmā sāriputto paññāpāramiyā matthakaṃ patto, paññavāyeva ca cittaṃ attano vase vattetuṃ sakkoti, na duppañño. Duppañño hi uppannassa cittassa vase vattetvā ito cito ca vipphanditvāpi katipāheneva gihibhāvaṃ patvā anayabyasanaṃ pāpuṇāti. Tasmā therassa evaṃ hoti – ‘‘aho vata sabrahmacārī acittavasikā hutvā cittaṃ attano vase vattetvā sabbānassa visevitavipphanditāni bhañjitvā īsakampi bahi nikkhamituṃ adentā vipassanaṃ vaḍḍhetvā lokuttaradhammaṃ sacchikareyyu’’nti. Tasmā evaṃ byākāsi.

    ๓๔๕. สเพฺพสํ โว, สาริปุตฺต, สุภาสิตํ ปริยาเยนาติ สาริปุตฺต, ยสฺมา สงฺฆารามสฺส นาม พหุสฺสุตภิกฺขูหิปิ โสภนการณํ อตฺถิ, ฌานาภิรเตหิปิ, ทิพฺพจกฺขุเกหิปิ, ธุตวาเทหิปิ, อาภิธมฺมิเกหิปิ, อจิตฺตวสิเกหิปิ โสภนการณํ อตฺถิฯ ตสฺมา สเพฺพสํ โว สุภาสิตํ ปริยาเยน, เตน เตน การเณน สุภาสิตเมว, โน ทุพฺภาสิตํฯ อปิจ มมปิ สุณาถาติ อปิจ มมปิ วจนํ สุณาถฯ น ตาวาหํ อิมํ ปลฺลงฺกํ ภินฺทิสฺสามีติ น ตาว อหํ อิมํ จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐาย อาภุชิตํ ปลฺลงฺกํ ภินฺทิสฺสามิ, น โมเจสฺสามีติ อโตฺถฯ อิทํ กิร ภควา ปริปากคเต ญาเณ รชฺชสิริํ ปหาย กตาภินิกฺขมโน อนุปุเพฺพน โพธิมณฺฑํ อารุยฺห จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐาย อปราชิตปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา ทฬฺหสมาทาโน หุตฺวา นิสิโนฺน ติณฺณํ มารานํ มตฺถกํ ภินฺทิตฺวา ปจฺจูสสมเย ทสสหสฺสิโลกธาตุํ อุนฺนาเทโนฺต สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิ, ตํ อตฺตโน มหาโพธิปลฺลงฺกํ สนฺธาย เอวมาหฯ อปิจ ปจฺฉิมํ ชนตํ อนุกมฺปมาโนปิ ปฎิปตฺติสารํ ปุถุชฺชนกลฺยาณกํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ ปสฺสติ หิ ภควา – ‘‘อนาคเต เอวํ อชฺฌาสยา กุลปุตฺตา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิสฺสนฺติ, ‘ภควา มหาโคสิงฺคสุตฺตํ กเถโนฺต อิธ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺฉาภตฺตํ…เป.… เอวรูเปน โข, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา โคสิงฺคสาลวนํ โสเภยฺยาติ อาห, มยํ ภควโต อชฺฌาสยํ คณฺหิสฺสามา’ติ ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกนฺตา จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐาย ทฬฺหสมาทานา หุตฺวา ‘อรหตฺตํ อปฺปตฺวา อิมํ ปลฺลงฺกํ น ภินฺทิสฺสามา’ติ สมณธมฺมํ กาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, เต เอวํ ปฎิปนฺนา กติปาเหเนว ชาติชรามรณสฺส อนฺตํ กริสฺสนฺตี’’ติ, อิมํ ปจฺฉิมํ ชนตํ อนุกมฺปมาโน ปฎิปตฺติสารํ ปุถุชฺชนกลฺยาณกํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ เอวรูเปน โข, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา โคสิงฺคสาลวนํ โสเภยฺยาติ, สาริปุตฺต, เอวรูเปน ภิกฺขุนา นิปฺปริยาเยเนว โคสิงฺคสาลวนํ โสเภยฺยาติ ยถานุสนฺธินาว เทสนํ นิฎฺฐเปสีติฯ

    345.Sabbesaṃ vo, sāriputta, subhāsitaṃ pariyāyenāti sāriputta, yasmā saṅghārāmassa nāma bahussutabhikkhūhipi sobhanakāraṇaṃ atthi, jhānābhiratehipi, dibbacakkhukehipi, dhutavādehipi, ābhidhammikehipi, acittavasikehipi sobhanakāraṇaṃ atthi. Tasmā sabbesaṃ vo subhāsitaṃ pariyāyena, tena tena kāraṇena subhāsitameva, no dubbhāsitaṃ. Apica mamapi suṇāthāti apica mamapi vacanaṃ suṇātha. Na tāvāhaṃ imaṃ pallaṅkaṃ bhindissāmīti na tāva ahaṃ imaṃ caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhāya ābhujitaṃ pallaṅkaṃ bhindissāmi, na mocessāmīti attho. Idaṃ kira bhagavā paripākagate ñāṇe rajjasiriṃ pahāya katābhinikkhamano anupubbena bodhimaṇḍaṃ āruyha caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhāya aparājitapallaṅkaṃ ābhujitvā daḷhasamādāno hutvā nisinno tiṇṇaṃ mārānaṃ matthakaṃ bhinditvā paccūsasamaye dasasahassilokadhātuṃ unnādento sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhi, taṃ attano mahābodhipallaṅkaṃ sandhāya evamāha. Apica pacchimaṃ janataṃ anukampamānopi paṭipattisāraṃ puthujjanakalyāṇakaṃ dassento evamāha. Passati hi bhagavā – ‘‘anāgate evaṃ ajjhāsayā kulaputtā iti paṭisañcikkhissanti, ‘bhagavā mahāgosiṅgasuttaṃ kathento idha, sāriputta, bhikkhu pacchābhattaṃ…pe… evarūpena kho, sāriputta, bhikkhunā gosiṅgasālavanaṃ sobheyyāti āha, mayaṃ bhagavato ajjhāsayaṃ gaṇhissāmā’ti pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkantā caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhāya daḷhasamādānā hutvā ‘arahattaṃ appatvā imaṃ pallaṅkaṃ na bhindissāmā’ti samaṇadhammaṃ kātabbaṃ maññissanti, te evaṃ paṭipannā katipāheneva jātijarāmaraṇassa antaṃ karissantī’’ti, imaṃ pacchimaṃ janataṃ anukampamāno paṭipattisāraṃ puthujjanakalyāṇakaṃ dassento evamāha. Evarūpena kho, sāriputta, bhikkhunā gosiṅgasālavanaṃ sobheyyāti, sāriputta, evarūpena bhikkhunā nippariyāyeneva gosiṅgasālavanaṃ sobheyyāti yathānusandhināva desanaṃ niṭṭhapesīti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    มหาโคสิงฺคสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahāgosiṅgasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. มหาโคสิงฺคสุตฺตํ • 2. Mahāgosiṅgasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. มหาโคสิงฺคสุตฺตวณฺณนา • 2. Mahāgosiṅgasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact